[Fiction] Kuroko no Basuke Aomine X Kise

-

เขียนโดย SunnyRain

วันที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2556 เวลา 15.26 น.

  2 ตอน
  0 วิจารณ์
  19.36K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 16 มีนาคม พ.ศ. 2556 14.45 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

2) ตอนที่2 ไม่ว่าจะเป็นอะไรของนายฉันก็ชอบทั้งนั่นแหละ

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

(มันเป็นยาปลุกเซ็กส์...!!!)

คำพูดของมิโดริมะวนเวียนไม่ยอมออกจากหัวคิเสะซักที เขานั่งกอดเข่าขุดคู้อยู่ตรงมุมห้อง ตอนนี้ก้อนดำๆ ในกล่องนั้นก็หมดเกลี้ยงแทบไม่เหลือแม้แต่เศษเลยทีเดียว

นั้นก็ยิ่งทำให้คิเสะอดหดหู่มากขึ้นไม่ได้ แม้หัวจะคิดอย่างนั้นแต่ร่างกายของเขากลับร้อนรุ่มขึ้นเรื่อยๆ ใบหน้าขาวเนียนมีเหงื่อผุดพราวอยู่เต็ม หายใจไม่ค่อยทั่วท้อง หัวใจเต้นรัวจนได้ยินเสียงออกมา และที่สำคัญตรงนั้นก็เริ่ม...

ยานั้นออกฤทธิ์แล้ว

คิเสะกอดร่างกายอันสันเทาของตัวเองแน่นขึ้นเรื่อยๆ แสงอาทิตย์สีส้มหายไปแล้ว มันเป็นสัญญาณที่ไม่ดีเอาซะเลย เมื่ออีกคนยังคงอยู่ในห้องของเขาและกำลังเก็บข้าวของบนโต๊ะ

รีบเก็บแล้วรีบออกไปเถอะ

...เพราะฉันก็เริ่มไม่ไหวแล้ว

คิเสะแอบลอบมองร่างสูงที่กำลังเก็บของด้วยอาการหอยหายใจ ไอ้หมอนี่กินไปเยอะกว่าเรา ทำไมยังดูไม่เห็นเป็นไรเลยแหะ

เมื่อรู้สึกว่ามีสายตาจ้องตัวเองอยู่อาโอมิเนะจึงเงยหน้าไปหาเจ้าของสายตานั่นทันที ซึ่งเป็นจังหวะที่เขาเก็ข้าวของเสร็จพอดี  แล้วก็ต้องตะลึงกับภาพตรงหน้า

ผิวของคิเสะดูอวบอิ่มนนุ่มชุ่มชื่น ใบหน้าแดงระเรื่ออ่อนๆ มีเหงื่อผุดออดมาเล็กน้อย หายใจหอบถี่ขึ้นเรื่อยๆ และถ้าดูดีๆ ดูเหมือนกับผิวขาวเนียนนั้นจะขาวเปล่งออร่าออกมาน่าสัมผัสเป็นที่สุด นี่ยังไม่รวมใบหน้าที่ดูเหมือนลูกแมวตัวน้อยๆ นั้นอีกนะ

ไม่ได้...เราจะทำแบบนั้นไม่ได้

พอสลัดความคิดนั้นได้ อาโอมิเนะจึงเดินเข้าไปหาร่างที่นั่งคดตัว ทรุดนั่งลงตรงหน้า แล้วถามไถ่ด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงแบบที่ไม่ค่อยได้ทำบ่อยนัก

“เป็นอะไรหรือเปล่าคิเสะ เป็นไข้หรือเปล่า” มือสีแทนยื่นไปวางบนแขนข้างหนึ่งด้วยความห่วงใย แต่สิ่งที่คาดไม่ถึงคือคิเสะกลับสลัดมือของเขาออกไปในทันที

“อย่ามาแตะต้องตัวฉันนะ!” คิเสะตวาดกลับในทันที

ได้ยินดังนั้นอาโอมิเนะก็ใจเสียถามอย่างรู้สึกผิดว่า “โกรธหรอที่ฉัน...จูบนาย”

เพราะตั้งแต่อาโอมิเนะจูบคิเสะไปแล้ว คิเสะก็เอาแต่นั่งขดตัวอยู่มุมห้องแล้วก็ไม่ได้พูดอะไรกับเขาอีกเลย

“ขอโทษนะ” อาโอมิเนะสีหน้าสลด

เห็นอาโอมิเนะเข้าใจผิดไปคนละเรื่องคิเสะก็รีบแก้ตัวทันที “ขอโทษทำไม อาโอมิเนจจิ ฉันไม่ได้โกรธนายซักหน่อย คิดมากไปแล้ว ถึงจะอึ้งไปนิดหน่อยก็เถอะ” คิเสะก้มหน้าอย่างเขินอาย “แต่ฉันไม่ได้โกรธจริงๆ นะ”

“แล้วตกลงนายเป็นอะไรกันแน่” อาโอมิเนะยังคงถามไถ่ต่อด้วยความเป็นห่วง

คิเสะอึกอัก จะให้ตอบไปได้ไงว่าเขากำลังสู้กับฤทธิ์ยาปลุกเซ้กส์อยู่!

ต้องโกหกอีกแล้วหรอ? คิเสะคิดอย่างหดหู่ ตั้งแต่ไอ้เจ้ามิโดริมะนั้นเอายามาให้เขาก็ต้องกุเรื่องโกหกมากมายอย่างที่เขาไม่ต้องการเลย ถ้าเจอครั้งหน้าฉันจะตัดหัวมันเอามาเล่นแทนลูกบาสฯ เลยคอยดู!

ถึงจะคิดแบบพาลๆ ไปอย่างนั้นก็ตาม แต่จะโทษมิโดริมะคนเดียวก็ไม่ได้หรอก ก็ตัวเขาเองไม่ใช่หรอที่เอายาที่อยู่ในขั้นทดลองมาใส่ในช็อกโกแลตเอง

ถ้าจะโทษก็ต้องโทษตัวเองด้วยสินะ

“มะ...ไม่มีอะไรอาโอมิเนจจิอย่าห่วงเลย” คิเสะกระชับอ้อมแขนที่กอดตัวเองอยู่แน่นขึ้น

อาโอมิเนะมองร่างอันสั่นเทาตรงหน้า แววตาไม่ได้คลายความเป็นห่วงจากที่เจ้าตัวพูดเลยแม้แต่น้อย “หรือว่านายจะโกรธฉัน?” แม้จะกลัวคำตอบแต่ในที่สุดริมฝีปากก็ถามออกไปในที่สุด

เขาคิดเพราะเขาทำตัวแย่ๆ กับคิเสะไว้เยอะ ทั้งเรื่องที่เขาชอบสัมผัสตัวคิเสะทั้งๆ ที่เจ้าตัวไม่ยอม แถมยังหน้าด้านขอช็อกโกแลตวาเลนไทน์แบบไม่ให้เขาปฏิเสธ พอเขาไม่ทำให้ตัวเองก็งอนจนไม่ยอมพูดกับเขาตั้งสองอาทิตย์ แล้วยังถือวิสาสะกินช็อกโกแลตนั้นไปโดยไม่ถามคิเสะซักคำ เป็นใคร ใครก็ต้องโกรธหรือไม่พอใจบ้างเป็นธรรมดา

คนหน้าด้านก็สำนึกผิดเป็นนะ...

แต่เมื่อเห็นแววตาสงสัยที่มองมาอาโอมิเนะก็เริ่มมีความหวัง ”โกรธ? ทำไมฉันต้องโกรธอาโอมิเนจจิด้วยล่ะ?”

มากมายหลายเหตุผลเลยล่ะ...

อาโอมิเนะถอนหายใจด้วยความโล่งอก เขาไม่ได้ทำให้คนตรงหน้ารู้สึกไม่ดี แต่ทว่าคนตรงหน้านี้ก็ยังคงโกหกเขาอีก

อาโอมิเนะเอื้อมมือไปกอดร่างบางอย่างช้า ลืมไปแล้วว่าเมื่อครู่เขาเพิ่งจะโดนคิเสะสะบัดแขนอย่างไม่ใยดีไป ใบหน้านั้นซุกอยู่กับซอกคอขาวเนียนที่เปล่งปลั่งจากฤทธิ์ยา แล้วพูดด้วยน้ำเสียงอันแผ่วเบาราวกับเสียงกระซิบออกมาข้างใบหูที่ร้อนผ่าว

“ขอร้องล่ะคิเสะ...” เสียงที่ลอดออกมาสั่นเครือเหมือนคนจะร้องไห้ แต่กลับไม่มีน้ำตาซักหยดอยู่บนใบหน้าหล่อเข้มนั้น “อย่าโกหกฉันอีกเลย ไม่ว่าความจริงจะโหดร้ายแค่ไหนฉันก็ยินดีรับฟัง เพราะงั้นช่วยพูดความจริงกับฉันได้มั้ย”

คิเสะอึ้ง ยานั้นมันมีฤทธิ์ทำให้ไอ้หน้าด้าน เอ้ย คนที่อารมณ์ร้อนเอาแต่ใจ พูดจาหวานซึ้งได้ขนาดนี้เลยหรอ? ก็เขาเคยเห็นคนอย่างอาโอมิเนะแสดงมู้ดนี้ที่ไหนกันเล่า เจอแบบนี้เขาก็ทำอะไรไม่ถูกเหมือนกันนะ

ถึงจะว่าคนตรงหน้านี้แสดงพฤติกรรมอะไรแปลกๆ ไม่สมเป็นตัวเอง แต่อีกฝั่งคิเสะก็ได้ยินคำพูดนั้นชัดเจนทุกถ้อยคำไม่ตกหล่น

แล้วควรจะไปต่อยังไงเนี้ย?

คิเสะคิด ลืมเรื่องฤทธิ์ยาไปซะสนิท ในช่วงที่ไปต่อไม่ถูกนั้นจู่ๆ อ้อมแขนที่โอบรัดเขาก็กระชับแน่นขึ้นพร้อมกับอาการสั่นเทา

เฮ้ย...อย่าบอกนะว่า...

“ค่ะ...คิเสะ”

“อะไรหรอ?” เหงื่อเม็ดโตผุดพรายอยู่บนใบหน้านวลเนียน

“ฉะ...ฉัน ฉันรู้สึก...”

อาโอมิเนะร้องไห้หรอ!?!

“อึก...”

“อาโอมิเนจจิ?” คิเสะถามขึ้นอย่างเป็นกังวลเมื่ออีกฝ่ายส่งเสียงครางแปลกๆ ดังขึ้นมา หรือว่า... “ตัวนายชักจะ...ร้อนมากขึ้นแล้วนะ”

หรือว่า...

“...อยากกอดนายจัง”

“หา?”

อาโอมิเนะคลายอ้อมกอด ดวงตาสีน้ำเงินมองลึกลงไปยังดวงตาอีกคู่อย่างลึกซึ้ง ใบหน้าเขาค่อยๆ เคลื่อนเข้าไปใกล้ทีละนิดเหมือนเป็นการหยั่งเชิง เมื่ออีกฝ่ายแค่ส่งสายตาตื่นตกใจมาให้ไม่มีทีท่าปฏิเสธแต่อย่างใด อาโอมิเนะก็ไม่ลังเลอีกต่อไป

อาโอมิเนะประกบริมฝีปากเข้าไป จากนั้นก็เริ่มรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ลิ้นเกี่ยวกระหวัดไปมาจนอีกฝ่ายแทบหายใจไม่ทัน มือที่ตอนแรกแค่โอบเบาๆ ก็เริ่มลูบไล้ไปตามร่างกายไปทั่ว

อาโอมิเนจจิ...

คิเสะหลับตาปี๋ใบหน้าร้อนผ่าว เนื่งองจากมีสิ่งแปลกปลอมกำลังสอดแทรกอยู่ในปากเขาจึงหายใจแทบไม่ออก หัวใจเต้นแรงจนแทบพัง แต่ก็ยังรับความสุขที่อกฝ่ายมอบให้จนแทบหลอมละลายไปทั้งร่าง

ไม่ว่าจะเป็นเพราะฤทธิ์ยาหรืออะไรก็ตามแต่ตอนนี้...รู้สึกดีจัง

เอ๋?...บ้าน่า เราเป็นชาวญี่ปุ่นนะจะเคลิ้มไปง่ายๆแบบนี้ได้ไง

“อื้ม...” คิเสะเริ่มส่งเสียงประท้วง เมื่ออาโอมิเนะถอนริมฝีปากเขาจึงมีโอกาสพูด “ยะ...อย่านะ...แฮ่กๆ อาโอมิเนจจิ...อื๊อ”

พูดไม่ทันจบริมฝีปากของเขาก็ถูกครอบครองไปอีกแล้ว คิเสะรู้สึกว่าร่างของเขาถูกประคองใหลุกขึ้นแล้วค่อยๆ เคลื่อนที่ไปยังเตียงนอน

ร่างบางของคิเสะทิ้งตัวลงบนเตียงอย่างแรง โดยมีอาโอมิเนะที่ไม่ยอมถอนริมฝีปากซักทีคร่อมอยู่ด้านบน มือที่อยู่ไม่สุขก็เริ่มกระชากเน็คไทต์สีเทาของคิเสะออกอย่างรุนแรง กระดุมแต่ล่ะเม็ดถูกปลดออกจนสุดโดยไม่ชักช้า

อาโอมิเนะจูบไล่ลงมาถึงซอกคอขาวเนียน เลื่อนลงไปถึงหัวไหล่ขาวมนของคิเสะ

“อ๊า...อืม” คิเสะรู้สึกถึงการเสียดสีกันของแก่นกาย และริมฝีปากที่ขบเม้มไปทั่วไล่ลงไปจนถึงยอดอกที่ชูชันรอรับสัมผัสอยู่แล้ว “อาโอมิเนจจิ...อึ๊...อย่าขบ”

แม้จะลองพยายามดิ้นหนีอ้อมกอดของอาโอมิเนะแต่ดูเหมือนมันจะไม่ง่ายเลยเนี่ยสิ

“อ๊ะ...อาโอมิเนจจิ...ฮ้า ทำอะไรน่ะ” ท้ายเสียงนั้นแผ่วเบาลงจนแทบเหมือนเสียงกระซิบเนื่องจากความเขินอาย หลังจากที่กางเกงและชั้นในของเขาถูกปลดออก

ตรงส่วนนั้นที่ร้อนผ่าวอยู่แล้วพอโดนฝ่ามือเย็นเฉียบเข้าสะโพกของคิเสะก็กระตุกขึ้นมา

อาโอมิเนะปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตของตัวเองเพื่อให้ร่างกายได้เสียดสีกันมากยิ่งขึ้นจากนั้นก็ประกบริมฝีปากลงไปบนยอดอก ที่เขาฝากรอยแดงดวงใหญ่ไปก่อนหน้านี้แล้ว แต่มือของเขาก็ไม่ได้อยู่ว่าง ฝ่ามือหนาคลำคลึงตรงบริเวณนั้นช้าๆ

“อย่า...” คิเสะห่อไหล่กะความรู้สึกจากปลายนิ้วที่ลูบคลำตรงส่วนนั้น แขนขาเหยียดเกร็งรับสัมผัส แล้วค่อยผ่อนลง ตรงข้ามกับความเขินอายที่ดูจะเพิ่มมากขึ้นไปเรื่ยๆ “อื้อ...เดี๊ยวมันก็...”

“ทำหน้าตาน่ารักน่าเอ็นดูอย่างนี้ กำลังเชิญชวนฉันอยู่หรือไง” ปากก็ว่านั้นแต่มือก็ยังคงทำหน้าที่บีบเบาๆ เป็นการทำความคุ้นเคยก่อน

“บ้า...ใครทำกัน อึก...”

“ฉันเอาจริงแล้วนะ” ปลายนิ้วของอาโอมิเนะลูบไล้ไปส่วนนั้นของคิเสะช้าๆ ขึ้นลงช้าๆ ราวกับกำลังแกล้งให้คิเสะรู้สึกวาบหวามมากกว่าเดิม

เมื่อถูกลูบสวนขึ้นมาสะโพกของคิเสะก็กระตุกไปทีหนึ่งก่อนจะเกร็งแข็งจนสั่นระริกไปทั้งร่าง เขาได้ยินเสียงเลือดสูบฉีดอย่างแรงที่กำลังไหลในร่างกายตัวเองเสมือนว่ามันดังอยู่ข้างหู อาโอมิเนะเห็นปฏิกริยาตอบสนองเช่นนั้นจึงเริ่มนวดเฟ้นตัวตนของคิเสะ

“ยะ อ๊า...อึก” คิเสะพยายามเปล่งคำพูดออกไปด้วยความเขินอาย แม้ว่าในสถานการณ์เช่นนี้การพูดมันจะยากเสียยิ่งกว่าการวิ่งรอบสนามสามร้อยรอบเสียอีก ”มัน...”

คิเสะรู้สึกแล้วว่าตรงส่วนนั้นเครียดขมึงเกร็งจนแทบจะทนไม่ไว้อยู่แล้ว แต่เจ้าหน้าด้านที่ไม่เคยจะฟังคำพูดของเขาเลยยังอ้าปากและอมส่วนร้อนผ่าวนั้นแล้วยังเลื่อนขึ้นลงเหมือนกับกำลังดูดไอศกรีม

เหงื่อเริ่มผุดบนใบหน้าของคิเสะมากขึ้น หน้าแดงไปถึงใบหู หายใจหอบถีขึ้นเรื่อยๆ

“ปล่อยนะ...มันจะ...อื๊อ” แก่นกายของคิเสะเริ่มมีของเหลวไหลออกมา เป็นจังหวะที่อาโอมิเนะถอนริมฝีปากพักหายใจพอดี “มะ...ไม่ไหวแล้ว”

พรวด~

ในหัวของคิเสะว่างเปล่าไปชั่วขณะ ก่อนจะรู้สึกว่าทุกสิ่งรอบตัวหมุนขว้าง และอาการเหนื่อยจนหอบหายใจตามจังหวละก่รเคลื่อนขึ้นลงของของหัวไหล่อย่างหนัก หลังจากได้ปลดปล่อยจความสุขสมไป

 หลังจากที่แข็งเกร็งอยู่หลายครั้งจนถึงจุดสุดยอดร่างกายก็เริ่มผ่อนคลายลง

อาโอมิเนะปล่อยให้คิเสะพักผ่อนคลายแขนขาไม่ถึงสามสิบวินาทีก็เริ่มเอาของเหลวที่เปรอะเต็มมือสอดใส่เข้าไปในซอกลึกระหว่างขาโดยที่เจ้าตัวไม่รู้สึกตัว

“อึก...อ๊ะ...อ๊า....อาโอมิเนจจิย่ะ...อ๊า”

คิเสะทำท่าจะลุกขึ้นเมื่อรู้สึกถึงสัมผัสเปียกลื่นจากอาโอมิเนะ แต่ก็ถูกรวบแขนทั้งสองด้วยมือข้างเดียวและถูกตรึงบนเตียงจนไม่อาจขยับไปไหนได้ คิเสะก็ทำได้แต่พยายามหุบขาที่ถูกทำให้เปลือยเปล่า แต่ก็ไม่อาจสู้แรงของอีกฝ่ายได้ ยิ่งเป็นหลังจากที่เพิ่งปลดปล่อยไปอีกยิ่งทำให้ช่วงขานั้นไร้เรี่ยวแรงไปโดยปริยาย

อาโอมิเนะฝืนแยกท่อนขาเรียวและเคลื่อนไหวนิ้วรุนแรงมากยิ่งขึ้น

“ปล่อย...อ๊ะ...อื๊อ” คิเสะหมดแรงจะต่อต้าน ยิ่งความรู้สึกซาบซ่านที่ยังหลงเหลืออยู่หลังจากถึงจุดสุดยอด ควบรวมกับสัมผัสเปียกลื่นและลูบไล้ตรงช่องทางร้อนผ่าวนั้นแล้ว คิเสะก็หมดแรงจะต่อต้านอะไรแล้ว

“ยิ่งนายทำหน้าตาน่ารักแบบนั้นมันยิ่งกระตุ้นอารมณ์ฉันเข้าใจมั้ย”

“ฉันไม่ได้ทำซักหน่อย ปล่อยฉันได้แล้ว”

”หน้านายไม่ได้บอกแบบนั้นเลยนะ”

“ช่างหน้าฉันสิ”

“คิเสะ...”

“อะไรอีกเล่า...”

“ใส่นะ”

“ห...อึ่ก...อี๊อ” คิเสะครางเสียงสูงเมื่อร็สึกถึงสิ่งแปลกปลอมที่กำลังสอดแทรกเข้ามาในร่างกาย ทำให้ช่วงขานั้นเปียกชุ่มไปด้วยของเหลวข้นหนืด “อ๊า...อาโอมิเนจ...จิ...อย่าแรง...อื๊อ...”

คำพูดนั้นยิ่งเหมือนการปลุกเร้าอาโอมิเนะ เขายิ่งสอดตัวตนของเขาแรงเข้าไปถึงส่วนลึกในคราวเดียว ทำให้ร่างอันไร้เรี่ยวแรงกระตุกอย่างแรง ส่งผลให้บริเวณนั้นมีของเหลวใสหลั่งออกมา

“อย่าห่วงเลย ฉันจะอ่อนโยนกับนายเองนะคิเสะ...” อาโอมิเนะปลอบโยนร่างที่หอบโยนสั่นสะท้านและตึงเกร็ง ก่อนจะมอบจุมพิตเบาๆ บนหน้าผากมน แล้วค่อยๆ กดดันสะโพกที่อยู่ติดกันให้ขยับเล็กน้อย

เนื่องจากนี้เป็นครั้งแรกของคิเสะ ร่างกายของเขาจึงเกร็งแข็งไปหมด พอเจอการสั่นไหวเพียงนิดนี้เท่านั้นช่องทางที่ถูกแทงขยายมาก็เกร็งจนบีบหดตัวเล็กลงเป็นเหตุให้อาโอมิเนะขยับต่อไม่ได้

“อื๊...ฮ้า...อ๊า”

“บ้าจริง เกร็งแบบนั้นฉันก็ขยับไม่ได้สิ”

“อึก...มันแน่นเกิน...ฉัน...ไม่ไหวแล้ว...แฮ่กๆๆ” น้ำใสๆ เอ่อปริ่มอยู๋ในดวงตาสีน้ำตาลทอง พร้อมกับเหงื่อที่ออกมามากขึ้นเรื่อยๆ ไม่รู้เลยว่าตัวเองกำลังบีบรัดความแข็งขึงที่ฝังอยู่ในร่าง

“นายก็อย่าเกร็งสิ”

พูดน่ะมันพูดง่ายนะ แต่ไม่รู้จะมำยังไงเนี่ยสิยาก!

“ทะ...ทำไม่ได้” คิเสะตอบด้วยเสียงสั่นเครือ

“ผ่อนแรงลง ปล่อยตัวไปตามขั้นตอน ไม่ต้องกลัวนะ”

คิเสะส่ายหน้า หลับตาปี๋ด้วยความอายไม่กล้ามองหน้าอีกฝ่าย ถ้ามันทำง่ายขนาดนั้นฉันจะเป็นแบบนี้อยู่หรอฟะ!

“เฮ้อ คงยากเกินไปจริงๆ แฮะ” แกยังมีอารมณ์มาถอนหายใจอีกหรอ “ฉันขยับไม่ได้แล้วคิเสะ นายลองขยับดูสิ”

คิเสะเอื้อมมือไปเกี่ยวรัดร่างอีกฝ่ายเพื่อเป็นกำลังใจ ใบหน้าของเขาคงจะแดงไปมากกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว แต่ก็ยังกัดฟันแล้วขยับเสียดสีสะโพกไปมาเล็กน้อย แม้จะเล็กน้อยแต่หารู้ไม่ว่าเขาได้ใช้กำลังทั้งหมดในการเคลื่อนไหวครั้งนี้เลยทีเดียว และด้วยการขยับไหวนั้นก็ทำให้ช่องทางที่บีบรัดคลายตัวขึ้นมาบ้าง

ใบหน้านั้นร้อนจนพอจะทอดไข่ดาวให้สุกได้แล้ว ครั้งแรกของเขาต้องมาเจอเหตุการณ์แบบนี้เลยหรอ สงสัยเหมือนกันว่าตอนคุโรโกจจิทำมันเป็นแบบนี้บ้างมั้ย

“อื้อ...อ๊า...อึ่ก”

อาโอมิเนะขมวดคิ้วก่อนจะพูดด้วยเสียงอ่อนโยนเป็นการให้กำลังใจว่า “ทำได้ดีมากนะ แต่ขยับมากกว่านี้หน่อยได้ใช่มั้ย”

คิเสะหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้ แค่นี้เขาก็ไม่รู้จะต้องหลบหน้าอาโอมิเนะอีกกี่ปีแล้วนะ ยังจะมากกว่านี้อีกหรอ?

แม้จะคิดแบบนั้นแต่คิเสะก็เม้มปากรวบรวมแรงทั้งหมดขยับมากขึ้นไปอีก

เมื่อเริ่มรู้สึกผ่อนคลายลงอาโอมิเนะก็ทรุดตัวลงลูบหัวหอมแก้ม เป็นการตอบแทนความพยายามที่ทำได้ดีจนเขาพอใจเป็นอย่างมาก

พอขยับได้อย่างใจนึกแล้วอาโอมิเนะก็เริ่มขยับเคลื่อนไหวสะโพกรุนแรงมากขึ้น ของเหลวใสก็เริ่มไหลออกมามากตามจังหวะการขยับไหวที่เร็วขึ้นไปด้วย

“อะ...อือ...อ๊า” คิเสะรู้สึกปวดหนึบกับจังหวะที่เร็ว และซ่านเสียวที่รุนแรงเกินไป จึงเอื้อมมือไปโอบรอบคอหวังเป็นหลักยึด

การกระทำนี้ทำให้อาโอมิเนะอดยิ้มไม่ได้ เขาพรมจูบขอบคุณที่มอบช่วงเวลาอันงดงามให้ไปทั่วใบหน้า

“ฉันไม่ไหวแล้วนะคิเสะ”

“หะ...อ๊ะ...อ๊า” ไม่ทันที่อาโอมิเนะจะอธิบายความเพิ่มเติม ของเหลวข้นหนืดก็ถูกปล่อยลงไปในร่างเขาทันที ร่างคิเสะกระตุกอย่างแรงอีกครั้งก่อนที่อาโอมิเนะจะค่อยๆ เคลื่อนสะโพกออกมาล้มทับลงบนร่างบางอย่างอ่อนแรง

คิเสะรู้สึกได้ว่าร่างกายของตัวเองไม่เหลือแรงที่จะลืมตาได้อีกแล้ว จึงมองร่างที่ล้มทับตัวเองพูดอะไรบางอย่าง แต่สมองกลับไม่สั่งให้ประสาทรับเสียงทำงาน คิเสะจึงไม่ได้ยินคำพูดนั้นของอาโอมิเนะแม้เขาจะกระซิบบอกอยู่ข้างหูของตัวเองก็ตาม ภาพตรงหน้าเบลอจนมองอะไรไม่ออก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงใบหน้าที่ซุกอยู่ข้างตัวเลย

เมื่อมองก็ไม่เห็น เสียงก็ไม่ได้ยินคิเสะจึงหลับตาลงเข้าสู่ห้วงนิทราหลังจากช่วงเวลาอันแสนเหนื่อยล้าผ่านไป และแม้มันจะเป็นช่วงเวลาอันแสนเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าแต่มันก็เป็น...

ช่วงเวลาอันแสนล้ำค่าและมีความสุขมากมายเหลือเกิน

 

อาโอมิเนะเห็นคิเสะผล็อยหลับไปแล้ว จึงจัดท่านอนให้ร่างบางนั้นซุกอยู่ในอ้อมแขนของเขาแล้วกอดไว้แน่นราวกับจะไม่ปล่อยให้หนีไปไหน จากนั้นก็ดึงผ้าห่มที่กองอยู่ตรงปลายเตียงมาห่มให้อย่างเอ็นดู

“อย่ากินนะ...อาโอมิเนจจิ”

เจ้าบ้านี้...ฝันไปถึงไหนเนี้ย อาโอมิเนะคิด แต่ก็ยังใช้มือลูบเส้นผมสีทองอย่างเอ็นดู มุมปากคลี่ออกเป็นรอยยิ้มแล้วส่งเสียง ‘เหอะ’ ออกมาหนึ่งที

“พูดออกมาได้ว่าฉันไม่อยากกิน” อาโอมิเนะพูดออกมาหัวเสียเล็กน้อย ก่อนจะโน้มไปกระซิบอย่างแผ่วเบาที่ข้างหูว่า “สำหรับฉันไม่ว่าจะเป็นอะไรของนาย มันล้ำค่ากว่าสิ่งใดในโลกอยู่แล้ว”

ร่างที่หลับนิ่งขยับเล็กน้อยราวกับจะให้ใบหน้าซุกเข้าไปในอ้อมอกอันเปลือยเปล่านั้นแน่นขึ้น และยิ้มอย่างมีความสุขเสมือนได้ยินถ้อยคำแสนอ่อนโยนนั้นเต็มสองหู

ก็น่ารักซะแบบนี้ จะให้ฉันงอนนานได้ไงกัน...

เส้นผมทุกเส้น เหงื่อทุกเม็ด น้ำตาทุกหยาดหยด หรืออะไรก็ตามของนาย ฉันอยากจะให้มันเนของฉันแต่เพียงผู้เดียว ไม่อยากให้นายพบใคร ไม่อยากให้นายเรียกชื่อใครนอกจากฉัน ไม่อยากให้นายได้พูดคุยกับใคร

ทุกสิ่งทุกอย่างของนาย ถ้าเป็นไปได้

ฉันก็อยากจะครอบครองทั้งหมดนั้น และจะไม่ยอมให้ใครช่วงชิงไปได้...ตลอดกาล

 

ร่างกายหนักอึ้งขณะเดียวกันก็รู้สึกเบาโหวง อึดอัด หายใจไม่ถนัด นี่มันความรู้สึกอะไรกันเนี้ย แล้วทำไมถึงรู้สึกเย็นวาบอย่างนี้ล่ะ

เปลือกตาที่ปิดสนิทค่อยๆ เปิดออกเผยให้เห็นดวงตาสีน้ำตาลทองงดงามที่แสดงถึงแววแห่งความเหนื่อยล้าอย่างชัดเจน ยิ่งรวมกับดวงตาของคนที่ยังตื่นไม่เต็มที่ก็ยิ่งทำให้คิเสะเหมือนนักรบที่ร่างกายอ่อนเพลียหลังจากสู้สุดแรงในสงครามยังไงยังงั้น

ทำไมถึงรู้สึกเมื่อยเนื้อเมื่อยตัวอย่างนี้นะ คิเสะคิด เพราะตอนนี้สมองของเขายังตื่นไม่เต็มที่ จำต้องไล่ลำดับเหตุการณ์เป็นขั้นเป็นตอนไป

ไปหาอาโอมิเนจจิ...โดนเมินซะจนอายหมา

นั่งเครียดอยู่บ้าน คุโกจจิก็มาขอยืมใช้สถานที่ติวหนังสือ...พาอาโอมิเนจจิมาด้วย

คุโรโกจจิกลับไป เราอยู่บ้านตามลำพังกับอาโอมิเนจจิ อาโอมิเนจจิเห็นช็อกโกแลตที่ใส่ยาปลุกเซ็กส์ลงไป...แล้วก็กินมันจนหมดเกลี้ยง

จากนั้นเราก็...

“เฮ้ย!” ไล่มาถึงตรงนี้สมองของคิเสะก็กลับมาทำงานอย่างเต็มที่ทันที ลืมอาการเจ็บระบมที่สะโพกไปโดยสิ้นเชิง และเมื่อหันหน้าก็เป็นดังคาด

ร่างเปลือยเปล่าของอาโอมิเนะ...และของตัวเอง

แสดงว่าเรื่องเมื่อคืนไม่ใช่ความฝันสินะ โธ่ เมื่อคืนเราทำหน้ายังไงไปบ้างเนี้ย คิเสะรู้สึกอยากร้องไห้ แต่ก็ร้องไม่ออก ได้แต่กระสับกระส่ายไปจนร่างที่หลับสนิทเริ่มรู้สึกตัว...แล้วก็พลิกตัวไปอีกด้านหน้าตาเฉย

เมื่ออ้อมกอดคลายออกคิเสะก็รีบปรี่ลุกออกจากเตียงโดยไม่ลังเล ในหัวสับสนงนงงไปหมดว่าควรจะทำอะไรต่อดี แต่ที่รู้ตอนนี้เขาอายมาก หัวใจก็เต้นแรง

เอาวะ ยังไงก็ไปอาบน้ำล้างหน้าล้างตาให้สมองแล่นก่อน

วันนี้โรงเรียนไคโจวหยุดเนื่องจากอาจารย์กว่าแปดสิบเปอร์เซ็นต์ไปสัมนากัน เขาจึงรีบเปลี่ยนมาแต่งเป็นชุดลำลองเสื้อยืดสีเทาใส่สบาย ทับด้วยสื้อเชิ๊ตแขนสั้นสีขาว กางเกงขายาวสีเทาเข้มเดินเข้ามาในห้องนอนพร้อมกับแผนการที่เพิ่งคิดได้ตอนแปรงฟันนี่เอง  

ที่อาโอมิเนจจิทำแบบนั้นต้องเป็นเพราะฤทธิ์ยาแน่ๆ ถ้าเราทำลายหลักฐานแล้วตีหน้าซื่อทำเป็นว่าเมื่อคืนอาโอมิเนะละเมอแล้วถอดเสื้อผ้านอนเตียงเขาเฉยๆ ก็คงจะได้มั้ง

ฮ่าๆ นายนี้ฉลาดจังเลยนะคิเสะ คิเสะได้แต่คิดชมตัวเองในใจก่อนจะเปิดประตูเข้าห้องนอน เก็บเสื้อผ้าของตัวเองให้เรียบร้อย จัดห้องสักหน่อย ที่สำคัญกล่องช็อกโกแลตนั้นต้องรีบเอาไปทิ้งณ บัดนี้ ด้วยความเร็วสูงสุด

เมื่อฉากทุกอย่างเตรียมพร้อมแล้ว คิเสะก็สวมมาดเจ้าของบ้านปลุกผู้รุกรานทันที

“อาโอมิเนจจิ ตื่นได้แล้ว” เจ้าของชื่อแค่ขยับตัวอย่างรำคาญ และก็ไม่มีการตอบสนองใดๆ อีก คิ้วสีทองกระตุกแล้วอดทนปลุกต่อไป “เช้าแล้วนะ เดี๊ยวก็ไปโรงเรียนไม่ทันหรอก”

“อีกห้าปีฮะแม่”

เสียงที่ตอบกลับมาเล่นเอาคิเสะถึงกับนิ่งค้าง นี่มันพูดแบบนี้กับแม่มันหรอเนี้ย? แล้วคุณแม่ผู้น่าสงสารทำยังไงล่ะ เฮ้ย เดี๊ยวสิ มันเรียกเขาว่าแม่หรอ ไม่ไหว แบบนี้มันต้องเคลียร์ เฮ้ยไม่ได้ดิ ต้องปลุกมันก่อน ความคิดของคิเสะตีกันสับสนวุ่นวาย แต่สุดท้ายก็กลับมาเข้าประเด็นได้อยู่ดี

ฉับพลันคิเสะรู้สึกว่ามันมีวิธีปลุกยอดฮิตง่ายๆ ไม่ต้องใช้อุปกรณ์เสริมอยู่อย่างหนึ่ง...กระชากผ้าห่ม

ก็ไม่เอาอีกนั่นแหละ...ไม่อยากเห็นแมมมอธน้อยล้อนจ้อน

ที่เหลือก็แค่ตะโกนกรอกหูสินะ

คิเสะสูดหายใจแล้วตะโกนไปสุดเสียงว่า “ตื่นได้แล้วไอ้ขี้เซา นี่มันบ้านฉันนะโว้ย!” ตะโกนเสร็จเขาก็รู้สึกแสบคอ แล้วหายใจหอบเบาๆ

“ปลุกดีๆ ก็ได้นี่หว่า” ได้ผล อาโอมิเนะค่อยๆ ยันตัวลุกขึ้นจากเตียงท่าทางงัวเงียไม่ต่างจากคนที่เพิ่งตะโกนไปเมื่อกี้เลยสักนิด พลางเกาหัวแกร่กๆ อ้าปากหาวหวอดอย่างไม่เกรงใจ

นั้นเป็นวิธีแรกที่ฉันใช้ปลุกแกเลยนะ คิเสะคิดเหงื่อตก ก่อนจะดำเนินแผนการต่อ

“อาโอมิเนจจิน่ะ รีบไปอาบน้ำแล้วไปโรงเรียนได้แล้ว จะสายแล้วนะ”

“เจ็ดโมงเนี้ยนะสาย?” พูดแล้วแต่ก็ยังไม่ยอมลุกซักที “อยู่บ้านฉันตื่นสายกว่านี้อีก”

ไม่เข้าเรียนคาบแรกไปเลยล่า

“ไม่รู้ล่ะ แต่ฉันไม่ยอมให้นายไปสายหรอก เพราะงั้นตอนนี้นายควรจะลุกได้แล้ว”

ความจริงเขาก็ไม่ได้หวงบ้านอะไรขนาดนั้นหรอก จะนอนยันพรุ่งนี้เช้าเลยก็ยังได้ เพียงแต่ว่ามันมีเรื่องเกิดขึ้นเนี้ยสิเขาถึงไม่ยอม

“แล้วนายแต่งตัวแบบนั้นไม่ไปโรงเรียนหรือไง”

“วันนี้โรงเรียนฉันหยุด”

“โรงเรียนฉันก็หยุดเหมือนกัน”

“อย่ามาสตอร์!” เจ้าของบ้านตวาดลั่น ไอ้หมอนี้ บทจะรั้นก็รั้งไม่อยู่จริงๆ เขาไม่รู้หรอกว่าโทโอวหยุดจริงหรือเปล่า แต่เมื่อวานที่เขาไปบุกโทโอวไม่เห็นมีการกล่าวถึงกันเลยซักนิด ป้ายประกาศอะไรก็ไม่มี ทุกคนยังเดินคุยไปอย่างสนุกสนาน แต่ไม่มีคำพูดประมาณว่า ‘พรุ่งนี้ไปทำอะไรดี’ อย่างเช่นทุกครั้งที่มีประกาศหยุดกระทันหัน

คิดถึงตรงนี้คิเสะก็อยากจะร้องไห้ นี่เขาไปโทโอวบ่อยจนเข้าใจบรรยากาศขนาดนี้แล้วหรอเนี้ย

แล้วทีท่าของอาโอมิเนะก็เป็นเคื่องยืนยันได้อย่างดีเลยทีเดียว ว่าข้อสัณนิษฐานของเขาถูกต้อง

อาโอมิเนะอึกแล้วจึงขยี้เอาขี้ตาออดจากนั้นค่อยพูดว่า “ขอใช้ห้องน้ำนายหน่อยได้มั้ย”

“ก็เอาสิ เดินออกนอกห้องไปเลี้ยวขวามีอยู่ห้องเดียวนั้นแหละ”

อาโอมิเนะพยักหน้าลุกทำท่าจะลุกขึ้น ทำเอาคิเสะตาลีตาเหลือกพูดขึ้นทันที “เฮ้ย จะทำอะไรน่ะ เสื้อผ้านายอยู่ตรงนี้หมดเลยนะ จะให้ฉันเห็นอะไรแบบนั้นได้ไง”

นี่แหละคือสิ่งที่เขาพยายามหลีกเลี่ยง อุตส่าห์ไม่ใช้วิธียอดฮิตแล้วนะ แล้วก็ช่วยสงสารลูกตาคู่นี้หน่อยเหอะ มันไม่สมควรเห็นอะไรที่มาตอกย้ำตอนเช้าๆ แบบนี้นะ

ได้ยินดังนั้นอาโอมิเนะก็คลี่ยิ้มเจ้าเล่ห์ และไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลุกขึ้นอย่างที่คิเสะค้าน “อะไรกันคิเสะ เมื่อคืนเราก็ ‘สนุก’ ด้วยกันแล้วไม่ใช่หรอ นายเห็นหมดแล้วนี่นา แถมยังมากกว่าเห็นอีก”

หมดกัน แผนอันสมบูรณ์แบบของฉันพังพินาศ เขาจำได้ อาโอมิเนจจิจำเรื่องเมื่อคืนได้!

“พะ...พูดอะไรบ้าๆ น่า” เมื่อเห็นอีกฝ่ายลุกขึ้นมาโดยไม่มีอะไรปกปิดเรือนร่างกำยำนั้น คิเสะก็รีบหลับตาปี๋วิ่งเอาหน้ามาซุกกับผ้าม่านสีน้ำเงินที่ปิดสนิททันที

“อะไรกันเล่าคิเสะของๆ นายฉันก็เห็นแล้ว เมื่อคืนมันมากกว่านี้อีกไม่ใช่หรอ จะอายไปทำไมเล่า”

“อย่ามามใกล้ฉันนะไอ้บ้า รีบไปอาบน้ำเลยไป๊” คิเสะยิ่งหลับตาแน่นมากกว่าเดิมเมื่อรู้สึกว่าเสียงฝีเท้านั้นมาหยุดอยู่ด้านหลังตัวเอง แถมยังใกล้มากเสียเกือบจะชิดกันอยู่แล้วอีก

ก็ถ้าไอ้ที่ว่ามันมากกว่า มันไม่ใช่เรื่องน่าอายฉันก็ไม่เป็นแบบนี้หรอกเฟ้ย

อาโอมิเนะเห็นลูกแมวน้อยกอดผ้าม่านแน่นก็เกิดอารมณ์อยากแกล้งขึ้นมา เลยค่อยๆ สอดมือเขาไปสวมกอดช้าๆ

คิเสะรู้สึกตัวก็รีบสะบัดตัวก่อนที่ร่างกายจะแนบชิดกันไปซะก่อน และการจะสะบัดตัวไปได้ก็ต้องสลัดแขนแรงๆ ส่งผลให้ร่างนั้นต้องหันหลังมมา และด้วยความตกใจ คิเสะห็เผลอลืมตาขึ้นมา  แล้วยิ่งสมองบอกว่าไม่อยากเห็นก็ยิ่งสั่งให้ดวงตาเลื่อต่ำลงมาตามที่ไม่ต้องการโดยไม่ได้ตั้งใจ

“เฮ้ย!”

มันก็ใส่บ็อกเซอร์อยู่นี่หว่า

คิเสะถอนหายใจอย่างโล่งอก ถึงแม้ว่ามันไม่เรื่องที่สมควรจะโล่งอกอย่างเช่นเห็นบ็อกเซอร์ตัวเดียวบนร่างของผู้ชายด้วยกันก็เหอะ

“บ็อกเซอร์ของฉันมันตกอยู่ใต้ผ้าห่มพอดี” อาโอมิเนะอธิบาย “ไอ้จังหวะที่ฉันงัวเงียอยู่ตั้งนานนั่นน่ะ ฉันก็พยายามใส่อยู่ไง นายผิดเองนะที่ไม่ยอมสังเกตดีๆ”

อาโอมิเนะเลื่อนใบหน้าลงต่ำ ให้สายตาอยู่ระดับเดียยวกับคิเสะที่ยังคงอึ้งค้างหน้าแดงอยู่ ยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์แล้วพูดว่า

“ไม่นึกว่านายจะกลัวขนาดนี้ เห็นแล้วเลยอยากแกล้งน่ะ”

จากนั้นเขาก็หยิบเสื้อผ้าของตัวเองที่หล่นเกลื่อนเต็มพื้น แล้วเดินออกจากห้องนอนด้วยเสียงหัวเราะดังลั่นแห่งความสะใจ ทิ้งให้คิเสะที่ทั้งเขินทั้งอาย ที่โดนอีกฝ่ายแกล้ง ในใจก็นึกโกรธอยู่แต่ก็ทำอะไรไม่ได้อีกอยู่ดี

ก็นี่มันไอ้หน้าด้านนี่เนอะ...

 

ไม่ถึงสิบนาทีอาโอมิเนะก็กลับมาด้วยชุดนักเรียนตัวเดิมที่ยับยู้ยี้ซะจนดูไม่ได้

คิเสะที่นั่งงอนอยู่ที่โต๊ะหนังสือไม่สนใจจะหันไปมอง ทำให้อาโอมิเนะต้องเรียกร้องความสนใจ “คิเสะ เสื้อฉันยับน่ะ”

“...”

“มันยับจนฉันคิดว่าอาจารย์เขาคงไม่ให้ฉันเข้าเรียนเลยล่ะ”

“...”

“วันนี้ฉันคงเข้าเรียนไม่ได้แล้ว”

“...”

“ฉันอยู่บ้านนายเลยแล้วกัน”

“ไม่ได้เฟ้ย!” หลังจากเงียบขมานาน พอได้ยินประโยคสุดท้ายคิเสะก็หันกลับมาตวามลั่น

“กลับบ้านตอนนี้มีหวังโดนแม่บ่นตาย” อาโอมิเนะพยายามหาข้ออ้าง

“มันยับก็รีดเซ่ จะไปยากอะไร”

ทันใดนั้นอาโอมิเนะก็คลี่ยิ้มอีกครั้ง เป็นรอยยิ้มที่สดใส แต่ต้องแฝงความนัยไว้แน่นอน และไม่ปล่อยให้คิดนาน อาโอมิเนะก็จัดการตีความหมายอย่างเสร็จสรรพ “ฉันรีดไม่เป็น นายรีดให้หน่อยดิ”

คิเสะอยากจะเอาหัวโขกโต๊ะให้รู้แล้วรูรอด ไอ้หมอนี่มัน...สุดจะหาคำมาบรรยายจริงๆ

เขาเองก็อยากจะบอกว่าเขารีดไม่เป็นเหมือนกันแหละ แต่น่าเสียดายที่เขารีดเป็น และที่สำคัญเหนือสิ่งอื่นใด ถ้าเขาไม่รีดให้ ไอ้หมอนี้ก็ต้องสิงสถิตอยู่ในบ้านเขาแน่ๆ

นั่นแหละสิ่งที่เขาไม่ปรารถนามากที่สุด สถานการณ์แบบนี้คิเสะอยากจะกำจัดอาโอมิเนะให้พ้นๆ ไปยิ่งไกลยิ่งดี จมมหาสมุทรแปซิฟิกได้ก็จะเยี่ยมมาก เขาไม่ต้องการตัวตอกย้ำเรื่องเมื่อคืนที่แค่คิดนิดเดียวหน้าเขาก็แดงไปถึงหู รู้สึกอยากจะกรี๊ดให้สุดเสียงถ้าไม่อายชาวบ้านและเขาไม่ใช่ผู้ชาย

แล้วนี้เขาต้องทำตัวเป็นแม่ศรีเรือนปรนนิบัติอาโอมิเนะอีกหรอ สวรรค์ช่างเล่นตลกมากเกินไปแล้ว

คิเสะได้แต่เก็บกั้นความรู้สึกมากมายนั้นไว้ในใจ แล้วเปิดประตูเดินออกไปนอกห้องโดยไม่พูดอะไรซักคำ ก่อนจะกลับมาพร้อมอุปกรณ์รีดผ้าและเสื้อคลุมอาบน้ำ

คิเสะโยนเสื้อคลุมอาบน้ำให้อาโอมิเนะอย่างเหนื่อยอ่อน แล้วค่อยพูดว่า “ไปเปลี่ยนในห้องน้ำแล้วเอามาให้ฉันซะ”

อาโอมิเนะมองคิเสะตั้งขาตั้งกระตานรีดผ้า แล้วจึงพูดว่า ”เปลี่ยนตรงนี้...”

“ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น ฉันบอกให้ไปเปลี่ยนในห้องน้ำก็ไปซะ อย่ามาพร่ามมากไอ้บ้าตัณหากลับ” คิเสะแทรกอย่างฉุนเฉียวและเหลือจะทนกับคนตรงหน้า

สงสัยจะแกล้งมากไปหน่อย ลูกแมวน้อยผู้น่ารักเลยกลายเป็นสิงโตแสนดุร้าย แถมด่าเขาได้แรงซะจนเจ้บมากซะด้วย

“จ้าๆ ไปก็ได้”

ในที่สุดอาโอมิเนะก็ยอมออกจากห้องไปอย่างว่าง่าย แล้วจึงกลับมาพร้อมกับเปลี่ยนชุดเรียบร้อยแล้ว

คิเสะชักสีหน้ารับเสื้อและกางเกงของอาโอมิเนะมารีดด้วยสปีดสูงสุด เพราะตอนนี้อีกฝ่ายกำลังจะไปโรงเรียนสาย เดิมทีเขาก็ไม่ได้ละเมียดละไมอะไรกับงานบ้านมากมาย เอาเป็นว่าเร่งไฟแรงๆ รีดแค่หายยับแล้วดูดีหน่อยก็พอ

อาโอมิเนะมองคิเสะรีดผ้าให้อย่างมีความสุขและไม่ได้สำนึกเลยซักนิดว่าตัวเองกำลังรบกวนเจ้าของบ้านหลังนี้มากแค่ไหน

มานอนบ้านเขายังไม่พอยังจะหน้าด้านให้เขารีดเสื้อให้อีก ถ้าไม่สนิทกันจริงๆ คงทำให้กันไม่ได้หรอกนะ

หรือนอกจากว่ามีเหตุผลอื่น...

“เอ้า เสร็จแล้ว” คิเสะยื่นเสื้อกับกางเกงที่ใช้เวลารีดไม่ถึงสิบห้านาทีแต่กลับเรียบกริบ ไม่มีรอยยับแม้แต่ริ้วเดียว อาโอมิเนะแค่มองแต่ยังไม่ได้รับมาแต่อย่างใด คิเสะเองก็เริ่มทนไม่ไหว “อุตส่าห์รีดให้แล้ว ต้องให้ฉันประเคนสวมให้ด้วยหรือไงฟะ รีบเอาไปเซ่”

“นายใส่ให้ก็ดีนะ”

“จะบ้าหรอฉันประชดเฟ้ย”

“นี่นายกลายเป็นคนหัวรุนแรงไปตั้งแต่เมื่อไรเนี้ย”

“จะบอกอะไรให้นะ ทั้งหมดนี้เป็นเพราะนายนั้นแหละ”

“รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งครับ”

ฉับพลันคิเสะรู้สึกเข้าใจการเปลี่ยนไปของคุโรโกะอย่างถ่องแท้เลยทีเดียว

“ฉันหิวข้าว”

“หา?” เจ้าของบ้านอุทานเสียงสูงเมื่ออยู่ดีๆ อีกคนก็พูดเรื่องอื่นขึ้นมาอย่างกระทันหัน ก่อนจะปรับสมองให้สุขุมแล้วตอบอย่างเยือกเย็นไปว่า “มีเงินก็ไปหาซื้อเองสิ”

“ฉันอยากกินข้าวบ้านนาย”

คิเสะสะอึกเมื่อเจอกับคำพูดที่ไม่ได้ดูอ้อมค้อมเลยซักนิด อีกอย่างคำพูดของเขาแต่ละประโยคมันยังแสดงไม่พออีกหรอว่า ‘เอ็งสมควรออกไปจากที่นี้ได้แล้ว’

“อย่ามาพูดอะไรบ้าๆ นะเฮ้ยนี่นายมองฉันเป็นเครื่องจักรสารพัดประโยชน์หรือไง ถึงต้องคอยรับใช้นายน่ะ แล้วก็ไอ้ความเกรงใจน่ะมันมีแปะอยู่ในสมองนายบ้างหรือเปล่าเนี้ย”

พูดจบก็หอบหายใจอย่างหนัก มีซักกี่ครั้งกันที่เขาบ่นรัวเป็นชุด พร้อมใส่อารมณ์เต็มที่อย่างนี้กันล่ะ

“มองเป็นคุณภรรยาผู้แสนดีต่างหากล่ะ”

หนักกว่าเก่าอีก...

“ฉันเป็นผู้ชายนะโว้ย เจ้าบ้า” ปากก็โวยวาย แต่เจ้าตัวหารู้ไม่ว่าตอนนี้ใบหน้าขาวนวลของเขาแดงก่ำไปถึงใบหูแล้ว

“ฉัน...กินข้าวกับนายไม่ได้หรอ” อาโอมิเนะทำสีหน้าน้อยใจ

นี่เราไปตามง้อไอ้คนพรรค์นี้ได้ไงฟะตั้งสองอาทิตย์ เสียเวลาจริงๆ แม้จะคิดอย่างนั้นแต่ในที่สุดคิเสะก็ใจอ่อนถอนหายใจเฮือกหนึ่ง

“ก็ได้ แม่ฉันทำไว้ให้น่ะ ฉันไปอุ่นก่อนแล้วกัน”

“ขอบคุณครับ”

สำนึกผิดน่ะเป็นมั้ย คิเสะได้แต่ห่อไหล่เดินหลังคร่อมลงไปอย่างจนใจ

เพิ่งหายงอนกัน ก็มามีอะไรกันอีก แล้วนี่ยังต้องมานั่งกินข้าวด้วยกันอีกหรอ โอ้ สวรรค์จะแกล้งกันมากเกินไปแล้วนะ!

โปรดติดตามตอนต่อไป 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา