Tribute Girl. Yuri

8.9

เขียนโดย ปรัสรา

วันที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2556 เวลา 05.18 น.

  8 session
  0 วิจารณ์
  12.56K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 12 มกราคม พ.ศ. 2556 06.28 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

7) บทที่ 7

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

      คันศรไม้ขนาดเหมาะมือถูกยกขึ้นกระชับฝ่ามืออีกครั้งเพื่อตรวจทานความเรียบร้อย ใบหน้าอันงดงามช่างไร้อารมณ์และรอยยิ้มขององค์เทพีปรากฏในเงาสลัวของแสงจันทร์ในส่วนหนึ่งของทางเข้าตำหนักแพรพรรณชาด นางยืนอยู่หน้าซากสัตว์ใหญ่ตัวหนึ่งที่ล่าได้จากในภูเขาลูกนี้ หากว่าเป็นยามทิวาทั่วไป นางคงจะสนใจเขากวางตัวงามมากกว่าหนังพญาเสือโคร่งตัวนี้ หากแต่ในยามที่ค่ำคืนปรากฏแทนที่สุริยา จะล่ากวางตัวใดได้สนุกกันเล่า?
     จตุดรุณีกรูกันเข้ามาพร้อมด้วยเครื่องไม้เครื่องมือครบครัน คู่หนึ่งยกขึ้นเพื่อนำร่างสัตว์ใหญ่ตัวนั้นไปชำระใก้หมดกลิ่นคาวโลหิต อีกส่วนหนึ่งกระชากเขี้ยวออกด้วยแรงผิดมนุษย์ผิดกายา โดยมอบวางบนฝ่ามือของนักล่าแห่งรัตติกาล ให้ร่ายมนตราและนำไปร้อยเป็นเครื่องประดับ เครื่องบรรณาการนางนั้นต้องชอบเป็นแน่ แม้มันจะไม่ได้ล้ำค่าเสมือนเพชรนิลจินดาที่สตรีทั้งหลายใช้ประดับกาย รูปทรงสวยแปลกตาและแหลมคมย่อมใช้แทนอาวุธได้ดี
     ตะเกียงอันหนึ่งส่องแสงสว่างเคลื่อนใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ต่อให้การกระทำนี้เป็นความลับยิ่งยวด หากแต่การหลีกหนีไปชำระคาวเลือดออกจากกายย่อมไม่ทันการ แทนที่จะหาทางแก้ตัวอย่างไม่มีทางหลุดพ้นข้อสงสัย สู้เงยหน้าขึ้นยอมรับในความผิดไม่ดีกว่ากันรึ? มิสึงิเองก็เข้าใจในสิ่งที่นางเป็น ในความกระหายเลือดและนิสัยแห่งการทำลายชีวิตของสิ่งโดยรอบ กลับกัน บุตรีมนุษย์ผู้นั้นต้องเป็นฝ่ายเกรงกลัวในภาพนี้ของนาง ภาพของฆาตรกรที่ชุ่มโชกไปด้วยไปด้วยหยาดโลหิตอันเริงระบำทุกครั้งที่มือทั้งคู่ ชำแหละฉีกร่างของเหยื่อ
     แม้จะเอาคันธนูไป...สิ่งที่ใช้สังหารร่างของพยัคฆ์หาใช่มันไม่!
สายตาของมิสึงิหลุบต่ำลงเพื่อเลี่ยงจากร่างขององค์เทพีดังว่า หากแต่มิได้ส่งเสียงร้องจนแสบโสตอะไร นางรับเขี้ยวของพญาเสือตัวนั้นมาจากเจ้านายพร้อมพินิจพิเคราะห์ เหนือเคี้ยวขาวคาวกลิ่นสัตว์ป่า มีตัวอักษร ‘ปกปักษ์’ จางๆ สลักลงไว้อยู่ ผู้มอบช่างดูเปี่ยมเมตตาเช่นเดียวกับสำเนียงเสนาะที่ได้ขับขาน กล่าวให้นางนำสิ่งนี้ติดตัวไว้เพื่อป้องกันคุ้มภัย ไม่เพียงแต่สัตว์น้อยใหญ่จะไม่อาจหาญก้าวกระโจนใส่ เมื่อคับขันยังใช้ฉีกร่างของผู้คิดร้ายได้อีกด้วย
     เครื่องบรรณาการนำขึ้นส่องกับแสงตะเกียง ก่อนจะเหลือบมองไปด้วยนัยน์ตาอันยากจะหยั่ง “รวมทั้งทำร้ายท่านน่ะรึ? ”
     “หากเจ้าจะกล้า” เรียวแขนสองข้างของยูคุซึจินกางกว้างดั่งท้าทายต่อเครื่องบรรณาการ ใบหน้าประดับรอยยิ้มเพริศแพร้วช่างงดงามเย้ายวนเสมือนสรรพสิ่งในโลกหล้าล้วนหยุดเคลื่อนไหว เพื่อพิศมองต่อนางที่งดงามเหนือใครในปฐพีนี้ หากแต่ด้วยหยดชาดอันพลิ้วระบายอยู่บนอาภรณ์ แทนที่นางจะเป็นเทพีแห่งความเลิศล้ำ กลับกลายเป็นนางมารผู้ล่อลวงชีวิตของเป้าหมายไปทำลายทิ้งเสียมากกว่า
     คำตอบเท่านั้นเพียงพอสำหรับการยุติวาจาแล้ว มือที่ถือตะเกียงของนางยังนำแสงสว่างมาเพื่อรับเจ้านายกลับตำหนักอีกด้วย แม้นางจะเดินได้ในความมืดสลัวตามเวลาแห่งราตรี ก็ใช่ว่าจะยินดีเดินในความมืดนั้นเสมอไป หญิงสาวเข้าใจในความนึกคิดของเจ้าชีวิตดี รวมทั้งสาเหตุที่นางต้องออกไปล่าสัตว์ดับความกระหายแห่งชัยชนะและการเข่นฆ่า
     “เดิมทีข้านึกว่าเจ้าจะไม่พอใจ” เทพีแห่งการล่าสังหารเริ่มต้นเอ่ย “ข้านึกว่าเจ้าจะรังเกียจในการกระทำป่าเถื่อนของข้า เพราะข้าคนที่เจ้าเคยพบนั้น...ไม่ใช่ผู้ที่ต้องการลิ้มรสในสิ่งเหล่านี้”
     “ท่านคนที่ข้าเคยพบ คือสตรีสูงศักดิ์ผู้งดงามและเต็มเปี่ยมไปด้วยความเบื่อหน่ายในตนเอง ส่วนท่านที่ข้ากำลังพบคือสตรีผู้หลงรักการต่อสู้ที่น่าสงสาร ทั้งที่ไม่ต้องการจะกระทำ แต่เมื่อสัญชาติญาณแห่งการสู้รบเรียกร้อง ท่านก็เอาไปลงกับบรรดาสัตว์น้อยใหญ่ทั่วทั้งภูเขานี้ ทว่า...ทุกอย่างล้วนเป็นท่านอยู่ดี ไม่ว่าจะยามที่เบื่อหน่ายหรือลงมือประหัตถ์ประหาร แต่สิ่งที่ข้าไม่อาจเข้าใจได้คือ...” นางเว้นช่วงเพียงครู่หนึ่งเพื่อหันกลับไปสบตา “ท่านกลัวอะไรในตัวของข้ากัน? ในเมื่อท่านมีสิทธิจะจับคันธนูขึ้นง้างเพื่อสังหารกระทั่งมนุษย์ต่อหน้าข้า”
     สีหน้าขององค์เทพีเคร่งขรึมลง นางโอบกายของหญิงรับใช้ใกล้ชิดให้เดินต่อไปด้วยกันโดยไม่ยอมกล่าววาจาใด มันอาจเป็นการยากนัก ถ้านางอยากจะเป็นหญิงสาวที่เปี่ยมด้วยความเบื่อหน่ายคนนั้น มากกว่าผู้ที่เอาแต่สนใจมุ่งทำลายชีวิตของสรรพสิ่งในโลกใบนี้ อนึ่ง อาจเป็นนางเองที่ยึดติดกับตัวตนครั้งอดีตของเครื่องบรรณาการ ยึดติดว่าตัวเองคือที่พึ่งเพียงหนึ่งเดียวในแววตาอันไร้อารมณ์นั่น มิใช่หญิงสาวผู้มีแววตาแห่งชีวิตชีวาซึ่งเคียงข้างกันในเวลานี้
     เพราะความรักจึงยอมครอบครองทุกสิ่งไว้ รวมทั้งใจแห่งการเชิดชูดวงนั้น หากแต่ ยูคุซึจินเลือกที่จะไม่กล่าวออกไป เนื่องจากรู้ดีว่าหญิงสาวคนนั้นไม่เคยหล่อหลอมความรู้สึกในการรอคอยเจ้านาย จนกลายเป็นความภักดีหนักแน่น
     ความคิดอันสับสนปนเปของสตรีสรวงไม่ได้ปรากฏออกมาให้ใครรับรู้เลยสักนิด

     ในรุ่งเช้าวันต่อมา แนบลำคอของเครื่องบรรณาการมีสายสร้อยเส้นหนึ่งร้อยเรียงอยู่กัยบเขี้ยวเสือสลักอักษร แม้ทีแรก หญิงสาวจะรู้สึกแปลกใจกับเชือกด้ายสีเขียวเข้มดั่งเถาวัลย์ในภูไพรแห่งนี้ เพราะนางสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นจากกายาของเจ้านายจวบจนจรดวันใหม่ เว้นเสียแต่ร่างของเทพีจะสามารถแย่งแยกไปจัดการกับสิ่งที่ให้มาได้ อีกนัยหนึ่ง จตุดรถุณีเปรียบเสมือนอีกดวงจิตหนึ่งอยู่แล้วมิใช่รึ? ไม่ว่าเจ้าชีวิตต้องการสิ่งใด นางทั้งสี่นั้นก็สามารถล่วงรู้กระทำได้ก่อนเอ่ยวาจาเสมอ ของกำนัลจากเจ้านายถูกวางไว้ในห่อผ้ากำมะหยี่สีชมพูหวานของนาง หากถูกนำไปตกแต่งเพิ่มเติมย่อมงง่ายดายนัก
     ในอรุณนี้ยังมีผู้ที่ประหลาดใจอยู่อีกหนึ่ง เนื่องจากเครื่องดนตรีสองประเภทถูกนำพมาวางเบื้องหน้าเพื่อรอรับการขับกล่อม โดยมีขลุ่ยหนึ่งลำและเครื่องดีดเป็นพิณญี่ปุ่นอีกหนึ่งตัว มิสึงิแย้มยิ้มเพียงเล็กน้อยแล้วเริ่มต้นบรรเลงตอบข้อสงสัยของสตรีสรวง


          หนึ่งอนงค์ผ่านพ้นล่วงสามคำรบ จนเจนจบพบกันนานดุจอสงไขย
     บุปผานั้นนางเฝ้ารอหักห้ามใจ รอคอยให้วันบรรเลงเริ่มเวลา
     แม้นสามารถร่ำร้องกวีศิลป์ ขึงสายพิณจรดนิ้วพลิ้วแผ่นไหว
     แต่นางจะยังคงเฝ้ารอเจ้านาย ไม่เคยสายหากจะร่วมคีตกาล
     

     “โอ ท่านลืมไปแล้วหรือไรกัน” เสียงพิณยังคงก้องสะท้อนตามการบังคับของผู้สร้างทำนอง ทว่า เสียงขับร้องได้หยุดลงเพื่อทวงถามถึงสิ่งที่ยูคุซึจินเคยนึกกระทำไว้
องค์เทพียกเครื่องดนตรีของตนขึ้นพิจารณาพลางกล่าวว่า... “ข้าจำได้ว่าตนเพียงแค่คิดเท่านั้น หรือว่าเจ้าเองก็อ่านใจได้ดั่งนางทั้งสี่เหล่านั้น”
     “ข้าเห็นพวกนางนำขลุ่ยลำนั้นมาให้ท่านต่างหาก เพียงแต่ไม่ทันการเท่าเทพธิดาแห่งสายลมหนาว คงเพราะวายุนั้นพัดผ่านอยู่ทุกที แม้จตุดรุณียังช้ากว่า...ท่านว่าอย่างนั้นหรือไม่? ”
ไม่มีคำตอบจากเทวนารี นางเพียงจนดเครื่องเป่านั้นแนบริมฝีปากสัมผัส ความคุ้นเคยแผ่ซ่านไปทั่วร่างเฉกเช่นยามที่แผลงศรพุ่งธนู หากแต่ไร้ซึ่งคาวเลือดอวลกรุ่นกลิ่น ไร้ซึ่งจิตมุ่งสังหารต่อสรรพสิ่งอย่างแรงกล้า เป็นแค่ความนุ่มนวลอ่อนไหวไปกับท่วงทำนองเท่านั้น กายของยูคุซึจินขยับเปลี่ยนจนเหมาะสมแก่การเริ่มบรรเลง เพลงบทปฐมนี้ควรจะเกี่ยวกับสิ่งใด? ระหว่างสายลมอันพัดโชยชายเย็นสบายไม่อบอ้าว กับมวลกล่นของบุปผาพืชพรรณธัญญาที่ลอยมาตามสิ่งนั้น
     แม้เหล่าดอกไม้จะส่งกลิ่นแรงกล้ารัญขวนใจ สายลมพัดผ่านทำให้ผู้ผิวทำนองขลุ่ยรู้สึกสงบจิตใจได้มากทีเดียว นางจึงหลับตาลงเพื่อตั้งสมาธิให้รับกับความเงียบงันรอบกาย
     ช่างน่าเสียดายนัก เพราะสิ่งที่ปรากฏอื้ออึงแทนเครื่องศิลป์เหล่านั้น กลับกลายเป็นผู้ที่นำพาแสงจันทราแห่งยามราตรีเสียได้ นางยังคงล่องลอยดุจดรุณีผู้สามารถร่ายรำกลางมวลอากาศได้ หากสีหน้านั้นมิได้ชวนให้คำนึงถึงข่าวอันน่ายินดีเลย ทั้งนัยน์เนตรยังจับจ้องไปยังเครื่องบรรณาการอย่างหนักหน่วง ราวกับต้องการสื่อว่ามิตรภาพทั้งสามคำรบปีไม่มีทางเทียบได้กับสิ่งที่นางต้องบอกแก่สหายสนิทสำคัญ มิสึงิจึงโค้งคำนับวิหคนำสารเพื่อถอยออกไปอย่างที่ไม่เคยกระทำมาก่อน
     สีหน้าของยูคุซึจินแม้ไม่คงไว้ซึ่งความเยือกเย็นเบื่อหน่ายมากมายดังกาลก่อน นางก็ใจเย็นพอให้สตรีนกพิราบแน่ใจว่าไม่มีใครแอบฟัง แล้วจึงได้รับการป้องปากกระซิบริมโสตเบาบางเพียงสองพยางค์ ซึ่งดังก้องไปทั่วทั้งความคำนึง “ท่านมุสึโซจินหายตัวไป! ”
     จะเป็นไปได้อย่างไรกัน ไม่ถึงสิบราตรีที่นางเพิ่งพบกับท่านผู้นั้น อีกทั้ง ‘ตำหนักมังกรครุ่นคิด’ ยังมีปราการเฝ้าเข้าออกแน่นหนา ไม่เพียงแค่ภายนอกยากจะตีต้านฝ่าเข้าไป ผู้ที่อยู่ภายในเองก็ยากแก่การหลบหนีออกมา จริงอยู่ที่ท่านมุสึโซจินสั่งให้นางทำเรื่องบางอย่างอันต้องห้ามเกินจะแพร่เอ่ย เพียงแต่นั่นไม่ใช่เหตุผลในการกระทำน่าประหลาดใจเช่นนี้ ทั้งยังมีเรื่องของ ‘สิ่งนั้น’ มาเกี่ยวโยง หากไม่มีเบื้องหน้าเบิ้องหลังมากไปกว่านี้ก็คงดี...
     สึกิฮิคาริไม่กล่าวคำใดมากมาย คงเพราะหน้าที่แจ้งข่าวเรื่องที่หนึ่งได้จบลงอย่างสมบูรณ์แล้ว เดิมทีเทพีแห่งจันทรามิสมควรเป็นนกพิราบให้ใคร อย่างน้อยในจิตใจของนางก็คิดเช่นนั้นอยู่เสมอ หากไม่ติดว่าเสียงของเทพธิดาแห่งสายลมหนาวจะพลิ้วแผ่วแผ่กว้างไปตามรายทางที่นางล่องลอย ทั้งยังมีเรื่องที่สองซึ่งสำคัญไม่แพ้กัน นั่นคือคำสั่งเรียกให้เทพีผู้ใช้เกาทัณฑ์เร่งขึ้นสู่สรวงสวรรค์โดยพลัน เพราะภารกิจที่นางใช้เวลาที่สามคำรบนั้นคือสิ่งใด นอกเหนือจากการที่นางทำงานให้ท่านมุสึโซจิน ผู้คนไม่อาจรู้นอกเหนือจากนั้นได้ แต่ก็เพียงพอสำหรับความยุ่งเหยิงวุ่นวายที่จะมาพัวกายนางเอง
     “ถ้าเช่นนั้น...” เทวนารีหลับตาลง แล้วก้าวขึ้นสู่สวรรค์ไปพร้อมกับเทพจันทรา เตรียมรับกับเค้าความวุ่นวายอันเกิดตามมาหลังจากนี้ต่อไป หมู่เมฆมืดทะมืนมาแต่ไกลอวลกลิ่นคาวโลหิตแห่งการทำลายล้าง นางกางอาณาเขตกั้นสี่ทิศเอาไว้เพื่อบรรเทาความเลวร้าย ซึ่งอาจจะเกิดได้ตามเส้นทางที่โชคชะตาได้ขีดขึ้นอย่างไร้ซึ่งปรานีและไร้ซึ่งความโหดร้าย ไม่มีอะไรนอกจากสิ่งที่ควรจะสร้าง สมควรจะเกิดและสิ่งที่ต้องกำเนิดเท่านั้น ทั้งทุกข์ทนหรือหนทางแห่งกุหลาบ ย่อมอยู่ที่ใจของผู้ที่แบกรับโชคชะตาเพียงผู้เดียว
     มิสึงิเปิดประตูก้าวเข้าไปในห้องอย่างเงียบงัน แม้เสียงของเจ้านายจะไม่ได้เรียกหรือขานบอก นางก็รับรู้ถึงความเป็นอยู่ของเจ้านายอย่างเหลือเชื่อ สายฟ้าฟาดก้องคำรามไปทั่วดุจพยัคฆ์ร้ายต้องการจะพิฆาตศัตรูทั้งหลาย เครื่องบรรณาการสัมผัสจี้ห้อยคอของตัวเองไว้ดั่งตั้งใจส่งความหวั่นเกรงออกไปถึงผู้ที่มอบของปกป้องแก่นาง ได้โปรดกลับมาโอบกอดนางไว้ด้วยเถืด ต่อให้ดวงใจนี้ยังมิได้มอบให้ท่านตามที่ต้องการ ความภักดีห่วงใยก็เปี่ยมไว้จนไม่อาจวางเฉยไร้ร้อนรนได้
     อสนีบาตลำใหญ่กระจ่างแจ้งไปทั่วตั้งแต่ท้องนภาจรดหล้าพื้นดิน สว่างวาบจนหญิงสาวเผลอหลับดวงเนตรไว้ชั่วครู่ นางไม่ได้ปิดหูหรือสั่นเทาเฉกเช่นหญิงสาวผู้หวาดกลัวต่อความพิโรธแห่งธรรมชาติ ซ้ำยังอยากจะเปิดโสตสัมผัสเอาไว้เพื่อรับรู้ยามเจ้านายก้าวผ่านเหล่าแพรพรรณสีชาดนั้นและเปิดประตูเข้ามา โดยไม่มีเลือดบาดเจ็บหรือผ่านการเข่นฆ่าใครมาอีก นางไม่เคยทุกข์ร้อนกับใคร ทั้งปิศาจ มนุษย์ เทพา หรือพญาเสือตนนั้น หากแต่นางเป็นกังวลในตัวเจ้านายอย่างที่สุด เสียงดนตรีแว่วหวานบรรเลงเพื่อสร้างความผ่อนคลายแก่จิตใจฉันใด ย่อมช่วยชำระไอสังหารได้ฉันนั้น
     นางไม่ได้ต้องการให้ยูคุซึจินเป็นดังที่ใครต้องการ หากแต่ยูคุซึจินได้เป็นดังที่ตนต้องการ นั่นต่างหากคือความต้องการสูงสุด หากนางไม่ปรารถนาจะเปี่ยมไปด้วยสัญชาติญาณแห่งการเข่นฆ่า นางก็ไม่ต้องแบกรับกับสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เหล่านั้น
     ทันต์พยัคฆ์เปล่งแสงอักษรสีทองเจือจางออกมาโดยที่ผู้สวมมิได้รับรู้ ใจของนางพะวงอยู่กับเจ้าชีวิตจนลืมสิ่งรอบกายไป กระทั่งรับรู้ว่าจตุดรุณีก้าวเข้ามาเพื่อเก็บเครื่องบรรเลงทั้งสองชิ้น ก็ต่อเมื่อพวกนางเข้ามาในระยะที่ใกล้พอสมควร พวกนางทั้งสี่กล่าวประสานกันจนกลายเป็นเนื้อเดียว “อย่าหวั่นไหววอกแวก ท่านยูคุซึจินไม่ชอบผู้เหม่อลอย”
     มิสึงิหันไปตามเสียงประกาศดุจโองการสวรรค์อย่างไม่แน่ใจนัก นั่นเป็นคำกล่าวแรกที่เหล่านางทั้งสี่พูดขึ้นก่อนที่นางจะสบตาหรือไม่? อนึ่ง นั่นคงเป็นทั้งคำเตือนและข้อพึงปฏิบัติเมื่ออยู่ต่อหน้าเทวนารี ซึ่งไม่ยินดีกับสีหน้าวิตกกังวลของหญิงรับใช้ใกล้ชิดเลยแม้แต่น้อย องค์เทพีชื่นชอบในความห่วงใยเอาใจใส่ของเครื่องบรรณาการมากนัก แต่ก็ใช่จะรวมถึงใบหน้าอันปราศจากความสุขเช่นนี้ บางทีถ้าใช้ของสวรรค์บางอย่างส่องลงมาดูอยู่ สตรีสรวงก็คงจะลงมาออกคำสั่งให้คลายความกังวลนั่นเสีย หรือไม่...นางก็คงจะไร้กล่าวคำใดเลย เพราะเทพีเจ้าเล่ห์นางนั้นไม่เคยใส่ใจต่อความรู้สึกใดของคนรอบกายนัก และอย่าคิดว่านางไม่รู้เชียว สิ่งที่เทวนารีต้องการผิวเผินคือความหลงใหลและความเทิดทูนสุดล้ำ ดั่งวินาทีแรกที่นางได้กล่าวมาพบกันในห้องนี้
     ถึงกระนั้น หากนางทำตามที่ความปรารถนาเพียงปริ่มนั่นต่อไปเรื่อยๆ ผู้ที่จะเบื่อหน่ายคงไม่พ้นตัวองค์เทวีเอง ทว่า เมื่อเทพีมิได้พบกับความหลงใหลรูปรสอย่างที่มิสึงิเก็บซ่อนอยู่ในใจ แต่เป็นความห่วงหาอาทร อันเป็นสิ่งที่เบื้องลึกในหัวใจอันอ้างว้างเบื่อหน่าบนั่นต้องการอย่างแท้จริง แม้เบื่อหน่ายเพียงใด สตรีสรวงแสนงามก็ไม่อาจจะละทิ้งนางไปได้หรอก หญิงสาวครุ่นคิดแล้วเผยรอยแย้มยิ้มออกมาอย่างสุขใจ หากแต่เมื่อสายฟ้าลำใหญ่ได้คำรามร้องอีกคราหนึ่ง นางก็จำต้องยอมรับว่าตนไม่อาจวางเฉยได้นานในยามที่ท้องนภาพิโรธไม่หยุดหย่อยนี้
     ประตูทั้งสองบานเปิดกว้างขึ้นเสียงดังปึงปัง เผยร่างของอสูรตนหนึ่งที่มีร่างกายเป็นดั่งหมอกควัน หากแต่ใบหน้านั้นดุร้ายดุจอสุราที่ถูกขีดเขียนในบันทึกของลัทธิปราบมารทั้งหลาย อักษรบนเขี้ยวพยัคฆ์ส่องแสงสีทองเจือจางออกมาจนผู้สวมใส่ไม่ทันรู้สึก ร่างกายของนางชาแข็งด้วยความตกตะลึง ทั้งเทพมนุษย์หรือกระทั่งเป็นเครื่องบรรณาการ นางล้วนผ่านสิ่งเหล่านั้นมาทั้งหมดโดยไม่ตระหนกตกใจ เพราะมันไม่อาจเทียบได้กับอสูรตรงหน้านี้แม้แต่น้อย กลิ่นสาบบางอย่างคละคลุ้งชวนให้อาเจียน
     มิสึงิร้องขอความช่วยเหลือออกไปถึงสามครั้ง ไม่ว่าจตุดรุณีจะสดับฟังอยู่หรือไม่ โปรดเข้ามาช่วยนางด้วยเถิด ในห้องของเทพีแห่งการสู้รบนี้ไม่มีอาวุธประดับตกแต่งใดๆ คงเพราะเจ้าของไม่ปรารถนาจะนึกถึงความนองเลือดที่ตนกระทำภายนอก และด้วยเหตุผลอันสมควร นางจึงได้แต่คอยหลบเลี่ยงริมฝีปากอันหมายจะปลิดชีวิตชาวมนุษย์นั่น โดยไม่มีใครปรากฏเข้ามาให้ความช่วยเหลือเลยแม้แต่น้อย บริวารหญิงเหล่านั้นฟังแต่คำสั่งของยูคุซึจิน น่ากลัวว่าต่อให้นางถูกมันเคี้ยวกลืนลงไป ก็คงไม่อาจสร้างความสนใจและนัยน์ตาชายแลมองของสตรีทั้งสี่ได้!
     สิ่งสุดท้ายที่นางสำนึกรับรู้...คือการที่ตนหยิบจี้ที่สวมขึ้นมาจ้วงแทงเต็มแรง แลกกับคมเขี้ยวที่ฝังเข้าสู่ร่างของนาง ฉีกกระชากวิญญาณอันมีค่าของมนุษย์จนสิ้น

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8.3 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.3 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา