Calmesia นคราแห่งปีศาจ
เขียนโดย SunnyRain
วันที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2556 เวลา 14.06 น.
แก้ไขเมื่อ 9 มีนาคม พ.ศ. 2556 14.11 น. โดย เจ้าของนิยาย
1) รองเท้าพลิกชีวิต
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ“เฟลอเซียล จะมัวอ่านนิยายจนถึงไหนได้เวลาไปโรงเรียนแล้วนะลูก” เสียงของผู้เป็นแม่บ้านดังมาจาข้างล่างด้วยน้ำเสียงร้อนรน
ใช่สิ นี้มันใกล้ได้เวลาโรงเรียนเข้าแล้ว แต่ลูกชายคนเดียวของเธอยังหมกมุ่นอยู่กับโลกนิยายอยู่บนห้องอย่างไม่สนใจเวลาเลย
เด็กหนุ่มปิดหนังสือพลางมองไปทางนาฬิกาด้วยสีหน้านิ่งสงบ “จะแปดโมงแล้วหรอ”
คำพูดแลดูเหมือนคนเร่งรีบ แต่กระนั้นเขาก็ยังจัดชุดนักเรียนที่ยุ่งเหยิงจากการลงไปนอนเมื่อครู่อย่างเชื่องช้า เสยผมสีดำขลับที่นุ่มสลวยและซอยถึงต้นคอ พร้อมขยับแว่นให้ดวงตาสีน้ำตาลของเขามองเห็นตัวหนังสือได้อย่างชัดเจน
เขาเพ่งมองเงาตัวเองในกระจก ดวงตาสีน้ำตาลของเขาสีเข้มค่อนไปทางแดงมากไปหน่อย เลยมีแต่คนบอกว่าเขามีดวงตาสีแดงอยู่เรื่อย
แต่...จะไปใส่ใจทำไมล่ะ
เด็กหนุ่มตรวจเช็คความเรียบร้อยของตัวเองอยู่ซักพักก่อนจะเดินลงไปฟังเสียงบ่นของแม่ต่อ
“เฟลอ แม่บอกกี่ครั้งแล้วว่ากินข้าวเช้าเสร็จแล้วก็รีบไปโรงเรียนเลย นิยายน่ะเอาไปอ่านที่โรงเรียนก็ได้ ดูสิอ่านนิยายมากจนไปโรงเรียนสายตั้งแต่เปิดเทอมแล้วนะ”
“พ่อล่ะครับ” เฟลอเซียลไม่แม้แต่จะใส่ใจคำบ่นด้วยความหวังดีของแม่เลยซักนิด
“ไปรีดนมวัวอยู่ รอหน่อยแล้วกัน นี่แหละอยากอ่านนิยายดีนัก คุณพ่อเลยไปทำอย่างอื่นระหว่างรอไปส่งลูกเลย”
ลูกชายตัวดีก็แค่เดินไปนั่งโซฟาและอ่านนิยายต่อด้วยสีหน้าไม่ทุกข์ร้อนใดๆ
บ้านของเฟลอเซียล มีกิจการทำฟาร์มที่มีทุกอย่างครบถ้วน จึงไม่จำเป็นต้องไปซื้อวัตถุดิบทำอาหารอะไรมากมาย เงินส่วนนั้นสองเจ้าของฟาร์มก็เลยนำไปซื้อนิยายให้ลูกแทน ตอนนี้นิยายที่เด็กหนุ่มมีครอบครองมากพอจะเปิดเป็นห้องสมุดนิยายได้แล้ว
ทำให้เด็กหนุ่มไม่มีค่าขนมแต่เปลี่ยนเป็นค่านิยายแทน เพราะค่าขนมน่ะ ไปโรงเรียนแม่ก็ห่อข้าวไปให้ ขนมอะไรก็หาทำเองจากฟาร์ม ของอย่างอื่นก็ไม่จำเป็น แค่มีนิยายชีวิตนี้เขาก็ไม่ต้องการอะไรอื่นอีกแล้ว
วันหยุดเขาก็มักจะคลุกอยู่กับห้องสมุดนิยายที่ใหญ่เท่าโรงสีข้าว ในนั้นมีทั้งนิยายแนวไซไฟ แฟนตาซีและอื่นๆ อีกมากมาย เรียงใส่ตู้ที่สูงจดเพดาน แทนที่เขาจะช่วยพ่อแม่ทำฟาร์ม แต่ว่าทั้งคนงาน ทั้งลูกค้ายั่วเยี่ยเต็มฟาร์ม จนเขาทนไม่ไหวเลยต้องสถิตในห้องสมุดกว้างใหญ่เพียงคนเดียว
ถ้าจะให้บอกเหตุผลก็คงเป็นเพราะตอนนี้เฟลอเซียลอายุได้ 15 ปีแล้วถือว่าเข้าวัยต่อต้านเลยล่ะ
แล้วเผอิญว่าเขาค่อนข้างจะต่อต้านรุนแรงเลยทีเดียว…
เวลาที่ว่างจากการอ่านนิยายเขาคิดเสมอว่ามนุษย์น่ะเป็นสิ่งมีชีวิตที่น่าเบื่อ วงจรชีวิตนั้นซ้ำซากจำเจไร้ซึ่งความแปลกใหม่ อ่อนแอ เห็นแก่ตัวเป็นที่สุด อารมณ์ นิสัยใจคอก็เดาง่ายจนน่ารำคาญ
เพียงผิวเผินคงจะเล่นยิ้มระรื่นกับคนที่ตัวเองชอบ แล้วความรักความเกลียดชังนั้นตัดสินมาจากอะไรกันล่ะ?
ก็มาจากสิ่งที่เราปฏิบัติกับเขายังไงล่ะ แค่เราให้ร้ายเขานิดเดียวก็ถือเป็นเรื่องใหญ่ พร้อมหาทางแก้แค้นอีก ทั้งที่บางทีสิ่งๆ นั้นอาจจะเป็นความจริงก็ตาม แทนที่จะเก็บเรื่องนั้นไปพิจารณาตัวเองแต่กลับไม่ยอมรับแล้วก็ให้ร้ายคืนไปหรือบางทีอาจจะใส่สีตีไข่เพิ่มไปเท่าไรก็ไม่รู้ แค่นั้นก็กลายเป็นศัตรูกันซะแล้ว
อ๋อ แต่อาจจะไม่ใช่กับทุกคนหรอกนะ
จากนิยายรักที่เขาเคยอ่านตัวร้ายจับนางเอกตบประจารให้คนอื่นได้เห็นความเข้มแข็งของตัวเอง ซึ่งเรื่องที่เกิดขึ้นมันไม่ใช่เรื่องอย่างที่นางร้ายคิดเสมอไป แต่ธรรมชาติของคนเราก็คือเอาดีใส่ตัวเอาชั่วใส่คนอื่นเสมอนั้นแหละ
ชอบนักหรือไงความรุนแรงน่ะ
ชอบนักหรือไงการได้เห็นคนอื่นอายต่อหน้าคนอื่น
ชอบนักหรือไงไอ้การที่สมเพชคนอื่นไปทั่ว
แล้วเคยรู้บ้างมั้ย…? คำบางคำเราพูดออกไปด้วย’ความสะใจ’ ไม่กี่นาที แต่คนฟังใช้เวลาหลายปีกับ’ความเสียใจ’
ชอบนักหรือไงไอ้พวกที่มันชอบทำร้ายคนอื่นไม่ว่าจะทางใด เพื่อความสะใจของตัวเอง
ชอบนักหรือไงคนที่ปากจัดๆ คำพูดเหมือนหนามแหลมคม
แล้วเคยคิดบ้างมั้ยว่าซักวัน หนามนั้นจะหันมาใส่ตัวเอง...
จะว่าไปมนุษย์นี้ก็แปลก โดยเฉพาะวัยรุ่นเนี้ย ทำไมถึงชอบคนที่ปากจัด เลวๆ กันนักนะ ไม่เคยคิดบ้างเลยหรอว่าไอ้คนเลวๆ น่ะ ถ้าไม่ได้รักเราจริงก็เห็นเราเป็นแค่ของเล่นหมดสนุกก็ทิ้ง คนดีมีให้รักเยอะแยะไม่รัก
เขาไม่สามารถเป็นคนที่ร้ายได้ เขาไม่อาจทนกับคนปากจัดเพราะหากซักวันหนามแหลมคมนั้นหันกลับมาเสียบแทงทะลุหัวใจที่บอกมาว่าเชื่อใจเขามากที่สุด มันคงะเจ็บปวดเจียนตาย...
ดังนั้นเขาจึงเลือกที่จะศึกษาคนในรูปแบบต่างๆ จากนิยายมากกว่า แม้ว่าพวกตัวละครเหล่านั้นจะไม่มีวันมีตัวตนก็ตาม แต่ก็ยังสนุกที่ได้พบเจอกับคนที่มีนิสัยต่างๆ แปลกๆ ใหม่ๆมากกว่า
ทำไมไม่รู้จักค้นหาในโลกแห่งความเป็นจริงน่ะหรอ
ก็เพราะมันเป็นโลกแห่งความเป็นจริงน่ะซิ คนทุกคนก็เลยไม่ได้มีความแปลกใหม่ หรือนิสัยที่ต่างออกไปเหมือนในนิยาย
และเขาก็เบื่อที่จะต้องอยู่กับคนพวกนั้นแล้วไงล่ะ
แต่ก็ใช่ว่าเขาจะอ่านนิยายแบบไม่เจอเรื่องซ้ำซากเลยนะ นิยายแฟนตาซีส่วนใหญ่น่ะจะต้องมีมนุษย์มาเกี่ยวพันด้วย ไม่ฝ่ายกอบกู้โลก หรือว่าฝ่ายได้รับการกอบกู้ บางทีก็อาจจะมีเป็นตัวร้ายบ้าง ตอนนี้เขาเองก็กำลังหาบทบาทอื่นในนิยายที่มนุษย์ไม่ใช่สามสิ่งนั้นอยู่
“เฟลอ ไปกันเถอะลูก” เสียงเรียกของพ่อเขาทำให้เด็กหนุ่มหลุดจากภวังค์ เขาเก็บนิยายเข้ากระเป๋านักเรียนและเดินไปขึ้นรถส่งไข่ของฟาร์ม มุ่งหน้าสู่โรงเรียน
สองข้างทางเต็มไปด้วยตึกรามบ้านช่องรูปทรงแปลกประหลาด ทั้งทรงลูกบาศก์ขนาดใหญ่ที่ใช้มุมมุมแหลมเป็นฐานตึก สิงสาราสัตว์มากมายหลายพันธุ์ รูปหัวใจก็ยังมี และในเขตเมืองก็ยังใช้ประตูเซ็นเซอร์อัตโนมัติทุกอาคาร รวมถึงบ้านเรือนของประชาชนด้วย
รถยนต์ที่วิ่งสวนกันไปมาถูกออกแบบให้ไม่มีควันพิษ ประกอบกับต้นไม้ข้างทางมากมายนั้น ทำให้อากาศในเมืองบริสุทธิ์เหมาะแก่การดำรงชีวิตอยู่ของมนุษย์
วิทยาการเทคโนโลยีทุกแขนงล้วนก้าวหน้าจนถึงขีดสุด แต่นครคาเมเซียแห่งนี้กลับมีความเชื่ออันแปลกประหลาดต่างจากประเทศหรือเมืองอื่นๆ อยู่หนึ่งอย่าง
และแม้ว่าจะยังไม่มีใครเคยเห็นกับตา แต่ก็ไม่มีใครกล้าเถียงว่ามันไม่จริงเลยซักคนเช่นกัน...
ด้วยความคิดข้างต้นที่เขาเพิ่งคิดก่อนออกจากบ้านนั้นน่ะ เป็นความคิดของเขาที่มีต่อการคบเพื่อน
หากใครที่ไม่สามารถหาสิ่งแปลกใหม่ให้กับชีวิตเล็กๆ นี้ได้ เฟลอเซียลก็จะไม่เข้าไปยุ่งเด็ดขาด และธรรมชาติของมนุษย์มักคบกับคนที่มีความคิดตรงกันเสมอ และคงเป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะเปลี่ยนความคิดไปทุกวันไม่ซ้ำกันทุกห้านาทีอย่างเฟลอเซียล
จากทุกความคิดที่เขาคิดขึ้นมาได้ ทำให้หนุ่มแว่นคนนี้ไม่มีเพื่อนซักคน อย่าว่าแต่ตีสนิทกับใครเลย แค่พูดนี้ก็เป็นไปได้ยากแล้ว
เฟลอเซียลนั้นสามารถเปลี่ยนเรื่องที่คิดทุกๆ สามนาทีทำให้ปากไม่อาจเปล่งคำพูดตามสมองได้ทัน สรุปแล้วก็จบที่ไม่พูดมันซะเลย
พูดง่ายๆ ง้างปากคุยกับเขา ไปฝึกให้นกแก้วพูดยังจะง่ายกว่าอีก
วันนี้เป็นวันที่อากาศดีที่สุดในสองอาทิตย์ที่เปิดเรียนมา เฟลอเซียลตัดสินใจไปกินมื้อกลางวันบนดาดฟ้า ซึ่งเป็นบริเวณที่ร้างนักเรียนมาก เพราะนักเรียนส่วนใหญ่มักจะหลบอยู่ในอาคาร ยกเว้นเฟลอเซียลที่หน้ามึนไม่รู้เรื่องรู้ราวว่าทำไมที่นี้ถึงไม่มีใครกล้าเข้ามา
เหตุผลก็...
ฟิ้ว~
เด็กหนุ่มผู้อยู่อย่างโดดเดียวบนดาดฟ้าเห็นบางสิ่งลอยสูงขึ้นมาถึงดาดฟ้า...รองเท้านั้นเอง
แล้วทำไมรองเท้าที่สมควรจะถูกสวมอยู่ในเท้าเจ้าของ ถึงลอยมาบนฟ้าได้ล่ะ?
จากรองเท้าก็ตามมาด้วยร่างของใครบางคนที่กระโดดขึ้นมา และเคลื่อนไหวด้วยความเร็วสูงในมือเขาถืออะไรไว้ซักอย่างด้วย
บุคคลปริศนาวิ่งมาอยู่ข้างหลังของเฟลอเซียล “เอ่อ...มีอะไรหรือเปล่าครับ” เฟลอเซียลหันหลังไปถามนักเรียนที่กระโดดขึ้นมาจากข้างล่างขึ้นมายังดาดฟ้า
เอ๋ ข้างล่างมาดาดฟ้า...
“เฮ้ย! คุณขึ้นมาได้ยังไงล่ะครับ” ตอนนั้นเองที่เขาสลัดใบหน้านิ่งเฉยเป็นแตกตื่นแบบสลับขั้วทันตา
นักเรียนคนนั้นยิ้มให้แล้วยกนิ้วชี้ไปทางทิศเบื้องหน้าผ่านเหนือไหล่เฟลอเซียล เป็นเหตุให้เขามองตามนิ้วนั้น
“เอ~ รู~ ดี้...!!!”
ป้าบบบ...!!!
เสียงนั้นดังมาพร้อมกับที่รองเท้าลอยมาประทับใบหน้าเขาเต็มๆ โชคดีที่ส่วนที่มากระแทกไม่ใช่พื้นล่าง...ไม่อย่างนั้น เขาคงต้องควักกระเงินส่วนที่จะซื้อนิยายมาซื้อโฟมล้างหน้าเพิ่มอย่างชอกช้ำระกำใจแน่
อ๋อ ไม่สิ ต้องมาฟังแม่บ่นเรื่องทำแว่นตาราคาแพงแตก จนต้องลดค่านิยายไปแน่ นั้นแหละที่ระทมสุดๆ
เฟลอเซียลคิดอยู่ท่ามกลางความเจ็บปวดได้เพียงอย่างเดียว
‘รองเท้านี้มันโยนมาด้วยแรงช้างแมมมอธคืนชีพขึ้นมามีเนื้อหนังหรือยังไงเนี่ย!’
เดี๊ยวสิ นี้มันใช่เวลามาคิดเรื่องนี้หรือไงฟะ!
แต่ความคิดนั้นเหมือนจะโดนตัดไปทันที เมื่อหลังจากรองเท้าคือร่างของชายหนุ่มรูปร่างกำยำ ยืนอยู่บนรั้วตาข่าย ท่าของเขานั้นค้างไว้ด้วยท่าเหมือนฟรีชเชอร์เพิ่งชู้ตลูกบสบอลเสร็จ เขาคือเจ้าของเสียงตวาดก่อนที่รองเท้าพลังช้างแมมมอธนี้จะลอยมาฝากรอยประทับที่ใบหน้าของเขา
เขากระโดดขึ้นมาจากข้างล่างอีกคนแล้ว...
“แน่จริงแกอย่าเอาคนอื่นมาเป็นโล่ซิฟะ” ชายหนุ่มผู้ยืนอยู่บนตาข่ายพูดด้วยท่าทางโมโห
เขามีเรือนผมสีแดงแลดูร้อนแรงแยงตาเป็นอย่างมากเหมือนไปย้อมมาอย่างไงอย่างงั้น สีผิวค่อนข้างคล่ำแต่ยังมีสิ่งบ่งบอกว่าเขาเคยขาวมาก่อน และจากสีผมลำสีผิวนั้นทำให้ดวงตาสีเขียวมรกตใสของเขาดูเด่นชัดมาก และนั้นก็ทำให้เขาดูมีเสน่ห์
ส่วนอีกคนที่ปุบปับมาหลบหลังเฟลอเซียลโดยไม่ทราบสาเหตุ อ๋อ ตอนนี้ทราบแล้ว รู้สึกจะชื่อ เอรูดี้อะไรนี้แหละ เขาดูเป็นคุณชายเรียบร้อยมากกว่าเยอะเรือนผมของเขามีสีทอง สีของนัยน์ตานั้นเป็นสีฟ้า ผิวขาวจัดถึงจัดมาก
และก็ชั่วร้ายมากที่มาใช้ผู้เคราะห์ร้ายที่บังเอิญผ่านมาเป็นโล่กันรองเท้า...
เอรูดี้โผล่หน้ามาจากที่กำบัง ( ซึ่งนั้นก็คือเฟลอเซียล ) นิดหนึ่งก่อนจะแลบลิ้นปลิ้นตาแล้วตอบไปว่า ”บิลลี่นั้นแหละชอบใช้ความรุนแรง ดูอย่างมายเมโลดี้ซิ คุโรมิยังไม่เห็นใช้กำลังกับศัตรูเลยนะ อ๋อ อาจเคยใช้กับบั๊กบ้าง แต่บิลลี่หัดเอาอย่างมายเมโลจังบ้างนะ น่ารักจะตาย”
“น่าฆ่าแกให้ตายมากกว่าน่ะซิ ฉันบอกกี่ครั้งแล้วถ้าอยากเรียกแบบย่อ ก็เรียกว่าเอบิล ชื่อของฉันคือเอบิลลีเต้ แต่แกก็ยังสะเออะมาเรียกบีลลี่ซะปัญญาอ่อนอีกนะแก๊~!!!” เอบิลลีเต้กระโดดลงมาหยิบรองเท้าข้างที่โยนขึ้นมาข้างแรกพร้อมด้วยรังสีอำมหิตร้ายแรงถึงขั้นจะฆ่าจะแกงกันเลยก็ว่าได้
“ใช้คำไม่สุภาพเลยนะบิลลี่ พูดแบบนี้ไม่มีใครคบหรอกนะ” คำเตือนเมื่อกี้คงจะสลายหายไปกับสายลมแล้วล่ะมั้ง
เส้นเลือดปูดขึ้นมาบนใบหน้าหล่อเข้ม เอบิลลีเต้โพสท่าแบบฟรีชเชอร์กำลังจะชู้ตลูกเบสบอล แต่เผอิญว่าในเหตุการณ์นี้ลูกเบสบอลแทนด้วยรองเท้าซะงั้น
เมื่อเล็งเป้าหมายพร้อม เขาก็ชู้ตมา (เด็กดีอย่าลอกเลียนแบบนะจ๊ะ) ถ้าเฟลอไม่ได้รู้สึกไปเองหรือคลั่งนิยายมากจนเกินไป เขาเห็นว่ารองเท้านั้นเหมือนมีลมแรงดันจนเห็นเป็นรูปร่างเลย
เอิ่ม...แต่มันพุ่งเป้ามาทางเรานี้...ไม่สิ คนข้างหลังเราต่างหาก
เพราะฉะนั้นจงรับไปเองเสียเถิด ที่กำบังขอหลบนอนตัวขดเป็นยากันยุงหลับตาปี๋อยู่บนพื้นแล้วกัน
เอรูดี้ยิ้มเหมือนว่าพอใจในการกระทำของเฟลอ ไม่นานก็มีเสียงเหมือนโลหะกระทบกับรองเท้าบินอย่างแรง
ที่กำบังซึ่งแปรสภาพเป็นยากันยุงถึงกับลืมตาขึ้นมาดู ภาพที่เห็นคือเด็กหนุ่มผมทองถือบางอย่างแทนไม้เบสบอลทำท่าตีโฮมรัน และในมือนั้นคือ กระทะ…!!!
นี้พวกเขาใช้รองเท้ากับกระทะเล่นเบสบอลกันรึไงเนี่ย!
เมื่อรองเท้ากระเด็นไปจากโฮมรันกระทะ เอบิลลีเต้ก็พุ่งไปทางทิศนั้นทันที เขาวิ่งไปแสดงออกว่าจะรับมัน แล้วก็เซฟ! บิลลี่รับรองเท้าไว้ได้!
เฟลอเซียลลุกขึ้นมานั่งอ้าปากค้าง บ้านพวกเขาคงจะยากจนขนาดหนักถึงขั้นไม่มีปัญญาซื้อไม้กับลูกเบสบอลกันใช่มั้ยเนี่ย
แต่แล้วเอบีลลีเต้ก็เปลี่ยนท่าทางทันที ไม่ได้ตั้งท่าชู้ตเหมือนเดิมแล้ว ปลายเท้าของเขาเปิดและพุ่งมาทางเฟลอเซียลด้วยความเร็วจนไม่น่าเรียกว่าคนได้ เขาเงื้อมือข้างที่ชูรองเท้าสูงขึ้น และฟาดมันลงมาเลยหัวของเฟลอไปยังเอรูดี้ที่อยู่ข้างหลัง
ส่งผลให้ตำแหน่งรองเท้าอยู่บนหัวผู้เคราะห์ร้ายพอดิบพอดีเสมือนมีใครมาจัดฉาก
โชคยังดีที่เอรูดี้ถอยหลังหลบ พร้อมกับลากเฟลอเซียลออกมาด้วย ปลายรองเท้าก็เลยไม่ได้เฉี่ยวปลายจมูกโด่งนั้นได้
ตูม!!!
กลุ่มควันขโหมงลอยปกคลุมไปทั่วบริเวณดาดฟ้าโรงเรียน
แน่ใจนะว่านั้นคือเสียงที่เกิดจากรองเท้า!?
เมื่อกลุ่มควันจางลงเฟลเซียลถึงกับอ้าปากจนขากรรไรแทบจะลงมากองอยู่บนพื้น สีหน้าซีดเผือดลงจนไม่เหลือสีเลือด เหงื่อเม็ดโตผุดพรายเต็มใบหน้าขาวเนียน
เป็นใคร ใครก็อึ้งทั้งนั้นล่ะครับ!
ก็ไอ้ตรงบริเวณที่เขาเคยอยู่หรือก็คือบริเวณที่รองเท้าประทับอยู่น่ะ เกิดหลุมรอยร้าวขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณสามถึงสี่เมตร
ถึงจุดๆ นี้แล้วเฟลอเซียลเข้าใจอย่างถ่องแท้ พวกเขาไม่ได้ตั้งใจจะเล่นมหาพิสดารเบสบอลแต่ตั้งใจจะฆ่ากันจริงๆ อย่างที่พูดน่ะแหละ
...น่ากลัว
กระนั้นเอรูดี้ก็ยังคงยิ้มอย่างอารมณ์ดี ”ฮ่ะๆ เกือบไปแล้วมั้ยล่ะ ถ้าเธอยังตัวแข็งเป็นรูปปั้นอยู่ตรงนั้นมีหวังสมองแบะแน่ๆ เลย”
“พูดเรื่องน่ากลัวขนาดนั้นยังจะมายิ้มอยู่ได้อีกหรอครับ! แล้วนี้มันเรื่องอะไรกันครับเนี่ย...”
เฟลอเซียลยังไม่ทันจะได้ถามอะไรต่อก็โดนจับข้อมือและพาวิ่งเข้าอาคารไปอย่างไม่พูดพร่ำทำเพลง จังหวะนั้นเองเขาก็เหลือบไปเห็นชายหนุ่มอีกคนก้มลงหยิบรองเท้าอีกข้างขึ้น พร้อมขยับตัวพุ่งมาทางตัวเองอีก เฟลอเซียลจึงไม่ปฏิเสธการที่โดนลากให้วิ่งหนีแต่อย่างใด แถมยังวิ่งนำคนที่ลากมาตอนแรกซะอีก
ก็เขายังรักชีวิตอยู่นี่นา
“อย่าหนีเซ่ เอรูดี้!” เสียงนรกตะโกนไล่หลังเขามา
ไม่หนีก็ตายสิครับ...ว่าแต่ เราจะหนีตามมาด้วยทำไมเนี่ย?
“อ๊ะ เราไปหลบอยู่ในห้องนั้นก็แล้วกัน” เอรูดี้นำเฟลอเซียลไปยังห้องหนึ่งซึ่งอยู่ข้างตู้เก็บไม้กวาด บริเวณหน้าห้องนั้นมีคนยืนอยู่ค่อนข้างเยอะเหมาะแก่การใช้เป็นที่หลบภัยชั่วคราว
พวกเขาจึงอำพรางเข้าไปในฝูงชน แล้วหายตัวเข้าไปในห้องอย่างไร้ร่องรอย ส่งผลให้เอบิลลีเต้ต้องเลิกราจากการไล่จับฆ่าของวันนี้
เมื่อมั่นใจว่าผู้ไล่ล่าห่างจากแหล่งหลบภัยของพวกเขาแล้ว เฟลอเซียลถึงกับเอ่ยปากอย่างไม่เหลือมาดเด็กหนุ่มผู้นิ่งสงบอย่างที่เป็นมาตลอดหลายปีมานี้ทันที
ใช้เวลาในการเป็นหลายปี แต่ใช้เวลาไม่กี่นาทีในการทำลายมัน
คนพวกนี้มีความสามารถในการทำลายล้างสูงส่งอย่างไม่น่าเชื่อจริงๆ
“คุณจะลากผมให้วิ่งมากับคุณทำไมครับเนี่ย ผมไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรด้วยซักหน่อย แล้วคนๆ นั้นมันอะไรกันครับแรงเยอะอย่างกับช้างแมมมอธ ทำไมเขาต้อง...”
เสียงของเฟลอเซียลหยุดลงเพียงแค่นี้ เมื่อผู้ลากเขาเข้าเหตุการณ์สั่นขวัญยกนิ้วชี้ขึ้นจุปาก ”อย่าเพิ่งใจร้อนสิครับ คนๆ นั้นน่ะแรงช้างจริงๆ อย่างที่ว่านั้นแหละ อ๋อ ยังไม่รู้จักชื่อกันสินะ ผมเอรูดี้ กลอลีเย่อครับ เรียกสั้นๆ ว่ารูดี้ก็ได้”
เด็กหนุ่มผมทองวางกระทะในมือไว้หน้าประตู แล้วยื่นมือมาทางหน้าเฟลอเซียลด้วยรอยยิ้มที่สดใสราวกับเทวดามาจุติ
เป็นเทวดาที่พาหายนะมาให้ด้วย
เฟลอเซียลลังเลอยู่ครู่หนึ่งกับมือที่ยื่นมาหวังสานสัมพันธ์ ตั้งแต่เกิดมาจะมีซักกี่คนกันที่เข้าใจเขาจริงๆ และถ้ามือนี้จะนำพาตัวเองกับเขาคนนี้ไปสู่สิ่งที่เรียกว่าเพื่อน เฟลอเซียลเองก็คงจะยอมรับไม่ได้ที่เขาจะต้องเห็น เพื่อนของเขาต้องพบกับเรื่องโหดร้ายแบบนั้นอีก
“ไม่ต้องกลัวหรอกครับ ถ้าหากคุณกลัวว่าผมจะต้องเสียใจเมื่อคบกับคนอย่างคุณ” เอรูดี้หัวเราะอย่างอารมณ์ดี “อย่าดูถูกกันอย่างนั้นสิ ผมไม่ใช่คนที่จะพูดเรื่องอะไรซ้ำๆ ซากๆ เกินห้านาทีหรอกนะครับ”
เขาอ่านความคิดคนได้ด้วยงั้นหรอ!!!
“ผมไม่ได้อ่านความคิดคนได้หรอกนะครับ” เอรูดี้พูดออกมาตรงประเด็นเป๊ะทั้งๆ ที่อีกฝ่ายยังไม่ได้แม้แต่จะพูดอะไรซักคำ
“เอ่อ...เฟลอเซียล ซีเยอเล่...เฟลอเฉยๆ ก็ได้” ความกังวลนั้นพลันหายไปเมื่อเขาโดนอ่านออกซะทะลุปรุโปร่ง
สิ่งที่เฟลอเซียลรู้สึกจากฝ่ามือนั้นคือมันช่างอบอุ่นอย่างที่เขาไม่เคยสัมผัสมานานตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ ช่างเป็นสัมผัสที่อ่อนโยนเหลือเกิน...
เอรูดี้ยกมือขึ้นปิดปากหัวเราะเบาๆ “ฮะๆ เวลานายอายเนี่ยน่ารักจริงๆ เลยนะ”
นี่เขายังรู้ด้วยอีกหรอเนี่ยว่าเราอายน่ะ เฟลอเซียลคิดพลางหน้าแดงขึ้นทันที
“ฉันคงจะแกล้งนายเยอะไปหน่อยนะ” หนุ่มผมทองยิ้มหวาน “ส่วนคนชายที่ขว้างรองเท้าคนนั้นน่ะชื่อเอบิลบีเต้ เซเลนีเต้ครับ เราเป็นเพื่อนรักกัน”
มีเพื่อนที่ไหนเขาเอารองเท้าไล่ฟาดกันอย่างนี้กันเนี่ย เฟลเซียลอดไม่ได้จึงถามออกไปทันที
“แล้วทำไมเขาถึงเอารองเท้ามาไล่คุณล่ะครับ”
“การสานสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นของเราสองคนไงล่ะ”
โห สานสัมพันธ์กันรุนแรงมาก...พื้นดาดฟ้าเป็นหลุมเลยนะนั้น
“คือ...ฉันคิดว่า ฉันเห็นรูดี้กระโดดขึ้นมาบนดาดฟ้าน่ะ ฉันว่าฉันคิดไปเองหรือเปล่า” เด็กหนุ่มผู้เคราะห์ร้ายถามอย่างคิดขึ้นได้ โดยไม่ได้ใช้คะพูดสุภาพอีกต่อไป
ก็พวกเขาเป็นเพื่อนกันแล้วนี่นา...
“ฮะๆ วางใจได้เลย ไม่ได้คิดไปเองหรอก ฉันกระโดดขึ้นไปจริงๆ “
“อ๋อ ไม่ได้คิดไปเองสินะ เฮ้อ ฉันยังไม่ได้เสียสติไปซินะ...หา! อะไรนะ! รูดี้กระโดดขึ้นมาจริงๆ หรอ อาคารมันสูงห้าชั้นเชียวนะครับ! “
ไม่รู้ว่าเขาคิดไปเองหรือไม่ได้คิดไปเองอันไหนมันดีกว่ากันแหะ
“อื้ม กระโดดขึ้นไปเองเลยล่ะ จากพื้นชั้นล่างขึ้นไปบนดาดฟ้านั้นแหละ แต่ที่ไปถึงช้ากว่ารองเท้าน่ะ ตอนกระโดดขึ้นบิลลี่ดันโยนมาเลยต้องหลบก่อนอ่ะนะ” เอรูดี้คลี่ยิ้มแบบน่ารักสุดๆ มาให้เด็กหนุ่มผู้ซึ่งเสียมาดนิ่งไปแล้วสิ้น
“น่ะ...นายกระโดดขึ้นไปได้ยังไง หรือว่ารูดี้จะเป็นซุปเปอร์คน!?”
“พรสวรรค์น่ะ”
“อ้าว นี้พวกเธอเห็นป้ายประกาศแล้วซินะ อยากจะเข้าชมรมล่ะซิมากรอกใบสมัครเร็ว ทางเรากำลังหาสมาชิกอย่างด่วนอยู่น่ะ” เสียงของผู้หญิงคนหนึ่งดังแทรกมาระหว่างที่ทั้งสองกำลังคุยกันเรื่องหลุดโลกกันอยู่...ว่าแต่เธอเป็นใครกัน?
เฟลอเซียลรีบปฏิเสธทันที “เอ่อ ไม่ใช่นะครับ พวกเราแค่ขอยืมเป็นที่หลบภัย...” พูดได้เพียงเท่านั้นเฟลอก็โดนเอรูดี้ยื่นมือมาขวางหน้าไว้ก่อน
“อ๋อ เปล่าหรอกครับ พวกเราเข้ามาเพราะดูห้องนี้ลึกลับดี น่าสนใจไม่น้อย ไม่ได้ดูจากใบปลิวหรอก แต่รู้สึกเราสองคนจะติดใจห้องชมรมนี่ซะแล้ว เราเองก็ยังไม่มีสังกัดชมรมซะด้วย จะขอบคุณมากที่จะช่วยบอกชื่อชมรมให้พวกเรา ก่อนกรอกใบสมัครได้มั้ยครับ”
สิ่งเดียวที่เฟลอเซียลทำได้มีเพียงแค่อ้าปากค้างอย่างหาไม่ได้ นอกจากความสามารถในการหลบหนีแล้ว พรสวรรค์ด้านการแถของเขาก็ดูถูกไม่ได้จริงๆ
แต่นี้เขากำลังทำอะไรอยู่กันแน่เนี้ย!...คงไม่ใช่
“ได้ซิ ชมรมนี่มีชื่อว่า ชมรมUMA…!!!” เธอประกาศอย่างสมภาคภูมิ
แต่ไม่ใช่สำหรับเฟลอเซียล เขากลับห่อไหล่ลง ก็ชมรมนี่น่ะมีข่าวลือมาว่าเป็นหนึ่งในสี่ชมรมอภิมหึมามหาเพี้ยนของโรงเรียนนี่นา
เอรูดี้เอ๊ย คบกันได้ไม่นานนายสร้างปัญหาให้ฉลองกันเลยนะเนี่ย!!!
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ