The Silver Mask

9.8

เขียนโดย ปรัสรา

วันที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2555 เวลา 04.04 น.

  10 บท
  0 วิจารณ์
  15.95K อ่าน
แชร์นิยาย Share Share Share

 

7) ลำดับที่ 8

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

ฟิลลิปป์ตื่นขึ้นมาโดยไม่รู้สึกอ่อนล้าอย่างที่ผ่านมา  อาจเพราะหลายคืนก่อนเขาได้รับคำสั่งจากไดอาน่าให้เก็บตัวอยู่ภายในห้องเพียงอย่างเดียว  แม้จะไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้นก็ตาม  นั่นเพราะแววตาของเจ้าหญิงไม่ได้อนุญาตให้ถามสิ่งใดทั้งสิ้น  เขาจึงไม่อาจรู้ได้เลยว่าเป็นเรื่องวุ่นวายแบบไหน  หรือซิลเวอร์ซึ่งไม่ได้มาพบเขาย่างเข้าเช้าวันที่สาม  จะเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยหรือไม่  หากว่าไม่ได้รับอันตรายก็คงดีไม่น้อย...

หากแต่เสียงฝีเท้าอันคุ้นเคยราวกับเรียกให้ผู้กังวลหันไปมอง  โคเรนซ์กล่าวทักทายกับเขาอย่างพร้อมรอยยิ้มอันอบอุ่น 

หลังจากเวลาที่ฟิลลิปป์ไม่อาจรู้สึกถึงเขาได้เหมือนเช่นเคย  นั่นเป็นสองวันที่เขาคิดทบทวนหลายสิ่งหลายอย่าง  ก่อนจะมาพบกับคนรักอีกครั้งด้วยรอยยิ้มอันเสมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น  แม้ในใจจะผิดหวังอยู่อย่างเงียบๆ  ไม่เป็นไร วันสิ้นสุดการเดิมพันยังไม่ยุติลง  บางทีคนตรงหน้านี้อาจจะเปลี่ยนใจ  ถึงอย่างไรทุกสิ่งก็เตรียมการไว้พร้อมแล้ว

ฟิลลิปป์ก้มหน้าลงด้วยน้ำเสียงอันเป็นกังวล  ถามเขาเกี่ยวกับเหตุวุ่นวายอันเกิดขึ้นอย่างเงียบๆ  คำถามนั้นแฝงไว้อย่างชัดเจนเกี่ยวกับเรื่องของอัศวินสีเงิน

“ข้าไม่ใคร่จะแน่ใจในรายละเอียดนัก  เพราะมีเพียงไม่กี่คนที่ได้เข้าร่วมในเหตุการณ์นั้น  แต่โปรดวางใจเถิด ทุกอย่างได้จบลงอย่างเรียบร้อย”  ซิลเวอร์เผลอเอื้อมไปกิบกุมมือคู่นั้นไว้อย่างแผ่วเบา  “ข้าดีใจที่ท่านยังคงเป็นห่วง  เพราะหลายเรื่องราวมันทำให้ข้าเป็นกังวลทีเดียว”

“ข้าเองก็เช่นกัน  หลายวันมานี้เจ้าดูแปลกไป  ราวกับต้องการห่างเหินกับข้า”  ฟิลลิปป์ก้มหน้าลงโดยไม่ได้ถอนมืออกจากการสัมผัสแต่อย่างใด  ช่างเป็นความอบอุ่นอันคุ้นเคยจนเขาไม่อยากละทิ้ง  “มันทำให้ข้ารู้สึก...กลัว”

ทั้งที่คำกล่าวเหล่านั้นกำลังเอื้อนเอ่ยมาสู่เขาอย่างไม่ปิดบัง  คนที่อยู่ในประโยคทั้งหมดกลับเป็นคนอื่น  ซิลเวอร์ได้แต่ร่ำร้องอยู่ในใจดุจต้องการจะเว้าวอนต่อโชคชะตา  ถึงกระนั้น แววตาอันเศร้าสร้อยของอีกฝ่ายเป็นสิ่งที่เขาสนใจมากกว่า  อัศวินสีเงินมองไปยังฝ่ามือที่กำลังสอดประสานกัน  ก่อนจะโน้มกายเข้าไปโอบกอดคนรักอย่างถือวิสาสะในฐานะของโคเรนซ์  แม้ร่างกายอันแข็งขืนจะต่อต้านในตอนแรก  มันก็เริ่มผ่อนลงทีละน้อย

กลิ่นกายอันหอมหวานเสมือนขจัดความขุ่นหมองในจิตใจไปได้เป็นอย่างดี  ผู้สวมบทบาทอันมากหลายก้มลงใกล้จะจุมพิตเรียวปากสีแดงชาดนั้นเสมือนตกอยู่ในห้วงเสน่หาจนลืมสิ้นทุกสิ่ง  ลืมว่าสิ่งที่ตนเป็นคือทหารยามหน้าห้องผู้คุ้มกันความปลอดภัย  หาใช่เจ้าชายหรืออัศวินกลางราตรีไม่

หากแต่คำกล่าวเดียวได้หยุดเขาไว้ได้  ฟิลลิปป์เอ่ยมันออกมาเสมือนจะเตือนสติของผู้ที่ถือวิสาสะโอบกอดเขา  “ข้ารักซิลเวอร์...เพียงคนเดียว”

“งั้นหรือ”  โคเรนซ์จำแลงอาจยุติการจุมพิตนั้นก็จริง  หากแต่ไม่คิดจะปลดปล่อยคนรักจากอ้อมกอดของตน  เขาเป็นอัศวินสีเงินผู้นั้น  ไม่ว่าใครจะมองมาแบบไหนก็ตามที  “ในเมื่อท่านรักเขาและเขาเองก็รู้สึกไม่น้อยไปกว่ากันเลย  ไฉนจึงไม่ออกเดินทางไปกับเขา  หากเป็นวินาทีนี้ ไม่ว่าจะเป็นคำสั่งของใครหรือกฎเกณฑ์ประเภทไหน  มันก็ไม่สำคัญอีกต่อไปแล้ว  ข้าหมายถึง...หากเขาได้ชักชวน”

“คนที่ข้ารักคือเจ้าชาย”  คำพูดของฟิลลิปป์เปล่งออกมาเป็นดั่งสายฟ้าฟาดสำหรับใครหลายคน  รวมทั้งตัวของผู้ฟังซึ่งไม่คาดคิดว่าจะได้ยิน  รึว่าการที่เขาแสดงตนคล้ายซิลเวอร์จะทำให้ถูกจับได้เสียแล้ว?  หากเป็นเช่นนั้นไยจึงต้องพูดถึงเรื่องฐานันดรหรือกระทำราวกับกำลังพูดอยู่กับโคเรนซ์ตัวจริงกัน  ไยจึงไม่เปิดหน้ากากนี้ออกมาพูดคุยกันอย่างชัดเจน?

แต่ประโยคต่อมาฟิลลิปป์กลับแตกต่างจากความในใจของอัศวินสีเงินโดยสิ้นเชิง  ผู้ที่กำลังรู้สึกว่าตนดำรงฐานะท่ามกลางความไม่แน่ใจของตัวคนรักได้พูดทั้งหมดออกมา  ทั้งการเดิมพันหรือแม้แต่ความรู้สึกในเบื้องลึก  แม้จะไม่เคยบอกกับใคร  ทว่า เขาล่วงรู้ถึงความกังวลในหัวใจของคนรัก  ในช่วงแรกของการเข้ามาพักในปราสาทแห่งนี้  ถึงจะสัมผัสถึงตัวซิลเวอร์ได้อย่างไร  ก็ไม่เคยค้นพบตัวจริงในบรรดาคนมากมายที่เขาแฝงตัวอยู่เลยสักครั้ง  นั่นเป็นเรื่องที่ติดค้างอยู่ในใจเขามาโดยตลอด  แม้ว่าคนรักจะกล่าวอ้างอย่างไร  หากต้องการให้เขาปลดเปลื้องความจริงออกมา  ย่อมไม่แฝงเร้นแนบเนียนถึงเพียงนั้นเป็นแน่

แล้ววันหนึ่ง เมื่อเจ้าหญิงเดเนียร์ได้บอกเรื่องราวทั้งหมดแก่เขา  ผู้ที่เพิ่งเข้าใจทุกสิ่งก็ได้คำตอบอันข้องใจมาเนิ่นนาน  ต่อให้รู้สึกว่าครอบครัวต่างสายเลือดจะคือพันธนาการตั้งแต่เป็นทารกแรกกำเนิด  สายสัมพันธ์อันไม่อาจมองด้วยดวงตา  ทว่า ปรากฏขึ้นในหัวใจได้ถูกถักทอขึ้นมาอย่างเงียบงัน  หากว่าเขาเปิดหน้ากากออกมาเมื่อไหร่  ก็คงต้องออกเดินทางไปพร้อมกันและไม่ได้พบกับพวกเขาอีก  ความกังวลในเบื้องลึกซึ่งเจ้าตัวยังไม่อาจรับรู้ได้แสดงออกมาอย่างชัดเจน

โคเรนซ์กัดริมฝีปากของตัวเองแน่น  ต่อให้ในใจเสี้ยวเล็กได้คิดว่าอีกฝ่ายพูดถูกต้องทุกอย่างก็ตาม  “ท่านไม่เข้าใจว่าเจ้าชายเจอเรื่องใด...”

“ความทุกข์จากความไม่เท่าเทียมกับความสุขและความอบอุ่นอันได้รับจากผู้ที่เป็นประหนึ่งบุพการี  มันช่างขัดแย้งกันในใจของเขาเหลือเกิน  ข้าจะดึงรั้งเขามาโดยยังปล่อยให้ความสับสนกัดกินใจไม่ได้”  ผู้พูดสบตากับคนรักอย่างหนักแน่น  “ข้าไม่ใช่คนดี เลิศเลอหรือเปี่ยมด้วยคำว่าเมตตา  แต่เป็นความเห็นแก่ตัวของข้า  เขาเติบโตขึ้นมาอย่างเพียบพร้อม  แล้ววันหนึ่งกลับต้องกลายเป็นคนธรรมดาไร้ฐานันดร  ซ้ำยังอาจจะไม่ได้เจอกับครอบครัวอีก  ในตอนแรกที่ข้าพบกับซิลเวอร์  แววตาของเขาแฝงเร้นด้วยความเศร้าหมอง  อย่าให้ข้าเป็นฝ่ายทำให้มันปรากฏขึ้นเป็นครั้งที่สองอย่างไม่อาจแก้ไขเลย  ข้ากลัวสิ่งเหล่านั้นเหลือเกิน  เพราะเจ้าหญิงไดอาน่าเคยกล่าวชื่นชมข้าจากคำพูดของเขา  ข้าอยากเป็นเช่นนั้นให้นานที่สุด...มันก็เท่านั้นเอง”

อัศวินสีเงินมองคนที่ปลดปล่อยตนเองจากอ้อมแขนของคนรักราวกับไม่เข้าใจ  ทั้งที่ในเบื้องลึกกลับรู้สึกว่าทุกอย่างชัดเจนไร้ซึ่งข้อสงสัย  เขาก้มลงมองฝ่ามือของตนเองอันปรากฏไออุ่นของคนตรงหน้า  มันยังคงปรากฏและไม่จางไปหายจากวันนั้นเลย  ไม่ว่าอย่างไร ฟิลลิปป์ก็ยังคงเป็นเสมือนนางฟ้าในใจของเขาเสมอ

คำถามบางอย่างได้ทิ้งท้ายก่อนออกจากห้องนี้  เป็นคำถามอันเปี่ยมด้วยความไม่แน่ใจในยามเปล่งออกไป  ใช่ว่าเขาจะไม่เชื่อมั่นในตัวฟิลลิปป์  หากแต่เขานั้นคือโคเรนซ์ เป็นเพียงแค่ทหารยามหน้าห้องอันไม่ได้มีสัมพันธ์พิเศษลึกซึ้งใดๆเลย  เหตุใดเมื่อครู่จะปล่อยกายให้เขาได้โอบกอดกัน...?

ผู้ถูกถามนิ่งไปชั่วอึดใจดุจไม่คาดคิดกับคำถามนั้น  ก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงอันทดท้อ  “นั่นเพราะบางอย่างในตัวเจ้า  ทำให้ข้าเผลอคิดไปว่าคนรักของข้าได้ปรากฏอยู่ข้างกายแล้ว  หากแต่ข้าอยากจุมพิตกับคนที่สามารถเรียกได้อย่างสนิทสนม  ไม่ใช่กับคนที่ข้าพูดคุยด้วยในฐานะมิตรสหาย...มันก็เท่านั้นเอง”

ซิลเวอร์รู้สึกว่าตนเองกระทำผิดลงไปอย่างบรรยายออกมาไม่ได้  เพราะความจริงก็ใช่ว่าฟิลลิปป์จะถูกคนอื่นใดโอบกอด  ถึงกระนั้น ก็ยังคงเอ่ยถามบางสิ่งออกไปด้วยอันไร้ซึ่งความมั่นใจ  โดยที่ตนยังไม่อาจแน่ใจว่าเกรงว่าจะเสียมารยาทหรือกังวลกับคำตอบกันแน่  “แต่ท่านจะรังเกียจไหม  หากว่าข้าอยากจะลองสัมผัสท่านเช่นนั้นอีกสักครั้ง”

คราวนี้ฟิลลิปป์ยิ้มออกมาบางๆ  “หากเจ้าได้คำตอบจากเจ้าชายว่าตกลง  ข้าก็คงไม่ขัดข้องเช่นกัน  แน่นอนว่าสิ่งนี้สำหรับเจ้าเพียงคนเดียวเท่านั้น  ในฐานะของสหายที่ล่วงรู้ว่าเราทั้งสองอยู่ในฐานะเช่นใด”

บุคคลผู้ถูกเอ่ยถึงทั้งที่กำลังสนทนากัน  รู้สึกถึงความนัยและรอยยิ้มของผู้กล่าวอย่างชัดเจน  เขาอยากจะอนุญาติให้โคเรนซ์กระทำล่วงเกินมากกว่าสัมพันธ์ของมิตรสหาย  ทว่า ถ้าเมื่อไหร่ที่เขาสัมผัสเช่นนั้นในฐานะโคเรนซ์อีกเป็นครั้งที่สอง  โดยอ้างการยืนยันจากตนเองในฐานะของซิลเวอร์  เมื่อนั้นฟิลลิปป์คงหมดเยื่อใยกับเขาไม่ว่าในทางใดก็ตาม

อย่างน้อยเขาก็โล่งใจได้เสมอว่าฟิลลิปป์ไม่คิดจะกระทำสิ่งใดมากเกินไปอีก  เพียงเพราะคนคนนั้นมีไออุ่นที่เหมือนกันกับเขา  แม้ว่าคนที่ว่าจะเป็นตนเองจริงๆก็ตาม!

 

รอยยิ้มของเจ้าหญิงไดอาน่ายังคงงดงามและหวานรับกับเสียงอันนุ่มนวล  ไม่ปฏิเสธอาคันตุกะซึ่งได้เปิดเผยตนเองในยามค่ำคืน  สิ่งเหล่านี้ไม่อาจบอกได้เลยว่านางรู้สึกเช่นไร  แม้ว่าองค์ราชินีจะกล่าวกระซิบให้พวกเขาได้สนทนากันอย่างมีมิตรไมตรีก็ตาม

ฟิลลิปป์ซึ่งร่วมรับประทานอาหารเช้าด้วยกัน  ค่อนข้างแปลกใจในเรื่องราวทั้งหมดพอสมควร  แม้ว่าสตรีนักฆ่าจะปลอมตนเป็นเจ้าหญิงเดเนียร์  สิ่งที่นางกล่าวเกี่ยวกับการเดิมพันและซิลเวอร์ดูจะไม่ใช่คำเท็จประการใด  อีกทั้ง เขาไม่อยากจะไต่ถามอะไรในสถานการณ์นี้นัก  เนื่องจากเจ้าชายผู้นั่งตรงกันข้ามมาจากอาณาจักรศัตรูของโลนอนซิล  ความสัมพันธ์อันละเอียดอ่อนไม่ใช่สิ่งที่ควรกล่าวออกมาพร่ำเพรื่อ

เจ้าหญิงรวบช้อนลงเป็นสัญลักษณ์ของการรับประทานเสร็จโดยยังคงรอยยิ้มต้อนรับไว้เสมอ  ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้โอซิลริคค่อนข้างกังวลในการสบตากับนาง  เขาไม่ค่อยมั่นใจในรอยยิ้มนั้นเท่าไหร่นัก  แม้ว่าในความเป็นจริงจะเป็นรอยยิ้มอันไม่ได้ฝืนใจแสร้งทำแต่อย่างใด  อาจเป็นเพราะเรื่องวุ่นวายในช่วงหลายวันมานี้ที่เขาได้กระทำหลายสิ่งอย่างลงไป  ซึ่งมันค่อนข้างจะเป็นการเสียมารยาทต่อนางมากทีเดียว  ดังนั้น นี่จึงเป็นมื้ออาหารที่เปี่ยมด้วยความอึดอัดสำหรับเจ้าชายต่างแดนเหลือเกิน

ซิลเวอร์ในคราบองครักษ์หน้าห้องเดินเข้ามาใกล้ฟิลลิปป์  ซึ่งเจ้าหญิงสบตาแฝงแววความต้องการจะสนทนาของคนที่กำลังกลัดกลุ้มพอดี  นางจึงสนับสนุนการชักชวนของพี่ชายอีกแรงหนึ่ง

 

เมื่อเดินเข้ามาในสวนวงกตอันร่มรื่นในยามเช้า  ประโยคแรกของผู้ถูกชักชวนได้กล่าวหยอกเย้าเกี่ยวกับการขออนุญาตจากเจ้าชาย  นั่นทำให้โคเรนซ์อดเก้อเขินขึ้นมาไม่ได้  อันความจริงเขาเองก็เป็นฝ่ายเริ่มต้นทั้งหมด  เพียงแค่อีกฝ่ายไม่ได้ปฏิเสธกลับตั้งใจจะกลับทำล่วงเกินมากจนล้ำเส้น  หากว่าคำพูดนั้นไม่ได้หยุดไว้  พวกเขาทั้งสองอาจจะมองกันด้วยความรู้สึกอันยากจะบรรยายในกลางราตรีแล้วก็เป็นได้  ทั้งที่เป็นเช่นนั้น กลับกลายเป็นว่าเขาตั้งคำถามไม่เชื่อมั่นขึ้นมาแทน

“ไม่หรอก  หากข้าปฏิเสธขึ้นมาตั้งแต่ต้นก็คงไม่เกิดเรื่องชวนเข้าใจผิดแบบนี้”  ฟิลลิปป์กล่าวขึ้นมาพร้อมรอยยิ้มอันอ่อนโยนแกมหงอยเหงา  “แต่ข้าไม่ได้โกหกเรื่องความคล้ายคลึง  อาจเป็นเพราะข้ากำลังกังวลเรื่องเขาอยู่ก็ได้  ข้าไม่รู้ว่าเจ้าชายจะคิดอย่างไรเกี่ยวกับคำตอบในเรื่องนั้น  หรือแม้แต่กำลังผิดหวังในตัวข้า  แต่การได้พบรอยยิ้มของเจ้าทำให้ข้าสบายใจขึ้นมากทีเดียว  ถึงจะมีเรื่องวุ่นวายเล็กๆเกิดขึ้นก็ตาม”

ซิลเวอร์ยิ้มให้กับคำพูดนั้นพร้อมทั้งนั่งลงข้างกายผู้พูดในศาลาเล็กๆใจกลางสวน  ซึ่งดูเหมือนการเข้ามาที่นี่จะทำให้ฝ่ายหลังเริ่มคุ้นชินกับเส้นทางแล้ว

ทั้งที่บรรยากาศในกลางค่ำคืนช่างโรแมนติคจนราวกับความฝัน  ตอนกลางวันกลับแตกต่างจนราวกับเป็นอีกสถานที่หนึ่ง  เปี่ยมด้วยเสียงของนกที่ร้องเพลงอยู่ในสวน  สายลมเย็นสบายไม่เหน็บหนาว  แสงแดดอ่อนโยนส่องสว่างไปทั่วทั้งบริเวณ  ทั้งยังคงความสดชื่นจากกลิ่นของต้นไม้อันหอมละมุน  เป็นความสดใสช่วงสายของวันที่เยี่ยมยอดทีเดียว

ผู้ที่กำลังสบายใจกับสิ่งต่างๆได้พูดถึงงานวิวาห์อย่างนึกสนุก  เมื่อคู่บ่าวสาวจะต้องปิดตาเดินเข้ามายังใจกลางเพื่อทำพิธี  โดยคนทั้งสองต้องจับมือกันเพื่อก้าวเข้าไปจนถึงจุดหมายเสมือนผ่านทุกข์สุขมามากมาย  จนกว่าจะได้พบกับ่งที่รอคอยมันช่างยากเย็นเหลือเกิน  ทั้งที่เป็นเช่นนั้น ยังมีมือคู่หนึ่งที่จับกันไว้ไม่ปล่อยคลาย  ราวกับมีเส้นด้ายสีแดงแห่งรัก[1] ได้ตวัดพันเกี่ยวพร้อมด้วยหัวใจอันเชื่อมั่น

ความอบอุ่นปะปนด้วยความใฝ่ฝันดุจจะแผ่ซ่านออกมาในขณะที่ฟิลลิปป์กำลังพูดถึงเรื่องต่างๆ  กอปรกับแสงแดดอันสดใสกับสายลมโชยพัดมาเป็นจังหวะดั่งระลอกคลื่นทะเล  เขาคงไม่อาจรู้ตัวได้ว่าภาพนี้งดงามมากเพียงไร  ดั่งวีนัสผู้งดงามกำลังเปล่งบทเพลงแห่งรักออกมาให้กับชายผู้เป็นรักแท้ของนาง  บทเพลงอันไพเราะอ่อนโยน  ปราศจากมลทินแห่งความลวงหลอกหรือภาพมายาใด  บทเพลงอันเผยหัวใจอันเต็มเปี่ยมด้วยความรู้สึกที่งดงามเกินกว่าใคร

มือทั้งสองของโคเรนซ์ดึงชักชวนให้ผู้ใฝ่ฝันออกไปสู่ปากทางเข้ากะทันหัน  จนคนที่ยังไม่ทันตั้งตัวถึงกับตกใจ  ก่อนจะตาคู่นั้นจะถูกปิดบังอย่างนุ่มนวล  “ในเมื่อท่านเคยคิดว่าข้าเป็นคนรักมาแล้วหนึ่งครั้ง  โปรดวางใจให้ข้านำทางไปสู่ใจกลางของเส้นทางอันซับซ้อนได้หรือไม่  ในตอนนี้ข้าได้แต่ชักนำไปเท่านั้น  เพียงแต่เมื่อวันที่ท่านได้ตอบตกลงต่อคำถามอันแสนสำคัญนั้น  เจ้าชายจะเป็นฝ่ายพาท่านเดินไปด้วยกัน  ด้วยมืออันพันเกี่ยวกันไว้ด้วยหัวใจ”

ซิลเวอร์ค่อยๆเดินออกไปอย่างช้าๆ  แม้ว่าจังหวะการเดินของพวกเขาจะยังสับสนจนผู้ถูกปิดตาแนบเข้ามาใกล้ชิดขึ้นเรื่อยๆก็ตาม

สิ่งสำคัญไม่ใช่จุดหมายปลายทางซึ่งถูกกำหนดไว้อย่างแน่นอน  แต่เป็นเสียงหัวใจอันเต้นรัวแรงเป็นจังหวะในแต่ครั้งละ  เป็นความสุขและความสงบอันไว้วางใจได้ในการออกเดินแต่ละก้าว  เป็นหนทางที่มีสิ่งต่างๆรายล้อมอย่างมากมายในแต่ละเส้น  หรือแม้แต่เป็นความรักอันก่อตัวขึ้นมาในแต่ละวินาที  ทั้งสองล้วนรับรู้ในสิ่งนี้อยู่เสมอ

หากว่าการก้าวเดินนี้เปรียบเสมือนหนทางระหว่างเรื่องราวของพวกเขาจริงๆ  ซิลเวอร์มั่นใจว่าตอนนี้ตนเองกำลังจับมือกับคนรักอย่างแนบแน่น  ถึงบางครั้งจะอ่อนล้าจนมือคู่นี้เกือบจะคลาย  หรือหนามจากพุ่มไม้อันคดเคี้ยววกวนจะเป็นอุปสรรคต่อการสัมผัสกันไว้  ไม่ว่าอย่างไร พวกเขาก็ยังคงผสานกันไว้ด้วยความรักและเชื่อมั่นในทุกก้าวย่างอันเคียงข้างกัน

เขาเองก็ได้แต่วาดหวังอยู่ในใจอันไม่ยอมแพ้  สักวันจะต้องเป็นโอกาสของเขาบ้าง  ในเวลาอันโรยด้วยกลีบกุหลาบอันหอมหวาน  อยู่ ณ ใจกลางของสวนวงกตอันเป็นจุดหมาย  กล่าวคำตอบรับดุจดั่งกำลังเป็นคู่บ่าวสาวในพิธีวิวาห์  เพียงแค่ฟิลลิปป์ไม่ปล่อยมือหนีไป  เขาจะทำให้อีกฝ่ายได้พบกับสายรุ้งแห่งความสุขสม  ทิ้งอุปสรรคอันเกี่ยวข่วนจนเจ็บปวดไว้เบื้องหลัง

“หากข้าจะเป็นอัศวินผู้สวมหน้ากากของท่าน  ข้าคงจะวอนขอให้ท่านไว้วางใจในสิ่งที่เราสองคนได้เลือกเดิน”  ซิลเวอร์กล่าวกระซิบ  “มันอาจเป็นหนทางอันซับซ้อน  แต่ไม่ว่าอย่างไร มือนี้จะจะยังคงจรดจับกันไว้”

“หากเจ้าเป็นอัศวินผู้สวมหน้ากากของข้า  เจ้าจะไม่ต้องวิงวอนใดเลย  เพราะหัวใจและความเชื่อมั่นของข้าได้มอบให้ท่านอย่างเต็มเปี่ยม"  ฟิลลิปป์กล่าวตอบ  “ปลายทางนั้นจะต้องเป็นความสุขที่เจ้ารอคอย  คนรักเพียงหนึ่งเดียวของข้า”

ดวงตาคู่นั้นถูกเปิดออกรับแสงสว่างอีกครั้ง  ใจกลางสวนอันปรากฏอยู่เบื้องหน้าช่างงดงามเหนือคำบรรยาย  โดยมีคำหยอกเย้าของเจ้าชายผู้ไม่อาจเผยตัวตนได้ปรากฏขึ้น  “หากท่านจะจุมพิตด้วยการจินตนาการว่าข้าเป็นคนรัก  วินาทีนี้ข้าคงจะไม่ปฏิเสธ  และเจ้าชายจะต้องเข้าใจดีว่าเรียวปากของท่านหวานละมุนเพียงไรในยามที่เราสองต่างแนบสัมผัสกัน”

 

เจ้าหญิงวางน้ำชาลงตรงหน้าของโอซิลริคอย่างนุ่มนวล  ใบหน้าคงรอยยิ้มอันขบขันเล็กน้อยเอาไว้  ใช่ว่านางจะไม่รู้ว่ากำลังรู้สึกเช่นไร  แต่ในเมื่อเขาอยากจะให้นางน่าเกรงขามขึ้นมา  เวลานี้เขาคงจะสัมผัสมันได้อย่างเต็มเปี่ยม...โดยที่นางไม่จำเป็นต้องทำอะไรมากนักเลย

ความเงียบปกคลุมไปทั่วห้อง  จนเจ้าหญิงรู้สึกว่าเวลาผ่านไปอย่างสูญเปล่ามากเกินพอ  นางยืนยันมั่นเหมาะว่าเรื่องที่ผ่านมาไม่สำคัญเลยสักนิด  ไม่ว่าจะเป็นล่อหลอกในงานเลี้ยงของราชินีอะเล็ตก้าหรือว่าการพูดคุยเรื่องดอกหญ้าในหม่บ้านของพวกฟิลลิปป์

ใบหน้าของคู่สนทนาฉายแววหนักแน่นขึ้น  “ถ้าเป็นอย่างหลัง  ข้าหวังว่าท่านจะลองคิดดูใหม่”

ไดอาน่าพยักหน้ายิ้มๆให้เขาลองเล่านิทานเรื่องนั้นก่อน  คำพูดที่ได้เริ่มไว้ทำให้นางพอจะจับเค้าโครงได้บ้าง  ไม่แน่ว่าตอนที่ยังเยาว์วัย  เขาและนางอาจเคยพบกันในที่ใดสักแห่ง  อาจได้สนทนากันเสมือนคนทั่วไปที่อยู่ในชนชั้นเดียวกันโดยไม่รู้ตัว

 

ย้อนกลับไปเมื่อสิบสองปีก่อน  ณ ปราสาทของราชินีอะเล็ตก้า  ซึ่งขึ้นชื่อว่าซับซ้อนในเส้นทางสำหรับผู้ที่ยังไม่คุ้นเคยมากทีเดียว  หนึ่งในนั้นคือเจ้าหญิงเจ้าชายน้อยต่างอาณาจักร  ซึ่งได้มาพบกันโดยบังเอิญ 

ทางเดินอันมืดมิด  มีเพียงแสงจันทราที่สาดส่องเข้ามา  แม้ว่าโอซิลริคในวัยสิบเอ็ดปีจะกังวลมากเพียงไร  เขาก็ไม่อาจแสดงความหวั่นเกรงออกมาให้เด็กหญิงที่มีอายุเพียงเจ็ดปีได้พบเห็น  ด้วยวัยที่มากกว่าและเพศที่ต้องแสดงความแข็งแกร่งปกป้อง

ถึงกระนั้น การเดินด้วยกันเงียบๆคงจะไม่ดี  เจ้าชายแห่งโอเทล์มคิดจะแนะนำตัวก่อน  อย่างน้อยได้ผกมิตรไว้ในสถานการณ์เช่นนี้อาจมีประโยชน์ในภายภาคหน้า  ราชินีของอาณาจักรเคยสอนเอาไว้

“ผู้ใหญ่ทุกคนคงสอนให้เด็กผูกมิตรกันแน่  และการแนะนำตัวเป็นสิ่งที่ดี”  ไดอาน่าแสดงใบหน้าจริงจัง  “แต่ถ้าพวกเรามาจากอาณาจักรอันขัดแย้งกันล่ะ?  ท่านแน่ใจว่าการค้นหาทางกลับจะราบรื่นเหมือนในตอนนี้รึ”

วาจาฉะฉานของเด็กหญิงทำให้โอซิลริคนึกเอ็นดูแกมหมั่นเขี้ยว  นึกในใจว่าหากพบกันในวันหน้า  เขาคงต้องหาทางเอาคืนให้ได้สักครั้ง  แต่ในตอนนี้เขาเห็นด้วยกับนาง  ถึงแม้ว่าเส้นทางอันคุ้นเคยจะยังไม่ปรากฏ  อย่างน้อยเพื่อนร่วมทางที่สามารถพูดคุยโดยไม่ตั้งแง่ได้  มันก็นับว่าดีไม่น้อยเลย

ไดอาน่ามองพระจันทร์แล้วทำหน้าไม่สู้ดีนัก  เนื่องจากเมื่อครู่นี้นางเพิ่งปฏิเสธการเดินมาด้วยกันของพี่ชาย  หากว่านางไม่ดื้อรั้นพยามจะทำอะไรด้วยตัวคนเดียวโดยไม่ฟังคำเตือน  ตอนนี้เพื่อนร่วมทางคงมีมากกว่าเดิมให้อุ่นใจเพิ่มขึ้น

“แต่เขาไม่ค่อยได้ออกงานเท่าไหร่  ข้าเลยคิดว่าการให้คนอื่นๆได้ทำความรู้จักบ้างน่าจะเป็นสิ่งที่ดี”  นางพยักหน้าหงึกหงักเหมือนเห็นด้วยในคำพูดของตน  “แล้วเขาก็ชอบปกป้องดูแลข้ามากเกินไป  แล้วก็เอาแต่คิดว่ามันเป็นหน้าที่  เพราะพวกผู้ใหญ่ไม่ดีเอาแต่กรอกความคิดใส่ลงไปไม่เว้นวันน่ะสิ  เขาเป็นพี่ชายข้าไม่ใช่องครักษ์สักหน่อย!

โอซิลริควางมือลูบประหนึ่งจะปลอบโยนในความโกรธเกรี้ยวของเด็กน้อย  ซึ่งนางค่อยๆสงบลงด้วยแววตาอันเซื่องซึม  พลางระบายออกมาให้เขาฟังอีกเล็กน้อยเกี่ยวกับพี่ชาย  แม้จะต่างสายเลือดกัน  นางก็นับถือเขาไม่ต่างจากคนในครอบครัวอันร่วมสายโลหิต  เขานั้นเล่ากลับชอบเก็บกดความคิดแปลกๆไว้ในใจเสมอ  แต่ส่วนหนึ่งอาจเพราะองค์ราชาและราชินีมักปฏิบัติให้เขาต้องกระทำประหนึ่งอัศวินก็เป็นได้  ทั้งที่องค์ทั้งสองเองก็ผูกพันกับเขาอย่างมากมาย...นางรู้ดี

เจ้าชายน้อยยังคงกล่าวปลอบโยน  นั่นเป็นเพราะองค์ทั้งสองปราถนาจะให้พี่ชายของนางได้ทำหน้าที่อย่างสมบูรณ์  นั่นหาใช่ความใจไม้ไส้ระกำไม่  แต่เป็นการคาดหวังต่อการดูแลเด็กหญิงตัวน้อยต่างหาก  ถึงบางครั้งมันอาจจะดูโหดร้ายเพราะโอซิลริคพอจะเดาออกว่าการที่มีเจ้าชายอีกคนขึ้นมาเป็นเพราะอะไร  มันเป็นความหวังดีต่อเจ้าหญิงน้อยอันเป็นดวงใจเล็กๆที่หล่อหลอมขึ้นมาจากความรักและหัวใจสองดวง

“แต่พี่ชายของข้าเองก็อยากได้สิ่งเหล่านั้นเหมือนกัน”  นางอดแย้งขึ้นมาไม่ได้

“หากสิ่งที่ท่านเดา...ไม่สิ หากสิ่งที่ท่านดูออกถึงความรักขององค์ทั้งสองที่มีต่อเขาไม่ใช่เรื่องโกหก  รับรองว่าวันนั้นจะต้องมาถึงอย่างแน่นอน”  เจ้าชายน้อยกล่าวเพื่อเพิ่มความรู้สึกดีลงไปในใจของเด็กหญิงข้างกาย  ซึ่งนางพยักหน้ารับเหมือนจะวาดหวังขึ้นมาเช่นกัน  “อันที่จริง ข้าเดาได้ว่าทุกอาณาจักรจะต้องมีการขัดแย้งกับใครสักคน  อาณาจักรของข้าเองก็เช่นกัน  แต่ว่าองค์ราชินีของเราปรารถนาสันติสุขมากกว่า  ทางท่านล่ะ...หากว่าได้อำนาจในบัลลังก์ของอาณาจักรมา  ท่านจะบดขยี้ศัตรูเลยหรือไม่”

โอซิลริคอดชะงักกับคำถามของตนไม่ได้  เจ้าหญิงน้อยที่มีอายุเพิ่งมีอายุเพียงแค่เจ็ดปีจะสนใจในเรื่องเหล่านี้ได้อย่างไร  หากว่านางเหมือนบตรสาวของขุนนางบางคน  นางคงสนใจในสีสันของเสื้อผ้าและเครื่องแต่งกายมากกว่า  หรือหากนางเป็นคนใฝ่รู้ก็ย่อมกระทำตนเคร่งขรึม  อาจจะมีหนังสือปรัชญาสักเล่มอยู่ในมือ

เจ้าหญิงไดอาน่าไม่ได้เคร่งขรึมหรือสนใจในสีเสื้อผ้า  นางชอบสวมชุดที่ดูน่ารักงดงามประดับด้วยสีชมพูที่สุด  นั่นเพราะได้อิทธิพลมาจากเจ้าหญิงในนิทาน  นางชอบเรื่องราวความรักอันแว่วหวานในวรรณกรรมคลาสสิกเช่นกัน  แม้บางครั้งจะมีวลีอันเข้าใจยากจนต้องนำกลับไปคิดทบทวนใหม่  ทว่า ความรู้สึกของตัวละครทั้งสองอันสะท้อนผ่านออกมา  นางสัมผัสมันได้ด้วยใจเสมอ

นางไม่อาจบอกคำตอบของคำถามนั้นได้  เพราะอนาคตคือสิ่งไม่แน่นอน  หากว่าในวันนี้เป็นศัตรู  วันหน้าอาจผูกมิตร  หรือแม้แต่มิตรอันมีสัมพันธ์ดีเรื่อยมา  อาจปันใจไปเข้าร่วมกับศัตรูอย่างง่ายดาย

“ท่านต้องจำคำกล่าวของใครมาอย่างแน่นอน”  เจ้าชายโอซิลริคยิ้มรับกับดวงตาอันแสดงอาการค้อนเล็กๆ  “งั้นไม่แน่ว่าพวกเราอาจจะเป็นศัตรกันอยู่ก็เป็นได้  ถึงกระนั้น ในอนาคตเราอาจได้เข้าพิธีวิวาห์เพื่อตอบรับด้วยรักอันบริสุทธิ์แบบที่ท่านชื่นชอบ...

เป็นอีกครั้งที่ผู้กล่าวเพิ่งนึกถึงอายุของคู่สนทนาได้  นั่นเป็นเพราะวาจาของนางแก่แดดแก่ลมเหลือเกิน  เขาจึงได้เผลอกล่าวด้วยคำพูดประหนึ่งคนอายุเท่ากัน

“อายุของท่านเพิ่งสิบเอ็ดปี  แม้จะมากกว่าข้า  ถึงอย่างไรเราต่างก็ยังเป็นเด็กในสายตาของผู้ใหญ่เสมอ”  เจ้าหญิงไดอาน่าขมวดคิ้ว  “เมื่อเติบโตขึ้น ท่านคงมี คนสนิท เยอะแยะอย่างแน่นอน”

สีหน้าของโอซิลริคแสดงความต่อต้านออกมาอย่างชัดเจน  “หมายถึงผู้หญิงน่ะรึ?  ข้าไม่คิดว่าการสนทนาเพื่อยกยอปอปั้นสตรีจะมีประโยชน์อย่างไร  หากว่าสตรีนางนั้นมิได้ทำประโยชน์อันใดแก่เราเลย  แน่นอนว่าการที่ข้าพูดคุยกับท่านเพื่อหวังผูกมิตร  ใช่ว่าจะกอบโกยผลประโยชน์จากเพื่อนร่วมทางเป็นอย่างเดียวแน่”

ประโยครั้งท้ายช่างตรงไปตรงมาดีเหลือเกิน...เจ้าหญิงน้อยคิดว่าตนบรรยายความรู้สึกไม่ถูกว่าควรจะชอบหรือโมโห  ทว่า ทุกคนบอกให้มองด้านดีของผู้อื่นมากกว่าด้านร้าย  จึงจะเกิดสันติและความสุขอันคุ้มค่า  งั้นนางก็ควรจะเลือกประการแรก

เมื่อพบว่าอาการของนางไม่ได้ปั้นปึ่งหรือว่าพูดจาหยอกเย้ากลับมาเหมือนสตรีที่มีอายุมากกว่า  เจ้าชายน้อยค่อนข้างจะชอบใจในตัวของเพื่อนร่วมทางขึ้นมามากทีเดียว

“ท่านอาจจะไม่เชื่อ  แต่ท่านเป็นเด็กผู้หญิงคนเดียวที่ข้าพูดคุยด้วยแล้วสบายใจ”  เด็กน้อยผู้สูงศักดิ์กล่างชื่นชม  “หวังว่าพบกันคราวหน้า ท่านคงไม่กำลังแต่งตัวปะทินโฉมเข้มเขียวเหมือนพวกท่านน้าทั้งหลายหรอกนะ”

เจ้าหญิงไดอาน่าส่ายหน้าโดยพลัน  แม้นางจะนิยมในการมองและนับสีสันบนใบหน้าของหญิงสาวเหล่านั้น  แต่ครั้นจะแต่งเองก็ออกจะน่าหวาดผวา  ค่าที่บางคนเคยปะทินโฉมด้วยสีสันดุจรุ้งกินน้ำเลยทีเดียว  ซึ่งในสายตาของเด็กหญิงคิดว่ามันน่าขบขันมากกว่าสวยงาม

“ข้าเคยนับได้มากกว่านั้น  เพราะนางยื่นใบหน้าเข้ามาไม่หยุดหย่อน”  โอซิลริคทำท่าเกรงๆ  ก่อนจะขึงขังขึ้น  “แต่ข้าพูดจริงๆเรื่องมิตรและศัตรู  หากว่าในท้ายที่สุดเราเป็นศัตรูกัน  เมื่อโตขึ้นข้าจะลองไปพบปะพูดคุยเพื่อขอท่านวิวาห์  ถึงอย่างไร ข้าคงไม่คิดจะเข้าพิธีวิวาห์กับผ้มีสีสันบนใบหน้าดุจรุ้งกินน้ำเป็นแน่”

 

ประโยครั้งท้ายทำให้ไดอาน่ากลืนน้ำชาลงได้อย่างยากเย็น  ก่อนจะแอบเหลือบมองเงาอันสะท้อนในกระจกบริเวณนั้น  ใบหน้าของนางเป็นเช่นไรกันหนอ  ใช่ว่านางจะหวั่นเกรงว่าเขาจะเปลี่ยนใจเรื่องพิธีวิวาห์  แต่อย่างน้อยนางก็กังวลว่าจะถูกเหน็บแนมเรื่องการเปลี่ยนความตั้งใจเมื่อเติบโตขึ้น

นางวางแก้วชาลงอย่างช้าแล้วคลี่ยิ้มออกมาเบาบาง  เป็นยิ้มอันจืดเจื่อนไม่น้อย  “ท่านได้พบกับข้าเมื่อสิบสองปีก่อน  ผู้ที่ท่านคุ้นเคยและสนทนาด้วยคือเจ้าหญิงแปลกหน้า  หาใช่เจ้าหญิงไดอาน่าแห่งโลนอนซิลไม่”

นางไม่แปลกใจในการล่วงรู้ว่าเด็กหญิงตัวน้อยนั้นคือใคร  นั่นเพราะนางเองก็ต้องศึกษาประวัติและราชวงศ์ของหลายอาณาจักร  รวมทั้งคู่แค้นอันดับหนึ่งอย่างโอเทล์ม  จะต่างกันก็ตรงที่นางไม่ได้ฝังใจในเรื่องใดในตัวของเด็กชายวัยสิบเอ็ดปีคนนั้นจนจดจำใบหน้าของเขาไว้ชัดเจน  ผิดกับเขาที่คอยติดตามรับข่าวสารในช่วงเวลาต่างๆของนาง  ซึ่งราชาแห่งโอเทล์มค่อนข้างกลัดกลุ้มในเรื่องนี้ทีเดียว

โอซิลริคกล่าวว่าตนยังไม่เปลี่ยนความคิดเรื่องการสานสัมพันธไมตรีด้วยพิธีวิวาห์  อันความจริงแล้วความบาดหมางระหว่างอาณาจักรเกิดขึ้นเพราะความขัดแย้งทางความคิดระหว่างสองราชวงศ์  อย่างน้อยถ้ามันยุติลงได้  ผลประโยชน์จำนวนมหาศาลก็จะปรากฏขึ้นให้แก่บรรดาชาวเมือง

เจ้าชายกระแอมเล็กน้อย  “นั่นไม่ได้หมายความว่าข้าปรารถนาจะเข้าพิธีวิวาห์กับท่านเพียงเพื่อผลประโยชน์หรอกนะ”  คำพูดจาของเขาไม่ได้เปลี่ยนไปเท่าใดเลย  นั่นทำให้เจ้าหญิงรู้สึกขบขันขึ้นมาเล็กน้อย

“หากท่านจะขอความรักจากสตรีนางไหน  ท่านควรพูดออกมาตรงๆ  การพูดถึงผลประโยชน์ไม่ใช่แนวทางที่ดีนักหรอก”  ไดอาน่าแนะขึ้นด้วยความเพลิดเพลิน  “ข้ายังคงชื่นชมในวรรณกรรมรักเฉกเช่นเดิม  แน่นอนว่าหากท่านจะพูดถึงผลประโยชน์  ย่อมต้องคิดถึงเรื่องอุปสรรและการต่อต้าน  ใช่ว่าการขัดแย้งของเราไม่เคยปะทุขึ้นมาเลย  หลายคนยังคงฝังใจในการเป็นศัตรูระหว่างอาณาจักรของเราทั้งสอง”

โอซิลริครับรู้ในข้อแม้ประการนั้นดี  แต่หากปล่อยให้ความขัดแย้งลากยาวต่อไปในหน้าประวัติศาสตร์  ความเกลียดชังของผ้คนคงจะฝังลึกลงไปมากกว่านี้  หรือหากในอนาคตจะมีการเปลี่ยนแปลงไปสู่สิ่งที่ดีกว่า  ไยจึงไม่ริเริ่มตั้งแต่ในวันนี้เพื่อความสงบสุขของคนหมู่มาก

คำว่า ‘ความสงบสุข’ ที่เขากล่าวถึงนั้น ไดอาน่ารับรู้อย่างชัดเจนว่าหมายถึงเช่นไร  ก่อนหน้านี้เขาเคยอธิบายเกี่ยวกับการเข้ามาในโลนอนซิล  ซึ่งเป็นการสืบหาว่าสตรีผู้ไม่ปิดบังหน้าตาในการบุกเข้ามาหมายชีวิตของเขา  คือเจ้าหญิงไดอาน่าตัวจริงหรือไม่  อนึ่ง เขาอยากจะมาสืบค้นให้มั่นใจว่านางเปลี่ยนไปจากตอนนั้นจริงหรือ  แม้จะไม่กล่าวออกมาอย่างชัดเจน  ท่าทีของเด็กหญิงผู้นั้นไม่ใช่ท่าทีของคนที่เห็นสงครามดีกว่าความอดยากของประชาชน

แม้จะมีน้อยคนที่รู้หรือความจริงของสตรีนักฆ่าถูกเปิดเผย  สงครามอันรอชนวนปะทุมานานก็อาจจะไม่ถูกยับยั้ง  นอกจากเจ้าชายจะมายังดินแดนแห่งนี้พิสูจน์ความจริงต่อความบริสุทธิ์ของเด็กหญิงตัวน้อยที่เขาเคยพบเมื่อสิบสองปีก่อน  เขายังมาเพื่อหาทางยุติเหตุขัดแย้งอันพร้อมจะประกาศศึกทุกเมื่อ

“ท่านคงจะรู้ว่างานวิวาห์เหล่านี้อาจต้องจัดก่อนที่เราจะได้พูดคุยหรือทำความเข้าใจ”  ไดอาน่าแสดงความหนักใจออกมาไม่น้อย  “ข้าอาจจะเป็นเจ้าหญิงแห่งโลนอนซิล  แต่ในขณะเดียวกันก็ ‘เป็นเพียง’ เจ้าหญิงเช่นเดียวกัน  ข้าไม่อาจใหคำตอบที่ชัดเจนกับท่าน  แน่นอนว่าหากมีหนทางในการหยุดยั้งเหตขัดแย้งอันอาจจะเกิดได้ในภายหน้า  ข้าเองก็พร้อมจะทำเช่นเดียวกัน  สงครามไม่ได้หมายถึงเลือดเนื้อหรือชีวิตของผู้เข้าร่วมศึกทั้งสองฝ่ายเท่านั้น  ผลกระทบของมันยังมีมากกว่าที่ใครหลายคนเข้าใจ”

โอซิลริคแสดงสีหน้าไม่มั่นใจต่อสิ่งที่เจ้าหญิงพูดนัก  พร้อมทั้งบอกข้อตกลงระหว่างตนกับองค์ราชินีแห่งโลนอนซิล  พระนางเองก็ปรารถนาสันติสุขเช่นเดียวกัน  ถึงกระนั้น หากว่าบุตรีของนางจำต้องเข้าพิธีวิวาห์กับชายผู้ที่นางไม่คิดจะฝากความไว้วางใจ  นางเองก็พร้อมจะหันหน้าเข้าปะทะยังดีเสียกว่า  ซึ่งหากว่าทุกอย่างลงตัวพร้อมพรัน  การสานสัมพันธไมตรีอาจถูกจัดขึ้นในหนึ่งเดือนข้างหน้า

ไดอาน่าสะดุดใจในตัวเลขเหล่านั้น  ก่อนจะพบว่าเวลาเหล่านั้นน่าจะใกล้เคียงกับวันตัดสินต่อการเดิมพันระหว่างองค์ราชาและซิลเวอร์  พระนางคงจะรู้ดีว่าบุตรีย่อมปรารถนาให้พี่ชายอยู่ร่วมงานวิวาห์กับตน  ก่อนจะออกเดินทางไปพร้อมกับคนรักผู้เป็นความสุขอันเปี่ยมล้นในหัวใจ

อาจเพราะบางอย่างในใจของเจ้าหญิงไดอาน่าปรากฏเด่นชัดในแววตา  ยามนึกถึงความรักอันแว่วหวานของพี่ชายกับสหายคนสำคัญ  โอซิลริคจึงสบมองนัยเนตรสีชาดคู่นั้นด้วยความหนักแน่น  “ข้าพร้อมจะทำทุกสิ่งเพื่อให้ท่านได้รับรู้ในหนึ่งเดือนนี้  รับรู้ว่าข้าได้ฝังใจกับท่านมาโดยตลอด  รับรู้ว่าเด็กผู้ไม่ประสาในวันนั้นยังไม่เคยลืมแม้แต่ประโยคสั้นๆหรือสุ้มเสียงของท่าน”

“ข้าไม่ได้ปรารถนาต่อสิ่งนั้นมากนัก”  เจ้าหญิงไดอาน่าเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม  หากแต่เป็นรอยยิ้มอันทดท้อยิ่งนัก  นางเองก็ไม่เข้าใจเลย  แต่ความจริงที่ว่านางไม่ได้ตกหลุมรักหรือให้ความสนใจในตัวบุรุษคนใดนั้นเป็นเรื่องจริง  แล้วเวลาเพียงไม่ถึงสองเดือนจะมีใครสามารถงั้นหรือ...?  แน่นอนว่าไม่มีความจำเป็นต้องกังวลไป  นางสามารถกล่าวได้ว่ารักเจ้าชายจากโอเทล์ม  หากนั่นจะยุติข้อบาดหมางอันนำไปสู่เรื่องราววุ่นวาย  เพราะนางเป็นเจ้าหญิงแห่งโลนอนซิล  ย่อมทำทุกอย่างเพื่อโลนอนซิล

โอซิลริคกล่าวอย่างเข้าใจในตัวของสาวน้อยอันเป็นที่รัก  ก่อนจะถือวิสาสะยกมือเรียวอันบอบบางขึ้นมาทาบหัวใจอันเต้นเป็นจังหวะของตนอย่างเนิ่นนาน  “ไม่ใช่ว่าท่านไม่เคยรักใคร  เจ้าหญิงไดอาน่า  แต่ทุกสิ่งได้เหนี่ยวรั้งท่าน  ทั้งเกียรติยศ ชื่อเสียง หรือแม้แต่อำนาจ  จนท่านไม่อาจรู้สึกถึงสิ่งนั้นได้  และในตอนนี้ ชายผู้ที่อยู่เบื้องหน้าท่านไม่ได้ยึดติดต่อเครื่องพันธนาการเหล่านั้น  เขาหลงรักเด็กหญิงตัวน้อยผู้ไร้นามในวันนั้น  ต่อมา เขาหลงรักหญิงสาวผู้มีมาดและท่วงท่าอันงดงามในงานเลี้ยง  และเขายังคงตกหลุมรักเป็นครั้งที่สามกับสตรีผู้อ่อนโยนในคืนกองไฟยามเดินทาง  ซึ่งนางพยามอย่างเต็มที่เพื่อรอยยิ้มของสหายคนสำคัญ”

สาวน้อยรู้สึกถึงบางอย่างอันแฝงมาในวาจาเหล่านั้น  หาใช่คำโป้ปดใดเพื่อหวังหมายปองเจ้าหญิงเพื่อยศฐาดังที่เคยพบพานไม่  แต่เป็นบางสิ่งอย่างที่นางคุ้นเคยดี  บางสิ่งอย่างที่ปรากฏขึ้นในยามที่ตัวละครทั้งสองในวรรณกรรมรักได้เอ่ยกล่าวต่อกัน  บางสิ่งอย่างที่พี่ชายของนางแฝงเร้นมาเสมอเมื่อพูดถึงคนรักเพียงหนึ่งเดียว  บางสิ่งอย่างที่องค์ราชาราชินีมีให้กันเสมอไม่เสื่อมคลาย...

บางสิ่งอย่างนั้นช่างอ่อนโยน  หวานหอมและน่าทะนุถนอม  สิ่งนั้นคือ ‘ความรู้สึกอันเปี่ยมด้วยรัก’ จากใจของคนคนหนึ่งสู่อีกคนหนึ่ง  และในตอนนี้ โอซิลริคได้มอบแววตาที่มีสิ่งนี้อยู่อย่างเต็มเปี่ยมแก่นาง

“โปรดปลดปล่อยหัวใจของท่านออกมาเถิด...ไดอาน่า  ข้าไม่ได้ต้องการสิ่งใดมากไปกว่านั้น  ท่านไม่เคยเป็นภาพใฝ่ฝันหรือละเมอของข้า  แต่ท่านคือ ‘ตัวจริง’ ที่ไม่ว่าจะต้องพยามมากเท่าไร  ข้าก็ปราถนาจะได้กล่าวความรู้สึกนับพันครั้งกับหญิงสาวผู้อยู่ตรงหน้าข้านี้  กล่าวอีกครั้งและอีกครั้งว่าข้าจะรัก จะปกป้อง จะอยู่เคียงข้างนางเสมอ...”

 


[1]บางตำนานกล่าวคู่แท้จะมีด้ายแดงเกี่ยวนิ้วก้อยกันไว้  

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.5 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา