Chabulanta ตำนานรักเทพมังกร

6.6

เขียนโดย Xian_xi

วันที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2556 เวลา 15.34 น.

  13 ตอน
  20 วิจารณ์
  19.30K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2556 13.18 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

13) สายลมเปลี่ยนทิศ

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

         ลมหอบใบไม้แห้งปลิวกระจายท่ามกลางแนวไม้ร่วงโรยริมสองข้างทางเดิน   หินขัดปู

 

ทอดยาวสู่สถานที่วิเวก   จันทร์เต็มดวงงามเด่นทอแสงอร่ามบนเบื้องฟ้ารัตติกาล   ดวงไฟกลม

 

ลอยเลื่อนไปมาหลังม่านไม้   ออกสู่ทางโล่งเงาคนเคลื่อนตามหลังมาช้าๆ   ประคองกล่องไม้

 

ขนาดย่อมระวังทุกย่างก้าว   ในที่สุดก็มาถึงเนินเขากว้างใหญ่   แท่นบูชากลางแจ้งว้าเหว่

 

เดียวดาย   แรงลมพัดผ้าคลุมศีรษะเลื่อนหลุด

                         

 

                       “ คืนนี้ลมแรงนัก ”

         

          ราชาจวงหยูวางกล่องอย่างระมัดระวัง   เพียงไม่นานเสียงหัวเราะก็ก้องไปทั่วเนินเขา  

 

พระองค์เงยพระพักตร์   สะดุ้งตกพระทัยที่ร่างดั่งเปลวเพลิงห้อยขาในความมืด   ดวงตาอำพัน

 

วาวโชนน่าหวั่นกว่าที่เคยพบกัน

                         

                     “ ในที่สุดเจ้าก็มา ”

            

        พระองค์คุกพระชานุ(เข่า)   เปิดฝากล่อง   กลิ่นโลหิตโชยคาวกึก   กลั้นพระทัยยกออกมา

 

                 “ ข้าไม่เคยทำมาก่อน   ควรบูชาท่านอย่างไร ”

                        

                 “ ไม่ต้องทำอะไรเลย ” จอมปีศาจตอบ “ แค่ส่งเลือดถ้วยนั้นมาให้ข้าก็พอ ”

            

        ราชาจวงหยูส่งถ้วยโลหิตให้   อีกฝ่ายหัวเราะสมใจแล้วยกดื่มอย่างกระหาย   พระองค์

 

ทอดพระเนตรอาการนั้น   เบือนพระพักตร์ไปทางอื่นอย่างรู้สึกสะอิดสะเอียน

                         

                   “ เจ้าก็ดื่มด้วย ”

            

          พระองค์หันกลับ   ทอดพระเนตรโลหิตคาวติดก้นถ้วยแล้วอยากปฏิเสธ

                        

                    “ เจ้าจะบูชาข้า   ข้าดื่มแล้วเจ้าต้องดื่มด้วย ”

             

         พระองค์จำพระทัยรับถ้วยมาเสวย   โลหิตข้นคลั่กกลิ่นตลบภายในพระโอษฐ์จนอยากทรง

 

พระอาเจียน   แต่ท้ายที่สุดก็กลั้นพระทัยเสวยจนหมด

                         

                    “ ท่านจะช่วยข้าอย่างไรเพื่อเอาชนะเฟิงโจว ”

            

          จอมปีศาจแค่นหัวเราะเล็กน้อย “ ข้ามีกองทหารที่ยากจะพิชิต   ไม่รู้จักเหนื่อย   ไม่รู้จัก

 

ตาย   พวกเขามาอยู่ที่นี่แล้ว ”

            

          ราชาจวงหยูเหลียวรอบๆ   กิ่งก้านในความมืดแกว่งไกวคล้ายเงาคน   เสียงย่ำเท้าอื้ออึง

 

ก้องเทือกเขา   ร่างแดงก่ำโดดลงมายืนข้างพระองค์   บุรุษกลุ่มใหญ่โผล่พ้นชายป่า   ผู้มีรูปร่าง

 

สัดส่วนผิดมนุษย์   นัยน์ตาแดงเรืองแสงในที่มืด   ล้วนถืออาวุธใหญ่โตดาเข้ามายืนล้อมทั้งคู่  

 

แล้วต่างค้อมหัวเป็นเชิงเคารพ

                       

                       “ กองทัพปีศาจของข้า   ฮา ฮา ฮา ”

            

          ราชาจวงหยูประเมินด้วยสายพระเนตร   กำลังทหารปีศาจเหลือคณานับ   ยิ่งเป็นกองทัพ

 

ที่ฆ่าไม่ตาย   เฟิงโจวหรือจะพ้นเงื้อมพระหัตถ์   ถ้าจะส่งกองทัพนี้บุกตรงถึงเมืองหลวง   จับราชา

 

เฟิงโจวมาสำเร็จโทษและยึดครองแคว้นไปเลยก็ย่อมได้   เพียงเท่านี้เฟิงโจวก็จะมีสภาพ

 

ไม่ต่างจากซู่ซิน   ทรงพระดำริถึงสภาพเฟิงโจวเมื่อต้องเป็นฝ่ายโชคร้าย   แล้วสรวลออกมาลั่น

 

อย่างสุดสาแก่พระทัย

 

                       “ ทูลฝ่าบาท   เหล่าขุนนางมาพร้อมที่ท้องพระโรงแล้วพะย่ะค่ะ ”

           

          ราชาจวงหยูวางพู่กัน “ จะไปเดี๋ยวนี้ ”

            

          วันนี้คือจุดเริ่มต้น   พระองค์ทั้งปลาบปลื้มพระทัย   ตื่นเต้นระคนหวั่นเล็กน้อย   ไม่เคย

 

ทรงพระดำริว่าวันนี้จะมาถึงเร็วขนาดนี้   ทรงกระหยิ่มพระโอษฐ์

                       

                      “ วันนี้ฝ่าบาททรงสำราญเป็นพิเศษเลยนะพะย่ะค่ะ ” มหาดเล็กคนสนิททูลทัก

            

          พระองค์แย้มพระโอษฐ์ตอบครู่เดียวก็ก้มพระเศียร   แล้วพระวรกายก็โอนเอนจวนจะล้ม

                       

                    “ ฝ่าบาท! ” มหาดเล็กรวมผู้ติดตามถลาประคอง “ ทรงประชวรหรือพะย่ะค่ะ  

 

อ๊ะ!  ทำไมพระพักตร์ซีดเช่นนั้น ”

            

           พระพักตร์ราชาซีดเผือด   พระเสโท(เหงื่อ)เม็ดโตผุดเต็มไปหมด   ในพระอุระร้อน

 

ดังเพลิงสุมทุรนทุราย   พระวรกายกระตุกแรงขึ้นทุกที

                        

                       “ ฝ่าบาท!  ฝ่าบาท!  ไปตามหมอหลวงมาเร็ว! ”

                        

                       “ ไม่ต้อง ”

           

           พระสุรเสียงเย็นชาทำมหาดเล็กชะงักงัน   ยิ่งประหลาดใจที่พระวรกายหยุดสั่นตั้งแต่

 

เมื่อไรไม่รู้   ราชาจวงหยูทรงลุกเร็วเหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น

                       

                      “ ทรงหายแล้วหรือพะย่ะค่ะ? ” มหาดเล็กงงเต็มประดา

                       

                      “ รีบไป ” พระเนตรราชาจ้องตรงไปเบื้องหน้า   ไม่วอกแวก

 

                      “ เมื่อครู่นี้พระอาการแย่มาก   โปรดทรงงดประชุมแล้วให้หมอหลวงมาตรวจ

 

เถิดพะย่ะค่ะ ” เขาจะเข้ามาประคอง

                        

                      “ ไม่ต้อง! ” พระองค์ตวาดสะเทือนเลือนลั่น   พระเนตรตวัดมา   ลุกวาวและ

 

เกรี้ยวกราด   เขาผวาเฮือก  ตะลึงงัน “ ข้ารอวันนี้มานานแล้ว   จะไม่มีการงดประชุมทั้งนั้น  

 

รีบไป ”

               

         พระองค์เสด็จลิ่วไป   เหล่าผู้ติดตามมองหน้ากันแปลกๆ   พระองค์ไม่รอผู้ใด   พระวรกาย

 

ตั้งตรงแน่วมุ่งแต่เพียงเบื้องหน้า   ปากช่องพระนาสิก(จมูก)พ่นสายควันดำพลิ้วเวียนวน

 

          ฟังพระบัญชาจบ   ขุนนางทั้งท้องพระโรงก็ตื่นตัวพึมพำกัน

                        

                   “ ขอให้ทุกฝ่ายเตรียมตัวให้พร้อม ”

                        

                   “ น้อมรับพระบัญชา ” เหล่าขุนนางต่างค้อมหัวรับ

                        

                   “ ทูลฝ่าบาท   แล้วผู้ที่จะมาช่วยการศึกผู้นั้น... ”

                        

                   “ เขายังไม่พร้อมปรากฏตัวที่นี่ตอนนี้ ”  พระสุรเสียงเย็นชาเช่นเดียวกับ

 

สีพระพักตร์   เฉิงซู่สังเกตพระองค์ด้วยความรู้สึกแปลกไป   ปกติยามทรงทำบางอย่างที่สุ่มเสี่ยง

 

มักมีสีพระพักตร์และแววพระเนตรมุ่งมั่น   หาได้เย็นชาไร้ความรู้สึกเช่นนี้ไม่   แต่อาจเพราะเป็น

 

งานใหญ่เลยทรงเครียดไปจนเป็นเช่นนี้ก็ได้

                        

                    “ ใครเป็นผู้ดูแลด้านการเงิน ”

                        

                    “ หา?  กระหม่อมพะย่ะค่ะ ” เสนาบดีฝ่ายคลังยกแขนด้วยสีหน้างุนงง

                        

                    “ เก็บเงินจากประชาชนเพิ่มอีกสองเท่า   แล้วเอาเงินที่ได้มารวมกับของเก่า

 

ที่เคยเก็บ   เอามาเตรียมการรบทั้งหมด ”

            

          เกิดเสียงคัดค้านเอ็ดอึงขึ้นทันใด

                       

                     “ ทูลฝ่าบาท   เก็บภาษีเพิ่มขนาดนั้นประชาชนจะเดือดร้อนนะพะย่ะค่ะ ”

                       

                     “ ทูลฝ่าบาท   ทรงเอาเงินไปลงการสู้รบหมด   แล้วการพัฒนาด้านอื่น

 

ของซู่ซินจะไปเอาเงินมาจากที่ไหนพะย่ะค่ะ ”

            

          ราชาจวงหยูทรงสดับเสียงค้านความแล้วความเล่า   แววพระเนตรฉายความรำคาญเต็มที

                        

                    “ หุบปากกันเสียที ” พระองค์ตวาดลั่นความเดียว   เสียงอื้ออึงเงียบทันใด

 

อย่างรู้สึกคาดไม่ถึง “ ข้าไม่สนใจทั้งนั้น   นี่คือคำสั่ง   ถ้าพวกเจ้าทำตามไม่ได้ก็ลาออกไปเสีย! ”

            

         พระองค์ทรงลุกแล้วเสด็จโฉบออกไปจากท้องพระโรง   ไม่ไยดีต่อเสียงเหล่าขุนนางอีก  

 

เสด็จกลับห้องทรงงาน   ประทับนั่ง   สายควันดำลอยออกจากพระนาสิก   ล่องเลี้ยวคล้ายงู

 

หายไปทางพระบัญชร(หน้าต่าง)   พระเนตรกระตุกผึงรู้สึกองค์   ทอดพระเนตรรอบๆแล้วทรง

 

นึกได้ว่ามีประชุม

                         

                    “ มีใครอยู่ข้างนอกบ้าง ”

           

         มหาดเล็กหน้าพระตำหนักขานตอบ   แล้วบานพระทวาร(ประตู)ก็แง้มออก   เขาพาตัวเอง

 

เข้ามาถวายบังคม

                        

                   “ ตอนนี้ที่ท้องพระโรง   พวกขุนนางมาพร้อมแล้วใช่ไหม ”

                       

                   “ หา? ” เขาทำหน้างงเต็มประดา “ ทูลฝ่าบาท   เหล่าขุนนางต่างแยกย้ายกลับ

 

กันหมดแล้วพะย่ะค่ะ ”

                       

                   “ กลับหรือ?  กลับทำไมกันก็มีประชุมตอนเช้านี่ ”

           

      มหาดเล็กทำหน้าเหลอหลา “ ก็เพิ่งทรงประชุมเสร็จ  แล้วเสด็จกลับมาเมื่อครู่นี้เองพะย่ะค่ะ ”

 

      พระพักตร์ราชาฉายความงุนงงไม่แพ้กัน   ยกพระหัตถ์กุมพระเศียร “ แต่ทำไมข้าจำไม่ได้

 

สักอย่าง   ประชุมหรือ   ประชุมว่าอะไรก็จำไม่ได้   จำได้แค่มีประชุมเท่านั้น ”

                       

                “ ทูลฝ่าบาท   คงเป็นเพราะช่วงนี้ทรงงานหนักไปกระมังพะย่ะค่ะ ”

                       

                “ ทำงานหนักไปหรือ...ก็อาจใช่ ” พระองค์ทรงนึกสาเหตุที่ดีกว่านี้ไม่ออก   ลูบ

 

พระนลาฏ(หน้าผาก)ไปมาแล้วเลื่อนลงคลำๆที่พระศอ(คอ)

                         

                “ ทรงเป็นอะไรหรือพะย่ะค่ะ ”

                        

                “ ไม่รู้สิ   ช่วงนี้รู้สึกในคอมีกลิ่นคาวเลือด ”

                        

                “ สีพระพักตร์ดูซีดเซียว   ทรงให้กระหม่อมตามหมอหลวงมาดีไหมพะย่ะค่ะ ”

                        

                “ ไม่ต้องหรอก   นอนพักสักหน่อยน่าจะดีขึ้น ”

                        

                “ พะย่ะค่ะ ”

              

      ราชาจวงหยูยันองค์ขึ้น   บ่ายพักตร์ไปทางห้องบรรทม   มหาดเล็กกุลีกุจอตาม   รอเสด็จขึ้น

 

เตียงบรรทมก็คลี่คลุม   แล้วถอยมาถวายบังคมลา   คล้อยหลังเขาไม่นาน   ราชาหลับพระเนตร  

 

หายพระทัยเป็นจังหวะและสงบ   ทั่วห้องตกอยู่ในความเงียบสงัด   เหนือเตียงบรรทมมีสายควัน

 

ดำลอยเวียนวน

             

         ดวงอาทิตย์เคลื่อนเกือบสูงสุดของเบื้องฟ้าตามเวลา   สายควันดำในห้องบรรทมม้วนโผ

 

เข้าช่องพระนาสิกราชา   พระเนตรลืมผึง   แล้วยันพระวรกายขึ้น   ก่อนทรงสรวลพระสุรเสียง

 

แหบทุ้มอย่างจอมปีศาจ

                                        

             

          เสนาบดีเฒ่าไม่อาจตัดใจกลับบ้านไปพักผ่อน   ได้แต่เดินวนไปมาภายในรั้ววังหลวง

 

ด้วยวิตกกังวล   อะไรที่ทำให้ราชาจวงหยูผิดวิสัยไปจากเดิม   หลังเสด็จออกไปอย่างงุ่นง่าน

 

เมื่อตอนสาย   เขาตามไปขอเข้าเฝ้าถึงพระตำหนักด้วยสงสัยหลายประการ   หากแต่พระองค์

 

เข้าบรรทมไปแล้ว   จวบยามนี้น่าจะตื่นบรรทม   เขาจึงบ่ายหน้าไปทางพระตำหนัก

           

          บุรุษคนหนึ่งสวนทางเขาไป   ด้วยอะไรบางอย่างทำให้เขาเหลียวตามผู้นั้น   เขาแต่งกาย

 

ด้วยเสื้อผ้าสีเรียบไม่สะดุดตา   ทว่ารูปร่างด้านหลังคุ้นเคยยิ่ง   เขามองพลางนึกพลาง   พลันเบิก

 

ตาโต

                      

                    “ ฝ่าบาท ”

           

          เพื่อความแน่ใจจึงลอบติดตามไป   ถึงหัวมุมเลี้ยวเขาหันใบหน้าด้านข้างมา   เป็นราชา

 

จวงหยูจริงๆ   เสนาบดีเฒ่าตื่นตะลึงระคนแปลกใจ   เหตุใดจึงเสด็จพระองค์เดียว   ดูจาก

 

ฉลองพระองค์คงจะปลอมองค์ออกนอกวัง   แสดงว่าตั้งพระทัยจะลอบเสด็จไม่ให้ผู้ใดล่วงรู้  

 

บางทีน่าจะไปพบกับผู้ช่วยการศึก   เช่นนั้นถ้าลองแอบตามเสด็จไปก็อาจจะได้เห็นเขา

           

         เฉิงซู่ลอบตามไปเงียบๆพ้นประตูวังอย่างง่ายดาย   โดยราชาจวงหยูไม่มีท่าทีระแคะระคาย

 

สักนิด   พระองค์เสด็จไปในสถานที่ที่เขาคาดไม่ถึงคือตลาด

           

         ถึงตลาดแล้วก็ไม่ทรงวอกแวกกับร้านค้าที่เรียงตลอดสองข้าง   กลับดิ่งแทรกผู้คนไปที่

 

ร้านขายเนื้อ   ตรัสกับคนขายว่าอะไรเฉิงซู่ไม่ได้ยิน   พอขยับตัวจะเข้าใกล้มากกว่านี้ก็ถูกชาวบ้าน

 

เดินมาล้อม   เครื่องแบบเสนาบดีดึงดูดความตื่นเต้นระคนสงสัย   เขาไม่รู้จะทำอย่างไร   จะไป

 

ก็ไปไม่ได้   ทั้งกลัวเสียงคนซุบซิบคุยกันจะทำรู้สึกพระองค์   มองไปที่พระองค์  เห็นพระราชทาน

 

เงินถุงใหญ่ให้   พ่อค้าท่าทีสุดปรีดาเรียกลูกน้องขนสินค้าขึ้นเกวียนหลายเล่ม   แล้วเข็นตามหลัง

 

พระองค์ไป

             

           ยิ่งเดินทางไป   ดูเหมือนยิ่งเดินเข้าป่าลึกทุกทีจนพ่อค้าสีหน้าไม่สู้ดี   แต่พอออกมา

 

สู่เนินเขาโล่ง   ลูกค้าชั้นดีก็ให้เขาวางสินค้าไว้แล้วเข็นเกวียนเปล่ากลับไป

             

          ฝ่ายเฉิงซู่ฝ่ากลุ่มชาวบ้านมาได้ก็แอบตามมาจนทัน   ยืนซ่อนตัวอยู่แถวแนวป่า   ราชา

 

จวงหยูยืนรีรอครู่เดียว   บรรดาชายร่างใหญ่   หน้าตาน่ากลัวก็ทยอยออกมา

 

                    “ ข้าเอามาให้แล้ว ”

               

          พวกนั้นฉีกยิ้มเห็นแนวเขี้ยวเหลืองน่าขยะแขยง   แล้วพุ่งกลุ้มรุมเนื้อกองใหญ่   เครื่องใน

 

ถูกโยนต่อๆกัน   สองคนงับลำไส้ไว้คนละด้านแล้วออกแรงดึงจนขาดสะบั้น   เสนาบดีเฒ่า

 

ตื่นตระหนก   ระลึกถึงคำร่ำลือแต่โบราณ   ลักษณะคนพวกนี้เป็นปีศาจ   ราชาจวงหยูทรงเชื่อถือ

 

สวรรค์ยิ่ง   ไยกลับมาเลี้ยงดูปีศาจ   หรืออย่างที่เคยตรัสไว้   นี่คือผู้ช่วยการศึกที่ยังไม่เปิดเผยตัว

            

         ราชาจวงหยูทอดพระเนตรภาพอุจาดอย่างไม่รู้สึกรู้สาอะไร   ซ้ำยังมีสีพระพักตร์ที่บ่ง

 

ความพอพระทัย   ทั้งๆที่กลิ่นคาวคลุ้งตลบทั่วบริเวณ

            

        เฉิงซู่ส่ายหัวถี่ๆไม่อยากเชื่อ   กระทั่งพวกปีศาจอิ่มหนำสำราญแล้วก็คุกเข่าลงคำนับ

                       

                 “ วันนี้ข้าเอามาให้ได้แค่นี้   เพราะเดี๋ยวจะสะดุดตาเกินไป   หลังจากนี้ถ้าหิวก็ไป

 

จับสัตว์หรือคนกินแล้วกัน ”

                       

                 “ น่ากลัวเหลือเกิน ” เฉิงซู่เปรยกับตน   พวกปีศาจมีหรือจะคิดหวังดี   ไม่แน่อาจ

 

หลอกลวงพระองค์จนเป็นอันตราย   เขาจะต้องทูลเตือนให้รู้พระองค์   แล้วถอยออกมาจาก

 

พวกนั้น

             

          เขารอจนราชาจวงหยูเสด็จกลับ   ลอบตามกระทั่งพ้นเนินเขามาระยะหนึ่ง   ระหว่าง

 

อยู่บนทางเดินในป่า   เขาก็รีบมาขวางทางเสด็จไว้

                         

                     “ เจ้า? ” จอมปีศาจนึกฉงนว่าเป็นใคร

                         

                     “ ฝ่าบาททรงทำอะไรพะย่ะค่ะ   พวกนั้นเป็นปีศาจ ”

           

          ดวงตาคมกล้าถลึงจ้อง “ ข้าจะทำอะไรก็เรื่องของข้า   เจ้าเป็นแค่ข้ารับใช้   อย่าบังอาจยุ่ง ”

                        

                   “ กระหม่อมจำต้องบังอาจทูลเตือน   โปรดทรงถอยพระองค์มาจากพวกนั้นเถิด  

 

พวกมันคงมิได้หวังดีต่อพระองค์แน่   อีกทั้งทรงทำเช่นนี้   สวรรค์อาจกริ้วจนลงโทษซู่ซินก็ได้ ”

 

          คำกล่าวนั้นจุดไฟเกรี้ยวกราดในดวงตาเขา   ไม่ทันทำสิ่งใดก็มีบางอย่างดึงความสนใจ

 

ไปทิศทางหนึ่ง   จอมปีศาจหมุนตัวลิ่วไปทางนั้น   แววตาวะวาบแสงอำพัน   เสนาบดีเฒ่าตกใจ

 

รีบตาม   เขาไวมาก   เสนาบดีเร่งฝีเท้าจนหอบหนักแทบลมจับ   ก็เห็นเพียงหลังไวๆแทบคลาด

 

สายตา

           

          ราชาจวงหยูเดินดุ่มออกพ้นชายป่าพบทุ่งนาทอดยาวกว้างไกล   ข้างๆมีกระท่อมหลังโดด

 

ตั้งอยู่   หญิงชรากับเด็กหนุ่มง่วนประกอบพิธีที่ลานดินหน้าบ้าน   จุดเครื่องหอมกลิ่นอบอวล  

 

สรรพอาหารอย่างละนิดหน่อยบนจานดินเผาขนาดย่อมเรียงรายบนโต๊ะเล็ก   พรั่งพร้อมบริบูรณ์

 

ตามฐานะ   ทั้งคู่นิ่งสงบกล่าวคำอธิษฐาน   ไม่ทันตั้งตัวก็มีมือฉวยรูปเคารพขว้างกับพื้น   เสียง

 

กระแทกสนั่นแสบหู   เศษดินเผากระจายท่ามกลางสายตาตกตะลึงของพวกเขา

           

         สีหน้าจอมปีศาจถมึงทึงอย่างโกรธที่สุด   เช่นเดียวกับเจ้าของบ้านที่ประคองกันลุก

 

ด้วยสีหน้าไม่พอใจ   พวกเขาเห็นแต่ร่างราชาจวงหยู   แต่ไม่รู้ว่าเป็นถึงราชา

                       

                  “ เจ้าบ้านี่   เป็นบ้าอะไรถึงมาขว้างรูปเคารพเรา ” เด็กหนุ่มตะโกนลั่น “ คุกเข่า

 

ขอขมาซะ   ก่อนสวรรค์จะลงโทษเจ้า ”

           

         ราชาจวงหยูตอบรับด้วยการกวาดเครื่องสังเวยบนโต๊ะลงพื้นระเนระนาด   เด็กหนุ่มโกรธจัด

 

ปรี่เข้ามาจะเอาเรื่อง   ราชาจวงหยูตวัดดาบทั้งฝัก   เขาหน้าหงายตึง   หญิงชรากรีดร้อง  

 

ประคองเขาเห็นเลือดกบปาก   โกรธแค้นปราดเข้ามาทุบตี   ราชาจวงหยูฟาดดาบครั้งแล้ว

 

ครั้งเล่า   เสียงร้องโหยหวนกลบเสียงตีหนักๆ   เฉิงซู่พุ่งเข้ารับอารมณ์ด้วยมือทั้งสอง

                        

                     “ ฝ่าบาทนี่ประชาชนของพระองค์นะพะย่ะค่ะ! ”

           

         ราชาจวงหยูคำรามบ้าเลือด   ดึงดาบพ้นการเกาะกุมแล้วเงื้อฟาดผู้ขัดขวางด้วย   ใบหน้า

 

เฉิงซู่บิดเบี้ยวรวดร้าว   เจ็บปวดและผิดหวัง   พยายามยื้อแย่งดาบให้พ้นมือราชาคุ้มคลั่ง

           

         จิตเปี่ยมภักดีปลุกพระวิญญาณฟื้นจากการถูกสะกด   แข็งขืนมิให้พระวรกายทำร้าย

 

เสนาบดีตามควบคุมของปีศาจ   แม้เขาจะดื้อรั้นอย่างไร   แต่ในที่สุดพระหัตถ์ก็ลดดาบลง   แล้ว

 

พระวิญญาณก็อยู่ใต้การครอบงำอีกครั้ง   จอมปีศาจสับสนระคนตกใจจึงหมุนร่างไปพ้นจากตรงนั้น

             

          เสียงก้าวฉับๆรบกวนความเงียบสงบของป่า   แสนเจ็บใจและโกรธเกรี้ยว   จอมปีศาจ

 

ไม่เข้าใจว่าทำไมวิญญาณเจ้าแคว้นถึงต่อต้านเขาได้   แล้วนึกขึ้นได้ว่าคนทั้งคู่น่าจะมีสัมพันธ์ที่ดี

 

ต่อกันมาเนิ่นนาน   จนไมตรีผูกกันแนบแน่นไม่คิดร้ายอีกฝ่าย   แต่เขายังต้องการใช้ร่างเจ้าแคว้น

 

ทำอีกหลายสิ่งหลังจากนี้  ล้วนแต่คนผู้นั้นคงต้องขัดขวางแน่  ถ้าปล่อยไว้ต่อไปเช่นนี้  ไม่แคล้ว

 

ต้องเป็นอุปสรรคในอนาคต

            

         เฉิงซู่เดินทางกลับด้วยหัวใจห่อเหี่ยว   ใบหน้าหย่อนคล้อยตามวัยส่อเค้ากลุ้มใจ   เดินไป

 

ไม่นานก็พบราชาจวงหยูยืนขวางอยู่

                        

                  “ ฝ่าบาท... ” เสนาบดีเฒ่าประหลาดใจ

             

          ดวงตาเจ้าแคว้นฉายแววมาดร้าย   คล้ายหมาป่าผู้หิวโหยบังเอิญมาพบเหยื่ออันโอชะ  

 

ขยับมือคราวเดียวแสงเงินวาบ   ร่างเฉิงซู่สะดุ้งตะลึงค่อยๆล้มลงตะแคงกับพื้น   มือตกไปข้างตัว  

 

โลหิตกระเซ็นเป็นทาง   เจ้าแคว้นหันใบดาบอาบโลหิตใกล้ใบหน้า   ตวัดลิ้นลิ้มรสโลหิตอุ่น

             

                  อา...โลหิตแสนโอชา

 

             

        วันต่อมา   ข่าวเสนาบดีเฉิงซู่หายตัวไปแพร่สะพัด   นำความตกใจปนสงสัยสู่เหล่าขุนนาง  

 

หากแต่ราชาจวงหยูยังมีท่าทีปกติไม่ทุกข์ร้อนใดๆ   อีกทั้งยังสั่งโยกย้ายตำแหน่งแต่งตั้ง

 

มากมาย   บรรดาผู้ได้ตำแหน่งใหม่เดินแถวเข้ารับพระบัญชา   ครั้นเหล่าขุนนางเอ่ยค้านก็ต้อง

 

ตกใจกับดวงตาเรือง   ลึกล้ำ  ดั่งต้องมนตร์

 

 

          มือบางละงานที่ทำอยู่   แล้วถอยร่างมุ่งไปทางหน้าบ้าน   เจ้าของใบหน้าคมคายยิ้มทัก  

 

นางยิ้มน้อยๆแล้วค้อมหัวให้

                          

                   “ ท่านมีอะไรหรือคะ ” ฟู่หลานเปิดประตู   ยินพาตัวเองเข้ามายืนภายในรั้ว

                          

                   “ เรื่องด่วน ” เขาบอก “ เจ้าไม่ต้องเชิญข้าเข้าไปด้านใน   ข้าบอกเจ้าเสร็จ

 

ก็จะกลับเลย   เพราะต้องรีบไปเตรียมการ ”

                          

                   “ เตรียมการ? ” นางทำหน้างง

                          

                   “ เมืองหลวงแจ้งข่าวมา   เกิดเรื่องวุ่นวายในแคว้นซู่ซิน   อาจเกิดศึกเร็วๆนี้  

 

ข้าต้องเลื่อนกำหนดกลับ   รวมถึงงานแต่งของเรา   จำต้องกระชับจัดเร็วขึ้น ”

              

           นางทำท่าตื่นๆ “ เมื่อไรคะ ”

                         

                    “ วันพรุ่งนี้ ”

             

         นางใจหายวูบ   สัมผัสความชื้นผิดปกติที่ขอบตา

                         

                  “ เราจะแต่งงานกัน   จากนั้นข้าจะย้ายครอบครัวรวมพ่อแม่เจ้าไปอยู่เมืองหลวง  

 

เพราะที่นี่อยู่ใกล้ชายแดนติดซู่ซิน   ยามข้าจากไปทำศึกจะได้ไม่พะวงคนข้างหลัง   ตอนนี้

 

ท่านพ่อข้ากำลังวุ่นวายช่วยเตรียมงานแต่ง   ข้าเองก็ต้องกลับไปแล้ว   เตรียมตัวไว้นะ   พรุ่งนี้

 

ข้าจะส่งเกี้ยวมารับเจ้า   ส่วนกำหนดเวลาที่แน่นอนข้าจะส่งคนมาบอกเจ้าอีกที ”

             

        นางค้อมหัวรับอย่างว่าง่าย   เขายิ้มสดใสให้ครู่เดียวก็หมุนร่างขึ้นม้าออกไป   คล้อยหลัง

 

เขา   ใบหน้างามแปรขมขื่น   หยาดน้ำไหลอาบแก้มนวล

 

            

        ดวงจันทร์ยังทอแสงสุกสว่างแม้จะเว้าแหว่งไปบ้าง   เสียงจิ้งหรีดตามสุมพุ่มไม้ขับร้อง

 

ระงม   ฟู่หลานออกมาอยู่ลานหน้าบ้าน   ประกอบพิธีสื่อถึงชาบูหลั่นตาอย่างที่เคยทำ

 

                 “ ข้ารู้ว่านายท่านยังรับรู้ความเป็นอยู่ของข้า   แล้วเหตุใดท่านยังไม่ปรากฏตัวอีก

 

ล่ะคะ   ท่านให้อภัยข้าแล้วไม่ใช่หรือ   ถึงได้ตามคุ้มครองข้า...ท่านยินมีอำนาจมาก   ข้าไม่อาจ

 

กล้าขัดใจเขาแม้แต่เรื่องเดียว   พรุ่งนี้ข้าต้องแต่งงานกับเขา   ทั้งที่ไม่เต็มใจเลยแม้แต่น้อย  

 

แล้วเหตุใดท่านยังนิ่งเฉย   ทั้งที่เคยคุ้มครองช่วยเหลือข้าตลอดมา   ปล่อยให้ข้าทนทรมาน  

 

ไร้ทางเลือก   ไร้ทางออก ”

            

         ทุกวาจาล่องลอยตามสายลม   ลดเลี้ยวขึ้นเขาหายไปในโพรงถ้ำ   เทพมังกรรับรู้

                          

                  “ เจ้าไม่เต็มใจหรือ... ” เขาพึมพำกับตน “ ข้าอยากช่วย...แต่ออกไปไม่ได้ ”

            

         ร่างโปร่งลุกยืน   ก้าวไปทางปากถ้ำ   ม่านเพลิงปรากฏขวาง

            

                 สาวน้อยร่าเริงเหมือนผีเสื้อตัวน้อยโผบิน   อารีเทพมังกรผู้อาภัพ   ยอมผูกไมตรี  

 

ไม่รังเกียจหวาดกลัว   ทำหัวใจที่แห้งแล้งกลับชุ่มฉ่ำเบิกบาน

                         

                 “ ข้าจะไม่ปล่อยเจ้าทนทรมาน   แม้แลกด้วยชีวิตก็ยอม ”

             

         เขาแตะม่านมนตร์แล้วโถมร่างเข้าไป   แสงส้มจ้าวาบ   สะเก็ดเพลิงระอุปะทุไม่ขาดระยะ  

 

เสียงเทพมังกรกรีดร้องสะท้านยาว

           

              

         แขกเหรื่อจากทุกสารทิศทยอยผ่านประตูใหญ่ของคฤหาสน์ตระกูลเวย   พ่อบ้านโค้งทัก  

 

แล้ววานคนรับใช้อื่นพาพวกเขาไป   สู่สวนกว้างใหญ่ที่ตั้งปะรำพิธี   โต๊ะไม้อย่างดีวางเครื่องบูชา

 

พรั่งพร้อมหน้าเชิงเทียนทองเหลืองส่องประกาย   ข้างโต๊ะนั้นเป็นโต๊ะขนาดย่อมกว่า   วางชุด

 

ถ้วยเหล้าเคลือบรักต้องแสงเงางามเยื้องกาเคลือบหนึ่งใบ   ที่หูกาประดับเถาวัลย์ดอกไม้สีสดสวย

              

         ที่มุมศาลา   ใต้เท้าเวยยืนรับคำแสดงความยินดีไม่หยุดด้วยสีหน้าชื่นมื่น   ขณะที่บรรดา

 

แขกยืนรวมกลุ่มพูดคุยตามจุดต่างๆ   ประตูห้องหนึ่งถูกเปิดกว้างโดยที่ยังไม่มีใครทันใส่ใจ  

 

ยินก้าวออกมา   เรือนผมดำยาวลูบน้ำมันหอมฟุ้งรวบขึ้นเหนือกระหม่อมมุ่นเป็นมวย   ปักปิ่นทอง

 

อันใหญ่ทอประกายแวววาวโดดเด่นไม่แพ้เสื้อคลุมนอกแดงสด   เล่นลวดลายด้วยด้ายทองกับไหม

 

หลากสีละเอียดงดงาม   เพียงเขาย่างมาตามพื้นหญ้าก็ดึงความสนใจทุกคน   เสียงพูดคุยค่อยๆ

 

แผ่วจนเงียบกริบ   ใต้เท้าเวยมองตอบลูกชายแล้วส่งยิ้ม

                        

                    “ พ่อรู้   เจ้ารอวันนี้ ” เขาไล้ฝ่ามือผ่านบ่าซ้ายของยิน   แล้วตบเบาๆที่หัวไหล่

                        

                    “ แล้วเวยฮูหยินล่ะขอรับ ” แขกสำคัญคนหนึ่งเอ่ยสุภาพ

                        

                    “ นางไม่ค่อยสบาย   คงไม่ได้มาร่วมงานวันนี้ ”

             

        พูดจบใต้เท้าเวยหุบยิ้ม   สบตากับยิน   ต่างรู้กันว่าความจริงเป็นอย่างไร

                          

               “ นี่ก็จวนเริ่มพิธีแล้ว  เจ้าสาวเจ้ายังแต่งตัวไม่เสร็จอีกหรือ  ไปตามนางหน่อยเถอะ ”

             

        ยินค้อมหัวรับ   แล้วจะบ่ายหน้าไปทางอาคาร   แต่แล้วชะงัก

             

        ดวงหน้างามปรากฏผ่านช่องประตู   ก่อนเคลื่อนร่างบอบบางออกมา   เสื้อคลุมสีสดยาว

 

กรุยกราย   เส้นผมดำสลวยถูกชโลมน้ำมันหอมแล้วเกล้าเก็บชายหมด   ทั้งม้วนบิดตบให้พอง

 

เป็นทรงวิจิตรวิไล   ปักปิ่นหยกแวววาวและปิ่นทองคำพริ้งพราย   ผิวหน้านวลเด่น   แต่งคิ้ว

 

และริมฝีปากดั่งบุปผาบานแฉล้ม

           

         แขกเหรื่อทั้งงานนิ่งตะลึงความงาม   ยินยืนชื่นชมเคลิ้มไปครู่ใหญ่   แล้วรีบไปรับนาง

 

ด้วยความตื่นเต้น   สุ่ยชางกับไห่เซินยิ้มชื่นบาน   ช่วยรวบชายเสื้อคลุมลูกคนละด้าน   ตามด้วย

 

เหล่าสาวใช้ออกมาเป็นขบวน   ทว่าไม่มีรอยยิ้มสักนิดบนใบหน้างามนั้น   ตราบจนเจ้าบ่าวมา

 

หยุดยิ้มเบื้องหน้า   นางจึงยิ้มบางๆตอบ

                        

                   “ ขอเชิญเจ้าบ่าวและเจ้าสาวมาที่ปะรำพิธี   เพื่อบูชาฟ้าดิน ” เสียงประกาศอันดัง

 

จากผู้ดำเนินพิธี   ยินและฟู่หลานเดินคู่กันไปถึงจุดหมาย   สุ่ยชางกับไห่เซินปล่อยชายผ้าเบาๆ   

 

แล้วถอยไปรวมกับใต้เท้าเวยข้างพิธี   คนจุดเครื่องหอมกลิ่นอบอวล   คู่บ่าวสาวยอบกายลง   ยิน

 

รับกระบวยเครื่องหอมมาสักการะ   ครู่หนึ่งส่งให้ฟู่หลาน

                               

                  “ ขอเชิญชุมนุมเทพเจ้า   โปรดรับเครื่องสังเวยเหล่านี้  และเป็นสักขีพยานให้แก่

 

การแต่งงานครั้งนี้   โปรดบันดาลความสุขให้แก่คู่บ่าวสาว ”

              

         ดวงตากวางจับจ้องแต่พื้น   สีหน้าขื่นขม

                          

                 “ เชิญเจ้าบ่าวและเจ้าสาวคำนับฟ้าดิน ” คู่บ่าวสาวคุกเข่าคำนับต่อหน้าโต๊ะสักการะ

                          

                 “ เชิญเจ้าบ่าวและเจ้าสาวคำนับบิดามารดา ” ทั้งคู่ลุกเดินไปหยุดหน้าเหล่าบิดา

 

มารดาตน  แล้วคุกเข่าคำนับ

                          

                 “ เชิญเจ้าบ่าวและเจ้าสาวคำนับซึ่งกันและกัน ” ทั้งคู่ลุกขึ้น   โค้งคำนับให้กัน  

 

โดยเจ้าสาวย่อกาย   ค้อมให้ศีรษะต่ำกว่าเจ้าบ่าว   ผู้ช่วยในพิธียกถาดไม้วางถ้วยเหล้าเดียว

 

เข้ามายืนด้านหน้าทั้งคู่   ยินหันไปทางฟู่หลาน

                         

                 “ พิธีสุดท้ายแล้ว   พ้นจากนี้เจ้าจะเป็นภรรยาของข้า ”

           

         นางกลอกตาไปมาลังเลไม่เต็มใจ   แต่เขาหาเห็นอาการนั้นไม่   เพราะหันไปรับถ้วยเหล้า

 

มาจิบเพียงครึ่งเดียวแล้วส่งกลับ   คนยกถาดเอียงมาทางนาง   นางหยุดนิ่ง   จ้องถ้วยนั้น  

 

สายตายินดูเร่งเร้า   นางตัดใจรับถ้วยเหล้ามาจรดขอบที่เรียวปาก

            

         เสียงฝีเท้ากระทืบหนักสู่ทางพิธี   สะเทือนเลือนลั่นจนนางผวาถอยถ้วยออกจากปาก  

 

ร่างคุ้นเคยหยุดยืนจังก้าท่ามกลางความแตกตื่นของผู้ร่วมงาน   แวบแรกที่เปลี่ยนสีหน้าหมอง

 

ให้สดชื่นเปี่ยมความหวัง   และจุดไฟโกรธเกรี้ยวในดวงตาแม่ทัพยิน

                          

                   “ ข้านึกแล้วว่าเจ้าต้องมา ” เขาตะโกนลั่น   กระชากเสื้อนอกทีเดียว   ชายผ้า

 

สลัดพรึ่บ   ทิ้งตัวลงก็ปรากฏดาบในมือ   ฟู่หลานมองตื่นตะลึง   ดวงตาสีชาจับจ้องเพียงนาง   

 

พุ่งไปไม่รั้งรอ   แม่ทัพยินโดดขวางไวไม่แพ้กัน   ฟันคมดาบเต็มเหนี่ยว   เทพมังกรยกแขนป้อง   

คมดาบเสียดผิวเนื้อเห็นประกายไฟพวยพุ่ง   อีกฝ่ายเบิกตาโต   ถอนดาบตนออก   ร่างโปร่ง

 

ลดแขน   ไร้ความเสียหายแม้สักนิด

            

         แม่ทัพยินฉงนระคนหวั่นที่ผิวศัตรูต้านทานได้แม้ดาบเหล็ก   ชาบูหลั่นตาขยับเข้าใกล้  

 

ผายมือไปทางฟู่หลาน   แต่แม่ทัพยินฉวยมือนางแล้วดันนางส่งต่อให้พวกตนอย่างว่องไว  

 

พลันเกิดเสียงอึกทึกก้องขึ้นมุมหนึ่ง   จี๋โป้นำกำลังทหารบุกเข้ามาหมายฟาดฟัน   เทพมังกร

 

หันไปดูแล้ววาดมือรอบเดียว   ก่อลมพายุหมุนคว้าง   ดันฝุ่นคลุ้งตลบกลืนร่างพวกเขา

 

จากสายตา   แขกวิ่งวุ่นชนกันล้ม   ไม่รู้ทิศทาง   แม่ทัพยินสำลักฝุ่นไอโขลก   ยกมือป้องลม  

 

พยายามเร่งคลำทางด้วยกลัวชาบูหลั่นตาจะพานางไป   กระทั่งพบนางยืนสับสนทิศทางอยู่  

 

ไม่ไกลจากนางปรากฏร่างชาบูหลั่นตากำลังใกล้เข้ามา   แม่ทัพยินรีบเข้าฉวยมือนาง   ทว่านาง

 

มองเขาด้วยสายตาที่แปลกไป   เขาชะงักงัน   โดยไม่คาดคิด   นางสลัดมือพ้นการเกาะกุม

 

แล้วถลาร่างออกไป   ชายผ้ารุ่มร่ามไม่อาจหยุดยั้งความเคลื่อนไหว   แม้แรงลมซัดเส้นผมตกลง

 

ปรกใบหน้า   ก็ไม่อาจให้นางละสายตาจากดวงตาเหยี่ยว   เทพมังกรรับร่างบางที่โถมเข้ามา  

 

แล้วต่างเหลียวไปทางแม่ทัพยิน

             

         ฝ่ายนั้นยืนตะลึง   ดวงตาที่เคยกร้าวแกร่งแปรสั่นไหว   ทั้งเสียใจและไม่เข้าใจ   ดวงตา

 

กวางสบตอบรู้สึกผิด   เขาเดินโซเซจะเข้ามา   ชาบูหลั่นตาสาดพลังสกัด   ร่างที่โอนเอนอยู่แล้ว

 

ก็เสียหลักล้มคว่ำ   เขาฝืนเงยหน้า   พยายามยื่นแขนจะไขว่คว้า   ชาบูหลั่นตาจับมือนางจูงไป

 

อย่างเร็ว   เสียงความวุ่นวายและร่างแม่ทัพยินค่อยๆเลือนหายไปกับม่านฝุ่น

            

         เทพมังกรจูงนางสาวเท้าเร็วๆไปตามเส้นทางสักพัก   ก็ได้ยินเสียงหอบหายใจขาดช่วง

                          

                  “ เจ้าไม่ไหวแล้ว   แต่อีกเดี๋ยวพวกนั้นคงส่งคนตามล่าเรา...หลับตานะและอย่า

 

ปล่อยมือจากข้า   ข้าจะพาเจ้าไปจากที่นี่ ”

            

          ใบหน้าอ่อนหวานพยักรับ   เขาเพิ่งสังเกตชุดเจ้าสาวของนาง

 

                   “ ชุดเจ้ารุ่มร่ามเกินไป   ถอดเสื้อคลุมนอกเถอะ ”

                

          นางจำปลดเสื้อคลุมตนทิ้ง   แต่ไม่เป็นไรเพราะชุดนางมีเสื้อคลุมสองชั้น   เขากระชับมือ

 

ตนกับนาง   นางหลับตา   ไม่นานได้ยินเสียงลมหวีดหวิวรอบร่าง   แสงสีรุ้งแผ่ขยายคลุมสองร่าง

 

จนมิด   เมื่อจางลงทั้งคู่ก็หายไป   เหลือไว้แต่ใบไม้ร่วงปลิวโปรย

               

         จวบจนรู้สึกใต้เท้าแตะพื้นดินและเขาอนุญาตให้ลืมตา   นางจึงเปิดดวงตา   พบกับภาพ

 

ผืนป่าร่วงโรย

                            

                   “ ที่นี่? ”

                            

                   “ ป่าชายแดน   พวกเขาคงเสียเวลาสักพักหนึ่งกว่าจะคิดว่าเราอยู่ทางนี้ ”

                

          ใบหน้างามพยักตอบ   เทพมังกรสัมผัสมือบางแล้วจูงเดิน   ไม่เร่งแต่ก็ไม่ช้า   ทางเดิน

 

ราวใบไม้แห้งอัดเป็นชั้นๆ   ยวบลงแซกซากทุกคราที่นางก้าวย่ำ   ดวงตาคู่สวยเหลือบมอง

 

ชายหนุ่มด้านข้าง   ใบหน้าเรียวเสลาสงบมองตรงเบื้องหน้า   หากฉายความกังวลอยู่ไม่ใช่น้อย

                             

                     “ นายท่าน   ที่ผ่านมาท่านหายไปไหนคะ ”

                             

                    “ ข้ามีเรื่องครั้งใหญ่กับแม่ทัพยิน...เจ้าคงรู้จากเขาแล้ว   จักรพรรดิสวรรค์

 

ทรงพิโรธนัก   ทรงมีพระบัญชาคุมขังข้าไว้ในถ้ำบนภูเขา ” เขาตอบ “ ข้าหลบหนีออกมาก่อเรื่อง

 

ก่อนพ้นโทษ   พระองค์คงยิ่งทรงพิโรธหนัก   คราวนี้ข้าก็ไม่รู้จะทรงจัดการข้าเช่นไร ”

            

         มือบางกระตุกเขาหยุดเดิน   สีหน้านางแตกตื่น   แล้วนึกย้อนดูว่าทุกอย่างเป็นเพราะนาง  

 

ความรู้สึกผิดตีขึ้นมาจนความชื้นเอ่อรอบดวงตา

                         

                    “ นายท่าน   ข้าทำให้ท่านเดือดร้อนอีกแล้ว ”

            

         นางมองต่ำสำนึกผิด   เขายิ้มอ่อนโยน “ อย่าคิดมากเลย ”

            

         ทั้งคู่ปล่อยการสนทนาสู่ภาวะนิ่งเงียบ   เสียงเท้าย่ำพื้นเดินเรื่อยไร้จุดหมาย

 

                  “ ท่านจะทำอย่างไรต่อคะ ”

                            

                  “ ข้าคงต้องหนี   ไม่อาจเสี่ยงกลับมอบตัว   เพราะข้าอาจสูญเสียเจ้าไป ”

              

     นางฟังความนั้นพลันวาบหวามในใจ  หากแต่ความเป็นห่วงเขามีมากกว่า “ จะหนีไปไหนคะ ”

                           

               “ ไม่รู้   คิดไม่ออก   ไม่ได้คิดแต่แรก   แต่ยังมีเวลาคิด   เพราะกว่าองค์จักรพรรดิ

 

จะทรงทราบก็คงวันปล่อยตัว ”

             

        นางก้มลงนิดหนึ่ง   รู้สึกสบายใจขึ้นบ้าง   แม้จะชั่วคราวก็ตาม

                           

                  “ เจ้าบอกข้าว่าไม่เต็มใจ   เจ้าไม่ได้รักเขาหรือ ” นางส่ายหน้า “ แต่ข้าเคยเห็น

 

เจ้ากับเขากุมมือกัน   เจ้าก็ยิ้มตอบเขาด้วย ”

             

       ชาบูหลั่นตาทิ้งมือเด็กสาวกะทันหัน   หยุดเดิน  แล้วหันมาจ้องด้วยสายตาเคลือบแคลง  

 

นางสั่นหัว 

                          

                 “ ข้ากลัวต่างหาก   ช่วงนั้นท่านไม่รู้หายไปไหน   ข้าไม่กล้าขัดขืนเขา   ยิ้มนั่นข้า

 

ก็ยิ้มตามมารยาท ”

              

        เทพมังกรทำหน้าบึ้งครู่เดียวก็ยิ้มกว้าง   สดใสอย่างที่นางไม่ได้เห็นมานาน   นางยิ้มออก  

 

เขาหันไปมองตะวันรำไรที่ขอบฟ้าส้มเรื่อแดงก่ำ

                           

                   “ ดวงอาทิตย์จะตกดินแล้ว ” นางบอก

                           

                   “ เขาจะตามหาเราลำบากขึ้น   แต่เหมาะกับการหลบหนีของเรา ” เขากล่าว

 

“ เจ้ายังเดินไหวอยู่ไหม   เราจะเดินทางต่ออีกหน่อย   รอจนฟ้ามืดค่อยหยุดพัก ”

           

         นางพยักหน้าเบาๆ   เขาหันร่างกลับ   สีหน้านิ่งเรียบไม่ต่างจากความสงบของบรรยากาศ

 

โพล้เพล้

 

                   “ ข้าไม่รู้ว่าวันหน้าจะเป็นอย่างไร ”เสียงกล่าวเจือกังวล “ เจ้าจะไปกับข้าไหม ”

             

        นางสอดมือบางกับอุ้งมือหนา   เขามองมือตนแล้วมองหน้านาง   นางยิ้มเชื่อมั่น 

                           

                 “ ข้าจะไปกับท่านทุกที่ ”

             

     ดวงตาคมเปี่ยมปีติ   กุมมือนางกระชับมั่น   แสงส้มเรืองสาดส่องสองร่างเดินเคียงคู่ไปด้วยกัน

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
6.3 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
6.3 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา