Chabulanta ตำนานรักเทพมังกร
6.6
เขียนโดย Xian_xi
วันที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2556 เวลา 15.34 น.
13 ตอน
20 วิจารณ์
19.00K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2556 13.18 น. โดย เจ้าของนิยาย
1) บูรพาจำศึก
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ “ เจ้าปีศาจ ”
ใบหน้าเหี่ยวย่นบิดเบี้ยวผิดรูป เสียงทุ้มแหบผสานกรีดร้อง สั่นระรัวพอๆกับร่างชายชราซึ่งกำลัง
ถอยกรูดด้วยความหวาดกลัวเขา เสียงนั้นสะท้อนก้องบาดลึกในหัวใจที่ด้านชา
เจ้าของดวงตาแดงดั่งถ่านคุไฟถมึงตาโพลง มองเห็นแววตาวะวาบไหวราวมีเปลวไฟเต้นระริกอยู่
ในตา เขายืนตรงแน่วดังรูปปั้น สองมือกำบีบเค้น ทุกคนโดยรอบต่างมีสีหน้าประหวั่นพรั่นพรึงยิ่งนัก
. . . . . . . .
แล้วเขาก็มายืนอยู่ในทางเดินโอ่โถงแห่งหนึ่ง เหลียวหน้าแลหลังเห็นแต่ทางเดินทอดยาวหาจุด
สิ้นสุดไม่เจอ เขาอยากออกไปจากที่นี่ คลำทางหาไปครู่หนึ่งจึงพบประตูมหึมาสีทอง แล้วบานประตูก็
เปิดผาง เขาพาตัวออกมายืนข้างนอก ทหารเฝ้าประตูเห็นเข้าก้มหน้างุด เบื้องหน้ามีกลุ่มชนชุมนุม
ปิดทางอย่างแน่นหนา พวกเขาต่างถอยไปเสียไกลอย่างกับบุคคลตรงหน้าน่าเกลียดน่ากลัวก็ไม่ปาน
“ มังกรนิรนามไร้ผู้กำเนิด ไร้ที่พึ่งโดดเดี่ยวไร้ผู้ใดข้างกาย ” น้ำเสียงที่เคยเปี่ยม
อำนาจกลับแหบพร่าด้วยความเศร้าระทมและสิ้นหวัง “ ด้วยหน้าตาอัปลักษณ์น่ากลัว รูปร่างทลายขุนเขา
จึงสยบยอมต่อจักรพรรดิเป่าซินผู้กล้า หวังเพียงความเมตตาและมิตรภาพที่จริงใจ ความหวังเบิกฟ้าสดใส...
พลันทลายลง ธนูแหลมคมเท่าไรมิอาจทะลุหินใหญ่ เช่นเดียวกับข้ามิอาจชนะใจประชาชน ”
เสียงนั้นก้องสะท้านไปทั่ว นำพาความเศร้าโศก คับแค้นสู่ทุกอณูจิตใจซึ่งเต็มไปด้วยความหวาดหวั่น
ของทุกคน หยดน้ำใสปริ่มล้นขอบตาแล้วไหลอาบแก้มของผู้เอ่ยวจี
. . . . . . . . .
. . . . .
ดวงตาคมเปิดผึงแล้วกลอกไปมา เห็นเงาคานเพดานทะมึนท่ามกลางความมืดของราตรีกาล พลัน
สัมผัสถึงความชื้นที่ใบหน้า ร่างโปร่งลุกขึ้นนั่ง ปาดคราบน้ำตาออกพลางมองรอบห้อง แสงจันทร์นวลสว่าง
จากภายนอกลอดหน้าต่างเข้ามา ฉายเงาโต๊ะและเก้าอี้ซึ่งยังสงบนิ่งอย่างที่ควรจะเป็น บนโต๊ะยังมีกองเอกสารที่
ทำงานเมื่อคืนวางอยู่เป็นระเบียบและเทียนไขที่จุดใช้ไปเหลือครึ่งเดียว
ชายหนุ่มวางตัวกลืนกับความมืดพลางครุ่นคิดเรื่องวันวานที่หวนกลับมาอีกครั้งในความฝัน ไม่ทันไร
บานประตูก็ลั่นกึก
“ ใคร ” เขาระแวงภัยทันที คนที่เข้ามาในห้องกลางดึกทั้งยังไม่ขออนุญาตเสียก่อน
อาจมีเจตนาร้าย
มีเพียงความเงียบและเงาดำวูบวาบหลังประตูเท่านั้นที่ให้คำตอบเขา
“ ข้าถามว่าใคร ” พูดแล้วก็หยิบดาบข้างตัวมาถือเตรียมไว้
บานประตูค่อยๆแง้มออก แสงเทียนวาบทำตาเขาพร่าไปชั่วครู่ เมื่อประตูเปิดอ้าจนสุด ก็เห็น
ดวงหน้างามอยู่หลังเปลวเทียนนั้น นางเคลื่อนร่างบอบบางเข้ามา ปิดประตูแล้วเดินมาที่โต๊ะ
“ ใกล้เช้าแล้ว ” นางวางเทียนลงบนโต๊ะ ทั่วห้องอาบแสงส้มเรืองทันใด “ ข้าได้ยิน
เสียงสะอื้นไห้มาจากห้องนี้เลยแวะเข้ามาดู ”
เขาเผลอยกมือลูบหน้าด้วยกลัวว่าคราบน้ำตาจะยังเหลือมาฟ้อง นึกขอบคุณแสงเทียนที่ยังพอปกปิด
ดวงตาแดงเรื่อที่เพิ่งผ่านการร้องไห้มา
“ นายท่าน ” เสียงหวานเอ่ยเรียก ชาบูหลั่นตามองหน้านาง เห็นความห่วงใย
สะท้อนจากดวงตาคู่สวยอย่างล้นเหลือ
“ ข้าไม่เป็นไร ” เขาตอบเสียงอ่อนโยน “ เมื่อครู่เจ้าไม่ขอว่าจะเข้ามา ข้านึกว่าจะมี
คนลอบเข้ามาทำร้าย ”
“ ข้าไม่แน่ใจว่าท่านอาจหลับอยู่ เลยไม่อยากปลุกให้ตื่น ” นางบอก
“ เจ้าบอกว่าใกล้เช้าแล้วใช่ไหม ”
ลมเย็นวูบมาปะทะผิวกาย ร่างโปร่งสั่นเล็กน้อย ยังดีที่เพิ่งลุกจากอ่างน้ำอุ่นมาจึงไม่รู้สึกหนาวมาก
ทั่วลานระเบียงอาบแสงเงิน ที่ขอบฟ้าไกลเริ่มระเรื่อสีขาวแต่ดวงจันทร์ก็ยังคงส่องแสงกระจ่างจนเห็นเงาอาคาร
บ้านเรือนที่แฝงตัวอยู่ในม่านหมอกยามเช้า ดูสงบเงียบและเคร่งขรึม ชาบูหลั่นตาเหม่อมองฟ้าไกล เช้าที่
แสนสงบและสดชื่นเช่นนี้จะมีอะไรที่รอเขาอยู่ ร่างบางตามออกมา สองแขนนางประคองดาบเล่มหนึ่งไว้
ในอก ดาบนั้นสีดำสนิทตั้งแต่ด้ามลงไปถึงปลายปลอก ไม่มีลวดลายใดๆ ไม่ประดับตกแต่งใดๆทั้งสิ้น เป็น
ดาบที่ให้ความรู้สึกเคร่งขรึมและน่าพรั่นพรึง เขายื่นมือไปรับ แต่พอจะหดแขนกลับนางกลับยึดดาบไว้
“ ท่านจะต้องปลอดภัยกลับมา ” เสียงนางสั่นเครืออย่างรู้สึกกลัวและกังวล
ชาบูหลั่นตาส่งแววตาเชื่อมั่นตอบ
“ ฟู่เอ๋อ ” เขาพยายามทำเสียงมั่นคง ทั้งที่ใจหายไม่น้อยที่ต้องจากนางไปทำศึก
“ ดูแลตัวเองด้วย ”
นางพยักหน้าช้าๆ ดวงตากลมสวยชื้นน้ำตา เขาจับมือนางมากุมไว้ สองสายตาประสานความรู้สึก
ต่อกัน หวาดหวั่น กังวลและอาลัยห่วงหา
ทหารเกราะพร้อมรบเดินแถวขวักไขว่ เสียงสัญญาณรวมพลระรัวเร่งเวลายิ่งขึ้น ไม่นานประตูเมืองก็
เปิดออกพร้อมกับทัพทหารหลั่งไหลออกมาราวกับสายน้ำ ผู้นำทัพควบม้าอยู่หน้าสุด เกราะสีดำของเขา
ต่างจากทหารทั้งหลาย ถือดาบดำไร้ลวดลาย ดวงตาเรียวคมประดุจพญาเหยี่ยวฉายแววดุดันมุ่งมั่นใต้หมวก
เกราะนั้น หนึ่งมือกระชับดาบมั่นอีกมือคุมม้าให้โจนทะยานไม่รั้งรอ พลม้าเร่งตามจนฝุ่นตลบไปทั่ว ม้าของ
แม่ทัพสีดำเหมือนเกราะเจ้าของ รูปร่างใหญ่โตและมีพลังมาก จึงควบนำเกินหน้าใคร แต่กระนั้นพลเดินเท้า
ก็ยังไล่ทันอย่างน่าประหลาด
ฟู่หลานกลับเข้าห้องนอนแม่ทัพ จัดเตียงแล้วเอาเทียนมาเปลี่ยนให้ เสียงฝีเท้าหนึ่งมาหยุดหน้า
ประตู นางหันไปดู สตรีใส่ชุดเกราะอ่อนยืนเท้าประตู ดวงตาคมคายจ้องนางเขม็ง ไม่มีรอยยิ้มสักนิดบน
ใบหน้าเย็นชานั้น
“ ท่านมีอะไรหรือเปล่า ” ฟู่หลานอึดอัด
นางเชิดหน้าหยิ่งผยอง แล้วก้าวฉับๆเข้ามานั่งเก้าอี้โดยไม่เกรงใจสักนิด
“ ข้ามีเรื่องจะพูดด้วย ” แม้จะเป็นสำเนียงที่ไม่เป็นมิตรนัก แต่ฟู่หลานก็ไม่อยาก
เอาความ นางนั่งลงบนเก้าอี้ตรงข้ามกัน
“ ท่านมีอะไรหรือ ”
เพี่ยวซาน เป็นหัวหน้าองครักษ์หญิงอารักขาเชื้อพระวงศ์ฝ่ายใน และยังเป็นที่ปรึกษาคนสำคัญที่
พระราชาไว้วางพระทัยมากคนหนึ่ง ด้วยใบหน้าเรียวเสลา ดวงตาคมคายฉายแววมุ่งมั่นกล้าหาญ กอปรกับ
รูปร่างที่สูงเพรียวสง่างาม นางจึงจัดเป็นสาวงามคนหนึ่ง แต่ถึงรูปโฉมจะงดงามสะดุดใจคนเพียงใดบนใบหน้า
สวยคมนั้นก็ไม่ค่อยเผยรอยยิ้มให้เห็น และนิสัยห้าวหาญเยี่ยงชายชาตรีของนางก็ยังเป็นปัญหา บ่อยครั้งที่
พระราชาทรงมีพระบัญชาตั้งนางเป็นแม่ทัพในศึกครั้งสำคัญต่างๆ ผู้ใต้บังคับบัญชานางล้วนเป็นผู้ชาย แต่ไม่มี
ใครกล้าขัดขืนนางสักคน เพราะต่างกลัวความดุเดือดเลือดเย็นของนางทั้งสิ้น ว่ากันว่าสิ่งที่ทำให้นางยิ้มได้
มีอยู่สามอย่าง คือเมื่อชนะศึกหนึ่ง ตัดศีรษะแม่ทัพศัตรูได้สอง และสามเมื่อเห็นโลหิตทหารศัตรูแดงฉาน
ไหลนองเป็นทางยาว แล้วนางได้ย่ำเดินประหนึ่งเป็นทางเดินปูด้วยพรมชั้นดี
“ เกี่ยวกับชาบูหลั่นตา ” เพี่ยวซานบอก “ ข้าอยากรู้ประวัติของเขา อีกอย่างที่
สำคัญกว่า เจ้ากับเขาพบเจอกันได้อย่างไร เมื่อไร แล้วพวกเจ้าแต่งงานกันได้อย่างไร ”
นางจ้องฟู่หลานอย่างคาดคั้นเอาคำตอบ อีกฝ่ายทำหน้าอึดอัดเมื่อเจอคำถามรุกเช่นนั้น ทั้งยัง
กลบเกลื่อนสีหน้าตกใจไม่มิดที่จู่ๆหัวหน้าองครักษ์ก็อยากรู้ประวัติของชาบูหลั่นตาขึ้นมา
“ พวกเจ้าสนิทสนมกันตั้งแต่ก่อนมาอยู่นี่ เจ้าน่าจะรู้อะไรเกี่ยวกับเขาไม่น้อย ”
เพี่ยวซานรุกเร้าอีก
“ ฝ่าบาทรับสั่งให้ท่านมาถามหรือ ”
“ ข้านี่ละที่อยากรู้ ”
หัวหน้าองครักษ์จ้องนางเขม็ง นางอึดอัดใจและกังวลยิ่งนัก แม้แต่จะหายใจเสียงดังก็ไม่กล้า
เพราะกลัวเพี่ยวซานหาว่ามีพิรุธ
“ นายท่านทูลเรื่องเรากับฝ่าบาทไปแล้วตั้งแต่ตอนเข้าเฝ้าครั้งแรกนี่ ”
“ แต่ข้าอยากฟังจากปากเจ้า ”
เพี่ยวซานจ้องสตรีตรงหน้า เรือนผมดำขลับถูกมุ่นเป็นมวยเหนือกระหม่อม ใบหน้างามอ่อนหวาน
ดวงตากลมโตดูไร้เดียงสาหากฉายความกังวลอยู่ลึกๆ รูปร่างที่อ้อนแอ้นบอบบาง และท่าทางยอมคนของนาง
ช่างเหมือนลูกกวางตัวน้อยที่กำลังจะถูกแม่เสือสาวขย้ำเอาความลับในไม่ช้า เรื่องสืบประวัติของชาบูหลั่นตา
ทุกคนสิ้นสงสัยไปแล้ว แต่ไม่ใช่กับนาง นางรู้สึกว่าสองสามีภรรยายังคงกุมความลับบางอย่างเกี่ยวกับความ
เป็นมาของพวกเขาเอาไว้ซึ่งยังไม่ได้ทูลพระราชาไปเมื่อตอนเข้าเฝ้าครั้งแรก
“ อย่างไรข้าก็คงตอบได้เช่นเดิม ข้ากับนายท่านรู้จักกันตั้งแต่ข้ายังเด็ก เราสนิท
กันมาก ก่อนเราจะถูกตามล่ามาจนถึงที่นี่ ”
“ แต่ข้าไม่ได้มาเพื่อฟังเรื่องเดิม ”
“ เช่นนั้นข้าก็ไม่รู้จะตอบอย่างไร เพราะเรื่องมีแค่นี้จริงๆ ”
“ แล้วเพราะอะไรพวกเจ้าถึงถูกไล่ล่ามา ”
“ ข้าต้องแต่งงานกับแม่ทัพเวยแห่งแคว้นเฟิงโจวด้วยความจำเป็น นายท่านยอมไม่ได้
เลยชิงตัวข้าหนีมา เราถูกไล่ล่าจนเข้าเขตแคว้นซู่ซิน แล้วได้คนของพวกท่านช่วยไว้ ”
“ แล้วเรื่องแต่งงานล่ะ ไหนพวกเจ้าบอกว่าเป็นสามีภรรยากัน ไม่เห็นมีตอนไหนที่
บอกว่าแต่งงานกันเลยนี่ ”
“ ข้าแต่งงานกับนายท่านก่อนที่จะแต่งงานกับแม่ทัพเวย ”
เพี่ยวซานกระตุกมุมปาก ลูกกวางที่นางคิดว่าจะโจมตีได้ง่ายร้ายกว่าที่คิดไว้ ไม่ว่าจะยิงคำถาม
คุกคามแค่ไหนก็ยังดิ้นรนหลุดรอดไปได้ทุกครั้ง ทั้งยังใช้เหตุผลสลายความสงสัยในเรื่องนั้นๆได้อีกด้วย
ฟู่หลานมองดวงตาคมคายด้วยใจเต้นระทึก พยายามคุมตนให้นิ่งที่สุด แม้อยากหลบตาใจจะขาด
ขออย่าให้นางถามคำถามใดอีกเลย หากถูกคาดคั้นมากกว่านี้ นางอาจหลุดพิรุธไปในไม่ช้า
“ แล้วท่านไม่ออกรบหรือ ” นางเปลี่ยนเรื่องคุย
เพี่ยวซานไม่ตอบ กลับเพ่งนางอย่างขุ่นเคืองระคนสงสัย อีกครั้งที่ฟู่หลานรู้สึกว่านางเป็นลูกกวาง
ตัวน้อยที่หนีการไล่ล่าสุดชีวิต แล้วถูกขวางทางหนี ในที่สุดแม่เสือสาวที่น่าพรั่นพรึงกำลังย่างเข้ามาหา
อย่างช้าๆ พร้อมจะขย้ำนางให้เหลือแต่กระดูก เป็นช่วงเวลาแห่งความเป็นความตายที่ทรมานใจ โดยที่นางไม่
อาจหนีจากภาวะนี้ได้เลย
เสียงรองเท้าหนังย่ำหนักๆผ่านทางเดินมาหยุดหน้าห้อง สองนางหันไปดู ทหารคนหนึ่งค้อมหัวให้
“ ได้เวลาแล้วขอรับ ”
สีหน้าหัวหน้าองครักษ์ดูขัดใจ แต่ก็เลี่ยงไม่ได้ นางจ้องฟู่หลานอย่างขัดเคืองครู่เดียวแล้วสะบัดร่าง
ตามทหารไป ฟู่หลานถอนหายใจยาว เกือบไปแล้ว ที่นางต้องกลัวเพี่ยวซานเพราะไม่ได้พูดความจริงทั้งหมด
เรื่องแต่งงานกับชาบูหลั่นตาไม่เคยเกิดขึ้น นางสนิทกับเขามากก็จริง แต่ไม่ถึงขั้นเป็นคนรัก เขาเป็นผู้ที่นาง
นับถือมาก ส่วนเขาก็เอ็นดูนางมากแค่นั้น แต่ที่นางกลัวที่สุดคือภูมิหลังของเขา หากเพี่ยวซานรู้เข้าแล้ว
ราชาซู่ซินทรงทราบ เขาอาจมีอันตรายจนถึงแก่ชีวิต
ชาบูหลั่นตาขับม้ามาถึงที่ราบคลุ้งฝุ่นอันกว้างใหญ่ซึ่งเป็นชายแดนระหว่างแคว้นซู่ซินกับแคว้น
เฟิงโจว ขณะนั้นดวงอาทิตย์โผล่พ้นขอบฟ้าแล้ว ท้องฟ้าเป็นสีส้มอมเหลืองอำไพ สาดแสงกระทบผืนที่ราบ
ฝุ่นทราย กรวดหินสะท้อนแดดพราวพราย ที่สุดปลายที่ราบปรากฏฝุ่นตลบ
“ จัดทัพ ” นายกองรับคำสั่งทันที
ดวงตาทุกคู่ภายใต้หมวกเกราะทหารเรืองแสงแดงวาบวับ
นักรบผู้หนึ่งควบม้านำตะบึงมาแต่ไกล ถึงจุดหนึ่งก็หยุดคุมเชิงอยู่ห่างๆ บรรดาผู้ติดตามรีบ
จัดขบวน ชาบูหลั่นตาเฝ้าดูอยู่เฉยๆ แต่กระชับดาบมั่นพร้อมสู้ พอจัดทัพเสร็จ แม่ทัพก็หันมามองฝ่าย
ตรงข้าม
“ แม่ทัพเวยยิน ”
เวยยิน คือแม่ทัพหนุ่มรูปร่างองอาจ เป็นบุตรชายคนเดียวของอดีตแม่ทัพใหญ่แห่งแคว้น
เฟิงโจว ดวงตากร้าวแกร่งใต้หมวกเกราะนั่นจ้องอย่างไม่เกรงกำลังข้าศึก แสดงว่าเป็นคนกล้าหาญไม่น้อย
“ วันนี้เราจะไปตัดหัวแม่ทัพยิน ” ชาบูหลั่นตาประกาศ “ เราต้องการอิสระแต่เขายัง
ขัดขวางอยู่ ถ้ายังมีเขาเราก็ไม่สามารถเป็นอิสระได้ และจะต้องเป็นทาสเฟิงโจวอยู่ร่ำไป ถ้าเจ้าปลดแอก
ไม่สำเร็จจะยังมีหน้าไปพบบรรพบุรุษได้หรือ ”
มีเสียงคำรามฟืดฟาดมาจากทั้งคนและม้า
“ พวกเนรคุณ! ” แม่ทัพยินตวาดลั่น “ เฟิงโจวดีต่อพวกเจ้ามาเท่าไร ไม่รู้สำนึก
ทั้งยังทรยศเสียอีก ”
แคว้นซู่ซินตั้งอยู่ทางตะวันออกของแคว้นเฟิงโจว สองแคว้นมีสัมพันธ์อันดีฉันบ้านพี่เมืองน้องและ
ผู้ครองแคว้นก็ต่างสนิทสนมกลมเกลียวกันดี แต่แล้วเมื่อถึงสมัยพระราชาจวงหยูต้องการเป็นอิสระ จึงยกเลิก
ไม่ส่งเครื่องบรรณาการและประกาศศึกกับแคว้นเฟิงโจว
“ ดีหรือ ” แม่ทัพซู่ซินแค่นหัวเราะ “ เจ้าบังคับเราให้ส่งเครื่องบรรณาการเป็น
ประจำ ดึงทรัพย์สินของล้ำค่าไปจากแคว้นเรามากมาย เช่นนี้หรือที่ว่าดีต่อเรา ”
“ เราไม่ได้บังคับ ” แม่ทัพเฟิงโจวตะโกนตอบ “ แคว้นซู่ซินเข้ามาสวามิภักดิ์ขอพึ่ง
บารมีแคว้นเรา และจะส่งเครื่องบรรณาการมาให้ เป็นเรื่องที่พวกเจ้าขอส่งเอง เราไม่ได้บังคับใดๆ ”
“ แล้วถ้าลองพวกข้าบอกไม่ส่งสิ พวกเจ้าก็จะยกทัพมาโจมตี ”
“ พวกเจ้าเลยชิงโจมตีก่อน ”
แม่ทัพยินผ่อนลมหายใจที่อัดอั้นอยู่ให้คลายลง รู้สึกว่าการตอบโต้ด้วยวาจากำลังจะกลายเป็นศึก
ปะทะคารม
“ เจ้ามันก็คนทรยศ ”
“ ใครทรยศใคร ” ชาบูหลั่นตาเถียง “ ก็เจ้าไม่ใช่เรอะที่ไล่ข้าออกมา ”
แม่ทัพเฟิงโจวแสดงความขุ่นเคืองทั้งสีหน้าและแววตา
“ แล้วเจ้าก็ไปเข้ากับศัตรู ” เขากัดฟันกรอด “ เจ้าปีศาจ! ”
“ ใช่ ข้ามันปีศาจ ” ชาบูหลั่นตายิ้มชั่วร้าย “ ปีศาจที่ไม่ว่าเจ้าจะประมือครั้งใดก็ต้อง
พ่ายแพ้ทุกครั้ง ”
แม่ทัพยินโกรธจัด ชักม้าพุ่งมาหา อีกฝ่ายชักดาบดำ เผยให้เห็นอักษรสีแดงบนใบดาบดำมัน
“ นักรบซู่ซินทั้งหลาย ” เขาชี้ปลายดาบไปที่แม่ทัพยินซึ่งกำลังควบม้าทะยานมา
“ จงไปตัดหัวมัน เพื่ออิสรภาพของแคว้นเรา ”
ทหารซู่ซินคำรามก้อง น้ำเสียงน่าขนลุกสะท้านไปทั่ว ทหารเฟิงโจวที่ลุยตามแม่ทัพมาถึงกับชะงัก
ด้วยความสะพรึงกลัว
“ นักรบเฟิงโจว ” แม่ทัพยินหันหัวม้ากลับไปทางพวกตน “ ไม่ต้องกลัวพวกมัน
หน้าที่ของเราคือปกป้องบ้านเมือง ไม่ว่ามันจะเป็นใคร คนหรือว่าปีศาจ อย่าให้มันเข้ามาเหยียบแผ่นดินเรา
ได้ ”
พูดจบก็หันหัวม้ากลับไปทางเดิมแล้วบุกเดี่ยวเข้าไปหาศัตรู ทหารเฟิงโจวเห็นความกล้าหาญของนาย
เช่นนั้น ก็พอมีกำลังใจบุกตามเข้าไป ชาบูหลั่นตาบัญชาพลธนูยิงสกัด ลูกธนูขนาดใหญ่ยาวกว่าปกติแล่น
โค้งเหนือพื้นดินพุ่งทะลุเกราะทหารกล้าล้มตายเป็นใบไม้ร่วง พลธนูเฟิงโจวยิงสวนกลับแต่นอกจากจะไม่ทะลุ
เกราะแล้ว ทหารซู่ซินยังไม่สะทกสะท้าน กลับดาหน้าเข้ามาไม่หยุด จวนตัวเข้าอาวุธระยะไกลอย่างธนูก็
ไม่มีประโยชน์อันใด จึงชักดาบเข้าสู้ ทัพทหารซู่ซินดูเหมือนจะกลืนทัพเฟิงโจวไปเรื่อยๆ ไม่มีใครที่เข้า
วงล้อมแล้วรอดออกมาได้ แม่ทัพยินพยายามบุกไปหาชาบูหลั่นตา แต่ไม่สามารถฝ่าวงล้อมเข้าไปได้
“ ชาบูหลั่นตา! ” แม่ทัพยินตะโกนก้องด้วยความเจ็บใจ “ เหตุใดจึงยืนนิ่งอยู่
เบื้องหลังแล้วให้คนอื่นออกมาปกป้องเจ้า เจ้าออกมาสู้กับข้าซี ออกมาสู้กันตัวต่อตัว เจ้าอยากได้หัวข้าก็มา
ตัดเอาไปเอง...เจ้ากลัวน่ะซี กลัวว่าจะสู้ข้าไม่ได้เลยใช้แผนทอนกำลังข้าก่อนใช่ไหม ”
ชาบูหลั่นตาขมวดคิ้ว แต่ยังไม่ขยับกาย
“ ชาบูหลั่นตา! ” ร่างผู้ตะโกนถูกกลืนหายไปกับฝุ่น
ทหารเฟิงโจวล้มตายเกลื่อนสนามรบ โลหิตแดงฉานไหลนองทั่วบริเวณ ทหารเฟิงโจวคนหนึ่ง
กำลังสู้กับทหารหกคนสุดชีวิต แต่แล้วทหารซู่ซินผู้มีดวงตาแดงก่ำก็คว้าคอเขาไปกัด โลหิตอุ่นสาดกระเซ็น
แล้วทหารที่เหลือก็เข้ารุมทึ้ง แขน ขา ชิ้นส่วนต่างๆถูกฉีกและกัดกินไม่เหลือหรอ
จู่ๆทหารเฟิงโจวก็ส่งเสียงฮือฮาขึ้น เมื่อเห็นฝุ่นคลุ้งตลบที่มุมหนึ่งของสนามรบ
“ นางมาแล้ว ” ชาบูหลั่นตาพึมพำ
ทหารเฟิงโจวบริเวณนั้นถูกฝุ่นกลืนครู่เดียวแล้วกระเด็นกระดอนออกมาทุกคน แต่ละคนเรียกสภาพได้
ว่าปางตาย แม่ทัพยินฉงนกับเหตุการณ์ เมื่อฝุ่นเริ่มจางลงจึงปรากฏร่างนักรบกลุ่มหนึ่ง บรรดาทหารซู่ซิน
ล้วนกู่ก้องเอาชัย
เพี่ยวซานนั่นเอง นางยังอยู่ในชุดเกราะอ่อนเหมือนเมื่อตอนคุยกับฟู่หลาน มือถือดาบโค้งคู่
ทั้งนางและผู้ติดตามไม่มีใครเอาม้ามาด้วยสักคน แต่ที่ฝุ่นตลบเพราะท่วงท่าต่อสู้ของนาง ใบหน้างามดู
โหดเหี้ยมเลือดเย็นพลันหันมาทางชาบูหลั่นตา ตามด้วยรอยยิ้มเยือกเย็น เขาไม่แน่ใจว่านางยิ้มให้เขา
หรือยิ้มเพราะเห็นเลือดศัตรูนองแผ่นดินรอให้นางเหยียบเล่นกันแน่
แล้วดวงตานางก็ถลึงขึ้นพร้อมกับกวัดแกว่งดาบ หมุนปลายเท้ารอบเดียวก็เกิดฝุ่นตลบคลุ้งเหมือนมี
พายุ เร็วขึ้น เร็วขึ้น จนมวลฝุ่นสูงขึ้นไปหลายวา แล้วเคลื่อนตัวหากลุ่มศัตรู ทหารซู่ซินตะลุยต่อด้วย
ใจฮึกเหิมกระหายเลือด ร่างทหารเฟิงโจวหลายต่อหลายคนถูกฉีกไม่เป็นชิ้นดี ทิ้งซากที่น่าเวทนาไว้
เบื้องหลัง ที่เหลือก็เสียกำลังใจมากจนพากันถอยไปรวมกลุ่ม เป็นเป้าให้เพี่ยวซานจัดการ แม่ทัพยินตกตะลึง
ทำอะไรไม่ถูก ทันใดนั้นก็มีเสียงคำรามลั่นราวฟ้าผ่า
แม่ทัพยินผวาเฮือกหันไปต้นเสียง ชาบูหลั่นตาลงมายืนข้างล่างเมื่อไรไม่รู้ เบื้องหลังเขาปรากฏ
แสงเขียวแวบวาบเหมือนฟ้าแลบ กำลังก่อตัวขึ้นเป็นรูปร่างของสิ่งหนึ่งที่มหึมา มีเขาและเขี้ยวแหลมคม
“ มัง...กร... ” เขาได้เสียงตัวเองแหบหายไปในลำคอ
กลุ่มเมฆทะมึนลอยปกคลุมท้องฟ้าอย่างรวดเร็วราวกับต้อนรับมัน แสงแดดแจ่มแจ้มเมื่อครู่หายไป
หมด เหลือแต่เมฆครึ้มเต็มฟากฟ้า สายฟ้าแลบแปลบปลาบตามด้วยเสียงกึกก้องสะเทือน มังกรทมิฬดวงตา
แดงเจิดจ้าแยกเขี้ยวคำรามลั่นแข่งกับเสียงฟ้า แม่ทัพยินผวาถอยโดยไม่รู้ตัว
ชาบูหลั่นตากำดาบแน่น ค่อยๆก้าวมาหา สีหน้านิ่งทว่าแววตาเหี้ยมเกรียม
คนอย่างแม่ทัพยินไม่มีทางยอมเอาชีวิตมาทิ้งอย่างไร้เกียรติแน่ แต่ก็ถอยไม่ได้อีกแล้ว ในเมื่อเหลือ
ทางเดียวคือต้องสู้ เขาจึงกระชับดาบในมือและวิ่งฝ่าลมเข้าไปโจมตีก่อน
สีหน้าแม่ทัพซู่ซินไม่แสดงความรู้สึกสักนิดขณะกวัดแกว่งดาบ พริบตาแม่ทัพยินก็กระเด็นไปไกล
เข่าลั่นปวดแปลบแทบขาดใจ แต่ก็กุมความเจ็บไว้แล้วลุกขึ้นมา พลันหมดแรง ภายในร่างกายปั่นป่วนดัน
ของเหลวคาวอุ่นจุกปาก เขาสำลัก เลือดทะลักนองพื้น
แม่ทัพยินกัดฟันข่ม แต่เลือดก็ยังทะลักออกมา เขาหมอบกับพื้น กำดาบแน่น ทั้งเจ็บและแค้น
กลิ่นคาวเลือดตัวเองและซากศพรอบข้างคละคลุ้งน่าสมเพช ขณะที่ชาบูหลั่นตากำลังก้าวมาหาอย่างเยือกเย็น
ความแค้นปลุกใจให้เขาไม่ยอมจำนนเช่นนั้น แม่ทัพยินยันกายกับดาบแล้วลุกขึ้น คราวนี้มีพลัง
มากกว่าเคย ตรงเข้าฟาดฟันสู้กับชาบูหลั่นตา แสงดาบวูบวาบไม่มีใครยอมใคร มังกรยักษ์คำรามเร่ง
มากขึ้น เพี่ยวซานกำลังสู้อยู่มุมหนึ่ง เห็นแม่ทัพยินฟาดฟันกับชาบูหลั่นตาอย่างดุเดือดจนฝ่ายนั้นเซไป
บ้างแล้ว นางสลัดทุกคู่ต่อสู้ออกไปแล้วฉวยหอกขว้างไปที่แม่ทัพยิน ฝ่ายนั้นมัวสนใจชาบูหลั่นตาอยู่จึงถูก
คมหอกซัดทะลุอกเต็มเหนี่ยว
แม่ทัพยินร่างเอนอ่อนฟุบลง ที่สะบักขวามีเลือดไหลเป็นทางยาว ชาบูหลั่นตาหายตะลึงก็ถือ
ดาบกรายเข้ามา ดาบดำมันปลาบน่าสะพรึง
“ ฟู่เอ๋อฝากมาถามว่าพ่อแม่นางยังสบายดีหรือเปล่า ”
แต่แม่ทัพยินอ่อนแรงเกินกว่าจะตอบโต้ได้
“ ส่วนฟู่เอ๋อ เจ้าไม่ต้องห่วง ข้าจะดูแลนางอย่างดี ”
ร่างโปร่งเงื้อดาบ เสียงฟ้าคำรามลั่นราวจะบอกข่าวร้าย
แสงขาวพุ่งวาบผ่ากลางระหว่างคนทั้งคู่ ตามด้วยแรงดันมหาศาลทำให้ร่างโปร่งกระเด็นลอยไป
ไกล แสงประหลาดรวมกลุ่มสว่างวับวาบ ในที่สุดก็กลายเป็นร่างนักรบเกราะสีทองเปล่งปลั่ง
“ ท่านเซิ่งตู่ ” ชาบูหลั่นตาตะลึง
เจ้าของชื่ออายุราวสามสิบกว่า รูปร่างสูงสง่ากำยำยืนต้านแรงลม ดวงตาคมเข้มจ้องอีกฝ่ายด้วยท่าที
สุขุม ชาบูหลั่นตาคิดไม่ถึงว่าจะได้พบเขาอีก หลังจากบ้านเกิดมาหลายเดือน
“ ข้าไม่ยินดีที่ได้พบเจ้าอีกที่นี่และในสภาพนี้ ชาบูหลั่นตา ”
ดวงตาคมสั่นไหวชั่วขณะก่อนเปลี่ยนเป็นกร้าวแกร่งตามเดิม
“ ท่านมาที่นี่ทำไมกัน ”
“ ข้ามาทำในสิ่งที่ข้าควรทำ ”
“ โดยการขัดขวางสิ่งที่ข้าควรทำ ” ชาบูหลั่นตาเคือง
“ เขายังไม่ควรตายตอนนี้ ” อีกฝ่ายหันไปดูร่างแม่ทัพยินที่นอนนิ่งบนพื้น “ เขายังมี
หน้าที่ที่ใหญ่หลวงนักรอเขาอยู่ ”
“ แต่เขาควรตายที่นี่ ” ชาบูหลั่นตาคำรามตอบ “ ทุกอย่างจะสำเร็จได้ต้องไม่มีเขา ”
มังกรโปร่งแสงเบื้องหลังคำรามรับคำเขา เซิ่งตู่แววตากร้าวขึ้นทันที
“ ควรหรือที่เจ้าใช้พลังที่สวรรค์มอบให้เข่นฆ่าผู้บริสุทธิ์มากมายโดยไม่รู้สำนึก เจ้าลืมสิ่ง
ที่ข้าสอนเจ้าไปหมดแล้วหรืออย่างไร ”
ชาบูหลั่นตาระเบิดหัวเราะออกมา
“ แม่ทัพสวรรค์สั่งสอนข้าอีกแล้วซี ก็สวรรค์ไม่ใช่หรือที่ทอดทิ้งข้าก่อน อีกอย่างพลัง
นี้ก็ติดตัวข้ามาแต่กำเนิด เป็นสวรรค์มอบให้ที่ไหนกัน ”
“ เจ้าเปลี่ยนไปมากนะชาบูหลั่นตา ” แววตาเซิ่งตู่ผิดหวังและเสียใจ
“ ชาบูหลั่นตาที่ท่านรู้จักได้ตายไปแล้ว ” เขาตอบเสียงเย็นชา
แม่ทัพยินร่างกายบอบช้ำมากแต่ยังไม่สิ้นสติ จึงได้ยินความทั้งหมดแต่ก็ไม่อาจเข้าใจความเป็นมาของชาบูหลั่นตา
เพี่ยวซานกับทหารปีศาจทั้งหลายทำท่าจะเข้ามา แม่ทัพสวรรค์วาดมือออกไปข้างหน้า แสงขาว
แล่นโอบล้อมทั้งสามไว้ภายในแล้วกลายเป็นม่านพลังสกัดกั้นไม่ให้พวกเพี่ยวซานเข้ามาได้ พวกนางพยายาม
ทำลายม่านมนตร์ครั้งแล้วครั้งเล่า แสงนั้นกลับยิ่งเปล่งสว่างมากขึ้นกระทั่งนางไม่อาจมองได้อีกต่อไป
ชาบูหลั่นตาเองก็มองไม่เห็นพวกเขาเพราะแสงนั้นเจิดจ้าเกินกว่าจะจ้องดู
“ เจ้าไม่ควรมาอยู่ที่นี่ ” เซิ่งตู่บอก
“ อย่าพาข้ากลับไปในที่ที่ไม่ต้องการข้า ”
ชาบูหลั่นตารวบรวมพลังอีกครั้ง มังกรทมิฬผงาดร่างคำรามกึกก้องสะเทือนฟ้า ดวงตาคมเรือง
แดงกล้า
เพี่ยวซานรออย่างร้อนใจอยู่ข้างนอก ได้ยินเสียงเอะอะไม่สู้ดีแต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร
คมดาบดำเสียดสีดาบเหล็กเป็นประกายไฟพวยพุ่ง ชาบูหลั่นตาหมุนร่าง ดึงดาบกลับแล้วฟันรุกเซิ่งตู่
เสียงสนั่น ฝ่ายนั้นเอาตัวบังแม่ทัพยินไว้ อีกฝ่ายจึงอ้อมไปด้านหลัง เซิ่งตู่โจนข้ามร่างบนพื้นเอียงดาบต้าน
พลังสังหาร ชาบูหลั่นตาขย่มแรงจนแขนแม่ทัพสวรรค์เกร็งสะท้าน ทันใดเกิดแสงขาววาบแล้วร่างโปร่งก็
กระเด็นไปอีก เขาคำรามลั่นด้วยความโกรธ
“ เหตุใดเจ้าจึงหนีออกมาจากสวรรค์ ” เซิ่งตู่ไม่ซ้ำเติมต่อแต่ก็ไม่ประมาท
ชาบูหลั่นตาชะงักงันเมื่อนึกถึงสาเหตุที่เขาหนีออกมา
“ องค์จักรพรรดิทรงเมตตาเจ้ามาก แต่ถ้าหากเป็นเรื่องประชาชน ตอนนี้เจ้าก็ได้รับ
การยอมรับแล้วนี่ แล้วอะไรที่ทำให้เจ้าหนีออกมา หนำซ้ำยังไปเข้ากับจอมปีศาจซึ่งเป็นศัตรูต่อสวรรค์
เสียอีก ”
“ ถ้าองค์จักรพรรดิทรงเมตตาต่อข้าจริง ” ดวงตาคมชื้นน้ำตาเมื่อนึกถึงเหตุการณ์เมื่อ
ครั้งวันวาน “ เหตุใดจึงทรงไม่เข้าพระทัยความทุกข์ที่ข้าได้รับ ”
ดวงตาแม่ทัพสวรรค์ฉายแววสนเท่ห์ “ มีสิ่งใดที่เจ้ายังไม่ได้บอกข้าใช่ไหม ”
ชาบูหลั่นตากัดฟันข่มความเจ็บปวดที่ปะทุออกมาอย่างหนักหน่วง ดวงตาเรื่อแดงกลับพร่าเลือนด้วย
น้ำตา
“ ชาบูหลั่นตา ” เซิ่งตู่พูดเสียงอ่อนราวจะปลอบเขา “ ตอบข้ามาว่าเหตุใด ”
ม่านมนตร์รอบข้างหนาแน่นไม่มีใครได้ยินสิ่งที่พวกเขาพูดกันแน่นอน ชาบูหลั่นตาคิดว่าหากเขาพูด
ไปเรื่องคงจบ แต่กังวลถึงฟู่หลานที่ยังอยู่ที่แคว้นซู่ซินขณะนี้ นางจะเป็นอย่างไรบ้างและอาจมีอันตรายหาก
เขาได้คืนฐานะเหมือนเก่า พวกซู่ซินไม่ปล่อยพวกเขาไว้แน่ โดยเฉพาะเขาที่รู้เรื่องลึกภายในแคว้นมากมาย
แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้นก็ไม่เป็นไร เขาจะกุมความลับไว้จนกว่าจะช่วยนางออกมาก่อน พลันนึกได้ว่าเขากลับข้าง
มาระยะหนึ่งแล้ว ถึงเซิ่งตู่อาจเข้าใจเขา แต่ชาวสวรรค์ที่ปักใจเชื่อว่าเขาเป็นปีศาจร้ายมาตลอดจะเข้าใจหรือ
เขาออกมาอยู่ฝ่ายศัตรูอย่างนี้พวกนั้นคงเชื่อสนิทใจว่าเขาทรยศแล้ว แล้วการกลับไปอีกจะมีประโยชน์อันใด
ในเมื่ออาจเสี่ยงชีวิต โดยเฉพาะฟู่หลาน นางไม่รู้เรื่องอะไรเลยจะให้นางเดือดร้อนเพราะเขาอีกไม่ได้ ลำพัง
เขาคนเดียวเอาตัวรอดได้ไม่ยาก แต่ฟู่หลานนางเป็นมนุษย์ธรรมดาเท่านั้น และเขาก็ไม่มีทางยอมให้ใครมา
ทำร้ายนางได้ ถึงแต่ก่อนจะถูกสวรรค์ตามล่า แต่ก็มีจอมปีศาจให้ความคุ้มครอง ถ้าหากเขากลับไปอยู่ฝ่าย
สวรรค์เช่นเดิม แล้วไม่มีใครเชื่อถืออีก ทั้งฝ่ายปีศาจก็ยังแค้นมาตามล่า เขาคงต้องอยู่โดดเดี่ยวอย่างหวาด
ระแวง ไม่มีที่ไหนที่ปลอดภัย ทั้งสวรรค์และปีศาจอาจร่วมกันกำจัดคนทรยศเมื่อไรก็ได้ ลำบากก็แต่
ฟู่หลาน...
คิดไปคิดมาก็วกจบด้วยกลัวฟู่หลานต้องลำบากทั้งนั้น ถึงตอนนี้สถานะเขาจะคลอนแคลนไม่รู้
จอมปีศาจจะรู้ฐานะจริงเมื่อไร ก็ยังดีกว่าต้องไปเสี่ยงเช่นนั้น
“ นอกจากจะมาช่วยแม่ทัพยินแล้ว องค์จักรพรรดิยังทรงบัญชาให้ท่านมาเกลี้ยกล่อมข้า
ด้วย ”
แม่ทัพสวรรค์ดูตกใจกับสายตาที่เปลี่ยนไปฉับพลัน
“ ข้าไม่หลงกลท่านหรอก ” ชาบูหลั่นตาแสยะยิ้ม “ กลับสวรรค์ของท่านไปซะ อย่า
ขัดขวางคนข้างล่างกำลังสู้กัน แม่ทัพสวรรค์อย่าลงมายุ่งเกี่ยวให้แปดเปื้อนเลยดีกว่า ”
แม่ทัพยินสำลักเลือดไอโขลก เซิ่งตู่รีบหันไปดู เห็นเลือดทะลักนองพื้นก็กลัวว่าถ้าช่วยช้ากว่านี้อาจ
ไม่รอด ชาบูหลั่นตาฉวยโอกาสปราดเข้าหาศัตรู จวนลงมือแล้วแต่เซิ่งตู่ตามมาทัน สองแม่ทัพสู้ต้านทานกัน
อย่างหนักหน่วงรุนแรง ใบหน้าแม่ทัพยินเริ่มซีดเซียว ร่างชักกระตุก เซิ่งตู่ปล่อยพลังจากฝ่ามือครั้งเดียว
กระแทกชาบูหลั่นตาปลิวออกไปนอกม่านมนตร์ ไม่นานกลุ่มแสงก็จางหายไปพร้อมกับแม่ทัพทั้งสอง
“ ท่านเซิ่งตู่! ” เขาตะโกนขึ้นฟ้าด้วยความแค้น
ทหารเฟิงโจวที่รอดชีวิตเห็นพวกซู่ซินมัวตะลึงอยู่ก็รีบหนีเข้าป่า ทหารปีศาจเห็นเข้าจะตามไป
ชาบูหลั่นตาชูดาบยั้ง เพี่ยวซานเขวี้ยงดาบสกัดพวกนั้นแล้วกระตุกโซ่ดึงดาบควงกลับมาถือไว้
“ ไม่มีประโยชน์ที่จะตาม แม่ทัพพวกมันหายไปแล้ว ข้าทำงานไม่สำเร็จจะต้องกลับ
ไปรับโทษทัณฑ์จากฝ่าบาท ” ชาบูหลั่นตาบอกนาง “ ไว้กลับถึงแคว้น ข้าจะยอมให้เจ้าเอาโซ่ล่ามพาไป
เข้าเฝ้าฝ่าบาท ”
นางพยักหน้ารับเบาๆด้วยดวงตาเฉยเมย
“ ถอนทัพ ”
ระยะทางจากชายแดนกลับเมืองหลวงไกลไม่น้อย ทัพซู่ซินเดินทางค่อนครึ่งวัน กระทั่งทั่วท้องฟ้า
อาบแสงส้มเรือง ดวงอาทิตย์คล้อยต่ำลงทุกที แต่ก็ไม่มีใครหยุดพัก พวกเขาเคลื่อนทัพผ่านหุบเขา
ลงห้วย กระทั่งผ่านป่าลึก เสียงนกกาโผผินบินกลับรัง แมกไม้เขียวขจีลู่ลมอ่อน ไม่นานลมก็สงบ อากาศ
เย็นลงและเสียงตีปีกจอแจก็แผ่วลง แผ่วลง จนเงียบสงัด จักจั่นตามสุมพุ่มไม้เริ่มขับร้อง กีด..ด กีด..ด..
ก้องกังวานไปทั่วป่า
จู่ๆชาบูหลั่นตาก็ห้ามทัพแล้วชักดาบออกมา
“ ออกมาเดี๋ยวนี้ ”
ร่างหนึ่งโจนออกจากคบไม้ เพี่ยวซานพุ่งสกัดทันที ฝ่ายนั้นหลบแล้วโดดลงอีกฟาก
“ อ้อ ” ชาบูหลั่นตาจำได้ว่าเป็นสายที่ส่งไปสอดแนมเมืองหน้าด่านของแคว้นเฟิงโจว
ชายคนนั้นค้อมหัวแล้วรายงานข่าว ชาบูหลั่นตาฟังแล้วยิ้มยินดี
“ กำแพงเมืองหน้าด่านถูกเจาะแล้ว เราสามารถไปเยือนพวกมันถึงข้างในแล้วตีให้แตก
ได้ไม่ยาก ”
เพี่ยวซานยังหน้านิ่งเหมือนเคย ดูจะครุ่นคิดอะไรบางอย่าง ทั้งกองทัพเงียบกริบขณะฟังข่าวนี้
“ เมืองหน้าด่านที่มีการป้องกันอย่างเข้มแข็ง จะพลาดท่าก็แค่รูเล็กๆข้างกำแพงเท่านั้น
เอง ถ้ากำแพงรั่ว จะมีการป้องกันดีขนาดไหนก็ไม่มีประโยชน์! หึ พวกมันจะต้องเสียใจไปตลอดชีวิตแน่
แต่ว่า จะมีชีวิตอยู่ให้เสียใจหรือเปล่านะ ”
ชาบูหลั่นตาหัวเราะก้องป่า
ด้านบนของปราการเมืองหน้าด่านคลาคล่ำไปด้วยทหารที่เพิ่งเปลี่ยนเวรยาม คบไฟทุกดวงถูกจุด
สว่างจ้า ในป้อมยาม หัวหน้าเวรกำลังจดบันทึกเหตุการณ์ว่าเหตุการณ์ปกติ ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่มีการถูก
โจมตีแต่อย่างใด ทุกอย่างสงบเงียบจนพวกเขาไม่รู้เลยว่ากำลังจะเจอกับอะไร
เสียงตอก ป๊อก! ป๊อก! ป๊อก! เหมือนนกหัวขวานกำลังเจาะไม้เป็นโพรงถูกเสียงย่ำเดินผสมเกราะ
กระทบกันกลบสิ้น พุ่มไม้ใหญ่ตรงข้ามปราการสั่นไหวเล็กน้อย
“ พวกมันจุดไฟขนาดนี้ คงต้องการมองเห็นศัตรูอย่างชัดเจน ” เพี่ยวซานบอก
“ แต่แสงที่มากเกินไปก็ทำให้พวกมันตาพร่าเห็นเราไม่ชัด ทั้งยังเป็นเป้าที่เราเห็นได้
ชัดเจนอีกด้วย ” ชาบูหลั่นตากล่าว
เสียงนกหัวขวานเจาะไม้ยังดังต่อเนื่องกระทั่งดวงจันทร์นวลอร่ามเคลื่อนถึงจุดสูงสุดของท้องฟ้า เงา
ตะคุ่มมากมายผลุบเข้าในกำแพงเมืองแล้วเคลื่อนตัวซ่อนตามจุดต่างๆอย่างเงียบเชียบ
ยามมรณะของเมืองใกล้มาถึงแล้ว...
จู่ๆดวงไฟจำนวนมากก็โผล่เต็มหน้าเมือง ทหารด้านบนฉงนยิ่งนัก แล้วดวงไฟนั้นก็พุ่งใส่คน กำแพง
ป้อมทหาร ไฟลามติดคานไม้โหมไปทั่ว เสียงลูกธนูแหวกอากาศ ฟวั่บ! ฟวั่บ! ถูกทหารล้มตายเป็นเบือ
ทหารซู่ซินโห่ร้องจนกำแพงสะเทือน เหล่าทหารยามวิ่งรับมือฉุกละหุก
“ ข้าศึกโจมตี ข้าศึกโจมตี ” ทหารคนหนึ่งระดมกลองป่าวไปทั่ว
แม่ทัพรักษาเมืองบัญชาพลธนูตอบโต้ชุลมุน ภายในเมืองก็วุ่นวายด้วยคนหนีตาย
ทหารซู่ซินโจมตีเต็มที่แต่ก็ไม่รุกเข้ามามาก แม่ทัพเฟิงโจวแปลกใจที่ไม่เห็นเครื่องมือทำลายกำแพง
ใดๆ ทันใดนั้นก็ได้ยินทหารข้างล่างเอะอะวุ่นวาย เขาหันไปดูก็แทบเข่าอ่อน
ทหารซู่ซินนับพันยืนน่าเกรงขาม เงาดาบเหล็กสะท้อนแสงจันทร์มันปลาบน่าสะพรึง พวกนั้นโจมตี
อยู่นอกเมืองทำไมเข้ามาอยู่ในเมืองได้ หรือจะล่องหนหายตัวเข้ามาราวกับปีศาจ
ที่แท้สายลับซู่ซินสำรวจพบรูเล็กๆใกล้ฐานกำแพงเมืองหน้าด่าน เดิมกำแพงปราการนี้แข็งแกร่ง
มาก แต่เมื่อเผชิญการรุกรานหลายครั้ง กำแพงก็บิ่นเสียหายและร่องรอยก็เพิ่มขึ้นตามกาลเวลา ทั้งทหาร
รักษาเมืองก็ไม่ใส่ใจดูแลซ่อมแซม เสียงนกหัวขวานเจาะไม้แท้จริงคือเสียงเจาะกำแพงสกัดจากรูเล็กๆจนกว้าง
ขึ้นขนาดคนลอดได้ ทหารซู่ซินจึงลอบเข้าเมืองได้ และบัดนี้กำลังมาเพื่อเปิดประตูเมืองให้ทัพใหญ่เข้ามา
บดขยี้เมืองหน้าด่าน
ทหารซู่ซินจัดการทหารด้านล่างอย่างรวดเร็วแล้วดิ่งไปที่ประตูเมือง แม้ทหาร ด้านบนจะหลั่งไหล
ลงมาสุดชีวิต แต่ก็สายไปเสียแล้ว
ทัพซู่ซินทะยานเข้ามาอย่างประกาศชัยแล้วรุกรานไปทุกส่วนของเมือง เปลวไฟลามติดบ้านเรือน
กระพือโหม ทั่วท้องฟ้าเหนือเมืองแดงบาดตา ปราการที่ครั้งหนึ่งเคยสง่างามต้านทานข้าศึกนานา กลับเหลือ
เพียงซากแห่งความทรงจำที่มีแต่ศพเกลื่อนและถูกไฟโลมเลียจนไม่เหลือสภาพสง่างามเช่นเดิม
อนิจจา! เมืองใหญ่ต้องพินาศเพราะไม่ใส่ใจรายละเอียดเพียงเล็กน้อย
ชาบูหลั่นตายืนบนยอดปราการ แหงนมองดวงจันทร์งามเด่นกลางฟากฟ้า เพี่ยวซานเดินเข้ามา
เงียบๆแล้วนั่งลงบนเก้าอี้ตัวไม่ไกลนัก
“ อยู่กับข้าท่านยังคิดถึงนาง ”
เขาหันหน้ามา “ ข้าแค่เพ่งความงามของดวงจันทร์ ไม่ได้คิดถึงใครที่ไหน ”
“ คนที่คิดถึงคนรักมักเหม่อมองดวงจันทร์ ” เพี่ยวซานบอก “ สายตาท่านไม่ได้เพ่ง
ดูดวงจันทร์ แต่เหม่อไปที่ไกล ถ้าไม่คิดถึงคนที่ซู่ซินแล้วจะคิดถึงใคร ”
ชาบูหลั่นตาไม่อยากต่อล้อต่อเถียงกับนางต่อ
“ เราเพิ่งยึดเมืองมาได้ ท่านไปดูความเรียบร้อยดีกว่า ไฟดับสนิทแล้วหรือยัง
จับเชลยมาได้เท่าไร แล้วที่หนีไปได้มีคนสำคัญบ้างไหม ไปตรวจมาให้หมด ”
ใบหน้างามบึ้งตึงทันที “ เจ้ามันคนเย็นชา ”
ชาบูหลั่นตาไม่ตอบโต้อะไร รอจนนางเดินกระฟัดกระเฟียดออกไปแล้วหันกลับดูดวงจันทร์ต่อ
นางพูดถูก เขาคิดถึงฟู่เอ๋อจริงๆ
ร่างโปร่งดูทอดถอนใจ แล้วเขาก็นึกถึงศึกวันนี้ คำที่แม่ทัพยินด่าและคำเกลี้ยกล่อมของแม่ทัพ
สวรรค์พรั่งพรูเข้ามาในหัว เขาคิดถึงอดีต สิ่งที่ทำให้เขาจากมาแล้วต้องมาพลิกผันมาอยู่ที่นี่
ชาบูหลั่นตาเอื้อมจับขอบกำแพงแล้วเพ่งดูดวงจันทร์อีกครา
ถ้าไม่มีวันนั้นก็คงไม่มีวันนี้ ถ้าไม่มีเรื่องวุ่นวายเกิดขึ้น ชีวิตเขากับฟู่หลานคงสงบสุขไปอีก
นานแสนนาน และคงมีความสุขมากทีเดียว
. . . . . . . . . .
. . . . . .
. . .
ผืนเมฆละอองเบาทอดยาวไกลสุดสายตา แสงทองเรืองรองอาบไล้ทุกอณูของกลีบเมฆ เกิดเป็น
ชั้นเงาเหลื่อมแสงงามพิศวง แสงงามตรึงใจนี้มิได้มาจากดวงอาทิตย์หรือเปลวไฟที่โชติช่วง หากแต่มาจาก
เรือนวิมานเจิดจรัส เปล่งไปไกลกว่าหมื่นลี้ สาดส่องทุกด้านของสวรรค์นั้น
เหล่าเทพบุตรและเทพธิดาสวมอาภรณ์งดงาม บางเบาพลิ้วไหวดังขนนกลู่ลม เรือนกายพวกเขา
เปล่งรัศมีสุกใสพราวพราย ประหนึ่งประดับด้วยเกล็ดดาวระยับส่องแสงแวววาววูบวาบหลังแมกไม้เขียวขจี
อุทยานใหญ่ร่มรื่นร่มเย็น สายหมอกเคลียไม้ชอุ่มที่ขึ้นสลับลดหลั่นกันไป มวลบุปผาคลี่บานสดใสราวรอยยิ้ม
สตรีแรกรุ่น ผลไม้สุกทิ้งตัวเชื้อเชิญและพร้อมจะปลิดขั้วหล่นลงมาหากมีใครต้องการมัน เจ้าของเรือนร่าง
สุกใสเคลื่อนตนไปอย่างใจคิดชมความงามไม่รู้เบื่อ ริมสระน้ำใสกระจ่างมีบรรดาเทพธิดาวักน้ำเล่นสนุกสนาน
ป่านี้เขียวชอุ่มตลอดปีและงดงามยืนยง ไม่มีฤดูใดนอกจากฤดูใบไม้ผลิ ฤดูแห่งความสดชื่นและ
อากาศอบอุ่น ใบไม้ที่นี่ไม่เคยร่วงจากต้นหากไม่มีใครไปเด็ดมัน ดอกไม้บานตลอดปีและผลไม้ก็โตแทนที่
ทันทีหากลูกใดลูกหนึ่งบนต้นหลุดไป
อุทยานงามเคียงข้างปราการสูงสง่า หินสีนวลก้อนใหญ่เรียงสูงขึ้นไป รอยต่อแนบสนิทไร้ช่องแม้แต่
ใบมีดบางเฉียบก็ลอดเข้ามาไม่ได้ ยอดบนกว้างขวางพอให้รถเทียมม้าสี่ตัววิ่งสวนไปมาได้อย่างสบาย และมี
ป้อมรักษาการณ์เรียงรายเป็นระยะตลอดแนวกำแพงเมือง กำแพงนี้โอบล้อมเมืองใหญ่ไว้ภายใน ตำหนัก
เล็กใหญ่ทอดตัวบนเนินสูงต่ำไปตามพื้นที่ เบื้องหลังเป็นทิวเขาสลับซับซ้อน มีสายน้ำลำธารใสเย็นทอดสาขา
ไปทั่วเมืองประดุจเส้นเลือดใหญ่ที่หล่อเลี้ยงคนในเมือง ทุกตำหนักล้วนมีหลังคาสีเงินสว่างดังดูดแสงจันทร์
กระจ่างไว้ภายใน ตัวตำหนักสร้างด้วยไม้ทั้งหลัง บ้างประดับอัญมณีแวววาว บ้างฉลุลายงามวิจิตร บ้างเป็น
สีทองหรือเงินเรียบแต่ก็ส่องประกายระยิบระยับน่าดู มีแนวพุ่มไม้ดอกไม้รายล้อมเหมือนเป็นรั้ว และมีทุ่ง
ดอกไม้สวยงามรวมไม้ใหญ่ร่มรื่นกระจายอยู่ทุกส่วนของเมือง
จุดสูงสุดของเนินเขาดูจะสะดุดตาที่สุดเพราะมีตำหนักงามหลังใหญ่กว่าตำหนักใดๆตั้งอยู่ หลังคา
สีทองสุกใสอร่ามตาเป็นที่มาของแสงสว่างทั่วสวรรค์ แสงทองงดงามแต่ก็นุ่มนวลไม่บาดตา ชายคาไม้ฉลุ
ลายมังกรเหินฟ้า เสาแดงต้นใหญ่สูงตระหง่านค้ำเพดาน พื้นหน้าตำหนักปูด้วยหยกสีมรกตแวววาวสะท้อน
เงาบานประตูมหึมาสีแดงสลักรูปมังกรทอง ตามผนังประดับประดาเพชรพลอยหลากสีซึ่งถ้ามองต่างมุมก็จะเห็น
แสงสีต่างกันไป ทั้งสีเพลิงก่ำ เขียวใบไม้สด ส้มเรืองอย่างดวงอาทิตย์อรุณรุ่ง ขาวพร่างพราวอย่างแสงดาว
บนฟ้าราตรี ฟ้าครามอย่างน้ำทะเล และอีกสารพัดสี เรือนตำหนักรายล้อมด้วยอุทยานกว้างใหญ่ ดอกไม้
สวยชูดอกสะพรั่งส่งกลิ่นหอมระรวย ตลอดจนพฤกษานานาพันธุ์ และคลาคล่ำด้วยสัตว์นานาชนิด ทั้งนกน้ำ
ท่าทางสง่างาม กวางที่มีลูกตาแวววับเหมือนเพชร กระต่ายปุกปุยสีชมพูอ่อน มีสระน้ำใสบริสุทธิ์ที่ไหลมา
จากบนเทือกเขาและแตกสาขาไปทั่วเมือง มองเห็นปลาสวยงามว่ายเวียนวน บัวบานสะพรั่งส่งกลิ่นหอมหวน
ตรึงใจ ใบบัวก็แวววาวเหมือนแก้ว นกน้อยตัวกระจิดริดบินร่อนไปมาดูดน้ำหวาน เจ้าของตำหนักงามกับ
อุทยานกว้างใหญ่เช่นนี้จะเป็นใครไม่ได้นอกจากจักรพรรดิเป่าซินผู้เกรียงไกร ผู้ปกครองโลกสวรรค์ทั้งมวล
เทพบุตรผู้หนึ่งลอยละล่องมาตามลำพัง มุ่งหน้าไปทางอุทยานข้างเมือง แสงทองต้องปุยเมฆเป็น
ประกายระยิบระยับดูคล้ายหิมะยามกระทบกับแสงแดดมากกว่าจะเป็นเมฆ เขามัวชื่นชมความงามตลอดทาง
จนไปสะดุดตากับสิ่งหนึ่ง วงโค้งสีนวลเลื่อนขึ้นพอเห็นถนัดตา มันแทรกตัวอยู่ในปุยเมฆอ่อนเบาที่โอบอุ้มมัน
ไว้ราวจะปกป้องและทะนุถนอมเจ้าไข่ใบน้อย ไม่นานข่าวว่าพบไข่ประหลาดก็สะพัดไปทั่วราวเกสรไม้ต้องลม
ปลิวกระจายไปทั่วทั้งสวรรค์แห่งนั้น
สามวันหลังจากนั้น ไข่ประหลาดขยายใหญ่กว่าเดิมมาก หลายต่อหลายครั้งที่ผู้มามุงดูต่างวิจารณ์
มัน บ้างตื่นเต้น บ้างก็กังวล เพราะมันไม่มีท่าทีว่าจะหยุดโตเพียงเท่านี้ เสียงซุบซิบโต้เถียงเหล่านั้นดังขึ้น
เรื่อยๆจนกลายเป็นเสียงเซ็งแซ่ จู่น้ำเสียงห้าวหาญของบุรุษหนึ่งก็แทรกขึ้น
“ หลีกทางให้เราหน่อย ”
เหล่าเทพต่างหันไปดูต้นเสียง เทพบุตรกลุ่มหนึ่งกำลังก้าวเข้ามาด้วยท่วงท่าสง่างามพร้อมเพรียง
พวกเขาสวมเกราะเต็มงามเฉิดฉาย โดยเฉพาะผู้ที่อยู่หน้าสุด เกราะสีทองของเขาเปล่งประกายงดงามมาก
ทีเดียว
“ ท่านแม่ทัพสวรรค์ ” เทพองค์หนึ่งเรียกเขา
เซิ่งตู่ คือแม่ทัพใหญ่ผู้คุ้มกันจักรพรรดิเป่าซินและสรวงสวรรค์ อีกสมญานามที่เรียกกันคือแม่ทัพ
สวรรค์ แม่ทัพนายกองรวมทหารทั้งหลายของสวรรค์ล้วนอยู่ใต้บังคับบัญชาของเขา ทั้งเป็นผู้มีฝีมือการรบที่
น่าเกรงขาม ปีศาจ ผีร้ายทั้งหลายเมื่อได้ยินเพียงชื่อก็จะหวาดกลัวหนีกระเจิงไปเสียหมด ในยามปกติเป็นผู้
มีความยุติธรรมและมีน้ำใจจึงเป็นที่รักใคร่และนับถือ ลักษณะเขาก็เป็นที่ชื่นชมจดจำ ดวงหน้าผ่องดังจันทรา
สงบนิ่งปานผิวน้ำยามลมมิพัดไหว หากเห็นความหาญกล้าที่ซ่อนในดวงตาวาวโรจน์ รูปร่างสูงแกร่งงามสง่า
ท่าทางสุขุมน่าเกรงขาม ทำให้เขาเป็นที่เคารพยำเกรงของทวยเทพทั้งหลาย
“ ขอเราดูไข่นั่นหน่อยได้ไหม ” แม่ทัพสวรรค์เอ่ย อีกฝ่ายค้อมศีรษะแล้วผายมือ
เชิญ พวกที่อออยู่ก่อนหน้าหลีกทางให้ พอเข้าไปถึงลูกน้องเขาก็จัดแจงสำรวจ ลองยกไข่แล้วยืนซวดเซ
ทำท่าจะไม่ไหว เพื่อนรีบเข้าช่วยแต่ก็ทุลักทุเลอยู่ดี
“ ไม่รู้มันคือตัวอะไร ” พวกเขาบอกแม่ทัพ
“ ช่วงนี้ต้องคอยระวังศึกจากพวกปีศาจ แล้วยังมาเจอไข่ประหลาดอีก ” สีหน้าแม่ทัพใหญ่เคร่งเครียดขึ้นมา
“ ให้ทำลายไข่เลยไหมขอรับ ”
“ อย่าเพิ่ง ” เขายกมือห้าม “ เรายังไม่รู้ว่ามันคือตัวอะไร อาจจะเป็นตัวดีหรือร้ายก็ได้ ”
“ แล้วถ้าร้ายล่ะขอรับ ” ดวงตาน่าเกรงขามกระตุกนิดหนึ่ง เขานิ่งชั่งใจ
“ ข้าจะไปทูลองค์จักรพรรดิก่อน ”
“ ข้าอยากให้รอก่อน ” สุรเสียงทรงอำนาจก้องไปทั่วท้องพระโรงใหญ่ศีรษะแม่ทัพ
สวรรค์ก้มจ้องพื้นหยกขณะฟังรับสั่งนั้น เขารีบค้านด้วยความกังวล
“ แต่เรายังไม่รู้ว่านั่นเป็นตัวอะไรนะพะย่ะค่ะ ”
“ ยังไม่รู้ว่าเป็นสัตว์ประเภทไหน จะดุร้ายหรือไม่ด้วย ”
แม่ทัพใหญ่ชะงัก เลิกตาขึ้นเห็นพระพักตร์สุขุมนิดหนึ่ง
“ ท่านเซิ่งตู่ ”
เซิ่งตู่รีบกลอกตาลง “ พะย่ะค่ะ ”
“ แต่ข้าว่าเราควรต้องรู้ให้แน่ชัดเสียก่อนว่ามันคือตัวอะไร ถ้ามันเป็นตัวร้ายค่อย
จัดการเสียก็ยังทัน แต่ถ้าเรารีบลงมือก่อนแล้วความจริงเจ้าตัวนั้นไม่มีอะไร จะเสียชีวิตผู้บริสุทธิ์ไปเปล่าๆ ”
สีหน้าแม่ทัพนิ่งลง ก่อนค้อมศรีษะรับพระวินิจฉัยของพระองค์
เวลาผ่านไป ไข่ปริศนาก็ยิ่งใหญ่โตขึ้นทุกขณะ จนสูงท่วมศีรษะบรรดาเทพแล้วขยายใหญ่ขึ้นอีก
ในที่สุดก็สูงจวนยอดปราการเมือง เหล่าทหารรักษาการณ์มักแวะเวียนมาดูอย่างหวาดหวั่น แต่ไม่มีใครกล้า
แตะต้องไข่ใบนั้น ด้านล่างยังมีเหล่าเทพรายล้อมดู เสียงพูดคุยตอบโต้ดังเซ็งแซ่ขึ้นมาถึงข้างบนที่มุมหนึ่ง
ของกำแพง เซิ่งตู่กำลังจ้องดูมันด้วยสีหน้ากังวล
เปรี๊ยะ..!!
ทุกองค์สะดุ้งอย่างรู้สึกได้ เซิ่งตู่ตะลึงเพ่งไข่ เส้นหยักสีดำพาดผ่านเปลือกนวลเป็นแนวยาวพร้อม
กับสั่นระรัวรุนแรง ทันใดนั้นเปลือกไข่ก็แยกเป็นสองด้านแล้วกว้างขึ้น เส้นเขียวเลื้อยลอดช่องแยกชูไสว
ไปมา แท่งสีน้ำตาลขรุขระทะลุออก แล้วเสียงก็ลั่นแสบแก้วหู เปลือกไข่ร่วงกราว
มันดันหัวขึ้นมา ลูกตาสีน้ำตาลทองแดงถมึงโพลง หนวดยาวสีเขียวไหวไปมาเหนือปากที่อ้าเห็น
แนวเขี้ยวคม ลำตัวเขียวเลื่อมเลื้อยออกมาจนสุดแล้วชันคอขึ้น คำรามลั่นสะท้านผืนเมฆาอันกว้างใหญ่
“ ม..! ” เสียงผู้หนึ่งตะโกนขาดหายไปหลังจากนั้น
“ มังกร! ” อีกเสียงตะโกนเติมคำที่ขาดไป
เขาคู่สีน้ำตาลขรุขระแทงยอดเรียวแหลมเหนือหน้าผากโหนกนูน ดวงตาโพลงสีทองแดง บาง
มุมเรืองแสงเหมือนถ่านคุไฟ ลำตัวมหึมายาวเหยียดระยับท้าแสงทอง มันช่างดูใหญ่โตแข็งแรงนัก จนผู้
เฝ้าดูอดคิดไม่ได้ว่าต่อให้เป็นขุนเขาที่ยิ่งใหญ่และแข็งแกร่งเพียงใด ก็คงโค่นราบคาบลงด้วยกำลังของมันแม้
ยามเคลื่อนไหวนิดเดียวเป็นแน่ พวกเขารีบถอยห่างจากมัน คาดไม่ถึงว่ามันจะขยับตัวตาม
เหล่าเทพนักรบรีบชักดาบขู่ แต่ดาบเล่มกะจ้อยร่อยเท่าเล็บมันไหนเลยจะขู่ให้กลัวได้ พวกเขาจึง
เป็นฝ่ายถอย ใครคนหนึ่งร้องเสียงหลงเมื่อพบว่าหลังติดกำแพงแล้ว
ขณะที่อีกฝ่ายรู้สึกถูกคุกคาม แววตาเจ้าตัวยักษ์กลับไม่แสดงท่าทีข่มขู่แม้แต่น้อย มันแค่สงสัยว่า
พวกเขาเป็นใคร และที่นี่คือที่ไหน จะเข้าไปไต่ถามแต่พวกเขากลับถอยหนี มันจึงหยุดแล้วคำรามก้อง
เสียงคำรามนั้นคือคำถามของมัน มันไม่รู้ว่าไม่มีใครเข้าใจคำถามนั้นและมันก็ไม่สามารถพูดภาษา
อีกฝ่ายได้ มันตัดสินใจหันหัวไปทางหนึ่ง ทุกเทพบริเวณนั้นกรีดร้องวิ่งหนีชุลมุน มันหันหัวตามแล้วเปลี่ยน
ทิศ พวกเขาก็วิ่งหนี มองไปทางไหนก็เห็นหนีตนวุ่นวาย
“ ช่วยด้วย มังกรอาละวาดแล้ว ”
แม่ทัพสวรรค์พยายามขัดขวางแต่เข้าไม่ถึงตัวมังกรเพราะเหล่าเทพปิดทางไปหมด
ลำแสงเจิดจ้าพุ่งเข้าดวงตาสีชาวาบหนึ่ง มันหันหัวไปทางนั้น ยอดวิมานทองงามเด่นทอแสงอร่าม
แต่นุ่มนวล ยิ่งใกล้หลังคายิ่งดูพร่าเลือนราวจะเป็นเนื้อเดียวกัน มันตกตะลึงไปชั่วครู่ แล้วหันหัวมุ่งไป
ทางนั้น
“ แย่แล้ว ” เหล่าเทพที่กำลังหนี หันกลับมาร้องเสียงหลง
มังกรยักษ์ทะยานไปอย่างรวดเร็ว สุดที่ผู้ไล่หลังจะตามทัน สีหน้าพวกเขาตระหนกสุดขีดเมื่อนึกถึง
ชาวสวรรค์ที่อาศัยอยู่ในเมือง
ชาวสวรรค์ด้านในแตกตื่นอลหม่าน เจ้ามังกรไม่สนใจใครทั้งสิ้น มุ่งหน้าไปวิมานทองอย่างเดียว
แม่ทัพสวรรค์ทะยานขวางทันทีแต่ก็ไม่อาจหยุดมันได้ ช่วงคับขันนั้น เขานึกมนตร์ได้บทหนึ่งจึงรวมจิตแล้วซัด
พลังถูกมังกรกระเด็นลิ่วออกนอกเมือง มันบาดเจ็บไม่น้อย เซิ่งตู่รีบร่ายมนตร์คุ้มกันกำแพงเมือง ป้องกันไม่ให้
มันกลับเข้ามาได้อีก
ชาวสวรรค์เห็นท่าทางมันสิ้นฤทธิ์เช่นนั้นก็พากันโห่ไล่ ตะโกน มังกรปีศาจ ไปให้พ้น ไปให้พ้น
แล้วเสกก้อนหินปาซ้ำ มันเจ็บทั้งกายเจ็บทั้งใจ ขยับร่างที่บอบช้ำหลบเข้าป่าไป
แต่เจ้ามังกรที่น่าสงสารก็ยังมาป้วนเปี้ยนแถวกำแพงเมือง ส่งเสียงครางเบาๆหวังว่าพวกเขาจะเข้าใจ
แต่กลับทำให้ชาวสวรรค์รู้สึกหวาดหวั่น ไม่มีใครกล้าเปิดประตูเมืองและก็ไม่มีใครอยากออกไป บนกำแพง
เมืองยังขวักไขว่ด้วยทหารระวังภัยมากกว่าปกติ แต่ก็ไม่ได้ทำอะไรกับมัน ในที่สุดมังกรที่โศกเศร้าและอ่อนล้า
ก็ทอดตัวลงนอนขวางประตูเมือง
ทันใดนั้นก็ปรากฏร่างบุรุษผู้หนึ่งกำลังมุ่งมาทางเมืองด้วยท่าทางร้อนรน ทหารรักษาการณ์เห็นเข้าก็
ตกใจมากเพราะคิดว่าชาวสวรรค์อยู่ในเมืองทั้งหมดแล้ว ผู้มาใหม่มัวแต่คิดธุระตน เดินมาเจอสิ่งกีดขวางมหึมา
ก็คิดว่าถึงประตูเมืองแล้ว
“ เปิดประตูหน่อย ” เขาตะโกน
ทหารด้านบนหน้าตาเลิกลั่ก จะเปิดได้อย่างไร มันไม่ใช่ประตู!
ชาวสวรรค์สามารถเหาะหรือหายตัวไปที่ไหนโดยสะดวกก็จริง แต่กำแพงเมืองซึ่งมีการรักษาความ
ปลอดภัยอย่างแน่นหนาและเข้มงวด จะเหาะข้ามไปเลยหรือจะโผล่เข้าเมืองทันทีคงไม่ดีนัก ผู้ที่จะเข้าเมือง
จึงต้องผ่านประตูเมืองโดยตรงก่อน ผู้มาใหม่จึงต้องยืนคอยทหารยามเปิดประตูให้อย่างนี้ ผ่านไปสักพักก็
รู้สึกว่าไม่ได้รับการตอบรับจากทหารด้านบน จึงแหงนหน้าตะโกนอีกครั้ง
“ เปิดประตูหน่อย! ”
พูดแล้วก็จ้องดูประตูด้วยความแปลกใจ แต่ก่อนมันเป็นสีทองสุกอร่าม แล้วทำไมคราวนี้จึงเป็น
เกล็ดๆสีเขียวเลื่อม
“ นั่นไม่ใช่ประตู! ” ทหารผู้หนึ่งตอบเสียงลั่นพอกัน เขาเหยียดแขนชี้ลงมาเต็มที่
อีกฝ่ายมองตามมือนั้นแต่ไม่เข้าใจ
“ ข้าไม่มีเวลาแล้วนะ ต้องรีบไปเข้าเฝ้าองค์จักรพรรดิ เปิดประตูเร็วๆ ”
ทหารผู้นั้นชี้ลงมาอีก พอดีประตูเขียวเลื่อมเหยียดขาออกมา ทำเอาผู้มาใหม่สะดุ้งโหยง โดด
ถอยออกมาตั้งหลัก
“ ตัวอะไรกันน่ะ ”
หนวดสีเขียวชูไสว มันพลิกหัวมาทางเขา เขาตะลึงจังงังไปชั่วขณะ แต่พอนึกถึงภารกิจที่ต้องไป
ทำก็เริ่มร้อนใจ
“ จะสายแล้วนะ เอามันออกไปเร็วๆ ”
ทหารยามทำหน้าตกใจเป็นครั้งที่สอง มองเจ้ามังกรอย่างหวาดๆแล้วไม่กล้าทำอะไร กระทั่งผู้มา
ใหม่เริ่มหงุดหงิดหันไปไล่เสียเอง
“ นี่ ถอยออกไปหน่อยได้ไหม มานอนเกะกะขวางทางทำไม ”
หน้าตาเขาถมึงทึงไม่มีกลัวเกรง แต่เสียงตะโกนอย่างบ้าบิ่นไม่อาจปลุกมังกรที่เหนื่อยล้าให้ลุกตื่น
จากการหลับใหล เขาท่าทางหัวเสียกว่าเดิม ดิ่งเข้าไปฉุดหนวดยาวๆของมัน
“ จะตื่นไหม! ”
เทพใจกล้าออกแรงดึง ทั้งฉุดและกระชาก หัวมันโคลงตามคอแทบหัก เจ้ามังกรหน้าเบ้จัด
ก่อนดวงตาทั้งคู่จะเปิดโพลง อีกฝ่ายยังยืนต่อว่าอีกหลายยก มันคำรามโต้สองสามครั้ง แต่ฝ่ายนั้นไม่กลัว
สักนิดทั้งยังต่อว่าไม่หยุดหย่อน มันระอาใจจึงลุกหนีไปเสียเอง
มันเร้นกายไปอาศัยในอุทยานข้างเมือง นับจากนั้น สวนสวรรค์ที่เคยเป็นที่พักผ่อนหย่อนใจก็กลาย
เป็นสวนต้องห้ามที่ไม่มีใครกล้าเฉียดใกล้ แม้แต่เทพใจกล้า เพราะความโมโหเลยบ้าบิ่นได้ขนาดนั้น แต่เมื่อ
อารมณ์เย็นลง เขาก็กลัวมัน
เสาสีแดงต้นใหญ่เรียงรายตลอดแนวท้องพระโรง เชื่อมเพดานทองคำกับพื้นหยกไว้ด้วยกัน
ตามผนังประดับประดาอัญมณีแพรวพราว จักรพรรดิสวรรค์ทรงประทับเหนือบัลลังก์หยกขาว ทรงอาภรณ์
ไหมทอง และมงกุฎทองคำสลักลายมังกรผงาด มีสายทองคำร้อยเพชรพลอยห้อยลงจากตัวเรือนเป็นที่บัง
พระพักตร์ ขุนนางทุกฝ่ายผลัดกันถวายงาน กระทั่งถึงคำถามที่ทรงถามว่า ชาวสวรรค์ยังสุขสบายดีอยู่
หรือไม่ ขุนนางผู้กำลังถวายงานอยู่กลับมีสีหน้าลังเลที่จะตอบ
“ ท่านเอ่อจี้ ”
องค์จักรพรรดิผู้ใส่พระทัยราษฎรมักทรงตรัสถามเช่นนี้เสมอมา ยิ่งช่วงหลังมีภัยรบกวนจากพวกปีศาจ
บ่อยครั้งทำให้ชาวสวรรค์เดือดร้อนไปทั่ว จึงยิ่งใส่พระทัยตรัสถามมากขึ้น ทั้งนี้เพื่อให้ทรงทราบทุกข์สุขของ
ผู้ใต้ปกครอง
เอ่อจี้นิ่งอึดใจแล้วทูลพระองค์
“ มังกรที่กำเนิดที่นอกเมือง เคยมาป่วนเราแล้วถูกแม่ทัพสวรรค์ไล่ออกไป
ตอนนี้ไปอาศัยในอุทยานใหญ่ข้างเมือง ทำให้ชาวสวรรค์ไม่กล้าไปพักผ่อนที่นั่นได้ตามปกติ ”
จักรพรรดิทรงระลึกได้ว่าพระองค์เป็นผู้สั่งมิให้ทำลายมังกรตัวนั้น ทั้งก่อนกำเนิดมาและคราวก่อนที่
มาป่วนเมืองเมืองสวรรค์
“ จะทำอย่างไรดีพะย่ะค่ะ ”
อุทยานถูกมังกรยึดไปไม่ใช่ประเด็นหลัก เพราะชาวสวรรค์ต่างมีสวนงามๆในเขตวิมานตนอยู่แล้ว
แต่ที่สำคัญคือทำให้พวกเขาหวาดผวาไม่กล้าออกจากเมือง แต่แรกพระองค์จับฌานได้ว่ามันจะให้คุณแก่
สวรรค์ จึงละเว้นโทษให้ แต่เมื่อเป็นเช่นนี้จึงทรงส่องฌาณดูอีกครั้ง
. . . . . . . . .
ลำตัวเป็นเกล็ดสีทะมึนบิดฟาดแผ่นดินถล่มแผ่นดินแยกทลาย เปลวไฟเจิดจ้าพุ่งโลดแตะท้องฟ้าสี
บาดตาเหนือซากปรักหักพัง ทุกหนแห่งเต็มไปด้วยไฟ
ไม่ใช่สวรรค์ แต่เป็นโลกมนุษย์
ท่ามกลางเศษซากหักพังนั้น พระองค์ทอดพระเนตรเห็นรูปปั้นสำหรับประดับชายหลังคา ทรงเพ่ง
ฌานเข้าไปใกล้อีก ซากปูนปั้นเว้าแหว่งดังถูกเปลวไฟที่โหมไหม้โดยรอบหลอมละลายไป แต่ยังพอมองเห็น
ส่วนจงอยปากและปีกของมัน
เหยี่ยว!
จักรพรรดิสวรรค์สะดุ้งพระทัย เพราะทรงจำได้ว่าเหยี่ยวนี้เป็นสัญลักษณ์ของแคว้นเฟิงโจว แคว้นซึ่ง
ปกครองด้วยพระราชาผู้ทรงธรรม์จนสวรรค์ต้องยอมรับและให้ความคุ้มครอง
สวรรค์นอกจากจะเป็นที่อยู่ของผู้กระทำความดีแล้ว ยังมีหน้าที่คุ้มครองความดีและคนดีให้ดำรงอยู่
เพื่อให้โลกมนุษย์มีความสงบสุข ไม่เช่นนั้นไฟแห่งความพินาศก็จะพลุ่งเผาผลาญสวรรค์ เสียงโหยหวนด้วย
ความทุกข์ของมวลมนุษย์ก็จะเซ็งแซ่ไปถึงเบื้องบนกระทั่งชาวสวรรค์มิอาจทานทนได้
ปลายหางสีเข้มสะบัดทำลายทุกอย่างพังพินาศ มันหันมาสบกับพระเนตรองค์จักรพรรดิ ดวงตา
สีแดงดั่งเปลวไฟที่กระพือโหมเจิดจ้า
จักรพรรดิสะดุ้งทั้งพระองค์ในทันที ขุนนางทั้งมวลประหลาดใจพระอาการ เอ่อจี้กำลังเอ่ยถาม
หากพระองค์ยกพระหัตถ์ห้ามไว้
มีบางอย่างที่แปลกไป
ดวงตาดั่งเปลวไฟหันกลับกลายเป็นสีน้ำตาลแดงตามปกติ พริบตาซากปรักหักพังก็หายไป
สายธารไหลรินนำความอุดมสมบูรณ์หล่อเลี้ยงผืนป่าเขียวขจีและเมืองใหญ่ เมืองซึ่งโหมไหม้ด้วยเปลวเพลิง
เปลี่ยนเป็นเมืองแห่งความผาสุก ชาวเมืองที่เดินผ่านมังกรไม่มีท่าทีกลัวสักนิด ทุกคนต่างเคารพมัน สีหน้า
ของพวกเขาปลื้มปีติยินดี แล้วมังกรก็หันหัวมาทางองค์จักรพรรดิ หมอบกายลงลักษณะที่ชูคออยู่ ก้มหัวทำ
ความเคารพแล้วเงยหน้า สายตามันอ่อนโยนและมุ่งมั่น พระองค์เกือบจะยิ้มตอบ
“ องค์จักรพรรดิ ”
เสียงเรียกของเอ่อจี้ดึงสติกลับมาสู่พระองค์ พระขนงทั้งคู่ขมวดหากันด้วยรู้สึกสับสนพระทัย เพราะ
ภาพที่เห็นช่างขัดแย้งกันอย่างมาก พระองค์จึงหลับพระเนตรพิเคราะห์
หากทรงปล่อยไว้เช่นนี้ก็จะสร้างความหวาดผวาให้กับประชาชน ทั้งเมื่อถึงคราวจอมปีศาจยกทัพมาก็
อาจชักชวนเทพมังกรผู้ทรงพลังร่วมมือกันมาโจมตีสวรรค์และแคว้นเฟิงโจวจนพินาศอย่างที่ทรงเห็น แต่ถ้า
พระองค์รับมันเข้ามาเป็นประชาชนของพระองค์และดูแลอย่างดี พลังมหาศาลของมันจะช่วยคุ้มครองสวรรค์และ
คนดีให้คงอยู่ต่อไป
“ ท่านเอ่อจี้ มังกรอยู่ที่อุทยานนอกเมืองใช่ไหม ” เอ่อจี้รีบ พยักหน้า “ ข้าจะไป
ที่นั่น ”
เซิ่งตู่ทำท่าร้อนใจขึ้นมาทันที จะห้ามปรามพระองค์
" พลังของเจ้าตัวนี้มหาศาลนัก ถ้าเราดูแลอย่างดีมันจะให้คุณ แต่หากทอดทิ้งแล้ว
จอมปีศาจมาเอาตัวไป เมื่อนั้น มันจะเป็นภัยที่ร้ายกาจที่สุด ”
ใบหน้าเหี่ยวย่นบิดเบี้ยวผิดรูป เสียงทุ้มแหบผสานกรีดร้อง สั่นระรัวพอๆกับร่างชายชราซึ่งกำลัง
ถอยกรูดด้วยความหวาดกลัวเขา เสียงนั้นสะท้อนก้องบาดลึกในหัวใจที่ด้านชา
เจ้าของดวงตาแดงดั่งถ่านคุไฟถมึงตาโพลง มองเห็นแววตาวะวาบไหวราวมีเปลวไฟเต้นระริกอยู่
ในตา เขายืนตรงแน่วดังรูปปั้น สองมือกำบีบเค้น ทุกคนโดยรอบต่างมีสีหน้าประหวั่นพรั่นพรึงยิ่งนัก
. . . . . . . .
แล้วเขาก็มายืนอยู่ในทางเดินโอ่โถงแห่งหนึ่ง เหลียวหน้าแลหลังเห็นแต่ทางเดินทอดยาวหาจุด
สิ้นสุดไม่เจอ เขาอยากออกไปจากที่นี่ คลำทางหาไปครู่หนึ่งจึงพบประตูมหึมาสีทอง แล้วบานประตูก็
เปิดผาง เขาพาตัวออกมายืนข้างนอก ทหารเฝ้าประตูเห็นเข้าก้มหน้างุด เบื้องหน้ามีกลุ่มชนชุมนุม
ปิดทางอย่างแน่นหนา พวกเขาต่างถอยไปเสียไกลอย่างกับบุคคลตรงหน้าน่าเกลียดน่ากลัวก็ไม่ปาน
“ มังกรนิรนามไร้ผู้กำเนิด ไร้ที่พึ่งโดดเดี่ยวไร้ผู้ใดข้างกาย ” น้ำเสียงที่เคยเปี่ยม
อำนาจกลับแหบพร่าด้วยความเศร้าระทมและสิ้นหวัง “ ด้วยหน้าตาอัปลักษณ์น่ากลัว รูปร่างทลายขุนเขา
จึงสยบยอมต่อจักรพรรดิเป่าซินผู้กล้า หวังเพียงความเมตตาและมิตรภาพที่จริงใจ ความหวังเบิกฟ้าสดใส...
พลันทลายลง ธนูแหลมคมเท่าไรมิอาจทะลุหินใหญ่ เช่นเดียวกับข้ามิอาจชนะใจประชาชน ”
เสียงนั้นก้องสะท้านไปทั่ว นำพาความเศร้าโศก คับแค้นสู่ทุกอณูจิตใจซึ่งเต็มไปด้วยความหวาดหวั่น
ของทุกคน หยดน้ำใสปริ่มล้นขอบตาแล้วไหลอาบแก้มของผู้เอ่ยวจี
. . . . . . . . .
. . . . .
ดวงตาคมเปิดผึงแล้วกลอกไปมา เห็นเงาคานเพดานทะมึนท่ามกลางความมืดของราตรีกาล พลัน
สัมผัสถึงความชื้นที่ใบหน้า ร่างโปร่งลุกขึ้นนั่ง ปาดคราบน้ำตาออกพลางมองรอบห้อง แสงจันทร์นวลสว่าง
จากภายนอกลอดหน้าต่างเข้ามา ฉายเงาโต๊ะและเก้าอี้ซึ่งยังสงบนิ่งอย่างที่ควรจะเป็น บนโต๊ะยังมีกองเอกสารที่
ทำงานเมื่อคืนวางอยู่เป็นระเบียบและเทียนไขที่จุดใช้ไปเหลือครึ่งเดียว
ชายหนุ่มวางตัวกลืนกับความมืดพลางครุ่นคิดเรื่องวันวานที่หวนกลับมาอีกครั้งในความฝัน ไม่ทันไร
บานประตูก็ลั่นกึก
“ ใคร ” เขาระแวงภัยทันที คนที่เข้ามาในห้องกลางดึกทั้งยังไม่ขออนุญาตเสียก่อน
อาจมีเจตนาร้าย
มีเพียงความเงียบและเงาดำวูบวาบหลังประตูเท่านั้นที่ให้คำตอบเขา
“ ข้าถามว่าใคร ” พูดแล้วก็หยิบดาบข้างตัวมาถือเตรียมไว้
บานประตูค่อยๆแง้มออก แสงเทียนวาบทำตาเขาพร่าไปชั่วครู่ เมื่อประตูเปิดอ้าจนสุด ก็เห็น
ดวงหน้างามอยู่หลังเปลวเทียนนั้น นางเคลื่อนร่างบอบบางเข้ามา ปิดประตูแล้วเดินมาที่โต๊ะ
“ ใกล้เช้าแล้ว ” นางวางเทียนลงบนโต๊ะ ทั่วห้องอาบแสงส้มเรืองทันใด “ ข้าได้ยิน
เสียงสะอื้นไห้มาจากห้องนี้เลยแวะเข้ามาดู ”
เขาเผลอยกมือลูบหน้าด้วยกลัวว่าคราบน้ำตาจะยังเหลือมาฟ้อง นึกขอบคุณแสงเทียนที่ยังพอปกปิด
ดวงตาแดงเรื่อที่เพิ่งผ่านการร้องไห้มา
“ นายท่าน ” เสียงหวานเอ่ยเรียก ชาบูหลั่นตามองหน้านาง เห็นความห่วงใย
สะท้อนจากดวงตาคู่สวยอย่างล้นเหลือ
“ ข้าไม่เป็นไร ” เขาตอบเสียงอ่อนโยน “ เมื่อครู่เจ้าไม่ขอว่าจะเข้ามา ข้านึกว่าจะมี
คนลอบเข้ามาทำร้าย ”
“ ข้าไม่แน่ใจว่าท่านอาจหลับอยู่ เลยไม่อยากปลุกให้ตื่น ” นางบอก
“ เจ้าบอกว่าใกล้เช้าแล้วใช่ไหม ”
ลมเย็นวูบมาปะทะผิวกาย ร่างโปร่งสั่นเล็กน้อย ยังดีที่เพิ่งลุกจากอ่างน้ำอุ่นมาจึงไม่รู้สึกหนาวมาก
ทั่วลานระเบียงอาบแสงเงิน ที่ขอบฟ้าไกลเริ่มระเรื่อสีขาวแต่ดวงจันทร์ก็ยังคงส่องแสงกระจ่างจนเห็นเงาอาคาร
บ้านเรือนที่แฝงตัวอยู่ในม่านหมอกยามเช้า ดูสงบเงียบและเคร่งขรึม ชาบูหลั่นตาเหม่อมองฟ้าไกล เช้าที่
แสนสงบและสดชื่นเช่นนี้จะมีอะไรที่รอเขาอยู่ ร่างบางตามออกมา สองแขนนางประคองดาบเล่มหนึ่งไว้
ในอก ดาบนั้นสีดำสนิทตั้งแต่ด้ามลงไปถึงปลายปลอก ไม่มีลวดลายใดๆ ไม่ประดับตกแต่งใดๆทั้งสิ้น เป็น
ดาบที่ให้ความรู้สึกเคร่งขรึมและน่าพรั่นพรึง เขายื่นมือไปรับ แต่พอจะหดแขนกลับนางกลับยึดดาบไว้
“ ท่านจะต้องปลอดภัยกลับมา ” เสียงนางสั่นเครืออย่างรู้สึกกลัวและกังวล
ชาบูหลั่นตาส่งแววตาเชื่อมั่นตอบ
“ ฟู่เอ๋อ ” เขาพยายามทำเสียงมั่นคง ทั้งที่ใจหายไม่น้อยที่ต้องจากนางไปทำศึก
“ ดูแลตัวเองด้วย ”
นางพยักหน้าช้าๆ ดวงตากลมสวยชื้นน้ำตา เขาจับมือนางมากุมไว้ สองสายตาประสานความรู้สึก
ต่อกัน หวาดหวั่น กังวลและอาลัยห่วงหา
ทหารเกราะพร้อมรบเดินแถวขวักไขว่ เสียงสัญญาณรวมพลระรัวเร่งเวลายิ่งขึ้น ไม่นานประตูเมืองก็
เปิดออกพร้อมกับทัพทหารหลั่งไหลออกมาราวกับสายน้ำ ผู้นำทัพควบม้าอยู่หน้าสุด เกราะสีดำของเขา
ต่างจากทหารทั้งหลาย ถือดาบดำไร้ลวดลาย ดวงตาเรียวคมประดุจพญาเหยี่ยวฉายแววดุดันมุ่งมั่นใต้หมวก
เกราะนั้น หนึ่งมือกระชับดาบมั่นอีกมือคุมม้าให้โจนทะยานไม่รั้งรอ พลม้าเร่งตามจนฝุ่นตลบไปทั่ว ม้าของ
แม่ทัพสีดำเหมือนเกราะเจ้าของ รูปร่างใหญ่โตและมีพลังมาก จึงควบนำเกินหน้าใคร แต่กระนั้นพลเดินเท้า
ก็ยังไล่ทันอย่างน่าประหลาด
ฟู่หลานกลับเข้าห้องนอนแม่ทัพ จัดเตียงแล้วเอาเทียนมาเปลี่ยนให้ เสียงฝีเท้าหนึ่งมาหยุดหน้า
ประตู นางหันไปดู สตรีใส่ชุดเกราะอ่อนยืนเท้าประตู ดวงตาคมคายจ้องนางเขม็ง ไม่มีรอยยิ้มสักนิดบน
ใบหน้าเย็นชานั้น
“ ท่านมีอะไรหรือเปล่า ” ฟู่หลานอึดอัด
นางเชิดหน้าหยิ่งผยอง แล้วก้าวฉับๆเข้ามานั่งเก้าอี้โดยไม่เกรงใจสักนิด
“ ข้ามีเรื่องจะพูดด้วย ” แม้จะเป็นสำเนียงที่ไม่เป็นมิตรนัก แต่ฟู่หลานก็ไม่อยาก
เอาความ นางนั่งลงบนเก้าอี้ตรงข้ามกัน
“ ท่านมีอะไรหรือ ”
เพี่ยวซาน เป็นหัวหน้าองครักษ์หญิงอารักขาเชื้อพระวงศ์ฝ่ายใน และยังเป็นที่ปรึกษาคนสำคัญที่
พระราชาไว้วางพระทัยมากคนหนึ่ง ด้วยใบหน้าเรียวเสลา ดวงตาคมคายฉายแววมุ่งมั่นกล้าหาญ กอปรกับ
รูปร่างที่สูงเพรียวสง่างาม นางจึงจัดเป็นสาวงามคนหนึ่ง แต่ถึงรูปโฉมจะงดงามสะดุดใจคนเพียงใดบนใบหน้า
สวยคมนั้นก็ไม่ค่อยเผยรอยยิ้มให้เห็น และนิสัยห้าวหาญเยี่ยงชายชาตรีของนางก็ยังเป็นปัญหา บ่อยครั้งที่
พระราชาทรงมีพระบัญชาตั้งนางเป็นแม่ทัพในศึกครั้งสำคัญต่างๆ ผู้ใต้บังคับบัญชานางล้วนเป็นผู้ชาย แต่ไม่มี
ใครกล้าขัดขืนนางสักคน เพราะต่างกลัวความดุเดือดเลือดเย็นของนางทั้งสิ้น ว่ากันว่าสิ่งที่ทำให้นางยิ้มได้
มีอยู่สามอย่าง คือเมื่อชนะศึกหนึ่ง ตัดศีรษะแม่ทัพศัตรูได้สอง และสามเมื่อเห็นโลหิตทหารศัตรูแดงฉาน
ไหลนองเป็นทางยาว แล้วนางได้ย่ำเดินประหนึ่งเป็นทางเดินปูด้วยพรมชั้นดี
“ เกี่ยวกับชาบูหลั่นตา ” เพี่ยวซานบอก “ ข้าอยากรู้ประวัติของเขา อีกอย่างที่
สำคัญกว่า เจ้ากับเขาพบเจอกันได้อย่างไร เมื่อไร แล้วพวกเจ้าแต่งงานกันได้อย่างไร ”
นางจ้องฟู่หลานอย่างคาดคั้นเอาคำตอบ อีกฝ่ายทำหน้าอึดอัดเมื่อเจอคำถามรุกเช่นนั้น ทั้งยัง
กลบเกลื่อนสีหน้าตกใจไม่มิดที่จู่ๆหัวหน้าองครักษ์ก็อยากรู้ประวัติของชาบูหลั่นตาขึ้นมา
“ พวกเจ้าสนิทสนมกันตั้งแต่ก่อนมาอยู่นี่ เจ้าน่าจะรู้อะไรเกี่ยวกับเขาไม่น้อย ”
เพี่ยวซานรุกเร้าอีก
“ ฝ่าบาทรับสั่งให้ท่านมาถามหรือ ”
“ ข้านี่ละที่อยากรู้ ”
หัวหน้าองครักษ์จ้องนางเขม็ง นางอึดอัดใจและกังวลยิ่งนัก แม้แต่จะหายใจเสียงดังก็ไม่กล้า
เพราะกลัวเพี่ยวซานหาว่ามีพิรุธ
“ นายท่านทูลเรื่องเรากับฝ่าบาทไปแล้วตั้งแต่ตอนเข้าเฝ้าครั้งแรกนี่ ”
“ แต่ข้าอยากฟังจากปากเจ้า ”
เพี่ยวซานจ้องสตรีตรงหน้า เรือนผมดำขลับถูกมุ่นเป็นมวยเหนือกระหม่อม ใบหน้างามอ่อนหวาน
ดวงตากลมโตดูไร้เดียงสาหากฉายความกังวลอยู่ลึกๆ รูปร่างที่อ้อนแอ้นบอบบาง และท่าทางยอมคนของนาง
ช่างเหมือนลูกกวางตัวน้อยที่กำลังจะถูกแม่เสือสาวขย้ำเอาความลับในไม่ช้า เรื่องสืบประวัติของชาบูหลั่นตา
ทุกคนสิ้นสงสัยไปแล้ว แต่ไม่ใช่กับนาง นางรู้สึกว่าสองสามีภรรยายังคงกุมความลับบางอย่างเกี่ยวกับความ
เป็นมาของพวกเขาเอาไว้ซึ่งยังไม่ได้ทูลพระราชาไปเมื่อตอนเข้าเฝ้าครั้งแรก
“ อย่างไรข้าก็คงตอบได้เช่นเดิม ข้ากับนายท่านรู้จักกันตั้งแต่ข้ายังเด็ก เราสนิท
กันมาก ก่อนเราจะถูกตามล่ามาจนถึงที่นี่ ”
“ แต่ข้าไม่ได้มาเพื่อฟังเรื่องเดิม ”
“ เช่นนั้นข้าก็ไม่รู้จะตอบอย่างไร เพราะเรื่องมีแค่นี้จริงๆ ”
“ แล้วเพราะอะไรพวกเจ้าถึงถูกไล่ล่ามา ”
“ ข้าต้องแต่งงานกับแม่ทัพเวยแห่งแคว้นเฟิงโจวด้วยความจำเป็น นายท่านยอมไม่ได้
เลยชิงตัวข้าหนีมา เราถูกไล่ล่าจนเข้าเขตแคว้นซู่ซิน แล้วได้คนของพวกท่านช่วยไว้ ”
“ แล้วเรื่องแต่งงานล่ะ ไหนพวกเจ้าบอกว่าเป็นสามีภรรยากัน ไม่เห็นมีตอนไหนที่
บอกว่าแต่งงานกันเลยนี่ ”
“ ข้าแต่งงานกับนายท่านก่อนที่จะแต่งงานกับแม่ทัพเวย ”
เพี่ยวซานกระตุกมุมปาก ลูกกวางที่นางคิดว่าจะโจมตีได้ง่ายร้ายกว่าที่คิดไว้ ไม่ว่าจะยิงคำถาม
คุกคามแค่ไหนก็ยังดิ้นรนหลุดรอดไปได้ทุกครั้ง ทั้งยังใช้เหตุผลสลายความสงสัยในเรื่องนั้นๆได้อีกด้วย
ฟู่หลานมองดวงตาคมคายด้วยใจเต้นระทึก พยายามคุมตนให้นิ่งที่สุด แม้อยากหลบตาใจจะขาด
ขออย่าให้นางถามคำถามใดอีกเลย หากถูกคาดคั้นมากกว่านี้ นางอาจหลุดพิรุธไปในไม่ช้า
“ แล้วท่านไม่ออกรบหรือ ” นางเปลี่ยนเรื่องคุย
เพี่ยวซานไม่ตอบ กลับเพ่งนางอย่างขุ่นเคืองระคนสงสัย อีกครั้งที่ฟู่หลานรู้สึกว่านางเป็นลูกกวาง
ตัวน้อยที่หนีการไล่ล่าสุดชีวิต แล้วถูกขวางทางหนี ในที่สุดแม่เสือสาวที่น่าพรั่นพรึงกำลังย่างเข้ามาหา
อย่างช้าๆ พร้อมจะขย้ำนางให้เหลือแต่กระดูก เป็นช่วงเวลาแห่งความเป็นความตายที่ทรมานใจ โดยที่นางไม่
อาจหนีจากภาวะนี้ได้เลย
เสียงรองเท้าหนังย่ำหนักๆผ่านทางเดินมาหยุดหน้าห้อง สองนางหันไปดู ทหารคนหนึ่งค้อมหัวให้
“ ได้เวลาแล้วขอรับ ”
สีหน้าหัวหน้าองครักษ์ดูขัดใจ แต่ก็เลี่ยงไม่ได้ นางจ้องฟู่หลานอย่างขัดเคืองครู่เดียวแล้วสะบัดร่าง
ตามทหารไป ฟู่หลานถอนหายใจยาว เกือบไปแล้ว ที่นางต้องกลัวเพี่ยวซานเพราะไม่ได้พูดความจริงทั้งหมด
เรื่องแต่งงานกับชาบูหลั่นตาไม่เคยเกิดขึ้น นางสนิทกับเขามากก็จริง แต่ไม่ถึงขั้นเป็นคนรัก เขาเป็นผู้ที่นาง
นับถือมาก ส่วนเขาก็เอ็นดูนางมากแค่นั้น แต่ที่นางกลัวที่สุดคือภูมิหลังของเขา หากเพี่ยวซานรู้เข้าแล้ว
ราชาซู่ซินทรงทราบ เขาอาจมีอันตรายจนถึงแก่ชีวิต
ชาบูหลั่นตาขับม้ามาถึงที่ราบคลุ้งฝุ่นอันกว้างใหญ่ซึ่งเป็นชายแดนระหว่างแคว้นซู่ซินกับแคว้น
เฟิงโจว ขณะนั้นดวงอาทิตย์โผล่พ้นขอบฟ้าแล้ว ท้องฟ้าเป็นสีส้มอมเหลืองอำไพ สาดแสงกระทบผืนที่ราบ
ฝุ่นทราย กรวดหินสะท้อนแดดพราวพราย ที่สุดปลายที่ราบปรากฏฝุ่นตลบ
“ จัดทัพ ” นายกองรับคำสั่งทันที
ดวงตาทุกคู่ภายใต้หมวกเกราะทหารเรืองแสงแดงวาบวับ
นักรบผู้หนึ่งควบม้านำตะบึงมาแต่ไกล ถึงจุดหนึ่งก็หยุดคุมเชิงอยู่ห่างๆ บรรดาผู้ติดตามรีบ
จัดขบวน ชาบูหลั่นตาเฝ้าดูอยู่เฉยๆ แต่กระชับดาบมั่นพร้อมสู้ พอจัดทัพเสร็จ แม่ทัพก็หันมามองฝ่าย
ตรงข้าม
“ แม่ทัพเวยยิน ”
เวยยิน คือแม่ทัพหนุ่มรูปร่างองอาจ เป็นบุตรชายคนเดียวของอดีตแม่ทัพใหญ่แห่งแคว้น
เฟิงโจว ดวงตากร้าวแกร่งใต้หมวกเกราะนั่นจ้องอย่างไม่เกรงกำลังข้าศึก แสดงว่าเป็นคนกล้าหาญไม่น้อย
“ วันนี้เราจะไปตัดหัวแม่ทัพยิน ” ชาบูหลั่นตาประกาศ “ เราต้องการอิสระแต่เขายัง
ขัดขวางอยู่ ถ้ายังมีเขาเราก็ไม่สามารถเป็นอิสระได้ และจะต้องเป็นทาสเฟิงโจวอยู่ร่ำไป ถ้าเจ้าปลดแอก
ไม่สำเร็จจะยังมีหน้าไปพบบรรพบุรุษได้หรือ ”
มีเสียงคำรามฟืดฟาดมาจากทั้งคนและม้า
“ พวกเนรคุณ! ” แม่ทัพยินตวาดลั่น “ เฟิงโจวดีต่อพวกเจ้ามาเท่าไร ไม่รู้สำนึก
ทั้งยังทรยศเสียอีก ”
แคว้นซู่ซินตั้งอยู่ทางตะวันออกของแคว้นเฟิงโจว สองแคว้นมีสัมพันธ์อันดีฉันบ้านพี่เมืองน้องและ
ผู้ครองแคว้นก็ต่างสนิทสนมกลมเกลียวกันดี แต่แล้วเมื่อถึงสมัยพระราชาจวงหยูต้องการเป็นอิสระ จึงยกเลิก
ไม่ส่งเครื่องบรรณาการและประกาศศึกกับแคว้นเฟิงโจว
“ ดีหรือ ” แม่ทัพซู่ซินแค่นหัวเราะ “ เจ้าบังคับเราให้ส่งเครื่องบรรณาการเป็น
ประจำ ดึงทรัพย์สินของล้ำค่าไปจากแคว้นเรามากมาย เช่นนี้หรือที่ว่าดีต่อเรา ”
“ เราไม่ได้บังคับ ” แม่ทัพเฟิงโจวตะโกนตอบ “ แคว้นซู่ซินเข้ามาสวามิภักดิ์ขอพึ่ง
บารมีแคว้นเรา และจะส่งเครื่องบรรณาการมาให้ เป็นเรื่องที่พวกเจ้าขอส่งเอง เราไม่ได้บังคับใดๆ ”
“ แล้วถ้าลองพวกข้าบอกไม่ส่งสิ พวกเจ้าก็จะยกทัพมาโจมตี ”
“ พวกเจ้าเลยชิงโจมตีก่อน ”
แม่ทัพยินผ่อนลมหายใจที่อัดอั้นอยู่ให้คลายลง รู้สึกว่าการตอบโต้ด้วยวาจากำลังจะกลายเป็นศึก
ปะทะคารม
“ เจ้ามันก็คนทรยศ ”
“ ใครทรยศใคร ” ชาบูหลั่นตาเถียง “ ก็เจ้าไม่ใช่เรอะที่ไล่ข้าออกมา ”
แม่ทัพเฟิงโจวแสดงความขุ่นเคืองทั้งสีหน้าและแววตา
“ แล้วเจ้าก็ไปเข้ากับศัตรู ” เขากัดฟันกรอด “ เจ้าปีศาจ! ”
“ ใช่ ข้ามันปีศาจ ” ชาบูหลั่นตายิ้มชั่วร้าย “ ปีศาจที่ไม่ว่าเจ้าจะประมือครั้งใดก็ต้อง
พ่ายแพ้ทุกครั้ง ”
แม่ทัพยินโกรธจัด ชักม้าพุ่งมาหา อีกฝ่ายชักดาบดำ เผยให้เห็นอักษรสีแดงบนใบดาบดำมัน
“ นักรบซู่ซินทั้งหลาย ” เขาชี้ปลายดาบไปที่แม่ทัพยินซึ่งกำลังควบม้าทะยานมา
“ จงไปตัดหัวมัน เพื่ออิสรภาพของแคว้นเรา ”
ทหารซู่ซินคำรามก้อง น้ำเสียงน่าขนลุกสะท้านไปทั่ว ทหารเฟิงโจวที่ลุยตามแม่ทัพมาถึงกับชะงัก
ด้วยความสะพรึงกลัว
“ นักรบเฟิงโจว ” แม่ทัพยินหันหัวม้ากลับไปทางพวกตน “ ไม่ต้องกลัวพวกมัน
หน้าที่ของเราคือปกป้องบ้านเมือง ไม่ว่ามันจะเป็นใคร คนหรือว่าปีศาจ อย่าให้มันเข้ามาเหยียบแผ่นดินเรา
ได้ ”
พูดจบก็หันหัวม้ากลับไปทางเดิมแล้วบุกเดี่ยวเข้าไปหาศัตรู ทหารเฟิงโจวเห็นความกล้าหาญของนาย
เช่นนั้น ก็พอมีกำลังใจบุกตามเข้าไป ชาบูหลั่นตาบัญชาพลธนูยิงสกัด ลูกธนูขนาดใหญ่ยาวกว่าปกติแล่น
โค้งเหนือพื้นดินพุ่งทะลุเกราะทหารกล้าล้มตายเป็นใบไม้ร่วง พลธนูเฟิงโจวยิงสวนกลับแต่นอกจากจะไม่ทะลุ
เกราะแล้ว ทหารซู่ซินยังไม่สะทกสะท้าน กลับดาหน้าเข้ามาไม่หยุด จวนตัวเข้าอาวุธระยะไกลอย่างธนูก็
ไม่มีประโยชน์อันใด จึงชักดาบเข้าสู้ ทัพทหารซู่ซินดูเหมือนจะกลืนทัพเฟิงโจวไปเรื่อยๆ ไม่มีใครที่เข้า
วงล้อมแล้วรอดออกมาได้ แม่ทัพยินพยายามบุกไปหาชาบูหลั่นตา แต่ไม่สามารถฝ่าวงล้อมเข้าไปได้
“ ชาบูหลั่นตา! ” แม่ทัพยินตะโกนก้องด้วยความเจ็บใจ “ เหตุใดจึงยืนนิ่งอยู่
เบื้องหลังแล้วให้คนอื่นออกมาปกป้องเจ้า เจ้าออกมาสู้กับข้าซี ออกมาสู้กันตัวต่อตัว เจ้าอยากได้หัวข้าก็มา
ตัดเอาไปเอง...เจ้ากลัวน่ะซี กลัวว่าจะสู้ข้าไม่ได้เลยใช้แผนทอนกำลังข้าก่อนใช่ไหม ”
ชาบูหลั่นตาขมวดคิ้ว แต่ยังไม่ขยับกาย
“ ชาบูหลั่นตา! ” ร่างผู้ตะโกนถูกกลืนหายไปกับฝุ่น
ทหารเฟิงโจวล้มตายเกลื่อนสนามรบ โลหิตแดงฉานไหลนองทั่วบริเวณ ทหารเฟิงโจวคนหนึ่ง
กำลังสู้กับทหารหกคนสุดชีวิต แต่แล้วทหารซู่ซินผู้มีดวงตาแดงก่ำก็คว้าคอเขาไปกัด โลหิตอุ่นสาดกระเซ็น
แล้วทหารที่เหลือก็เข้ารุมทึ้ง แขน ขา ชิ้นส่วนต่างๆถูกฉีกและกัดกินไม่เหลือหรอ
จู่ๆทหารเฟิงโจวก็ส่งเสียงฮือฮาขึ้น เมื่อเห็นฝุ่นคลุ้งตลบที่มุมหนึ่งของสนามรบ
“ นางมาแล้ว ” ชาบูหลั่นตาพึมพำ
ทหารเฟิงโจวบริเวณนั้นถูกฝุ่นกลืนครู่เดียวแล้วกระเด็นกระดอนออกมาทุกคน แต่ละคนเรียกสภาพได้
ว่าปางตาย แม่ทัพยินฉงนกับเหตุการณ์ เมื่อฝุ่นเริ่มจางลงจึงปรากฏร่างนักรบกลุ่มหนึ่ง บรรดาทหารซู่ซิน
ล้วนกู่ก้องเอาชัย
เพี่ยวซานนั่นเอง นางยังอยู่ในชุดเกราะอ่อนเหมือนเมื่อตอนคุยกับฟู่หลาน มือถือดาบโค้งคู่
ทั้งนางและผู้ติดตามไม่มีใครเอาม้ามาด้วยสักคน แต่ที่ฝุ่นตลบเพราะท่วงท่าต่อสู้ของนาง ใบหน้างามดู
โหดเหี้ยมเลือดเย็นพลันหันมาทางชาบูหลั่นตา ตามด้วยรอยยิ้มเยือกเย็น เขาไม่แน่ใจว่านางยิ้มให้เขา
หรือยิ้มเพราะเห็นเลือดศัตรูนองแผ่นดินรอให้นางเหยียบเล่นกันแน่
แล้วดวงตานางก็ถลึงขึ้นพร้อมกับกวัดแกว่งดาบ หมุนปลายเท้ารอบเดียวก็เกิดฝุ่นตลบคลุ้งเหมือนมี
พายุ เร็วขึ้น เร็วขึ้น จนมวลฝุ่นสูงขึ้นไปหลายวา แล้วเคลื่อนตัวหากลุ่มศัตรู ทหารซู่ซินตะลุยต่อด้วย
ใจฮึกเหิมกระหายเลือด ร่างทหารเฟิงโจวหลายต่อหลายคนถูกฉีกไม่เป็นชิ้นดี ทิ้งซากที่น่าเวทนาไว้
เบื้องหลัง ที่เหลือก็เสียกำลังใจมากจนพากันถอยไปรวมกลุ่ม เป็นเป้าให้เพี่ยวซานจัดการ แม่ทัพยินตกตะลึง
ทำอะไรไม่ถูก ทันใดนั้นก็มีเสียงคำรามลั่นราวฟ้าผ่า
แม่ทัพยินผวาเฮือกหันไปต้นเสียง ชาบูหลั่นตาลงมายืนข้างล่างเมื่อไรไม่รู้ เบื้องหลังเขาปรากฏ
แสงเขียวแวบวาบเหมือนฟ้าแลบ กำลังก่อตัวขึ้นเป็นรูปร่างของสิ่งหนึ่งที่มหึมา มีเขาและเขี้ยวแหลมคม
“ มัง...กร... ” เขาได้เสียงตัวเองแหบหายไปในลำคอ
กลุ่มเมฆทะมึนลอยปกคลุมท้องฟ้าอย่างรวดเร็วราวกับต้อนรับมัน แสงแดดแจ่มแจ้มเมื่อครู่หายไป
หมด เหลือแต่เมฆครึ้มเต็มฟากฟ้า สายฟ้าแลบแปลบปลาบตามด้วยเสียงกึกก้องสะเทือน มังกรทมิฬดวงตา
แดงเจิดจ้าแยกเขี้ยวคำรามลั่นแข่งกับเสียงฟ้า แม่ทัพยินผวาถอยโดยไม่รู้ตัว
ชาบูหลั่นตากำดาบแน่น ค่อยๆก้าวมาหา สีหน้านิ่งทว่าแววตาเหี้ยมเกรียม
คนอย่างแม่ทัพยินไม่มีทางยอมเอาชีวิตมาทิ้งอย่างไร้เกียรติแน่ แต่ก็ถอยไม่ได้อีกแล้ว ในเมื่อเหลือ
ทางเดียวคือต้องสู้ เขาจึงกระชับดาบในมือและวิ่งฝ่าลมเข้าไปโจมตีก่อน
สีหน้าแม่ทัพซู่ซินไม่แสดงความรู้สึกสักนิดขณะกวัดแกว่งดาบ พริบตาแม่ทัพยินก็กระเด็นไปไกล
เข่าลั่นปวดแปลบแทบขาดใจ แต่ก็กุมความเจ็บไว้แล้วลุกขึ้นมา พลันหมดแรง ภายในร่างกายปั่นป่วนดัน
ของเหลวคาวอุ่นจุกปาก เขาสำลัก เลือดทะลักนองพื้น
แม่ทัพยินกัดฟันข่ม แต่เลือดก็ยังทะลักออกมา เขาหมอบกับพื้น กำดาบแน่น ทั้งเจ็บและแค้น
กลิ่นคาวเลือดตัวเองและซากศพรอบข้างคละคลุ้งน่าสมเพช ขณะที่ชาบูหลั่นตากำลังก้าวมาหาอย่างเยือกเย็น
ความแค้นปลุกใจให้เขาไม่ยอมจำนนเช่นนั้น แม่ทัพยินยันกายกับดาบแล้วลุกขึ้น คราวนี้มีพลัง
มากกว่าเคย ตรงเข้าฟาดฟันสู้กับชาบูหลั่นตา แสงดาบวูบวาบไม่มีใครยอมใคร มังกรยักษ์คำรามเร่ง
มากขึ้น เพี่ยวซานกำลังสู้อยู่มุมหนึ่ง เห็นแม่ทัพยินฟาดฟันกับชาบูหลั่นตาอย่างดุเดือดจนฝ่ายนั้นเซไป
บ้างแล้ว นางสลัดทุกคู่ต่อสู้ออกไปแล้วฉวยหอกขว้างไปที่แม่ทัพยิน ฝ่ายนั้นมัวสนใจชาบูหลั่นตาอยู่จึงถูก
คมหอกซัดทะลุอกเต็มเหนี่ยว
แม่ทัพยินร่างเอนอ่อนฟุบลง ที่สะบักขวามีเลือดไหลเป็นทางยาว ชาบูหลั่นตาหายตะลึงก็ถือ
ดาบกรายเข้ามา ดาบดำมันปลาบน่าสะพรึง
“ ฟู่เอ๋อฝากมาถามว่าพ่อแม่นางยังสบายดีหรือเปล่า ”
แต่แม่ทัพยินอ่อนแรงเกินกว่าจะตอบโต้ได้
“ ส่วนฟู่เอ๋อ เจ้าไม่ต้องห่วง ข้าจะดูแลนางอย่างดี ”
ร่างโปร่งเงื้อดาบ เสียงฟ้าคำรามลั่นราวจะบอกข่าวร้าย
แสงขาวพุ่งวาบผ่ากลางระหว่างคนทั้งคู่ ตามด้วยแรงดันมหาศาลทำให้ร่างโปร่งกระเด็นลอยไป
ไกล แสงประหลาดรวมกลุ่มสว่างวับวาบ ในที่สุดก็กลายเป็นร่างนักรบเกราะสีทองเปล่งปลั่ง
“ ท่านเซิ่งตู่ ” ชาบูหลั่นตาตะลึง
เจ้าของชื่ออายุราวสามสิบกว่า รูปร่างสูงสง่ากำยำยืนต้านแรงลม ดวงตาคมเข้มจ้องอีกฝ่ายด้วยท่าที
สุขุม ชาบูหลั่นตาคิดไม่ถึงว่าจะได้พบเขาอีก หลังจากบ้านเกิดมาหลายเดือน
“ ข้าไม่ยินดีที่ได้พบเจ้าอีกที่นี่และในสภาพนี้ ชาบูหลั่นตา ”
ดวงตาคมสั่นไหวชั่วขณะก่อนเปลี่ยนเป็นกร้าวแกร่งตามเดิม
“ ท่านมาที่นี่ทำไมกัน ”
“ ข้ามาทำในสิ่งที่ข้าควรทำ ”
“ โดยการขัดขวางสิ่งที่ข้าควรทำ ” ชาบูหลั่นตาเคือง
“ เขายังไม่ควรตายตอนนี้ ” อีกฝ่ายหันไปดูร่างแม่ทัพยินที่นอนนิ่งบนพื้น “ เขายังมี
หน้าที่ที่ใหญ่หลวงนักรอเขาอยู่ ”
“ แต่เขาควรตายที่นี่ ” ชาบูหลั่นตาคำรามตอบ “ ทุกอย่างจะสำเร็จได้ต้องไม่มีเขา ”
มังกรโปร่งแสงเบื้องหลังคำรามรับคำเขา เซิ่งตู่แววตากร้าวขึ้นทันที
“ ควรหรือที่เจ้าใช้พลังที่สวรรค์มอบให้เข่นฆ่าผู้บริสุทธิ์มากมายโดยไม่รู้สำนึก เจ้าลืมสิ่ง
ที่ข้าสอนเจ้าไปหมดแล้วหรืออย่างไร ”
ชาบูหลั่นตาระเบิดหัวเราะออกมา
“ แม่ทัพสวรรค์สั่งสอนข้าอีกแล้วซี ก็สวรรค์ไม่ใช่หรือที่ทอดทิ้งข้าก่อน อีกอย่างพลัง
นี้ก็ติดตัวข้ามาแต่กำเนิด เป็นสวรรค์มอบให้ที่ไหนกัน ”
“ เจ้าเปลี่ยนไปมากนะชาบูหลั่นตา ” แววตาเซิ่งตู่ผิดหวังและเสียใจ
“ ชาบูหลั่นตาที่ท่านรู้จักได้ตายไปแล้ว ” เขาตอบเสียงเย็นชา
แม่ทัพยินร่างกายบอบช้ำมากแต่ยังไม่สิ้นสติ จึงได้ยินความทั้งหมดแต่ก็ไม่อาจเข้าใจความเป็นมาของชาบูหลั่นตา
เพี่ยวซานกับทหารปีศาจทั้งหลายทำท่าจะเข้ามา แม่ทัพสวรรค์วาดมือออกไปข้างหน้า แสงขาว
แล่นโอบล้อมทั้งสามไว้ภายในแล้วกลายเป็นม่านพลังสกัดกั้นไม่ให้พวกเพี่ยวซานเข้ามาได้ พวกนางพยายาม
ทำลายม่านมนตร์ครั้งแล้วครั้งเล่า แสงนั้นกลับยิ่งเปล่งสว่างมากขึ้นกระทั่งนางไม่อาจมองได้อีกต่อไป
ชาบูหลั่นตาเองก็มองไม่เห็นพวกเขาเพราะแสงนั้นเจิดจ้าเกินกว่าจะจ้องดู
“ เจ้าไม่ควรมาอยู่ที่นี่ ” เซิ่งตู่บอก
“ อย่าพาข้ากลับไปในที่ที่ไม่ต้องการข้า ”
ชาบูหลั่นตารวบรวมพลังอีกครั้ง มังกรทมิฬผงาดร่างคำรามกึกก้องสะเทือนฟ้า ดวงตาคมเรือง
แดงกล้า
เพี่ยวซานรออย่างร้อนใจอยู่ข้างนอก ได้ยินเสียงเอะอะไม่สู้ดีแต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร
คมดาบดำเสียดสีดาบเหล็กเป็นประกายไฟพวยพุ่ง ชาบูหลั่นตาหมุนร่าง ดึงดาบกลับแล้วฟันรุกเซิ่งตู่
เสียงสนั่น ฝ่ายนั้นเอาตัวบังแม่ทัพยินไว้ อีกฝ่ายจึงอ้อมไปด้านหลัง เซิ่งตู่โจนข้ามร่างบนพื้นเอียงดาบต้าน
พลังสังหาร ชาบูหลั่นตาขย่มแรงจนแขนแม่ทัพสวรรค์เกร็งสะท้าน ทันใดเกิดแสงขาววาบแล้วร่างโปร่งก็
กระเด็นไปอีก เขาคำรามลั่นด้วยความโกรธ
“ เหตุใดเจ้าจึงหนีออกมาจากสวรรค์ ” เซิ่งตู่ไม่ซ้ำเติมต่อแต่ก็ไม่ประมาท
ชาบูหลั่นตาชะงักงันเมื่อนึกถึงสาเหตุที่เขาหนีออกมา
“ องค์จักรพรรดิทรงเมตตาเจ้ามาก แต่ถ้าหากเป็นเรื่องประชาชน ตอนนี้เจ้าก็ได้รับ
การยอมรับแล้วนี่ แล้วอะไรที่ทำให้เจ้าหนีออกมา หนำซ้ำยังไปเข้ากับจอมปีศาจซึ่งเป็นศัตรูต่อสวรรค์
เสียอีก ”
“ ถ้าองค์จักรพรรดิทรงเมตตาต่อข้าจริง ” ดวงตาคมชื้นน้ำตาเมื่อนึกถึงเหตุการณ์เมื่อ
ครั้งวันวาน “ เหตุใดจึงทรงไม่เข้าพระทัยความทุกข์ที่ข้าได้รับ ”
ดวงตาแม่ทัพสวรรค์ฉายแววสนเท่ห์ “ มีสิ่งใดที่เจ้ายังไม่ได้บอกข้าใช่ไหม ”
ชาบูหลั่นตากัดฟันข่มความเจ็บปวดที่ปะทุออกมาอย่างหนักหน่วง ดวงตาเรื่อแดงกลับพร่าเลือนด้วย
น้ำตา
“ ชาบูหลั่นตา ” เซิ่งตู่พูดเสียงอ่อนราวจะปลอบเขา “ ตอบข้ามาว่าเหตุใด ”
ม่านมนตร์รอบข้างหนาแน่นไม่มีใครได้ยินสิ่งที่พวกเขาพูดกันแน่นอน ชาบูหลั่นตาคิดว่าหากเขาพูด
ไปเรื่องคงจบ แต่กังวลถึงฟู่หลานที่ยังอยู่ที่แคว้นซู่ซินขณะนี้ นางจะเป็นอย่างไรบ้างและอาจมีอันตรายหาก
เขาได้คืนฐานะเหมือนเก่า พวกซู่ซินไม่ปล่อยพวกเขาไว้แน่ โดยเฉพาะเขาที่รู้เรื่องลึกภายในแคว้นมากมาย
แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้นก็ไม่เป็นไร เขาจะกุมความลับไว้จนกว่าจะช่วยนางออกมาก่อน พลันนึกได้ว่าเขากลับข้าง
มาระยะหนึ่งแล้ว ถึงเซิ่งตู่อาจเข้าใจเขา แต่ชาวสวรรค์ที่ปักใจเชื่อว่าเขาเป็นปีศาจร้ายมาตลอดจะเข้าใจหรือ
เขาออกมาอยู่ฝ่ายศัตรูอย่างนี้พวกนั้นคงเชื่อสนิทใจว่าเขาทรยศแล้ว แล้วการกลับไปอีกจะมีประโยชน์อันใด
ในเมื่ออาจเสี่ยงชีวิต โดยเฉพาะฟู่หลาน นางไม่รู้เรื่องอะไรเลยจะให้นางเดือดร้อนเพราะเขาอีกไม่ได้ ลำพัง
เขาคนเดียวเอาตัวรอดได้ไม่ยาก แต่ฟู่หลานนางเป็นมนุษย์ธรรมดาเท่านั้น และเขาก็ไม่มีทางยอมให้ใครมา
ทำร้ายนางได้ ถึงแต่ก่อนจะถูกสวรรค์ตามล่า แต่ก็มีจอมปีศาจให้ความคุ้มครอง ถ้าหากเขากลับไปอยู่ฝ่าย
สวรรค์เช่นเดิม แล้วไม่มีใครเชื่อถืออีก ทั้งฝ่ายปีศาจก็ยังแค้นมาตามล่า เขาคงต้องอยู่โดดเดี่ยวอย่างหวาด
ระแวง ไม่มีที่ไหนที่ปลอดภัย ทั้งสวรรค์และปีศาจอาจร่วมกันกำจัดคนทรยศเมื่อไรก็ได้ ลำบากก็แต่
ฟู่หลาน...
คิดไปคิดมาก็วกจบด้วยกลัวฟู่หลานต้องลำบากทั้งนั้น ถึงตอนนี้สถานะเขาจะคลอนแคลนไม่รู้
จอมปีศาจจะรู้ฐานะจริงเมื่อไร ก็ยังดีกว่าต้องไปเสี่ยงเช่นนั้น
“ นอกจากจะมาช่วยแม่ทัพยินแล้ว องค์จักรพรรดิยังทรงบัญชาให้ท่านมาเกลี้ยกล่อมข้า
ด้วย ”
แม่ทัพสวรรค์ดูตกใจกับสายตาที่เปลี่ยนไปฉับพลัน
“ ข้าไม่หลงกลท่านหรอก ” ชาบูหลั่นตาแสยะยิ้ม “ กลับสวรรค์ของท่านไปซะ อย่า
ขัดขวางคนข้างล่างกำลังสู้กัน แม่ทัพสวรรค์อย่าลงมายุ่งเกี่ยวให้แปดเปื้อนเลยดีกว่า ”
แม่ทัพยินสำลักเลือดไอโขลก เซิ่งตู่รีบหันไปดู เห็นเลือดทะลักนองพื้นก็กลัวว่าถ้าช่วยช้ากว่านี้อาจ
ไม่รอด ชาบูหลั่นตาฉวยโอกาสปราดเข้าหาศัตรู จวนลงมือแล้วแต่เซิ่งตู่ตามมาทัน สองแม่ทัพสู้ต้านทานกัน
อย่างหนักหน่วงรุนแรง ใบหน้าแม่ทัพยินเริ่มซีดเซียว ร่างชักกระตุก เซิ่งตู่ปล่อยพลังจากฝ่ามือครั้งเดียว
กระแทกชาบูหลั่นตาปลิวออกไปนอกม่านมนตร์ ไม่นานกลุ่มแสงก็จางหายไปพร้อมกับแม่ทัพทั้งสอง
“ ท่านเซิ่งตู่! ” เขาตะโกนขึ้นฟ้าด้วยความแค้น
ทหารเฟิงโจวที่รอดชีวิตเห็นพวกซู่ซินมัวตะลึงอยู่ก็รีบหนีเข้าป่า ทหารปีศาจเห็นเข้าจะตามไป
ชาบูหลั่นตาชูดาบยั้ง เพี่ยวซานเขวี้ยงดาบสกัดพวกนั้นแล้วกระตุกโซ่ดึงดาบควงกลับมาถือไว้
“ ไม่มีประโยชน์ที่จะตาม แม่ทัพพวกมันหายไปแล้ว ข้าทำงานไม่สำเร็จจะต้องกลับ
ไปรับโทษทัณฑ์จากฝ่าบาท ” ชาบูหลั่นตาบอกนาง “ ไว้กลับถึงแคว้น ข้าจะยอมให้เจ้าเอาโซ่ล่ามพาไป
เข้าเฝ้าฝ่าบาท ”
นางพยักหน้ารับเบาๆด้วยดวงตาเฉยเมย
“ ถอนทัพ ”
ระยะทางจากชายแดนกลับเมืองหลวงไกลไม่น้อย ทัพซู่ซินเดินทางค่อนครึ่งวัน กระทั่งทั่วท้องฟ้า
อาบแสงส้มเรือง ดวงอาทิตย์คล้อยต่ำลงทุกที แต่ก็ไม่มีใครหยุดพัก พวกเขาเคลื่อนทัพผ่านหุบเขา
ลงห้วย กระทั่งผ่านป่าลึก เสียงนกกาโผผินบินกลับรัง แมกไม้เขียวขจีลู่ลมอ่อน ไม่นานลมก็สงบ อากาศ
เย็นลงและเสียงตีปีกจอแจก็แผ่วลง แผ่วลง จนเงียบสงัด จักจั่นตามสุมพุ่มไม้เริ่มขับร้อง กีด..ด กีด..ด..
ก้องกังวานไปทั่วป่า
จู่ๆชาบูหลั่นตาก็ห้ามทัพแล้วชักดาบออกมา
“ ออกมาเดี๋ยวนี้ ”
ร่างหนึ่งโจนออกจากคบไม้ เพี่ยวซานพุ่งสกัดทันที ฝ่ายนั้นหลบแล้วโดดลงอีกฟาก
“ อ้อ ” ชาบูหลั่นตาจำได้ว่าเป็นสายที่ส่งไปสอดแนมเมืองหน้าด่านของแคว้นเฟิงโจว
ชายคนนั้นค้อมหัวแล้วรายงานข่าว ชาบูหลั่นตาฟังแล้วยิ้มยินดี
“ กำแพงเมืองหน้าด่านถูกเจาะแล้ว เราสามารถไปเยือนพวกมันถึงข้างในแล้วตีให้แตก
ได้ไม่ยาก ”
เพี่ยวซานยังหน้านิ่งเหมือนเคย ดูจะครุ่นคิดอะไรบางอย่าง ทั้งกองทัพเงียบกริบขณะฟังข่าวนี้
“ เมืองหน้าด่านที่มีการป้องกันอย่างเข้มแข็ง จะพลาดท่าก็แค่รูเล็กๆข้างกำแพงเท่านั้น
เอง ถ้ากำแพงรั่ว จะมีการป้องกันดีขนาดไหนก็ไม่มีประโยชน์! หึ พวกมันจะต้องเสียใจไปตลอดชีวิตแน่
แต่ว่า จะมีชีวิตอยู่ให้เสียใจหรือเปล่านะ ”
ชาบูหลั่นตาหัวเราะก้องป่า
ด้านบนของปราการเมืองหน้าด่านคลาคล่ำไปด้วยทหารที่เพิ่งเปลี่ยนเวรยาม คบไฟทุกดวงถูกจุด
สว่างจ้า ในป้อมยาม หัวหน้าเวรกำลังจดบันทึกเหตุการณ์ว่าเหตุการณ์ปกติ ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่มีการถูก
โจมตีแต่อย่างใด ทุกอย่างสงบเงียบจนพวกเขาไม่รู้เลยว่ากำลังจะเจอกับอะไร
เสียงตอก ป๊อก! ป๊อก! ป๊อก! เหมือนนกหัวขวานกำลังเจาะไม้เป็นโพรงถูกเสียงย่ำเดินผสมเกราะ
กระทบกันกลบสิ้น พุ่มไม้ใหญ่ตรงข้ามปราการสั่นไหวเล็กน้อย
“ พวกมันจุดไฟขนาดนี้ คงต้องการมองเห็นศัตรูอย่างชัดเจน ” เพี่ยวซานบอก
“ แต่แสงที่มากเกินไปก็ทำให้พวกมันตาพร่าเห็นเราไม่ชัด ทั้งยังเป็นเป้าที่เราเห็นได้
ชัดเจนอีกด้วย ” ชาบูหลั่นตากล่าว
เสียงนกหัวขวานเจาะไม้ยังดังต่อเนื่องกระทั่งดวงจันทร์นวลอร่ามเคลื่อนถึงจุดสูงสุดของท้องฟ้า เงา
ตะคุ่มมากมายผลุบเข้าในกำแพงเมืองแล้วเคลื่อนตัวซ่อนตามจุดต่างๆอย่างเงียบเชียบ
ยามมรณะของเมืองใกล้มาถึงแล้ว...
จู่ๆดวงไฟจำนวนมากก็โผล่เต็มหน้าเมือง ทหารด้านบนฉงนยิ่งนัก แล้วดวงไฟนั้นก็พุ่งใส่คน กำแพง
ป้อมทหาร ไฟลามติดคานไม้โหมไปทั่ว เสียงลูกธนูแหวกอากาศ ฟวั่บ! ฟวั่บ! ถูกทหารล้มตายเป็นเบือ
ทหารซู่ซินโห่ร้องจนกำแพงสะเทือน เหล่าทหารยามวิ่งรับมือฉุกละหุก
“ ข้าศึกโจมตี ข้าศึกโจมตี ” ทหารคนหนึ่งระดมกลองป่าวไปทั่ว
แม่ทัพรักษาเมืองบัญชาพลธนูตอบโต้ชุลมุน ภายในเมืองก็วุ่นวายด้วยคนหนีตาย
ทหารซู่ซินโจมตีเต็มที่แต่ก็ไม่รุกเข้ามามาก แม่ทัพเฟิงโจวแปลกใจที่ไม่เห็นเครื่องมือทำลายกำแพง
ใดๆ ทันใดนั้นก็ได้ยินทหารข้างล่างเอะอะวุ่นวาย เขาหันไปดูก็แทบเข่าอ่อน
ทหารซู่ซินนับพันยืนน่าเกรงขาม เงาดาบเหล็กสะท้อนแสงจันทร์มันปลาบน่าสะพรึง พวกนั้นโจมตี
อยู่นอกเมืองทำไมเข้ามาอยู่ในเมืองได้ หรือจะล่องหนหายตัวเข้ามาราวกับปีศาจ
ที่แท้สายลับซู่ซินสำรวจพบรูเล็กๆใกล้ฐานกำแพงเมืองหน้าด่าน เดิมกำแพงปราการนี้แข็งแกร่ง
มาก แต่เมื่อเผชิญการรุกรานหลายครั้ง กำแพงก็บิ่นเสียหายและร่องรอยก็เพิ่มขึ้นตามกาลเวลา ทั้งทหาร
รักษาเมืองก็ไม่ใส่ใจดูแลซ่อมแซม เสียงนกหัวขวานเจาะไม้แท้จริงคือเสียงเจาะกำแพงสกัดจากรูเล็กๆจนกว้าง
ขึ้นขนาดคนลอดได้ ทหารซู่ซินจึงลอบเข้าเมืองได้ และบัดนี้กำลังมาเพื่อเปิดประตูเมืองให้ทัพใหญ่เข้ามา
บดขยี้เมืองหน้าด่าน
ทหารซู่ซินจัดการทหารด้านล่างอย่างรวดเร็วแล้วดิ่งไปที่ประตูเมือง แม้ทหาร ด้านบนจะหลั่งไหล
ลงมาสุดชีวิต แต่ก็สายไปเสียแล้ว
ทัพซู่ซินทะยานเข้ามาอย่างประกาศชัยแล้วรุกรานไปทุกส่วนของเมือง เปลวไฟลามติดบ้านเรือน
กระพือโหม ทั่วท้องฟ้าเหนือเมืองแดงบาดตา ปราการที่ครั้งหนึ่งเคยสง่างามต้านทานข้าศึกนานา กลับเหลือ
เพียงซากแห่งความทรงจำที่มีแต่ศพเกลื่อนและถูกไฟโลมเลียจนไม่เหลือสภาพสง่างามเช่นเดิม
อนิจจา! เมืองใหญ่ต้องพินาศเพราะไม่ใส่ใจรายละเอียดเพียงเล็กน้อย
ชาบูหลั่นตายืนบนยอดปราการ แหงนมองดวงจันทร์งามเด่นกลางฟากฟ้า เพี่ยวซานเดินเข้ามา
เงียบๆแล้วนั่งลงบนเก้าอี้ตัวไม่ไกลนัก
“ อยู่กับข้าท่านยังคิดถึงนาง ”
เขาหันหน้ามา “ ข้าแค่เพ่งความงามของดวงจันทร์ ไม่ได้คิดถึงใครที่ไหน ”
“ คนที่คิดถึงคนรักมักเหม่อมองดวงจันทร์ ” เพี่ยวซานบอก “ สายตาท่านไม่ได้เพ่ง
ดูดวงจันทร์ แต่เหม่อไปที่ไกล ถ้าไม่คิดถึงคนที่ซู่ซินแล้วจะคิดถึงใคร ”
ชาบูหลั่นตาไม่อยากต่อล้อต่อเถียงกับนางต่อ
“ เราเพิ่งยึดเมืองมาได้ ท่านไปดูความเรียบร้อยดีกว่า ไฟดับสนิทแล้วหรือยัง
จับเชลยมาได้เท่าไร แล้วที่หนีไปได้มีคนสำคัญบ้างไหม ไปตรวจมาให้หมด ”
ใบหน้างามบึ้งตึงทันที “ เจ้ามันคนเย็นชา ”
ชาบูหลั่นตาไม่ตอบโต้อะไร รอจนนางเดินกระฟัดกระเฟียดออกไปแล้วหันกลับดูดวงจันทร์ต่อ
นางพูดถูก เขาคิดถึงฟู่เอ๋อจริงๆ
ร่างโปร่งดูทอดถอนใจ แล้วเขาก็นึกถึงศึกวันนี้ คำที่แม่ทัพยินด่าและคำเกลี้ยกล่อมของแม่ทัพ
สวรรค์พรั่งพรูเข้ามาในหัว เขาคิดถึงอดีต สิ่งที่ทำให้เขาจากมาแล้วต้องมาพลิกผันมาอยู่ที่นี่
ชาบูหลั่นตาเอื้อมจับขอบกำแพงแล้วเพ่งดูดวงจันทร์อีกครา
ถ้าไม่มีวันนั้นก็คงไม่มีวันนี้ ถ้าไม่มีเรื่องวุ่นวายเกิดขึ้น ชีวิตเขากับฟู่หลานคงสงบสุขไปอีก
นานแสนนาน และคงมีความสุขมากทีเดียว
. . . . . . . . . .
. . . . . .
. . .
ผืนเมฆละอองเบาทอดยาวไกลสุดสายตา แสงทองเรืองรองอาบไล้ทุกอณูของกลีบเมฆ เกิดเป็น
ชั้นเงาเหลื่อมแสงงามพิศวง แสงงามตรึงใจนี้มิได้มาจากดวงอาทิตย์หรือเปลวไฟที่โชติช่วง หากแต่มาจาก
เรือนวิมานเจิดจรัส เปล่งไปไกลกว่าหมื่นลี้ สาดส่องทุกด้านของสวรรค์นั้น
เหล่าเทพบุตรและเทพธิดาสวมอาภรณ์งดงาม บางเบาพลิ้วไหวดังขนนกลู่ลม เรือนกายพวกเขา
เปล่งรัศมีสุกใสพราวพราย ประหนึ่งประดับด้วยเกล็ดดาวระยับส่องแสงแวววาววูบวาบหลังแมกไม้เขียวขจี
อุทยานใหญ่ร่มรื่นร่มเย็น สายหมอกเคลียไม้ชอุ่มที่ขึ้นสลับลดหลั่นกันไป มวลบุปผาคลี่บานสดใสราวรอยยิ้ม
สตรีแรกรุ่น ผลไม้สุกทิ้งตัวเชื้อเชิญและพร้อมจะปลิดขั้วหล่นลงมาหากมีใครต้องการมัน เจ้าของเรือนร่าง
สุกใสเคลื่อนตนไปอย่างใจคิดชมความงามไม่รู้เบื่อ ริมสระน้ำใสกระจ่างมีบรรดาเทพธิดาวักน้ำเล่นสนุกสนาน
ป่านี้เขียวชอุ่มตลอดปีและงดงามยืนยง ไม่มีฤดูใดนอกจากฤดูใบไม้ผลิ ฤดูแห่งความสดชื่นและ
อากาศอบอุ่น ใบไม้ที่นี่ไม่เคยร่วงจากต้นหากไม่มีใครไปเด็ดมัน ดอกไม้บานตลอดปีและผลไม้ก็โตแทนที่
ทันทีหากลูกใดลูกหนึ่งบนต้นหลุดไป
อุทยานงามเคียงข้างปราการสูงสง่า หินสีนวลก้อนใหญ่เรียงสูงขึ้นไป รอยต่อแนบสนิทไร้ช่องแม้แต่
ใบมีดบางเฉียบก็ลอดเข้ามาไม่ได้ ยอดบนกว้างขวางพอให้รถเทียมม้าสี่ตัววิ่งสวนไปมาได้อย่างสบาย และมี
ป้อมรักษาการณ์เรียงรายเป็นระยะตลอดแนวกำแพงเมือง กำแพงนี้โอบล้อมเมืองใหญ่ไว้ภายใน ตำหนัก
เล็กใหญ่ทอดตัวบนเนินสูงต่ำไปตามพื้นที่ เบื้องหลังเป็นทิวเขาสลับซับซ้อน มีสายน้ำลำธารใสเย็นทอดสาขา
ไปทั่วเมืองประดุจเส้นเลือดใหญ่ที่หล่อเลี้ยงคนในเมือง ทุกตำหนักล้วนมีหลังคาสีเงินสว่างดังดูดแสงจันทร์
กระจ่างไว้ภายใน ตัวตำหนักสร้างด้วยไม้ทั้งหลัง บ้างประดับอัญมณีแวววาว บ้างฉลุลายงามวิจิตร บ้างเป็น
สีทองหรือเงินเรียบแต่ก็ส่องประกายระยิบระยับน่าดู มีแนวพุ่มไม้ดอกไม้รายล้อมเหมือนเป็นรั้ว และมีทุ่ง
ดอกไม้สวยงามรวมไม้ใหญ่ร่มรื่นกระจายอยู่ทุกส่วนของเมือง
จุดสูงสุดของเนินเขาดูจะสะดุดตาที่สุดเพราะมีตำหนักงามหลังใหญ่กว่าตำหนักใดๆตั้งอยู่ หลังคา
สีทองสุกใสอร่ามตาเป็นที่มาของแสงสว่างทั่วสวรรค์ แสงทองงดงามแต่ก็นุ่มนวลไม่บาดตา ชายคาไม้ฉลุ
ลายมังกรเหินฟ้า เสาแดงต้นใหญ่สูงตระหง่านค้ำเพดาน พื้นหน้าตำหนักปูด้วยหยกสีมรกตแวววาวสะท้อน
เงาบานประตูมหึมาสีแดงสลักรูปมังกรทอง ตามผนังประดับประดาเพชรพลอยหลากสีซึ่งถ้ามองต่างมุมก็จะเห็น
แสงสีต่างกันไป ทั้งสีเพลิงก่ำ เขียวใบไม้สด ส้มเรืองอย่างดวงอาทิตย์อรุณรุ่ง ขาวพร่างพราวอย่างแสงดาว
บนฟ้าราตรี ฟ้าครามอย่างน้ำทะเล และอีกสารพัดสี เรือนตำหนักรายล้อมด้วยอุทยานกว้างใหญ่ ดอกไม้
สวยชูดอกสะพรั่งส่งกลิ่นหอมระรวย ตลอดจนพฤกษานานาพันธุ์ และคลาคล่ำด้วยสัตว์นานาชนิด ทั้งนกน้ำ
ท่าทางสง่างาม กวางที่มีลูกตาแวววับเหมือนเพชร กระต่ายปุกปุยสีชมพูอ่อน มีสระน้ำใสบริสุทธิ์ที่ไหลมา
จากบนเทือกเขาและแตกสาขาไปทั่วเมือง มองเห็นปลาสวยงามว่ายเวียนวน บัวบานสะพรั่งส่งกลิ่นหอมหวน
ตรึงใจ ใบบัวก็แวววาวเหมือนแก้ว นกน้อยตัวกระจิดริดบินร่อนไปมาดูดน้ำหวาน เจ้าของตำหนักงามกับ
อุทยานกว้างใหญ่เช่นนี้จะเป็นใครไม่ได้นอกจากจักรพรรดิเป่าซินผู้เกรียงไกร ผู้ปกครองโลกสวรรค์ทั้งมวล
เทพบุตรผู้หนึ่งลอยละล่องมาตามลำพัง มุ่งหน้าไปทางอุทยานข้างเมือง แสงทองต้องปุยเมฆเป็น
ประกายระยิบระยับดูคล้ายหิมะยามกระทบกับแสงแดดมากกว่าจะเป็นเมฆ เขามัวชื่นชมความงามตลอดทาง
จนไปสะดุดตากับสิ่งหนึ่ง วงโค้งสีนวลเลื่อนขึ้นพอเห็นถนัดตา มันแทรกตัวอยู่ในปุยเมฆอ่อนเบาที่โอบอุ้มมัน
ไว้ราวจะปกป้องและทะนุถนอมเจ้าไข่ใบน้อย ไม่นานข่าวว่าพบไข่ประหลาดก็สะพัดไปทั่วราวเกสรไม้ต้องลม
ปลิวกระจายไปทั่วทั้งสวรรค์แห่งนั้น
สามวันหลังจากนั้น ไข่ประหลาดขยายใหญ่กว่าเดิมมาก หลายต่อหลายครั้งที่ผู้มามุงดูต่างวิจารณ์
มัน บ้างตื่นเต้น บ้างก็กังวล เพราะมันไม่มีท่าทีว่าจะหยุดโตเพียงเท่านี้ เสียงซุบซิบโต้เถียงเหล่านั้นดังขึ้น
เรื่อยๆจนกลายเป็นเสียงเซ็งแซ่ จู่น้ำเสียงห้าวหาญของบุรุษหนึ่งก็แทรกขึ้น
“ หลีกทางให้เราหน่อย ”
เหล่าเทพต่างหันไปดูต้นเสียง เทพบุตรกลุ่มหนึ่งกำลังก้าวเข้ามาด้วยท่วงท่าสง่างามพร้อมเพรียง
พวกเขาสวมเกราะเต็มงามเฉิดฉาย โดยเฉพาะผู้ที่อยู่หน้าสุด เกราะสีทองของเขาเปล่งประกายงดงามมาก
ทีเดียว
“ ท่านแม่ทัพสวรรค์ ” เทพองค์หนึ่งเรียกเขา
เซิ่งตู่ คือแม่ทัพใหญ่ผู้คุ้มกันจักรพรรดิเป่าซินและสรวงสวรรค์ อีกสมญานามที่เรียกกันคือแม่ทัพ
สวรรค์ แม่ทัพนายกองรวมทหารทั้งหลายของสวรรค์ล้วนอยู่ใต้บังคับบัญชาของเขา ทั้งเป็นผู้มีฝีมือการรบที่
น่าเกรงขาม ปีศาจ ผีร้ายทั้งหลายเมื่อได้ยินเพียงชื่อก็จะหวาดกลัวหนีกระเจิงไปเสียหมด ในยามปกติเป็นผู้
มีความยุติธรรมและมีน้ำใจจึงเป็นที่รักใคร่และนับถือ ลักษณะเขาก็เป็นที่ชื่นชมจดจำ ดวงหน้าผ่องดังจันทรา
สงบนิ่งปานผิวน้ำยามลมมิพัดไหว หากเห็นความหาญกล้าที่ซ่อนในดวงตาวาวโรจน์ รูปร่างสูงแกร่งงามสง่า
ท่าทางสุขุมน่าเกรงขาม ทำให้เขาเป็นที่เคารพยำเกรงของทวยเทพทั้งหลาย
“ ขอเราดูไข่นั่นหน่อยได้ไหม ” แม่ทัพสวรรค์เอ่ย อีกฝ่ายค้อมศีรษะแล้วผายมือ
เชิญ พวกที่อออยู่ก่อนหน้าหลีกทางให้ พอเข้าไปถึงลูกน้องเขาก็จัดแจงสำรวจ ลองยกไข่แล้วยืนซวดเซ
ทำท่าจะไม่ไหว เพื่อนรีบเข้าช่วยแต่ก็ทุลักทุเลอยู่ดี
“ ไม่รู้มันคือตัวอะไร ” พวกเขาบอกแม่ทัพ
“ ช่วงนี้ต้องคอยระวังศึกจากพวกปีศาจ แล้วยังมาเจอไข่ประหลาดอีก ” สีหน้าแม่ทัพใหญ่เคร่งเครียดขึ้นมา
“ ให้ทำลายไข่เลยไหมขอรับ ”
“ อย่าเพิ่ง ” เขายกมือห้าม “ เรายังไม่รู้ว่ามันคือตัวอะไร อาจจะเป็นตัวดีหรือร้ายก็ได้ ”
“ แล้วถ้าร้ายล่ะขอรับ ” ดวงตาน่าเกรงขามกระตุกนิดหนึ่ง เขานิ่งชั่งใจ
“ ข้าจะไปทูลองค์จักรพรรดิก่อน ”
“ ข้าอยากให้รอก่อน ” สุรเสียงทรงอำนาจก้องไปทั่วท้องพระโรงใหญ่ศีรษะแม่ทัพ
สวรรค์ก้มจ้องพื้นหยกขณะฟังรับสั่งนั้น เขารีบค้านด้วยความกังวล
“ แต่เรายังไม่รู้ว่านั่นเป็นตัวอะไรนะพะย่ะค่ะ ”
“ ยังไม่รู้ว่าเป็นสัตว์ประเภทไหน จะดุร้ายหรือไม่ด้วย ”
แม่ทัพใหญ่ชะงัก เลิกตาขึ้นเห็นพระพักตร์สุขุมนิดหนึ่ง
“ ท่านเซิ่งตู่ ”
เซิ่งตู่รีบกลอกตาลง “ พะย่ะค่ะ ”
“ แต่ข้าว่าเราควรต้องรู้ให้แน่ชัดเสียก่อนว่ามันคือตัวอะไร ถ้ามันเป็นตัวร้ายค่อย
จัดการเสียก็ยังทัน แต่ถ้าเรารีบลงมือก่อนแล้วความจริงเจ้าตัวนั้นไม่มีอะไร จะเสียชีวิตผู้บริสุทธิ์ไปเปล่าๆ ”
สีหน้าแม่ทัพนิ่งลง ก่อนค้อมศรีษะรับพระวินิจฉัยของพระองค์
เวลาผ่านไป ไข่ปริศนาก็ยิ่งใหญ่โตขึ้นทุกขณะ จนสูงท่วมศีรษะบรรดาเทพแล้วขยายใหญ่ขึ้นอีก
ในที่สุดก็สูงจวนยอดปราการเมือง เหล่าทหารรักษาการณ์มักแวะเวียนมาดูอย่างหวาดหวั่น แต่ไม่มีใครกล้า
แตะต้องไข่ใบนั้น ด้านล่างยังมีเหล่าเทพรายล้อมดู เสียงพูดคุยตอบโต้ดังเซ็งแซ่ขึ้นมาถึงข้างบนที่มุมหนึ่ง
ของกำแพง เซิ่งตู่กำลังจ้องดูมันด้วยสีหน้ากังวล
เปรี๊ยะ..!!
ทุกองค์สะดุ้งอย่างรู้สึกได้ เซิ่งตู่ตะลึงเพ่งไข่ เส้นหยักสีดำพาดผ่านเปลือกนวลเป็นแนวยาวพร้อม
กับสั่นระรัวรุนแรง ทันใดนั้นเปลือกไข่ก็แยกเป็นสองด้านแล้วกว้างขึ้น เส้นเขียวเลื้อยลอดช่องแยกชูไสว
ไปมา แท่งสีน้ำตาลขรุขระทะลุออก แล้วเสียงก็ลั่นแสบแก้วหู เปลือกไข่ร่วงกราว
มันดันหัวขึ้นมา ลูกตาสีน้ำตาลทองแดงถมึงโพลง หนวดยาวสีเขียวไหวไปมาเหนือปากที่อ้าเห็น
แนวเขี้ยวคม ลำตัวเขียวเลื่อมเลื้อยออกมาจนสุดแล้วชันคอขึ้น คำรามลั่นสะท้านผืนเมฆาอันกว้างใหญ่
“ ม..! ” เสียงผู้หนึ่งตะโกนขาดหายไปหลังจากนั้น
“ มังกร! ” อีกเสียงตะโกนเติมคำที่ขาดไป
เขาคู่สีน้ำตาลขรุขระแทงยอดเรียวแหลมเหนือหน้าผากโหนกนูน ดวงตาโพลงสีทองแดง บาง
มุมเรืองแสงเหมือนถ่านคุไฟ ลำตัวมหึมายาวเหยียดระยับท้าแสงทอง มันช่างดูใหญ่โตแข็งแรงนัก จนผู้
เฝ้าดูอดคิดไม่ได้ว่าต่อให้เป็นขุนเขาที่ยิ่งใหญ่และแข็งแกร่งเพียงใด ก็คงโค่นราบคาบลงด้วยกำลังของมันแม้
ยามเคลื่อนไหวนิดเดียวเป็นแน่ พวกเขารีบถอยห่างจากมัน คาดไม่ถึงว่ามันจะขยับตัวตาม
เหล่าเทพนักรบรีบชักดาบขู่ แต่ดาบเล่มกะจ้อยร่อยเท่าเล็บมันไหนเลยจะขู่ให้กลัวได้ พวกเขาจึง
เป็นฝ่ายถอย ใครคนหนึ่งร้องเสียงหลงเมื่อพบว่าหลังติดกำแพงแล้ว
ขณะที่อีกฝ่ายรู้สึกถูกคุกคาม แววตาเจ้าตัวยักษ์กลับไม่แสดงท่าทีข่มขู่แม้แต่น้อย มันแค่สงสัยว่า
พวกเขาเป็นใคร และที่นี่คือที่ไหน จะเข้าไปไต่ถามแต่พวกเขากลับถอยหนี มันจึงหยุดแล้วคำรามก้อง
เสียงคำรามนั้นคือคำถามของมัน มันไม่รู้ว่าไม่มีใครเข้าใจคำถามนั้นและมันก็ไม่สามารถพูดภาษา
อีกฝ่ายได้ มันตัดสินใจหันหัวไปทางหนึ่ง ทุกเทพบริเวณนั้นกรีดร้องวิ่งหนีชุลมุน มันหันหัวตามแล้วเปลี่ยน
ทิศ พวกเขาก็วิ่งหนี มองไปทางไหนก็เห็นหนีตนวุ่นวาย
“ ช่วยด้วย มังกรอาละวาดแล้ว ”
แม่ทัพสวรรค์พยายามขัดขวางแต่เข้าไม่ถึงตัวมังกรเพราะเหล่าเทพปิดทางไปหมด
ลำแสงเจิดจ้าพุ่งเข้าดวงตาสีชาวาบหนึ่ง มันหันหัวไปทางนั้น ยอดวิมานทองงามเด่นทอแสงอร่าม
แต่นุ่มนวล ยิ่งใกล้หลังคายิ่งดูพร่าเลือนราวจะเป็นเนื้อเดียวกัน มันตกตะลึงไปชั่วครู่ แล้วหันหัวมุ่งไป
ทางนั้น
“ แย่แล้ว ” เหล่าเทพที่กำลังหนี หันกลับมาร้องเสียงหลง
มังกรยักษ์ทะยานไปอย่างรวดเร็ว สุดที่ผู้ไล่หลังจะตามทัน สีหน้าพวกเขาตระหนกสุดขีดเมื่อนึกถึง
ชาวสวรรค์ที่อาศัยอยู่ในเมือง
ชาวสวรรค์ด้านในแตกตื่นอลหม่าน เจ้ามังกรไม่สนใจใครทั้งสิ้น มุ่งหน้าไปวิมานทองอย่างเดียว
แม่ทัพสวรรค์ทะยานขวางทันทีแต่ก็ไม่อาจหยุดมันได้ ช่วงคับขันนั้น เขานึกมนตร์ได้บทหนึ่งจึงรวมจิตแล้วซัด
พลังถูกมังกรกระเด็นลิ่วออกนอกเมือง มันบาดเจ็บไม่น้อย เซิ่งตู่รีบร่ายมนตร์คุ้มกันกำแพงเมือง ป้องกันไม่ให้
มันกลับเข้ามาได้อีก
ชาวสวรรค์เห็นท่าทางมันสิ้นฤทธิ์เช่นนั้นก็พากันโห่ไล่ ตะโกน มังกรปีศาจ ไปให้พ้น ไปให้พ้น
แล้วเสกก้อนหินปาซ้ำ มันเจ็บทั้งกายเจ็บทั้งใจ ขยับร่างที่บอบช้ำหลบเข้าป่าไป
แต่เจ้ามังกรที่น่าสงสารก็ยังมาป้วนเปี้ยนแถวกำแพงเมือง ส่งเสียงครางเบาๆหวังว่าพวกเขาจะเข้าใจ
แต่กลับทำให้ชาวสวรรค์รู้สึกหวาดหวั่น ไม่มีใครกล้าเปิดประตูเมืองและก็ไม่มีใครอยากออกไป บนกำแพง
เมืองยังขวักไขว่ด้วยทหารระวังภัยมากกว่าปกติ แต่ก็ไม่ได้ทำอะไรกับมัน ในที่สุดมังกรที่โศกเศร้าและอ่อนล้า
ก็ทอดตัวลงนอนขวางประตูเมือง
ทันใดนั้นก็ปรากฏร่างบุรุษผู้หนึ่งกำลังมุ่งมาทางเมืองด้วยท่าทางร้อนรน ทหารรักษาการณ์เห็นเข้าก็
ตกใจมากเพราะคิดว่าชาวสวรรค์อยู่ในเมืองทั้งหมดแล้ว ผู้มาใหม่มัวแต่คิดธุระตน เดินมาเจอสิ่งกีดขวางมหึมา
ก็คิดว่าถึงประตูเมืองแล้ว
“ เปิดประตูหน่อย ” เขาตะโกน
ทหารด้านบนหน้าตาเลิกลั่ก จะเปิดได้อย่างไร มันไม่ใช่ประตู!
ชาวสวรรค์สามารถเหาะหรือหายตัวไปที่ไหนโดยสะดวกก็จริง แต่กำแพงเมืองซึ่งมีการรักษาความ
ปลอดภัยอย่างแน่นหนาและเข้มงวด จะเหาะข้ามไปเลยหรือจะโผล่เข้าเมืองทันทีคงไม่ดีนัก ผู้ที่จะเข้าเมือง
จึงต้องผ่านประตูเมืองโดยตรงก่อน ผู้มาใหม่จึงต้องยืนคอยทหารยามเปิดประตูให้อย่างนี้ ผ่านไปสักพักก็
รู้สึกว่าไม่ได้รับการตอบรับจากทหารด้านบน จึงแหงนหน้าตะโกนอีกครั้ง
“ เปิดประตูหน่อย! ”
พูดแล้วก็จ้องดูประตูด้วยความแปลกใจ แต่ก่อนมันเป็นสีทองสุกอร่าม แล้วทำไมคราวนี้จึงเป็น
เกล็ดๆสีเขียวเลื่อม
“ นั่นไม่ใช่ประตู! ” ทหารผู้หนึ่งตอบเสียงลั่นพอกัน เขาเหยียดแขนชี้ลงมาเต็มที่
อีกฝ่ายมองตามมือนั้นแต่ไม่เข้าใจ
“ ข้าไม่มีเวลาแล้วนะ ต้องรีบไปเข้าเฝ้าองค์จักรพรรดิ เปิดประตูเร็วๆ ”
ทหารผู้นั้นชี้ลงมาอีก พอดีประตูเขียวเลื่อมเหยียดขาออกมา ทำเอาผู้มาใหม่สะดุ้งโหยง โดด
ถอยออกมาตั้งหลัก
“ ตัวอะไรกันน่ะ ”
หนวดสีเขียวชูไสว มันพลิกหัวมาทางเขา เขาตะลึงจังงังไปชั่วขณะ แต่พอนึกถึงภารกิจที่ต้องไป
ทำก็เริ่มร้อนใจ
“ จะสายแล้วนะ เอามันออกไปเร็วๆ ”
ทหารยามทำหน้าตกใจเป็นครั้งที่สอง มองเจ้ามังกรอย่างหวาดๆแล้วไม่กล้าทำอะไร กระทั่งผู้มา
ใหม่เริ่มหงุดหงิดหันไปไล่เสียเอง
“ นี่ ถอยออกไปหน่อยได้ไหม มานอนเกะกะขวางทางทำไม ”
หน้าตาเขาถมึงทึงไม่มีกลัวเกรง แต่เสียงตะโกนอย่างบ้าบิ่นไม่อาจปลุกมังกรที่เหนื่อยล้าให้ลุกตื่น
จากการหลับใหล เขาท่าทางหัวเสียกว่าเดิม ดิ่งเข้าไปฉุดหนวดยาวๆของมัน
“ จะตื่นไหม! ”
เทพใจกล้าออกแรงดึง ทั้งฉุดและกระชาก หัวมันโคลงตามคอแทบหัก เจ้ามังกรหน้าเบ้จัด
ก่อนดวงตาทั้งคู่จะเปิดโพลง อีกฝ่ายยังยืนต่อว่าอีกหลายยก มันคำรามโต้สองสามครั้ง แต่ฝ่ายนั้นไม่กลัว
สักนิดทั้งยังต่อว่าไม่หยุดหย่อน มันระอาใจจึงลุกหนีไปเสียเอง
มันเร้นกายไปอาศัยในอุทยานข้างเมือง นับจากนั้น สวนสวรรค์ที่เคยเป็นที่พักผ่อนหย่อนใจก็กลาย
เป็นสวนต้องห้ามที่ไม่มีใครกล้าเฉียดใกล้ แม้แต่เทพใจกล้า เพราะความโมโหเลยบ้าบิ่นได้ขนาดนั้น แต่เมื่อ
อารมณ์เย็นลง เขาก็กลัวมัน
เสาสีแดงต้นใหญ่เรียงรายตลอดแนวท้องพระโรง เชื่อมเพดานทองคำกับพื้นหยกไว้ด้วยกัน
ตามผนังประดับประดาอัญมณีแพรวพราว จักรพรรดิสวรรค์ทรงประทับเหนือบัลลังก์หยกขาว ทรงอาภรณ์
ไหมทอง และมงกุฎทองคำสลักลายมังกรผงาด มีสายทองคำร้อยเพชรพลอยห้อยลงจากตัวเรือนเป็นที่บัง
พระพักตร์ ขุนนางทุกฝ่ายผลัดกันถวายงาน กระทั่งถึงคำถามที่ทรงถามว่า ชาวสวรรค์ยังสุขสบายดีอยู่
หรือไม่ ขุนนางผู้กำลังถวายงานอยู่กลับมีสีหน้าลังเลที่จะตอบ
“ ท่านเอ่อจี้ ”
องค์จักรพรรดิผู้ใส่พระทัยราษฎรมักทรงตรัสถามเช่นนี้เสมอมา ยิ่งช่วงหลังมีภัยรบกวนจากพวกปีศาจ
บ่อยครั้งทำให้ชาวสวรรค์เดือดร้อนไปทั่ว จึงยิ่งใส่พระทัยตรัสถามมากขึ้น ทั้งนี้เพื่อให้ทรงทราบทุกข์สุขของ
ผู้ใต้ปกครอง
เอ่อจี้นิ่งอึดใจแล้วทูลพระองค์
“ มังกรที่กำเนิดที่นอกเมือง เคยมาป่วนเราแล้วถูกแม่ทัพสวรรค์ไล่ออกไป
ตอนนี้ไปอาศัยในอุทยานใหญ่ข้างเมือง ทำให้ชาวสวรรค์ไม่กล้าไปพักผ่อนที่นั่นได้ตามปกติ ”
จักรพรรดิทรงระลึกได้ว่าพระองค์เป็นผู้สั่งมิให้ทำลายมังกรตัวนั้น ทั้งก่อนกำเนิดมาและคราวก่อนที่
มาป่วนเมืองเมืองสวรรค์
“ จะทำอย่างไรดีพะย่ะค่ะ ”
อุทยานถูกมังกรยึดไปไม่ใช่ประเด็นหลัก เพราะชาวสวรรค์ต่างมีสวนงามๆในเขตวิมานตนอยู่แล้ว
แต่ที่สำคัญคือทำให้พวกเขาหวาดผวาไม่กล้าออกจากเมือง แต่แรกพระองค์จับฌานได้ว่ามันจะให้คุณแก่
สวรรค์ จึงละเว้นโทษให้ แต่เมื่อเป็นเช่นนี้จึงทรงส่องฌาณดูอีกครั้ง
. . . . . . . . .
ลำตัวเป็นเกล็ดสีทะมึนบิดฟาดแผ่นดินถล่มแผ่นดินแยกทลาย เปลวไฟเจิดจ้าพุ่งโลดแตะท้องฟ้าสี
บาดตาเหนือซากปรักหักพัง ทุกหนแห่งเต็มไปด้วยไฟ
ไม่ใช่สวรรค์ แต่เป็นโลกมนุษย์
ท่ามกลางเศษซากหักพังนั้น พระองค์ทอดพระเนตรเห็นรูปปั้นสำหรับประดับชายหลังคา ทรงเพ่ง
ฌานเข้าไปใกล้อีก ซากปูนปั้นเว้าแหว่งดังถูกเปลวไฟที่โหมไหม้โดยรอบหลอมละลายไป แต่ยังพอมองเห็น
ส่วนจงอยปากและปีกของมัน
เหยี่ยว!
จักรพรรดิสวรรค์สะดุ้งพระทัย เพราะทรงจำได้ว่าเหยี่ยวนี้เป็นสัญลักษณ์ของแคว้นเฟิงโจว แคว้นซึ่ง
ปกครองด้วยพระราชาผู้ทรงธรรม์จนสวรรค์ต้องยอมรับและให้ความคุ้มครอง
สวรรค์นอกจากจะเป็นที่อยู่ของผู้กระทำความดีแล้ว ยังมีหน้าที่คุ้มครองความดีและคนดีให้ดำรงอยู่
เพื่อให้โลกมนุษย์มีความสงบสุข ไม่เช่นนั้นไฟแห่งความพินาศก็จะพลุ่งเผาผลาญสวรรค์ เสียงโหยหวนด้วย
ความทุกข์ของมวลมนุษย์ก็จะเซ็งแซ่ไปถึงเบื้องบนกระทั่งชาวสวรรค์มิอาจทานทนได้
ปลายหางสีเข้มสะบัดทำลายทุกอย่างพังพินาศ มันหันมาสบกับพระเนตรองค์จักรพรรดิ ดวงตา
สีแดงดั่งเปลวไฟที่กระพือโหมเจิดจ้า
จักรพรรดิสะดุ้งทั้งพระองค์ในทันที ขุนนางทั้งมวลประหลาดใจพระอาการ เอ่อจี้กำลังเอ่ยถาม
หากพระองค์ยกพระหัตถ์ห้ามไว้
มีบางอย่างที่แปลกไป
ดวงตาดั่งเปลวไฟหันกลับกลายเป็นสีน้ำตาลแดงตามปกติ พริบตาซากปรักหักพังก็หายไป
สายธารไหลรินนำความอุดมสมบูรณ์หล่อเลี้ยงผืนป่าเขียวขจีและเมืองใหญ่ เมืองซึ่งโหมไหม้ด้วยเปลวเพลิง
เปลี่ยนเป็นเมืองแห่งความผาสุก ชาวเมืองที่เดินผ่านมังกรไม่มีท่าทีกลัวสักนิด ทุกคนต่างเคารพมัน สีหน้า
ของพวกเขาปลื้มปีติยินดี แล้วมังกรก็หันหัวมาทางองค์จักรพรรดิ หมอบกายลงลักษณะที่ชูคออยู่ ก้มหัวทำ
ความเคารพแล้วเงยหน้า สายตามันอ่อนโยนและมุ่งมั่น พระองค์เกือบจะยิ้มตอบ
“ องค์จักรพรรดิ ”
เสียงเรียกของเอ่อจี้ดึงสติกลับมาสู่พระองค์ พระขนงทั้งคู่ขมวดหากันด้วยรู้สึกสับสนพระทัย เพราะ
ภาพที่เห็นช่างขัดแย้งกันอย่างมาก พระองค์จึงหลับพระเนตรพิเคราะห์
หากทรงปล่อยไว้เช่นนี้ก็จะสร้างความหวาดผวาให้กับประชาชน ทั้งเมื่อถึงคราวจอมปีศาจยกทัพมาก็
อาจชักชวนเทพมังกรผู้ทรงพลังร่วมมือกันมาโจมตีสวรรค์และแคว้นเฟิงโจวจนพินาศอย่างที่ทรงเห็น แต่ถ้า
พระองค์รับมันเข้ามาเป็นประชาชนของพระองค์และดูแลอย่างดี พลังมหาศาลของมันจะช่วยคุ้มครองสวรรค์และ
คนดีให้คงอยู่ต่อไป
“ ท่านเอ่อจี้ มังกรอยู่ที่อุทยานนอกเมืองใช่ไหม ” เอ่อจี้รีบ พยักหน้า “ ข้าจะไป
ที่นั่น ”
เซิ่งตู่ทำท่าร้อนใจขึ้นมาทันที จะห้ามปรามพระองค์
" พลังของเจ้าตัวนี้มหาศาลนัก ถ้าเราดูแลอย่างดีมันจะให้คุณ แต่หากทอดทิ้งแล้ว
จอมปีศาจมาเอาตัวไป เมื่อนั้น มันจะเป็นภัยที่ร้ายกาจที่สุด ”
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
6.3 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
6.3 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ