Tribute Girl. Yuri

8.9

เขียนโดย ปรัสรา

วันที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2556 เวลา 05.18 น.

  8 session
  0 วิจารณ์
  12.57K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 12 มกราคม พ.ศ. 2556 06.28 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

8) บทที่ 8

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

      สายอันแปลบปลาบสั่นสะท้านทั่วฟ้าดินได้หมดไปแล้ว  จะเหลือก็เพียงซากปรักหักพังของสถานที่ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นปราสาทสถิตของเทวีแห่งการศึกสงคราม  กลิ่นอายแห่งอสุราจำนวนมากได้ครอบคลุมไปทั่ว  เสมือนเมื่อครู่เพิ่งเกิดการสู้รบหนักหน่วงของมารร้ายเหล่านั้น  หากว่าภูเขาลูกนี้มีเพียงแค่เทพคีรีทั่วไปคอยปกปักษ์  มันย่อมไม่น่าแปลกใจเท่าใดนัก  ทว่า...ที่นี่คือบริเวณปกปักษ์ของนาง  ไม่ใช่แค่ม่านพลังคุ้มครองเท่านั้น  กระทั่ง ปราสาทชั้นในสุดยังมีร่องรอยของการถูกรุกล้ำ  ถ้าเป็นอสูรธรรมดา  อย่าว่าแต่จะเข้ามายุ่งย่ามเลย  เพียงเฉียดกรายก็โดนทำลายสิ้นซากไม่เหลือแม้เศษผงธุลี...

     เบื้องหลังของนางคือจตุดรุณีผู้เรียงรายเพียบพร้อมรับต่อคำสั่งเจ้านาย  ใบหน้านั้นยังคงสงบนิ่งท่ามกลางสถานการณ์อันโหมด้วยเพลิงพิโรธ  มิใช่เพราะเกียรติภูมิศักดิ์ศรีแห่งเทวีการศึกจะมามัวหมองลงเพราะการทำลายล้างครั้งนี้  หากแต่เบื้องหน้าของสตรีสรวงมีร่างหนึ่งโชกโชนด้วยโลหิตนอนสงบนิ่งอยู่  ใบหน้าของนางแสดงซึ่งความรู้สึกสุดท้ายไว้ไม่จางไป  นัยน์ตาของเครื่องบรรณาการเบิกโพลง  ในมือของนางกำอาวุธเดียวที่มีไว้แน่นจนไม่มีใครแยกออก  มันชุ่มทั้งโลหิตเจ้าของและสัตว์ปองร้ายตนนั้น  ซึ่งหน้าอสูรนั้นรอดชีวิตกลับไปพร้อมรอยแผลฝังลึก  มันคงสะบัดเขี้ยวพยัคฆ์ออกไปพร้อมร่างเหยื่อกระมัง?

     ไม่มีถ้อยวจีคำสั่งใดจากเจ้านายผู้เงียบงัน  พวกนางทั้งสี่ก็รู้กันในบัดดลว่าหน้าที่ของตนคืออะไร  ห้องปราสาทที่ถูกทำลายเหลือเพียงร่างของสตรีเพียงสอง  หนึ่งนั้นได้โอบกอดหญิงรับใช้ใกล้ชิดของตนเอาไว้  ส่วนอีกหนึ่ง...ทิ้งไว้เพียงกายอันไร้ซึ่งจิตวิญญาณ  ไม่แม้กระทั่งจะกล่าวคำต้อนรับเจ้านายได้  ดังที่ผู้หวังจะยลยินได้รับฟังด้วยหัวใจที่สัมผัสความอบอุ่นนั่นได้ทุกครั้ง  แม้ผู้กล่าววาจาจะไม่ได้มอบหัวใจ  หากแต่ความเป็นห่วงเป็นไยของนางก็มีมากเพียงพอ

     แต่กระนั้น...หัวใจอันแสนสำคัญนั่นกลับสิ้นสูญเสียแล้ว

     “ท่วงทำนองอันผิดเพี้ยนของเราเริ่มต้นตั้งแต่เมื่อสามปีก่อน  ในครั้งนั้น ข้าไม่เคยแม้แต่จะกล่าวงปลอบโยนเจ้า  กล่าวปลอบต่อสีหน้าวิตกกังวล”  เทวีผู้พิทักษ์ก้มลงจุมพิตเรียวมือเย็นชืดจนรู้สึกหนาววาบไปทั่วร่าง “แม้เป็นช่วงเวลาอันแสนสั้น  เราทั้งสองต่างอยู่ด้วยกันเสมือนร่วมใช้ชีวิตมาร้อยปี  ไยเจ้ามายอมอยู่กับข้าให้ครบช่วงชีวิตของมนุษย์อย่างสมบูรณ์เล่า  ถึงเวลานั้น...ข้าอาจจะเบื่อหน่ายเจ้าไปอีกคน  แต่ก็ทำให้ข้ารู้สึกเช่นนั้นก่อนไม่ได้หรือไร! ”

     นางไม่ได้ร้องไห้คร่ำครวญหรือหลั่งน้ำตาให้ร่างตรงหน้า  เพียงเพราะหัตถ์ทั้งสองล้วนแต่เคยผลาญโลหิตสร้างน้ำตาให้ใครต่อใครมามากมาย  ทั้งการอ้อนวอนหรือเสียงตวาดก่นว่าด้วยนัยน์ตาเคียดแค้น  นางผ่านมันมาทั้งสิ้น  หัวใจอันเปี่ยมความเศร้าจึงด้านชาเกินกว่าจะทำเรื่องเช่นนั้น

     ไออุ่นที่เคยโอบกอดเมื่อครั้งจันทราส่องฟ้า  เลอนหายจากกายาของเครื่องบรรณาการไร้ชีวิต  นางไม่ต่างจากของบูชายัญอันเปล่าประโยชน์เลยจริงๆ  หากเหล่าอสูรรู้ว่าผู้ที่ชิงเอา ‘เมล็ดเทพสร้างมาร’ ไปยังคงมีชีวิตอยู่  ไพรคีรีแห่งนี้คงไม่อาจจะปลอดภัยได้ดั่งก่อน  รวมทั้งชีวิตของเหล่ามนุษย์เบื้องล่างในอาณาบริเวณด้วย  เหล่าชีวิตที่หญิงรับใช้ใกล้ชิดใช้ตัวเองแลกมาเพื่อให้เทพียุคุซึจินแห่งโอจิมิเสะปกปักษ์  จะมาสิ้นสูญไปเพราะเรื่องนี้มิได้  ไม่ว่าด้วยเกียรติยศแห่งผู้รักษาหรือเพื่อชดเชยในสิ่งที่พลาดพลั้งไป  นางจะต้องทำลายล้างจอมอสูรผู้บงการพวกมัน!

     ความงดงามแฝงเร้นไว้ด้วยหยาดโลหิต  ลำคอและแผ่นหลังของเจ้าชีวิตเหนือปราสาทและอาณาเขตได้เหยียดตรงอย่างทระนงตน  ตำหนักของนางถูกละเลงเลือด  เจือไว้ด้วยกลิ่นคาวมวลอสูรอันน่ารังเกียจเหล่านั้น  ในที่สุดนางก็ได้สิ่งที่เรียกว่าความเยือกเย็นกลับมาดังเดิม  แม้คราวนี้ความเยือกเย็นนั้นจะไร้เมตตา  ร่ายระบำการฆ่าแม้หลับฝันนิทรา  ประกาศให้ทั่วดินแดนทุกย่างก้าวที่เหยียบย่ำรับรู้...ไม่ว่าใครก็อย่าได้คิดมาทำร้ายคนของนาง!

     ยูคุซึจินกอดกายแนบแน่นอีกครั้ง  ก่อนจะวางร่างนั้นห่อหุ้มกายและคาวเลือดไว้ด้วยแพรพรรณชาดของตน  ตราบใดที่ยังมีผ้าผืนนี้  ร่างของนางจะไม่เน่าไม่เปื่อย  อย่างน้อยก็จงหลับนิทราอยู่ใต้ผืนดินอย่างสงบสุข  ยังสถานที่ซึ่งมีผู้คนรายล้อมและนับถือนางในฐานะผู้สละชีวิตเพื่อเป็นบรรณาการแห่งเทพปกปักษ์เถิด  เหล่ามิโกะยูไคจะขับขานเรื่องราวสืบต่อตราบนานชั่วกาล...

     จตุดรุณีเข้ามาอีกครั้งเพื่อรับร่างของผู้ขึ้นชื่อว่าสละตนเพื่อหมู่บ้าน  หากนางไม่มาที่นี้ตามความต้องการของเทวนารี  บางทีนางคงเป็นเพียงบุตรีของหัวหน้าหมู่บ้าน  มีชีวิตอยู่อย่างสงบสุขและอิสระเท่าที่สตรีนางหนึ่งพึงจะมี  ไม่จำเป็นต้องฝึกฝนตนเพื่อใคร...

 

     ไม่รู้ว่าเมื่อไรดวงจันทราฉายฉาน  เป็นอีกครั้งที่แสงไฟประดับประดาไปทั่วทั้งหมู่บ้านเล็กๆแห่งนี้  หากแต่ไร้ซึ่งเสียงหรือความยินดีในใบหน้าของชาวบ้าน  ทั้งที่มันแทบจะไม่ต่างอะไรกันเลย  ในครั้งก่อนพวกเขาส่งนางเข้าสู่ภูเขาที่ไร้ซึ่งความปลอดภัยใดๆ  ให้เพียงโคมติดกายไปดวงหนึ่ง  คราวนี้นางกลับมาด้วยร่างอันไร้ลมหายใจ  นับว่าถูกต้องแล้วไม่ใช่หรือ

     แม้จะเป็นคณะมิโกะยูไค  ผู้รับสารคำสั่งวาจาจากเทวนารี  กายที่ห่อหุ้มด้วยแพรพรรณชาดกลับพบว่าวางอยู่บนแท่นหินหนึ่งเท่านั้น  เหล่านารีทั้งเจ็ดจึงเป็นผู้ที่นำร่างไร้วิญญาณคืนสู่หมู่บ้าน  เช่นเดียวกับตอนที่มอบโคมไฟสว่างดวงนั้นให้  ผู้นำไปย่อมนำกลับเป็นธรรมดา...

     หัวหน้าหมู่บ้านไม่มีแม้แต่อาการกลั้นสะอื้น  ผู้คนในหมู่บ้านอาจโศกเศร้าก็ไม่หลั่งน้ำตา  ฐานะที่ถูกยกย่องช่างเหินห่างให้จนน่าสงสาร  จะมีก็เพียงเสียงกล่าวขานว่าชีวิตของนางเสร็จสิ้นสมบูรณ์แล้วเท่านั้น  ไม่แน่ว่าหมู่บ้านแห่งนี้อาจมีตำนานของหญิงสาวที่สละชีวิตเพื่อปกป้องผู้คน หลังจากนั้นมันก็จะถูกบิดเบือนไปตามกาลเวลา  หรืออาจสูญสลายไปพร้อมความไม่แน่นอนของสถานที่แห่งนี้

     สึกิฮิคาริหยุดราชรถของตนเองพลางส่องลงมามองด้วยความสนใจในแสงไฟยามค่ำคืน  นางได้ยินเรื่องคณะอสูรที่บุกมาทำลายปราสาทสถิตแห่งยูคุซึจินแล้ว  แม้จะรู้จักกันมากเพียงใด เทพดวงจันทร์ก็ไม่คิดจะลงมาทักทายหรอก เพราะรู้จิตใจของเพื่อนดีว่ายามนี้คงไม่อยากพูดจากับใคร สิ่งหนึ่งที่สตรีอย่างเทพีผู้นั้นมี นั่นคือจิตใจแห่งการเอาชนะและการแย่งชิง เมื่อถูกฝูงปิศาจบุกมาปรามาสถึงถิ่นที่ ในใจคงพิโรธโกรธเคืองจนแทบแผดเผาผู้เข้าใกล้เป็นแน่

     แต่เมื่อคำนึงถึงร่างที่นอนสงบนิ่งให้ผู้คนได้กล่าวขานบูชา ถึงฐานะของเครื่องบรรณาการผู้สละตนแทนคนทั้งหมู่บ้าน สึกิฮิคาริเม้มริมฝีปากอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะขับเคลื่อนราชรถของตนต่อไป ไม่มีแสงโสมสว่างกว่าในคืนใด คงเพราะนางอาจสำคัญสำหรับคนที่นี่ ทว่า...เมื่อเลยเยื้องออกไปจากที่แห่งนี้ หรือเรื่องความรู้ถึงหูของท่านโชกุน เขาผู้นั้นจะเพียงรับรู้แล้ววางเฉย อนุสาวรีย์มีไว้สำหรับผู้กล้าที่ควรค่าแก่การยกย่อง แสงจันทร์อันสว่างไสวก็เช่นกัน

     เพียงขับเคลื่อนผ่านหมู่บ้านนั้นได้ไม่นาน สึกิฮิคาริสัมผัสได้ถึงพลังบางอย่างที่แผ่ซ่านเข้ามาชัดเจน เป็นเพียงอันคุ้นเคยเสียจนนางอยากถอยหนี หากแต่ศักดิ์ศรีที่หวงแหนนักหนา ไหนเลยจะยินยอมให้กระทำได้กัน เทพีแห่งสุริยาเดินทางเข้ามาใกล้ โดยไม่ได้จุดไฟยังราชรถเฉกเช่นตอนปฏิบัติหน้าที่ นางไม่ได้เผยยิ้มหรือคำทักทาย คงเพราะใบหน้าติดจะง้ำงอของเทพีจันทรากระมัง?

     “เจ้าไม่ลองลงไปดูนางหน่อยรึ” สตรีในชุดกิโมโนสีแดงเพลิงไต่ถาม “ถึงอย่างไรก็เคยพูดคุยกันมานานนับปี มันอาจรวดเร็วดุจไม่กี่ชั่วยามสำหรับพวกเรา แต่สำหรับชีวิตน้อยนิดของเหล่ามนุษย์ เจ้าถือว่าสนิทสนมกับนางทีเดียว”

     สึกิฮิคาริเหลือบมองด้วยปลายหางตา “นางเป็นมนุษย์ ถึงอย่างไรก็ต้องมีวันนี้อยู่แล้ว ส่วนข้า ซึ่งผู้คนเบื้องหน้าอาจต้องการแสงสว่างอย่างที่สุด...ผู้คนซึ่งยังมีชีวิตอยู่ ระหว่างสาดแสงเพื่อนางหรือลงไปกล่าวอำลา กับการเดินทางท่องไปเรื่อยๆเพื่อขับแสงสว่างสู่ผู้คน เจ้าคิดว่าอย่างไหนจึงจะสมควรกว่ากัน?”

     ไทโยโคะซึจินย่อมตระหนักในข้อนี้ดี ทั้งยังรับรู้ถึงการเสียดสีเสียดแทงของอีกฝ่ายด้วย แต่การกล่าวยอกย้อน กล่าวหาว่าเทพีสุริยาทำสิ่งใดไม่คิดถึงประโยชน์สูงสุดใช่ว่าจะเจ็บปวดเสียจนถึงขั้นทนไม่ไหว  นางถอนหายใจออกมาช้าๆ ระหว่างล่องลอยไปพร้อมกับราชรถจันทราของผู้ที่ตั้งตนเป็นอริศัตรู  แม้จะรับรู้ว่าอีกฝ่ายเบื่อหน่ายในตัวตนมากเพียงใด

      

     เมื่อใดไม่มีใครรู้ว่าเทวนารีผู้นั้นก้าวออกมาจากห้องด้วยชุดกิโมโนยาวสีแดงชุดเดิม  มือหนึ่งของนางคว้าเอาคันธนูจากผนังมาเล็งยิงสู่แผ่นป้ายเป้าหมายด้วยนัยน์ตาอันไร้อารมณ์  หากท่วงท่าการยิงยังคงแฝงความรุนแรงเอาไว้ราวกับปิศาจอสูรกายผู้คร่าชีวิตเครื่องบรรณาการณ์ปรากฏอยู่เบื้องหน้า  นางรู้สึกเกรี้ยวกราดต่อสรรพสิ่งที่บังอาจย่างกรายเข้ามารุกล้ำอาณาเขตมากถึงเพียงนี้  แม้นนางจะเป็นอิสตรีผู้เก่งกาจเพียงใด  ยังมิอาจสู้ต่อโชคชะตาได้กระนั้นหรือ?  นัยน์ตาสีแดงไม่จำเป็นต้องตั้งใจต่อแผ่นไม้ตรงหน้าก็สามารถปักเข้าจุดกลางจุดเดิมได้เสมอ

     มือหนึ่งของนางมีคันธนู  อีกมือของนางมีลูกศรปราบมาร  กายในมีบัวสีชาดที่ไม่ว่าผู้ใดยังยากจะต้านทานต่อความเย้ายวนเสน่หา  แต่บัดนี้ของทั้งสามสิ่งยังคงอยู่ติดกายนาง  แต่ดรุณีชาวมนุษย์ผู้นั้นกลับจางหายไปกับสายหมอก  ช่างน่าขบขันเหลือเกิน  นางกำลังเกรี้ยวกราดอยู่ภายในใจ  แม้นไม่มีน้ำตาต้องหลั่งไห้  ใช่ว่าภาพของซากกายนั้นจะถูกลบเลือนไปด้วยหัวใจอันแข็งดุจเพชรหิน  กลิ่นเลือดของนาง  ภาพกายของนาง  เทวนารีไหนเลยจะลืมได้ลง

     เพราะอย่างนี้...เหล่าทวยเทพและเทพีจึงมิใคร่จะสนใจในการผูกมิตรสัมพันธ์กับชาวมนุษย์ให้มากความ  หาใช่เพราะพวกนางอ่อนแอไร้ค่าและดูกระทำการต่างใดได้ล่าช้า  แต่เป็นเพราะการกระทำอันยากเย็นและช่วงเวลาเพียงร้อยปีที่พวกเขาได้สรรค์สร้างสิ่งมากมายขึ้นต่างหากเล่า  เหตุผลที่เหล่าอมตะเทวานึกหวาดกลัวผสานเข้ากับการฝึกความรู้สึกให้ชินชา  ไฉนเวลาร้อยปีนั้น  เหล่ามนุษย์จึงสามารถสร้างความทรงจำได้มากมายเหลือเกิน

     นัยน์ตาแดงก่ำของยูคุซึจินแหงนมองต่อท้องนภาราวกับกำลังเฝ้ารอต่อเสียงฟ้าคำรามอันแฝงมาพร้อมไอหมอกสีมืดทะมึน  กลิ่นคาวอสูรแปดเปื้อนต้นไม้ใบหญ้า  พลิ้วไหวกระจายไปในอากาศจนเทวนารีแทบหมดความอดทน  จตุดรุณีนำคันศรมามอบแด่เจ้าชีวิตโดยมิคิดให้นางต้องออกแรงสั่งคำบัญชา  คันศรนี้หาใช่คันศรธรรมดาอย่างเมื่อครู่  หากแต่เป็นคันศรไม้เนื้อดีอันส่องประกายราวกับทองคำ  คันศรคู่กายอันนั้นที่ทำหน้าที่เคียงบ่าเคียงไหล่นางตลอดสามคำรบปีที่ห่างหายจากบรรณาการ  บัดนี้มันกำลังจะนำโลหิตเหล่าอสูรออกมาเพื่อเซ่นบูชาแก่ดรุณีนางนั้น

     เกาฑัณฑ์...อาวุธซึ่งเคียงกายเรามาช้านานเอ๋ย  แม้นเจ้าต้องแปดเปื้อนเพื่อฉีกร่างอริศัตรูผู้ทำลายเครื่องบรรณาการต่อเรา  แม้บรรณาการนั้นจักเป็นเพียงมนุษย์เดินดินอันด้อยค่า  จงโปรดอย่าได้นึกอดสูเลย  เพราะใจนายเจ้าเองก็เผลอวางเฉยมิได้ด้วยมนุษย์ช่างจำนรรจาคนนั้นเช่นกัน

     ยูคุซึจินเคยคิดว่าตนเพียงหลงใหลชั่วครู่ยาม  แต่ไฟเสน่หาในใจยังไม่ได้มอดดับลงเมื่อร่างนางขาดวิ่นอยู่เบื้องหน้า  นางมองพวกมันฝ่าอาณาเขตด้วยกำลังของกลิ่นอายชั่วช้าที่มีมากมายล้นเหลือ  บางตนมิอาจทนต่ออาณาเขตบริสุทธิ์แห่งสวรรค์แลไพรคีรีอันเป็นที่ประทับของเทวีศาสตราจนต้องร่นถอยลง  บางตนถูกกดเบียดให้กรูเข้าไปจนร่างสลายกลายเป็นผุยผงปลิวไปดุจฝุ่นธุลีดิน  ภาพของปิศาจจำนวนมหาศาลไม่อาจข่มใจของเทวนารีในชุดสีชาดได้เลย

     หากอสูรปิศาจตนใดฝ่าปราการเข้ามาได้  เกาฑัณฑ์คู่กายนางจะได้ฉีกกระชากคร่าชีวิตมันก่อนเป็นตนแรก!

 

     เสียงแล่นเปรี้ยงดังครืนโครม  คณะยูไคทั้งเจ็ดแหงนหน้ามองต่อความแปรปรวนที่ปรากฏเหนือห้องนภาแห่งโอจิมิเสะ  เหล่าชาวบ้านหลายคนยังไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้นเท่าสัตตะมิโกะ  หากพวกเขาสัมผัสได้ถึงความน่าหวั่นใจเมื่อยาวหมู่เมฆทมิฬเหล่านั้นลอยผ่าน  บ้างก็เริ่มปรากฏข้อสงสัยว่าพวกเขากระทำสิ่งใดให้เทวีปกปักษ์พิโรธหรือไม่  หลายคนคุกเข่าลงเพื่ออ้อนวอนบูชาให้นางได้โปรดสงบความพิโรธนี้ลงและอภัยในความโง่เขลาทั้งหมดทั้งมวล  แม้นมันจะไม่ใช่ต้นเหตุแท้จริงก็ตาม

     สัตตะมิโกะทุกคนไม่คิดจะปลอบประโลมแก้ไขว่าสัมผัสอันเย็นยะเยือกหาได้มาจากเทวีผู้ปกปักษ์  หน้าที่ของผู้รับสารเป็นทั้งตัวแทนในการบอกผ่านวจนะแห่งยูคุซึจินและผู้เฝ้ามองเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้  ความภาวนาของเหล่าชาวบ้านไม่ได้ขัดขวางหรือช่วยอะไรแม้แต่นิดน้อย  พวกเขาเป็นเพียงคนธรรมดาเดินอันมีสองมือสองเท้า  คำพูดของพวกเขาแฝงเร้นซึ่งความเคารพแลหวาดกลัวในคราวเดียวกัน  สิ่งที่เขากระทำตอนนี้คือรวมจิตใจให้เป็นหนึ่งเพื่อเชื่อมั่นว่าเทวีแห่งศาสตราจะสามารถปกปักษ์พวกเขาจากเหล่าอสูรร้ายเหล่านั้นได้

     ตราบใดที่มนุษย์มิอาจกำจัดปิศาจได้ด้วยตนเอง  สิ่งเดียวที่พวกเขาจะสามารถคือนั่งภาวนาอยู่เช่นนี้

     โอโตะซังเดินเข้ามาหาหัวหน้ายูไคด้วยหน้าตาจริงจัง  “เมฆดำเหล่านั้น  ท่านคงมีคำทำนายบอกแก่พวกเราใช่หรือไม่?  กระทั่งส่งร่างของสตรีแรกรุ่นเข้าสู่ป่ารกทึบ  มีเพียงตะเกียงติดกายอันเดียวยังกระทำมาแล้ว  เมื่อพวกท่านบอกอะไรคงจะไร้ข้อโต้แย้งใดอีก”

     เหล่าสัตตะอิสตรีสบตากันอย่างเงียบงัน  ก่อนจะเดินเข้าสู่เทวสถานโดยมิพูดอะไรแม้แต่คำเดียว  เพราะชายผู้ครั้งหนึ่งเคยปรารถนาจะช่วยชีวิตของเครื่องบรรณาการนั้น  รู้แจ้งแก่ใจดีว่าในไพรคีรีมีสิ่งที่ชาวบ้านทุกคนก้มศีรษะบูชานบน้อมมาตลอด  หากไม่แล้ว...ผ้าสีชาดอันคลุมกายของมิสึงิจะมาจากแห่งหนใด  ร่างของนางไฉนยังดูเหมือนครั้งที่หัวใจในอุระเบื้องซ้ายยังคงเต้นให้ตระหนัก  ทั้งที่ในมือมีเพียงโคมไฟอันเดียวจริงดังว่า  อีกทั้งมีดเล่มบางนั้นคงช่วยให้พ้นจากสิงสาราสัตว์น้อยใหญ่ได้ไม่นานนักหรอก  ในเวลาไม่นานนั้นคงหาได้ทอดยาวนานถึงสามคำรบปี

     ดุจตาจะฝาดฟั่นเฟือนไปชั่วครู่  เมื่อชายผู้เต็มด้วยมัดกล้ามด้วยร่างกายอันใช่แรงหนักหน่วงในแต่ละวัน  คล้ายจะเห็นแสงทองพุ่งส่องตรงไปยังหมู่เมฆสีดำทมิฬนั้น  แม้เป็นเพียงหมู่เมฆดำและแสงสีทองที่สะท้อนวาบเพียงเสี้ยววินาที  โอโตะซังรู้สึกได้ถึงบางสิ่งอย่างที่กำลังเกิดขึ้นเหนือห้วงนภาและภายในไพรคีรีแห่งนั้น  บางสิ่งที่โรมรันกันด้วยเป้าหมายเพียงหนึ่ง  นั่นคือการห่ำหั่นให้อีกฝ่ายสิ้นท่าแลร่างสลายหายไปจากโลกา

 

     มีผู้ที่เล็ดลอดเข้ามาในเขตแดนได้ในที่สุด  นางประจักษ์แจ้งแก่ใจแล้วว่าไฉนกำแพงป้องกันจึงเหมือนสิ่งลวงตาที่ทำให้มันหลงวนฝ่าชั่วครู่ก็สามารถทะลุเข้ามาได้  จำนวนของอสูรปิศาจมิได้อยู่ในหลักร้อยหรือพันเลย  แต่ละตนเปี่ยมด้วยจิตสังหารและไอมารอันเข้มข้น  เทวนารีเริ่มต้นง้างคันศรคู่กายด้วยแววตาอันเย็นชาดุจหยาดโลหิตอันไร้ความปรานี  อสูรตนนั้นถูกทำลายไปเพียงลูกศรปักกายเท่านั้น

     นางง้างยิงครั้งแล้วครั้งเล่าด้วยหัวใจอันสงบนิ่งราวกับผืนน้ำอันเรียบง่าย  หากภายในกลับแฝงด้วยความรุนแรงเสมือนภูเขาไฟกำลังจะระเบิดพังท้องสมุทร  ระหว่างทำลายพวกมันด้วยลูกธนูดอกแล้วดอกเล่า  นางคอยจับสัมผัสไปในคราวเดียวกันว่าเจ้าปิศาจนั่นจะมาหรือไม่  ปิศาจผู้ทำลายสถิตวิมานอันสูงค่าแห่งเทวีศาสตรา  ช่วงชิงดวงวิญญาแห่งเครื่องบรรณาการแสนสวยชาวมนุษย์ไปอย่างไร้ความอาทร  มันต้องชดใช้ต้องความโง่งมในการฆ่าฟันไม่เลือกครั้งนี้

     มันอยู่ที่นั่น...มันอยู่ที่ตรงนั้น  ท่ามกลางมวลอสูรหลากหลายชนิดพันธุ์  หน้าอสูรพยายามเบียดฝ่าพลพรรคเข้ามาด้วยใจเหิมเกริม  คราแรกได้กินอิสตรีนางหนึ่งเข้าไปโดยไม่สนใจว่านางจะเป็นเทวนารีผู้ควรกำจัดหรือไม่  คราที่สองตนต้องได้กินอิสตรีผู้ยิงเกาฑัณฑ์ตนนั้นแน่  มันอ้าปากกว้างออกมาตั้งแต่อยู่บนท้องฟ้าเพื่อหวังว่าจะได้ตะครุบเหยื่ออย่างง่ายดายเช่นครั้งก่อน  แลคราวนี้จำต้องระวังมากขึ้นเพื่อมิให้เหยื่อนั้นสร้างความเจ็บปวดแก่มันอีก

     ยูคุซึจินสัมผัสได้  ทั้งกลิ่นเลือดจากรอยแผลที่ยังไม่ปิดสนิทของมัน  กลิ่นคาวเลือดของมิสึงิที่ยังเจือกลิ่นให้หัวใจด้านชามีแรงผลักดันหยิบยกคันธนูขึ้นมาเล็ง  หากเสร็จสิ้นจากกองทัพอสูรครานี้เมื่อใด  นางจะออกเดินทางค้นหาผู้ที่สั่งกระทำการอันเปี่ยมด้วยความอุกอาจนี้  เลือดของมันจะต้องถูกนำมาล้างอาบพสุธาซึ่งลูกน้องมันได้กระทำการกับมนุษย์บริสุทธิ์ผู้หนึ่ง

     วิญญาณตนหนึ่งเฝ้ามองดูภาพเหตุการณ์ทั้งหมดท่ามกลางมวลดอกไม้อันคุ้นกลิ่น  นางย่างกรายเข้ามาตั้งแต่ตอนที่เขตแดนถูกผลักดันจนทลายลง  หากเจ้าชีวิตผู้นั้นคงมิทันสังเกตว่าสิ่งใดบ้างที่ปรากฏขึ้นรอบกาย  ด้วยเพลิงเกรี้ยวกราดซึ่งบรรจุลงในเกาทัณฑ์ที่กำลังฟาดฟันต่อหน้าอสูร  ผสมผสานจิตสังหารอันอำมหิตจนยากจะเร้นหลีกหนีกายไปได้

     แล้วร่างของเพชรฆาตแฝงเขี้ยวก็ได้สูญสลายตลอดกาลในที่สุด

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8.3 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.3 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา