ครูสมชาย
9.0
1) ตอนที่ ๑
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความครูสมชาย
ตอนที่ ๑
ท่ามกลางบรรยากาศรอบกองไฟของคืนวันสุดท้ายของค่ายอาสาพัฒนาชนบท เหล่านักศึกษาผู้เป็นกำลังสำคัญของชาติกำลังนั่งล้อมวงทำกิจกรรมกันอยู่
คืนนี้เป็นคืนสุดท้ายของพวกเขาแล้วที่จะได้ได้มาบำเพ็ญประโยชน์ที่หมู่บ้านในแถบชนบทแห่งนี้ ตลอดระยะเวลาเจ็ดวันที่ผ่านมาจะทำให้พวกเขาลืมความสบาย ได้รู้จักชีวิตที่ยากลำบาก แต่สุดท้ายพวกเขาทั้งหลายจะกลับไปใช้ชีวิตในเมืองหลวง ที่มีแต่ความสับสนวุ่นวายเช่นเดิม อยู่กับวิถีชีวิตแบบเดิม บางคนอาจจะซึมซับและเข้าใจความลำบากมากขึ้น แต่บางคนก็อาจจะจดจำได้เพียงเสี้ยวเดียวเท่านั้น
หมู่บ้านนี้เป็นหมู่บ้านที่ห่างไกลกับความเจริญ ไฟฟ้าเข้าไม่ถึง อาหารการกินไม่ค่อยจะมีเท่าใดนัก ค่อนข้างจะขาดแคลน ต้องหาของป่ามาประทังชีวิตเอา เรื่องการศึกษานั้นไม่ต้องพูดถึง แทบจะไม่มีใครอ่านหนังสือออกเลยสักคน เด็กเล็กส่วนมากไม่ได้เรียนหนังสือ ไม่มีความรู้ ต้องอดๆ อยากๆ นี่จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้นักศึกษากลุ่มนี้อยากจะเข้ามาพัฒนาช่วยเหลือที่นี่
จุดประสงค์หลักของการออกค่ายครั้งนี้ คือการสร้างห้องสมุดและร่วมกันพัฒนาหมู่บ้านแห่งนี้ให้มีความเจริญ สะดวกสบาย ด้วยอุดมการณ์ ความมุ่งมั่น และใจรักที่อยากจะอาสาทำความดี ทำให้กลุ่มนักศึกษาเหล่านี้ทำงานกันด้วยความสนุก ขยันขันแข็ง ไม่กลัวงานหนัก แม้จะเหนื่อยแค่ไหนก็ยังมุ่งมั่นทำงานกันต่อไปไม่ลดละ
การมาของคนหนุ่มสาวทำให้หมู่บ้านแห่งนี้มีชีวิตชีวามากยิ่งขึ้น เด็กๆ ได้เจอกับคนวัยใกล้เคียงกัน ได้มีเพื่อนเล่น ได้ของเล่นใหม่ๆ ได้หนังสือที่รับบริจาคไปอ่าน ได้มีห้องสมุดไว้ศึกษาหาความรู้ ส่วนผู้ใหญ่หรือคนเฒ่าคนแก่นั้นก็มีคนมาคุยด้วย ได้เล่าความหลังหรือเรื่องราวที่ตนเองเคยผ่านมาก็นับเป็นความสุขของพวกเขาแล้ว
ในช่วงเช้าผู้มาเยือนจะตื่นกันตั้งแต่เช้าตรู่ เพื่อมาออกกำลังกาย และแจกแจงหน้าที่กันในตอนเช้า หลังจากนั้นก็จะเป็นการรับประทานอาหารจากชาวบ้านบ้างและทำกันเองบ้าง หลังจากนั้นก็เป็นการทำงานตามหน้าที่ของตน ใครถนัดงานไหนก็ทำงานนั้น ฝ่ายชายก็อาสาในการแบกหาม ยกของ ส่วนฝ่ายหญิงก็จะทำงานที่เบาลงมา แต่สุดท้ายไม่ว่าชายหรือหญิงก็จะช่วยเหลือกัน ไม่ว่างานนั้นจะหนักจะเบา พวกเขาล้วนมีความสามัคคีกันและทำงานนั้นให้สำเร็จไปด้วยกัน
ตกเย็นก็จะมีกิจกรรมสันทนาการกันเป็นประจำ เพื่อผ่อนคลายหลังจากการกรำงานหนักมาทั้งวัน บ้างมีการร้องเล่นเต้นรำ บ้างมีการแสดงละคร บ้างมีการพูดคุยกับคนในหมู่บ้าน สร้างความสนุกสนานให้กับชาวบ้านไม่น้อย
คืนนี้กิจกรรมต่างๆ ก็ล่วงเลยมาถึงท้ายที่สุดแล้ว ประธานค่ายได้ให้ลูกค่ายได้กล่าวถึงความประทับใจและความรู้สึกที่ได้มาค่ายนี้ นักศึกษาชายคนหนึ่งท่าทางคงแก่เรียน สวมแว่นหนาเตอะ รูปร่างผอมแกร็นคนหนึงยกมือขึ้นแล้วกล่าวขึ้นว่า
“ผมรู้สึกดีใจมากครับที่ได้มาเข้าค่ายครั้งนี้ นี่เป็นค่ายแรกของผมในมหาวิทยาลัย ตลอดช่วงเวลาสี่ปีที่ผ่านมา ผมแทบไม่เคยออกไปไหนเลย อยู่แต่ที่ห้องเก็บตัวอ่านหนังสือ และทำคะแนนสอบ แต่พอผมได้มาที่ค่ายนี้ ความคิดของผมก็เปลี่ยนไป ผมได้พบเห็นผู้คนมากมาย ได้เจอเพื่อนใหม่ ได้รู้จักคุณค่าของการทำความดี การทำเพื่อผู้อื่น และคิดว่าเรามีคุณค่า ขอบคุณค่ายนี้มากๆ เลยครับ”
หลังจากกล่าวจบเขาก็ได้รับเสียงปรบมือมากมาย จากทั้งเพื่อนนักศึกษาและชาวบ้านที่นั่งฟัง คงไม่น่าแปลกใจเท่าใดนักเพราะเขานั้นเรียนคณะวิทยาศาสตร์ และใช้เวลาส่วนมากไปกับการท่องตำรา และอยู่ในห้องเรียนเสียเป็นส่วนใหญ่ เมื่อเขาพูดจบก็มีหญิงสาวคนหนึ่งยกมือขึ้นแล้วพูดต่อไปว่า
“เราก็ดีใจที่ได้มาค่ายนี้นะ แม้ว่าจะเคยออกค่ายมาหลายครั้งแล้ว แต่ค่ายนี้เป็นค่ายที่ประทับใจที่สุด เพราะได้มีส่วนร่วมในการจัดค่ายเอง และได้ลงมือทำเองทุกขั้นตอน ดีใจที่ได้มาเจอเพื่อนๆ ที่อยากทำความดีด้วยกัน ดีใจที่ได้ช่วยเหลือชาวบ้าน และดีใจจริงๆ ที่ได้มาค่ายนี้ค่ะ” ทุกคนพร้อมใจปรบมือให้เธอเช่นกัน เธอเป็นรองประธานค่ายและเป็นฝ่ายสวัสดิการ ผู้ซึ่งมีความตั้งใจและมุมานะอย่างที่สุด ที่จะทำให้การออกค่ายครั้งนี้ประสบความสำเร็จ
เมื่อฟังเธอพูดจบก็มีลูกค่ายคนอื่นเข้ามากล่าวความรู้สึกกันอย่างต่อเนื่อง ความคิดเห็นส่วนใหญ่บอกว่ารู้สึกดีใจที่ได้มาที่ค่ายนี้ และได้อะไรกลับไปมากมาย หลังจากที่ฟังหลายๆ คนพูดจบไปแล้วนั้น ก็ถึงคราวที่ประธานค่ายจะมากล่าวความรู้สึกบ้าง
“ก่อนอื่นเลยต้องขอบคุณกรรมการและฝ่าต่างๆ ช่วยกันทำค่ายนี้ขึ้นมา ตั้งแต่การวางแผนงานจนค่ายนี้ออกมาเป็นรูปเป็นร่าง ขอบคุณสมาชิกทุกคนที่มาอยู่ด้วยกันที่นี่ เราดีใจมากที่ได้ทำค่ายนี้ เราเชื่อว่าหลายๆ คนไม่เคยออกค่ายอาสาแบบนี้ ไม่เคยมาทำอะไรแบบนี้ แต่การออกค่ายนี่แหละ ที่ทำให้ชีวิตมหาวิทยาลัยของคุ้มค่า
เพื่อนๆ ครับ ยังมีอีกหลายหมู่บ้านที่ยังยากลำบาก ที่ยังรอพลังของหนุ่มสาวอย่างพวกเราเข้าไปพัฒนา เข้าไปช่วยเหลือ และทำให้เจริญขึ้น แม้จะจบค่ายนี้ไป เราก็อยากจะขอให้ทุกๆ คนจดจำภาพแห่งความประทับใจนี้ไว้ จดจำความสุข ความทุกข์ ที่พวกเราร่วมฝ่าฟันกันมา เก็บความทรงนี้ไว้ เราเชื่อว่าทุกคนจะไม่มีวันลืมมันแน่นอน ขอบคุณครับ!”
กล่าวจบก็มีเสียงปรบและเสียงเฮลั่น เขาเป็นผู้นำที่ทุกๆ คนไว้วางใจ และเชื่อใจที่จะให้เขาดูแล ด้วยความที่เป็นคนที่มีความเชื่อมั่น และไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค และสามารถแก้ปัญหาได้เป็นอย่างดี จึงไม่แปลกใจเลยเพื่อนๆ จะให้เขาเป็นประธานค่าย
หลังจากกล่าวความรู้สึกก็มีการเล่นดนตรีกันต่อสักเล็กน้อย แล้วจึงแยกย้ายกันเข้านอน เพื่อทำการกลับสู่มหาวิทยาลัยในวันรุ่งขึ้น
“เราทำได้แล้วนะ สมชาย ค่ายของพวกเราสำเร็จแล้ว” เพื่อนรองประธานค่ายเข้ามาคุยกับเขาหลังจากที่ทุกคนกลับเข้าที่พักกันหมดแล้ว สมชายรู้สึกภูมิใจในตนเองเป็นอย่างมาก ที่สามารถพาทุกคนร่วมกันทำประโยชน์ได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ และทำให้ค่ายนี้ผ่านไปได้ด้วยดี
ดวงตาของเขาฉายแววแห่งความมุ่งมั่นและอัดแน่นไปด้วยอุดมการณ์ ตลอดห้าปีที่ผ่านมาของว่าที่ครุศาสตรบัณฑิตคนนี้ผ่านการเข้าค่ายบำเพ็ญประโยชน์มานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว ไม่ว่าอย่างไร ความเหลื่อมล้ำในสังคมก็ยังคงไม่หมดสิ้นไปเสียที แม้ว่าเขาจะออกค่ายอาสามากเท่าใดก็ยังคงเห็นภาพของความไม่เท่าเทียมกันนี้อยู่ดี
หรือว่าโลกนี้ไม่มีความเท่าเทียมอยู่จริง? เขาได้แต่คิดในใจ และสักวันจะค้นหาคำตอบนี้ให้ได้ตัวเอง…สักวัน
และแล้ววันนี้ก็มาถึง วันที่ชาวค่ายอาสาจะต้องเดินทางกลับไปยังมาตุภูมิของตน กลับไปสู่โลกของความเป็นจริง แม้จะรู้ว่ายังไงก็ต้องจากกัน แต่บางคนก็อดใจหายไม่ได้ ความผูกพันและหว่างชาวบ้านและคนหนุ่มสาวนั้นช่างมากมายเหลือเกิน แม้จะเป็นช่วงเวลาอันสั้น แต่ก็สามารถประทับตราตรึงในหัวใจได้อย่างยาวนาน
เด็กเล็กหลายคนร้องไห้จ้าที่เห็นพวกเขาเหล่านั้นต้องกลับไป ช่วงเวลาที่ได้อยู่ด้วยกันทำให้พวกเขามีความสุขมาก ชาวบ้านได้พบเจอผู้คนใหม่ๆ ได้ฟังเรื่องเล่าแปลกประหลาดพิศดารจากคนเหล่านี้ ได้ยินนิยายจากเมืองหลวง พวกเขาเองไม่อยากจะให้กลุ่มนักศึกษาเหล่านี้กลับไปเลย แต่ก็ไม่สามารถขัดต่อหลักความจริงไปได้ งานเลี้ยงย่อมมีวันลิกรา นี่เป็นสิ่งที่จริงแท้ที่สุด
สมชายได้กล่าวปิดค่ายอาสาครั้งนี้ และได้ทำการมอบห้องสมุดให้กับผู้ใหญ่บ้านอย่างเป็นทางการ ตลอดเวลาเจ็ดวันที่ผ่านมาทั้งสองฝ่ายต่างได้เรียนรู้ซึ่งกันและกัน ได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์ ได้รู้จักกัน ได้ผูกพัน และเกิดเป็นความสัมพันธ์ที่ไม่มีวันจะเลือนหายไป
รถทัวร์มารับแล้ว ทุกคนใจหายวาบ เวลาที่จะได้อยู่กันน้อยลงทุกที ต่างคนต่างสวมกอดกันด้วยความรัก บ่างให้ของขวัญกันเพื่อไว้ดูยามคิดถึง และสุดท้ายไม่ลืมที่จะเก็บภาพประทับใจนี้เอาไว้ ทั้งในแผ่นฟิล์ม และในความทรงจำ
พาหนะคันใหญ่ ค่อยๆ พาสมาชิกค่ายอาสาห่างไกลออกไปจากสายตาของชาวบ้าน พวกเขาทั้งหลายโบกให้กันด้วยความรัก ความอาลัย และความคะนึงหา ต่างรอเวลาที่จะหมุนไป ให้พวกเขาได้กลับมาเจอกันอีกครั้ง
แม้ว่าหลังจากนี้ชีวิตของสมาชิกชาวค่ายจะเป็นยังไง จะกลับไปสู่วิถีชีวิตแบบเดิมไหม จะยังคงใช้ชีวิตสุขสบายแบบเดิมหรือเปล่า จะเปลี่ยนแปลงไปไหม ชาวบ้านจะใช้ห้องสมุดเพื่อการเรียนรู้ และใช้ความรู้เหล่านั้นมาทำมาหากินหรือไม่ วิถีชีวิตของบ้านจะเปลี่ยนไปเช่นไร เราไม่อาจรู้ได้ เป็นสิ่งที่ไม่รู้
เป็นเรื่องของอนาคต
วันพระราชทานปริญญาบัตร
นี่เป็นวันที่บัณฑิตทุกคนมีความสุขที่สุดในชีวิต เป็นวันที่หลายๆ คนรอคอยมาตลอดระยะเวลาที่ศึกษาอยู่ในรั้วมหาวิทยาลัย เวลาที่พวกเขาจะออกไปทำงาน ไปสู่เส้นทางที่ตนเองเลือก และสร้างคุณค่าแก่สังคม และก้าวเข้าสู่โลกนอกมหาวิทยาลัย…โลกแห่งความเป็นจริง
พ่อแม่และญาติพี่น้องต่างก็มาร่วมแสดงความยินดีกับบุตรหลานของตน นี่ก็เป็นอีกวันหนึ่งเช่นกันที่บรรดาผู้หลักผู้ใหญ่ของครอบครัวจะมาร่วมแสดงความยินดีกับบัณฑิตใหม่ ผู้คนมากมายต่างหลั่งไหลเข้ามาที่มหาวิทยาลัย บ้างหอบช่อดอกไม้ บ้างมีตุ๊กตาของขวัญ ช่างภาพกดชัตเตอร์ถี่ยิบ เหล่าบัณฑิตใหม่ยิ้มรับแสงแฟลชไม่ขาดสาย ใบหน้าของพวกเขาล้วนอิ่มเอมเปรมสุข บรรดารุ่นน้องต่างก็มาร่วมแสดงความยินดี เสียงเพลง เสียงบูมดังกึกก้องไปทั่วมหาวิทยาลัย ราวกับทวยเทพประทานพรให้แก่ผู้สำเร็จการศึกษาในวันนี้
สมชายก็เป็นหนึ่งในผู้สำเร็จการศึกษาในวันนี้ เขามีผลการเรียนดีเด่น ได้รับเกียรตินิยมอันดับหนึ่งจากคณะครุศาสตร์ และเป็นที่ต้องการตัวจากโรงเรียนชั้นนำมากมาย แต่เขากลับปฏิเสธข้อเสนอเหล่านั้นโดยที่ไม่มีใครรู้เหตุผลว่าทำไมเขาถึงไม่ยอมรับโอกาสดีๆ เช่นนี้
บัณฑิตเกียรตินิยมผู้นี้เป็นนักเรียนเรียนดีจากต่างจังหวัด เป็นตัวแทนของหมู่บ้าน เป็นความภาคภูมิใจของครอบครัว ใบหน้าพ่อแม่และญาติของเขาจึงมีรอยยิ้มประดับอยู่เนืองนิตย์
ในงานวันนี้ มีผู้คนเข้าแสดงความยินดีกับสมชายมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเพื่อน รุ่นพี่ สมาชิกในชมรม และบรรดาเพื่อนๆ จากค่ายอาสาที่เคยไปออกค่ายด้วยกัน เขาเป็นที่รักของทุกคน เป็นคนที่ทุกคนอยากมาแสดงความยินดีด้วย อยากมาถ่ายรูปด้วย
หลังจากจบพิธีพระราชทานปริญญาบัตร เพื่อนๆ หลายคนนั่งคุยกันถึงเรื่องอนาคต ว่าจะทำงานอะไร จะสมัครงานที่ไหนดี บางคนเรียนเก่งก็มีคนจองตัวตั้งแต่เรียนไม่จบ บางคนก็กำลังหางาน บางคนก็มีธุรกิจเป็นของตัวเอง หรือบางคนอยากจะหยุดพักแล้วค่อยตัดสินใจ
แต่ที่ทุกคนแปลกใจที่สุดก็เห็นจะเป็นเรื่องของสมชาย เพราะการที่โรงเรียนดังระดับประเทศมายื่นข้อเสนอให้เขาไปเป็นอาจารย์ถือได้ว่าเป็นความฝันสูงสุดสำหรับผู้ที่จบการศึกษาจากคณะครุศาสตร์ทั้งหลาย
“เฮ้ย สมชาย ทำไมมึงถึงไม่ไปสอนที่โรงเรียนดังๆ พวกนั้นวะ กูก็เห็นมึงชอบสอน อยากเป็นครูนี่หว่า ทำไมถึงปฏิเสธเขาล่ะ”
“กูมีอุดมการณ์อยู่ โรงเรียนพวกนั้นตอบโจทย์กูไม่ได้หรอก”
“อุดมการณ์ของมึงคืออะไรวะ”
“กูจะไปเป็นครูที่ชนบท กูจะอุทิศชีวิตให้กับการพัฒนาการศึกษา กูไม่อยากเห็นใครลำบากและไม่มีความรู้อีกแล้ว!”
ตอนที่ ๑
ท่ามกลางบรรยากาศรอบกองไฟของคืนวันสุดท้ายของค่ายอาสาพัฒนาชนบท เหล่านักศึกษาผู้เป็นกำลังสำคัญของชาติกำลังนั่งล้อมวงทำกิจกรรมกันอยู่
คืนนี้เป็นคืนสุดท้ายของพวกเขาแล้วที่จะได้ได้มาบำเพ็ญประโยชน์ที่หมู่บ้านในแถบชนบทแห่งนี้ ตลอดระยะเวลาเจ็ดวันที่ผ่านมาจะทำให้พวกเขาลืมความสบาย ได้รู้จักชีวิตที่ยากลำบาก แต่สุดท้ายพวกเขาทั้งหลายจะกลับไปใช้ชีวิตในเมืองหลวง ที่มีแต่ความสับสนวุ่นวายเช่นเดิม อยู่กับวิถีชีวิตแบบเดิม บางคนอาจจะซึมซับและเข้าใจความลำบากมากขึ้น แต่บางคนก็อาจจะจดจำได้เพียงเสี้ยวเดียวเท่านั้น
หมู่บ้านนี้เป็นหมู่บ้านที่ห่างไกลกับความเจริญ ไฟฟ้าเข้าไม่ถึง อาหารการกินไม่ค่อยจะมีเท่าใดนัก ค่อนข้างจะขาดแคลน ต้องหาของป่ามาประทังชีวิตเอา เรื่องการศึกษานั้นไม่ต้องพูดถึง แทบจะไม่มีใครอ่านหนังสือออกเลยสักคน เด็กเล็กส่วนมากไม่ได้เรียนหนังสือ ไม่มีความรู้ ต้องอดๆ อยากๆ นี่จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้นักศึกษากลุ่มนี้อยากจะเข้ามาพัฒนาช่วยเหลือที่นี่
จุดประสงค์หลักของการออกค่ายครั้งนี้ คือการสร้างห้องสมุดและร่วมกันพัฒนาหมู่บ้านแห่งนี้ให้มีความเจริญ สะดวกสบาย ด้วยอุดมการณ์ ความมุ่งมั่น และใจรักที่อยากจะอาสาทำความดี ทำให้กลุ่มนักศึกษาเหล่านี้ทำงานกันด้วยความสนุก ขยันขันแข็ง ไม่กลัวงานหนัก แม้จะเหนื่อยแค่ไหนก็ยังมุ่งมั่นทำงานกันต่อไปไม่ลดละ
การมาของคนหนุ่มสาวทำให้หมู่บ้านแห่งนี้มีชีวิตชีวามากยิ่งขึ้น เด็กๆ ได้เจอกับคนวัยใกล้เคียงกัน ได้มีเพื่อนเล่น ได้ของเล่นใหม่ๆ ได้หนังสือที่รับบริจาคไปอ่าน ได้มีห้องสมุดไว้ศึกษาหาความรู้ ส่วนผู้ใหญ่หรือคนเฒ่าคนแก่นั้นก็มีคนมาคุยด้วย ได้เล่าความหลังหรือเรื่องราวที่ตนเองเคยผ่านมาก็นับเป็นความสุขของพวกเขาแล้ว
ในช่วงเช้าผู้มาเยือนจะตื่นกันตั้งแต่เช้าตรู่ เพื่อมาออกกำลังกาย และแจกแจงหน้าที่กันในตอนเช้า หลังจากนั้นก็จะเป็นการรับประทานอาหารจากชาวบ้านบ้างและทำกันเองบ้าง หลังจากนั้นก็เป็นการทำงานตามหน้าที่ของตน ใครถนัดงานไหนก็ทำงานนั้น ฝ่ายชายก็อาสาในการแบกหาม ยกของ ส่วนฝ่ายหญิงก็จะทำงานที่เบาลงมา แต่สุดท้ายไม่ว่าชายหรือหญิงก็จะช่วยเหลือกัน ไม่ว่างานนั้นจะหนักจะเบา พวกเขาล้วนมีความสามัคคีกันและทำงานนั้นให้สำเร็จไปด้วยกัน
ตกเย็นก็จะมีกิจกรรมสันทนาการกันเป็นประจำ เพื่อผ่อนคลายหลังจากการกรำงานหนักมาทั้งวัน บ้างมีการร้องเล่นเต้นรำ บ้างมีการแสดงละคร บ้างมีการพูดคุยกับคนในหมู่บ้าน สร้างความสนุกสนานให้กับชาวบ้านไม่น้อย
คืนนี้กิจกรรมต่างๆ ก็ล่วงเลยมาถึงท้ายที่สุดแล้ว ประธานค่ายได้ให้ลูกค่ายได้กล่าวถึงความประทับใจและความรู้สึกที่ได้มาค่ายนี้ นักศึกษาชายคนหนึ่งท่าทางคงแก่เรียน สวมแว่นหนาเตอะ รูปร่างผอมแกร็นคนหนึงยกมือขึ้นแล้วกล่าวขึ้นว่า
“ผมรู้สึกดีใจมากครับที่ได้มาเข้าค่ายครั้งนี้ นี่เป็นค่ายแรกของผมในมหาวิทยาลัย ตลอดช่วงเวลาสี่ปีที่ผ่านมา ผมแทบไม่เคยออกไปไหนเลย อยู่แต่ที่ห้องเก็บตัวอ่านหนังสือ และทำคะแนนสอบ แต่พอผมได้มาที่ค่ายนี้ ความคิดของผมก็เปลี่ยนไป ผมได้พบเห็นผู้คนมากมาย ได้เจอเพื่อนใหม่ ได้รู้จักคุณค่าของการทำความดี การทำเพื่อผู้อื่น และคิดว่าเรามีคุณค่า ขอบคุณค่ายนี้มากๆ เลยครับ”
หลังจากกล่าวจบเขาก็ได้รับเสียงปรบมือมากมาย จากทั้งเพื่อนนักศึกษาและชาวบ้านที่นั่งฟัง คงไม่น่าแปลกใจเท่าใดนักเพราะเขานั้นเรียนคณะวิทยาศาสตร์ และใช้เวลาส่วนมากไปกับการท่องตำรา และอยู่ในห้องเรียนเสียเป็นส่วนใหญ่ เมื่อเขาพูดจบก็มีหญิงสาวคนหนึ่งยกมือขึ้นแล้วพูดต่อไปว่า
“เราก็ดีใจที่ได้มาค่ายนี้นะ แม้ว่าจะเคยออกค่ายมาหลายครั้งแล้ว แต่ค่ายนี้เป็นค่ายที่ประทับใจที่สุด เพราะได้มีส่วนร่วมในการจัดค่ายเอง และได้ลงมือทำเองทุกขั้นตอน ดีใจที่ได้มาเจอเพื่อนๆ ที่อยากทำความดีด้วยกัน ดีใจที่ได้ช่วยเหลือชาวบ้าน และดีใจจริงๆ ที่ได้มาค่ายนี้ค่ะ” ทุกคนพร้อมใจปรบมือให้เธอเช่นกัน เธอเป็นรองประธานค่ายและเป็นฝ่ายสวัสดิการ ผู้ซึ่งมีความตั้งใจและมุมานะอย่างที่สุด ที่จะทำให้การออกค่ายครั้งนี้ประสบความสำเร็จ
เมื่อฟังเธอพูดจบก็มีลูกค่ายคนอื่นเข้ามากล่าวความรู้สึกกันอย่างต่อเนื่อง ความคิดเห็นส่วนใหญ่บอกว่ารู้สึกดีใจที่ได้มาที่ค่ายนี้ และได้อะไรกลับไปมากมาย หลังจากที่ฟังหลายๆ คนพูดจบไปแล้วนั้น ก็ถึงคราวที่ประธานค่ายจะมากล่าวความรู้สึกบ้าง
“ก่อนอื่นเลยต้องขอบคุณกรรมการและฝ่าต่างๆ ช่วยกันทำค่ายนี้ขึ้นมา ตั้งแต่การวางแผนงานจนค่ายนี้ออกมาเป็นรูปเป็นร่าง ขอบคุณสมาชิกทุกคนที่มาอยู่ด้วยกันที่นี่ เราดีใจมากที่ได้ทำค่ายนี้ เราเชื่อว่าหลายๆ คนไม่เคยออกค่ายอาสาแบบนี้ ไม่เคยมาทำอะไรแบบนี้ แต่การออกค่ายนี่แหละ ที่ทำให้ชีวิตมหาวิทยาลัยของคุ้มค่า
เพื่อนๆ ครับ ยังมีอีกหลายหมู่บ้านที่ยังยากลำบาก ที่ยังรอพลังของหนุ่มสาวอย่างพวกเราเข้าไปพัฒนา เข้าไปช่วยเหลือ และทำให้เจริญขึ้น แม้จะจบค่ายนี้ไป เราก็อยากจะขอให้ทุกๆ คนจดจำภาพแห่งความประทับใจนี้ไว้ จดจำความสุข ความทุกข์ ที่พวกเราร่วมฝ่าฟันกันมา เก็บความทรงนี้ไว้ เราเชื่อว่าทุกคนจะไม่มีวันลืมมันแน่นอน ขอบคุณครับ!”
กล่าวจบก็มีเสียงปรบและเสียงเฮลั่น เขาเป็นผู้นำที่ทุกๆ คนไว้วางใจ และเชื่อใจที่จะให้เขาดูแล ด้วยความที่เป็นคนที่มีความเชื่อมั่น และไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค และสามารถแก้ปัญหาได้เป็นอย่างดี จึงไม่แปลกใจเลยเพื่อนๆ จะให้เขาเป็นประธานค่าย
หลังจากกล่าวความรู้สึกก็มีการเล่นดนตรีกันต่อสักเล็กน้อย แล้วจึงแยกย้ายกันเข้านอน เพื่อทำการกลับสู่มหาวิทยาลัยในวันรุ่งขึ้น
“เราทำได้แล้วนะ สมชาย ค่ายของพวกเราสำเร็จแล้ว” เพื่อนรองประธานค่ายเข้ามาคุยกับเขาหลังจากที่ทุกคนกลับเข้าที่พักกันหมดแล้ว สมชายรู้สึกภูมิใจในตนเองเป็นอย่างมาก ที่สามารถพาทุกคนร่วมกันทำประโยชน์ได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ และทำให้ค่ายนี้ผ่านไปได้ด้วยดี
ดวงตาของเขาฉายแววแห่งความมุ่งมั่นและอัดแน่นไปด้วยอุดมการณ์ ตลอดห้าปีที่ผ่านมาของว่าที่ครุศาสตรบัณฑิตคนนี้ผ่านการเข้าค่ายบำเพ็ญประโยชน์มานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว ไม่ว่าอย่างไร ความเหลื่อมล้ำในสังคมก็ยังคงไม่หมดสิ้นไปเสียที แม้ว่าเขาจะออกค่ายอาสามากเท่าใดก็ยังคงเห็นภาพของความไม่เท่าเทียมกันนี้อยู่ดี
หรือว่าโลกนี้ไม่มีความเท่าเทียมอยู่จริง? เขาได้แต่คิดในใจ และสักวันจะค้นหาคำตอบนี้ให้ได้ตัวเอง…สักวัน
และแล้ววันนี้ก็มาถึง วันที่ชาวค่ายอาสาจะต้องเดินทางกลับไปยังมาตุภูมิของตน กลับไปสู่โลกของความเป็นจริง แม้จะรู้ว่ายังไงก็ต้องจากกัน แต่บางคนก็อดใจหายไม่ได้ ความผูกพันและหว่างชาวบ้านและคนหนุ่มสาวนั้นช่างมากมายเหลือเกิน แม้จะเป็นช่วงเวลาอันสั้น แต่ก็สามารถประทับตราตรึงในหัวใจได้อย่างยาวนาน
เด็กเล็กหลายคนร้องไห้จ้าที่เห็นพวกเขาเหล่านั้นต้องกลับไป ช่วงเวลาที่ได้อยู่ด้วยกันทำให้พวกเขามีความสุขมาก ชาวบ้านได้พบเจอผู้คนใหม่ๆ ได้ฟังเรื่องเล่าแปลกประหลาดพิศดารจากคนเหล่านี้ ได้ยินนิยายจากเมืองหลวง พวกเขาเองไม่อยากจะให้กลุ่มนักศึกษาเหล่านี้กลับไปเลย แต่ก็ไม่สามารถขัดต่อหลักความจริงไปได้ งานเลี้ยงย่อมมีวันลิกรา นี่เป็นสิ่งที่จริงแท้ที่สุด
สมชายได้กล่าวปิดค่ายอาสาครั้งนี้ และได้ทำการมอบห้องสมุดให้กับผู้ใหญ่บ้านอย่างเป็นทางการ ตลอดเวลาเจ็ดวันที่ผ่านมาทั้งสองฝ่ายต่างได้เรียนรู้ซึ่งกันและกัน ได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์ ได้รู้จักกัน ได้ผูกพัน และเกิดเป็นความสัมพันธ์ที่ไม่มีวันจะเลือนหายไป
รถทัวร์มารับแล้ว ทุกคนใจหายวาบ เวลาที่จะได้อยู่กันน้อยลงทุกที ต่างคนต่างสวมกอดกันด้วยความรัก บ่างให้ของขวัญกันเพื่อไว้ดูยามคิดถึง และสุดท้ายไม่ลืมที่จะเก็บภาพประทับใจนี้เอาไว้ ทั้งในแผ่นฟิล์ม และในความทรงจำ
พาหนะคันใหญ่ ค่อยๆ พาสมาชิกค่ายอาสาห่างไกลออกไปจากสายตาของชาวบ้าน พวกเขาทั้งหลายโบกให้กันด้วยความรัก ความอาลัย และความคะนึงหา ต่างรอเวลาที่จะหมุนไป ให้พวกเขาได้กลับมาเจอกันอีกครั้ง
แม้ว่าหลังจากนี้ชีวิตของสมาชิกชาวค่ายจะเป็นยังไง จะกลับไปสู่วิถีชีวิตแบบเดิมไหม จะยังคงใช้ชีวิตสุขสบายแบบเดิมหรือเปล่า จะเปลี่ยนแปลงไปไหม ชาวบ้านจะใช้ห้องสมุดเพื่อการเรียนรู้ และใช้ความรู้เหล่านั้นมาทำมาหากินหรือไม่ วิถีชีวิตของบ้านจะเปลี่ยนไปเช่นไร เราไม่อาจรู้ได้ เป็นสิ่งที่ไม่รู้
เป็นเรื่องของอนาคต
วันพระราชทานปริญญาบัตร
นี่เป็นวันที่บัณฑิตทุกคนมีความสุขที่สุดในชีวิต เป็นวันที่หลายๆ คนรอคอยมาตลอดระยะเวลาที่ศึกษาอยู่ในรั้วมหาวิทยาลัย เวลาที่พวกเขาจะออกไปทำงาน ไปสู่เส้นทางที่ตนเองเลือก และสร้างคุณค่าแก่สังคม และก้าวเข้าสู่โลกนอกมหาวิทยาลัย…โลกแห่งความเป็นจริง
พ่อแม่และญาติพี่น้องต่างก็มาร่วมแสดงความยินดีกับบุตรหลานของตน นี่ก็เป็นอีกวันหนึ่งเช่นกันที่บรรดาผู้หลักผู้ใหญ่ของครอบครัวจะมาร่วมแสดงความยินดีกับบัณฑิตใหม่ ผู้คนมากมายต่างหลั่งไหลเข้ามาที่มหาวิทยาลัย บ้างหอบช่อดอกไม้ บ้างมีตุ๊กตาของขวัญ ช่างภาพกดชัตเตอร์ถี่ยิบ เหล่าบัณฑิตใหม่ยิ้มรับแสงแฟลชไม่ขาดสาย ใบหน้าของพวกเขาล้วนอิ่มเอมเปรมสุข บรรดารุ่นน้องต่างก็มาร่วมแสดงความยินดี เสียงเพลง เสียงบูมดังกึกก้องไปทั่วมหาวิทยาลัย ราวกับทวยเทพประทานพรให้แก่ผู้สำเร็จการศึกษาในวันนี้
สมชายก็เป็นหนึ่งในผู้สำเร็จการศึกษาในวันนี้ เขามีผลการเรียนดีเด่น ได้รับเกียรตินิยมอันดับหนึ่งจากคณะครุศาสตร์ และเป็นที่ต้องการตัวจากโรงเรียนชั้นนำมากมาย แต่เขากลับปฏิเสธข้อเสนอเหล่านั้นโดยที่ไม่มีใครรู้เหตุผลว่าทำไมเขาถึงไม่ยอมรับโอกาสดีๆ เช่นนี้
บัณฑิตเกียรตินิยมผู้นี้เป็นนักเรียนเรียนดีจากต่างจังหวัด เป็นตัวแทนของหมู่บ้าน เป็นความภาคภูมิใจของครอบครัว ใบหน้าพ่อแม่และญาติของเขาจึงมีรอยยิ้มประดับอยู่เนืองนิตย์
ในงานวันนี้ มีผู้คนเข้าแสดงความยินดีกับสมชายมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเพื่อน รุ่นพี่ สมาชิกในชมรม และบรรดาเพื่อนๆ จากค่ายอาสาที่เคยไปออกค่ายด้วยกัน เขาเป็นที่รักของทุกคน เป็นคนที่ทุกคนอยากมาแสดงความยินดีด้วย อยากมาถ่ายรูปด้วย
หลังจากจบพิธีพระราชทานปริญญาบัตร เพื่อนๆ หลายคนนั่งคุยกันถึงเรื่องอนาคต ว่าจะทำงานอะไร จะสมัครงานที่ไหนดี บางคนเรียนเก่งก็มีคนจองตัวตั้งแต่เรียนไม่จบ บางคนก็กำลังหางาน บางคนก็มีธุรกิจเป็นของตัวเอง หรือบางคนอยากจะหยุดพักแล้วค่อยตัดสินใจ
แต่ที่ทุกคนแปลกใจที่สุดก็เห็นจะเป็นเรื่องของสมชาย เพราะการที่โรงเรียนดังระดับประเทศมายื่นข้อเสนอให้เขาไปเป็นอาจารย์ถือได้ว่าเป็นความฝันสูงสุดสำหรับผู้ที่จบการศึกษาจากคณะครุศาสตร์ทั้งหลาย
“เฮ้ย สมชาย ทำไมมึงถึงไม่ไปสอนที่โรงเรียนดังๆ พวกนั้นวะ กูก็เห็นมึงชอบสอน อยากเป็นครูนี่หว่า ทำไมถึงปฏิเสธเขาล่ะ”
“กูมีอุดมการณ์อยู่ โรงเรียนพวกนั้นตอบโจทย์กูไม่ได้หรอก”
“อุดมการณ์ของมึงคืออะไรวะ”
“กูจะไปเป็นครูที่ชนบท กูจะอุทิศชีวิตให้กับการพัฒนาการศึกษา กูไม่อยากเห็นใครลำบากและไม่มีความรู้อีกแล้ว!”
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ