The Silver Mask
9.8
8) ลำดับที่ 9
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความเวลาอันสงบสุขมักผ่านไปรวดเร็วเสมอ เมื่อสัญญาณใกล้ฤดูใหม่ได้ปรากฏขึ้นอย่างช้าๆ ร่องรอยของฤดูใบไม้ผลิเริ่มจางหาย คล้ายมีไอร้อนคอยขับสู่คิมหันตฤดูอยู่ร่ำไป หากแต่ค่ำคืนนี้ยังคงมีลมพัดหนาวเย็นและเมฆหมอกบดบังพระจันทร์ของแรมสิบเอ็ดค่ำ ถึงจะไม่ใช่ก็คล้ายกับคืนเดือนดับเหลือเกิน
“ข้าเอ็นดูเขาไม่ต่างจากใครจริงๆ” ดวงตาของพระนางหลุบต่ำลง คล้ายจะหลบจากคู่สนทนา “เรื่องเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่ใครจะเข้าใจเลย ไม่มีคาดคิดว่าวันหนึ่งเจ้าจะปรากฏตัวขึ้น จึงได้...”
ความเงียบเข้าปกคลุมอีกครั้ง ความมืดมิดภายในห้องหรือท้องฟ้าไม่ต่างกันเลย อาจเพราะคนทั้งสองไม่ต้องการให้ใครสังเกตแสงไฟอันสะท้อนออกไปด้านนอก
มือของเด็กหนุ่มเดินหมากตัวต่อไปตามคำเชื้อเชิญของคู่เล่น ซึ่งอาศัยเชิงเทียนเล็กๆก็เพียงพอต่อการดวลในครั้งนื้ “ข้าพระองค์ไม่ได้ต้องการให้เขาปรากฏตัวหรือเป็นที่รู้จักแต่ประการใด ข้าพระองค์อยากให้เขาลบความเจ็บปวดภายในจิตใจได้เท่านั้น”
ตัวหมากของพระนางรุกไล่เขาอย่างต่อเนื่อง ผิดกับในด้านวาจาลิบลับ ในเมื่อเด็กหนุ่มตรงหน้านี้ต้องการในสิ่งที่ใครต่อใครไม่เคยเอ่ยขอ อาจเป็นเพราะไม่แน่ใจ ไม่หาญกล้า หรือแม้แต่ไม่คิดจะกระทำก็ตาม
น้ำเสียงอันอ่อนโยนคอยกล่าวให้เขารับรู้ว่าตนนั้นเป็นแสงสว่างเพียงหนึ่งเดียว หากว่าการเดิมพันนี้ล้มเหลวลงเมื่อไร ย่อมไม่ต่างอะไรจากการจงใจทอดทิ้งเขาไว้แต่เพียงลำพัง...ตัวหมากตัดสินถูกยกค้างขึ้นในอากาศ คล้ายจะรอคำตอบจากคู่สนทนา
เขาเก็บตัวหมากของตนออกมาแต่โดยดี “แสงสว่างของคบเพลิงอันหนึ่ง ไม่อาจสำคัญเท่าเตาผิงในบ้านอันอบอุ่น หากข้าพระองค์ไม่สามารถทายคำตอบที่ถูกต้องได้ เพียงแต่อยากจะวอนขอให้ฝ่าบาทช่วยโอบอุ้มเขาด้วยความรักให้มากที่สุด มากเท่าที่มารดาผู้หนึ่งจะมีต่อบุตรของตนได้ ฝ่าบาทมีมันอย่างเต็มเปี่ยม เพียงแค่แสดงออกมาให้เขารับรู้บ้างก็เท่านั้น”
พระนางทอดพระเนตรตามหลังของผู้พ่ายแพ้ต่อเกมกระดาน ในห้องอันมืดสลัวโดยมีเพียงเชิงเทียนเล็กๆที่แทบไม่ส่องถึงใบหน้าของคนทั้งคู่ หากจะมีสิ่งใดดังขึ้นท่ามกลางความเงียบงันนอกเหนือจากเสียงถอนหายใจอย่างแผ่วเบานี้...มันคงจะเป็นเสียงของการวางตัวหมากลงยังจุดที่ควรจะเป็น
แสงสว่างแห่งเช้าวันใหม่ได้มาเยือน วันนี้โคเรนซ์ยังคงเป็นคนมากล่าวอรุณสวัสดิ์กับเขาหลังการทำกิจวัตรประวันเฉกเช่นเคย มันช่างเป็นเช้าอันสดใสโดยไร้ซึ่งความอบอ้าว ช่วงปลายฤดูใบไม้ผลิย่อมยังคงเหลือสายลมอันพัดเย็น แม้จะแทรกด้วยความร้อนจากแสงแดดอันเริ่มแผดกล้าขึ้นเรื่อยๆในแต่ละวัน
นอกจากจะเป็นคนกล่าวอรุณสวัสดิ์ นับวันโคเรนซ์จะยิ่งเพิ่มความสนิทสนมด้วยการสนทนากับเขาบ่อยครั้งขึ้น เมื่อเจ้าหญิงไดอาน่าต้องเตรียมตัวสำหรับงานพิธีและด้านนอกคล้ายจะวุ่นวายอยู่มาก แม้ว่าสถานที่จัดเลี้ยงจะอยู่ที่ปราสาทขององค์ราชา แต่การทำพิธีจะจัดช่วงเช้าในปราสาทแห่งนี้
“เมื่อคืนนี้ดูเหมือนว่าท่านจะกลับมาไวกว่าปกติ” เขาเอ่ยหยั่งเชิง “ท่านบาดหมางกับเจ้าชายงั้นรึ?”
ฟิลลิปป์ไม่เคยบอกใครพบกับเขาวันไหนบ้าง หากแต่เมื่อไรที่เขาก้าวออกจากห้อง ทุกคนคงจะเข้าใจว่าคู่นัดพบในยามค่ำคืนย่อมต้องเป็นเจ้าชายไม่ผิดแน่ ซิลเวอร์ใช้จุดนี้ให้เป็นประโยชน์ในการไถ่ถาม เนื่องจากเด็กหนุ่มกล่าวห้ามไม่ให้ตนรออยู่ที่สวนในปราสาทเฉกเช่นเคย ทว่า คำกล่าวจากทหารยามหน้าห้องช่วงกลางคืนกลับบอกว่าอีกฝ่ายออกไปด้านนอกไม่ผิดแน่
ดูเหมือนว่าฟิลลิปป์จะไม่ตกอกตกใจต่อคำถามนั้นนัก ทั้งยังกล่าวด้วยความขบขันว่าทหารยามเมื่อคืนนี้ก็ถามสิ่งเดียวกันนี้ ซึ่งมันคงเป็นเรื่องที่น่าแปลกทีเดียวสำหรับการล่วงรู้เร็วไวเช่นนี้ คงไม่ใช่ว่าสองคนนั้นแอบนำเรื่องของเขาไปเล่าขยายให้ใครต่อใครบ่อยนักหรอกนะ?
“ทุกคืนท่านมักจะกลับในช่วงดึกกว่านั้น พวกเขาเลยอดสงสัยไม่ได้ แต่แน่นอนว่าข้ากำชับไม่ให้เล่าเรื่องนี้กับใครเป็นที่เรียบร้อย” โคเรนซ์แก้ต่างให้ตนและคนทั้งสอง ซึ่งเป็นคำกล่าวจบการพูดคุยในเรื่องนี้ เขาเมินหน้าออกไปทางหน้าต่างอันเปิดกว้างรับลมและแสงแดด เอ่ยคำถามใหม่เกี่ยวการนัดพบกลางค่ำคืน ซึ่งเป็นคืนก่อนการให้คำตอบในวินาทีสุดท้าย อย่างน้อยพวกเขาก็ควรอยู่ด้วยกัน
“ใช่...เราควรอยู่ด้วยกัน” นัยเนตรของฟิลลิปป์ฉายแววหม่นหมองขึ้นมาอย่างชัดเจน พลางเอ่ยกล่าวว่าตนยังไม่สามารถถอดหน้ากากของอัศวินสีเงินได้เลย
บทสนทนายยุติลงอีกครั้งเมื่อนางกำนัลนำอาหารเข้ามาภายในห้องนี้ ดูเหมือนว่าซิลเวอร์จะจัดเตรียมสิ่งนี้ให้ตั้งแต่เมื่อหลายวันก่อน เนื่องจากเพื่อนร่วมรับประทานอาหารมักจะคลาดเวลากันอยู่บ่อยครั้ง และเขาเข้าใจดีว่าการนั่งทานเงียบๆผู้เดียวในโต๊ะอาหารอันกว้างขวาง มันช่างเงียบเหงามากถึงเพียงไหน
เจ้าของมื้ออาหารเชื้อเชิญให้สหายร่วมรับประทานด้วย การรอคอยให้เขาจัดการกับจานสองสามใบตรงหน้าคงใช้เวลาไม่น้อย การกินดื่มด้วยกันเพื่อสนทนาน่าจะเหมาะสมกว่า ด้วยเหตุนี้ เขาจึงรับรู้ว่าโคเรนซ์จัดเตรียมมื้อเช้าด้วยตนเอง การทำอาหารง่ายๆไม่เกินกำลังสำหรับเด็กหนุ่มผู้นี้นัก และผู้ทานไม่ได้เกี่ยงงอนกับรสชาติธรรมดาไม่เลิศเลอ
“บางคืนหลังข้ากลับมาก็มีความรู้สึกหิวบ้าง...ข้าหมายหมายถึงกลับจากสังสรรค์กับสหายทั่วๆไป” ผู้เล่าอ้อมแอ้ม “แค่เพียงหลบไม่ให้ทหารตรวจตรารู้ก็พอ เพราะคนครัวค่อนข้างหวงพื้นที่มาก หากเข้าถึงหูนางคงต้องทนอาหารรสชาติจืดชืดไปสักสองสามมื้อ”
ฟิลลิปป์อมยิ้มกับเรื่องเล่าดังกล่าว ตนพอจะจินตนาการถึงภาพนั้นได้ดีทีเดียว
หลังผ่านมื้ออาหารอันเต็มไปด้วยรอยยิ้ม พวกเขาค้นพบว่าสวนในปราสาทเองก็ถูกแต่งเดิมไปมากแล้วเช่นกัน มันเป็นภาพอันไม่คุ้นเคยสำหรับคนทั้งสอง พวกเขาคิดว่าการอยู่ที่นี่คงไม่ให้ความเป็นส่วนตัวในการพูดคุยนัก รวมทั้งการขวางทางเดินอันชุลมุนของเหล่านางกำนัลคงจะไม่ดีแน่ ดังนั้น แม้ว่าม้าจะไม่ใช่สีขาวออกเทาเงินตัวเดิม มันก็ย่อมพาไปในที่ใดสักแห่งที่มีความเงียบสงบได้
หากเป็นซิลเวอร์เมื่อสามเดือนก่อน การได้พาเจ้าหญิงรัตติกาลตัดผ่านฝูงชนคงเป็นสิ่งน่าตื่นเต้นเร้าใจ ทว่า ในยามนี้พวกเขาต้องการความสงบมากกว่า อาชาไนยอันไม่คุ้นเคยตัวนี้จึงถูกบังคับผ่านทางที่ไม่ค่อยมีใครใช้สัญจรนัก แต่ก็ใช่ว่าจะดูเปล่าเปลี่ยวมากจนเกินไป
ฟิลลิปป์กอดเขาจากด้านหลังพร้อมเอนซบลงมา แม้ว่าอาจจะเป็นเพราะต้องการหลบเลี่ยงสายลมที่ปะทะตามความว่องไวของพาหนะตามวิสัยอันคุ้นชินก็ตาม สารถีใต้หน้ากากแย้มยิ้มอย่างพึงพอใจ อาจเป็นเพราะเขาไม่ต้องรู้สึกผิดต่อตนเองในยามวิกาลก็เป็นได้ ถึงอย่างไร อ้อมกอดนี้เป็นของเขาเพียงผู้เดียวเท่านั้น ไม่ว่าใครในค่ำคืนที่แล้วจะมานัดพบหกับกุหลาบงามของเขา คนคนนั้นก็ไม่อาจได้อ้อมกอดอันอบอุ่นนี้ไป
ม้าสีขาวเทาตัวงามนำพาพวกเขาออกจากโลนอนซ์ในที่สุด ชานเมืองที่มีทุ่งหญ้าเริ่มสลับกับบ้านเรือน กลิ่นของธรรมชาติเริ่มปรากฏมากขึ้นต่างจากในเมืองหลวง อีกทั้งต้นไม้สูงมากมายคอยบังแสงแดดแรงร้อนของพระอาทิตย์กลางท้องฟ้าได้เป็นอย่างดี
ซิลเวอร์คิดว่าคงถึงเวลาพักม้าเต็มที หากแต่เส้นทางไร้ซึ่งความคุ้นเคยทำให้เขากังวลใจ บางทีเขาอาจจะออกมาไกลเกินไป แต่ร้านน้ำชาเล็กๆริมทางได้ปรากฏขึ้นเสียก่อน
เจ้าของร้านนั้นเป็นหญิงชราท่าทางใจดีและแข็งแรง นางสนใจในอาชาสีน้ำตาลมากทีเดียว ทั้งสีขนความเงางามหรือแม้แต่ท่าทางปราดเปรียวแข็งแรง แม้ว่าแขกท่านหนึ่งจะสวมชุดชาวบ้านทั่วไป โคเรนซ์ที่สวมชุดองครักษ์ก็เป็นที่จับตามองไม่น้อย หญิงชราจึงอดไต่ถามเกี่ยวกับตำแหน่งหน้าที่ในการรับใช้ในปราสาทอันใหญ่โตไม่ได้ รวมทั้งสาเหตุของการสวมหน้ากากเต็มใบหน้าดูเย็นชานั้นด้วย
“ข้าเป็นเพียงทหารยามหน้าห้องเท่านั้น ไม่สลักสำคัญเท่าใดนัก” เขาจิบน้ำชากลิ่นหอมเพื่อขจัดความกระหายจากการเดินทาง แม้จะไม่หอมหวานเท่าน้ำชาชั้นเลิศ กลิ่นของมันก็เป็นเอกลักษณ์ไม่น้อยเลยทีเดียว แน่นอนว่าเขาเอ่ยชมในเรื่องนี้เพื่อตัดปัญหาเรื่องการตอบคำถามเกี่ยวกับหน้ากากหรือสิ่งอื่นที่นางอาจจะสนใจ
เมื่อถูกตัดบทดังนั้น หญิงชราจึงหันไปทางเด็กหนุ่มผู้มีใบหน้าอ่อนโยนเสมือนสตรีเพศแทน ท่าทางของเขานุ่มนวลใจเย็น น่าจะตอบคำถามของนางได้อย่างไม่กล้าบ่ายเบี่ยง ลงท้ายก็อดเอ่ยหยอกต่อบุคคลที่สวมชุดเต็มยศ แต่กลับนำหนุ่มน้อยเดินทางมาจนถึงที่แห่งนี้ น่ากลัวว่าคงเป็นการหลบอู้ในเวลางานเป็นแน่
“เขาเป็นสหายของข้าเอง แล้วก็เป็นคนที่คอยอารักขาอยู่หน้าห้องด้วย” ฟิลลิปป์กล่าวแก้ให้ผู้ที่พาตนหลบออกมาจากความวุ่นวายในปราสาท พลางถามเกี่ยวกับสถานที่น่าสนใจในบริเวณนี้ ไม่แน่ว่าแถบนี้อาจมีจุดชมวิวสวยงามสักแห่งให้พวกเขาไปพูดคุยกันอย่างเพลินเพลินได้
หญิงชรามองออกไปตามทางอันแสนไกลอันว่างเปล่า แล้วทอดถอนใจเชื่องช้า “ที่แห่งนี้คือจุดชมวิวอย่างไรเล่า จะมีอะไรดีไปกว่าการได้อยู่ท่ามกลางความสงบสุขอีกเล่า? แม้ว่ามันจะไร้ซึ่งสิ่งใดนอกจากความสงบสุขที่ว่านั่นก็ตาม”
ในค่ำคืนสิบสองค่ำอันเงียบงัน เสียงฝีเท้าได้ก้าวเป็นจังหวะแทนเสียงดนตรี หากว่าเป็นเมื่อหลายเดือนก่อน ฟิลลิปป์คงใฝ่ฝันถึงงานเลี้ยงเต้นรำอันแสนหรูหรา สถานที่ซึ่งตนกับอัศวินไร้นามได้โลดแล่นอยู่กลางฟลอร์ ท่ามกลางบรรยากาศอันแสนหวานอย่างเต็มเปี่ยม หากแต่คำกล่าวของหญิงชราดังก้องมาอย่างเต็มเปี่ยม เขาขยับกายเข้าไปใกล้คนรักจนคล้ายกับต้องการซบต่อความอบอุ่นของร่างนั้น นั่นทำให้ซิลเวอร์ปรากฏรอยยิ้มพึงพอใจขึ้น เขาโอบกายนั้นเข้ามาใกล้มากกว่าเดิม
สายลมพัดอาจจะหนาวเย็นอยู่บ้าง ไม่เป็นไร...อ้อมกอดของอัศวินเพียงพอสำหรับสิ่งนี้แล้ว
“คืนพรุ่งนี้...วันตัดสิน” ฟิลลิปป์เงยหน้าขึ้นเหม่อมองแสงสว่างเพียงหนึ่งเดียวบนท้องฟ้า “พระจันทร์คงจะมีเสี้ยวมากขึ้น หรือเพราะเหตุนั้น พระจันทร์จึงไม่อาจทนต่อพระอาทิตย์ที่สดใสอยู่ตลอดเวลา ซึ่งได้แผดแสงแรงกล้ามากจนไม่อาจอยู่เคียงข้างหรือซ้อนทับในเวลากลางวัน”
“ทำไมพระจันทร์และตะวันจึงไม่อยู่ด้วยกัน” ซิลเวอร์เอ่ยขึ้นเบาๆ “มีคำตอบมากมายในโลกใบนี้ ทุกเหตุผลต่างมีน้ำหนักเท่ากัน แต่สำหรับข้า ข้าทั้งหลงรักทั้งรังเกียจต่อแสงแดด ช่วยตอบข้ามาที...เพราะข้าใฝ่ฝันมากจนเกินตัวใช่หรือไม่ ข้าเพียงแต่ปรารถนาจะได้อยู่ข้างกายเจ้าแล้วออกเดินทางไปด้วยกันเท่านั้น ไปตามที่ต่างๆอย่างใจเจ้าต้องการ ส่วนข้า...เพียงแค่ก้าวออกจากสถานที่ซึ่งข้าไม่คู่ควรเลย หรือแม้แต่การอยู่กับเจ้าก็เป็นสิ่งที่ข้าไม่อาจกระทำ...?”
เด็กหนุ่มหยุดทุกคำพูดด้วยริมฝีปากของตน ดุจจะปลอบโยนต่อใจอันเปลี่ยวเหงาดวงนั้น หรือนั่นอาจเป็นเพียงแค่คำกล่าวอ้างกันหนอ ผู้ที่ปรารถนาจะได้รับสิ่งเหล่านั้นคือตัวของเด็กหนุ่มเองไม่ใช่หรือ แต่เขาจะพูดออกไปให้อีกฝ่ายยิ่งเสียใจไม่ได้ สิ่งที่เขาจะได้รับจากการวอนขอในวินาทีนี้คือการจุมพิตอันแสนหวาน ให้ทุกสิ่งรอบกายหยุดลงเสมือนนาฬิกาอันค้างการไหลเวียน
วีนัสเอ๋ย...อย่าได้เมินหนีออกจากรักนี้อีกเลย อัศวินสีเงินร่ำร้องอยู่ในใจด้วยความเจ็บปวด เทพีผู้คงไว้ด้วยอำนาจแห่งรัก ได้โปรดเสกมนตราให้กุหลาบงามที่เขาหลงใหลได้รับรู้ด้วยเถิด ในเมื่อไม่ว่าอะไรเขาก็ได้กระทำอย่างเต็มที่ ทำไมคนคนนี้จึงไม่รับรู้เลยสักนิด ความรู้สึกที่สื่อไปอย่างไม่มากพอรึอย่างไร หรือท่านยังต้องการอะไรมากยิ่งกว่านี้งั้นหรือ
ฟิลลิปป์ละออกจากการจุมพิตนั้น มันเต็มไปด้วยความเศร้าสร้อยเกินจะประมาณ แววตานั้นสั่นไหวราวกับว่าหัวใจของคนตรงหน้าได้แตกสลาย แต่ซิลเวอร์ยังคงกล่าวด้วยน้ำเสียงอันเปี่ยมเสน่หา โดยไม่มีใครรู้ว่าความหวังนั้นมอบแด่คนรักแล้ว ยังต้องการมอบให้ตนเองด้วยหรือไม่ “เรายังเหลือวันพรุ่งนี้...จริงไหม แม้ว่าผลลัพธ์จะไม่ใช่อย่างที่เราต้องการ ข้าจะต้องนำเจ้ากลับมาอยู่ในอ้อมกอดเฉกเช่นค่ำคืนนี้ให้จงได้ และเมื่อเป็นเช่นนั้น คืนนี้เราจะสร้างพิธีวิวาห์ที่ไม่จำเป็นต้องมีคนนอกได้ไหม ให้มีเพียงเราเท่านั้น”
ไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นเช่นไร...ช่างเป็นวาจาที่เรียกร้องแด่ความโลภของเขาเหลือเกิน ฟิลลิปป์ยื่นมืออกไปอย่างเชื่องช้า คำตอบรับที่ทำให้อัศวินสีเงินต้องรออยู่เนิ่นนานเลยทีเดียว ทว่า...คำกล่าวแสนสั้นที่ไม่ได้มีอะไร กลับทำให้หัวใจของเขาปีติยิ่งกว่าอะไรทั้งมวล
ในค่ำคืนนี้ไม่มีอะไรนอกจากพระจันทร์และคู่บ่าวสาว คนทั้งสองไม่ได้สวมชุดอันสวยงามหรือมีเสียงเพลงบรรเลง ไม่แม้แต่กลีบกหลาบอันคอยโปรยปรายเพื่ออวยพร ไม่เป็นไร ขอเพียงแสงจันทรายังคงอวยพรประหนึ่งแสงอันรื่นเริงอย่างเช่นที่ผ่านมาก็เพียงพอแล้ว หรือหากทุกสิ่งจะว่างเปล่าไป ในตอนนี้พวกเขายังคงไว้ซึ่ง ‘ความสุข’ มิใช่หรือ แม้ความสุขนั้นจะทาบลงบนความหม่นหมอง เพราะไม่กล้าคาดหวังถึงคืนวันพรุ่งนี้เลยแม้เพียงน้อยนิด
พวกเขาได้พบพานกันในจันทรา ย่อมได้ครองรรักในจันทรา แสงอันเจิดจ้าคงจะไม่เหมาะนัก คนที่ไขว่คว้าทะเยอทะยานมากจนเกินไปเพิ่งได้รับรู้ในข้อนี้เอง ถึงอย่างนั้น...
“เราจะก้าวไปด้วยกัน” อัศวินสีเงินจับมือกับเจ้าสาวในร่างบุรุษอย่างแนบแน่น “ไม่ว่าจะวันนี้หรือวันพรุ่งนี้ก็ตาม”
สวนวงกตอันกว้างขวางและซับซ้อน เมื่อยามหลับตาลงควรจะชวนให้รู้สึกมากกว่าเดิม ถึงกระนั้น เวลาที่ได้ก้าวเข้าสู่ใจกลางมันช่างแสนสั้น เสมือนมีใครได้เพิ่มความเร็วของนาฬิกาทรายทุกเรือนบนโลกใบนี้ ทั้งที่อยากจะหยุดมันลงมากเพียงไร พวกเขาก็ยังคงก้าวสู่เช้าวันใหม่มากขึ้นทุกวินาที
เดิมที ซิลเวอร์เคยยิ้มรับกับตะวันอันส่องแสงในยามเช้า เพื่อที่เขาจะได้ตื่นขึ้นมาพบกับคนรักในปราสาทแห่งนี้เหมือนอย่างเคย แม้ว่าจะมีคืนไหนไม่ได้พบกัน วันพรุ่งนี้จะยังคงกล่าวทักทายกันอย่างสดชื่น เพื่อสนทนาแทนในส่วนที่ขาดหายไป
แต่ในตอนนี้...ซิลเวอร์เกลียดแสงแดดและเช้าวันใหม่ รวมทั้งเกลียดค่ำคืนต่อไปอย่างที่สุด
แม้จะไม่ใช่คืนแรกในการนอนเคียงข้างกัน แต่นี่คือคืนแรกสำหรับการอยู่ร่วมกัน ไม่ว่ามันจะมีเพียงคืนนี้เท่านั้นหรือไม่ก็ตาม
วงแหวนอันรังสรรค์ขึ้นอย่างลงตัวได้ประดับไว้ที่นิ้วของคนทั้งสอง มันสร้างจากคริสตัลสีฟ้าใสไร้ซึ่งการสลักลวดลายใดๆ หากแต่ล้อมรอบด้วยทองคำขาวถักไขว้กันเป็นเกราะคุ้มกันไม่ให้สิ่งภายในเปราะบางมากจนเกินไป เมื่อกระทบกับแสงจันทร์ มันจึงเปล่งแสงออกมาได้ดุจเวทมนตร์
ฟิลลิปป์ซุกกายลงกับร่างของคู่ครอง ถึงเขาหรือทุกคนจะรู้ผลลัพธ์ในคืนพรุ่งนี้ก็ตาม เขายังคงยืนยันต่อการสวมสิ่งนี้ไว้ยังนิ้วนางข้างซ้าย จากนี้ไป คู่ชีวิตของเขาจะมีเพียงคนเดียวเท่านั้น ไม่ว่าผู้ใดจะก้าวกรายเข้ามาก็ไม่อาจทำให้เด็กหนุ่มหวั่นไหวได้อีกต่อไป
ซิลเวอร์ก็เช่นกัน...หลังกล่าวคำรักมั่น ณ ใจกลางสวนแห่งนั้น สิ่งต่อไปที่เขาจะต้องทำให้ได้ นั่นคือการเหนี่ยวรั้งให้อีกฝ่ายมาอยู่ข้างกาย แม้ว่าจะต้องเดิมพันกับองค์ราชาอีกกี่ครั้งก็ตาม
กุหลาบงามเอ๋ย โปรดวางใจ
ระฆังแห่งวันใหม่ยังไม่กังวาน
ทุกสิ่งในคืนนี้คือสัญญาณ
ให้เราได้มาพบพานกันอีกครั้ง
เมื่อวิวาห์นี้ได้เริ่มต้น
โคลงบทนี้ได้ขันขาน
ข้าชักชวนเจ้ามาในวันวาน
และขับขานวาจาในวิวาห์
แด่เจ้าสาวผู้แสนดี
“ข้าอาจจะชักชวนเจ้ามาด้วยบทกวี แต่มันจะไม่มีทางเป็นบทอำลาอย่างแน่นอน”
นัยเนตรนั้นส่องประกายด้วยความมาดมั่นต่อผู้เป็นที่รักยิ่งกว่าสิ่งใด
หากแต่ความฝันยังคงเป็นความฝัน ต่อให้พยามสักเท่าไร คืนพรุ่งนี้จะยังคงปรากฏพร้อมกับกาลเวลาอันหมุนเวียนในแต่ละวินาที และภาพฝันในการค้นพบยังคงเป็นเพียงแค่เรื่องโกหก
“เจ้ายังคงยืนยันในคำตอบนั้นงั้นรึ...?” องค์ราชาถามด้วยเสียงทุ้มหนัก “ยังคงมีเวลาตัดสินใจเสมอ จนกว่าทรายเม็ดสุดท้ายจะร่วงหล่น ถึงตอนนั้น แม้อยากจะกลับคำ วาจาของเจ้าก็ไร้ผล”
ในห้องนี้มืดสนิทเหมือนครั้งนั้นไม่มีผิด หากแต่ผู้ที่อยู่เบื้องหน้านี้คือองค์ราชาหาใช่พระนางผู้สูงศักดิ์ไม่ ในพระหัตถ์เปี่ยมอำนาจได้รองรับนาฬิกาทรายที่ต้องแสงไฟจากเชิงเทียนจนสะท้อนเป็นประกาย ด้วยเม็ดแห่งกาลภายในช่างเปล่งประกายสมกับที่สร้างสรรค์ขึ้นจากทองคำ
ณ ที่นี้ไม่มีใครอื่นจะสามารถเกลี่ยกล่อมอีกต่อไป เนื่องจากผลการตัดสินควรเป็นที่สดและหยุดลงแค่นั้น ไม่น่าเชื่อว่าเด็กหนุ่มเบื้องหน้าพระองค์กลับเป็นฝ่ายยอมรับความปราชัย หาใช่การคุกเข่าอ้อนวอนต่อการความพ่ายแพ้อย่างที่คาดคิดไว้ ดูเหมือนว่าฟิลลิปป์จะสร้างความประหลาดใจแก่พระองค์ไม่น้อยเลยทีเดียว
เขาไม่อาจ ‘กล้า’ มองการไหลเวียนของเวลาในชั่วโมงแห่งการตัดสินนี้เลย
“ท้ายที่สุดนี้ยังมีรางวัลปลอบใจผู้แพ้เสมอ” องค์ราชากล่าวอย่างเมตตา “เจ้าทำให้บุตรชายของข้าได้มีความสุขมาเนิ่นนาน แม้ความสุขจะทำให้เขาทำตัวเหลวไหลไปมากและไม่เคยกล่าวอรุณสวัสดิ์ต่อใครมาตลอดห้าปี มันก็เหมาะสมดีสำหรับการพักผ่อนอันสงบสุข”
ฟิลลิปป์หลบตาลงในความมืด สถานที่แห่งนี้คือสถานที่ตัดสินต่อเรื่องราวในสามเดือนมานี้ พระองค์ได้ทำถูกต้องในการสร้างความมืดมิดให้ปกคลุม หากว่าสว่างไสวเกินไปมากกว่านี้ เขาคงต้องรับรู้ต่อใบหน้าที่สะท้อนเงาในกระจกเป็นแน่ เขาหวั่นเกรต่อความใจอ่อนในภาพเงานั้นมากเกินไป
รางวัลสำหรับผู้พ่ายแพ้งั้นรึ...? เพราะความปรารถนาสูงสุดนี้ช่างโลภมากจนเกินไป องค์ราชาไม่สามารถตอบรับความหวังเหล่านี้หรอก แต่ใช่ว่าคนที่กำลังพร่ำบ่นดุจจะอ้อนวอนกึ่งยอมรับโชคชะตา จะไร้ซึ่งความต้องการใดๆในจิตใจ มางสิ่งที่ควรจะเป็นมานานแล้ว และพระองค์หรือทุกคนต้องตอบรับต่อคำวอนขอนี้
“ก่อนนี้ เจ้าหญิงเดเนียร์ได้กล่าวกับข้าพระองค์ไว้ เจ้าชายนั้นกำเนิดขึ้นเพื่อตอบรับต่อสิ่งที่เจ้าหญิงไดอาน่าควรเผชิญ หากวันหนึ่งโลนอนซิลต้องผูกสัมพันธไมตรีกับแคว้นใดสักแห่งด้วยการวิวาห์” ดวงตาอันแน่วแน่ของเด็กหนุ่มมองจรดเข้าไปในนัยเนตรของผู้ปกครองเหนืออาณาจักรอย่างไม่หวั่นเกรง “ในเวลานี้เจ้าหญิงได้เข้าสู่อ้อมกอดของชายที่นางรักและเลือกเขา ด้วยความแข็งแกร่งของสายสัมพันธ์นี้คงจะเพียงพอสำหรับโลนอนซิลแล้ว”
องค์ราชาไม่เข้าใจต่อสิ่งที่เด็กหนุ่มผู้อ่อนทั้งวัยวุฒิและประสบการณ์กำลังจะเอื้อนเอ่ย ทว่า สิ่งหนึ่งที่พระองค์รู้คือความเด็ดเดี่ยวเป็นของจริง
“หากวันหนึ่ง สตรีที่เข้าหลงรักหาใช่เจ้าหญิงเลิศเลอจากใด หรือกระทั่งไร้ซึ่งความต้องการต่อการวิวาห์ ข้าพระองค์อยากให้ฝ่าบาทช่วยเขาสองประการ หนึ่งนั้นคืออย่าทำให้เขากลายเป็นเพียงผู้มีตำแหน่งหลักลอย โปรดมอบอำนาจของเจ้าชายอย่างตรงไปตรงมา ส่วนประการที่สอง ข้าพระองค์มิได้วอนขอต่อฐานะของราชา หากแต่วอนขอต่อฐานะบิดาของฝ่าบาท ได้โปรดให้ความรักและห่วงใยเขาเสมือนบุตรแท้ๆและทำลายเกราะอันห่อหุ้มเขาลงเถิด ในใจลึกๆของเขาเองก็กำลังรู้สึกว่าฝ่าบาทเป็นบิดาและครอบครัวของเขาอย่างแน่นอน โปรดทำให้ทุกอย่างไม่อยู่ในม่านอันขุ่นมัวได้ไหมพะยะค่ะ”
ตำแหน่งหลักลอยกระนั้นรึ...? คงจะจริงดังที่เด็กหนุ่มผู้นี้ว่า แม้จะได้อำนาจในการควบคุมกองทหารก็ตาม การมีส่วนร่วมจะเกิดขึ้นเมื่อจำเป็นต้องใช้อำนาจในฐานะของเจ้าชายเข้าช่วย ซึ่งมันไม่ต่างจากการเป็นแขนขวาของราชาในการควบคุมรถศึกเลยสักนิด ทั้งที่เป็นเช่นนั้น พระองค์กลับเข้าใจมาตลอดสำหรับการเพียงพอต่อซิลเวอร์ โดยไม่ได้ฉุกคิดถึงการโดนเหยียดหยามอยู่ลึกๆจากบรรดาขุนนางทั้งหลาย หรืออาจจะทราบดี...แต่กลับแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น
สำหรับคำขอในประการที่สองของฟิลลิปป์ พระองค์อดยิ้มเยาะต่อวาจานั้นไม่ได้ ยิ้มเยาะต่อตัวเด็กหนุ่มและพระองค์เอง เจ้าชายผู้กล่าวอย่างถ่อมตนอยู่เสมอว่า ‘ไม่ต้องการสิ่งใด’ ได้พูดพร่ำรำพันให้อีกฝ่ายฟังว่าอย่างไรบ้างหนอ มีสิ่งใดที่พูดให้คนรักซึ่งพบพานเพียงแค่ห้าปีได้ แต่กลับกล่าวต่อบิดาไม่ได้งั้นรึ...?
เด็กหนุ่มรีบปฏิเสธในคำกล่าวนั้นโดยไว ดูเหมือนว่าองค์ราชาจะเข้าใจสิ่งใดผิดพลาดไปเสียแล้ว หากว่าบุรุษผู้เปี่ยมอำนาจได้หันกลับมามองบุตรต่างสายโลหิตสักนิด พระองค์จะรับรู้ได้ทันทีว่าสิ่งที่เขาต้องการจะสื่อให้พระองค์รับรู้คือความห่วงใยเอาใจใส่ หาใช่ข้าวของประดับเกียรติยศไม่ สิ่งเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องใช้คำพูดเลย ขอเพียงพระองค์อย่าได้ละเลยและพยามเปิดใจของเขาออกมาก็พอแล้ว
องค์ราชาลุกขึ้นจากบริเวณที่แสงเชิงเทียนส่องถึง พลางเปิดม่านรับแสงจากดวงจันทราขึ้นสิบสามค่ำ อีกไม่กี่เสี้ยวเท่านั้น...เจ้าจันทร์เอ๋ย อีกไม่กี่เสี้ยวเจ้าก็สามารถสว่างไสวส่องสะท้อนต่อสิ่งทั้งมวลในโลกานี้ หากแต่ไม่ว่าจะผ่านคืนวันอันเต็มดวงไปกี่ครั้ง เจ้ากลับไม่สามารถแสดงความจริงในใจคนได้เลย...
ตั้งแต่ครั้งที่ซิลเวอร์ยังเป็นเด็ก เขามักจะแสดงตนในฐานะของพี่ชายและผู้ปกป้องต่อเจ้าหญิงน้อยเสมอ นั่นทำให้องค์ทั้งสองรู้สึกพึงพอใจยิ่งนัก กล่าวซ้ำไปซ้ำมาต่อเด็กน้อยไร้เดียงสา ‘เจ้าเกิดขึ้นมาเพื่อปกป้องนาง’ และคำชมนั้นคือ ‘เจ้าดูแลนางได้ดีมาก’
จนไม่ทราบว่านานเท่าไร ใบหน้าของเขาแย้มยิ้มได้ต่อทุกคนที่พบพาน เขายืดอดเสมอว่าตนเองคือผู้เดียวที่ปกป้องเจ้าหญิงได้ แต่หลายครั้งที่ผ่านเลยสิ่งต่างๆไปอย่างไม่คิดสนใจ ราวกับไม่มีสิ่งใดที่สำคัญต่อเขาเลย
ทุกอย่างเคยสงบสุขและเรียบร้อยมาตลอด จนกระทั่ง การถกเถียงครั้งแรกได้กำเนิดขึ้นมาเมื่อเด็กหนุ่มแปลกหน้าได้ปรากฏตัว เป็นครั้งแรกที่องค์ราชาพบว่าเขายกดาบขึ้นอย่างไม่เกรงกลัว แม้ว่าปลายดาบนั้นจะหันมาทางผู้ดำรงฐานะอยู่เหนือทุกสรรพสิ่งก็ตาม และดาบนั้นได้ถูกเก็บลงก็เพราะเด็กหนุ่มคนเดิมอีกครั้งเพื่อปกป้อง ในตอนนั้นเอง พระองค์เริ่มครุ่นคิดขึ้นมา ทำไมกันหนอ...คนคนหนึ่งซึ่งไม่มีอะไรเลย กลับทำให้เจ้าชายได้ลุกขึ้นออกจากวงกลมและพันธนาการอย่างช้าๆ
คำตอบนั้น พระองค์เพิ่งพบในค่ำคืนนี้เอง...เพราะคนตรงหน้านี้มิได้ต้องการพันธนาการเขาไว้เลย กลับประคองไว้ด้วยอ้อมกอดอันห่วงใย มองลึกเข้าไปในหัวใจ คอยดูแลเยียวยาทุกบาดแผลด้วยห้วงเวลาที่อยู่ด้วยกัน ในทางกลับกัน นั่นกลับเป็นสิ่งที่คอยเหนี่ยวรั้งไว้ได้ดีที่สุด จะมีสิ่งใดเหนี่ยวรั้งใจได้ดีกว่าใจด้วยกันอีกเล่า ราชาผู้ปกครองเหนืออาณาจักร ย่อมเขาล่วงรู้ดีที่สุด พระองค์ใช้หัวใจแลกกับความภักดีของผู้คน หาใช่เงินตราหรือสิ่งล้ำค่าประการใดเลย
แต่การเดิมพันย่อมเป็นการเดิมพัน ในเมื่อเขาไม่ได้บอกชื่อของบุคคลใดมาเลย เงื่อนไขของผู้แพ้ปรากฏอย่างชัดเจน และพระองค์ยินยอมต่อความวอนขอนั้นอย่างเรียบร้อย ถึงกระนั้นก็อดเสียดายไม่ได้ เนื่องจากการสานสัมพันธ์กับโอเทล์มในครั้งนี้นับว่าราบรื่น แม้ว่าจะต้องตกลงเจรจาปัญหากันอีกหลายอย่าง ดูเหมือนราชินีแห่งอาณาจักรฝ่ายนั้นจะมีความคิดตรงกัน นั่นคือการปฏิเสธสงคราม มันคงไม่มีอะไรเลวร้ายวุ่นวายไปมากกว่านี้ได้อีกแล้ว ซึ่งหมายความว่าซิลเวอร์เองก็ไม่จำเป็นต้องฝืนวิวาห์กับใครอีกต่อไป เด็กหนุ่มตรงหน้านี้น่าจะได้ในสิ่งที่ตนสร้างขึ้น ทั้งความรู้สึกและตัวตนของคนรัก...
องค์ราชากลับมานั่งที่เดิมอีกครั้งเพื่อเชื้อเชิญให้เขาเข้าร่วมการแข่งขันหมากรุก รวมทั้งอดหัวเราะขบขันไม่ได้ว่าสตรีผู้เป็นที่รักก็เคยเชื้อเชิญเช่นนี้ด้วย อาจเป็นเพราะการเดินหมากช่วยในการสร้างสมาธิได้ดี แต่ที่แน่นอนกว่านั้นคือยื้อเวลาในการพูดคุย
“หากว่าเจ้าได้รับชัยชนะอีกครั้ง ข้าอาจจะให้เวลาสำหรับการเดิมพันเพิ่มขึ้น” องค์ราชากล่าวทีเล่นทีจริง อย่างน้อยก็แสดงให้พระองค์รับรู้ถึงความตั้งใจอันแรงกล้าหน่อยเถิด “เพราะนาฬิกาทรายไม่ได้มีเรือนเดียวในโลก รวมทั้งที่โลนอนซิลแห่งนี้ด้วย...จริงไหม?”
แทนที่จะได้สนทนากันอย่างที่ตั้งใจ พระองค์กลับมุ่งมั่นอยู่กับการเล่นเพียงอย่างเดียว เนื่องจากท่าทีอันเคร่งขรึมของคู่ต่อสู้ไม่ได้บอกถึงแผนการเลย เป็นการเดินไปเรื่อยๆจนฝ่ายตรงข้ามหวาดหวั่น เหตุเพราะคู่ต่อสู้ไม่เคยรุกไล่ แต่ในขณะเดียวกันก็ปกป้องตัวหมากแต่ละตัวได้เป็นอย่างดี ชวนให้เกมนี้ครั้งเร้าใจมากยิ่งขึ้น
“ข้าเพิ่งเข้าใจคำถามขององค์ราชินีในวันนี้เอง” องค์ราชาเดินตัวหมากสำคัญตัวต่อไปเพื่อตัดสิน “ในความจริง นางอาจจะชาญฉลาดกว่าข้าในบางเรื่องก็ได้...ในบางเรื่องเท่านั้น”
“ข้าเอ็นดูเขาไม่ต่างจากใครจริงๆ” ดวงตาของพระนางหลุบต่ำลง คล้ายจะหลบจากคู่สนทนา “เรื่องเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่ใครจะเข้าใจเลย ไม่มีคาดคิดว่าวันหนึ่งเจ้าจะปรากฏตัวขึ้น จึงได้...”
ความเงียบเข้าปกคลุมอีกครั้ง ความมืดมิดภายในห้องหรือท้องฟ้าไม่ต่างกันเลย อาจเพราะคนทั้งสองไม่ต้องการให้ใครสังเกตแสงไฟอันสะท้อนออกไปด้านนอก
มือของเด็กหนุ่มเดินหมากตัวต่อไปตามคำเชื้อเชิญของคู่เล่น ซึ่งอาศัยเชิงเทียนเล็กๆก็เพียงพอต่อการดวลในครั้งนื้ “ข้าพระองค์ไม่ได้ต้องการให้เขาปรากฏตัวหรือเป็นที่รู้จักแต่ประการใด ข้าพระองค์อยากให้เขาลบความเจ็บปวดภายในจิตใจได้เท่านั้น”
ตัวหมากของพระนางรุกไล่เขาอย่างต่อเนื่อง ผิดกับในด้านวาจาลิบลับ ในเมื่อเด็กหนุ่มตรงหน้านี้ต้องการในสิ่งที่ใครต่อใครไม่เคยเอ่ยขอ อาจเป็นเพราะไม่แน่ใจ ไม่หาญกล้า หรือแม้แต่ไม่คิดจะกระทำก็ตาม
น้ำเสียงอันอ่อนโยนคอยกล่าวให้เขารับรู้ว่าตนนั้นเป็นแสงสว่างเพียงหนึ่งเดียว หากว่าการเดิมพันนี้ล้มเหลวลงเมื่อไร ย่อมไม่ต่างอะไรจากการจงใจทอดทิ้งเขาไว้แต่เพียงลำพัง...ตัวหมากตัดสินถูกยกค้างขึ้นในอากาศ คล้ายจะรอคำตอบจากคู่สนทนา
เขาเก็บตัวหมากของตนออกมาแต่โดยดี “แสงสว่างของคบเพลิงอันหนึ่ง ไม่อาจสำคัญเท่าเตาผิงในบ้านอันอบอุ่น หากข้าพระองค์ไม่สามารถทายคำตอบที่ถูกต้องได้ เพียงแต่อยากจะวอนขอให้ฝ่าบาทช่วยโอบอุ้มเขาด้วยความรักให้มากที่สุด มากเท่าที่มารดาผู้หนึ่งจะมีต่อบุตรของตนได้ ฝ่าบาทมีมันอย่างเต็มเปี่ยม เพียงแค่แสดงออกมาให้เขารับรู้บ้างก็เท่านั้น”
พระนางทอดพระเนตรตามหลังของผู้พ่ายแพ้ต่อเกมกระดาน ในห้องอันมืดสลัวโดยมีเพียงเชิงเทียนเล็กๆที่แทบไม่ส่องถึงใบหน้าของคนทั้งคู่ หากจะมีสิ่งใดดังขึ้นท่ามกลางความเงียบงันนอกเหนือจากเสียงถอนหายใจอย่างแผ่วเบานี้...มันคงจะเป็นเสียงของการวางตัวหมากลงยังจุดที่ควรจะเป็น
แสงสว่างแห่งเช้าวันใหม่ได้มาเยือน วันนี้โคเรนซ์ยังคงเป็นคนมากล่าวอรุณสวัสดิ์กับเขาหลังการทำกิจวัตรประวันเฉกเช่นเคย มันช่างเป็นเช้าอันสดใสโดยไร้ซึ่งความอบอ้าว ช่วงปลายฤดูใบไม้ผลิย่อมยังคงเหลือสายลมอันพัดเย็น แม้จะแทรกด้วยความร้อนจากแสงแดดอันเริ่มแผดกล้าขึ้นเรื่อยๆในแต่ละวัน
นอกจากจะเป็นคนกล่าวอรุณสวัสดิ์ นับวันโคเรนซ์จะยิ่งเพิ่มความสนิทสนมด้วยการสนทนากับเขาบ่อยครั้งขึ้น เมื่อเจ้าหญิงไดอาน่าต้องเตรียมตัวสำหรับงานพิธีและด้านนอกคล้ายจะวุ่นวายอยู่มาก แม้ว่าสถานที่จัดเลี้ยงจะอยู่ที่ปราสาทขององค์ราชา แต่การทำพิธีจะจัดช่วงเช้าในปราสาทแห่งนี้
“เมื่อคืนนี้ดูเหมือนว่าท่านจะกลับมาไวกว่าปกติ” เขาเอ่ยหยั่งเชิง “ท่านบาดหมางกับเจ้าชายงั้นรึ?”
ฟิลลิปป์ไม่เคยบอกใครพบกับเขาวันไหนบ้าง หากแต่เมื่อไรที่เขาก้าวออกจากห้อง ทุกคนคงจะเข้าใจว่าคู่นัดพบในยามค่ำคืนย่อมต้องเป็นเจ้าชายไม่ผิดแน่ ซิลเวอร์ใช้จุดนี้ให้เป็นประโยชน์ในการไถ่ถาม เนื่องจากเด็กหนุ่มกล่าวห้ามไม่ให้ตนรออยู่ที่สวนในปราสาทเฉกเช่นเคย ทว่า คำกล่าวจากทหารยามหน้าห้องช่วงกลางคืนกลับบอกว่าอีกฝ่ายออกไปด้านนอกไม่ผิดแน่
ดูเหมือนว่าฟิลลิปป์จะไม่ตกอกตกใจต่อคำถามนั้นนัก ทั้งยังกล่าวด้วยความขบขันว่าทหารยามเมื่อคืนนี้ก็ถามสิ่งเดียวกันนี้ ซึ่งมันคงเป็นเรื่องที่น่าแปลกทีเดียวสำหรับการล่วงรู้เร็วไวเช่นนี้ คงไม่ใช่ว่าสองคนนั้นแอบนำเรื่องของเขาไปเล่าขยายให้ใครต่อใครบ่อยนักหรอกนะ?
“ทุกคืนท่านมักจะกลับในช่วงดึกกว่านั้น พวกเขาเลยอดสงสัยไม่ได้ แต่แน่นอนว่าข้ากำชับไม่ให้เล่าเรื่องนี้กับใครเป็นที่เรียบร้อย” โคเรนซ์แก้ต่างให้ตนและคนทั้งสอง ซึ่งเป็นคำกล่าวจบการพูดคุยในเรื่องนี้ เขาเมินหน้าออกไปทางหน้าต่างอันเปิดกว้างรับลมและแสงแดด เอ่ยคำถามใหม่เกี่ยวการนัดพบกลางค่ำคืน ซึ่งเป็นคืนก่อนการให้คำตอบในวินาทีสุดท้าย อย่างน้อยพวกเขาก็ควรอยู่ด้วยกัน
“ใช่...เราควรอยู่ด้วยกัน” นัยเนตรของฟิลลิปป์ฉายแววหม่นหมองขึ้นมาอย่างชัดเจน พลางเอ่ยกล่าวว่าตนยังไม่สามารถถอดหน้ากากของอัศวินสีเงินได้เลย
บทสนทนายยุติลงอีกครั้งเมื่อนางกำนัลนำอาหารเข้ามาภายในห้องนี้ ดูเหมือนว่าซิลเวอร์จะจัดเตรียมสิ่งนี้ให้ตั้งแต่เมื่อหลายวันก่อน เนื่องจากเพื่อนร่วมรับประทานอาหารมักจะคลาดเวลากันอยู่บ่อยครั้ง และเขาเข้าใจดีว่าการนั่งทานเงียบๆผู้เดียวในโต๊ะอาหารอันกว้างขวาง มันช่างเงียบเหงามากถึงเพียงไหน
เจ้าของมื้ออาหารเชื้อเชิญให้สหายร่วมรับประทานด้วย การรอคอยให้เขาจัดการกับจานสองสามใบตรงหน้าคงใช้เวลาไม่น้อย การกินดื่มด้วยกันเพื่อสนทนาน่าจะเหมาะสมกว่า ด้วยเหตุนี้ เขาจึงรับรู้ว่าโคเรนซ์จัดเตรียมมื้อเช้าด้วยตนเอง การทำอาหารง่ายๆไม่เกินกำลังสำหรับเด็กหนุ่มผู้นี้นัก และผู้ทานไม่ได้เกี่ยงงอนกับรสชาติธรรมดาไม่เลิศเลอ
“บางคืนหลังข้ากลับมาก็มีความรู้สึกหิวบ้าง...ข้าหมายหมายถึงกลับจากสังสรรค์กับสหายทั่วๆไป” ผู้เล่าอ้อมแอ้ม “แค่เพียงหลบไม่ให้ทหารตรวจตรารู้ก็พอ เพราะคนครัวค่อนข้างหวงพื้นที่มาก หากเข้าถึงหูนางคงต้องทนอาหารรสชาติจืดชืดไปสักสองสามมื้อ”
ฟิลลิปป์อมยิ้มกับเรื่องเล่าดังกล่าว ตนพอจะจินตนาการถึงภาพนั้นได้ดีทีเดียว
หลังผ่านมื้ออาหารอันเต็มไปด้วยรอยยิ้ม พวกเขาค้นพบว่าสวนในปราสาทเองก็ถูกแต่งเดิมไปมากแล้วเช่นกัน มันเป็นภาพอันไม่คุ้นเคยสำหรับคนทั้งสอง พวกเขาคิดว่าการอยู่ที่นี่คงไม่ให้ความเป็นส่วนตัวในการพูดคุยนัก รวมทั้งการขวางทางเดินอันชุลมุนของเหล่านางกำนัลคงจะไม่ดีแน่ ดังนั้น แม้ว่าม้าจะไม่ใช่สีขาวออกเทาเงินตัวเดิม มันก็ย่อมพาไปในที่ใดสักแห่งที่มีความเงียบสงบได้
หากเป็นซิลเวอร์เมื่อสามเดือนก่อน การได้พาเจ้าหญิงรัตติกาลตัดผ่านฝูงชนคงเป็นสิ่งน่าตื่นเต้นเร้าใจ ทว่า ในยามนี้พวกเขาต้องการความสงบมากกว่า อาชาไนยอันไม่คุ้นเคยตัวนี้จึงถูกบังคับผ่านทางที่ไม่ค่อยมีใครใช้สัญจรนัก แต่ก็ใช่ว่าจะดูเปล่าเปลี่ยวมากจนเกินไป
ฟิลลิปป์กอดเขาจากด้านหลังพร้อมเอนซบลงมา แม้ว่าอาจจะเป็นเพราะต้องการหลบเลี่ยงสายลมที่ปะทะตามความว่องไวของพาหนะตามวิสัยอันคุ้นชินก็ตาม สารถีใต้หน้ากากแย้มยิ้มอย่างพึงพอใจ อาจเป็นเพราะเขาไม่ต้องรู้สึกผิดต่อตนเองในยามวิกาลก็เป็นได้ ถึงอย่างไร อ้อมกอดนี้เป็นของเขาเพียงผู้เดียวเท่านั้น ไม่ว่าใครในค่ำคืนที่แล้วจะมานัดพบหกับกุหลาบงามของเขา คนคนนั้นก็ไม่อาจได้อ้อมกอดอันอบอุ่นนี้ไป
ม้าสีขาวเทาตัวงามนำพาพวกเขาออกจากโลนอนซ์ในที่สุด ชานเมืองที่มีทุ่งหญ้าเริ่มสลับกับบ้านเรือน กลิ่นของธรรมชาติเริ่มปรากฏมากขึ้นต่างจากในเมืองหลวง อีกทั้งต้นไม้สูงมากมายคอยบังแสงแดดแรงร้อนของพระอาทิตย์กลางท้องฟ้าได้เป็นอย่างดี
ซิลเวอร์คิดว่าคงถึงเวลาพักม้าเต็มที หากแต่เส้นทางไร้ซึ่งความคุ้นเคยทำให้เขากังวลใจ บางทีเขาอาจจะออกมาไกลเกินไป แต่ร้านน้ำชาเล็กๆริมทางได้ปรากฏขึ้นเสียก่อน
เจ้าของร้านนั้นเป็นหญิงชราท่าทางใจดีและแข็งแรง นางสนใจในอาชาสีน้ำตาลมากทีเดียว ทั้งสีขนความเงางามหรือแม้แต่ท่าทางปราดเปรียวแข็งแรง แม้ว่าแขกท่านหนึ่งจะสวมชุดชาวบ้านทั่วไป โคเรนซ์ที่สวมชุดองครักษ์ก็เป็นที่จับตามองไม่น้อย หญิงชราจึงอดไต่ถามเกี่ยวกับตำแหน่งหน้าที่ในการรับใช้ในปราสาทอันใหญ่โตไม่ได้ รวมทั้งสาเหตุของการสวมหน้ากากเต็มใบหน้าดูเย็นชานั้นด้วย
“ข้าเป็นเพียงทหารยามหน้าห้องเท่านั้น ไม่สลักสำคัญเท่าใดนัก” เขาจิบน้ำชากลิ่นหอมเพื่อขจัดความกระหายจากการเดินทาง แม้จะไม่หอมหวานเท่าน้ำชาชั้นเลิศ กลิ่นของมันก็เป็นเอกลักษณ์ไม่น้อยเลยทีเดียว แน่นอนว่าเขาเอ่ยชมในเรื่องนี้เพื่อตัดปัญหาเรื่องการตอบคำถามเกี่ยวกับหน้ากากหรือสิ่งอื่นที่นางอาจจะสนใจ
เมื่อถูกตัดบทดังนั้น หญิงชราจึงหันไปทางเด็กหนุ่มผู้มีใบหน้าอ่อนโยนเสมือนสตรีเพศแทน ท่าทางของเขานุ่มนวลใจเย็น น่าจะตอบคำถามของนางได้อย่างไม่กล้าบ่ายเบี่ยง ลงท้ายก็อดเอ่ยหยอกต่อบุคคลที่สวมชุดเต็มยศ แต่กลับนำหนุ่มน้อยเดินทางมาจนถึงที่แห่งนี้ น่ากลัวว่าคงเป็นการหลบอู้ในเวลางานเป็นแน่
“เขาเป็นสหายของข้าเอง แล้วก็เป็นคนที่คอยอารักขาอยู่หน้าห้องด้วย” ฟิลลิปป์กล่าวแก้ให้ผู้ที่พาตนหลบออกมาจากความวุ่นวายในปราสาท พลางถามเกี่ยวกับสถานที่น่าสนใจในบริเวณนี้ ไม่แน่ว่าแถบนี้อาจมีจุดชมวิวสวยงามสักแห่งให้พวกเขาไปพูดคุยกันอย่างเพลินเพลินได้
หญิงชรามองออกไปตามทางอันแสนไกลอันว่างเปล่า แล้วทอดถอนใจเชื่องช้า “ที่แห่งนี้คือจุดชมวิวอย่างไรเล่า จะมีอะไรดีไปกว่าการได้อยู่ท่ามกลางความสงบสุขอีกเล่า? แม้ว่ามันจะไร้ซึ่งสิ่งใดนอกจากความสงบสุขที่ว่านั่นก็ตาม”
ในค่ำคืนสิบสองค่ำอันเงียบงัน เสียงฝีเท้าได้ก้าวเป็นจังหวะแทนเสียงดนตรี หากว่าเป็นเมื่อหลายเดือนก่อน ฟิลลิปป์คงใฝ่ฝันถึงงานเลี้ยงเต้นรำอันแสนหรูหรา สถานที่ซึ่งตนกับอัศวินไร้นามได้โลดแล่นอยู่กลางฟลอร์ ท่ามกลางบรรยากาศอันแสนหวานอย่างเต็มเปี่ยม หากแต่คำกล่าวของหญิงชราดังก้องมาอย่างเต็มเปี่ยม เขาขยับกายเข้าไปใกล้คนรักจนคล้ายกับต้องการซบต่อความอบอุ่นของร่างนั้น นั่นทำให้ซิลเวอร์ปรากฏรอยยิ้มพึงพอใจขึ้น เขาโอบกายนั้นเข้ามาใกล้มากกว่าเดิม
สายลมพัดอาจจะหนาวเย็นอยู่บ้าง ไม่เป็นไร...อ้อมกอดของอัศวินเพียงพอสำหรับสิ่งนี้แล้ว
“คืนพรุ่งนี้...วันตัดสิน” ฟิลลิปป์เงยหน้าขึ้นเหม่อมองแสงสว่างเพียงหนึ่งเดียวบนท้องฟ้า “พระจันทร์คงจะมีเสี้ยวมากขึ้น หรือเพราะเหตุนั้น พระจันทร์จึงไม่อาจทนต่อพระอาทิตย์ที่สดใสอยู่ตลอดเวลา ซึ่งได้แผดแสงแรงกล้ามากจนไม่อาจอยู่เคียงข้างหรือซ้อนทับในเวลากลางวัน”
“ทำไมพระจันทร์และตะวันจึงไม่อยู่ด้วยกัน” ซิลเวอร์เอ่ยขึ้นเบาๆ “มีคำตอบมากมายในโลกใบนี้ ทุกเหตุผลต่างมีน้ำหนักเท่ากัน แต่สำหรับข้า ข้าทั้งหลงรักทั้งรังเกียจต่อแสงแดด ช่วยตอบข้ามาที...เพราะข้าใฝ่ฝันมากจนเกินตัวใช่หรือไม่ ข้าเพียงแต่ปรารถนาจะได้อยู่ข้างกายเจ้าแล้วออกเดินทางไปด้วยกันเท่านั้น ไปตามที่ต่างๆอย่างใจเจ้าต้องการ ส่วนข้า...เพียงแค่ก้าวออกจากสถานที่ซึ่งข้าไม่คู่ควรเลย หรือแม้แต่การอยู่กับเจ้าก็เป็นสิ่งที่ข้าไม่อาจกระทำ...?”
เด็กหนุ่มหยุดทุกคำพูดด้วยริมฝีปากของตน ดุจจะปลอบโยนต่อใจอันเปลี่ยวเหงาดวงนั้น หรือนั่นอาจเป็นเพียงแค่คำกล่าวอ้างกันหนอ ผู้ที่ปรารถนาจะได้รับสิ่งเหล่านั้นคือตัวของเด็กหนุ่มเองไม่ใช่หรือ แต่เขาจะพูดออกไปให้อีกฝ่ายยิ่งเสียใจไม่ได้ สิ่งที่เขาจะได้รับจากการวอนขอในวินาทีนี้คือการจุมพิตอันแสนหวาน ให้ทุกสิ่งรอบกายหยุดลงเสมือนนาฬิกาอันค้างการไหลเวียน
วีนัสเอ๋ย...อย่าได้เมินหนีออกจากรักนี้อีกเลย อัศวินสีเงินร่ำร้องอยู่ในใจด้วยความเจ็บปวด เทพีผู้คงไว้ด้วยอำนาจแห่งรัก ได้โปรดเสกมนตราให้กุหลาบงามที่เขาหลงใหลได้รับรู้ด้วยเถิด ในเมื่อไม่ว่าอะไรเขาก็ได้กระทำอย่างเต็มที่ ทำไมคนคนนี้จึงไม่รับรู้เลยสักนิด ความรู้สึกที่สื่อไปอย่างไม่มากพอรึอย่างไร หรือท่านยังต้องการอะไรมากยิ่งกว่านี้งั้นหรือ
ฟิลลิปป์ละออกจากการจุมพิตนั้น มันเต็มไปด้วยความเศร้าสร้อยเกินจะประมาณ แววตานั้นสั่นไหวราวกับว่าหัวใจของคนตรงหน้าได้แตกสลาย แต่ซิลเวอร์ยังคงกล่าวด้วยน้ำเสียงอันเปี่ยมเสน่หา โดยไม่มีใครรู้ว่าความหวังนั้นมอบแด่คนรักแล้ว ยังต้องการมอบให้ตนเองด้วยหรือไม่ “เรายังเหลือวันพรุ่งนี้...จริงไหม แม้ว่าผลลัพธ์จะไม่ใช่อย่างที่เราต้องการ ข้าจะต้องนำเจ้ากลับมาอยู่ในอ้อมกอดเฉกเช่นค่ำคืนนี้ให้จงได้ และเมื่อเป็นเช่นนั้น คืนนี้เราจะสร้างพิธีวิวาห์ที่ไม่จำเป็นต้องมีคนนอกได้ไหม ให้มีเพียงเราเท่านั้น”
ไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นเช่นไร...ช่างเป็นวาจาที่เรียกร้องแด่ความโลภของเขาเหลือเกิน ฟิลลิปป์ยื่นมืออกไปอย่างเชื่องช้า คำตอบรับที่ทำให้อัศวินสีเงินต้องรออยู่เนิ่นนานเลยทีเดียว ทว่า...คำกล่าวแสนสั้นที่ไม่ได้มีอะไร กลับทำให้หัวใจของเขาปีติยิ่งกว่าอะไรทั้งมวล
ในค่ำคืนนี้ไม่มีอะไรนอกจากพระจันทร์และคู่บ่าวสาว คนทั้งสองไม่ได้สวมชุดอันสวยงามหรือมีเสียงเพลงบรรเลง ไม่แม้แต่กลีบกหลาบอันคอยโปรยปรายเพื่ออวยพร ไม่เป็นไร ขอเพียงแสงจันทรายังคงอวยพรประหนึ่งแสงอันรื่นเริงอย่างเช่นที่ผ่านมาก็เพียงพอแล้ว หรือหากทุกสิ่งจะว่างเปล่าไป ในตอนนี้พวกเขายังคงไว้ซึ่ง ‘ความสุข’ มิใช่หรือ แม้ความสุขนั้นจะทาบลงบนความหม่นหมอง เพราะไม่กล้าคาดหวังถึงคืนวันพรุ่งนี้เลยแม้เพียงน้อยนิด
พวกเขาได้พบพานกันในจันทรา ย่อมได้ครองรรักในจันทรา แสงอันเจิดจ้าคงจะไม่เหมาะนัก คนที่ไขว่คว้าทะเยอทะยานมากจนเกินไปเพิ่งได้รับรู้ในข้อนี้เอง ถึงอย่างนั้น...
“เราจะก้าวไปด้วยกัน” อัศวินสีเงินจับมือกับเจ้าสาวในร่างบุรุษอย่างแนบแน่น “ไม่ว่าจะวันนี้หรือวันพรุ่งนี้ก็ตาม”
สวนวงกตอันกว้างขวางและซับซ้อน เมื่อยามหลับตาลงควรจะชวนให้รู้สึกมากกว่าเดิม ถึงกระนั้น เวลาที่ได้ก้าวเข้าสู่ใจกลางมันช่างแสนสั้น เสมือนมีใครได้เพิ่มความเร็วของนาฬิกาทรายทุกเรือนบนโลกใบนี้ ทั้งที่อยากจะหยุดมันลงมากเพียงไร พวกเขาก็ยังคงก้าวสู่เช้าวันใหม่มากขึ้นทุกวินาที
เดิมที ซิลเวอร์เคยยิ้มรับกับตะวันอันส่องแสงในยามเช้า เพื่อที่เขาจะได้ตื่นขึ้นมาพบกับคนรักในปราสาทแห่งนี้เหมือนอย่างเคย แม้ว่าจะมีคืนไหนไม่ได้พบกัน วันพรุ่งนี้จะยังคงกล่าวทักทายกันอย่างสดชื่น เพื่อสนทนาแทนในส่วนที่ขาดหายไป
แต่ในตอนนี้...ซิลเวอร์เกลียดแสงแดดและเช้าวันใหม่ รวมทั้งเกลียดค่ำคืนต่อไปอย่างที่สุด
แม้จะไม่ใช่คืนแรกในการนอนเคียงข้างกัน แต่นี่คือคืนแรกสำหรับการอยู่ร่วมกัน ไม่ว่ามันจะมีเพียงคืนนี้เท่านั้นหรือไม่ก็ตาม
วงแหวนอันรังสรรค์ขึ้นอย่างลงตัวได้ประดับไว้ที่นิ้วของคนทั้งสอง มันสร้างจากคริสตัลสีฟ้าใสไร้ซึ่งการสลักลวดลายใดๆ หากแต่ล้อมรอบด้วยทองคำขาวถักไขว้กันเป็นเกราะคุ้มกันไม่ให้สิ่งภายในเปราะบางมากจนเกินไป เมื่อกระทบกับแสงจันทร์ มันจึงเปล่งแสงออกมาได้ดุจเวทมนตร์
ฟิลลิปป์ซุกกายลงกับร่างของคู่ครอง ถึงเขาหรือทุกคนจะรู้ผลลัพธ์ในคืนพรุ่งนี้ก็ตาม เขายังคงยืนยันต่อการสวมสิ่งนี้ไว้ยังนิ้วนางข้างซ้าย จากนี้ไป คู่ชีวิตของเขาจะมีเพียงคนเดียวเท่านั้น ไม่ว่าผู้ใดจะก้าวกรายเข้ามาก็ไม่อาจทำให้เด็กหนุ่มหวั่นไหวได้อีกต่อไป
ซิลเวอร์ก็เช่นกัน...หลังกล่าวคำรักมั่น ณ ใจกลางสวนแห่งนั้น สิ่งต่อไปที่เขาจะต้องทำให้ได้ นั่นคือการเหนี่ยวรั้งให้อีกฝ่ายมาอยู่ข้างกาย แม้ว่าจะต้องเดิมพันกับองค์ราชาอีกกี่ครั้งก็ตาม
กุหลาบงามเอ๋ย โปรดวางใจ
ระฆังแห่งวันใหม่ยังไม่กังวาน
ทุกสิ่งในคืนนี้คือสัญญาณ
ให้เราได้มาพบพานกันอีกครั้ง
เมื่อวิวาห์นี้ได้เริ่มต้น
โคลงบทนี้ได้ขันขาน
ข้าชักชวนเจ้ามาในวันวาน
และขับขานวาจาในวิวาห์
แด่เจ้าสาวผู้แสนดี
“ข้าอาจจะชักชวนเจ้ามาด้วยบทกวี แต่มันจะไม่มีทางเป็นบทอำลาอย่างแน่นอน”
นัยเนตรนั้นส่องประกายด้วยความมาดมั่นต่อผู้เป็นที่รักยิ่งกว่าสิ่งใด
หากแต่ความฝันยังคงเป็นความฝัน ต่อให้พยามสักเท่าไร คืนพรุ่งนี้จะยังคงปรากฏพร้อมกับกาลเวลาอันหมุนเวียนในแต่ละวินาที และภาพฝันในการค้นพบยังคงเป็นเพียงแค่เรื่องโกหก
“เจ้ายังคงยืนยันในคำตอบนั้นงั้นรึ...?” องค์ราชาถามด้วยเสียงทุ้มหนัก “ยังคงมีเวลาตัดสินใจเสมอ จนกว่าทรายเม็ดสุดท้ายจะร่วงหล่น ถึงตอนนั้น แม้อยากจะกลับคำ วาจาของเจ้าก็ไร้ผล”
ในห้องนี้มืดสนิทเหมือนครั้งนั้นไม่มีผิด หากแต่ผู้ที่อยู่เบื้องหน้านี้คือองค์ราชาหาใช่พระนางผู้สูงศักดิ์ไม่ ในพระหัตถ์เปี่ยมอำนาจได้รองรับนาฬิกาทรายที่ต้องแสงไฟจากเชิงเทียนจนสะท้อนเป็นประกาย ด้วยเม็ดแห่งกาลภายในช่างเปล่งประกายสมกับที่สร้างสรรค์ขึ้นจากทองคำ
ณ ที่นี้ไม่มีใครอื่นจะสามารถเกลี่ยกล่อมอีกต่อไป เนื่องจากผลการตัดสินควรเป็นที่สดและหยุดลงแค่นั้น ไม่น่าเชื่อว่าเด็กหนุ่มเบื้องหน้าพระองค์กลับเป็นฝ่ายยอมรับความปราชัย หาใช่การคุกเข่าอ้อนวอนต่อการความพ่ายแพ้อย่างที่คาดคิดไว้ ดูเหมือนว่าฟิลลิปป์จะสร้างความประหลาดใจแก่พระองค์ไม่น้อยเลยทีเดียว
เขาไม่อาจ ‘กล้า’ มองการไหลเวียนของเวลาในชั่วโมงแห่งการตัดสินนี้เลย
“ท้ายที่สุดนี้ยังมีรางวัลปลอบใจผู้แพ้เสมอ” องค์ราชากล่าวอย่างเมตตา “เจ้าทำให้บุตรชายของข้าได้มีความสุขมาเนิ่นนาน แม้ความสุขจะทำให้เขาทำตัวเหลวไหลไปมากและไม่เคยกล่าวอรุณสวัสดิ์ต่อใครมาตลอดห้าปี มันก็เหมาะสมดีสำหรับการพักผ่อนอันสงบสุข”
ฟิลลิปป์หลบตาลงในความมืด สถานที่แห่งนี้คือสถานที่ตัดสินต่อเรื่องราวในสามเดือนมานี้ พระองค์ได้ทำถูกต้องในการสร้างความมืดมิดให้ปกคลุม หากว่าสว่างไสวเกินไปมากกว่านี้ เขาคงต้องรับรู้ต่อใบหน้าที่สะท้อนเงาในกระจกเป็นแน่ เขาหวั่นเกรต่อความใจอ่อนในภาพเงานั้นมากเกินไป
รางวัลสำหรับผู้พ่ายแพ้งั้นรึ...? เพราะความปรารถนาสูงสุดนี้ช่างโลภมากจนเกินไป องค์ราชาไม่สามารถตอบรับความหวังเหล่านี้หรอก แต่ใช่ว่าคนที่กำลังพร่ำบ่นดุจจะอ้อนวอนกึ่งยอมรับโชคชะตา จะไร้ซึ่งความต้องการใดๆในจิตใจ มางสิ่งที่ควรจะเป็นมานานแล้ว และพระองค์หรือทุกคนต้องตอบรับต่อคำวอนขอนี้
“ก่อนนี้ เจ้าหญิงเดเนียร์ได้กล่าวกับข้าพระองค์ไว้ เจ้าชายนั้นกำเนิดขึ้นเพื่อตอบรับต่อสิ่งที่เจ้าหญิงไดอาน่าควรเผชิญ หากวันหนึ่งโลนอนซิลต้องผูกสัมพันธไมตรีกับแคว้นใดสักแห่งด้วยการวิวาห์” ดวงตาอันแน่วแน่ของเด็กหนุ่มมองจรดเข้าไปในนัยเนตรของผู้ปกครองเหนืออาณาจักรอย่างไม่หวั่นเกรง “ในเวลานี้เจ้าหญิงได้เข้าสู่อ้อมกอดของชายที่นางรักและเลือกเขา ด้วยความแข็งแกร่งของสายสัมพันธ์นี้คงจะเพียงพอสำหรับโลนอนซิลแล้ว”
องค์ราชาไม่เข้าใจต่อสิ่งที่เด็กหนุ่มผู้อ่อนทั้งวัยวุฒิและประสบการณ์กำลังจะเอื้อนเอ่ย ทว่า สิ่งหนึ่งที่พระองค์รู้คือความเด็ดเดี่ยวเป็นของจริง
“หากวันหนึ่ง สตรีที่เข้าหลงรักหาใช่เจ้าหญิงเลิศเลอจากใด หรือกระทั่งไร้ซึ่งความต้องการต่อการวิวาห์ ข้าพระองค์อยากให้ฝ่าบาทช่วยเขาสองประการ หนึ่งนั้นคืออย่าทำให้เขากลายเป็นเพียงผู้มีตำแหน่งหลักลอย โปรดมอบอำนาจของเจ้าชายอย่างตรงไปตรงมา ส่วนประการที่สอง ข้าพระองค์มิได้วอนขอต่อฐานะของราชา หากแต่วอนขอต่อฐานะบิดาของฝ่าบาท ได้โปรดให้ความรักและห่วงใยเขาเสมือนบุตรแท้ๆและทำลายเกราะอันห่อหุ้มเขาลงเถิด ในใจลึกๆของเขาเองก็กำลังรู้สึกว่าฝ่าบาทเป็นบิดาและครอบครัวของเขาอย่างแน่นอน โปรดทำให้ทุกอย่างไม่อยู่ในม่านอันขุ่นมัวได้ไหมพะยะค่ะ”
ตำแหน่งหลักลอยกระนั้นรึ...? คงจะจริงดังที่เด็กหนุ่มผู้นี้ว่า แม้จะได้อำนาจในการควบคุมกองทหารก็ตาม การมีส่วนร่วมจะเกิดขึ้นเมื่อจำเป็นต้องใช้อำนาจในฐานะของเจ้าชายเข้าช่วย ซึ่งมันไม่ต่างจากการเป็นแขนขวาของราชาในการควบคุมรถศึกเลยสักนิด ทั้งที่เป็นเช่นนั้น พระองค์กลับเข้าใจมาตลอดสำหรับการเพียงพอต่อซิลเวอร์ โดยไม่ได้ฉุกคิดถึงการโดนเหยียดหยามอยู่ลึกๆจากบรรดาขุนนางทั้งหลาย หรืออาจจะทราบดี...แต่กลับแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น
สำหรับคำขอในประการที่สองของฟิลลิปป์ พระองค์อดยิ้มเยาะต่อวาจานั้นไม่ได้ ยิ้มเยาะต่อตัวเด็กหนุ่มและพระองค์เอง เจ้าชายผู้กล่าวอย่างถ่อมตนอยู่เสมอว่า ‘ไม่ต้องการสิ่งใด’ ได้พูดพร่ำรำพันให้อีกฝ่ายฟังว่าอย่างไรบ้างหนอ มีสิ่งใดที่พูดให้คนรักซึ่งพบพานเพียงแค่ห้าปีได้ แต่กลับกล่าวต่อบิดาไม่ได้งั้นรึ...?
เด็กหนุ่มรีบปฏิเสธในคำกล่าวนั้นโดยไว ดูเหมือนว่าองค์ราชาจะเข้าใจสิ่งใดผิดพลาดไปเสียแล้ว หากว่าบุรุษผู้เปี่ยมอำนาจได้หันกลับมามองบุตรต่างสายโลหิตสักนิด พระองค์จะรับรู้ได้ทันทีว่าสิ่งที่เขาต้องการจะสื่อให้พระองค์รับรู้คือความห่วงใยเอาใจใส่ หาใช่ข้าวของประดับเกียรติยศไม่ สิ่งเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องใช้คำพูดเลย ขอเพียงพระองค์อย่าได้ละเลยและพยามเปิดใจของเขาออกมาก็พอแล้ว
องค์ราชาลุกขึ้นจากบริเวณที่แสงเชิงเทียนส่องถึง พลางเปิดม่านรับแสงจากดวงจันทราขึ้นสิบสามค่ำ อีกไม่กี่เสี้ยวเท่านั้น...เจ้าจันทร์เอ๋ย อีกไม่กี่เสี้ยวเจ้าก็สามารถสว่างไสวส่องสะท้อนต่อสิ่งทั้งมวลในโลกานี้ หากแต่ไม่ว่าจะผ่านคืนวันอันเต็มดวงไปกี่ครั้ง เจ้ากลับไม่สามารถแสดงความจริงในใจคนได้เลย...
ตั้งแต่ครั้งที่ซิลเวอร์ยังเป็นเด็ก เขามักจะแสดงตนในฐานะของพี่ชายและผู้ปกป้องต่อเจ้าหญิงน้อยเสมอ นั่นทำให้องค์ทั้งสองรู้สึกพึงพอใจยิ่งนัก กล่าวซ้ำไปซ้ำมาต่อเด็กน้อยไร้เดียงสา ‘เจ้าเกิดขึ้นมาเพื่อปกป้องนาง’ และคำชมนั้นคือ ‘เจ้าดูแลนางได้ดีมาก’
จนไม่ทราบว่านานเท่าไร ใบหน้าของเขาแย้มยิ้มได้ต่อทุกคนที่พบพาน เขายืดอดเสมอว่าตนเองคือผู้เดียวที่ปกป้องเจ้าหญิงได้ แต่หลายครั้งที่ผ่านเลยสิ่งต่างๆไปอย่างไม่คิดสนใจ ราวกับไม่มีสิ่งใดที่สำคัญต่อเขาเลย
ทุกอย่างเคยสงบสุขและเรียบร้อยมาตลอด จนกระทั่ง การถกเถียงครั้งแรกได้กำเนิดขึ้นมาเมื่อเด็กหนุ่มแปลกหน้าได้ปรากฏตัว เป็นครั้งแรกที่องค์ราชาพบว่าเขายกดาบขึ้นอย่างไม่เกรงกลัว แม้ว่าปลายดาบนั้นจะหันมาทางผู้ดำรงฐานะอยู่เหนือทุกสรรพสิ่งก็ตาม และดาบนั้นได้ถูกเก็บลงก็เพราะเด็กหนุ่มคนเดิมอีกครั้งเพื่อปกป้อง ในตอนนั้นเอง พระองค์เริ่มครุ่นคิดขึ้นมา ทำไมกันหนอ...คนคนหนึ่งซึ่งไม่มีอะไรเลย กลับทำให้เจ้าชายได้ลุกขึ้นออกจากวงกลมและพันธนาการอย่างช้าๆ
คำตอบนั้น พระองค์เพิ่งพบในค่ำคืนนี้เอง...เพราะคนตรงหน้านี้มิได้ต้องการพันธนาการเขาไว้เลย กลับประคองไว้ด้วยอ้อมกอดอันห่วงใย มองลึกเข้าไปในหัวใจ คอยดูแลเยียวยาทุกบาดแผลด้วยห้วงเวลาที่อยู่ด้วยกัน ในทางกลับกัน นั่นกลับเป็นสิ่งที่คอยเหนี่ยวรั้งไว้ได้ดีที่สุด จะมีสิ่งใดเหนี่ยวรั้งใจได้ดีกว่าใจด้วยกันอีกเล่า ราชาผู้ปกครองเหนืออาณาจักร ย่อมเขาล่วงรู้ดีที่สุด พระองค์ใช้หัวใจแลกกับความภักดีของผู้คน หาใช่เงินตราหรือสิ่งล้ำค่าประการใดเลย
แต่การเดิมพันย่อมเป็นการเดิมพัน ในเมื่อเขาไม่ได้บอกชื่อของบุคคลใดมาเลย เงื่อนไขของผู้แพ้ปรากฏอย่างชัดเจน และพระองค์ยินยอมต่อความวอนขอนั้นอย่างเรียบร้อย ถึงกระนั้นก็อดเสียดายไม่ได้ เนื่องจากการสานสัมพันธ์กับโอเทล์มในครั้งนี้นับว่าราบรื่น แม้ว่าจะต้องตกลงเจรจาปัญหากันอีกหลายอย่าง ดูเหมือนราชินีแห่งอาณาจักรฝ่ายนั้นจะมีความคิดตรงกัน นั่นคือการปฏิเสธสงคราม มันคงไม่มีอะไรเลวร้ายวุ่นวายไปมากกว่านี้ได้อีกแล้ว ซึ่งหมายความว่าซิลเวอร์เองก็ไม่จำเป็นต้องฝืนวิวาห์กับใครอีกต่อไป เด็กหนุ่มตรงหน้านี้น่าจะได้ในสิ่งที่ตนสร้างขึ้น ทั้งความรู้สึกและตัวตนของคนรัก...
องค์ราชากลับมานั่งที่เดิมอีกครั้งเพื่อเชื้อเชิญให้เขาเข้าร่วมการแข่งขันหมากรุก รวมทั้งอดหัวเราะขบขันไม่ได้ว่าสตรีผู้เป็นที่รักก็เคยเชื้อเชิญเช่นนี้ด้วย อาจเป็นเพราะการเดินหมากช่วยในการสร้างสมาธิได้ดี แต่ที่แน่นอนกว่านั้นคือยื้อเวลาในการพูดคุย
“หากว่าเจ้าได้รับชัยชนะอีกครั้ง ข้าอาจจะให้เวลาสำหรับการเดิมพันเพิ่มขึ้น” องค์ราชากล่าวทีเล่นทีจริง อย่างน้อยก็แสดงให้พระองค์รับรู้ถึงความตั้งใจอันแรงกล้าหน่อยเถิด “เพราะนาฬิกาทรายไม่ได้มีเรือนเดียวในโลก รวมทั้งที่โลนอนซิลแห่งนี้ด้วย...จริงไหม?”
แทนที่จะได้สนทนากันอย่างที่ตั้งใจ พระองค์กลับมุ่งมั่นอยู่กับการเล่นเพียงอย่างเดียว เนื่องจากท่าทีอันเคร่งขรึมของคู่ต่อสู้ไม่ได้บอกถึงแผนการเลย เป็นการเดินไปเรื่อยๆจนฝ่ายตรงข้ามหวาดหวั่น เหตุเพราะคู่ต่อสู้ไม่เคยรุกไล่ แต่ในขณะเดียวกันก็ปกป้องตัวหมากแต่ละตัวได้เป็นอย่างดี ชวนให้เกมนี้ครั้งเร้าใจมากยิ่งขึ้น
“ข้าเพิ่งเข้าใจคำถามขององค์ราชินีในวันนี้เอง” องค์ราชาเดินตัวหมากสำคัญตัวต่อไปเพื่อตัดสิน “ในความจริง นางอาจจะชาญฉลาดกว่าข้าในบางเรื่องก็ได้...ในบางเรื่องเท่านั้น”
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.5 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ