[Fiction] Kuroko no Basuke Aomine X Kise
-
เขียนโดย SunnyRain
วันที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2556 เวลา 15.26 น.
2 ตอน
0 วิจารณ์
19.36K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 16 มีนาคม พ.ศ. 2556 14.45 น. โดย เจ้าของนิยาย
1) ตอนที่ 1 จุดเริ่มต้นจากวันวาเลนไทน์
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ“อาโอมิเนจจิ!” เสียงกังวานใสเขานเรียกชื่อนี้อย่างร่าเริง คนที่สามารถเรียกชื่ออาโอมิเนะ ไดกิแบบนี้จะเป็นใครอื่นไม่ได้นอกจากนายแบบหนุ่มหล่อคิเสะเรียวตะ
คิเสะกำลังถูกนักเรียนหญิงโรงเรียนโทโอวล้อมหน้า ล้อมหลัง ล้อมซ้าย ล้อมขวา พูดง่ายๆ โดนล้อมหมดสามร้อยหกสิบองศานั่นแหละ ราวกับฝูงหมาป่าอดอาหารมาสามเดือนแล้วบังเอิญมาเจอเนื้อชั้นดีก้อนโตยังไงยังงั้นแหละ
หลังจากที่วันนี้โรงเรียนเลิกก่อนเวลา คิเสะเลยรีบปลี่มายังโรงเรียนโทโอวเป้าหมายเพื่อพบกับใครบางคน
แล้วไม่รู้ว่าโชคดีหรือโชคร้ายทันทีที่เหล่าสาวม.ปลายทั้งหลายแหล่มองเห็นร่างสูงโปร่ง หน้าตาหล่อเหลาแถมสดใสร่าเริงชวนให้เคลิ้มไม่ยอมตื่นของนายแบบแล้ว ก็เกิดเหตุกาณณ์ฆาตกรรมแย่งอากาศหายใจขึ้น
สาวๆ ต่างเข้ามารุมล้อมขอลายเซ็น ถ่ายรูป ถามชื่อ ซักประวัติ สารพัดคำขอที่เรียกได้ว่าเป็นกองกำลังสโตรกเกอร์ หนุ่มหล่อเลยก็ว่าได้ บางคนถึงขั้นขอหอมแก้มก็ยังมี!
นี้ไม่ใช่ครั้งแรกของคิเสะ โดนรุมเยอะว่านี้คิเสะก็เคยจัดการเรียบมาแล้ว แต่ที่เขาไม่ได้ตอบสาวๆ หรือสนใจพวกเธอ เพราะสายตาของเขาเอาแต่สอดส่องหาร่างของใครบางคน
และเมื่อเขาเดินลงมาจากตึก ก็ไม่ใช่เรื่องยากเลยในการหาตัว เพราะร่างสูงเกือบสองเมตรนั้นดูเด่นเป็นสง่าท่ามกลางผู้คน รวมกับผิวสีแทนที่เด่นชัดอันเป็นเอกลักษณ์ของเจ้าตัว
เนื่องจากเสียบงตะโกนเมื่อกี้ถูกเสียงฝูงชชนกลบซะมิดคิเสะจำต้องตะโกนอีกครั้ง
“อาโอมิเนจจิ!” คิเสะฝ่าวงล้อมของฝูงหมาป่าอย่างมืออาชีพทันที
ได้ผลอาโอมิเนะหันมาแล้ว คิเสะวิ่งมาหยุดอยู่ตรงหน้าอาโอมิเนะแล้วส่งยิ้มที่เจิดจ้ายิ่งกว่าแสงอาทิตย์ให้อย่างสดใสแล้วพูดว่า
“ไม่ได้เจอกันนานเลยเนอะ”
ดวงตาสีน้ำเงินที่ดูเฉื่อยชาทอดลงมามองเจ้าของรอยยิ้มอย่างนิ่งเงียบ ไม่มีอารมณ์ใดๆ ปรากฏอยู่ในตาคู่นั้นเลย เขายืนมองคิเสะส่งยิ้มที่เคยทำให้เขาสบายใจทุกครั้งที่เห็นอยู่เงียบๆ
“ฮู้ กว่าจะหลุดจากสาวๆ มาได้ลำบากแทบแย่” เจออาโอมิเนะที่เงียบพอๆ กับคุโรโกะแบบนี้ คิเสะเริ่มใจคอไม่ค่อยดี กระนั้นเขาก็ยังยิ้มให้ต่อไป”เออ นี่...”
ยังพูดไม่ทันจบอาโอมิเนะก็หันกายจากไปโดยไม่ได้พูดอะไรซักคำ คิเสะพยายามเรียกอีกฝ่ายหันกลับมา แต่อาโอมิเนะก็ทำราวกับไม่ได้ยิน แล้วเดินต่อไปเงียบๆ
คิเสะได้แต่ถอนหายใจ เรื่องมันเกิดขึ้นเมื่อวันที่เจ็ดเดือนกุมภาพันธ์ หรือก็คือสองอาทิตย์ที่แล้ว...
“พักก่อนเถอะอาโอมิเนจจิ...แฮ่กๆ...ฉันเหนื่อยแล้ว” คิเสะเอ่ยพลางหอบหายใจหนัก
“อะไรกันนายเป็นผู้ชายหรือเปล่าเนี้ย แค่นี้ก็เหนื่อยแล้วหรอ” ถึงปากจะพูดอย่างนั้นแต่บนผิวสีแทนก็ชุ่มไปด้วยเหงื่ออย่างกับเพิ่งอาบน้ำมาใหม่ๆ
“ถ้าแค่ชั่วโมงเสองชั่วโมงก็ไม่เท่าไรหรอก แต่นี้มันปาไปเกือบสี่ชั่วโมงแล้วนะ ติดต่อกันอย่างนี้ ต่อให้เอากระทิงมาแทนยังไม่แน่เลยว่าจะไหว” ฝ่ายนี้ก็เหงื่ออกไม่แพ้อาโอมิเนะ แถมตัวเขาก็เล็กกว่าอีกฝ่ายมากเหงื่อเลยดูเยอะกว่านิดหน่อย ”อีกอย่างฉันไม่เคยติดต่อกันนานขนาดนี้มาก่อนเลย”
“ให้ตายเถอะ เรื่องแบบนี้ สำหรับฉันมันพักได้ที่ไหนกัน” อาโอมิเนะพูดอย่างหัวเสีย “แต่เห็นว่าเป็นนายหรอกนะจะให้พักหน่อยก็ได้”
เมื่อได้ยินว่าอีกฝ่ายยอมให้พักแล้ว คิเสะก็คลี่ยิ้มสดใสตามแบบฉบับของเขาให้พรรรร้อมพูดว่า “ขอบคุณนะ อาโอมิเนจจิ”
“ไปพักได้แล้ว เจ้าบ้า” ยังพูดไม่ทันจบประโยค อาโอมิเนะก็หันหลังหนีซะแล้ว
ให้ตายเถอะ ถ้ารู้ว่าตามใจแล้วจะได้รอยยิ้มที่น่ารักขนาดนี้แล้วล่ะก็... บ้าน่าเราคิดอะไรอยู่เนี้ย ช่างเหอะ ยังไงซะรอยยิ้มแบบนี้ก็ดีกว่ารอยยิ้มตอนนั้นแล้วกันน่า
‘ฉันจะเลิกหลงใหลนาย’
แล้วนี้เราจะไปคิดเรื่องตอนนั้นทำไมเล่า ก็ตอนนี้เจ้าหมอนี้ไม่ได้หลงใหลเราแล้วนี่นา แต่ตอนนี้คิเสะ...โอ๊ย คิดบ้าอะไรของเราอยู่เนี้ย
เมื่อรู้ว่าความคิดตัวเองที่ตีกันมั่วซั่วเริ่มเลยเถิดไปถึงเรื่องนั้นแล้ว อาโอมิเนะก็เลิกคิดแล้วหันกลับมานั่งข้างๆ คิเสะ หนำซ้ำยังยกแขนขึ้นพาดอ้อมหลังคิเสะอีก
“ทำอะไรน่ะอาโอมิเนจจิ นี้มันสนามสตรีทนะ!” เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายทำอะไรโจ่งแจ้งในที่สาธารณะอย่างสนามสตรีทตรงนี้คิเสะก็รีบโวยวายทำท่าจะลุกหนีทันที แต่ก็โดนมือที่พาดขึ้นโอบรอบเอวรั้งให้นั่งลงเหมือนเดิม
ถ้าให้เลือกพาดแขนกับโอบเอวล่ะก็ หัวเด็ดตีนขาดยังฉันก็ไม่มีทางลุกเด็ดขาด! คิเสะโวยวายอยู่ในใจ แล้วใบหน้าก็เริ่มแดงก่ำขึ้นเรื่อยๆ
“สนามสตรีทแล้วไง แถวนี้ไม่มีคนผ่านซักหน่อย” ยังมีหน้ามาทำหน้าตาเฉยอีก
“นั้นไม่ใช่ประเด็นเฟ้ย!” คิเสะตวาดกลับหวังกลบเกลื่อนว่าที่ตัวเองหน้าแดงเพราะโกรธ ไม่ใช่... บัดนี้เจ้าตัวกำลังคิดฟึงซ่านจนลืมความเหนื่อยที่เล่นบาสฯ กับอดีตเอสของเทโควติดต่อกันสี่ชั่วโมงแบบไม่มีหยุดพัก
ถ้าเป็นคนทั่วไปเกรงว่าน่าจะเหนื่อยจนลุกไม่ขึ้นไปอีกหลายวัน หรือไม่ก็ถอดตั้งแต่ครึ่งชั่วโมงแรกแล้ว
แต่ไม่ใช่กับเขาสองคน ที่เล่นบาสฯ กัน...ด้วยความรัก
“จะยังไงก็ช่างถ้าไม่มีใครมา ฉันก็ไม่ถือว่านั้นเป็นประเด็นหรอก” อาโอมิเนะยังคงทำหน้าตาสาบายใจเฉิบ ไม่รู้ร้อนรู้หนาว ทำเป็นไม่สนใจใบหน้าขาวเนียนที่เริ่มแดงไปถึงใบหูของใครบางคน
“อาโอมิเนจจิบ้า” เมื่อหมดหนทางเถียงกับไอ้คนหน้าด้านแล้ว ดิเสะก็ได้แต่ทำแก้มป่องบ่นอิดออดด้วยท่าทางเหมือนเด็กกำลังงอน
น่ารัก...
คำเดียวที่อาโอมิเนะขอบรรยายภาพหนูน้อยสูงร้อยเจ็ดสิบกว่าตรงหน้าที่เหฌนแล้วอดไม่ได้ที่จะยกมือข้างที่โอบเอวขึ้นไปขยี้ผมที่ทองแรงๆ
“ทำอะไรน่ะ หัวฉันยุ่งหมดแล้วนะ”
การโวยวายไร้ผล ยิ่งคิเสะทำหน้าไม่พอใจมากเท่าไร อัตราเร็วในการขยี้ก็มากยิ่งขึ้น ส่วนหนูน้อยที่ไม่รูเรื่องก็ได้แต่โวยวายต่อไป แล้วก็น่ารักต่อไป อาโอมิเนะก็ขยี้ต่อไป จนกระทั่ง...
“ฉันเมื่อยแขนแล้ว” ว่าจบอาโอมิเนะก็ลดแขนลงมาโอบเอวเหมือนเดิม
คิเสะถึงกับหัวเราะไม่ออก ร้องไห้ไม่ได้ เขาเพียรพยายามในการแหกปากบอกให้เจ้าหน้าด้านนี้หยุดเล่นหัวเขาซักที แต่ไอ้หน้าด้านยังไงก็คือไอ้หน้าด้าน ห้ามไปก็ไม่กระเทือนหนังหน้าที่หนาเป็นเมตรของเจ้าหมอนี้ได้หรอก แต่เขากับหยุดด้วยเหตุผลที่ง่ายจนไม่รู้ว่าจะง่ายยังไงแล้ว
เมื่อยแขน?
คิเสะเข้าขั้นหดหู่ทันที เหตุการณ์นี้ทำให้เขารู้สึกไม่อยากทำในสิ่งที่เรียกว่า ‘พยายาม’ อีกต่อไปแล้วจริงๆ ถึงเขาจะเข้าใจดีก็เถอะว่าความพยายามมันไม่มีผลต่อคนหน้าด้าน แต่คนที่เคยพยายามอะไรมามากมาย ประสบความสำเร็จมามากเหมือนกัน มาเจอเรื่องแบบนี้เข้า มันก็อดไม่ได้ที่จะหมดอาลัยตายอยากจริงๆ
“อาทิตย์หน้าก็วาเลนไทน์แล้วเนาะ” จู่ๆ เจ้าคนหน้าด้านที่ไม่รู้เรื่องอะไรกับเขาเลยก็พูดขึ้นมาลอยๆ
อย่างว่าน่ะแหละคนหน้าด้าน ก็คงความหน้าด้านไม่กระเทือนสิ่งใดๆ หรอก
หลังจากครุ่นคิดได้สักพักอาโอมิเนะก็ฉีกยิ้มเกเรลงมามองร่างเกือบไร้วิญญาณของคิเสะ “คิเสะ นายทำช็อกโกแล็ตเป็นปะ”
“ไม่...เป็น” เสียงตอบนั้นแผ่วเบาจากอาการตายซาก จนคนถามไม่ได้ยินคำว่า ‘ไม่’ ที่อยู่ข้างหน้า เลยยิ้มอย่างตื่นเต้นทันที
“จริงดิ นายทำใมห้ฉันได้ปะ”
ประโยคนี้ทำให้วิญญาณที่ลอยล่องไปไกลของคิเสะพุ่งกลับเข้าร่างทันที ดวงตาเบิกโพลงด้วยความตกใจ ลืมเรื่องเมื่อกี้ไปอย่างหมดสิ้น
“นายจะบ้าหรอ เราปะ...เป็นผู้ชายเหมือนกันนะ” พูดจบคิเสะก็ก้มหน้างุดด้วยความเขิน แต่ก็ไม่อยากให้ใครเห็นโดยเฉพาะอาโอมิเนะนี้ จึงเงยหน้าขึ้นมาจนหัวแทบชนกับคางอีกฝ่ายที่ตั้งใจจะก้มลงมาดูสีหน้าหนูน้อยสักหน่อย แล้วรีบโวยวายต่อ”อีกอย่างเขาต้องให้คนที่ตัวเองชอบนะ”
“แล้วนายไม่ชอบฉันหรอ?”
“...” มันยังมีหน้ามาถามอีกหรอ ”จะยังไงก็ช่างเถอะ แต่มาขอกันหน้าด้านๆ แบบนี้ได้ไง เขาต้องสมัครใจทำให้ แล้วก็ต้องเซฮร์ไพรส์ด้วย”
“แสดงว่าฉันขอไม่ได้หรอ”
“ก็เออสิ” คิเสะตอบกลับอย่างงอนๆ
“งั้นฉันต้องรอเซอร์ไพรส์ใช่มั้ย”
“ใครบอกว่า...”
“ได้ เดี๊ยวฉันจะรอนะ วันนี้ฉันกลับก่อนดีกว่า” แล้วร่างสูงก็เก็บสัมภาระอย่างรวดเร็วแล้วเดินจากไป โดยไม่ได้สนใจที่คิเสะยังพูดไม่จบเลย
...จะให้นายกัน คิเสะได้แต่ต่อในใจ พลางมองแผ่นหลังที่เดินจากไปอย่างหน้าด้านๆ อีกครั้ง
ไอ้หน้าด้าน...
“เฮ้อ...” คิเสะถอนหายใจครั้งที่ล้านแปดได้แล้วมั้ง
เขามองไปยังโต๊ะเตี้ยที่ตั้งอยู่กลางห้องอย่างเหนื่อยใจ บนนั้นมีหนังสือกับอุปกรณ์การเรียนต่างๆ มากมาย แต่ที่เขากำลังมองคือกล่องทรงแบนห่อกระดาษสีแดงที่วางอยู่บนสุดต่างหาก
มันคือช็อกโกแลตที่เขาทำเอง และตั้งใจว่าจะให้เจ้าคนหน้าด้านนั้นนั่นแหละ
แต่ที่มันยังอยู่ตรงนี้ก็เพราะ...
อาโอมิเนะโทรมาบอกอีกทีว่าเขาจะมารอรับช็อคโกแล็ตที่สนามสตรีทเดิมหลังเลิกเรียน จากนั้นก็วางสายไปเอาดื้อๆ เลย
คิเสะมาถึงก่อนเวลาเนื่องจากโรงเรียนอยู่ใกล้กว่า เขาเลยมานั่งเล่นบนสแตนด์มองดูสนามอันว่างเปล่าไปเพลินๆ ทันใดนั้นโทรศัพท์มือถือในกระเป๋าของเขาก็ดังขึ้น คิเสะหยิบขึ้นมารับทันที
“มีอะไรหรอมิโดริมัตจิ”
( คิเสะ เอ่อ... ) มิโดริมะพูดแค่นั้นแล้วก็เงียบเหมือนกำลังลังเลว่าควรจะบอกดีมั้ย
“เป็นอะไรไปหรอ มิโดริมัตจิ” คิเสะถามขึ้นอย่างแปลกใจ เพราะมีไม่กี่ครั้งหรอกที่มิโดริมะจะพูดด้วยความอึดอัดแบบนี้
( คือไอ้ยาผสมที่ฉันให้ไปนั้นน่ะ นายได้ใส่ลงไปด้วยหรือเปล่า)
“ใส่ลงไปสิ ไม่ไส่รสชาติมันก็ห่วยแตกเป็นต้องจู๊ดๆ แน่เลย ยังดีนะที่มิโดริมัตจิเอายาเพิ่มใความกลมกล่อมมาให้ ไม่งั้นฉันแย่แน่ๆ เลย ไม่สิคนที่รับต่างหาก ว่าแต่มิโดริมัตจิปรุงเองใช่มั้ยยานั้นน่ะ”
เมื่อได้ฟังคิเสะพูดอย่างอารมณ์ดีมิโดริมะก็เกิดอาการอึดอัดขึ้นมาทันที แต่ก็ยังฝืนถามออกไปว่า (อืม เป็นยาที่อยู่ในขั้นทดลองน่ะ แล้วนายได้ชิมมันหรือเปล่า ตอนนี้ให้ใครไปหรือยัง)
“ไม่ได้ชิมนี่ ตอนนี้ก็ยังไม่ได้ให้ใครด้วย” คิเสะตอบตามความสัตย์ไม่มีใครรู้ว่าฝีมือการทำอาหารของคิเสะห่วยบรมยิ่งกว่าเอาก้อนอึมาผสมกันซะอีก แต่ไอ้เจ้าหน้าด้านนั้นมันอยากได้เขาก็เลยจัดให้มันได้นอนในห้องน้ำซะเลย แต่ด้วยความเห็นใจคิเสะจึงใส่ยาสูตรพิเศษของมิโดริมะลงไปด้วย หวังว่ามันจะทำให้รสชาติดีขึ้น และช่วยชีวิตอาโอมิเนะได้บ้างสักนิดก็ยังดี
แต่ถึงใส่ยาลงไปแล้ว คิเสะก็ยังไม่กล้าชิมอีกอยู่ดี
เพราะครั้งแรกที่เขาชิมอาหารที่เขาทำเองน่ะเหรอ เหอๆ
(เอาล่ะ คิเสะนายฟังฉันดีๆ นะ)
“อื้อๆ” เรื่องเกียวกับชีวิตคนทั้งทีจะฟังแบบส่งๆ ได้ไง ชีวิตมดยังสำคัญยิ่งไม่ต้องพูดถึงชีวิตมนุษย์เลย
(นายห้ามเอาช็อกโกแลตนั้นกับใครเด็ดขาดเลยนะ)
“เอ๋?”
“นายเอาช็อคโกแลตมาเซอร์ไพรส์ฉันแล้วใช่ปะ” เมื่ออาโอมิเนะเห็นคิเสะมารออยู่แล้วก็ทักอย่างไม่เกรงใจ หารู้ไมว่าคำถามนี้ทำเอาคิเสะหายใจไม่ออกเลยทีเดียว
เอามาน่ะเอามา แต่...มันให้ไม่ได้เนี่ยสิ เราเองก็ไม่อยากโกหกด้วย ยิ่งกับคนๆ นี้ด้วยแล้ว “เอ่อ คืออาโอมิเนจจิ...แบบว่า”
เมื่อเห็นอีกฝ่ายทำท่าอึดอัดอาโอมิเนะก็ชักตงิดใจขึ้นมาแปลกๆ “มีอะไรหรอ?”
พออีกฝ่ายถามขึ้นมาร่างกายของคิเสะก็กระตุกขึ้น แล้วก็เริ่มลนลาน อย่างที่คนโกหกไม่เก่งเป็นอย่างเด่นชัด”ชะ...ช็อคโกแลตน่ะ”
“ช็อกโกแลต?” อาโอมิเนะรอฟังอย่างอดทน
“ฉะ...ฉันขอโทษนะ ฉันให้นายไม่ได้จริงๆ” ในที่สุดหลังจากลุกลี้ลุกลนมานานคิเสะก็โพล่งออกไปจนได้
“ไม่ได้? ทำไมล่ะ” สีหน้ายิ้มแย้มที่ประดับบนใบหน้า พลันเปลี่ยนเป็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสงสัยทันที
“ก็แบบ...” ดวงตาสีน้ำตาลทองกลอกไปมาพยายามหาข้ออ้างที่แนบเนียนและดูดีที่สุดขึ้นมา “ฉันว่านายคงไม่อยากกินมันหรอกนะ”
รอยยิ้มโล่งอกปรากฏบนใบหน้าของอาโอมิเนะแล้วพูดอย่างสบายๆ ว่า ”ทำไมฉันจะไม่อยากกินมันล่ะ นายอุตส่าห์ทำให้ทั้งที จะไม่กินได้ยังไงกันเล่า”
ได้ยินคำพูดนี้ความรู้สึกอุ่นวาบก็แผ่เข้ามาในใจของคิเสะซักพัก แล้วจึงกลับมาร้อนลนเหมือนเดิม “จะยังไงก็กินไม่ได้จริงๆ นะ เชื่อฉันเถอะ ถ้านายกินไปแล้วนายยจะต้องเสียใจไปตลอดชีวิตแน่ๆ”
“คิเสะ...” ใบหน้าของอาโอมิเนะเปลี่ยนมาเคร่งขรึมทันที “นายปิดบังอะไรฉันอยู่หรือเปล่า”
“มะ...ไม่มี๊ ไม่มีนี้ อาโอมิเนจจิคิดมากเกินไปแล้วนะ” ทำไมเวลานี้คิเสะถึงอยากให้อาโอมิเนะสมองทึบไม่รู้ประสีประสาอย่างนี้นะ
ปากก็ว่าไปอย่างนั้นแต่ท่าทางของคิเสะไม่ได้แสดงถึงสิ่งที่เรียกว่า ‘ไม่มีพิรุธ’ เลยซักนิด และต่อให้อาโอมิเนะจะสมองทึบถึงขั้นบวกเลขผิดยิ่งกว่าเด็กอนุบาลก็ยังดูออกแบบไม่ยากเลย
“ถ้าไม่มีอะไรทำไมนายให้ช็อกโกแลตฉันไม่ได้ล่ะ”
ขอร้องเถอะ อย่าขมวดคิ้วหน้าเครียดแบบนั้นได้ม้ายยย แค่นี้ฉันก็ลำบากใจแทบแย่อยู่แล้วนะ คิเสะได้แต่คิดในใจ แต่ดวงตาของเขาก็ยังคงกลอกไปมาเพื่อหาข้ออ้างอย่างรวดเร็วไปด้วย
“คือ...มีคนขอไปแล้ว”
เมื่อเห็นสีหน้าช็อกโลกของอาโอมิเนะ คิเสะก็รู้สึกอยากย้อนเวลาเอารองเท้าไปฟาดปากตัวเองเมื่อกี้จริงๆ
เจ้าบ้าแกหาข้ออ้างนรกอย่างนี้ได้ไงฟะ!
ถ้าจะพูดอย่างเมื่อกี้สู้บอกว่าทำแล้วมันกินไม่ได้ไม่ดีกว่าหรอฟะ แล้วไอ้เจ้ามิโดริมัตจินั้นก็เพิ่งโทรมาบอกเอาตอนที่จวนถึงเวลานัดแล้วอีก ต่อให้เร็วแค่ไหนก็ไปซื้อมาแทนไม่ทันแล้ว
อารมณ์โกรธ หงุดหงิด รู้สึกผิดและอีกมากมายบลาๆๆๆ สับสนปนเปมั่วซั่วอยู่ในหัวเต็มไปหมด
“เอ๋ แต่ว่านะอาโอมิเนจจิ...”
“ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว” อาโอมิเนะกัดฟันแน่น สีหน้าผิดหวังอย่างที่ไม่มีใครเคยเห็นมาก่อน “ดูท่าสำหรับนายแล้ว ฉันคงไม่ได้สำคัญที่สุดใช่มั้ย”
“...”
คิเสะพูดไม่ออกได้แต่มองแผ่นหลังของร่างสูงค่อยๆ เดินจากไป
วาเลนไทน์ต้องเป็นเทศกาลที่ทุกคนมีความสุขไม่ใช่หรอ แล้วทำไมเรา...
นี่เราทำอะไรลงไปกันเนี่ย?
“เฮ้อ” ตั้งแต่วันนั้นอาโอมิเนะก็ไม่ได้พูดอะไรกับเขาอีกเลย คิเสะก็ได้แต่มานั่งถอนหายใจจนหงอกจะขึ้นหัวอยู่แล้ว “เมื่อไรอาโอมิเนจจิจะเลิกงอนเราซะทีน้า”
ติ๊ง~ ตอง~
เสียงออดหน้าบ้านดังขึ้น เนื่องจากคิเสะอยู่บ้านคนเดียวจึงจำต้องถอนหายใจอีกรอบแล้วถึงเดินไปเปิด
“ค่ะ...คุโรโกจจิ มาทำอะ...”
เมื่อเปิดประตูออกมาก็เจอกับเด็กหนุ่มหัวฟ้า เจ้าของดวงตาที่ฟ้าใสและฉายาผู้เล่นมายาหมายเลขหก คุโรโกะ เท็ตสึยะนั้นเอง แต่พอลองมองเลยไปข้างหลังร่างที่สูงร้อยหกสิบกว่านั้น ก็ยิ่งทำให้คิเสะทำอะไรไม่ถูกพูดไม่ออกเข้าไปใหญ่ “ทะ...ทำไมถึง...”
“สวัสดีครับ คิเสะคุง” คุโรโกะทักทายอย่างสุภาพก่อนจะตอบคำถามเมื่อครู่ “คุณแม่ของอาโอมิเนะคุงโทรมารบกวนให้ผมช่วยติวหนังสือให้ลูกเขาน่ะครับ แต่พอดีบ้านผมมีใครบางคนยึดไป แล้วขู่ว่าถ้ากล้าพาใครเข้าบ้านล่ะก็เขาจะโกรธผมเอามากๆ เลยน่ะครับ ดังนั้นผมเลยจะมาขอรบกวนคิเสะคุงได้มั้ยครับ”
“พาคนอื่นเข้าบ้านก็ไม่ต่างจากมาบ้านของคนอื่นไม่ใช่หรอ” คิเสะถามขึ้น แต่สายตาก็ยังไม่ได้ละจากร่างที่อยู่เบื้องหลังคู่สนทนาเลยแม้แต่น้อย
“ไม่เป็นไรครับแค่ไม่ให้เขารู้ก็พอแล้ว”
คุโรโกะตอบด้วยสีหน้านิ่งๆ ทำให้คิเสะยอมละความสนใจมาอยู่ที่ร่างเล็กทันที
คุโรโกจจิ...เริ่มทำอะไรลับๆ ล่อๆ แบบนี้ ตั้งแต่เมื่อไร?
คิเสะเหงื่อตก และก็พอจะเดาได้ว่าทำไมคุโรโกจจิผู้ใสซื่อของเขาต้องมีทีท่าหนักใจอยู่เรื่อย
หน็อย เจ้าหมอนั้น พอได้คุโรโกจจิไปครองแล้วทำตัวเป็นเจ้าของซะเต็มที่เลยนะ คิเสะคิดพาลๆ แล้วจึงออกปากเชิญในที่สุด
“ก็ได้ เข้ามาสิ”
“รบกวนด้วยนะครับ” คุโรโกะพูดและเดินเข้าไป ส่วนอีกคนไม่แม้แต่จะมองหน้าเจ้าของบ้านเลยสักนิด
ฮือๆ คุโรโกจจิ นายหาเรื่องมาให้ฉันเข้าแล้วนะ
“ไม่ใช่ครับตรงนี้ต้องหารออกไม่ใช่คูณครับ”
“โว้ย โจทย์ยากแบบนี้ใครจะไปทำได้ฟะ เท็ตสึนายเป็นอัจฉริยะหรือไง”
“ผมไม่ใช่เด็กประถมสักหน่อยนี้ครับ ที่จะทำโจทย์แค่นี้ไม่ได้”
“นายกำลังหาว่าฉันเป็นเด็กประถมงั้นสิ?”
“ก็...”
คิเสะได้แต่มองเพื่อนหน้านิ่งคนหนึ่งกำลังปากเปียกปากแฉะอธิบายโจทย์คณิตศาสตร์ กับอีกคนที่เถียงไม่หยุดปากอย่าอึดอัดอยู่มุมหนึ่งของห้อง
ถ้าสวรรค์ยังไม่ยอมให้อาโอมิเนจจิหายงอนเขา ห็ขอร้องเถอะอย่าผลักสถานการณืและบรรยากาศอันอึดอัดนี้มาให้เขาจะได้ม้ายยย
กริ๊ง กริ๊ง
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เจ้าของเครื่องผู้มีหัวสีฟ้าจึงหยิบมันออกมาเพื่อดูว่าเป็นใคร
แล้วสีหน้าละเหี่ยใจก็พลันปรากฏขึ้นแวบหนึ่ง เพียงแวบหนึ่งเท่านั้น
“ขอโทษนะครับ ผมขออนุญาตรับโทรศัพท์สักครู่นะครับ”
อาโอมิเนะพยักหน้า
“เอ่อ อยู่ร้านอาหารครับ ให้กลับตอนนี้? ผมยังดื่มวานิลาปั่นไม่หมดเลยนะครับ...คากามิคุงอย่าเอาแต่ใจแบบนี้ได้มั้ยครับ ไม่ใช่เด็กๆ กันแล้ว...”
แม้คิเสะและอาโอมิเนะกำลังอยู่ในช่วงงอนกัน แต่ตอนนี้ทั้งคู่ต่างมีความคิดเดียวกัน
คุโรโกจจิ / เท็ตสึ เปลี่ยนไปมาก...!!!
เริ่มแรกคุโรโกะเคยพูดเยอะขนาดนี้ที่ไหนกัน เรื่องที่สองเขาเคยโกหกด้วยหรอ คุโรโกะมักเป็นคนตรงไปตรงมาเสมอ อีกอย่างเขาสั่งสอนคนเป็นแล้วด้วย
“...อะไรนะครับ ถ้าผมไม่กลับคุณจะเผาบ้าน? มันจะเกินไปแล้วนะครับ ผมชักจะโมโหแล้วนะครับ ยิ่งคุณทำแบบนี้อย่าหวังเลยครับว่าผมจะยอมคุณง่ายๆ...”
คากามิก็ไม่ใช่ย่อยนะเนี่ย
เอ่อ...ว่าแต่ไอ้สองคนนี้มันอยู่ด้วยกันหรอ ทั้งอาโอมิเนะและคิเสะต่างก็คิดในสิ่งเดียวกัน เดี๊ยวสิ มันไปกันถึงขั้นนี้แล้วเรอะ!
“...เฮ้อ ถ้าคุณพูดอย่างนี้แต่แรกก็จบแล้วครับ พูดแบบนั้นบอกตามตรงผมไม่ชอบเลย เอาเป็นว่าคุณรอสักครู่นะครับ เดี๊ยวผมจะรีบกลับไป”
คุโรโกะกดตัดสายแล้วหันมาหาอีกสองคนแล้วพูดว่า ”ผมต้องกลับแล้วนะครับคงอยู่ติวให้อาโอมิเนะคุงต่อไม่ได้แล้ว” พูดถึงตรงนี้คุโรโกะก็หันไปทางคิเสะ “รบกวนคิเสะคุงอีกอย่างได้มั้ยครับ”
อย่าบอกนะว่า...
คิเสะใจหล่นวูบก่อนจะพยายามถามกลับไปว่า “อะ...อะไรหรอ”
“รบกวนคิเสะคุงช่วยติวหนังสือให้อาโอมิเนะคุงสอบผ่านวิชาคณิตศาสตร์ในวันพรุ่งนี้ได้มั้ยครับ”
แล้วมันก็เป็นอย่างที่คิดจริงๆ คุโรโกะอธิบายเหตุผลต่อว่า
“คือใครบางคนเขาอยากให้ผมกลับไปหาเขาน่ะครับ ถ้าไม่ไปเกรงว่าเขาจะเผาบ้านผม ยังไงก็ต้องรบกวนคิเสะคุงแล้วล่ะครับ วันนี้ขอบคุณมากครับ ผมไปก่อนล่ะ”
“เดี๊ยวซิคุโรโกจจิ”
ว่าจบคุโรโกะก็ลุกขึ้นโดยไม่ฟังที่คิเสะพยายามพูด แล้วเดินออกไปหา ‘ใครบางคน’ ที่คิดว่าคงไม่มีใครไม่รู้ทันที
ซวยแล้ว...!!!
“...”
“...”
อ้ากกก
ถ้าบรรยากาศมันจะอึดอัดได้ขนาดนี้ล่ะก็นะ ห้องก็ไม่ได้เปิดแอร์แต่ทำไมมันหนาวขนาดนี้เนี่ย ฮือๆ หายใจก็ไม่ค่อยออกด้วย คิเสะได้แต่โอดครวญในใจเมื่อหลังจากที่ ‘คนกลาง’ ออกไปแล้วก็ไม่มีใครพูดอะไรเลยสักคำ
ส่วนอาโอมิเนะก็นั่งนิ่ง สายตาสอดส่องไปทั่วห้อง เพื่อจะได้ไม่ต้องมองใครบางคนที่อยู่ในห้อง ตอนแรกเขาก็ว่าจะกลับพร้อมคุโรโกะ จะได้ไม่ต้องบอกลาให้ยุ่งยากวุ่นวาย แต่เจ้าเท็ตสึก็เสนอหน้ากลับไปแบบไม่บอกกล่าวล่ววงหน้า ( ถึงจะพอเดาได้จากบทสนทนาแล้วก็เถอะ )
ตอนนี้เขาอยากกลับมากแต่ก็ไม่อยากเสียมารยาท และก็ไม่อยากพูดอะไรกับอีกคนด้วย ที่ทำได้ก็แค่หาอย่างอื่นทำก่อนจะปิ๊งไอเดียหลบหนีโดยไม่ต้องพูดอะไรเลยก็ได้
บรรยากาศงียบสงบเหมาะแก่การคุยมาก
คิเสะกลั้นหายใจ โอกาสงามๆ แบบนี้จะปล่อยให้หลุดลอยไปได้ไง ยังไงๆ ก็ต้องเคลียร์ไห้มันรู้เรื่องรู้ราว แล้วสภาวะโคตรอึดอัดนี้จะได้จบๆ ไปซะที
คิดได้ดังนั้นคิเสะก็สูดหายใจลึกแล้วพูดไปอย่างชัดถ้อยชัดคำ “อาโอมิเนจจิเรื่องครั้งที่แล้วฉันขอโทษนะ ฉันไม่ควรโกหกนายเลย”
อาโอมิเนะที่คิดไม่ถึงว่าคิเสะจะยอมพูดอะไรแบบนี้ ก็เบิกตาโพลงด้วยความแปลกใจแล้วยอมมองหน้าอีกฝ่ายตรงๆ แต่ไม่นานก็ต้องรีบเสมองไปทางอื่นอย่างเพิ่งรู้สึกตัว
ไม่ได้...จะให้หน้าตาแบบนั้นมาอ้อนไม่ได้
อาโอมิเนะคิดอย่างมุ่งมั่น แล้วจึงทำเมินอีกฝ่ายอีกครั้ง พรางคิดอย่างหงุดหงิดว่า ไอ้ท่าทางหน้าตาแบบนั้นมันทำให้เราใจอ่อนมากี่ครั้วกันแล้วนะ แต่เรื่องครั้งนี้ยังไงๆ ก็ไม่ยอมง่ายๆ หรอก
เมื่อเห็นอีกฝ่ายไม่สนใจคิเสะก็ลุกลี้ลุกลนแต่ก็ยังไม่ยอกแพ้และสารภาพไปตาตรงว่า
“อันที่จริงแล้วช็อคโกแล็ตนั้นฉันไม่ได้เอาไปให้ใครหรอก แต่มัน...” พูดถึงตรงนี้คิเสะก็บิดตัวไปมาราวกับเด็กตัวน้อยๆ ที่เพิ่งสำนึกผิด “คือฉันทำแล้วแต่ ฉันว่านายคงไม่อยากกิน่ะ”
“แล้วทำไมฉันจะต้องไม่อยากกิน?”
คิเสะแทบอยากจะร้องไห้นี้คือเสียงแรกที่เขาได้ยินจากปากอาโอมิเนะ ตั้งแต่สองอาทิตย์ที่ผ่านมา และเมื่อในที่สุดอีกฝ่ายก็ยอมพูดด้วยแล้ว คิเสะก็ต้องใช้ลูกอ้อนเพื่อสยบเขาให้ได้
คิดได้ดังนั้นคิเสะก็กระเถิบเขาไปนั่งข้างๆ อาโอมิเนะที่ยิ่งเข้าไปไกลมากเท่าไร คิ้วก็ขมวดมุ่นมากขึ้นตามไปด้วย
แต่ใครจะสนล่ะ มาถึงขั้นนี้แล้วมีหรือจะยอมถอยกลับไปง่ายๆ ถ้าเกิดถอยไปจริงๆ ก็อย่าเรียกเขาว่าคิเสะเรียวตะเลย!
เมื่อคิเสะกระเถิบมาข้างตัวอาโอมิเนะที่นั่งเฉยไม่มีทีท่าหลบหนีแต่อย่างใด เพียงแต่ขมวดคิ้วเรียวด้วยความแปลกใจแล้ว เขาก็เริ่มไม้แข็ง
คิเสะคล้องแขนอาโอมิเนะจากนั้นก็กอดแน่นราวกับไม่อยากให้เขาหนีไปไหน เอาใบหน้าซบลงกับไหล่กว้างจากนั้นก็ซุกไซ้ออดอ้อนราวกับลูกหมาตัวน้อยๆ
“ก็ช็อกโกแลตของเค้ามัน ไม่น่ากินเลยซักนิด ดำก็ดำ ขนาดเค้ายังไม่กล้าชิมเลย อาโอมิเนจจิคงไม่อยากกินหรอก”
คิเสะรู้สึกเหมือนได้ยินเสียงหัวใจของตัวเองเต้นแรงจนแทบจะหลุดออกจากอก ใบหน้าร้อนผ่าวและคิดว่ามันคงจะแดงแล้วแน่ๆ แต่คิเสะไม่สนใจสิ่งเหล่านั้นเลย
อะไรจะสำคัญกว่าการได้สัมผัสกับคนที่เราไม่ได้พูดกันมาสองสัปดาห์กันล่ะ
อาโอมิเนะได้ยินเสียงหัวใจสูบฉีดเลือดถี่เร็วและแรง เขาเองก็เพิ่งมารู้ความจริงเอาวันนี้เนี่ยแหละ แล้วพอรู้เขาก็อดถอนหายใจอย่างสบายใจไม่ได้ คิเสะไม่ได้นอกใจจริงๆ แต่โล่งอกได้ไม่นานเขาก็ต้องข่มกลั้นอารมณ์ตัวเองอย่างหนัก
เขาไม่ได้สัมผัสตัวคิเสะมานานแล้ว มาตอนนี้คิเสะกำลัง ‘ยั่ว’ เขาด้วยท่าทางน่ารักน่ากดเป็นที่สุด ประกอบกับในบ้านหลังนี้มีเพียงพวกเขาสองคนก็ยิ่งแล้วใหญ่
อดทนไว้ อาโอมิเนะ เรื่องแบบนี้มันเร็วเกินไปสำหรับคิเสะ...และตัวเขาด้วย
อาโอมิเนะรีบละสายตาไปมองรอบห้องแล้วก็พบกับกล่องทรงแบนสีแดงที่วางอยู่บนเตียงพร้อมกับกองหนังสือที่คิเสะเพิ่งย้ายจากโต๊ะไปโยนทิ้งบนเตียงตอนที่พวกเขาเพิ่งเข้ามา
“ถ้าฉันเดาไม่ผิด ไอ้กล่องนั้นเป็นช็อกโกแลตของนายใช่มั้ย”
เมื่ออาโอมิเนะชี้นิ้วเรียวไปยังกล่องสีแดงคาดริบบิ้นสีเหลืองที่วางแหมะอยู่บนเตียงแล้ว คิเสะก็เกิดอาการนิ่งค้าง กว่าจะรู้สึกตัวก็ตอนที่อีกฝ่ายลุกขึ้นเดินไปหมายจะหยิบช็อกโกแลตกล่องนั้นนั่นแหละ
ไม่ได้! นายจะกินมันตอนนี้ไม่ได้ ยิ่งสถานการณ์แบบตอนนี้ยิ่งกินไม่ได้เข้าไปใหญ่
เราต้องหยุดเขา!
“อย่านะอาโอมิเนจจิ กล่องนั้นมัน...” สถานการณ์คับขันอย่างนี้สมองของคิเสะก็ต้องรีบประมวลคำโกหกออกมาอย่างรวดเร็ว แม้ว่าใจจริงเขาก็ไม่อยากโกหกคนตรงหน้านี้เลยก็ตาม “มีคนให้ฉันมา”
ได้ผลอาโอมิเนะชะงักงันในทันที แล้วค่อยๆ หันมามองด้วยสีหน้าเจ็บปวดสุดแสน เหมือนกับวันวาเลนไทน์วันนั้นไม่มีผิด ริมฝีปากขยับช้าราวกับทุกถ้อยคำนั้นหนักหนาแสนสาหัส
“นี่นาย...เก็บช็อกโกแลตของคนอื่นเอาไว้จนถึงตอนนี้เลยหรอ หรือว่านาย”
“เอ้ย...ไม่ใช่แบบนั้นนะคือฉันได้ช็อกโกแล้ตมาเยอะมากนายก็รู้ จนถึงตอนนี้ก็ยังกินไม่หมดเลย”
คิเสะ นายนี่มัน...โกหกไม่เก่งเอาซะเลยนะ อาโอมิเนะเลิกคิ้วมองอาการร้อนตัวของคนตรงหน้าอย่างนึกสนุก ความคิดที่ว่าอยากแกล้งก็บังเกิดขึ้นในบัดดล
“แต่มันจะไม่บังเอิญไปหน่อยหรอที่มันจะเหลืออยู่แค่กล่องเดียว” อาโอมิเนะเก็บสีหน้าเจ้าเล่ห์เจ้ากลเอาไว้แล้วตีหย้าเครียดแทน “แสดงว่า เจ้าของต้องเป็นคนสำคัญมากสินะ”
แวร้กกก เรื่องมันชักจะไม่จบง่ายๆ ซะแล้วสิ ไม่นะ ไม่เอาทีท่าเย็นชาแบบนั้นของอาโอมิเนจจิแบบนั้นอีกแล้ว
“ฉะ...ฉัน ฉันจะไปจำได้อยู่หรอว่าช็อกโกแล็ตนั้นใครเป็นคนให้มา” อาหการลนลานของคิเสะบ่งบอกได้ชัดเจนว่าเขาควรไปเรียนรู้วิธีการโกหกมาซะใหม่เหอะ
“อย่างนายจะจำไม่ได้ขนาดนั้นเลยหรอ”
“เอ๊ะ ก็มัน...เฮ้อ ก็ได้จริงๆ ไอ้กล่องนั้นฉันไม่ได้มาจากใครหรอก...ฉันทำเองแหละ” เมื่อถูกต้อนจนจนมุนคิเสะจึงจำยอมสารภาพแต่โดยดี
ก็ใครใช้ให้เขาเสน่ห์แรงขนาดนี้กะนเล่าวันนั้นคิเสะได้ช็อกโกแลตมากองเบอเริ่มจนแทบจะมิดหัวเลยล่ะ ถ้าเป็นนที่ให้ต่อหน้าเขาก็จำได้หมดนั้นแหละ จะมีบางกล่องที่วางไว้บนโต๊ะของเขาเพราะยัดใส่ใต้โต๊ะไม่พอเท่านั้นแหละที่ไม่เขียนชื่อ แต่ไหนแต่ไรคิเสะก็ไม่ใช่คนที่โกหกเก่งอยู่แล้ว ก็เลยเรียบเรียงคำพูดได้ห่วยบรม และการแสดงความน่าเชื่อถือนั้นก็ยากยิ่งกว่าอะไร
แต่เห็นคุโรโกะโกหกคากามิวันนี้แล้วบอกตามตรงเขาอายแทบมุดดินหนีเลยล่ะ
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะคุโรโกะหน้านิ่งอยู่เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว หรือเขาไปฝึกฝนบ่มเพาะสกิลการโกหกมาเป็นอย่างดี แต่จะแบบไหนก็ช่างแต่การโกหกของคุโรโกะนั้นแนบเนียนซะจนไม่มีใครสงสัยเลยว่าไอ้หมอนี้มันกำลังพูดในแบบปกติ
แต่หนุ่มสดใสร่าเริงอย่างเขาไม่มีปัญญาตีหน้านิ่งเสมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นแบบนั้นได้หรอก!
แล้วยิ่งคนตรงหน้านี้เป็นคนที่รู้จักคิเสะดียิ่งกว่าใคร...
กรุบ~ กรุบ~
เสียงปริศนาเรียกคิเสะออกจากภวังค์ แต่สิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าเขากลับทำให้เขาแทบหายใจไม่ออก ในระหว่างที่เขาเหม่อ ไอ้หน้าด้านก็ทำตัวสมเป็นไอ้หน้าด้าน...
มันแกะช็อกโกแลตของเขากินได้หน้าตาเฉย!
ทั้งๆ ที่เขายังไม่ได้พูดเลยซักคำว่าเขาทำให้ใคร
“อ้าว คิเสะ” อาโอมิเนะทักหลังจากเห็นคิเสะมองเขาด้วยสีหน้าอยากจะตายเอาซะตรงนั้นให้ได้ ด้วยใบหน้าที่ไม่ได้มีความสำนึกผิดเลยซักเสี้ยวเดียว
พอเห็นความผิดปกติอาโอมิเนะก็ก้มลงมองช็อกโกแลตในมือแล้วยิ้มให้
“ถึงหน้าตาจะดำปี๋ ดูแล้วไม่น่ามีใครจะกล้ากินได้แต่รสชาติสุดยอดไปเลยเนอะ”
คิเสะรู้สึกว่าคำพูดต่างๆ นาๆ มากมาย รวมทั้งคำก่นด่าจุกแน่นอยู่ในลำคอ พอจะขยับปากแต่กลับไม่มีเสียงใดๆ ดังออกมา ดวงตาเบิกค้างมองภาพตรงหน้า เหงื่อเม็ดโตผุดพราวทั้งๆ ที่ในห้องก็ไม่ได้ร้อนเลยแม้แต่น้อย หรือแม้แต่คำพูดเมื่อกี้ก็ไม่ได้เข้าหูเขาเลยแม้แต่น้อย
บรรลัยแล้ว! อาโอมิเนะกินช็อกโกแลตของเขา...
จะห้ามตอนนี้ก็คงไม่ทันแล้วล่ะ ขอบคุณสวรรค์ถึงเขาจะได้คืนดีกับอาโอมิเนะแล้ว แต่ไอ้หน้าด้านนี้มันก็กินช็อกโกแลตของเขาไปโดยไม่ถามอะไรก่อนเลยซักคำ!
ไม่อยากจะนึกสภาพต่อจากนี้เลย คิเสะอยากร้องไห้ แต่กลับร้องไม้ออก ได้แต่แข็งค้างแทบขยับเขยื้อนไปไหนไม่ได้อยู่อย่างนั้น
เห็นคิเสะกลายเป็นรูปปั้นสลัก ( ที่น่ารักที่สุดมนโลก ) แล้ว อาโอมิเนะก็ตีความหมายปฏิกริยานั้นไปว่าคิเสะคงน้อยใจที่เขาได้ช็อกโกแลตจากคิเสะ แต่เจ้าตัวกลับไม่ได้อะไรเลยจากเขา
ซึ่งมันผิดขั้นมหันต์!
อาโอมิเนะก้มลงมองก้อนดำๆ ที่ถ้าไม่บอกก็คงไม่เชื่อว่าสิ่งที่อยู่ในมือเขาคือช็อกโกแลต เขาไม่อยากให้คิเสะรู้สึกไม่ดี แต่ครั้นเขาจะให้ช็อกโกแลตที่เจ้าตัวทำให้เขาเอง (คิเสะ : ฉันยังไม่ทันบอกซักคำเลยนะว่าทำให้แก ) ก็คงเป็นเรื่องไม่ดี แต่ทำให้มันมีบางสิ่งที่มาจากเขาก็คงไม่เป็นไร
เมื่อคิดแบบตื้นๆ ได้ดังนั้นอาโอมิเนะก็หยิบก้อนดำๆ ขนาดพอดีคำเข้าปากแต่กลับไม่ได้เคี้ยว จากนั้นเขาก็ยื่นใบหน้าไปใกล้กับรูปสลัก แล้วจัดการประกบริมฝีปากเข้ากับริมฝีปากเรียวสวย เอาลิ้นดันช็อกโกแลตในปากเข้าไปในปากของอีกฝ่ายทันที
มันใดนั้นสติสัมปัญชัญญะของคิเสะก็กลับมาครบถ้วนสมบูรณ์ ดวงตาเบิกกว้างกว่าเดิม ใบหน้าค่อยๆ ร้อยผ่าวมากขึ้นกว่าเดิม
อาโอมิเนะจูบเขา...!!!
แค่นั้นยังไม่ทำให้คิเสะตกใจมากพอ เมื่อเขารู้สึกถึงรสหวานๆ ขมๆ ผสมกันลงตัวจนเรียกได้ว่าอร่อยที่สุดเท่าที่เขาเคยรับรสมาก่อนในชีวิต กำลังละลายอยู่ในปาก พร้อมกับลิ้นที่พยายามดันมันเข้ามาอย่างเร่าร้อนพอๆ กับอุณหภูมิบนใบหน้าเขาตอนนี้
ผ่านไปได้ซักพัก อาโอมิเนะก็ยังไม่ยอมถอนริมฝีปากไปซักที ช็อกโกแลตก็ค่อยละลาย และใหลลงคอของเขาไปเรื่อยๆ จนในที่สุดก็เหลือเพียงรสบางๆ ที่ยังติดอยู่ในปากของเขา อาโอมิเนะจึงยอมถอนริมฝีปากออกไปในที่สุด
“ของอร่อยๆ แบบนี้มันต้องแบ่งปัน” อาโอมิเนะพูดพรางเช็ดครามน้ำลายบนปาก
ก็อร่อยจริงๆ นั้นแหละ
เดี๊ยวสิ ฉันกินช็อกโกแล็ตไปแล้วนี่!
คิเสะหน้าซีดจนไม่มีสีเลือดหายใจติดขัด พูดอะไรไม่ออกแต่สายตายังไม่ละจากคนที่เริ่มละเลงกินช็อกโกแลตต่อ ขาอันสั่นเทาค่อยๆ ก้าวถอยหลังไปยังมุมหนึ่งของห้องอย่างไม่รู้ตัว จากนั้นทรุดตัวนั่งลงกอดเข่า คิดถึงบทสนทนาของตนกับมิโดริมะเมื่อวันนั้น
(นายห้ามเอาช็อกโกแลตนั้นกับใครเด็ดขาดเลยนะ)
“เอ๋?” คิเสะอุทานขึ้นอย่างสงสัย “ทำไมล่ะหรือว่ายานั้นมันไม่ได้ผล เลยจะทำให้อาการทรุดหนัก จนนอนกอดส้วมเป็นเดือนๆ?“
(ไม่ใช่ ยานั้นยังมีทธิ์ทำให้รสชาติอาหารเยี่ยมเหมือนเดิม แต่ว่า...) มิโดริมะเว้นช่วงไป ทำเอาคิเสะที่ลุ้นอยู่ใจเต้นไม่เป็นส่ำ (คือยานั้นมีผลข้างเคียงอยู่อีกอย่างนึงน่ะ)
“ผลข้างเคียง?”
(ใช่ ค่อนข้างรุนแรงด้วย)
“แล้วมันคืออะไรล่ะรีบๆ บอกมาซักทีสิ” คิเสะเริ่มหมดความอดทน จริงๆ เขาไม่ใช่คนอารมณ์ร้อน แต่มาถูกกระตุ้นให้ตื่นเต้นแบบนี้เขาก็ต้องลนลานเป็นธรรมดา
และยิ่งเป็นเรื่อที่เกี่ยวข้องกับเขาคนนั้นด้วยแล้วก็ยิ่งปล่อยไม่ได้ไปแล้วใหญ่
(ยานั้นมีผลข้างเคียงคือ...) มิโดริมะกลั้นหายใจทำใจซักครู่แล้วจึงยอมพูดในที่สุด
(มันเป็นยาปลุกเซ็กส์...!!!)
...บรรลัยแล้วไง...
คิเสะกำลังถูกนักเรียนหญิงโรงเรียนโทโอวล้อมหน้า ล้อมหลัง ล้อมซ้าย ล้อมขวา พูดง่ายๆ โดนล้อมหมดสามร้อยหกสิบองศานั่นแหละ ราวกับฝูงหมาป่าอดอาหารมาสามเดือนแล้วบังเอิญมาเจอเนื้อชั้นดีก้อนโตยังไงยังงั้นแหละ
หลังจากที่วันนี้โรงเรียนเลิกก่อนเวลา คิเสะเลยรีบปลี่มายังโรงเรียนโทโอวเป้าหมายเพื่อพบกับใครบางคน
แล้วไม่รู้ว่าโชคดีหรือโชคร้ายทันทีที่เหล่าสาวม.ปลายทั้งหลายแหล่มองเห็นร่างสูงโปร่ง หน้าตาหล่อเหลาแถมสดใสร่าเริงชวนให้เคลิ้มไม่ยอมตื่นของนายแบบแล้ว ก็เกิดเหตุกาณณ์ฆาตกรรมแย่งอากาศหายใจขึ้น
สาวๆ ต่างเข้ามารุมล้อมขอลายเซ็น ถ่ายรูป ถามชื่อ ซักประวัติ สารพัดคำขอที่เรียกได้ว่าเป็นกองกำลังสโตรกเกอร์ หนุ่มหล่อเลยก็ว่าได้ บางคนถึงขั้นขอหอมแก้มก็ยังมี!
นี้ไม่ใช่ครั้งแรกของคิเสะ โดนรุมเยอะว่านี้คิเสะก็เคยจัดการเรียบมาแล้ว แต่ที่เขาไม่ได้ตอบสาวๆ หรือสนใจพวกเธอ เพราะสายตาของเขาเอาแต่สอดส่องหาร่างของใครบางคน
และเมื่อเขาเดินลงมาจากตึก ก็ไม่ใช่เรื่องยากเลยในการหาตัว เพราะร่างสูงเกือบสองเมตรนั้นดูเด่นเป็นสง่าท่ามกลางผู้คน รวมกับผิวสีแทนที่เด่นชัดอันเป็นเอกลักษณ์ของเจ้าตัว
เนื่องจากเสียบงตะโกนเมื่อกี้ถูกเสียงฝูงชชนกลบซะมิดคิเสะจำต้องตะโกนอีกครั้ง
“อาโอมิเนจจิ!” คิเสะฝ่าวงล้อมของฝูงหมาป่าอย่างมืออาชีพทันที
ได้ผลอาโอมิเนะหันมาแล้ว คิเสะวิ่งมาหยุดอยู่ตรงหน้าอาโอมิเนะแล้วส่งยิ้มที่เจิดจ้ายิ่งกว่าแสงอาทิตย์ให้อย่างสดใสแล้วพูดว่า
“ไม่ได้เจอกันนานเลยเนอะ”
ดวงตาสีน้ำเงินที่ดูเฉื่อยชาทอดลงมามองเจ้าของรอยยิ้มอย่างนิ่งเงียบ ไม่มีอารมณ์ใดๆ ปรากฏอยู่ในตาคู่นั้นเลย เขายืนมองคิเสะส่งยิ้มที่เคยทำให้เขาสบายใจทุกครั้งที่เห็นอยู่เงียบๆ
“ฮู้ กว่าจะหลุดจากสาวๆ มาได้ลำบากแทบแย่” เจออาโอมิเนะที่เงียบพอๆ กับคุโรโกะแบบนี้ คิเสะเริ่มใจคอไม่ค่อยดี กระนั้นเขาก็ยังยิ้มให้ต่อไป”เออ นี่...”
ยังพูดไม่ทันจบอาโอมิเนะก็หันกายจากไปโดยไม่ได้พูดอะไรซักคำ คิเสะพยายามเรียกอีกฝ่ายหันกลับมา แต่อาโอมิเนะก็ทำราวกับไม่ได้ยิน แล้วเดินต่อไปเงียบๆ
คิเสะได้แต่ถอนหายใจ เรื่องมันเกิดขึ้นเมื่อวันที่เจ็ดเดือนกุมภาพันธ์ หรือก็คือสองอาทิตย์ที่แล้ว...
“พักก่อนเถอะอาโอมิเนจจิ...แฮ่กๆ...ฉันเหนื่อยแล้ว” คิเสะเอ่ยพลางหอบหายใจหนัก
“อะไรกันนายเป็นผู้ชายหรือเปล่าเนี้ย แค่นี้ก็เหนื่อยแล้วหรอ” ถึงปากจะพูดอย่างนั้นแต่บนผิวสีแทนก็ชุ่มไปด้วยเหงื่ออย่างกับเพิ่งอาบน้ำมาใหม่ๆ
“ถ้าแค่ชั่วโมงเสองชั่วโมงก็ไม่เท่าไรหรอก แต่นี้มันปาไปเกือบสี่ชั่วโมงแล้วนะ ติดต่อกันอย่างนี้ ต่อให้เอากระทิงมาแทนยังไม่แน่เลยว่าจะไหว” ฝ่ายนี้ก็เหงื่ออกไม่แพ้อาโอมิเนะ แถมตัวเขาก็เล็กกว่าอีกฝ่ายมากเหงื่อเลยดูเยอะกว่านิดหน่อย ”อีกอย่างฉันไม่เคยติดต่อกันนานขนาดนี้มาก่อนเลย”
“ให้ตายเถอะ เรื่องแบบนี้ สำหรับฉันมันพักได้ที่ไหนกัน” อาโอมิเนะพูดอย่างหัวเสีย “แต่เห็นว่าเป็นนายหรอกนะจะให้พักหน่อยก็ได้”
เมื่อได้ยินว่าอีกฝ่ายยอมให้พักแล้ว คิเสะก็คลี่ยิ้มสดใสตามแบบฉบับของเขาให้พรรรร้อมพูดว่า “ขอบคุณนะ อาโอมิเนจจิ”
“ไปพักได้แล้ว เจ้าบ้า” ยังพูดไม่ทันจบประโยค อาโอมิเนะก็หันหลังหนีซะแล้ว
ให้ตายเถอะ ถ้ารู้ว่าตามใจแล้วจะได้รอยยิ้มที่น่ารักขนาดนี้แล้วล่ะก็... บ้าน่าเราคิดอะไรอยู่เนี้ย ช่างเหอะ ยังไงซะรอยยิ้มแบบนี้ก็ดีกว่ารอยยิ้มตอนนั้นแล้วกันน่า
‘ฉันจะเลิกหลงใหลนาย’
แล้วนี้เราจะไปคิดเรื่องตอนนั้นทำไมเล่า ก็ตอนนี้เจ้าหมอนี้ไม่ได้หลงใหลเราแล้วนี่นา แต่ตอนนี้คิเสะ...โอ๊ย คิดบ้าอะไรของเราอยู่เนี้ย
เมื่อรู้ว่าความคิดตัวเองที่ตีกันมั่วซั่วเริ่มเลยเถิดไปถึงเรื่องนั้นแล้ว อาโอมิเนะก็เลิกคิดแล้วหันกลับมานั่งข้างๆ คิเสะ หนำซ้ำยังยกแขนขึ้นพาดอ้อมหลังคิเสะอีก
“ทำอะไรน่ะอาโอมิเนจจิ นี้มันสนามสตรีทนะ!” เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายทำอะไรโจ่งแจ้งในที่สาธารณะอย่างสนามสตรีทตรงนี้คิเสะก็รีบโวยวายทำท่าจะลุกหนีทันที แต่ก็โดนมือที่พาดขึ้นโอบรอบเอวรั้งให้นั่งลงเหมือนเดิม
ถ้าให้เลือกพาดแขนกับโอบเอวล่ะก็ หัวเด็ดตีนขาดยังฉันก็ไม่มีทางลุกเด็ดขาด! คิเสะโวยวายอยู่ในใจ แล้วใบหน้าก็เริ่มแดงก่ำขึ้นเรื่อยๆ
“สนามสตรีทแล้วไง แถวนี้ไม่มีคนผ่านซักหน่อย” ยังมีหน้ามาทำหน้าตาเฉยอีก
“นั้นไม่ใช่ประเด็นเฟ้ย!” คิเสะตวาดกลับหวังกลบเกลื่อนว่าที่ตัวเองหน้าแดงเพราะโกรธ ไม่ใช่... บัดนี้เจ้าตัวกำลังคิดฟึงซ่านจนลืมความเหนื่อยที่เล่นบาสฯ กับอดีตเอสของเทโควติดต่อกันสี่ชั่วโมงแบบไม่มีหยุดพัก
ถ้าเป็นคนทั่วไปเกรงว่าน่าจะเหนื่อยจนลุกไม่ขึ้นไปอีกหลายวัน หรือไม่ก็ถอดตั้งแต่ครึ่งชั่วโมงแรกแล้ว
แต่ไม่ใช่กับเขาสองคน ที่เล่นบาสฯ กัน...ด้วยความรัก
“จะยังไงก็ช่างถ้าไม่มีใครมา ฉันก็ไม่ถือว่านั้นเป็นประเด็นหรอก” อาโอมิเนะยังคงทำหน้าตาสาบายใจเฉิบ ไม่รู้ร้อนรู้หนาว ทำเป็นไม่สนใจใบหน้าขาวเนียนที่เริ่มแดงไปถึงใบหูของใครบางคน
“อาโอมิเนจจิบ้า” เมื่อหมดหนทางเถียงกับไอ้คนหน้าด้านแล้ว ดิเสะก็ได้แต่ทำแก้มป่องบ่นอิดออดด้วยท่าทางเหมือนเด็กกำลังงอน
น่ารัก...
คำเดียวที่อาโอมิเนะขอบรรยายภาพหนูน้อยสูงร้อยเจ็ดสิบกว่าตรงหน้าที่เหฌนแล้วอดไม่ได้ที่จะยกมือข้างที่โอบเอวขึ้นไปขยี้ผมที่ทองแรงๆ
“ทำอะไรน่ะ หัวฉันยุ่งหมดแล้วนะ”
การโวยวายไร้ผล ยิ่งคิเสะทำหน้าไม่พอใจมากเท่าไร อัตราเร็วในการขยี้ก็มากยิ่งขึ้น ส่วนหนูน้อยที่ไม่รูเรื่องก็ได้แต่โวยวายต่อไป แล้วก็น่ารักต่อไป อาโอมิเนะก็ขยี้ต่อไป จนกระทั่ง...
“ฉันเมื่อยแขนแล้ว” ว่าจบอาโอมิเนะก็ลดแขนลงมาโอบเอวเหมือนเดิม
คิเสะถึงกับหัวเราะไม่ออก ร้องไห้ไม่ได้ เขาเพียรพยายามในการแหกปากบอกให้เจ้าหน้าด้านนี้หยุดเล่นหัวเขาซักที แต่ไอ้หน้าด้านยังไงก็คือไอ้หน้าด้าน ห้ามไปก็ไม่กระเทือนหนังหน้าที่หนาเป็นเมตรของเจ้าหมอนี้ได้หรอก แต่เขากับหยุดด้วยเหตุผลที่ง่ายจนไม่รู้ว่าจะง่ายยังไงแล้ว
เมื่อยแขน?
คิเสะเข้าขั้นหดหู่ทันที เหตุการณ์นี้ทำให้เขารู้สึกไม่อยากทำในสิ่งที่เรียกว่า ‘พยายาม’ อีกต่อไปแล้วจริงๆ ถึงเขาจะเข้าใจดีก็เถอะว่าความพยายามมันไม่มีผลต่อคนหน้าด้าน แต่คนที่เคยพยายามอะไรมามากมาย ประสบความสำเร็จมามากเหมือนกัน มาเจอเรื่องแบบนี้เข้า มันก็อดไม่ได้ที่จะหมดอาลัยตายอยากจริงๆ
“อาทิตย์หน้าก็วาเลนไทน์แล้วเนาะ” จู่ๆ เจ้าคนหน้าด้านที่ไม่รู้เรื่องอะไรกับเขาเลยก็พูดขึ้นมาลอยๆ
อย่างว่าน่ะแหละคนหน้าด้าน ก็คงความหน้าด้านไม่กระเทือนสิ่งใดๆ หรอก
หลังจากครุ่นคิดได้สักพักอาโอมิเนะก็ฉีกยิ้มเกเรลงมามองร่างเกือบไร้วิญญาณของคิเสะ “คิเสะ นายทำช็อกโกแล็ตเป็นปะ”
“ไม่...เป็น” เสียงตอบนั้นแผ่วเบาจากอาการตายซาก จนคนถามไม่ได้ยินคำว่า ‘ไม่’ ที่อยู่ข้างหน้า เลยยิ้มอย่างตื่นเต้นทันที
“จริงดิ นายทำใมห้ฉันได้ปะ”
ประโยคนี้ทำให้วิญญาณที่ลอยล่องไปไกลของคิเสะพุ่งกลับเข้าร่างทันที ดวงตาเบิกโพลงด้วยความตกใจ ลืมเรื่องเมื่อกี้ไปอย่างหมดสิ้น
“นายจะบ้าหรอ เราปะ...เป็นผู้ชายเหมือนกันนะ” พูดจบคิเสะก็ก้มหน้างุดด้วยความเขิน แต่ก็ไม่อยากให้ใครเห็นโดยเฉพาะอาโอมิเนะนี้ จึงเงยหน้าขึ้นมาจนหัวแทบชนกับคางอีกฝ่ายที่ตั้งใจจะก้มลงมาดูสีหน้าหนูน้อยสักหน่อย แล้วรีบโวยวายต่อ”อีกอย่างเขาต้องให้คนที่ตัวเองชอบนะ”
“แล้วนายไม่ชอบฉันหรอ?”
“...” มันยังมีหน้ามาถามอีกหรอ ”จะยังไงก็ช่างเถอะ แต่มาขอกันหน้าด้านๆ แบบนี้ได้ไง เขาต้องสมัครใจทำให้ แล้วก็ต้องเซฮร์ไพรส์ด้วย”
“แสดงว่าฉันขอไม่ได้หรอ”
“ก็เออสิ” คิเสะตอบกลับอย่างงอนๆ
“งั้นฉันต้องรอเซอร์ไพรส์ใช่มั้ย”
“ใครบอกว่า...”
“ได้ เดี๊ยวฉันจะรอนะ วันนี้ฉันกลับก่อนดีกว่า” แล้วร่างสูงก็เก็บสัมภาระอย่างรวดเร็วแล้วเดินจากไป โดยไม่ได้สนใจที่คิเสะยังพูดไม่จบเลย
...จะให้นายกัน คิเสะได้แต่ต่อในใจ พลางมองแผ่นหลังที่เดินจากไปอย่างหน้าด้านๆ อีกครั้ง
ไอ้หน้าด้าน...
“เฮ้อ...” คิเสะถอนหายใจครั้งที่ล้านแปดได้แล้วมั้ง
เขามองไปยังโต๊ะเตี้ยที่ตั้งอยู่กลางห้องอย่างเหนื่อยใจ บนนั้นมีหนังสือกับอุปกรณ์การเรียนต่างๆ มากมาย แต่ที่เขากำลังมองคือกล่องทรงแบนห่อกระดาษสีแดงที่วางอยู่บนสุดต่างหาก
มันคือช็อกโกแลตที่เขาทำเอง และตั้งใจว่าจะให้เจ้าคนหน้าด้านนั้นนั่นแหละ
แต่ที่มันยังอยู่ตรงนี้ก็เพราะ...
อาโอมิเนะโทรมาบอกอีกทีว่าเขาจะมารอรับช็อคโกแล็ตที่สนามสตรีทเดิมหลังเลิกเรียน จากนั้นก็วางสายไปเอาดื้อๆ เลย
คิเสะมาถึงก่อนเวลาเนื่องจากโรงเรียนอยู่ใกล้กว่า เขาเลยมานั่งเล่นบนสแตนด์มองดูสนามอันว่างเปล่าไปเพลินๆ ทันใดนั้นโทรศัพท์มือถือในกระเป๋าของเขาก็ดังขึ้น คิเสะหยิบขึ้นมารับทันที
“มีอะไรหรอมิโดริมัตจิ”
( คิเสะ เอ่อ... ) มิโดริมะพูดแค่นั้นแล้วก็เงียบเหมือนกำลังลังเลว่าควรจะบอกดีมั้ย
“เป็นอะไรไปหรอ มิโดริมัตจิ” คิเสะถามขึ้นอย่างแปลกใจ เพราะมีไม่กี่ครั้งหรอกที่มิโดริมะจะพูดด้วยความอึดอัดแบบนี้
( คือไอ้ยาผสมที่ฉันให้ไปนั้นน่ะ นายได้ใส่ลงไปด้วยหรือเปล่า)
“ใส่ลงไปสิ ไม่ไส่รสชาติมันก็ห่วยแตกเป็นต้องจู๊ดๆ แน่เลย ยังดีนะที่มิโดริมัตจิเอายาเพิ่มใความกลมกล่อมมาให้ ไม่งั้นฉันแย่แน่ๆ เลย ไม่สิคนที่รับต่างหาก ว่าแต่มิโดริมัตจิปรุงเองใช่มั้ยยานั้นน่ะ”
เมื่อได้ฟังคิเสะพูดอย่างอารมณ์ดีมิโดริมะก็เกิดอาการอึดอัดขึ้นมาทันที แต่ก็ยังฝืนถามออกไปว่า (อืม เป็นยาที่อยู่ในขั้นทดลองน่ะ แล้วนายได้ชิมมันหรือเปล่า ตอนนี้ให้ใครไปหรือยัง)
“ไม่ได้ชิมนี่ ตอนนี้ก็ยังไม่ได้ให้ใครด้วย” คิเสะตอบตามความสัตย์ไม่มีใครรู้ว่าฝีมือการทำอาหารของคิเสะห่วยบรมยิ่งกว่าเอาก้อนอึมาผสมกันซะอีก แต่ไอ้เจ้าหน้าด้านนั้นมันอยากได้เขาก็เลยจัดให้มันได้นอนในห้องน้ำซะเลย แต่ด้วยความเห็นใจคิเสะจึงใส่ยาสูตรพิเศษของมิโดริมะลงไปด้วย หวังว่ามันจะทำให้รสชาติดีขึ้น และช่วยชีวิตอาโอมิเนะได้บ้างสักนิดก็ยังดี
แต่ถึงใส่ยาลงไปแล้ว คิเสะก็ยังไม่กล้าชิมอีกอยู่ดี
เพราะครั้งแรกที่เขาชิมอาหารที่เขาทำเองน่ะเหรอ เหอๆ
(เอาล่ะ คิเสะนายฟังฉันดีๆ นะ)
“อื้อๆ” เรื่องเกียวกับชีวิตคนทั้งทีจะฟังแบบส่งๆ ได้ไง ชีวิตมดยังสำคัญยิ่งไม่ต้องพูดถึงชีวิตมนุษย์เลย
(นายห้ามเอาช็อกโกแลตนั้นกับใครเด็ดขาดเลยนะ)
“เอ๋?”
“นายเอาช็อคโกแลตมาเซอร์ไพรส์ฉันแล้วใช่ปะ” เมื่ออาโอมิเนะเห็นคิเสะมารออยู่แล้วก็ทักอย่างไม่เกรงใจ หารู้ไมว่าคำถามนี้ทำเอาคิเสะหายใจไม่ออกเลยทีเดียว
เอามาน่ะเอามา แต่...มันให้ไม่ได้เนี่ยสิ เราเองก็ไม่อยากโกหกด้วย ยิ่งกับคนๆ นี้ด้วยแล้ว “เอ่อ คืออาโอมิเนจจิ...แบบว่า”
เมื่อเห็นอีกฝ่ายทำท่าอึดอัดอาโอมิเนะก็ชักตงิดใจขึ้นมาแปลกๆ “มีอะไรหรอ?”
พออีกฝ่ายถามขึ้นมาร่างกายของคิเสะก็กระตุกขึ้น แล้วก็เริ่มลนลาน อย่างที่คนโกหกไม่เก่งเป็นอย่างเด่นชัด”ชะ...ช็อคโกแลตน่ะ”
“ช็อกโกแลต?” อาโอมิเนะรอฟังอย่างอดทน
“ฉะ...ฉันขอโทษนะ ฉันให้นายไม่ได้จริงๆ” ในที่สุดหลังจากลุกลี้ลุกลนมานานคิเสะก็โพล่งออกไปจนได้
“ไม่ได้? ทำไมล่ะ” สีหน้ายิ้มแย้มที่ประดับบนใบหน้า พลันเปลี่ยนเป็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสงสัยทันที
“ก็แบบ...” ดวงตาสีน้ำตาลทองกลอกไปมาพยายามหาข้ออ้างที่แนบเนียนและดูดีที่สุดขึ้นมา “ฉันว่านายคงไม่อยากกินมันหรอกนะ”
รอยยิ้มโล่งอกปรากฏบนใบหน้าของอาโอมิเนะแล้วพูดอย่างสบายๆ ว่า ”ทำไมฉันจะไม่อยากกินมันล่ะ นายอุตส่าห์ทำให้ทั้งที จะไม่กินได้ยังไงกันเล่า”
ได้ยินคำพูดนี้ความรู้สึกอุ่นวาบก็แผ่เข้ามาในใจของคิเสะซักพัก แล้วจึงกลับมาร้อนลนเหมือนเดิม “จะยังไงก็กินไม่ได้จริงๆ นะ เชื่อฉันเถอะ ถ้านายกินไปแล้วนายยจะต้องเสียใจไปตลอดชีวิตแน่ๆ”
“คิเสะ...” ใบหน้าของอาโอมิเนะเปลี่ยนมาเคร่งขรึมทันที “นายปิดบังอะไรฉันอยู่หรือเปล่า”
“มะ...ไม่มี๊ ไม่มีนี้ อาโอมิเนจจิคิดมากเกินไปแล้วนะ” ทำไมเวลานี้คิเสะถึงอยากให้อาโอมิเนะสมองทึบไม่รู้ประสีประสาอย่างนี้นะ
ปากก็ว่าไปอย่างนั้นแต่ท่าทางของคิเสะไม่ได้แสดงถึงสิ่งที่เรียกว่า ‘ไม่มีพิรุธ’ เลยซักนิด และต่อให้อาโอมิเนะจะสมองทึบถึงขั้นบวกเลขผิดยิ่งกว่าเด็กอนุบาลก็ยังดูออกแบบไม่ยากเลย
“ถ้าไม่มีอะไรทำไมนายให้ช็อกโกแลตฉันไม่ได้ล่ะ”
ขอร้องเถอะ อย่าขมวดคิ้วหน้าเครียดแบบนั้นได้ม้ายยย แค่นี้ฉันก็ลำบากใจแทบแย่อยู่แล้วนะ คิเสะได้แต่คิดในใจ แต่ดวงตาของเขาก็ยังคงกลอกไปมาเพื่อหาข้ออ้างอย่างรวดเร็วไปด้วย
“คือ...มีคนขอไปแล้ว”
เมื่อเห็นสีหน้าช็อกโลกของอาโอมิเนะ คิเสะก็รู้สึกอยากย้อนเวลาเอารองเท้าไปฟาดปากตัวเองเมื่อกี้จริงๆ
เจ้าบ้าแกหาข้ออ้างนรกอย่างนี้ได้ไงฟะ!
ถ้าจะพูดอย่างเมื่อกี้สู้บอกว่าทำแล้วมันกินไม่ได้ไม่ดีกว่าหรอฟะ แล้วไอ้เจ้ามิโดริมัตจินั้นก็เพิ่งโทรมาบอกเอาตอนที่จวนถึงเวลานัดแล้วอีก ต่อให้เร็วแค่ไหนก็ไปซื้อมาแทนไม่ทันแล้ว
อารมณ์โกรธ หงุดหงิด รู้สึกผิดและอีกมากมายบลาๆๆๆ สับสนปนเปมั่วซั่วอยู่ในหัวเต็มไปหมด
“เอ๋ แต่ว่านะอาโอมิเนจจิ...”
“ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว” อาโอมิเนะกัดฟันแน่น สีหน้าผิดหวังอย่างที่ไม่มีใครเคยเห็นมาก่อน “ดูท่าสำหรับนายแล้ว ฉันคงไม่ได้สำคัญที่สุดใช่มั้ย”
“...”
คิเสะพูดไม่ออกได้แต่มองแผ่นหลังของร่างสูงค่อยๆ เดินจากไป
วาเลนไทน์ต้องเป็นเทศกาลที่ทุกคนมีความสุขไม่ใช่หรอ แล้วทำไมเรา...
นี่เราทำอะไรลงไปกันเนี่ย?
“เฮ้อ” ตั้งแต่วันนั้นอาโอมิเนะก็ไม่ได้พูดอะไรกับเขาอีกเลย คิเสะก็ได้แต่มานั่งถอนหายใจจนหงอกจะขึ้นหัวอยู่แล้ว “เมื่อไรอาโอมิเนจจิจะเลิกงอนเราซะทีน้า”
ติ๊ง~ ตอง~
เสียงออดหน้าบ้านดังขึ้น เนื่องจากคิเสะอยู่บ้านคนเดียวจึงจำต้องถอนหายใจอีกรอบแล้วถึงเดินไปเปิด
“ค่ะ...คุโรโกจจิ มาทำอะ...”
เมื่อเปิดประตูออกมาก็เจอกับเด็กหนุ่มหัวฟ้า เจ้าของดวงตาที่ฟ้าใสและฉายาผู้เล่นมายาหมายเลขหก คุโรโกะ เท็ตสึยะนั้นเอง แต่พอลองมองเลยไปข้างหลังร่างที่สูงร้อยหกสิบกว่านั้น ก็ยิ่งทำให้คิเสะทำอะไรไม่ถูกพูดไม่ออกเข้าไปใหญ่ “ทะ...ทำไมถึง...”
“สวัสดีครับ คิเสะคุง” คุโรโกะทักทายอย่างสุภาพก่อนจะตอบคำถามเมื่อครู่ “คุณแม่ของอาโอมิเนะคุงโทรมารบกวนให้ผมช่วยติวหนังสือให้ลูกเขาน่ะครับ แต่พอดีบ้านผมมีใครบางคนยึดไป แล้วขู่ว่าถ้ากล้าพาใครเข้าบ้านล่ะก็เขาจะโกรธผมเอามากๆ เลยน่ะครับ ดังนั้นผมเลยจะมาขอรบกวนคิเสะคุงได้มั้ยครับ”
“พาคนอื่นเข้าบ้านก็ไม่ต่างจากมาบ้านของคนอื่นไม่ใช่หรอ” คิเสะถามขึ้น แต่สายตาก็ยังไม่ได้ละจากร่างที่อยู่เบื้องหลังคู่สนทนาเลยแม้แต่น้อย
“ไม่เป็นไรครับแค่ไม่ให้เขารู้ก็พอแล้ว”
คุโรโกะตอบด้วยสีหน้านิ่งๆ ทำให้คิเสะยอมละความสนใจมาอยู่ที่ร่างเล็กทันที
คุโรโกจจิ...เริ่มทำอะไรลับๆ ล่อๆ แบบนี้ ตั้งแต่เมื่อไร?
คิเสะเหงื่อตก และก็พอจะเดาได้ว่าทำไมคุโรโกจจิผู้ใสซื่อของเขาต้องมีทีท่าหนักใจอยู่เรื่อย
หน็อย เจ้าหมอนั้น พอได้คุโรโกจจิไปครองแล้วทำตัวเป็นเจ้าของซะเต็มที่เลยนะ คิเสะคิดพาลๆ แล้วจึงออกปากเชิญในที่สุด
“ก็ได้ เข้ามาสิ”
“รบกวนด้วยนะครับ” คุโรโกะพูดและเดินเข้าไป ส่วนอีกคนไม่แม้แต่จะมองหน้าเจ้าของบ้านเลยสักนิด
ฮือๆ คุโรโกจจิ นายหาเรื่องมาให้ฉันเข้าแล้วนะ
“ไม่ใช่ครับตรงนี้ต้องหารออกไม่ใช่คูณครับ”
“โว้ย โจทย์ยากแบบนี้ใครจะไปทำได้ฟะ เท็ตสึนายเป็นอัจฉริยะหรือไง”
“ผมไม่ใช่เด็กประถมสักหน่อยนี้ครับ ที่จะทำโจทย์แค่นี้ไม่ได้”
“นายกำลังหาว่าฉันเป็นเด็กประถมงั้นสิ?”
“ก็...”
คิเสะได้แต่มองเพื่อนหน้านิ่งคนหนึ่งกำลังปากเปียกปากแฉะอธิบายโจทย์คณิตศาสตร์ กับอีกคนที่เถียงไม่หยุดปากอย่าอึดอัดอยู่มุมหนึ่งของห้อง
ถ้าสวรรค์ยังไม่ยอมให้อาโอมิเนจจิหายงอนเขา ห็ขอร้องเถอะอย่าผลักสถานการณืและบรรยากาศอันอึดอัดนี้มาให้เขาจะได้ม้ายยย
กริ๊ง กริ๊ง
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เจ้าของเครื่องผู้มีหัวสีฟ้าจึงหยิบมันออกมาเพื่อดูว่าเป็นใคร
แล้วสีหน้าละเหี่ยใจก็พลันปรากฏขึ้นแวบหนึ่ง เพียงแวบหนึ่งเท่านั้น
“ขอโทษนะครับ ผมขออนุญาตรับโทรศัพท์สักครู่นะครับ”
อาโอมิเนะพยักหน้า
“เอ่อ อยู่ร้านอาหารครับ ให้กลับตอนนี้? ผมยังดื่มวานิลาปั่นไม่หมดเลยนะครับ...คากามิคุงอย่าเอาแต่ใจแบบนี้ได้มั้ยครับ ไม่ใช่เด็กๆ กันแล้ว...”
แม้คิเสะและอาโอมิเนะกำลังอยู่ในช่วงงอนกัน แต่ตอนนี้ทั้งคู่ต่างมีความคิดเดียวกัน
คุโรโกจจิ / เท็ตสึ เปลี่ยนไปมาก...!!!
เริ่มแรกคุโรโกะเคยพูดเยอะขนาดนี้ที่ไหนกัน เรื่องที่สองเขาเคยโกหกด้วยหรอ คุโรโกะมักเป็นคนตรงไปตรงมาเสมอ อีกอย่างเขาสั่งสอนคนเป็นแล้วด้วย
“...อะไรนะครับ ถ้าผมไม่กลับคุณจะเผาบ้าน? มันจะเกินไปแล้วนะครับ ผมชักจะโมโหแล้วนะครับ ยิ่งคุณทำแบบนี้อย่าหวังเลยครับว่าผมจะยอมคุณง่ายๆ...”
คากามิก็ไม่ใช่ย่อยนะเนี่ย
เอ่อ...ว่าแต่ไอ้สองคนนี้มันอยู่ด้วยกันหรอ ทั้งอาโอมิเนะและคิเสะต่างก็คิดในสิ่งเดียวกัน เดี๊ยวสิ มันไปกันถึงขั้นนี้แล้วเรอะ!
“...เฮ้อ ถ้าคุณพูดอย่างนี้แต่แรกก็จบแล้วครับ พูดแบบนั้นบอกตามตรงผมไม่ชอบเลย เอาเป็นว่าคุณรอสักครู่นะครับ เดี๊ยวผมจะรีบกลับไป”
คุโรโกะกดตัดสายแล้วหันมาหาอีกสองคนแล้วพูดว่า ”ผมต้องกลับแล้วนะครับคงอยู่ติวให้อาโอมิเนะคุงต่อไม่ได้แล้ว” พูดถึงตรงนี้คุโรโกะก็หันไปทางคิเสะ “รบกวนคิเสะคุงอีกอย่างได้มั้ยครับ”
อย่าบอกนะว่า...
คิเสะใจหล่นวูบก่อนจะพยายามถามกลับไปว่า “อะ...อะไรหรอ”
“รบกวนคิเสะคุงช่วยติวหนังสือให้อาโอมิเนะคุงสอบผ่านวิชาคณิตศาสตร์ในวันพรุ่งนี้ได้มั้ยครับ”
แล้วมันก็เป็นอย่างที่คิดจริงๆ คุโรโกะอธิบายเหตุผลต่อว่า
“คือใครบางคนเขาอยากให้ผมกลับไปหาเขาน่ะครับ ถ้าไม่ไปเกรงว่าเขาจะเผาบ้านผม ยังไงก็ต้องรบกวนคิเสะคุงแล้วล่ะครับ วันนี้ขอบคุณมากครับ ผมไปก่อนล่ะ”
“เดี๊ยวซิคุโรโกจจิ”
ว่าจบคุโรโกะก็ลุกขึ้นโดยไม่ฟังที่คิเสะพยายามพูด แล้วเดินออกไปหา ‘ใครบางคน’ ที่คิดว่าคงไม่มีใครไม่รู้ทันที
ซวยแล้ว...!!!
“...”
“...”
อ้ากกก
ถ้าบรรยากาศมันจะอึดอัดได้ขนาดนี้ล่ะก็นะ ห้องก็ไม่ได้เปิดแอร์แต่ทำไมมันหนาวขนาดนี้เนี่ย ฮือๆ หายใจก็ไม่ค่อยออกด้วย คิเสะได้แต่โอดครวญในใจเมื่อหลังจากที่ ‘คนกลาง’ ออกไปแล้วก็ไม่มีใครพูดอะไรเลยสักคำ
ส่วนอาโอมิเนะก็นั่งนิ่ง สายตาสอดส่องไปทั่วห้อง เพื่อจะได้ไม่ต้องมองใครบางคนที่อยู่ในห้อง ตอนแรกเขาก็ว่าจะกลับพร้อมคุโรโกะ จะได้ไม่ต้องบอกลาให้ยุ่งยากวุ่นวาย แต่เจ้าเท็ตสึก็เสนอหน้ากลับไปแบบไม่บอกกล่าวล่ววงหน้า ( ถึงจะพอเดาได้จากบทสนทนาแล้วก็เถอะ )
ตอนนี้เขาอยากกลับมากแต่ก็ไม่อยากเสียมารยาท และก็ไม่อยากพูดอะไรกับอีกคนด้วย ที่ทำได้ก็แค่หาอย่างอื่นทำก่อนจะปิ๊งไอเดียหลบหนีโดยไม่ต้องพูดอะไรเลยก็ได้
บรรยากาศงียบสงบเหมาะแก่การคุยมาก
คิเสะกลั้นหายใจ โอกาสงามๆ แบบนี้จะปล่อยให้หลุดลอยไปได้ไง ยังไงๆ ก็ต้องเคลียร์ไห้มันรู้เรื่องรู้ราว แล้วสภาวะโคตรอึดอัดนี้จะได้จบๆ ไปซะที
คิดได้ดังนั้นคิเสะก็สูดหายใจลึกแล้วพูดไปอย่างชัดถ้อยชัดคำ “อาโอมิเนจจิเรื่องครั้งที่แล้วฉันขอโทษนะ ฉันไม่ควรโกหกนายเลย”
อาโอมิเนะที่คิดไม่ถึงว่าคิเสะจะยอมพูดอะไรแบบนี้ ก็เบิกตาโพลงด้วยความแปลกใจแล้วยอมมองหน้าอีกฝ่ายตรงๆ แต่ไม่นานก็ต้องรีบเสมองไปทางอื่นอย่างเพิ่งรู้สึกตัว
ไม่ได้...จะให้หน้าตาแบบนั้นมาอ้อนไม่ได้
อาโอมิเนะคิดอย่างมุ่งมั่น แล้วจึงทำเมินอีกฝ่ายอีกครั้ง พรางคิดอย่างหงุดหงิดว่า ไอ้ท่าทางหน้าตาแบบนั้นมันทำให้เราใจอ่อนมากี่ครั้วกันแล้วนะ แต่เรื่องครั้งนี้ยังไงๆ ก็ไม่ยอมง่ายๆ หรอก
เมื่อเห็นอีกฝ่ายไม่สนใจคิเสะก็ลุกลี้ลุกลนแต่ก็ยังไม่ยอกแพ้และสารภาพไปตาตรงว่า
“อันที่จริงแล้วช็อคโกแล็ตนั้นฉันไม่ได้เอาไปให้ใครหรอก แต่มัน...” พูดถึงตรงนี้คิเสะก็บิดตัวไปมาราวกับเด็กตัวน้อยๆ ที่เพิ่งสำนึกผิด “คือฉันทำแล้วแต่ ฉันว่านายคงไม่อยากกิน่ะ”
“แล้วทำไมฉันจะต้องไม่อยากกิน?”
คิเสะแทบอยากจะร้องไห้นี้คือเสียงแรกที่เขาได้ยินจากปากอาโอมิเนะ ตั้งแต่สองอาทิตย์ที่ผ่านมา และเมื่อในที่สุดอีกฝ่ายก็ยอมพูดด้วยแล้ว คิเสะก็ต้องใช้ลูกอ้อนเพื่อสยบเขาให้ได้
คิดได้ดังนั้นคิเสะก็กระเถิบเขาไปนั่งข้างๆ อาโอมิเนะที่ยิ่งเข้าไปไกลมากเท่าไร คิ้วก็ขมวดมุ่นมากขึ้นตามไปด้วย
แต่ใครจะสนล่ะ มาถึงขั้นนี้แล้วมีหรือจะยอมถอยกลับไปง่ายๆ ถ้าเกิดถอยไปจริงๆ ก็อย่าเรียกเขาว่าคิเสะเรียวตะเลย!
เมื่อคิเสะกระเถิบมาข้างตัวอาโอมิเนะที่นั่งเฉยไม่มีทีท่าหลบหนีแต่อย่างใด เพียงแต่ขมวดคิ้วเรียวด้วยความแปลกใจแล้ว เขาก็เริ่มไม้แข็ง
คิเสะคล้องแขนอาโอมิเนะจากนั้นก็กอดแน่นราวกับไม่อยากให้เขาหนีไปไหน เอาใบหน้าซบลงกับไหล่กว้างจากนั้นก็ซุกไซ้ออดอ้อนราวกับลูกหมาตัวน้อยๆ
“ก็ช็อกโกแลตของเค้ามัน ไม่น่ากินเลยซักนิด ดำก็ดำ ขนาดเค้ายังไม่กล้าชิมเลย อาโอมิเนจจิคงไม่อยากกินหรอก”
คิเสะรู้สึกเหมือนได้ยินเสียงหัวใจของตัวเองเต้นแรงจนแทบจะหลุดออกจากอก ใบหน้าร้อนผ่าวและคิดว่ามันคงจะแดงแล้วแน่ๆ แต่คิเสะไม่สนใจสิ่งเหล่านั้นเลย
อะไรจะสำคัญกว่าการได้สัมผัสกับคนที่เราไม่ได้พูดกันมาสองสัปดาห์กันล่ะ
อาโอมิเนะได้ยินเสียงหัวใจสูบฉีดเลือดถี่เร็วและแรง เขาเองก็เพิ่งมารู้ความจริงเอาวันนี้เนี่ยแหละ แล้วพอรู้เขาก็อดถอนหายใจอย่างสบายใจไม่ได้ คิเสะไม่ได้นอกใจจริงๆ แต่โล่งอกได้ไม่นานเขาก็ต้องข่มกลั้นอารมณ์ตัวเองอย่างหนัก
เขาไม่ได้สัมผัสตัวคิเสะมานานแล้ว มาตอนนี้คิเสะกำลัง ‘ยั่ว’ เขาด้วยท่าทางน่ารักน่ากดเป็นที่สุด ประกอบกับในบ้านหลังนี้มีเพียงพวกเขาสองคนก็ยิ่งแล้วใหญ่
อดทนไว้ อาโอมิเนะ เรื่องแบบนี้มันเร็วเกินไปสำหรับคิเสะ...และตัวเขาด้วย
อาโอมิเนะรีบละสายตาไปมองรอบห้องแล้วก็พบกับกล่องทรงแบนสีแดงที่วางอยู่บนเตียงพร้อมกับกองหนังสือที่คิเสะเพิ่งย้ายจากโต๊ะไปโยนทิ้งบนเตียงตอนที่พวกเขาเพิ่งเข้ามา
“ถ้าฉันเดาไม่ผิด ไอ้กล่องนั้นเป็นช็อกโกแลตของนายใช่มั้ย”
เมื่ออาโอมิเนะชี้นิ้วเรียวไปยังกล่องสีแดงคาดริบบิ้นสีเหลืองที่วางแหมะอยู่บนเตียงแล้ว คิเสะก็เกิดอาการนิ่งค้าง กว่าจะรู้สึกตัวก็ตอนที่อีกฝ่ายลุกขึ้นเดินไปหมายจะหยิบช็อกโกแลตกล่องนั้นนั่นแหละ
ไม่ได้! นายจะกินมันตอนนี้ไม่ได้ ยิ่งสถานการณ์แบบตอนนี้ยิ่งกินไม่ได้เข้าไปใหญ่
เราต้องหยุดเขา!
“อย่านะอาโอมิเนจจิ กล่องนั้นมัน...” สถานการณ์คับขันอย่างนี้สมองของคิเสะก็ต้องรีบประมวลคำโกหกออกมาอย่างรวดเร็ว แม้ว่าใจจริงเขาก็ไม่อยากโกหกคนตรงหน้านี้เลยก็ตาม “มีคนให้ฉันมา”
ได้ผลอาโอมิเนะชะงักงันในทันที แล้วค่อยๆ หันมามองด้วยสีหน้าเจ็บปวดสุดแสน เหมือนกับวันวาเลนไทน์วันนั้นไม่มีผิด ริมฝีปากขยับช้าราวกับทุกถ้อยคำนั้นหนักหนาแสนสาหัส
“นี่นาย...เก็บช็อกโกแลตของคนอื่นเอาไว้จนถึงตอนนี้เลยหรอ หรือว่านาย”
“เอ้ย...ไม่ใช่แบบนั้นนะคือฉันได้ช็อกโกแล้ตมาเยอะมากนายก็รู้ จนถึงตอนนี้ก็ยังกินไม่หมดเลย”
คิเสะ นายนี่มัน...โกหกไม่เก่งเอาซะเลยนะ อาโอมิเนะเลิกคิ้วมองอาการร้อนตัวของคนตรงหน้าอย่างนึกสนุก ความคิดที่ว่าอยากแกล้งก็บังเกิดขึ้นในบัดดล
“แต่มันจะไม่บังเอิญไปหน่อยหรอที่มันจะเหลืออยู่แค่กล่องเดียว” อาโอมิเนะเก็บสีหน้าเจ้าเล่ห์เจ้ากลเอาไว้แล้วตีหย้าเครียดแทน “แสดงว่า เจ้าของต้องเป็นคนสำคัญมากสินะ”
แวร้กกก เรื่องมันชักจะไม่จบง่ายๆ ซะแล้วสิ ไม่นะ ไม่เอาทีท่าเย็นชาแบบนั้นของอาโอมิเนจจิแบบนั้นอีกแล้ว
“ฉะ...ฉัน ฉันจะไปจำได้อยู่หรอว่าช็อกโกแล็ตนั้นใครเป็นคนให้มา” อาหการลนลานของคิเสะบ่งบอกได้ชัดเจนว่าเขาควรไปเรียนรู้วิธีการโกหกมาซะใหม่เหอะ
“อย่างนายจะจำไม่ได้ขนาดนั้นเลยหรอ”
“เอ๊ะ ก็มัน...เฮ้อ ก็ได้จริงๆ ไอ้กล่องนั้นฉันไม่ได้มาจากใครหรอก...ฉันทำเองแหละ” เมื่อถูกต้อนจนจนมุนคิเสะจึงจำยอมสารภาพแต่โดยดี
ก็ใครใช้ให้เขาเสน่ห์แรงขนาดนี้กะนเล่าวันนั้นคิเสะได้ช็อกโกแลตมากองเบอเริ่มจนแทบจะมิดหัวเลยล่ะ ถ้าเป็นนที่ให้ต่อหน้าเขาก็จำได้หมดนั้นแหละ จะมีบางกล่องที่วางไว้บนโต๊ะของเขาเพราะยัดใส่ใต้โต๊ะไม่พอเท่านั้นแหละที่ไม่เขียนชื่อ แต่ไหนแต่ไรคิเสะก็ไม่ใช่คนที่โกหกเก่งอยู่แล้ว ก็เลยเรียบเรียงคำพูดได้ห่วยบรม และการแสดงความน่าเชื่อถือนั้นก็ยากยิ่งกว่าอะไร
แต่เห็นคุโรโกะโกหกคากามิวันนี้แล้วบอกตามตรงเขาอายแทบมุดดินหนีเลยล่ะ
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะคุโรโกะหน้านิ่งอยู่เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว หรือเขาไปฝึกฝนบ่มเพาะสกิลการโกหกมาเป็นอย่างดี แต่จะแบบไหนก็ช่างแต่การโกหกของคุโรโกะนั้นแนบเนียนซะจนไม่มีใครสงสัยเลยว่าไอ้หมอนี้มันกำลังพูดในแบบปกติ
แต่หนุ่มสดใสร่าเริงอย่างเขาไม่มีปัญญาตีหน้านิ่งเสมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นแบบนั้นได้หรอก!
แล้วยิ่งคนตรงหน้านี้เป็นคนที่รู้จักคิเสะดียิ่งกว่าใคร...
กรุบ~ กรุบ~
เสียงปริศนาเรียกคิเสะออกจากภวังค์ แต่สิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าเขากลับทำให้เขาแทบหายใจไม่ออก ในระหว่างที่เขาเหม่อ ไอ้หน้าด้านก็ทำตัวสมเป็นไอ้หน้าด้าน...
มันแกะช็อกโกแลตของเขากินได้หน้าตาเฉย!
ทั้งๆ ที่เขายังไม่ได้พูดเลยซักคำว่าเขาทำให้ใคร
“อ้าว คิเสะ” อาโอมิเนะทักหลังจากเห็นคิเสะมองเขาด้วยสีหน้าอยากจะตายเอาซะตรงนั้นให้ได้ ด้วยใบหน้าที่ไม่ได้มีความสำนึกผิดเลยซักเสี้ยวเดียว
พอเห็นความผิดปกติอาโอมิเนะก็ก้มลงมองช็อกโกแลตในมือแล้วยิ้มให้
“ถึงหน้าตาจะดำปี๋ ดูแล้วไม่น่ามีใครจะกล้ากินได้แต่รสชาติสุดยอดไปเลยเนอะ”
คิเสะรู้สึกว่าคำพูดต่างๆ นาๆ มากมาย รวมทั้งคำก่นด่าจุกแน่นอยู่ในลำคอ พอจะขยับปากแต่กลับไม่มีเสียงใดๆ ดังออกมา ดวงตาเบิกค้างมองภาพตรงหน้า เหงื่อเม็ดโตผุดพราวทั้งๆ ที่ในห้องก็ไม่ได้ร้อนเลยแม้แต่น้อย หรือแม้แต่คำพูดเมื่อกี้ก็ไม่ได้เข้าหูเขาเลยแม้แต่น้อย
บรรลัยแล้ว! อาโอมิเนะกินช็อกโกแลตของเขา...
จะห้ามตอนนี้ก็คงไม่ทันแล้วล่ะ ขอบคุณสวรรค์ถึงเขาจะได้คืนดีกับอาโอมิเนะแล้ว แต่ไอ้หน้าด้านนี้มันก็กินช็อกโกแลตของเขาไปโดยไม่ถามอะไรก่อนเลยซักคำ!
ไม่อยากจะนึกสภาพต่อจากนี้เลย คิเสะอยากร้องไห้ แต่กลับร้องไม้ออก ได้แต่แข็งค้างแทบขยับเขยื้อนไปไหนไม่ได้อยู่อย่างนั้น
เห็นคิเสะกลายเป็นรูปปั้นสลัก ( ที่น่ารักที่สุดมนโลก ) แล้ว อาโอมิเนะก็ตีความหมายปฏิกริยานั้นไปว่าคิเสะคงน้อยใจที่เขาได้ช็อกโกแลตจากคิเสะ แต่เจ้าตัวกลับไม่ได้อะไรเลยจากเขา
ซึ่งมันผิดขั้นมหันต์!
อาโอมิเนะก้มลงมองก้อนดำๆ ที่ถ้าไม่บอกก็คงไม่เชื่อว่าสิ่งที่อยู่ในมือเขาคือช็อกโกแลต เขาไม่อยากให้คิเสะรู้สึกไม่ดี แต่ครั้นเขาจะให้ช็อกโกแลตที่เจ้าตัวทำให้เขาเอง (คิเสะ : ฉันยังไม่ทันบอกซักคำเลยนะว่าทำให้แก ) ก็คงเป็นเรื่องไม่ดี แต่ทำให้มันมีบางสิ่งที่มาจากเขาก็คงไม่เป็นไร
เมื่อคิดแบบตื้นๆ ได้ดังนั้นอาโอมิเนะก็หยิบก้อนดำๆ ขนาดพอดีคำเข้าปากแต่กลับไม่ได้เคี้ยว จากนั้นเขาก็ยื่นใบหน้าไปใกล้กับรูปสลัก แล้วจัดการประกบริมฝีปากเข้ากับริมฝีปากเรียวสวย เอาลิ้นดันช็อกโกแลตในปากเข้าไปในปากของอีกฝ่ายทันที
มันใดนั้นสติสัมปัญชัญญะของคิเสะก็กลับมาครบถ้วนสมบูรณ์ ดวงตาเบิกกว้างกว่าเดิม ใบหน้าค่อยๆ ร้อยผ่าวมากขึ้นกว่าเดิม
อาโอมิเนะจูบเขา...!!!
แค่นั้นยังไม่ทำให้คิเสะตกใจมากพอ เมื่อเขารู้สึกถึงรสหวานๆ ขมๆ ผสมกันลงตัวจนเรียกได้ว่าอร่อยที่สุดเท่าที่เขาเคยรับรสมาก่อนในชีวิต กำลังละลายอยู่ในปาก พร้อมกับลิ้นที่พยายามดันมันเข้ามาอย่างเร่าร้อนพอๆ กับอุณหภูมิบนใบหน้าเขาตอนนี้
ผ่านไปได้ซักพัก อาโอมิเนะก็ยังไม่ยอมถอนริมฝีปากไปซักที ช็อกโกแลตก็ค่อยละลาย และใหลลงคอของเขาไปเรื่อยๆ จนในที่สุดก็เหลือเพียงรสบางๆ ที่ยังติดอยู่ในปากของเขา อาโอมิเนะจึงยอมถอนริมฝีปากออกไปในที่สุด
“ของอร่อยๆ แบบนี้มันต้องแบ่งปัน” อาโอมิเนะพูดพรางเช็ดครามน้ำลายบนปาก
ก็อร่อยจริงๆ นั้นแหละ
เดี๊ยวสิ ฉันกินช็อกโกแล็ตไปแล้วนี่!
คิเสะหน้าซีดจนไม่มีสีเลือดหายใจติดขัด พูดอะไรไม่ออกแต่สายตายังไม่ละจากคนที่เริ่มละเลงกินช็อกโกแลตต่อ ขาอันสั่นเทาค่อยๆ ก้าวถอยหลังไปยังมุมหนึ่งของห้องอย่างไม่รู้ตัว จากนั้นทรุดตัวนั่งลงกอดเข่า คิดถึงบทสนทนาของตนกับมิโดริมะเมื่อวันนั้น
(นายห้ามเอาช็อกโกแลตนั้นกับใครเด็ดขาดเลยนะ)
“เอ๋?” คิเสะอุทานขึ้นอย่างสงสัย “ทำไมล่ะหรือว่ายานั้นมันไม่ได้ผล เลยจะทำให้อาการทรุดหนัก จนนอนกอดส้วมเป็นเดือนๆ?“
(ไม่ใช่ ยานั้นยังมีทธิ์ทำให้รสชาติอาหารเยี่ยมเหมือนเดิม แต่ว่า...) มิโดริมะเว้นช่วงไป ทำเอาคิเสะที่ลุ้นอยู่ใจเต้นไม่เป็นส่ำ (คือยานั้นมีผลข้างเคียงอยู่อีกอย่างนึงน่ะ)
“ผลข้างเคียง?”
(ใช่ ค่อนข้างรุนแรงด้วย)
“แล้วมันคืออะไรล่ะรีบๆ บอกมาซักทีสิ” คิเสะเริ่มหมดความอดทน จริงๆ เขาไม่ใช่คนอารมณ์ร้อน แต่มาถูกกระตุ้นให้ตื่นเต้นแบบนี้เขาก็ต้องลนลานเป็นธรรมดา
และยิ่งเป็นเรื่อที่เกี่ยวข้องกับเขาคนนั้นด้วยแล้วก็ยิ่งปล่อยไม่ได้ไปแล้วใหญ่
(ยานั้นมีผลข้างเคียงคือ...) มิโดริมะกลั้นหายใจทำใจซักครู่แล้วจึงยอมพูดในที่สุด
(มันเป็นยาปลุกเซ็กส์...!!!)
...บรรลัยแล้วไง...
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ