The Esbelin's Hope ความหวังของชาวเอสเบลิน

2.7

เขียนโดย Pie_l2

วันที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2556 เวลา 17.51 น.

  9 chapter
  3 วิจารณ์
  12.94K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556 20.00 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

1) การตัดสินใจของเด็กหนุ่ม

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
     7 กันยายน 2002
     แสงสว่างยามเช้าส่องรอดหน้าต่างเข้ามาในห้องนอนส่งผลให้ร่างเล็กของเด็กชายลุกขึ้นมาจากเตียง เด็กชายขยี้ตาก่อนจะเดินเข้าไปในห้องน้ำเพื่อชำระล้างร่างกายของตน เช้านี้ช่างสดใสเสียเหลือเกิน และยิ่งไปกว่านั้นวันนี้เป็นวันสำคัญของเขาเสียด้วย
     เซปต์ ฮัทสเบิร์ก บุตรชายของทนายความธรรมดาๆ คนหนึ่ง เจเรมี่ ฮัทสเบิร์ก ผู้เป็นแม่ของเด็กชายมีนามว่า ไวโอล่า ซึ่งได้เสียชีวิตหลังจากที่ให้กำเนิดบุตรชายด้วยโรคร้าย หลังจากนั้นไม่นานเจเรมี่และชีวิตธรรมดาๆ ของเขาได้พลิกกลายเป็นทนายความชื่อดังเมื่อชนะการว่าความให้กับนักการเมืองคนหนึ่งที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นฆาตกรในคดีฆาตกรรมคดีหนึ่ง หนึ่งปีต่อมาเจเรมี่ได้เริ่มต้นชีวิตใหม่กับอลิซ่า หญิงสาวผู้มีความงามไม่แพ้ใครแต่นิสัยของเธอช่างขัดกับหน้าตาโดยสิ้นเชิง ทั้งคู่ได้ให้กำเนิดบุตรชายที่มีชื่อว่า แอชลี่ย์ และนั่นคือจุดจบของเซปต์ เมื่อคนเป็นพ่อตัดสินใจที่จะไม่เปิดเผยเรื่องที่ตนมีลูกกับภรรยาอีกคนหนึ่งซึ่งได้เสียชีวิตไปแล้ว มันคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้ความสัมพันธ์ของเซปต์และพ่อของเขาค่อยๆ ห่างกันออกไป ผู้คนไม่รู้จัก ไวโอล่า แม่ของเขาหรือเซปต์ ฮัทสเบิร์กตัวของเขาเลย มีเพียงชื่อ อลิซ่า ฮัทสเบิร์ก และ แอชลี่ย์ ฮัทสเบิร์ก ที่ไม่มีผู้ใดในประเทศคิงมอนท์ไม่รู้จักพวกเขาในฐานะ ภรรยาและบุตรชายของทนายชื่อดังผู้นี้
     ‘สุขสันต์วันเกิดเซปต์ วันนี้เธออายุครบ 10 ขวบแล้วสินะ เย็นนี้ฉันจะเข้าไปรับมากินดินเนอร์ด้วยกัน แต่งตัวให้หล่อๆ ล่ะ’
     เซปต์อ่านจดหมายที่ถูกวางไว้หน้าห้อง เขาจำลายมือได้เป็นอย่างดี ลายมือของผู้เป็นพ่อนั่นเอง เด็กชายยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ เขารีบกลับเข้าไปในห้องและรื้อเสื้อผ้าออกมากระจัดกระจายเต็มไปหมด เขาลืมไปเสียสนิทว่าตัวเองกำลังจะลงไปรับประทานอาหารเช้า
     ก๊อก ก๊อก
     เสียงเคาะประตูดังขึ้น หากแต่ไม่ใช่ประตูห้องนอน มันเป็นประตูที่เปิดไปเจอกับระเบียง เซปต์แปลกใจเล็กน้อยว่าใครกันที่มาหาเขาแต่เช้า เด็กชายเดินไปเปิดประตูออก เด็กหญิงที่เกล้าแกละสองข้างอยู่ในชุดตุ๊กตามองมาที่เขาด้วยความดีใจ
     “อรุณสวัสดิ์จ้ะเซปต์” แอนจี้กล่าวทักทายยามเช้าด้วยเสียงที่สดใส ก่อนจะถือวิสาสะเข้ามาในห้องของเขาและทิ้งตัวนั่งลงบนเตียง
     “แอชลี่ย์เรียนพิเศษอยู่ข้างล่างน่ะ” เซปต์เข้าใจในทันทีว่าแอนจี้มาหาน้องชาย แอนจี้เป็นเด็กผู้หญิงน่ารักคนหนึ่งซึ่งเป็นเพื่อนผู้หญิงคนเดียวของแอชลี่ย์ เธอรู้จักกับเซปต์เพราะเราทั้งคู่เรียนอยู่โรงเรียนเดียวกัน สำหรับเขาเธอเป็นเหมือนน้องสาวขี้แยที่คอยเดินตามเขาต้อยๆ เธอรู้เพียงแค่ว่าเขาอาศัยอยู่บ้านหลังเดียวกับแอชลี่ย์ แต่เธอไม่รู้หรอกว่าแอชลี่ย์เป็นน้องของเขา ข้อมูลที่ไม่สามารถเปิดเผยได้ ทำให้เซปต์ต้องสร้างเรื่องบอกกับเธอไปว่าเขาเป็นเพียงลูกชายของหัวหน้าคนรับใช้ในบ้านเท่านั้น
     “ฉันไม่ได้มาหาแอชลี่ย์ ฉันมาหานายนั่นแหละ” แอนจี้ฉีกยิ้ม “สุขสันต์วันเกิดนะเซปต์”
     “เธอรู้ได้ยังไง ว่าวันนี้เป็นวันเกิดของฉัน” เซปต์ถามด้วยความแปลกใจ เนื่องจากมีเพียงคนส่วนน้อยที่จะรู้วันเกิดของเด็กชาย นอกจากคนในบ้านหลังนี้แล้ว ก็ดูเหมือนจะไม่มีใครอีก
     “ฉันไปถามอาจารย์ประจำชั้นของนายมาน่ะสิ” สาวน้อยว่าพลางมองไปรอบๆ ห้อง “ห้องนายรกกว่าทุกครั้งนะ นายกำลังหาเสื้อใส่ไปไหนงั้นเหรอ”
     “พ่อฉันบอกจะพาออกไปกินดินเนอร์นอกบ้านน่ะ”
     “อ๋อออ พ่อของนายคนที่หนวดเฟิ้มๆ ที่นายชี้ให้ฉันดูครั้งก่อนใช่ไหมล่ะ” แอนจี้กล่าวเสียงแจ้ว ก่อนจะกลั้วหัวเราะออกมา ตาลุงหนวดเฟิ้มที่เขาชี้ให้แอนจี้ดูครั้งก่อนก็คือหัวหน้าคนรับใช้ที่เขาโกหกเธอไปว่าเป็นพ่อของเขา      “มาๆ  ฉันจะเลือกชุดให้นะ”
     “ไม่ต้อง” เซปต์บอกเสียงแข็ง “เธอลงไปหาแอชลี่ย์เถอะ”
     “ก็ฉันอยากเลือกให้นายนี่นา”
     “ฉันจะเลือกเอง” เด็กชายรู้สึกอารมณ์เสียหน่อยๆ เพราะเขาไม่ชอบให้ใครมายุ่งวุ่นวายกับข้าวของของเขา นั่นรวมถึงการที่เขาไม่ชอบให้ใครเข้ามาอยู่ในห้องของเขาเป็นเวลานานๆ ด้วยเช่นกัน
     “นายโกรธฉันเหรอ ฉันไม่ได้ตั้งใจจะหัวเราะเยาะพ่อนายนะ ฉันขอโทษ” สาวน้อยก้มหน้านิ่งอย่างสำนึกผิด
     “ฉันไม่ได้โกรธ ฉันจะเปลี่ยนเสื้อ” เซปต์มองหน้าแดงก่ำของแอนจี้นิ่ง ก่อนที่เจ้าตัวจะรีบเปิดประตูออกไปด้านนอกเพื่อลงไปหาแอชลี่ย์ เซปต์ถอนหายใจหนึ่งที และหันมาสนใจกับเสื้อผ้าต่อ ไม่นานนักเด็กชายก็เลือกที่จะแต่งกายด้วยชุดสูทสีดำที่พ่อของเขาเป็นคนซื้อให้เมื่อปีที่แล้ว เซปต์สำรวจตัวเองในกระจกสักพักก่อนจะเดินออกจากห้อง เขาตรงดิ่งไปที่บันไดทองคำเพื่อเดินลงมาด้านล่าง
     “คุณชายคะ แต่งตัวหล่อจะไปไหนคะเนี่ย” คนรับใช้ที่เป็นป้าแก่ๆ คนหนึ่งแซวขึ้น แน่นอนว่าพวกคนรับใช้ทั้งหมดรู้ถึงสถานะที่แท้จริงของเซปต์ แต่พวกเธอเองก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะพรั่งพรูเรื่องพวกนี้ออกไป เพราะมันได้อยู่ในสัญญาที่พวกเธอเซ็นมันลงไปแล้ว ทุกคนรู้กันดีว่า ‘ไฟในอย่านำออก ไฟนอกอย่านำเข้า’ และบทลงโทษที่จะตามมานั้นไม่ใช่เรื่องเล่นๆ
     “พ่อจะพาผมไปกินดินเนอร์ครับ” เซปต์ตอบพร้อมกับยิ้มที่มุมปาก นานๆ ทีเขาจะยิ้มต่อหน้าคนอื่น แทบจะเรียกได้ว่าเป็นภาพที่เห็นยากที่สุด
     “โอ๊ะจริงสิ! สุขสันต์วันเกิดนะคะคุณชาย” คุณป้าคนรับใช้ว่า ก่อนจะจับหัวของเด็กชายอย่างเอ็นดู “วันนี้คุณชายหล่อที่สุดเลยค่ะ”
     “คุณชายครับ” ชายแก่หนวดเฟิ้มคนที่เขาบอกกับแอนจี้ไปว่าเป็นพ่อของเขาเดินเข้ามาหา เขายื่นโทรศัพท์ให้กับเซปต์ “นายท่านจะคุยด้วยน่ะครับ”
     “พ่อครับ” เซปต์รีบรับโทรศัพท์มา เขากรอกเสียงลงไปในโทรศัพท์ด้วยความตื่นเต้น
     “เซปต์ ขอโทษนะ ฉันคิดว่าวันนี้คงออกไปกินข้าวด้วยไม่ได้แล้วล่ะ อลิซ่านอนให้น้ำเกลืออยู่ที่โรงพยาบาลน่ะ เธอช่วยบอกแอชลี่ย์ทีนะ” เสียงของคนเป็นพ่อฟังดูรู้สึกผิด เซปต์กำโทรศัพท์ในมือแน่น น้ำตาที่เหือดหายไปนานค่อยๆ ไหลลงมาอาบแก้ม “ฉันขอโทษ ไว้โอกาสหน้านะ”
     เด็กชายรีบกดตัดสายและยื่นโทรศัพท์คืนให้กับคุณลุงที่กำลังสงสัยถึงบทสนทนาของเซปต์และผู้เป็นพ่อ เขารับมันไปก่อนจะถามขึ้น
     “เกิดอะไรขึ้นเหรอครับ”
     “ช่วยบอกให้คุณวิลล์เตรียมรถทีนะครับ” เซปต์เลือกที่จะไม่ตอบคำถาม เพราะเขารู้ดีว่าถึงยังไงเรื่องก็คงถึงหูทุกคนภายในไม่ช้า
 
     ที่โรงพยาบาล เซปต์เป็นคนเดียวที่ไม่ได้เข้าไปดูอาการของคุณนายอลิซ่า หนึ่งคือเขายังรู้สึกเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่ เด็กชายเอาแต่คิดว่าทำไมต้องเป็นวันสำคัญอย่างวันนี้ด้วย สองคือเขาไม่ค่อยอยากเจอหน้าหญิงสาวคนนั้นอยู่แล้ว เพราะบางสาเหตุเซปต์รับรู้ได้ถึงบรรยากาศแปลกๆ ทุกครั้งเมื่ออยู่กับเธอ แปลกยังไงน่ะเหรอ แปลกตรงที่เธอดูจะเกลียดเขามากเป็นพิเศษ และเขาไม่ชอบให้ใครมามองด้วยสายตาเหยียดหยามแบบนั้นเสียด้วย
     ประตูห้องผู้ป่วยเลื่อนเปิดออก ก่อนที่แอชลี่ย์จะปรากฏตัวขึ้น คนเป็นน้องเดินเข้ามาหาพี่ชายที่นั่งอยู่หน้าห้องและยื่นกระป๋องน้ำผลไม้ให้
     “ดื่มหน่อยสิ” เจ้าตัวว่า เซปต์รับมันมาถือไว้ในมือ หากแต่เขาไม่คิดจะเปิดมันออกด้วยซ้ำ
     “นายไม่เข้าไปอยู่กับแม่เหรอ” เด็กชายถามด้วยเสียงราบเรียบอย่างเช่นทุกครั้ง
     “ฉันเห็นนายอยู่คนเดียวน่ะ เลยมานั่งเป็นเพื่อน” แอชลี่ย์บอกก่อนจะหยิบเครื่องเล่น mp3 ของตัวเองออกมา “แม่ฉันไม่ได้เป็นอะไรมากหรอก หมอบอกว่าเธอแค่เป็นลมหมดสติไปเพราะพักผ่อนไม่เพียงพอน่ะ นอนให้น้ำเกลือสักคืนพรุ่งนี้ก็กลับบ้านได้แล้วล่ะ”
     “อืมม” เซปต์ทำแค่เพียงตอบรับด้วยเสียงอ้อยอิ่ง บางทีเขาอาจจะมองผู้หญิงคนนี้ในแง่ลบมากเกินไปก็เป็นได้ ยังไงซะเธอก็คือคนในครอบครัวคนหนึ่ง เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ เขาจะถือซะว่าเป็นเป็นวันที่ต้องเริ่มความสัมพันธ์กับเธอคนนี้เสียใหม่ บางทีเซปต์ควรจะเข้าหาเธอมากกว่านี้
     “นายจะไปไหนน่ะ” คนเป็นน้องถามขึ้นเมื่อเห็นพี่ชายลุกออกจากที่นั่ง
     “ฉันคิดว่าฉันควรเข้าไปเยี่ยมเธอสักหน่อย” เซปต์ว่าก่อนจะเดินไปหน้าประตู แอชลี่ย์หันกลับไปสนใจเครื่องเล่น mp3 ต่อ มือของเซปต์อยู่ที่ลูกบิดประตู เด็กชายค่อยๆ เปิดมันออก แต่แล้วเขาก็ต้องชะงักเมื่อได้ยินบทสนทนาที่รอดผ่านประตูออกมา
     “เธอทำแบบนี้ทำไม” นายเจเรมี่มองภรรยาของเขาด้วยแววตาที่แฝงไว้ด้วยความผิดหวัง
     “ฉันทำอะไรงั้นเหรอ” คุณนายอลิซ่าตีหน้าซื่อ
     “คุณเลิกแสดงละครนี่สักทีเถอะอลิซ่า” คนเป็นสามีดึงสายน้ำเกลือออก และพบว่าไม่มีร่องรอยการเจาะเข็มเข้าไปอย่างที่คิดไว้ไม่มีผิด
     “นี่คุณกำลังทำบ้าอะไร!” อลิซ่าผลักสามีของเธอด้วยอารมณ์โกรธ
     “ผมควรจะถามคุณมากกว่า ว่าคุณกำลังทำบ้าอะไร!” เจเรมี่ดูจะอยู่ในอารมณ์ที่ไม่ต่างจากภรรยาของเขามากนัก “เพราะเซปต์ใช่ไหม เพราะเขาคุณเลยต้องกุเรื่องนี้ขึ้นมา”
     “ใช่!” คนเป็นภรรยาตอบขึ้นแทบจะในทันที ดวงตาของเธอรื้นไปด้วยน้ำตา “ฉันไม่ชอบไอ้เด็กไม่มีหัวนอนปลายเท้านั่น!”
     “เซปต์เป็นลูกของผม เขาไม่ใช่เด็กไม่มีหัวนอนปลายเท้า” นายเจเรมี่กัดฟันกรอด เซปต์ยืนมองเหตุการณ์ผ่านกระจกใสเล็กๆ หน้าประตูด้วยความเงียบสงบ แต่ในใจของเด็กชายกำลังเดือดปุดๆ ผู้หญิงคนนี้ทำได้ทุกอย่างสินะ ดูท่าเซปต์จะประเมิณเธอต่ำเกินไป
     “ฉันไม่ชอบเห็นคุณให้ความสำคัญกับมัน คุณเคยคิดถึงหัวอกของฉันบ้างไหมว่าจะรู้สึกยังไงเวลาที่คุณทำดีกับมันเกินหน้าเกินตา ฉันเป็นเมียคุณนะ ฉันรักคุณนะ แต่เมื่อไหร่เราจะได้อยู่กันแค่ในครอบครัวกันสักที ทำไมต้องมีเด็กคนนั้นเข้ามาเกี่ยวข้องทุกครั้ง” ว่าแล้วหญิงสาวก็เริ่มร้องไห้ออกมา เซปต์ไม่รู้ว่าสิ่งที่เห็นคือความจริงหรือเป็นเพียงการแสดงของเธอ เขารู้เพียงแต่ว่าถ้านี่เป็นการแสดง คงไม่มีใครในโลกนี้สมควรได้รับรางวัลออสก้าเท่ากับเธอคนนี้อีกแล้ว
     “ไม่เอาน่ะ อย่าร้องไห้สิ” คงจะจริงอย่างที่เขาว่ากันว่า น้ำตาของผู้หญิงสามารถเรียกร้องความสงสารได้ นายเจเรมี่โอบกอดภรรยาของเขาไว้แน่น ภาพตรงหน้ากับสิ่งที่ได้ยินเมื่อครู่ทำเอาเซปต์ถึงกับยืนนิ่งทำอะไรไม่ถูก
     มันเป็นวันเกิดที่แย่ที่สุดในชีวิตของเด็กชาย และแน่นอนว่าเขาไม่มีวันลืมทุกอย่างที่เกิดขึ้นในวันนี้ เซปต์หลับตาลง สักวันหนึ่ง...เขาจะต้องเดินออกไปจากชีวิตที่แสนจะเปล่าเปลี่ยวนี้ให้ได้
 
     ในบ้านอันโอ่อ่าที่มีเพียงความสงบปกคลุม บรรยากาศในห้องอาหารช่างดูเงียบงัน และนั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกอึคอัด เซปต์ ฮัทสเบิร์ก เด็กหนุ่มอายุสิบเก้าปีผู้มีรูปร่างสันทัด ผมสีดำประกายน้ำตาลยาวประบ่า จมูกโด่งได้รูป นัยนต์ตาสีเทาที่บางครั้งก็ยากที่จะคาดเดาอารมณ์ของเจ้าตัว ปากบางที่มักจะเหยียดเป็นเส้นตรงเสมอ
     “ก็เป็นความคิดที่ไม่เลวนัก” เจเรมี่ ฮัทสเบิร์ก ผู้เป็นพ่อที่อยู่หัวโต๊ะพูดขึ้นในที่สุด เขาดูแก่ขึ้นในรอบเก้าปีที่ผ่านมา ผิวหนังเริ่มเหี่ยวย่น ผมหงอกขึ้นประปรายตามอายุขัย
     “ฉันรอวันนี้มานานแล้ว” ภรรยาของเจเรมี่พูดพลางแสยะยิ้มอย่างพอใจ และแน่นอนว่าเธอไม่ใช่ผู้ที่ให้กำเนิดเขา เซปต์เป็นบุตรที่เกิดมาจากภรรยาอีกคนหนึ่ง หรือเรียกง่ายๆ ว่าเขาเป็น ‘ลูกเมียหลวง’ ส่วนผู้หญิงที่นั่งร่วมโต๊ะอยู่กับพวกเขาตอนนี้ก็คือ ‘เมียน้อย’ ที่ไม่ค่อยจะกินเส้นกับเขาสักเท่าไหร่
     “เงียบก่อนอลิซ่า” นายเจเรมี่หันไปเอ็ดภรรยา เขาหันมามองหน้าลูกชายคนโตที่กำลังจ้องมองเขาด้วยเช่นเดียวกัน “เซปต์ ฮัทสเบิร์ก ชื่อนี้จะไม่สามารถนำไปใช้ที่อื่นได้ เธอรู้ใช่ไหม”
     “ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองมีชื่อจริงว่าเซปต์ ฮัทสเบิร์ก” เซปต์มองหน้าพ่อของเขาด้วยสายตาเย็นชา “ชื่อที่ผมใช้ที่โรงเรียน ชื่อที่ผมบอกกับเพื่อนๆ หรือแม้กระทั่งชื่อในใบจบเกรดสิบสอง ผมรู้จักตัวเองในชื่อของ เซปต์ คาสร่า เท่านั้น”
     “มีเรื่องสองเรื่องที่ฉันอยากขอร้อง” ผู้เป็นพ่อดูซีเรียสกว่าทุกครั้ง “ฉันอยากให้เธอเป็นนักศึกษาของมหาวิทยาลัยฟราดิโอ”
     “ได้” เซปต์ตอบเสียงเรียบ
     “เธอจะต้องเข้าเรียนในคณะวิทยาศาสตร์”
     เซปต์ทำแค่เพียงพยักหน้าสองสามที เขารู้สึกอึดอัดเต็มแก่กับการอยู่ในบ้านหลังนี้ จริงอยู่ที่เขาแทบจะไม่ต้องทำอะไร ชีวิตของเขาอาจจะเรียกได้ว่าเพอร์เฟ็กต์ เป็นชีวิตที่หลายๆ คนอิจฉา แต่เขาเบื่อกับการใช้ชีวิตหลังม่านที่ไม่มีใครสามารถรู้จักเขาได้เลย
     “ผมจะออกเดินทางพรุ่งนี้” เซปต์พูดทิ้งท้าย ก่อนจะเดินออกมาจากห้องอาหาร เขาเดินขึ้นบันไดทองคำและตรงไปยังห้องนอนของตน แต่แล้วเขาก็ต้องแปลกใจเมื่อพบบุคคลหนึ่งยืนอยู่หน้าประตูห้องของเขา
     “ฉันแค่มีเรื่องจะคุยกับนาย” น้องชาย ‘คนละแม่’ ของเขาพูดขึ้นเมื่อเห็นเขาปรากฏตัว ดูเหมือนเจ้าตัวจะรอเขาอยู่เป็นเวลานานพอสมควรแล้ว “เกี่ยวกับแอนจี้”
     “ฉันพูดไปหมดแล้ว” เซปต์ไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะคุยกับใคร
     “ฉันได้ยินว่านายจะย้ายไปอยู่นอกเมือง” แอชลี่ย์อายุน้อยกว่าเขาหนึ่งปี เป็นเด็กหนุ่มผอมแห้งดูขี้โรคหน่อยๆ เป็นคนที่ไม่ค่อยสู้คนและมักจะมองโลกในแง่ดีเกินไปในบางครั้ง
     “ใช่ ฉันกำลังจะย้ายไปนอกเมือง”
     “นายไม่ไปไม่ได้เหรอ” แอชลี่ย์มองเขาด้วยแววตาขอร้อง “ฉันรู้ว่าแม่ฉันไม่ดีกับนาย ฉันรู้ว่านายอาจจะรู้สึกอึดอัดบ้าง แต่ฉันเห็นนายเป็นพี่เสมอมานะเซปต์ ถ้านายไปแอนจี้ก็คงเสียใจไม่น้อยเหมือนกัน”
     “แอชลี่ย์” เซปต์ถอนหายใจ เขาเบื่อที่จะต้องพูดอะไรซ้ำซาก “นายควรจะโกรธและเกลียดฉันเพราะแอนจี้มีใจให้ฉันไม่ใช่เหรอ”
     “เพราะว่านายคือคนในครอบครัวฉันไง นายเป็นพี่ชายคนเดียวของฉัน” เด็กหนุ่มผู้มองโลกในแง่ดีทำท่าเหมือนจะร้องไห้
     “ฉันกำลังจะย้ายไปนอกเมืองพรุ่งนี้” เซปต์เปิดประตูและเข้าไปในห้องนอนของตนอย่างไม่แยแสคนเป็นน้องที่ต้องเดินหน้าสลดลงไปชั้นล่าง
     สิ่งแรกที่เขาต้องทำ ดูเหมือนจะเป็นการเก็บข้าวของ เด็กหนุ่มลากกระเป๋าเดินทางที่ใหญ่ที่สุดออกมา ก่อนจะจัดการเก็บเฉพาะของที่จำเป็นเท่านั้น เสื้อผ้าบางส่วนถูกยัดลงไป กรอบรูปที่มีภาพทารกตัวน้อยกับหญิงสาวซึ่งก็คือตัวเขาในวัยแรกเกิดกับผู้เป็นแม่นั่นเอง เซปต์มองภาพนั้นสักพัก ก่อนจะตัดสินใจใส่กรอบรูปนั้นลงไปในกระเป๋าเดินทางด้วยเช่นกัน
     ‘เพราะว่านายคือคนในครอบครัวฉันไง นายเป็นพี่ชายคนเดียวของฉัน’ คำพูดของแอชลี่ย์ยังคงดังก้องอยู่ในหัว เซปต์นึกย้อนไปถึงเหตุการณ์เมื่อสี่ปีก่อน
 
     “แอชลี่ย์ แม่บอกให้มาซ้อมเปียโน ไม่ได้ให้ไปเล่นกับยัยเด็กแก่แดดนั่น ทำไมไม่เคยฟังแม่!” หญิงสาวในชุดกระโปรงยาวต่อว่าผู้เป็นลูกด้วยเสียงขู่เข็ญ เธอมองลูกชายวัยสิบสี่ปีของตนที่เอาแต่นั่งก้มหน้านิ่ง “เธอรู้ใช่ไหมว่าในอนาคตเธอจะต้องเป็นทนายความชื่อดังเหมือนกับพ่อ เธอควรจะอ่านหนังสือ ซ้อมเปียโน หรือฝึกเล่นกอล์ฟ ไม่ใช่เอาเวลาไปทิ้งกับยัยเด็กผู้หญิงคนนั้น!”
     “แอนจี้เป็นเพื่อนที่ผมรักครับแม่ เธอเป็นคนดี เธอไม่ใช่ผู้หญิงแก่แดดอย่างที่แม่คิดนะครับ” แอชลี่ย์กำมือแน่น ชีวิตของเขาถึงจะดูสวยหรู แต่มันกลับไม่ราบรื่นอย่างที่ทุกคนคิด เขารู้สึกว่าตัวเองไม่ต่างอะไรจากนักโทษที่ต้องทำทุกอย่างที่ถูกสั่ง ไม่มีสิทธิ์เรียกร้องใดๆ เพียงเพราะเขาเกิดมาเป็นลูกของทนายความชื่อดังของคิงมอนท์ เจเรมี่ ฮัทสเบิร์ก ไม่มีผู้ใดไม่รู้จักตระกูลนี้ และมีแต่พวกหลังเขาเท่านั้นที่จะไม่รู้จักคุณนายอลิซ่า และบุตรชายของเธอแอชลี่ย์ ฮัทสเบิร์ก
     “นี่เธอกำลังเข้าข้างยัยเด็กนั่นใช่ไหม” คุณนายอลิซ่าหน้าขึ้นสีเพราะความโกรธจัด
     “ผมขอโทษครับแม่” แอชลี่ย์ตอบแม่ของเขา ก่อนที่น้ำใสๆ จะร่วงลงมาจากดวงตาอย่างมิอาจควบคุม
     “กี่ครั้งแล้วที่แม่ต้องฟังคำขอโทษ สงสัยว่าครั้งนี้แม่จะปล่อยไปไม่ได้แล้วล่ะ” หญิงสาวว่าด้วยเสียงที่เบากว่าเดิมก่อนจะหยิบไม้เรียวขึ้นมา ร่างของแอชลี่ย์เริ่มสั่นเทิ้มด้วยความกลัว เขาหลับตาเตรียมรับกับความเจ็บปวดที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่ช้า ไม้เรียวถูกยกสูงขึ้นและคุณนายอลิซ่าก็ฟาดมันลงมา
     เปรี๊ยะ!
     เสียงไม้เรียวกระทบกับผิวหนังของเด็กชาย หากแต่ไม่มีความเจ็บปวดใดๆ เกิดขึ้น แอชลี่ย์ลืมตาขึ้นและพบกับพี่ชายของเขาที่กำลังเอาตัวมาบังไว้ นั่นเป็นสาเหตุที่เด็กชายไม่รู้สึกเจ็บเลยสักนิด
     “แก! แกอย่ามายุ่ง เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับแก!” หญิงสาวผู้เป็นแม่แผดเสียงของเธออย่างคนอารมณ์เสีย
     “ผมเป็นคนชวนแอชลี่ย์ออกไปเอง” เซปต์ที่อยู่ในวัยสิบห้าปีกล่าวเสียงเรียบพร้อมกับมอง ‘แม่นอกกฎหมาย’ ของตนตาเขม็ง “แล้วทีนี้ผมเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้หรือยัง”
     “เซปต์” ผู้เป็นน้องเรียกชื่อพี่ชายของเขาด้วยเสียงอันแผ่วเบา พลางมองเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง
     “ไอ้เด็กไม่มีหัวนอนปลายเท้า ใสหัวออกไปจากห้องนี้ซะก่อนที่ฉันจะหมดความอดทน” คุณนายอลิซ่าชี้ไปที่ประตูเป็นเชิงไล่ผู้ไม่เกี่ยวข้องให้ออกไป
     “ถ้าคุณจะทำร้ายเขา คุณลงโทษผมไม่ดีกว่าเหรอ” เซปต์ยืนนิ่งไม่ไหวติง
     “สักวันแกจะได้ตายเพราะความอวดดีของแกนี่แหละ!”
     “คุณนี่ช่างไม่มีเหตุผลเอาซะเลย เห็นได้ชัดว่าพ่อของผมคงจะแค่หน้ามืดตามัวไปชั่วขณะ” นิสัยต่อปากต่อคำซึ่งไม่รู้ว่าได้มาจากผู้ใดของเซปต์เริ่มทำงานขึ้นทันที
     “แอชลี่ย์ออกไปก่อน” หญิงสาวหันไปสั่งลูกชายของเธอ แอชลี่ย์มองหน้าเซปต์เหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่แล้วเด็กชายก็จำต้องเดินออกจากห้องไป
     “แกอยากจะมีส่วนร่วมมากนักใช่ไหม!” อลิซ่าส่งเสียงรอดไรฟันด้วยความเคียดแค้น ก่อนจะลงมือลงโทษ ‘ลูกนอกกฎหมาย’ ของเธอ ไม้เรียวถูกฟาดลงมาบนก้นของเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนความเจ็บที่มีกลายเป็นความชินชา เซปต์ไม่ร้องออกมาสักแอะ เขายืนนิ่งรับผลของการกระทำจนผู้ลงโทษหมดแรงไปในที่สุด
     “วันหลังจำใส่หัวของแกเอาไว้ ว่าอย่าเข้ามายุ่งเรื่องในครอบครัวคนอื่นเขาอีก!”
     เซปต์ไม่สนใจ เขาปล่อยให้คำพูดเมื่อครู่ผ่านเข้าหูซ้ายและเลือกที่จะให้มันทะลุออกมาจากหูขวา ไม่มีเหตุผลอะไรที่เขาจะต้องจำ แต่คำว่าครอบครัวที่ออกมาจากปากของหญิงสาวทำให้เขารู้สึกอ้างว้างอย่างบอกไม่ถูก จริงอยู่ที่เซปต์ควรจะเป็นคนหนึ่งในครอบครัว แต่เขากลับถูกกระทำเสมือนเป็นคนนอกเสมอ
     “เซปต์” แอชลี่ย์ที่รอคนเป็นพี่อยู่หน้าห้องรีบวิ่งเข้ามาหาเมื่อเห็นเซปต์
     “ถอยไป ฉันจะนอน” เซปต์พูดเสียงนิ่ง เขาไม่แม้แต่จะมองหน้าคนเป็นน้อง
     “ขอบคุณนะ” แอชลี่ย์กล่าวขึ้น “แต่ว่านายไม่ได้เป็นคนชวนฉันออกไปนี่นา ทำไมนายถึงได้ช่วยฉันเอาไว้”
     “ช่างเถอะน่ะ” เซปต์ตอบปัดก่อนจะเดินผ่านแอชลี่ย์ไป
     “ขอโทษ” เด็กชายผู้มีอารมณ์อ่อนไหวพูดขึ้น ก่อนที่จะปล่อยให้น้ำตาที่เอ่อล้นร่วงลงมาตามใบหน้า “ฉันขอโทษที่แม่ฉันทำไม่ดีกับนาย ฉันขอโทษที่ฉันทำอะไรไม่ได้เลย”
     เซปต์หยุดฝีเท้าของตนเมื่อได้ยินเสียงสะอื้นของผู้เป็นน้อง เขาเดินกลับมาหาแอชลี่ย์และเอามือวางที่ไหล่เป็นเชิงปลอบ
     “เพราะว่านาย...” สำหรับเซปต์สิ่งที่ยากที่สุดคือการใช้คำพูดหวานซึ้ง หากแต่นั่นเป็นสิ่งเดียวที่เขาควรทำในเวลานี้ “นายคือน้องชายคนเดียวของฉัน”
     เพียงเท่านั้นแอชลี่ย์ก็ปล่อยโฮออกมาอย่างไม่อายคนเป็นพี่ชายก่อนจะโผเข้ากอด มันเป็นครั้งแรกที่เซปต์รู้สึกใกล้ชิดกับคนเป็นน้องขนาดนี้ เป็นเหตุการณ์ที่เขาไม่เคยคิดว่าจะเกิดขึ้น เช่นเดียวกับแอชลี่ย์ที่รู้สึกว่านี่เป็นครั้งแรกที่มีคนเข้าใจความรู้สึกของตน เป็นครั้งแรกที่รู้สึกอบอุ่นใจ...

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

อ่านนิยายเรื่องอื่น

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา