Chabulanta ตำนานรักเทพมังกร
6.6
เขียนโดย Xian_xi
วันที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2556 เวลา 15.34 น.
13 ตอน
20 วิจารณ์
18.99K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2556 13.18 น. โดย เจ้าของนิยาย
8) ตัดไม่ขาด
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ ฟู่หลานนั่งซึมอยู่ในห้องเล็ก แสงที่ส่องผ่านทางหน้าต่างไม่พอจะทำให้ห้องน้อยๆนี้หายทึมทึบ
ยิ่งรอบข้างมัวหม่นเท่าไร ใจนางก็ยิ่งหดหู่ บางทีก็นึกโทษตัวเองที่ทำให้เรื่องทุกอย่างเป็นเช่นนี้ แต่ก็ไม่มี
ทางเลือกอื่น นางจำต้องทำเช่นนั้น แต่กลับทำให้นายท่านน้อยใจแล้วหนีไปจากนาง แล้วทีนี้จะทำอย่างไร
ดี เขาจะกลับมาไหม จะได้เจอเขาอีกไหม หรือจะไม่ได้เห็นเขาอีกเลยตลอดไป เขาคงเสียใจและโกรธ
นางมากสินะ ถึงได้ใจแข็งจากไปนานขนาดนี้
แว่วเสียงประตูบ้านขยับ แต่นี่ยังไม่ถึงเวลาที่พ่อแม่จะกลับมา หรือว่า...
“ นายท่าน ” นางรุดไปด้วยความหวัง
เจ้าของใบหน้าคมแกร่งยิ้มทัก รอยยิ้มของนางหดวูบ
“ ท่านยิน... ”
“ ไม่ได้เจอตั้งนาน ข้าคิดถึงเจ้าจนอยากจะพังประตูเข้าไปเลยเพื่อจะได้เจอหน้าเจ้า
เร็วๆ ”
นางค้อมหัวเล็กน้อย “ เชิญท่านพักผ่อนตามสบายค่ะ ข้าจะไปยกน้ำมาต้อนรับ ”
“ เดี๋ยวก่อนสิ ” ห้ามนางแล้วนั่งลง “ มีอะไรที่สำคัญกว่าไปยกน้ำ ข้ามีของฝาก
จากเมืองหลวงให้เจ้าด้วยนะ ”
เขาล้วงเอาห่อผ้าจากในอกเสื้อ ยื่นให้นาง นางรับมาดูด้วยความฉงน
“ เปิดออกสิ ” เขาดูตื่นเต้นกว่านางเสียอีก
นางคลี่ผ้าออก แสงทองวูบวาบกระทบตา สิ่งที่อยู่ในนั้นคือปิ่นทองคำ หัวปิ่นทำเป็นรูปดอกท้อ
นางชะงักงันไปชั่วครู่แล้วตัดสินใจส่งกลับ
“ ของมีค่าแบบนี้ข้ารับไว้ไม่ได้หรอกค่ะ ”
“ แต่ข้าตั้งใจจะให้เจ้า ” ยินดันมือนางกลับ “ ข้านึกถึงวันแรกที่เราพบกันที่ข้าเข้าใจ
ว่าเจ้าคือนางไม้แห่งต้นท้อ ข้าก็เลยจ้างช่างทองทำปิ่นนี้ขึ้นมาเป็นพิเศษ เป็นของฝากให้เจ้า จงรับไป
เถอะนะ ”
ได้ยินอย่างนี้นางก็ไม่กล้าปฏิเสธ ก้มหน้ายอมรับแล้วกล่าวขอบคุณ
“ จริงสิ เจ้าลองใช้หน่อยได้ไหม เห็นช่างทำออกมาสวยมาก แต่ไม่รู้ว่าพอประดับ
บนผมเจ้าจะงดงามแค่ไหน ข้าจะปักให้เอง มีกระจกสักหน่อยก็ดี...ลืมไป บ้านเจ้าไม่มีกระจกนี่ มาใหม่
คราวหน้าข้าจะซื้อมาให้นะ ”
“ อย่าเลยดีกว่าค่ะท่านยิน แค่ปิ่นนี่ก็มากไปแล้ว ”
“ แต่ข้าอยากให้เจ้า อย่าปฏิเสธเลย ”
นางเงียบ ทุกครั้งที่เขาพูดคำว่าอย่าปฏิเสธเลย ทำให้นางรู้สึกเกรงใจ ทั้งยังมาพร้อมกับ
ความอึดอัดราวกับถูกหินยักษ์หน่วงไว้ที่หัวใจ ต่อไปนางคงไม่สามารถปฏิเสธอะไรได้เลยใช่ไหม เพราะ
เมื่อพูดไปแล้วเขาก็จะตอบแบบนี้ แล้วสุดท้ายนางก็ต้องยอมแบบนี้
ยินเสียบปิ่นดอกท้อบนมวยผมนาง ขยับนิดหน่อยให้เข้าที่แล้วถอยออกมาดู
“ สวยมาก ” เขาบอกพร้อมกับยิ้มเอาใจ นางยิ้มตอบนิดๆพอเป็นมารยาท “ เจ้า
อยากดูตัวเองไหม กระจก? โอ๊ะ ข้าลืมไปอีกแล้วว่าไม่มี ”
“ ข้าไปดูที่โอ่งน้ำก็ได้ค่ะ ” นางบอก
พวกเขาออกไปที่หลังบ้าน นางเปิดฝาโอ่งแล้วชะโงกหน้าเหนือผิวน้ำ
“ สวยจริงๆอย่างที่ข้าบอกไหมล่ะ ” นางยิ้มบางๆตอบ
“ ปิ่นทองคำที่มีราคาและท่านตั้งใจให้สร้างมันขึ้นมาอย่างนี้ มาอยู่บนผมสาว
ชาวบ้านอย่างข้า บางทีก็ดูไม่เข้ากันเท่าไรนะคะ ”
“ มันเหมาะกับเจ้าแล้วและมันถูกสร้างมาเพื่อเจ้า ” ยินบอก “ เจ้าอย่าเกรงใจเลยนะ
ชาบูหลั่นตาให้ทองเจ้าได้มากมาย แต่ข้าสามารถให้เจ้าได้ยิ่งกว่า ปิ่นนี้เป็นเพียงส่วนน้อยเท่านั้น ”
หัวใจนางไหววูบเมื่อได้ยินชื่อนั้น แล้วเรื่องราวที่นางคิดวนไปมาตั้งแต่ก่อนยินมาก็เริ่มพรั่งพรูออกมา
อีกครั้ง...
หลังยินกลับไปแล้ว นางกลับเข้ามาในห้อง มองห่อผ้าในมือ เลื่อนลิ้นชัก วางมันในนั้น เลื่อนปิด
แล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่
ตอนนี้เขาอยู่ที่ไหนนะ...
เขาร่อนเร่ไปตามทางที่สองข้างปกคลุมด้วยป่าเขียวทึบ อย่างไร้จุดหมาย ด้วยหัวใจที่ว้าวุ่น ทุกวัน
ที่ผ่านมาไม่สนใจสิ่งใด แม้แต่เสียงเพรียกจากสรวงสวรรค์ ครั้นถูกตามตัวไปจนได้ ก็ด้วยสภาพเหมือนไม่ได้
เอาหัวใจไปด้วยอย่างนั้น พอถูกปล่อยตัวก็ลงมารอนแรมในป่า ทุกวัน ท่องไปเรื่อยๆ อย่างกับมันจะช่วย
ปลดความอัดอั้นตันใจ ทันใดนั้นก็สะดุ้ง เขาเดินวนไปมาจนเกือบมุ่งไปทางบ้านฟู่หลาน รีบกลับหลังหัน
แต่ไปๆมาๆก็เผลอจะไปทางนั้นอีก ชาบูหลั่นตานั่งลงด้วยความเหนื่อยใจและสับสน หลายวันแล้วที่เป็น
แบบนี้ ทุกวันจะต้องเกือบเผลอเดินไปทางนั้น ทำไมเป็นแบบนี้ เขาสั่งตัวเองให้หันหลังจากมา แต่ในใจ
ก็เอาแต่ร่ำร้องจะกลับไป จะกลับไปทำไมกัน นางไม่ต้องการเขาแล้ว
ร่างโปร่งฉวยก้อนหินขว้างไปสุดแรง แล้วทิ้งแขนอย่างอ่อนล้า ทำไม? ทำไมใจเขาต้องเรียกร้อง
จะกลับไป
เขาหยุดกับที่อย่างนั้น พอจะได้ทบทวนเรื่องที่เกิดขึ้น และพยายามจัดการกับความสับสน แต่แล้ว
ก็เหม่อถึงนาง นึกเป็นห่วงว่าไม่เจอกันหลายวันแบบนี้จะเป็นอย่างไรบ้าง เขาจากมาแล้วอย่างนี้ยินคงไม่ทำ
อะไรนางใช่ไหม เขา... อยากเห็นนางอีกสักครั้งว่ายังสบายดีอยู่ไหม แค่อยากเห็นนางอีกสักครั้ง...
ร่างบางสลัดผ้าพาดบนเชือกที่ขึงหว่างสองเสา ดวงหน้าสวยหวานที่เคยสดใสกลับหม่นหมอง
และมุ่นคิ้วอยู่ตลอดอย่างคนที่มีเรื่องกลัดกลุ้มใจ ทันใดนั้นนางก็รู้สึกว่าถูกจ้องมองอยู่ แต่เมื่อหันไปดูกลับ
ไม่พบใคร นางชะเง้ออยู่พักหนึ่ง ไม่เห็นอะไรก็หันกลับทำงานต่อ
...ท่าทางนางยังสบายดี... เทพมังกรหันหลังกลับด้วยรู้สึกพอใจแล้ว แต่ทันทีที่จะก้าวออกไป
ก็เหมือนมีเชือกซ้ำถ่วงด้วยหินใหญ่เกี่ยวกระหวัดห้ามไว้ เขาสั่งตัวเองว่าแค่นี้พอแล้ว จบก็ลากเท้าต่อไป
อย่างยากเย็น
ร่างโปร่งแสงแล่นวูบวาบหลังแนวไม้ เพิ่งผ่านความยินดีแต่ตอนนี้กลับเศร้าตรม เขาไม่น่ากลับไป
ที่นั่นเลย แต่แรกคิดว่าถ้าได้เห็นนางตามต้องการแล้วจะหยุดความสับสนวุ่นวายทุกอย่าง แต่แล้วมันกลับ
ยิ่งทวีคูณ ใจหนึ่งก็ไม่อยากกลับไปอีกแล้ว แต่อีกใจกลับผูกพันที่นั่นอย่างที่สุด อยากรู้อยากเห็น ทั้งที่รู้ว่า
รู้แล้วเจ็บปวดก็ยังอยากรู้ เขามันบ้าไปแล้ว บ้า บ้าที่สุด ทำไมต้องทำตัวแบบนี้ ทำไมต้องสนใจทั้งที่นาง
ก็ไม่ต้องการ เขายังหยั่งความคิดตัวเองได้อีกว่าเขายังอยากจะไปดูอีก พรุ่งนี้ มะรืนนี้ และวันต่อไป ต่อๆไป
ก็ยังจะไป ขอให้ได้เห็นนางก็พอ ถึงนางจะไม่เห็นเขา และจะไม่รู้สิ่งที่เขาทำเลยก็เถอะ
ยินกำลังนั่งดื่มชาอยู่ในศาลาชมสวน เงยหน้าเห็นมารดารีบร้อนผ่านมาทางสวนก็เอ่ยทัก
อย่างแปลกใจ
“ ท่านแม่จะไปไหนหรือขอรับ ”
เวยฮูหยินยิ้มระรื่นตอบ แล้วเดินเข้ามาหา
“ แม่จะมาหาลูกพอดี รีบไปแต่งตัวเร็วเข้าซี แล้วออกไปข้างนอกกับแม่ ”
“ ไปไหนหรือขอรับ ”
“ เอาน่า ไปแต่งตัวก่อนเถอะ เดี๋ยวแม่จะบอกระหว่างทาง เร็วเข้าเดี๋ยวสาย ”
“ เช่นนั้นลูกขอไปหยิบเสื้อคลุมก่อน ”
“ ไม่ได้ๆ ชุดนี้ไม่ได้ ลูกไปเปลี่ยนใหม่ทั้งชุดเถอะ เอาชุดที่เรียบร้อยและก็เป็น
ทางการหน่อยนะ ”
ฝ่ายบุตรชายมองมารดาด้วยแววตาประหลาดใจ ไปที่ไหนหรือจะต้องเป็นทางการด้วย
“ มัวมองอะไรอยู่ล่ะ ไปสิ เร็วเข้า ” นางไล่เขากลับเข้าห้อง
ยินเปลี่ยนชุดไปก็นึกฉงน พอเสร็จออกมาก็เร่งเร้าเอาคำตอบให้ได้
“ แหม..” เวยฮูหยินยิ้มจนดวงตาหยีเป็นเส้นเดียว “ ก็ไปบ้านตระกูลหวางอย่างไรล่ะ ”
“ ตระกูลหวาง? ” ยินยิ่งไม่เข้าใจใหญ่ ไปทำไม? แล้วทำไมแม่ดูตื่นเต้นมาก
“ ลูกคงจำได้ว่าแม่เคยพูดเรื่องแต่งงานไว้ว่าหาว่าที่เจ้าสาวให้ลูกได้แล้ว แต่ลูกก็ยึกยัก
ไม่ยอมไปดูตัวสักที คราวนี้จะบิดพลิ้วไม่ได้แล้วนะ แม่นัดคนบ้านนั้นไว้แล้ว ถ้าลูกไม่ยอมไปแม่ก็จะเสีย
ผู้ใหญ่ ”
ยินลอบถอนหายใจ รู้ดีว่าคงไม่สามารถปฏิเสธได้
“ ตระกูลหวางมีลูกสาวอยู่คนหนึ่ง ตอนเด็กๆเคยมาที่บ้านเราด้วย ยังจำนางได้
อยู่หรือเปล่า ไฉ่เหลียงน่ะ ตอนนี้โตเป็นสาวแล้วนะ หน้าตาจิ้มลิ้มพริ้มเพรา กิริยามารยาทก็เรียบร้อย
ความสามารถด้านการบ้านการเรือนก็เพียบพร้อม ถ้าลูกได้เห็นนางคงต้องชอบแน่ ”
เวยฮูหยินตาเป็นประกายขณะวาดฝันถึงครอบครัวของลูกชายหลังจากนี้ ไม่ได้สนใจสีหน้าเขา
ที่ตรงข้ามกับความสุขอย่างสิ้นเชิง แต่ก็ไม่อาจขัดขืน
ตระกูลหวางเป็นหนึ่งในตระกูลขุนนางใหญ่ของแคว้นเฟิงโจว คนในตระกูลนี้มักไต่เต้าได้ไปเป็นถึง
ขุนนางระดับเจ้ากรมหรือเสนาบดีเสมอมา ด้านความสัมพันธ์กับตระกูลเวยก็สนิทสนมแน่นแฟ้นกันมานาน
ด้วยประมุขของทั้งสองเป็นสหายสนิทกัน แล้วตอนนี้ก็อาจจะได้เกี่ยวดองกันมากกว่านั้น
คฤหาสน์ของตระกูลหวางใหญ่โตและสวยสง่าไม่แพ้ตระกูลเวย กำแพงหินสูงแกร่งก่อล้อม
บอกบริเวณบ้าน ด้านในเป็นสวนสวยร่มรื่นโอบตัวบ้านหลังใหญ่ไว้ตรงกลาง ซึ่งด้านในเต็มไปด้วยห้องหับ
นานา สองแม่ลูกเดินเร็วๆผ่านทางเดินปูด้วยหิน มีคนรับใช้นำทางไปถึงห้องรับรองแขก เข้าไปถึงก็พบ
หวางฮูหยินรออยู่ก่อนแล้ว สองนายหญิงทักทายกันอย่างยินดี ขณะที่ยินทำความเคารพตามมารยาท
หวางฮูหยินเชิญทั้งคู่นั่งก่อนจะรินชาให้
“ แล้วไฉ่เหลียงล่ะ ” เวยฮูหยินถามอย่างตื่นเต้น
ทันใดนั้นเสียงหวานก็แว่วมาจากด้านนอก ขออนุญาตเข้าไป หวางฮูหยินตอบรับทันที ทันที
ที่บานประตูเปิดออก สตรีวัยแรกรุ่นก็ก้าวเข้ามาด้วยท่าทางเหนียมอาย นางสวมเสื้อผ้าสีเหลืองอ่อนซึ่งขับผิว
ที่ขาวนวลอยู่แล้วให้ยิ่งผุดผ่อง เกล้ามวยครึ่งหัวเสียบปิ่นพองาม โครงหน้าของนางเรียวได้รูป ดวงตา
กลมโต ขนตาเล่างอนงาม จมูกโด่งเป็นสัน เรียวปากก็แดงระเรื่อ ยินเห็นเข้าถึงกับชะงักงัน
“ อะไรกันยิน ถึงกับตะลึงตาค้างเลยเหรอ ” เสียงเวยฮูหยินกลั้วหัวเราะ
เขาไม่อยากสั่นหัว หรือพูดอะไรไม่ให้เกียรติหวางฮูหยิน ที่จริงเขาแค่ตกใจว่านางโตมากขนาดนี้แล้ว
หรือ เด็กผู้หญิงที่เคยรบเร้าจะคุยกับเขาตอนที่เขากำลังอ่านหนังสือ สุดท้ายนางก็นั่งรอเงียบๆจนหลับไป
แล้วเขาก็แบกนางขึ้นหลังพาไปส่งบ้าน ตอนนี้โตขึ้นขนาดนี้แล้วเชียว
สองนายหญิงทึกทักเอาว่ายินถูกใจ หัวเราะคิกคัก คุยวางแผนงานแต่งงานไปถึงไหนต่อไหน
เขาเริ่มหน้าหงิกที่ไม่มีใครถามความเห็นของเขาบ้าง ฝ่ายไฉ่เหลียงลอบสำรวจเขา แปลกใจกับอาการนั้น
ทันใดนั้นเขาก็ตวัดสายตามาทางนาง นางหลบสายตานั้นไม่ทัน ตกใจเกร็ง แต่สีหน้าเขาบูดบึ้งและแววตา
ก็ไม่สบอารมณ์ ก่อนจะกลับไปมองสองนายหญิงอีกครั้ง นางกลอกตากลับ รู้สึกไม่สบายใจ
ในที่สุดการนัดดูตัวก็ผ่านพ้นไป เวยฮูหยินกับยินออกไปทางโถงกลาง นางริกรี้ที่ทุกอย่างเป็นไป
ตามต้องการ
“ แม่จะจัดการเรื่องฤกษ์ยามให้ พอได้แล้วลูกก็จัดการงานให้ว่างช่วงนั้นแล้วกันนะ ”
ยินถอนหายใจยาวอย่างอึดอัดเต็มแก่ “ พอเถอะขอรับ ”
“ อะไรนะ ”
“ ตลอดเวลาเมื่อครู่ลูกไม่อยากพูดเพราะไม่อยากทำให้ท่านแม่กับหวางฮูหยิน
ต้องเสียหน้า แต่ไม่มีใครถามความเห็นของลูกสักคำว่าอยากแต่งกับนางไหม พวกท่านทึกทักเอาคิดเอาเอง
จัดการเองไปหมดทุกอย่างเลย ลูกไม่อยากแต่งงานกับไฉ่เหลียง ลูกไม่ได้รักนาง ”
“ ลูกไม่ค่อยได้เจอนางน่ะซีเลยไม่ค่อยสนิท แต่เอาเถอะ อยู่ๆไปเดี๋ยวก็รักนาง
นางเป็นคนดีนะ สวยเหมือนอย่างที่แม่เล่าด้วยใช่ไหมล่ะ ”
ไฉ่เหลียงกำลังเดินมาจากทางเดียวกัน เห็นพวกเขาคุยกันถึงนาง ก็รีบหลบ แอบฟัง
ด้วยความอยากรู้
“ แต่ว่าลูกไม่อาจรักนางได้ ”
ไฉ่เหลียงเบิกตากว้างกับคำตอบนั้น นึกเสียใจและไม่เข้าใจว่าทำไมเขาไม่ชอบนาง
“ ทำไมล่ะ? ” พลันเวยฮูหยินก็เฉลียวใจกับคำตอบนั้น “ หรือว่าลูกมีใครอยู่แล้ว ”
ยินพยักหน้ายอมรับ
“ นางเป็นใคร? ชื่ออะไร? เป็นลูกใคร? มาจากตระกูลไหน? ”
“ นางชื่อฟู่หลาน เป็นสาวชาวบ้านคนหนึ่ง พ่อแม่เป็นชาวไร่ที่เชิงเขา ”
เวยฮูหยินแทบลมจับ “ อะไรนะ! แล้วเจ้าไปคว้าผู้หญิงพรรคนั้นมาได้อย่างไร ”
“ แต่ถ้าไม่นับเรื่องฐานะ นางก็เป็นสาวงาม คุณสมบัติการเรือนก็เพียบพร้อม ทั้งยัง
เป็นคนดีด้วย ”
“ เลิกกับนางไปซะ ” นางสั่งเฉียบขาด “ อย่างไรก็ตาม เจ้าก็ต้องแต่งงาน
กับไฉ่เหลียง ”
“ การแต่งงานที่ไม่ได้เกิดจากความรัก ลูกทำไม่ได้ ลูกจะแต่งงานกับผู้หญิงที่ลูกรัก
เท่านั้น แต่ไม่ใช่ไฉ่เหลียง! ”
“ แต่แม่ไม่ยอม!! ”
เสียงโต้เถียงของสองแม่ลูกเอ็ดอึงขึ้นทุกขณะ ในที่สุดยินก็เดินหนีออกไปจากตรงนั้น เวยฮูหยิน
ตามราวีไปติดๆ พ้นพวกเขาไปแล้ว ไฉ่เหลียงออกจากที่ซ่อน มองตามหลังพวกเขาด้วยแววตาเศร้าสร้อย
แม้เวยฮูหยินจะคัดค้านอย่างรุนแรง แต่เมื่อยินบอกบิดาเรื่องฟู่หลาน เขากลับมีท่าทีสนใจและ
อยากเจอนาง
“ ถ้าเป็นจริงอย่างที่เจ้าว่า ข้าชักอยากเห็นนางเสียแล้ว ช่วงนี้พ่อพอว่างอยู่นะ
เจ้าก็พานางมาพบพ่อสิ ” นายท่านเวยกล่าวอย่างไม่สนใจเสียงคัดค้านของภรรยา
ยินรีบตอบรับ “ ขอรับ ข้าจะต้องพานางมาพบท่านพ่ออย่างเร็วที่สุด ”
“ ฟู่เอ๋อ ”
“ ท่านยิน ” ฟู่หลานวางตะกร้ามันลง ค้อมหัวเล็กน้อย ยินก้าวเร็วๆมาเบื้องหน้านาง
“ จากนี้เจ้าว่างแล้วใช่หรือเปล่า ”
“ ท่านมีอะไรหรือเปล่าคะ ” นางสงสัย
“ ออกไปข้างนอกกับข้าหน่อย ช่วยเปลี่ยนชุดด้วยนะ เอาชุดที่ดูดีที่สุดและสุภาพด้วย ”
“ ท่านจะพาข้าไปไหนหรือคะ ”
“ ไปพบคนๆหนึ่ง ” เขาตอบ “ ที่สำคัญกับข้าที่สุดและสำคัญกับเราสองคนด้วย
เร็วเข้า เดี๋ยวนี้เลย ”
นางดูงุนงง แต่ก็ทำตามแต่โดยดี นางหายเข้าไปในบ้านชั่วระยะหนึ่ง แล้วออกมาในชุดสีชมพูอ่อน
ผมเกล้าเรียบร้อย ปักปิ่นไม้เล็กๆสมฐานะ ยินจ้องสำรวจนาง ดูไม่ค่อยชอบใจนัก
“ ปิ่นที่ข้าให้หายไปไหน ” เขาจ้องจับผิด
“ ปิ่นที่ดูสูงค่าและมีราคาแบบนั้นไม่เหมาะกับชุดข้าหรอกค่ะ ” นางชี้แจง “ อีกอย่าง
ข้าอยากเก็บมันไว้มากกว่า ใส่ไปใส่มากลัวหาย ”
อึดใจเดียวใบหน้าเข้มงวดก็เปลี่ยนเป็นแจ่มใส “ อ๋อ...อยากเก็บมันไว้อย่างดี ขอบคุณนะ ” แล้ว
เขาก็เหลือบเห็นรองเท้านางเปื้อนฝุ่นจึงย่อตัวลงปัดให้ ทำเอานางตกอกตกใจ รีบย่อตัวลงเสมอเขา
“ อย่าทำแบบนี้ค่ะ ” นางรู้สึกไม่ดี
“ ไม่เห็นเป็นอะไร ” ยินว่า “ ข้าเห็นมันเปื้อนฝุ่นก็เลยปัดให้ นี่เจ้าย่อตัวลงมา
ทำไม ชายกระโปรงเปื้อนหมดแล้ว ”
เขาทำท่าจะปัดให้ นางรีบรวบชายกระโปรงไว้ “ ไม่เอาค่ะ...ข้าปัดเองได้ ท่านอย่าทำแบบนี้
อีกเลยค่ะ ”
“ เพราะข้าเป็นผู้ชายใช่ไหม ” นางทำหน้าลำบากใจ “ เพราะข้าเป็นผู้ชายก็เลย
ไม่ควรมาก้มต่ำกว่าผู้หญิง แล้วก็ยิ่งไม่ควรมาจับเท้าผู้หญิงด้วยใช่ไหม...กับคนอื่นข้าคงไม่ยอมนะ แต่กับเจ้า
ข้าไม่เห็นคิดอะไรเลย ”
“ ท่านยิน... ”
“ เจ้าคงสงสัยว่าทำไมวันนี้ข้าต้องบังคับเจ้าให้แต่งตัวแปลกไปจากเดิม และข้าก็ใส่ใจ
กับมันมาก เพราะผู้ที่เจ้าต้องไปพบก็คือพ่อของข้า ”
นางเบิกตากว้างอย่างตระหนกและไม่เข้าใจ เขาตัดสินใจจับมือนางมากุมไว้
“ แม่ข้าพยายามยัดเยียดเจ้าสาวให้ แต่ข้าปฏิเสธไปแล้ว และข้าก็เล่าเรื่องเจ้า
ให้ท่านพ่อฟัง ท่านไม่รังเกียจและอยากเจอเจ้าสักครั้ง ”
ฟู่หลานเริ่มตระหนักความหมาย หัวใจนางเต้นโครมคราม ทั้งหวาดกลัวและสับสน
“ ไปหาพ่อข้านะ ” เขาวิงวอน “ ข้าไม่สนใจและไม่อยากแต่งงานกับผู้หญิงคนไหน
ทั้งนั้น เพราะผู้หญิงที่ข้าอยากใช้ชีวิตร่วมกันไปตลอดชีวิต ก็คือเจ้า ”
นางตะลึงอยู่กับที่ เกือบจะคิดว่าฝันไป แต่มันคือความจริง ท่ามกลางความสับสนที่ไม่รู้จะตัดสินใจ
อย่างไรดี ใจนางก็นึกหน่วงถึงนายท่าน
ไม่เข้าใจ กำลังลังเลกับเรื่องตอนนี้ เกี่ยวอะไรกับนายท่าน
นางดูมือยินซึ่งเกาะกุมมือนางอยู่ แล้วนึกย้อนเทียบกับตอนที่ชาบูหลั่นตาจูงมือนางตั้งแต่วัยเด็ก
ตอนนั้นนางรู้สึกอบอุ่นใจไม่เหมือนตอนนี้ ทำไมเป็นเช่นนี้ มันคืออะไรกัน
ยินจับจ้องนางด้วยความหวัง ค่อนข้างมั่นใจว่านางคงไม่ปฏิเสธ ชาบูหลั่นตาไม่อยู่แล้ว นางก็ต้อง
มีแต่เขา ตอนนี้มีเขาเท่านั้นที่เป็นที่พึ่งให้นางได้ ครอบครัวนางก็ชื่นชอบเขา พ่อเขาก็ไม่ขัดข้อง นางเอง
ก็ไม่เคยแสดงท่าทีรังเกียจรังงอน คงไม่มีอุปสรรค
ฟู่หลานมองอีกฝ่ายด้วยความสับสน ไม่รู้จะตอบอย่างไร ในเมื่อในใจนางเต็มไปด้วยคำถาม
มากมายที่นางไม่เข้าใจและหาคำตอบไม่ได้
สองหนุ่มสาวกุมมือค้างไว้อย่างนั้น คนหนึ่งกระตือรือร้นเอาคำตอบ อีกคนว้าวุ่นสับสน ไม่ทันรู้ตัว
ว่ากำลังอยู่ในสายตาของผู้หนึ่ง ชาบูหลั่นตายืนอยู่ที่ชายป่า จ้องมองมาด้วยความปวดร้าวใจ หลังจากคิด
ทบทวนไปมาหลายต่อหลายครั้ง เขาก็แน่ใจว่าเขาขาดนางไม่ได้ ที่นางทำเพราะเหตุผลอะไร เขาเข้าใจ
แต่ขอให้นางมั่นใจในตัวเขาว่าสามารถปกป้องนางกับครอบครัวได้ เทพมังกรฟ้าสามารถบันดาลฝนช่วยเหลือ
คนมากมาย แล้วจะหนักหนาอะไรกับคุ้มครองคนแค่ครอบครัวเดียว เขาตั้งใจจะปรากฏตัว จะไม่หนีนาง
อีกแล้ว และจะคุยกับนางให้นางมั่นใจ แต่นึกไม่ถึงว่าจะกลับมาเจอภาพบาดตาอย่างนี้ เกิดอะไรขึ้น?
นางยอมทางนั้นเพราะเกรงกลัวหรือยอมรับจากใจจริงของนาง
ยินคอยคำตอบอยู่นาน นึกขึ้นได้ว่าที่นางไม่ยอมตอบสักทีอาจเพราะต้องการเวลาทบทวน เพราะ
กะทันหันเกินไป ทางที่ดีเขาไม่ควรเร่งรัดนาง อีกทั้งนี่ก็ใกล้เวลาที่จะพานางไปให้พ่อดูตัวแล้ว
“ ข้าจะไม่เร่งรัด เจ้าไปคิดดูให้ดีเถอะ ” เขาพูด “ นี่ใกล้เวลาที่ข้านัดท่านพ่อ
ไว้แล้ว ไปพบพ่อข้ากันนะ ”
นางยิ้มบางๆตอบเป็นมารยาท แต่ชาบูหลั่นตาที่กำลังสับสนกลับเข้าใจว่าความคิดสุดท้ายถูกต้อง
นางยอมรับจากใจจริงของนาง ไม่เช่นนั้นคงไม่ยอมให้ผู้ชายคนนั้นมากุมมือแล้วนางก็ยิ้มรับเสียด้วย เขารู้สึก
เหมือนมีอะไรหนักๆมาทับที่อก อึดอัด กระอักกระอ่วน แล้วความเจ็บปวดก็เสียดแทงขึ้นมาจากส่วนลึก
ของหัวใจ แผ่ออกไปจนทั่วอก มันบีบเค้นเป็นระยะและหนักหน่วงขึ้น ราวกับมีใครเอาเชือกมารัดหัวใจ
ไว้แน่น จนเขาไม่อาจทนได้อีกแล้ว เขาหันหลังตะกุยเท้าวิ่งหนีเข้าป่า หนีไป หนีไป หนีไปให้ไกลที่สุด
ที่เขาจะไม่ได้เห็นภาพนั้นอีก แต่มันกลับตามมาหลอกหลอนไม่เลิกรา ในที่สุดเขาก็หมดแรงวิ่งต่อไป
หยุดยืนยึดกิ่งไม้ ดวงตาคมเอ่อน้ำใส พลันก็หมดแรงทรุดลงกับพื้น หยาดน้ำตาพรั่งพรูออกมาอย่างสุด
ยับยั้ง เขากัดฟันข่มจนปวดร้าวไปทั้งกราม ภาพบาดตาเหล่านั้นยังวนเวียนอยู่ในความคิด เขาตะโกน
ก้องป่าด้วยความรวดร้าวสุดทานทน
พอพาฟู่หลานไปถึงบ้าน เวยฮูหยินซึ่งถูกสามีบังคับให้อยู่ดูตัวด้วยก็ตะบึงตะบันออกไป
ด้วยความหงุดหงิด เฉียดใบหน้าของฟู่หลานไปนิดเดียว นายท่านเวยเอ็ดอึงไล่หลังอย่างไม่พอใจ แล้ว
ทุกอย่างก็สงบลงโดยไม่มีเวยฮูหยินร่วมดูตัวผู้หญิงที่ลูกชายพามา
นายท่านเวยถอนใจยาวอย่างเหนื่อยใจ แล้วกล่าวกับฟู่หลานด้วยสีหน้าที่ยังมีความกังวลอยู่เล็กน้อย
“ ยินเล่าเรื่องเจ้าให้ฟังบ้างแล้ว ชื่อฟู่หลานสินะ เป็นสาวชาวบ้านที่หน้าตาสะสวย
ผิวพรรณผุดผ่อง กิริยาก็เรียบร้อย ไม่แพ้ชนชั้นสูงเลย ”
ฟู่หลานซึ่งปกติไม่ได้ข้องแวะกับชนชั้นสูง ได้มาพบอดีตขุนนางใหญ่อย่างนายท่านเวยอย่างใกล้ชิด
ขนาดนี้ก็ตื่นเต้นจนวางตัวไม่ถูก เขาถามอะไรก็ตอบตะกุกตะกักด้วยน้ำเสียงสั่นพร่า แต่เขากลับหัวเราะ
อย่างอารมณ์ดีแล้วยิ้มเอ็นดูนาง
“ ท่าทางปกติจะไม่ค่อยได้เจอพวกขุนนางใต้เท้าสินะ ถึงได้ตื่นเต้นขนาดนี้ แต่
ก็ต้องฝึกไว้บ้างนะ เพราะอีกหน่อยเจ้าคงได้ออกงานและพบปะชนชั้นสูงอีกมากมาย ”
ยินได้ฟังก็ตาลุกเป็นประกายด้วยความยินดี นายท่านเวยหันมาทางเขาแล้วพยักหน้า เขายิ้มออก
ทั้งดีใจและโล่งอย่างบอกไม่ถูก มองนาง แม้นางดูงุนงงอยู่บ้างแต่ก็พอเข้าใจ แต่แทนที่จะรู้สึกยินดี
ไปกับเขา ใบหน้านางกลับฉาบด้วยความกังวลและลังเลใจ แน่นอน ไม่มีใครได้สังเกตตรงนี้เลย
นายท่านเวยคิดว่าพวกเขารักกัน ส่วนยินก็ทึกทักเอาว่านางยอมรับแล้วถึงได้ยอมมาพบพ่อเขา สุดท้ายแล้ว
นางก็ต้องเก็บความอัดอั้นใจไว้ผู้เดียว
หลังส่งฟู่หลานถึงบ้านนางแล้ว ยินก็เดินทางกลับ ขณะนั้นเป็นช่วงเวลาหัวค่ำ ท้องฟ้าดำสนิท
แต่พราวพรายด้วยแสงดาวราวกับใครสักคนคลี่ผ้ากำมะหยี่ดำมาทาบทับ เงาไม้ไกวเอนในความมืด ทอดเงา
ลงบนผิวถนนร้างผู้คนที่หมอกลอยต่ำ สายลมหนาวปะทะร่างใหญ่เป็นครั้งคราว เขาขี่ม้าช้าๆบนเส้นทาง
ที่ข้างหนึ่งติดกับชายป่า เปลี่ยวและเงียบสงัด ขณะที่กำลังมองรอบข้างไปเพลินๆอยู่นั้นก็เหลือบเห็น
ร่างเรืองแสงเล็กน้อยของใครสักคนยืนอยู่ข้างทาง ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะแสงดาวส่องหรือเปล่า แต่เขาก็ขับม้า
เข้าไปดูใกล้ๆด้วยความแปลกใจและอยากรู้ ร่างนั้นยืนเกาะกิ่งไม้ของต้นหนึ่ง นิ่งสนิทราวเป็นเพียงรูปปั้น
ผิวขาวผ่องของเขาเรืองแสงนวลๆคล้ายหิ่งห้อยทอแสงยามค่ำคืน
“ อ้อ ” ฉับพลันใบหน้าที่มุ่นคิ้วด้วยความสงสัยก็คลายลง “ เป็นเจ้านั่นเอง ”
พอมีคนทัก ชาบูหลั่นตาก็หันมามองตอบ ดวงตาแดงเรื่อแต่ยินเห็นเพียงลูกตาวาวเรืองคล้ายดวงตา
จิ้งจอกหนุ่ม
“ หายหน้าไปนานเชียวนะ เจอกันทั้งทีก็ดีแล้ว ข้ามีข่าวดีที่อยากบอกให้เจ้ารู้พอดี ”
เทพมังกรเจ็บปวดในใจ ไม่ต้องบอก เขาก็เห็นกับตาแล้วว่ามันคืออะไร
“ ข้ากับฟู่เอ๋อ เรากำลังจะแต่งงานกันเร็วๆนี้ ”
ดวงตาคมเบิกขึ้นอย่างตกตะลึง นี่มันร้ายแรงกว่าที่เขาเห็นเสียอีก เดิมทีเขาคิดว่านางแค่ตกลงเป็น
คนรัก แต่นี่...แต่งงาน...
เหมือนโดนมีดกรีดหัวใจ เจ็บปวดทุรนทุรายอยู่แล้ว กลับถูกค้อนเหล็กกระหน่ำซ้ำแทบแดดิ้น
เมื่อใจบอบช้ำอย่างหนัก ความสามารถที่เคยควบคุมพลังตัวเองได้ก็เริ่มเสื่อม ดวงตาเทพมังกร
แดงวาบ แววตาแข็งกร้าว แต่ยินไม่ทันสังเกตความผิดปกตินั้น
“ เงียบทำไมล่ะ รู้สึกเจ็บแปลบๆในใจใช่ไหม ” เขาเย้ย “ ไหนเคยอวดว่ามี
ความสำคัญต่อนางมาก ไหนล่ะ? สุดท้ายนางก็ไม่ต้องการเจ้า เจ้ามันคนไร้ความหมายจริงๆ ”
วัตถุหนึ่งพุ่งมาหาฉับพลัน เขาตกใจเบี่ยงหลบ กำปั้นแกร่งปะทะต้นไม้หลังเขาเสียงสนั่น เศษผิว
และเนื้อไม้แหลกร่วงพรู
“ เจ้าจะทำอะไร! ” ยินร้องเสียงตระหนก เบิกตาดูกำปั้นนั้นที่ฝังลึกเข้าไปในลำต้น
ไม่อยากนึกว่าถ้าเมื่อครู่เขาหลบไม่ทันจะเป็นอย่างไร ไม่เคยคาดคิดว่าคนผู้นี้จะมีพลังน่ากลัวขนาดนี้
ชาบูหลั่นตาสีหน้าไม่สะทกสะท้านใดๆ แม้มือทั้งมือจะเข้าไปติดอยู่ในลำต้น เขาดึงมันออก
อย่างง่ายดายเหมือนเมื่อครั้งเอาเข้าไป ดวงตาสีชาที่ก่อนหน้าหม่นหมอง บัดนี้แปรเป็นสีเพลิงก่ำคล้ายสุมไฟ
สองกองเต้นระอุในความมืด แล้วเขาก็ก้าวมาหา ยินถอยหนีอย่างรู้สึกไม่ไว้ใจ หันดูรอบตัวก็เห็นแต่ป่ากับ
ถนนเปลี่ยว ชาบูหลั่นตาหันหลังให้ถนน ผลักดันให้เขาต้องถอยเข้าป่าไปเรื่อยๆ พอถอยชนต้นไม้ที่อยู่
ด้านหลัง เขาก็ชักมีดขู่
“ เจ้าเป็นใครกันแน่ ” ยินพอรู้แล้วว่าทำไมที่ผ่านมาเขาถึงหาประวัติคนๆนี้ไม่เจอ
แม้จะแทบพลิกแผ่นดินหาก็ตาม เพราะเขาไม่ใช่คนนี่เอง ถ้าเช่นนั้นเขาเป็นอะไรกัน? ผี? ปีศาจ? หรือเป็น
อะไรกันแน่ เขานึกพิศวงจนสับสนไปหมด
ชาบูหลั่นตาก้าวมาอย่างรวดเร็ว คว้าใบมีดบิดครั้งเดียว เกิดเสียงลั่น พอปล่อยมือมันก็หักออก
จากส่วนด้าม ยินมองตาค้าง มือนั้นตามตะครุบกระชากบ่าเขาแล้วเหวี่ยงไปฟาดกับต้นไม้ เขาร้อง
อย่างเจ็บปวด ก่อนจะทรุดฮวบลงไปกับพื้น เจ็บรวดร้าวราวกระดูกทั่วร่างกายจะแตกเป็นเสี่ยง ความจุก
แล่นปลาบจากแผ่นหลังขึ้นหน้าอกจนเขาหายใจไม่ทัน นั่งหอบชั่วอึดใจจนเริ่มโล่งขึ้น แหงนหน้าก็เห็น
อีกฝ่ายยืนจังก้าอยู่ใกล้นิดเดียว สีหน้าของเขาเหี้ยมโหดอย่างที่ยินไม่เคยเห็นมาก่อน ทันใดนั้นก็ตะปบศีรษะ
เขาอย่างแรงจนล้มกลิ้ง ร่างใหญ่กลิ้งหลุนๆไปตามทางลาดจนไปหยุดที่จุดหนึ่ง ไม่ทันตั้งตัวชาบูหลั่นตา
ก็ตามมาจิกมวยผมฉุดกระชากลากไป ยินผวาเบิกตาเมื่อเห็นถูกลากไปทางหินก้อนใหญ่ซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก
ไวเท่าความคิดอีกฝ่ายกดหัวเขาลงไป เขาตะครุบยันหินไว้ ขืนตัวสุดแรง ถึงอย่างนั้นด้านเหลี่ยมมุมของหิน
ก็ยังใกล้เพียงปลายจมูก และกำลังใกล้เข้ามาทุกที แต่กำลังแขนเขาเริ่มอ่อนลงทุกขณะ ชาบูหลั่นตาขย่ม
อย่างรุนแรงกระทั่งเขาทานไม่ไหว ร่วงลงตามแรง แต่ก็ฮึดใหม่จนต้านได้อีก ยินรู้ดีว่าตัวเองอ่อนแรง
มากแล้ว แต่อีกฝ่ายยังแรงไม่ตก ทั้งที่สู้ต้านกันขนาดนี้ ซ้ำยังเพิ่มขึ้นจากการที่ยังจัดการเขาไม่ได้สักที
เขาคงทนได้อีกไม่นาน กำลังจะไม่ไหวแล้ว
ช่วงคับขันที่กำลังจะหมดเรี่ยวแรง ยินก็เหลือบเห็นกิ่งไม้อันใหญ่ตกอยู่ข้างหิน เขารวมแรง
ขั้นสุดท้าย สลัดชาบูหลั่นตาสุดแรง ฉวยกิ่งไม้ แล้วหมุนกลับไปหวดทันที ยังผลให้เขาถอยหลบไป
ด้านหลัง ทำให้ยินพ้นจากการเกาะกุม เขาจะไม่ยอมตายที่นี่ แม่ทัพใหญ่แห่งแคว้นเฟิงโจวจะไม่มีวัน
ย่อยยับให้กับศัตรูเพียงคนเดียวเด็ดขาด ไม่ว่ามันจะเป็นใคร คนหรือว่าปีศาจก็ตามแต่
ปลุกความกล้าหาญตัวเองแล้วก็ฉวยโอกาสรุกกลับ แต่ชาบูหลั่นตาว่องไวมาก กระบวนท่า
ก็แข็งแกร่งดุเดือด ในที่สุดก็ปลดอาวุธในมือยินจนได้แล้วสวนกลับ ร่างเขาลอยหวือไปปะทะต้นไม้อีกครั้ง
คราวนี้ถึงกับกระอักเลือดสดๆออกมา อีกฝ่ายตามซ้ำเติมไม่รั้งรอ เขาหลบแทบไม่ทัน ได้แต่พึ่งต้นไม้
รอบข้างเป็นเกราะกำบัง แต่ชาบูหลั่นตาก็ล่อเขาออกมาจนได้ หมัดแกร่งพุ่งไปที่จุดอันตรายตรงศีรษะ
ยินเบิกตากว้างแต่หลบไม่ทันอีกแล้ว
ยิ่งรอบข้างมัวหม่นเท่าไร ใจนางก็ยิ่งหดหู่ บางทีก็นึกโทษตัวเองที่ทำให้เรื่องทุกอย่างเป็นเช่นนี้ แต่ก็ไม่มี
ทางเลือกอื่น นางจำต้องทำเช่นนั้น แต่กลับทำให้นายท่านน้อยใจแล้วหนีไปจากนาง แล้วทีนี้จะทำอย่างไร
ดี เขาจะกลับมาไหม จะได้เจอเขาอีกไหม หรือจะไม่ได้เห็นเขาอีกเลยตลอดไป เขาคงเสียใจและโกรธ
นางมากสินะ ถึงได้ใจแข็งจากไปนานขนาดนี้
แว่วเสียงประตูบ้านขยับ แต่นี่ยังไม่ถึงเวลาที่พ่อแม่จะกลับมา หรือว่า...
“ นายท่าน ” นางรุดไปด้วยความหวัง
เจ้าของใบหน้าคมแกร่งยิ้มทัก รอยยิ้มของนางหดวูบ
“ ท่านยิน... ”
“ ไม่ได้เจอตั้งนาน ข้าคิดถึงเจ้าจนอยากจะพังประตูเข้าไปเลยเพื่อจะได้เจอหน้าเจ้า
เร็วๆ ”
นางค้อมหัวเล็กน้อย “ เชิญท่านพักผ่อนตามสบายค่ะ ข้าจะไปยกน้ำมาต้อนรับ ”
“ เดี๋ยวก่อนสิ ” ห้ามนางแล้วนั่งลง “ มีอะไรที่สำคัญกว่าไปยกน้ำ ข้ามีของฝาก
จากเมืองหลวงให้เจ้าด้วยนะ ”
เขาล้วงเอาห่อผ้าจากในอกเสื้อ ยื่นให้นาง นางรับมาดูด้วยความฉงน
“ เปิดออกสิ ” เขาดูตื่นเต้นกว่านางเสียอีก
นางคลี่ผ้าออก แสงทองวูบวาบกระทบตา สิ่งที่อยู่ในนั้นคือปิ่นทองคำ หัวปิ่นทำเป็นรูปดอกท้อ
นางชะงักงันไปชั่วครู่แล้วตัดสินใจส่งกลับ
“ ของมีค่าแบบนี้ข้ารับไว้ไม่ได้หรอกค่ะ ”
“ แต่ข้าตั้งใจจะให้เจ้า ” ยินดันมือนางกลับ “ ข้านึกถึงวันแรกที่เราพบกันที่ข้าเข้าใจ
ว่าเจ้าคือนางไม้แห่งต้นท้อ ข้าก็เลยจ้างช่างทองทำปิ่นนี้ขึ้นมาเป็นพิเศษ เป็นของฝากให้เจ้า จงรับไป
เถอะนะ ”
ได้ยินอย่างนี้นางก็ไม่กล้าปฏิเสธ ก้มหน้ายอมรับแล้วกล่าวขอบคุณ
“ จริงสิ เจ้าลองใช้หน่อยได้ไหม เห็นช่างทำออกมาสวยมาก แต่ไม่รู้ว่าพอประดับ
บนผมเจ้าจะงดงามแค่ไหน ข้าจะปักให้เอง มีกระจกสักหน่อยก็ดี...ลืมไป บ้านเจ้าไม่มีกระจกนี่ มาใหม่
คราวหน้าข้าจะซื้อมาให้นะ ”
“ อย่าเลยดีกว่าค่ะท่านยิน แค่ปิ่นนี่ก็มากไปแล้ว ”
“ แต่ข้าอยากให้เจ้า อย่าปฏิเสธเลย ”
นางเงียบ ทุกครั้งที่เขาพูดคำว่าอย่าปฏิเสธเลย ทำให้นางรู้สึกเกรงใจ ทั้งยังมาพร้อมกับ
ความอึดอัดราวกับถูกหินยักษ์หน่วงไว้ที่หัวใจ ต่อไปนางคงไม่สามารถปฏิเสธอะไรได้เลยใช่ไหม เพราะ
เมื่อพูดไปแล้วเขาก็จะตอบแบบนี้ แล้วสุดท้ายนางก็ต้องยอมแบบนี้
ยินเสียบปิ่นดอกท้อบนมวยผมนาง ขยับนิดหน่อยให้เข้าที่แล้วถอยออกมาดู
“ สวยมาก ” เขาบอกพร้อมกับยิ้มเอาใจ นางยิ้มตอบนิดๆพอเป็นมารยาท “ เจ้า
อยากดูตัวเองไหม กระจก? โอ๊ะ ข้าลืมไปอีกแล้วว่าไม่มี ”
“ ข้าไปดูที่โอ่งน้ำก็ได้ค่ะ ” นางบอก
พวกเขาออกไปที่หลังบ้าน นางเปิดฝาโอ่งแล้วชะโงกหน้าเหนือผิวน้ำ
“ สวยจริงๆอย่างที่ข้าบอกไหมล่ะ ” นางยิ้มบางๆตอบ
“ ปิ่นทองคำที่มีราคาและท่านตั้งใจให้สร้างมันขึ้นมาอย่างนี้ มาอยู่บนผมสาว
ชาวบ้านอย่างข้า บางทีก็ดูไม่เข้ากันเท่าไรนะคะ ”
“ มันเหมาะกับเจ้าแล้วและมันถูกสร้างมาเพื่อเจ้า ” ยินบอก “ เจ้าอย่าเกรงใจเลยนะ
ชาบูหลั่นตาให้ทองเจ้าได้มากมาย แต่ข้าสามารถให้เจ้าได้ยิ่งกว่า ปิ่นนี้เป็นเพียงส่วนน้อยเท่านั้น ”
หัวใจนางไหววูบเมื่อได้ยินชื่อนั้น แล้วเรื่องราวที่นางคิดวนไปมาตั้งแต่ก่อนยินมาก็เริ่มพรั่งพรูออกมา
อีกครั้ง...
หลังยินกลับไปแล้ว นางกลับเข้ามาในห้อง มองห่อผ้าในมือ เลื่อนลิ้นชัก วางมันในนั้น เลื่อนปิด
แล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่
ตอนนี้เขาอยู่ที่ไหนนะ...
เขาร่อนเร่ไปตามทางที่สองข้างปกคลุมด้วยป่าเขียวทึบ อย่างไร้จุดหมาย ด้วยหัวใจที่ว้าวุ่น ทุกวัน
ที่ผ่านมาไม่สนใจสิ่งใด แม้แต่เสียงเพรียกจากสรวงสวรรค์ ครั้นถูกตามตัวไปจนได้ ก็ด้วยสภาพเหมือนไม่ได้
เอาหัวใจไปด้วยอย่างนั้น พอถูกปล่อยตัวก็ลงมารอนแรมในป่า ทุกวัน ท่องไปเรื่อยๆ อย่างกับมันจะช่วย
ปลดความอัดอั้นตันใจ ทันใดนั้นก็สะดุ้ง เขาเดินวนไปมาจนเกือบมุ่งไปทางบ้านฟู่หลาน รีบกลับหลังหัน
แต่ไปๆมาๆก็เผลอจะไปทางนั้นอีก ชาบูหลั่นตานั่งลงด้วยความเหนื่อยใจและสับสน หลายวันแล้วที่เป็น
แบบนี้ ทุกวันจะต้องเกือบเผลอเดินไปทางนั้น ทำไมเป็นแบบนี้ เขาสั่งตัวเองให้หันหลังจากมา แต่ในใจ
ก็เอาแต่ร่ำร้องจะกลับไป จะกลับไปทำไมกัน นางไม่ต้องการเขาแล้ว
ร่างโปร่งฉวยก้อนหินขว้างไปสุดแรง แล้วทิ้งแขนอย่างอ่อนล้า ทำไม? ทำไมใจเขาต้องเรียกร้อง
จะกลับไป
เขาหยุดกับที่อย่างนั้น พอจะได้ทบทวนเรื่องที่เกิดขึ้น และพยายามจัดการกับความสับสน แต่แล้ว
ก็เหม่อถึงนาง นึกเป็นห่วงว่าไม่เจอกันหลายวันแบบนี้จะเป็นอย่างไรบ้าง เขาจากมาแล้วอย่างนี้ยินคงไม่ทำ
อะไรนางใช่ไหม เขา... อยากเห็นนางอีกสักครั้งว่ายังสบายดีอยู่ไหม แค่อยากเห็นนางอีกสักครั้ง...
ร่างบางสลัดผ้าพาดบนเชือกที่ขึงหว่างสองเสา ดวงหน้าสวยหวานที่เคยสดใสกลับหม่นหมอง
และมุ่นคิ้วอยู่ตลอดอย่างคนที่มีเรื่องกลัดกลุ้มใจ ทันใดนั้นนางก็รู้สึกว่าถูกจ้องมองอยู่ แต่เมื่อหันไปดูกลับ
ไม่พบใคร นางชะเง้ออยู่พักหนึ่ง ไม่เห็นอะไรก็หันกลับทำงานต่อ
...ท่าทางนางยังสบายดี... เทพมังกรหันหลังกลับด้วยรู้สึกพอใจแล้ว แต่ทันทีที่จะก้าวออกไป
ก็เหมือนมีเชือกซ้ำถ่วงด้วยหินใหญ่เกี่ยวกระหวัดห้ามไว้ เขาสั่งตัวเองว่าแค่นี้พอแล้ว จบก็ลากเท้าต่อไป
อย่างยากเย็น
ร่างโปร่งแสงแล่นวูบวาบหลังแนวไม้ เพิ่งผ่านความยินดีแต่ตอนนี้กลับเศร้าตรม เขาไม่น่ากลับไป
ที่นั่นเลย แต่แรกคิดว่าถ้าได้เห็นนางตามต้องการแล้วจะหยุดความสับสนวุ่นวายทุกอย่าง แต่แล้วมันกลับ
ยิ่งทวีคูณ ใจหนึ่งก็ไม่อยากกลับไปอีกแล้ว แต่อีกใจกลับผูกพันที่นั่นอย่างที่สุด อยากรู้อยากเห็น ทั้งที่รู้ว่า
รู้แล้วเจ็บปวดก็ยังอยากรู้ เขามันบ้าไปแล้ว บ้า บ้าที่สุด ทำไมต้องทำตัวแบบนี้ ทำไมต้องสนใจทั้งที่นาง
ก็ไม่ต้องการ เขายังหยั่งความคิดตัวเองได้อีกว่าเขายังอยากจะไปดูอีก พรุ่งนี้ มะรืนนี้ และวันต่อไป ต่อๆไป
ก็ยังจะไป ขอให้ได้เห็นนางก็พอ ถึงนางจะไม่เห็นเขา และจะไม่รู้สิ่งที่เขาทำเลยก็เถอะ
ยินกำลังนั่งดื่มชาอยู่ในศาลาชมสวน เงยหน้าเห็นมารดารีบร้อนผ่านมาทางสวนก็เอ่ยทัก
อย่างแปลกใจ
“ ท่านแม่จะไปไหนหรือขอรับ ”
เวยฮูหยินยิ้มระรื่นตอบ แล้วเดินเข้ามาหา
“ แม่จะมาหาลูกพอดี รีบไปแต่งตัวเร็วเข้าซี แล้วออกไปข้างนอกกับแม่ ”
“ ไปไหนหรือขอรับ ”
“ เอาน่า ไปแต่งตัวก่อนเถอะ เดี๋ยวแม่จะบอกระหว่างทาง เร็วเข้าเดี๋ยวสาย ”
“ เช่นนั้นลูกขอไปหยิบเสื้อคลุมก่อน ”
“ ไม่ได้ๆ ชุดนี้ไม่ได้ ลูกไปเปลี่ยนใหม่ทั้งชุดเถอะ เอาชุดที่เรียบร้อยและก็เป็น
ทางการหน่อยนะ ”
ฝ่ายบุตรชายมองมารดาด้วยแววตาประหลาดใจ ไปที่ไหนหรือจะต้องเป็นทางการด้วย
“ มัวมองอะไรอยู่ล่ะ ไปสิ เร็วเข้า ” นางไล่เขากลับเข้าห้อง
ยินเปลี่ยนชุดไปก็นึกฉงน พอเสร็จออกมาก็เร่งเร้าเอาคำตอบให้ได้
“ แหม..” เวยฮูหยินยิ้มจนดวงตาหยีเป็นเส้นเดียว “ ก็ไปบ้านตระกูลหวางอย่างไรล่ะ ”
“ ตระกูลหวาง? ” ยินยิ่งไม่เข้าใจใหญ่ ไปทำไม? แล้วทำไมแม่ดูตื่นเต้นมาก
“ ลูกคงจำได้ว่าแม่เคยพูดเรื่องแต่งงานไว้ว่าหาว่าที่เจ้าสาวให้ลูกได้แล้ว แต่ลูกก็ยึกยัก
ไม่ยอมไปดูตัวสักที คราวนี้จะบิดพลิ้วไม่ได้แล้วนะ แม่นัดคนบ้านนั้นไว้แล้ว ถ้าลูกไม่ยอมไปแม่ก็จะเสีย
ผู้ใหญ่ ”
ยินลอบถอนหายใจ รู้ดีว่าคงไม่สามารถปฏิเสธได้
“ ตระกูลหวางมีลูกสาวอยู่คนหนึ่ง ตอนเด็กๆเคยมาที่บ้านเราด้วย ยังจำนางได้
อยู่หรือเปล่า ไฉ่เหลียงน่ะ ตอนนี้โตเป็นสาวแล้วนะ หน้าตาจิ้มลิ้มพริ้มเพรา กิริยามารยาทก็เรียบร้อย
ความสามารถด้านการบ้านการเรือนก็เพียบพร้อม ถ้าลูกได้เห็นนางคงต้องชอบแน่ ”
เวยฮูหยินตาเป็นประกายขณะวาดฝันถึงครอบครัวของลูกชายหลังจากนี้ ไม่ได้สนใจสีหน้าเขา
ที่ตรงข้ามกับความสุขอย่างสิ้นเชิง แต่ก็ไม่อาจขัดขืน
ตระกูลหวางเป็นหนึ่งในตระกูลขุนนางใหญ่ของแคว้นเฟิงโจว คนในตระกูลนี้มักไต่เต้าได้ไปเป็นถึง
ขุนนางระดับเจ้ากรมหรือเสนาบดีเสมอมา ด้านความสัมพันธ์กับตระกูลเวยก็สนิทสนมแน่นแฟ้นกันมานาน
ด้วยประมุขของทั้งสองเป็นสหายสนิทกัน แล้วตอนนี้ก็อาจจะได้เกี่ยวดองกันมากกว่านั้น
คฤหาสน์ของตระกูลหวางใหญ่โตและสวยสง่าไม่แพ้ตระกูลเวย กำแพงหินสูงแกร่งก่อล้อม
บอกบริเวณบ้าน ด้านในเป็นสวนสวยร่มรื่นโอบตัวบ้านหลังใหญ่ไว้ตรงกลาง ซึ่งด้านในเต็มไปด้วยห้องหับ
นานา สองแม่ลูกเดินเร็วๆผ่านทางเดินปูด้วยหิน มีคนรับใช้นำทางไปถึงห้องรับรองแขก เข้าไปถึงก็พบ
หวางฮูหยินรออยู่ก่อนแล้ว สองนายหญิงทักทายกันอย่างยินดี ขณะที่ยินทำความเคารพตามมารยาท
หวางฮูหยินเชิญทั้งคู่นั่งก่อนจะรินชาให้
“ แล้วไฉ่เหลียงล่ะ ” เวยฮูหยินถามอย่างตื่นเต้น
ทันใดนั้นเสียงหวานก็แว่วมาจากด้านนอก ขออนุญาตเข้าไป หวางฮูหยินตอบรับทันที ทันที
ที่บานประตูเปิดออก สตรีวัยแรกรุ่นก็ก้าวเข้ามาด้วยท่าทางเหนียมอาย นางสวมเสื้อผ้าสีเหลืองอ่อนซึ่งขับผิว
ที่ขาวนวลอยู่แล้วให้ยิ่งผุดผ่อง เกล้ามวยครึ่งหัวเสียบปิ่นพองาม โครงหน้าของนางเรียวได้รูป ดวงตา
กลมโต ขนตาเล่างอนงาม จมูกโด่งเป็นสัน เรียวปากก็แดงระเรื่อ ยินเห็นเข้าถึงกับชะงักงัน
“ อะไรกันยิน ถึงกับตะลึงตาค้างเลยเหรอ ” เสียงเวยฮูหยินกลั้วหัวเราะ
เขาไม่อยากสั่นหัว หรือพูดอะไรไม่ให้เกียรติหวางฮูหยิน ที่จริงเขาแค่ตกใจว่านางโตมากขนาดนี้แล้ว
หรือ เด็กผู้หญิงที่เคยรบเร้าจะคุยกับเขาตอนที่เขากำลังอ่านหนังสือ สุดท้ายนางก็นั่งรอเงียบๆจนหลับไป
แล้วเขาก็แบกนางขึ้นหลังพาไปส่งบ้าน ตอนนี้โตขึ้นขนาดนี้แล้วเชียว
สองนายหญิงทึกทักเอาว่ายินถูกใจ หัวเราะคิกคัก คุยวางแผนงานแต่งงานไปถึงไหนต่อไหน
เขาเริ่มหน้าหงิกที่ไม่มีใครถามความเห็นของเขาบ้าง ฝ่ายไฉ่เหลียงลอบสำรวจเขา แปลกใจกับอาการนั้น
ทันใดนั้นเขาก็ตวัดสายตามาทางนาง นางหลบสายตานั้นไม่ทัน ตกใจเกร็ง แต่สีหน้าเขาบูดบึ้งและแววตา
ก็ไม่สบอารมณ์ ก่อนจะกลับไปมองสองนายหญิงอีกครั้ง นางกลอกตากลับ รู้สึกไม่สบายใจ
ในที่สุดการนัดดูตัวก็ผ่านพ้นไป เวยฮูหยินกับยินออกไปทางโถงกลาง นางริกรี้ที่ทุกอย่างเป็นไป
ตามต้องการ
“ แม่จะจัดการเรื่องฤกษ์ยามให้ พอได้แล้วลูกก็จัดการงานให้ว่างช่วงนั้นแล้วกันนะ ”
ยินถอนหายใจยาวอย่างอึดอัดเต็มแก่ “ พอเถอะขอรับ ”
“ อะไรนะ ”
“ ตลอดเวลาเมื่อครู่ลูกไม่อยากพูดเพราะไม่อยากทำให้ท่านแม่กับหวางฮูหยิน
ต้องเสียหน้า แต่ไม่มีใครถามความเห็นของลูกสักคำว่าอยากแต่งกับนางไหม พวกท่านทึกทักเอาคิดเอาเอง
จัดการเองไปหมดทุกอย่างเลย ลูกไม่อยากแต่งงานกับไฉ่เหลียง ลูกไม่ได้รักนาง ”
“ ลูกไม่ค่อยได้เจอนางน่ะซีเลยไม่ค่อยสนิท แต่เอาเถอะ อยู่ๆไปเดี๋ยวก็รักนาง
นางเป็นคนดีนะ สวยเหมือนอย่างที่แม่เล่าด้วยใช่ไหมล่ะ ”
ไฉ่เหลียงกำลังเดินมาจากทางเดียวกัน เห็นพวกเขาคุยกันถึงนาง ก็รีบหลบ แอบฟัง
ด้วยความอยากรู้
“ แต่ว่าลูกไม่อาจรักนางได้ ”
ไฉ่เหลียงเบิกตากว้างกับคำตอบนั้น นึกเสียใจและไม่เข้าใจว่าทำไมเขาไม่ชอบนาง
“ ทำไมล่ะ? ” พลันเวยฮูหยินก็เฉลียวใจกับคำตอบนั้น “ หรือว่าลูกมีใครอยู่แล้ว ”
ยินพยักหน้ายอมรับ
“ นางเป็นใคร? ชื่ออะไร? เป็นลูกใคร? มาจากตระกูลไหน? ”
“ นางชื่อฟู่หลาน เป็นสาวชาวบ้านคนหนึ่ง พ่อแม่เป็นชาวไร่ที่เชิงเขา ”
เวยฮูหยินแทบลมจับ “ อะไรนะ! แล้วเจ้าไปคว้าผู้หญิงพรรคนั้นมาได้อย่างไร ”
“ แต่ถ้าไม่นับเรื่องฐานะ นางก็เป็นสาวงาม คุณสมบัติการเรือนก็เพียบพร้อม ทั้งยัง
เป็นคนดีด้วย ”
“ เลิกกับนางไปซะ ” นางสั่งเฉียบขาด “ อย่างไรก็ตาม เจ้าก็ต้องแต่งงาน
กับไฉ่เหลียง ”
“ การแต่งงานที่ไม่ได้เกิดจากความรัก ลูกทำไม่ได้ ลูกจะแต่งงานกับผู้หญิงที่ลูกรัก
เท่านั้น แต่ไม่ใช่ไฉ่เหลียง! ”
“ แต่แม่ไม่ยอม!! ”
เสียงโต้เถียงของสองแม่ลูกเอ็ดอึงขึ้นทุกขณะ ในที่สุดยินก็เดินหนีออกไปจากตรงนั้น เวยฮูหยิน
ตามราวีไปติดๆ พ้นพวกเขาไปแล้ว ไฉ่เหลียงออกจากที่ซ่อน มองตามหลังพวกเขาด้วยแววตาเศร้าสร้อย
แม้เวยฮูหยินจะคัดค้านอย่างรุนแรง แต่เมื่อยินบอกบิดาเรื่องฟู่หลาน เขากลับมีท่าทีสนใจและ
อยากเจอนาง
“ ถ้าเป็นจริงอย่างที่เจ้าว่า ข้าชักอยากเห็นนางเสียแล้ว ช่วงนี้พ่อพอว่างอยู่นะ
เจ้าก็พานางมาพบพ่อสิ ” นายท่านเวยกล่าวอย่างไม่สนใจเสียงคัดค้านของภรรยา
ยินรีบตอบรับ “ ขอรับ ข้าจะต้องพานางมาพบท่านพ่ออย่างเร็วที่สุด ”
“ ฟู่เอ๋อ ”
“ ท่านยิน ” ฟู่หลานวางตะกร้ามันลง ค้อมหัวเล็กน้อย ยินก้าวเร็วๆมาเบื้องหน้านาง
“ จากนี้เจ้าว่างแล้วใช่หรือเปล่า ”
“ ท่านมีอะไรหรือเปล่าคะ ” นางสงสัย
“ ออกไปข้างนอกกับข้าหน่อย ช่วยเปลี่ยนชุดด้วยนะ เอาชุดที่ดูดีที่สุดและสุภาพด้วย ”
“ ท่านจะพาข้าไปไหนหรือคะ ”
“ ไปพบคนๆหนึ่ง ” เขาตอบ “ ที่สำคัญกับข้าที่สุดและสำคัญกับเราสองคนด้วย
เร็วเข้า เดี๋ยวนี้เลย ”
นางดูงุนงง แต่ก็ทำตามแต่โดยดี นางหายเข้าไปในบ้านชั่วระยะหนึ่ง แล้วออกมาในชุดสีชมพูอ่อน
ผมเกล้าเรียบร้อย ปักปิ่นไม้เล็กๆสมฐานะ ยินจ้องสำรวจนาง ดูไม่ค่อยชอบใจนัก
“ ปิ่นที่ข้าให้หายไปไหน ” เขาจ้องจับผิด
“ ปิ่นที่ดูสูงค่าและมีราคาแบบนั้นไม่เหมาะกับชุดข้าหรอกค่ะ ” นางชี้แจง “ อีกอย่าง
ข้าอยากเก็บมันไว้มากกว่า ใส่ไปใส่มากลัวหาย ”
อึดใจเดียวใบหน้าเข้มงวดก็เปลี่ยนเป็นแจ่มใส “ อ๋อ...อยากเก็บมันไว้อย่างดี ขอบคุณนะ ” แล้ว
เขาก็เหลือบเห็นรองเท้านางเปื้อนฝุ่นจึงย่อตัวลงปัดให้ ทำเอานางตกอกตกใจ รีบย่อตัวลงเสมอเขา
“ อย่าทำแบบนี้ค่ะ ” นางรู้สึกไม่ดี
“ ไม่เห็นเป็นอะไร ” ยินว่า “ ข้าเห็นมันเปื้อนฝุ่นก็เลยปัดให้ นี่เจ้าย่อตัวลงมา
ทำไม ชายกระโปรงเปื้อนหมดแล้ว ”
เขาทำท่าจะปัดให้ นางรีบรวบชายกระโปรงไว้ “ ไม่เอาค่ะ...ข้าปัดเองได้ ท่านอย่าทำแบบนี้
อีกเลยค่ะ ”
“ เพราะข้าเป็นผู้ชายใช่ไหม ” นางทำหน้าลำบากใจ “ เพราะข้าเป็นผู้ชายก็เลย
ไม่ควรมาก้มต่ำกว่าผู้หญิง แล้วก็ยิ่งไม่ควรมาจับเท้าผู้หญิงด้วยใช่ไหม...กับคนอื่นข้าคงไม่ยอมนะ แต่กับเจ้า
ข้าไม่เห็นคิดอะไรเลย ”
“ ท่านยิน... ”
“ เจ้าคงสงสัยว่าทำไมวันนี้ข้าต้องบังคับเจ้าให้แต่งตัวแปลกไปจากเดิม และข้าก็ใส่ใจ
กับมันมาก เพราะผู้ที่เจ้าต้องไปพบก็คือพ่อของข้า ”
นางเบิกตากว้างอย่างตระหนกและไม่เข้าใจ เขาตัดสินใจจับมือนางมากุมไว้
“ แม่ข้าพยายามยัดเยียดเจ้าสาวให้ แต่ข้าปฏิเสธไปแล้ว และข้าก็เล่าเรื่องเจ้า
ให้ท่านพ่อฟัง ท่านไม่รังเกียจและอยากเจอเจ้าสักครั้ง ”
ฟู่หลานเริ่มตระหนักความหมาย หัวใจนางเต้นโครมคราม ทั้งหวาดกลัวและสับสน
“ ไปหาพ่อข้านะ ” เขาวิงวอน “ ข้าไม่สนใจและไม่อยากแต่งงานกับผู้หญิงคนไหน
ทั้งนั้น เพราะผู้หญิงที่ข้าอยากใช้ชีวิตร่วมกันไปตลอดชีวิต ก็คือเจ้า ”
นางตะลึงอยู่กับที่ เกือบจะคิดว่าฝันไป แต่มันคือความจริง ท่ามกลางความสับสนที่ไม่รู้จะตัดสินใจ
อย่างไรดี ใจนางก็นึกหน่วงถึงนายท่าน
ไม่เข้าใจ กำลังลังเลกับเรื่องตอนนี้ เกี่ยวอะไรกับนายท่าน
นางดูมือยินซึ่งเกาะกุมมือนางอยู่ แล้วนึกย้อนเทียบกับตอนที่ชาบูหลั่นตาจูงมือนางตั้งแต่วัยเด็ก
ตอนนั้นนางรู้สึกอบอุ่นใจไม่เหมือนตอนนี้ ทำไมเป็นเช่นนี้ มันคืออะไรกัน
ยินจับจ้องนางด้วยความหวัง ค่อนข้างมั่นใจว่านางคงไม่ปฏิเสธ ชาบูหลั่นตาไม่อยู่แล้ว นางก็ต้อง
มีแต่เขา ตอนนี้มีเขาเท่านั้นที่เป็นที่พึ่งให้นางได้ ครอบครัวนางก็ชื่นชอบเขา พ่อเขาก็ไม่ขัดข้อง นางเอง
ก็ไม่เคยแสดงท่าทีรังเกียจรังงอน คงไม่มีอุปสรรค
ฟู่หลานมองอีกฝ่ายด้วยความสับสน ไม่รู้จะตอบอย่างไร ในเมื่อในใจนางเต็มไปด้วยคำถาม
มากมายที่นางไม่เข้าใจและหาคำตอบไม่ได้
สองหนุ่มสาวกุมมือค้างไว้อย่างนั้น คนหนึ่งกระตือรือร้นเอาคำตอบ อีกคนว้าวุ่นสับสน ไม่ทันรู้ตัว
ว่ากำลังอยู่ในสายตาของผู้หนึ่ง ชาบูหลั่นตายืนอยู่ที่ชายป่า จ้องมองมาด้วยความปวดร้าวใจ หลังจากคิด
ทบทวนไปมาหลายต่อหลายครั้ง เขาก็แน่ใจว่าเขาขาดนางไม่ได้ ที่นางทำเพราะเหตุผลอะไร เขาเข้าใจ
แต่ขอให้นางมั่นใจในตัวเขาว่าสามารถปกป้องนางกับครอบครัวได้ เทพมังกรฟ้าสามารถบันดาลฝนช่วยเหลือ
คนมากมาย แล้วจะหนักหนาอะไรกับคุ้มครองคนแค่ครอบครัวเดียว เขาตั้งใจจะปรากฏตัว จะไม่หนีนาง
อีกแล้ว และจะคุยกับนางให้นางมั่นใจ แต่นึกไม่ถึงว่าจะกลับมาเจอภาพบาดตาอย่างนี้ เกิดอะไรขึ้น?
นางยอมทางนั้นเพราะเกรงกลัวหรือยอมรับจากใจจริงของนาง
ยินคอยคำตอบอยู่นาน นึกขึ้นได้ว่าที่นางไม่ยอมตอบสักทีอาจเพราะต้องการเวลาทบทวน เพราะ
กะทันหันเกินไป ทางที่ดีเขาไม่ควรเร่งรัดนาง อีกทั้งนี่ก็ใกล้เวลาที่จะพานางไปให้พ่อดูตัวแล้ว
“ ข้าจะไม่เร่งรัด เจ้าไปคิดดูให้ดีเถอะ ” เขาพูด “ นี่ใกล้เวลาที่ข้านัดท่านพ่อ
ไว้แล้ว ไปพบพ่อข้ากันนะ ”
นางยิ้มบางๆตอบเป็นมารยาท แต่ชาบูหลั่นตาที่กำลังสับสนกลับเข้าใจว่าความคิดสุดท้ายถูกต้อง
นางยอมรับจากใจจริงของนาง ไม่เช่นนั้นคงไม่ยอมให้ผู้ชายคนนั้นมากุมมือแล้วนางก็ยิ้มรับเสียด้วย เขารู้สึก
เหมือนมีอะไรหนักๆมาทับที่อก อึดอัด กระอักกระอ่วน แล้วความเจ็บปวดก็เสียดแทงขึ้นมาจากส่วนลึก
ของหัวใจ แผ่ออกไปจนทั่วอก มันบีบเค้นเป็นระยะและหนักหน่วงขึ้น ราวกับมีใครเอาเชือกมารัดหัวใจ
ไว้แน่น จนเขาไม่อาจทนได้อีกแล้ว เขาหันหลังตะกุยเท้าวิ่งหนีเข้าป่า หนีไป หนีไป หนีไปให้ไกลที่สุด
ที่เขาจะไม่ได้เห็นภาพนั้นอีก แต่มันกลับตามมาหลอกหลอนไม่เลิกรา ในที่สุดเขาก็หมดแรงวิ่งต่อไป
หยุดยืนยึดกิ่งไม้ ดวงตาคมเอ่อน้ำใส พลันก็หมดแรงทรุดลงกับพื้น หยาดน้ำตาพรั่งพรูออกมาอย่างสุด
ยับยั้ง เขากัดฟันข่มจนปวดร้าวไปทั้งกราม ภาพบาดตาเหล่านั้นยังวนเวียนอยู่ในความคิด เขาตะโกน
ก้องป่าด้วยความรวดร้าวสุดทานทน
พอพาฟู่หลานไปถึงบ้าน เวยฮูหยินซึ่งถูกสามีบังคับให้อยู่ดูตัวด้วยก็ตะบึงตะบันออกไป
ด้วยความหงุดหงิด เฉียดใบหน้าของฟู่หลานไปนิดเดียว นายท่านเวยเอ็ดอึงไล่หลังอย่างไม่พอใจ แล้ว
ทุกอย่างก็สงบลงโดยไม่มีเวยฮูหยินร่วมดูตัวผู้หญิงที่ลูกชายพามา
นายท่านเวยถอนใจยาวอย่างเหนื่อยใจ แล้วกล่าวกับฟู่หลานด้วยสีหน้าที่ยังมีความกังวลอยู่เล็กน้อย
“ ยินเล่าเรื่องเจ้าให้ฟังบ้างแล้ว ชื่อฟู่หลานสินะ เป็นสาวชาวบ้านที่หน้าตาสะสวย
ผิวพรรณผุดผ่อง กิริยาก็เรียบร้อย ไม่แพ้ชนชั้นสูงเลย ”
ฟู่หลานซึ่งปกติไม่ได้ข้องแวะกับชนชั้นสูง ได้มาพบอดีตขุนนางใหญ่อย่างนายท่านเวยอย่างใกล้ชิด
ขนาดนี้ก็ตื่นเต้นจนวางตัวไม่ถูก เขาถามอะไรก็ตอบตะกุกตะกักด้วยน้ำเสียงสั่นพร่า แต่เขากลับหัวเราะ
อย่างอารมณ์ดีแล้วยิ้มเอ็นดูนาง
“ ท่าทางปกติจะไม่ค่อยได้เจอพวกขุนนางใต้เท้าสินะ ถึงได้ตื่นเต้นขนาดนี้ แต่
ก็ต้องฝึกไว้บ้างนะ เพราะอีกหน่อยเจ้าคงได้ออกงานและพบปะชนชั้นสูงอีกมากมาย ”
ยินได้ฟังก็ตาลุกเป็นประกายด้วยความยินดี นายท่านเวยหันมาทางเขาแล้วพยักหน้า เขายิ้มออก
ทั้งดีใจและโล่งอย่างบอกไม่ถูก มองนาง แม้นางดูงุนงงอยู่บ้างแต่ก็พอเข้าใจ แต่แทนที่จะรู้สึกยินดี
ไปกับเขา ใบหน้านางกลับฉาบด้วยความกังวลและลังเลใจ แน่นอน ไม่มีใครได้สังเกตตรงนี้เลย
นายท่านเวยคิดว่าพวกเขารักกัน ส่วนยินก็ทึกทักเอาว่านางยอมรับแล้วถึงได้ยอมมาพบพ่อเขา สุดท้ายแล้ว
นางก็ต้องเก็บความอัดอั้นใจไว้ผู้เดียว
หลังส่งฟู่หลานถึงบ้านนางแล้ว ยินก็เดินทางกลับ ขณะนั้นเป็นช่วงเวลาหัวค่ำ ท้องฟ้าดำสนิท
แต่พราวพรายด้วยแสงดาวราวกับใครสักคนคลี่ผ้ากำมะหยี่ดำมาทาบทับ เงาไม้ไกวเอนในความมืด ทอดเงา
ลงบนผิวถนนร้างผู้คนที่หมอกลอยต่ำ สายลมหนาวปะทะร่างใหญ่เป็นครั้งคราว เขาขี่ม้าช้าๆบนเส้นทาง
ที่ข้างหนึ่งติดกับชายป่า เปลี่ยวและเงียบสงัด ขณะที่กำลังมองรอบข้างไปเพลินๆอยู่นั้นก็เหลือบเห็น
ร่างเรืองแสงเล็กน้อยของใครสักคนยืนอยู่ข้างทาง ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะแสงดาวส่องหรือเปล่า แต่เขาก็ขับม้า
เข้าไปดูใกล้ๆด้วยความแปลกใจและอยากรู้ ร่างนั้นยืนเกาะกิ่งไม้ของต้นหนึ่ง นิ่งสนิทราวเป็นเพียงรูปปั้น
ผิวขาวผ่องของเขาเรืองแสงนวลๆคล้ายหิ่งห้อยทอแสงยามค่ำคืน
“ อ้อ ” ฉับพลันใบหน้าที่มุ่นคิ้วด้วยความสงสัยก็คลายลง “ เป็นเจ้านั่นเอง ”
พอมีคนทัก ชาบูหลั่นตาก็หันมามองตอบ ดวงตาแดงเรื่อแต่ยินเห็นเพียงลูกตาวาวเรืองคล้ายดวงตา
จิ้งจอกหนุ่ม
“ หายหน้าไปนานเชียวนะ เจอกันทั้งทีก็ดีแล้ว ข้ามีข่าวดีที่อยากบอกให้เจ้ารู้พอดี ”
เทพมังกรเจ็บปวดในใจ ไม่ต้องบอก เขาก็เห็นกับตาแล้วว่ามันคืออะไร
“ ข้ากับฟู่เอ๋อ เรากำลังจะแต่งงานกันเร็วๆนี้ ”
ดวงตาคมเบิกขึ้นอย่างตกตะลึง นี่มันร้ายแรงกว่าที่เขาเห็นเสียอีก เดิมทีเขาคิดว่านางแค่ตกลงเป็น
คนรัก แต่นี่...แต่งงาน...
เหมือนโดนมีดกรีดหัวใจ เจ็บปวดทุรนทุรายอยู่แล้ว กลับถูกค้อนเหล็กกระหน่ำซ้ำแทบแดดิ้น
เมื่อใจบอบช้ำอย่างหนัก ความสามารถที่เคยควบคุมพลังตัวเองได้ก็เริ่มเสื่อม ดวงตาเทพมังกร
แดงวาบ แววตาแข็งกร้าว แต่ยินไม่ทันสังเกตความผิดปกตินั้น
“ เงียบทำไมล่ะ รู้สึกเจ็บแปลบๆในใจใช่ไหม ” เขาเย้ย “ ไหนเคยอวดว่ามี
ความสำคัญต่อนางมาก ไหนล่ะ? สุดท้ายนางก็ไม่ต้องการเจ้า เจ้ามันคนไร้ความหมายจริงๆ ”
วัตถุหนึ่งพุ่งมาหาฉับพลัน เขาตกใจเบี่ยงหลบ กำปั้นแกร่งปะทะต้นไม้หลังเขาเสียงสนั่น เศษผิว
และเนื้อไม้แหลกร่วงพรู
“ เจ้าจะทำอะไร! ” ยินร้องเสียงตระหนก เบิกตาดูกำปั้นนั้นที่ฝังลึกเข้าไปในลำต้น
ไม่อยากนึกว่าถ้าเมื่อครู่เขาหลบไม่ทันจะเป็นอย่างไร ไม่เคยคาดคิดว่าคนผู้นี้จะมีพลังน่ากลัวขนาดนี้
ชาบูหลั่นตาสีหน้าไม่สะทกสะท้านใดๆ แม้มือทั้งมือจะเข้าไปติดอยู่ในลำต้น เขาดึงมันออก
อย่างง่ายดายเหมือนเมื่อครั้งเอาเข้าไป ดวงตาสีชาที่ก่อนหน้าหม่นหมอง บัดนี้แปรเป็นสีเพลิงก่ำคล้ายสุมไฟ
สองกองเต้นระอุในความมืด แล้วเขาก็ก้าวมาหา ยินถอยหนีอย่างรู้สึกไม่ไว้ใจ หันดูรอบตัวก็เห็นแต่ป่ากับ
ถนนเปลี่ยว ชาบูหลั่นตาหันหลังให้ถนน ผลักดันให้เขาต้องถอยเข้าป่าไปเรื่อยๆ พอถอยชนต้นไม้ที่อยู่
ด้านหลัง เขาก็ชักมีดขู่
“ เจ้าเป็นใครกันแน่ ” ยินพอรู้แล้วว่าทำไมที่ผ่านมาเขาถึงหาประวัติคนๆนี้ไม่เจอ
แม้จะแทบพลิกแผ่นดินหาก็ตาม เพราะเขาไม่ใช่คนนี่เอง ถ้าเช่นนั้นเขาเป็นอะไรกัน? ผี? ปีศาจ? หรือเป็น
อะไรกันแน่ เขานึกพิศวงจนสับสนไปหมด
ชาบูหลั่นตาก้าวมาอย่างรวดเร็ว คว้าใบมีดบิดครั้งเดียว เกิดเสียงลั่น พอปล่อยมือมันก็หักออก
จากส่วนด้าม ยินมองตาค้าง มือนั้นตามตะครุบกระชากบ่าเขาแล้วเหวี่ยงไปฟาดกับต้นไม้ เขาร้อง
อย่างเจ็บปวด ก่อนจะทรุดฮวบลงไปกับพื้น เจ็บรวดร้าวราวกระดูกทั่วร่างกายจะแตกเป็นเสี่ยง ความจุก
แล่นปลาบจากแผ่นหลังขึ้นหน้าอกจนเขาหายใจไม่ทัน นั่งหอบชั่วอึดใจจนเริ่มโล่งขึ้น แหงนหน้าก็เห็น
อีกฝ่ายยืนจังก้าอยู่ใกล้นิดเดียว สีหน้าของเขาเหี้ยมโหดอย่างที่ยินไม่เคยเห็นมาก่อน ทันใดนั้นก็ตะปบศีรษะ
เขาอย่างแรงจนล้มกลิ้ง ร่างใหญ่กลิ้งหลุนๆไปตามทางลาดจนไปหยุดที่จุดหนึ่ง ไม่ทันตั้งตัวชาบูหลั่นตา
ก็ตามมาจิกมวยผมฉุดกระชากลากไป ยินผวาเบิกตาเมื่อเห็นถูกลากไปทางหินก้อนใหญ่ซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก
ไวเท่าความคิดอีกฝ่ายกดหัวเขาลงไป เขาตะครุบยันหินไว้ ขืนตัวสุดแรง ถึงอย่างนั้นด้านเหลี่ยมมุมของหิน
ก็ยังใกล้เพียงปลายจมูก และกำลังใกล้เข้ามาทุกที แต่กำลังแขนเขาเริ่มอ่อนลงทุกขณะ ชาบูหลั่นตาขย่ม
อย่างรุนแรงกระทั่งเขาทานไม่ไหว ร่วงลงตามแรง แต่ก็ฮึดใหม่จนต้านได้อีก ยินรู้ดีว่าตัวเองอ่อนแรง
มากแล้ว แต่อีกฝ่ายยังแรงไม่ตก ทั้งที่สู้ต้านกันขนาดนี้ ซ้ำยังเพิ่มขึ้นจากการที่ยังจัดการเขาไม่ได้สักที
เขาคงทนได้อีกไม่นาน กำลังจะไม่ไหวแล้ว
ช่วงคับขันที่กำลังจะหมดเรี่ยวแรง ยินก็เหลือบเห็นกิ่งไม้อันใหญ่ตกอยู่ข้างหิน เขารวมแรง
ขั้นสุดท้าย สลัดชาบูหลั่นตาสุดแรง ฉวยกิ่งไม้ แล้วหมุนกลับไปหวดทันที ยังผลให้เขาถอยหลบไป
ด้านหลัง ทำให้ยินพ้นจากการเกาะกุม เขาจะไม่ยอมตายที่นี่ แม่ทัพใหญ่แห่งแคว้นเฟิงโจวจะไม่มีวัน
ย่อยยับให้กับศัตรูเพียงคนเดียวเด็ดขาด ไม่ว่ามันจะเป็นใคร คนหรือว่าปีศาจก็ตามแต่
ปลุกความกล้าหาญตัวเองแล้วก็ฉวยโอกาสรุกกลับ แต่ชาบูหลั่นตาว่องไวมาก กระบวนท่า
ก็แข็งแกร่งดุเดือด ในที่สุดก็ปลดอาวุธในมือยินจนได้แล้วสวนกลับ ร่างเขาลอยหวือไปปะทะต้นไม้อีกครั้ง
คราวนี้ถึงกับกระอักเลือดสดๆออกมา อีกฝ่ายตามซ้ำเติมไม่รั้งรอ เขาหลบแทบไม่ทัน ได้แต่พึ่งต้นไม้
รอบข้างเป็นเกราะกำบัง แต่ชาบูหลั่นตาก็ล่อเขาออกมาจนได้ หมัดแกร่งพุ่งไปที่จุดอันตรายตรงศีรษะ
ยินเบิกตากว้างแต่หลบไม่ทันอีกแล้ว
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
6.3 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
6.3 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ