The Silver Mask
9.8
5) ลำดับที่ 6
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความพระจันทร์ในคืนนี้ขึ้นแปดค่ำ แม้ไม่ได้มืดมิดดั่งคืนเดือนดับ แต่ก็ไม่อาจสว่างเท่าคืนแห่งจันทร์เต็มดวง
คณะเดินทางของเจ้าหญิงไดอาน่าเพิ่งออกจากอาณาจักรคอนชายส์ได้ไม่นานนัก หลังพักอยู่ที่นั่นหนึ่งคืนเพื่อเตรียมตัวสำหรับการกลับไปยังโลนอนซิล
เหล่าองครักษ์จัดเวรยามรักษาการณ์บริเวณโดยรอบกระโจมตรงกลางอย่างหนาแน่น กองไฟขนาดย่อมนี้เป็นส่วนของเหล่าเชื้อพระวงศ์ แยกออกจากอีกด้านหนึ่งขององครักษ์ซึ่งมีขนาดใหญ่กว่าตามจำนวนคนและความจำเป็น ไม่เว้นกระทั่งองครักษ์ผู้อาจหาญ เสี้ยมสอนนางต่อการวางตัวอย่างงามสง่า
ไดอาน่าเคยคิดว่าการให้เขาได้อยู่ร่วมกับกององครักษ์เป็นสิ่งไม่ดีนัก หากว่าเขาคิดจะผูกมิตรชักจูงให้ผู้คุ้มกันความปลอดภัยของนางเปิดช่องว่างหรือลอบทำการสืบข้อมูลบางอย่าง หากแต่การที่เขาเข้ามาในตำแหน่งนี้ได้ คงจะไม่เหลือปราการใดให้ต้องพยามขวางกั้นแล้ว อีกทั้ง องค์ราชินีไม่ใช่คนประมาท พระนางคงสืบค้นประวัติของชายผู้นี้อย่างถ้วนถี่แน่ชัด
แววตาของเจ้าหญิงจับจ้องยังคนคู่หนึ่งตรงหน้า ทั้งที่เป็นการเอนอิงกันท่ามกลางความหนาวเย็นรอบกาย อันตัดกันกับความอบอุ่นของกองไฟตรงกลาง นัยเนตรของพวกเขายังคงเปี่ยมด้วยความห่วงหาอาทรซึ่งกันและกัน เป็นความแปลกใจในตัวเองอยู่ลึกๆของสาวน้อยผู้เกิดมาอย่างสูงศักดิ์ ทั้งที่ชื่นชอบในวรรณกรรมรักอันแสนหวาน ทั้งที่ใบหน้าก็ไม่ได้เป็นสองรองใคร หากแต่สิบแปดปีที่ผ่านมา ไฉนนางจึงไม่เคยรู้สึกถึงสิ่งที่เรียกว่า‘ความรัก’ จากใจจริงมาก่อน ได้แต่เฝ้ามอง สดับฟัง เรื่องราวของคนคู่แล้วคู่เล่า
อาจเป็นเพราะคำว่า ‘เจ้าหญิง’ เสมือนบางสิ่งที่ขวางกั้น ไม่อาจยินยอมให้นางมองใครอย่างจริงจัง
ภาพของสะเก็ดไฟที่แตกระยิบดูสวยงามก็จริง แต่ก็น่าเบื่อเสียจนเกินบรรยาย ด้วยเสียงอันโลดแล่นขึ้นมาไม่เป็นจังหวะจนแทบจับความไพเราะแทนดนตรีขับกล่อมในค่ำคืนนี้ไม่ได้ ซิลเวอร์พบว่าตัวเองนั้นกำลังรู้สึกถึงความผิดปกติบางอย่างจากคนรักข้างกาย
กุหลาบงามของเขากำลังคิดอะไรอยู่ในใจหรือ? ตั้งแต่เดินทางออกจากคอนชายส์ ดูเหมือนว่าจะสิ่งติดค้างในใจอย่างบอกไม่ถูก ทั้งการนอนพักเคียงข้างกันในสองค่ำคืนที่อาณาจักรนั้น ฟิลลิปป์ได้โอบกอดเขาไว้แน่นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในงานเลี้ยงคืนแรก...
“เจ้าเป็นอะไรหรือเปล่า” เขาอดถามไถ่ขึ้นมาไม่ได้ หากแต่ผู้แอบอิงยังคงไม่เอ่ยกล่าวอะไรอย่างตรงไปตรงมา
“ไม่หรอก...” ดวงตาของฟิลลิปป์หลุบลงเล็กน้อย “ไม่เลยสักนิด หากท่านยังอยู่เคียงข้างข้าเช่นนี้”
ไม่มีคำพูดตอบกลับจากอัศวินสีเงิน ทว่า...อ้อมกอดอันโอบเข้ามาแนบกายจนได้ยินเสียงหัวใจที่เต้นเป็นจังหวะ มันเพียงพอแล้วสำหรับเวลา อันเปี่ยมด้วยห้วงคำนึงในค่ำคืนนั้น
ทาสหนุ่มคนนั้นผละออกอย่างตกใจ พลางวิ่งสวนหนีไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งให้ฟิลลิปป์ยืนเผชิญสายตาอยู่กับองค์ราชินีอะเล็ตต้า!
ผู้ที่ได้มาพบเห็นการกระทำอันผิดความคาดหมายสำหรับองค์ราชินีผู้สูงศักดิ์ เปี่ยมด้วยความสง่าและความเก่งกาจรอบด้านไม่แพ้บุรุษ ไม่คาดฝันว่าความซับซ้อนจะนำทางมาจนพบเจอเรื่องราวเหล่านี้ เขารีบกล่าวขออภัยในสิ่งบังเอิญนี้ หากแต่ไม่อาจผละจากไปดังหวัง เนื่องจากพระนางเรียกรั้งไว้ด้วยน้ำเสียงอันเฉียบขาดจนน่าเกรงกลัว
ร่างกายของเขาสั่นเทาขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ อาจเป็นเพราะใบหน้าของสตรีที่แลดูมีความเมตตาอยู่บ้างในงานเลี้ยงเมื่อครู่ แปรเปลี่ยนไปจนกลายเป็นคนน่าหวาดหวั่น ดุจในมือมีคทาที่สามารถพิพากษาเด็กหนุ่มตรงหน้าอย่างไร้ความปรานี ในความผิดที่สับสนเส้นทางจนมาถึงห้องนี้
การกระทำนี้เหมือนจะเป็นความลับ ฟิลลิปป์เข้าใจได้อย่างถูกต้องแทบจะในทันที เพราะฉะนั้นจึงไม่มีใครเข้าออกในบริเวณนี้ แม้แต่องครักษ์หน้าห้องเองก็ยังถูกสั่งห้ามให้ก้าวเข้ามา หลังจากได้เรียนรู้ใกล้ชิดกับชีวิตในฐานะราชวงศ์ของเจ้าหญิงไดอาน่า การไปไหนมาไหนหรืออยู่อย่างเงียบสงัดไร้คนคุ้มครอง นับว่าเป็นการเสี่ยงอันตรายไม่น้อยเลยทีเดียว
พระนางปิดประตูห้องลงกลอนอย่างดีเพื่อกั้นคนขัดจังหวะ ความคมวาวของอาวุธประดับในห้องทำให้ผู้ถูกเชื้อเชิญกึ่งบังคับรู้สึกหวาดผวามากยิ่งขึ้น เขาหาใช่เจ้าหญิงเจ้าชายหรือแม้แต่องค์ราชา หากกำจัดเขาไปคงจะไม่มีผลเสียใดๆ ถึงอย่างไร ทุกคนก็เข้าใจว่าเขาเป็นเพียงแค่คนสนิทไร้ความสำคัญต่อซิลเวอร์อย่างแท้จริง
“ถูกต้อง ราชาแห่งโลนอนซิลไม่มีทางบาดหมางกับเราในเรื่องนี้ หรือไม่แน่ว่า...ข้าอาจจะกำจัดเจ้าอย่างเงียบๆ ไม่ให้พวกเขารู้ก็ได้” เสียงขององค์ราชินีเยือกเย็นจนน่าขนลุก “แต่ข้าไม่ได้ขลาดเขลา หากว่าเจ้าหายไป เจ้าชายผู้นั้นคงไม่มีทางอยู่เฉย แม้จะไม่ก่อสงคราม สิ่งที่ตามมาสำหรับข้ากลับร้ายแรงยิ่งกว่า...”
องค์ราชินีแห่งคอนชายส์ขึ้นสู่อำนาจโดยไร้ราชาเคียงข้าง ด้วยกายาแห่งสตรีเพศจึงต้องพยามทำทุกสิ่งเพื่อไม่ให้ใครได้ดูหมิ่น หรือแม้แต่การขับเคี่ยวกับอำนาจจากฝ่ายต่างๆ ทั้งขุนนางและเชื้อพระวงศ์ด้วยกัน แม้จะใช่ว่าโหดร้าย นางก็ไม่ได้เปี่ยมเมตตาเสียทีเดียว
ราชินีอะเล็ตต้าคิดคำนวณอย่างเข้าอกเข้าใจดี หากว่าเด็กหนุ่มตรงหน้านางนี้หายไป คนรักของเขาย่อมสืบค้นอย่างลับๆโดยนางไม่อาจสกัดกั้นได้หมดทุกทาง หากเป็นเช่นนั้นแล้ว ความสัมพันธ์กับทาสหนุ่มคนนั้นอาจถูกเปิดเผย สำหรับองค์ราชินีที่ไร้ข้อตำหนิ กลับกลายเป็นหญิงผู้คลุกคลีรักใคร่กับทาสชั้นต่ำในปราสาท นั่นไม่ถือเป็นข้อด่างพร้อมที่ยิ่งใหญ่ เป็นรอยโหว่ให้คนอื่นๆโจมตีกันอย่างสนุกสนานหรอกรึ?
ฟิลลิปป์ฟังคำกล่าวเหล่านั้นอย่างนิ่งงัน แม้แต่ตัวเขาเอง ในตอนที่พบพระนางครั้งแรก ยังรู้สึกถึงความสมบูรณ์ในฐานะของนางพญาผู้ปกครองเหนืออาณาจักรอันยิ่งใหญ่ รวมทั้งรู้สึกิดความคาดหมายกับภาพเมื่อครู่ นั่นทำให้ความละอายเปี่ยมล้นขึ้นมาในใจของเด็กหนุ่มโดยพลัน
น้ำเสียงของเขากล่าวออกมาอย่างแน่วแน่ หากเขาไม่บอกใครในเรื่องนี้ก็พอแล้ว ถึงอย่างไรคำพูดของคนไร้ฐานันดรศักดิ์ ซ้ำยังถูกมองว่าเป็นเพียงคนสนิทอันไร้ความสำคัญ ย่อมไม่มีผู้ใดเชื่อถือต่อข้อกล่าวหานี้
“โอ...ใช่ หากว่าคนกล่าวคือเจ้า ไม่ใช่ไดอาน่าหรือพี่ชายของนาง...จริงไหม” น้ำเสียงนางเยียบเย็นเหมือนเช่นเคย ก่อนจะหัวเราะออกมาอ่อนแรงเปี่ยมด้วยความขื่นขม “ความจริงข้าก็รู้...เข้าใจ...และอยากจะยุติความสัมพันธ์เหล่านี้สักทีแล้วเช่นกัน”
พระนางหลับตาลงเสมือนกำลังฉายวนเรื่องราวความลับของตนในวันวาน ก่อนจะลืมตาขึ้นอย่างแข็งกร้าวเฉกเช่นเคย “หากต้องเลือกระหว่างความรักชั่วยามกับอำนาจที่สั่งสมมา ข้าคือสตรีที่ขี่อยู่บนหลังของพยัคฆ์ หากก้าวลงมาเมื่อไหร่ คงไม่วายถูกอำนาจที่เคยมีหันคมดาบเข้าใส่อย่างไร้ปรานีเป็นแน่”
ราชินีอะเล็ตก้าเอื้อมมือมาสัมผัสไหล่ของฟิลลิปป์เบาๆ แรงบีบจากมือของพระนางทำให้เขารู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมาในทันที หากแต่เด็กหนุ่มไม่ได้กล่าวปฏิเสธในสัมผัสอันส่งความคิดอย่างแรงกล้าออกมา แววตาอันรวดร้าวลึกๆข้างในของสตรีผู้มีชาติกำเนิดอันสมบูรณ์ จะขาดก็เพียงคุณสมบัติเล็กๆแค่เพียงข้อเดียวเท่านั้น...แค่เพียงข้อเดียว
“เขา...คนรักของเจ้าก็เช่นกัน เขาเองก็ถูกราชสีห์โอบอุ้มอยู่ แม้ข้าจะไม่อาจรู้อะไรในความรู้สึกของราชาแห่งโลนอนซิล แต่เมื่อถึงวันที่มีหญิงสาวที่คู่ควร ไม่สิ...’ถูกลิขิตว่าต้องคู่ควร’ กับเขาปรากฏขึ้นเมื่อใด เจ้าจะเข้าใจความหมายของข้าเอง” มือขององค์ราชินีเอื้อมไปคลายกลอนประตูช้าๆ พร้อมทั้งกล่าวโดยไม่ได้หันไปมองคู่สนทนา “แม้ข้าจะไม่คิดจะหวนคืนความสัมพันธ์ที่จอมปลอมของทาสชั่วช้า ผู้ล่อลวงข้าให้เผลอใจในภาพมายาคนนั้นก็ตาม แต่ก็หวังว่าเรื่องนี้คงไม่แพร่งพรายไปไหน หวังว่าเจ้าจะเข้าใจ”
ฟิลลิปป์สบตากับนางก่อนจะเดินออกจากห้องที่เกิดเรื่องราววุ่นวายสั้นๆนั่น หมายความว่าองค์ราชินีรู้ทันในแผนการของคนรักมาตั้งแต่ต้นงั้นหรือ? หากเป็นเมื่อห้าปีก่อน เขาคงจะถามพระนางว่าสตรีที่ทั้งเก่งกาจและชาญฉลาด ซ้ำยังเพียบพร้อมด้วยฐานะเงินตรา ไฉนจึงต้องการของไร้ค่าที่เสมือนหลอกใช้ทางอ้อมเช่นนี้ด้วย?
เด็กหนุ่มเดินไปเพียงไม่กี่ก้าวเท่านั้น และเริ่มมองออกไปจากริมระเบียงอันมืดทึบไร้แสงไฟ จะมีก็แต่เสียงจากพระจันทร์ส่องสลัวไม่ให้ทุกอย่างต้องถูกบดบังเท่านั้น
เขาเข้าใจดี...แม้เพียงภาพฝันอันไร้ค่าก็ตาม ในความสุขสมอันเกินจะเอื้อนเอ่ย แค่เพียงสักนาทีเดียวของแต่ละวัน แต่ละคืนเท่านั้น แค่เพียงเท่านั้นที่ต้องการจะไร้ซึ่งกฎเกณฑ์ใดๆ กลายเป็นเพียงคนคนหนึ่งซึ่งได้รับอ้อมกอดอันแสนหวานจากคนรัก
หลายนาทีต่อมาในงานเลี้ยง เขาเห็นองค์ราชินีเดินเข้ามาพูดคุยกับแขกเหรื่อในงานอย่างแจ่มใส เสมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยแม้แต่น้อย...
ไดอาน่าเริ่มอยากโอดครวญต่อความเงียบที่เกิดขึ้นนี้ ที่ผ่านมามักมีคำกลอนเพราะๆหรือเรื่องเล่าแสนสนุกเชิงย้อนความของคนคู่นี้แทนความเงียบสงัดเสมอ หากแต่ค่ำคืนอันน่าเบื่อหน่ายเริ่มย่างกายเข้ามาสองคำรบแล้ว แล้วในคืนที่สามนี้เล่า? จะมีความสนุกสนานดังกล่าวเกิดขึ้นมาได้หรือไม่
ทั้งนางและพี่ชายเริ่มคิดเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นในคอนชายส์ มีอยู่ช่วงหนึ่งที่ฟิลลิปป์หายไปโดยไม่มีใครพบ ก่อนจะกลับมาพร้อมรอยยิ้มที่ไม่สดชื่นเท่าไหร่นัก แน่นอนว่ารอยยิ้มเดิมของเขาใกล้จะหมดความสนใจในงานเลี้ยงมากขึ้นทุกวินาที ตั้งแต่พูดคุยกับแขกคนแรกเริ่มแล้ว
อัสเซลก้าวเข้ามาพร้อมขนมหวานที่ปิ้งไฟจนได้ที่ โดยกล่าวเชื้อเชิญให้บุคคลทั้งสามเข้าร่วมงานสังสรรค์รอบกองไฟที่จัดขึ้น ซึ่งถัดออกไปไม่ไกลและมีเพียงพุ่มไม้กั้นเท่านั้น
เขาได้ยินจากเพื่อนองครักษ์ด้วยกันเกี่ยวกับเจ้าชายอยู่หลายอย่าง ทุกคนล้วนแต่เคารพและสนิทสนมต่อราวกับหนึ่งในมิตรสหาย หากวันใดที่มีการพักค้างอ้างแรมกลางป่าเช่นนี้ ส่วนใหญ่ซิลเวอร์จะรอจนกว่าเจ้าหญิงจะเข้าสู่นิทราเพื่อความปลอดภัย แล้วจึงจะเข้าไปพูดคุยกับการสังสรรค์รอบกองไฟนั้น
แต่ตอนนี้ฟิลลิปป์มาด้วย บางทีซิลเวอร์อาจไม่ต้องการเข้าไปร้องเล่นกับบรรดาองครักษ์เหมือนเก่า อีกทั้งคืนนี้ไม่มีเสียงหัวเราะหรือใบหน้ายิ้มแย้มจากเจ้าหญิงอย่างในการเดินทางรอบแรก บรรยากาศที่เงียบงันมืดมนนี้เป็นที่สังเกตของใครหลายคน ทว่า ผู้ที่กล้าหาญพอจะเข้ามาชักชวนเปิดประเด็นพูดคุยคือองครักษ์ใหม่ผู้นี้ แม้จะรู้ว่าการชักชวนนั้นจะถูกปฏิเสธก็ตาม
“ท่านไม่ต้องรอข้าหลับก็ได้”
ไดอาน่ากล่าวขึ้นเพื่อต่อบทสนทนาจากองครักษ์ใจกล้า ทั้งที่รู้อยู่เต็มอกว่าไม่ใช่เพราะสาเหตุนั้นเสียทีเดียว แต่หนึ่งในข้อแม้หลักคือเด็กหนุ่มที่ขยับจากอิงแอบเขาอยู่ต่างหากเล่า ถึงกระนั้น นางไม่อยากจะให้รอบกายมีแต่ความเงียบงันอีกต่อไป รวมถึงการพูดคุยกันน่าจะทำให้สิ่งค้างคาใจของฟิลลิปป์ลดน้อยลง
อัสเซลเป็นฝ่ายรับช่วงต่อเมื่อเห็นการปฏิเสธซ้ำอีกครั้งของซิลเวอร์ เขาเล่าถึงการร้องเล่นครั้งสำคัญที่เรียกให้ถูกชาวเผ่าในป่าลึกยกกำลังมาโอบล้อม หากแต่การวางกำลังที่มีอัศวินสีเงินเป็นผู้นำย่อมจบลงด้วยชัยชนะ
“โอ้ เรื่องราวครั้งนั้นเอง” เจ้าหญิงประสานมือกันอย่างตื่นเต้นเกินความเป็นจริง “เมื่อตอนที่พวกท่านกลับมาที่ปราสาท ดูเหมือนจะกลายเป็นเรื่องเล่าโด่งดังไปนานเลยทีเดียว”
ฟิลลิปป์เงยหน้าขึ้นมาด้วยความสนใจ อนึ่ง เขาอดรู้สึกสงสารไดอาน่าขึ้นมาไม่ได้ นางพยามทำให้บรรยากาศครื้นเครงขึ้นมา หากว่าเขายังทำหน้าเสมือนถูกกดดันจากคำพูดขององค์ราชินีอะเล็ตก้า ไม่เท่ากับว่าชักจูงให้ทุกอย่างตกอยู่ในสภาวะมืดมนหรอกหรือ?
อัสเซลกับกับเจ้าหญิงพร้อมใจกันทำหน้ายุ่งเหยิงวุ่นวาย “ข้าเองก็ไม่ค่อยได้ฟังเรื่องนี้นัก หากให้ท่านเล่าน่าจะได้รายละเอียดกว่ามาก”
เมื่อชายหนุ่มออกไปปิ้งขนมหวานมาให้ไดอาน่าอีกครั้ง คราวนี้มีสหายหมู่องครักษ์ติดตามมาด้วยอีกกลุ่มหนึ่ง ดูเหมือนว่าพวกเขาเองก็สนใจในเรื่องเล่าวีรกรรมที่ถูกกล่าวขานไปพักใหญ่นั่นเช่นเดียวกัน ซึ่งต่างพากันทยอยเข้ามาเรื่อยๆ บ้างก็อยู่ในเหตุการณ์ช่วยเล่าโม้โอ้อวดเกินกว่าสิ่งที่เกิดแก่บรรดาผู้ที่ยังไม่เคยฟัง เรียกเสียงฮือฮาจากพวกเขาเหล่านั้นได้เป็นอย่างดี ยังไม่นับรวมเสียงหัวเราะและการขัดคอเชิงขบขันสำหรับผู้ที่ร่วมในวีรกรรมนั้น
แล้วค่ำคืนแห่งการเดินทางจึงกลับมาปกติสุขอีกครั้ง
หลังกลับมาจากคอนชายส์ได้ไม่นานนัก ในที่สุดหนึ่งในอาคันตุกะผู้ยังไม่กลับสู่โครอนจึงปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งในชุดสวยงาม เพื่อมาร่วมดื่มน้ำชายามบ่ายกันที่ปราสาทของเจ้าหญิงไดอาน่า ซึ่งนางกำนัลต่างลือกันหนาหูเกี่ยวกับธิดาราชวงศ์ต่างแคว้น บ้างก็ว่านางตั้งใจจะมาพบซิลเวอร์โดยตรงเลยทีเดียว เรื่องดื่มน้ำชานั่นก็เป็นเพียงข้ออ้างเท่านั้น!
อัศวินสีเงินในคราบโคเรนซ์ไม่ค่อยสบายใจเท่าไหร่นัก เนื่องจากเสียงกระซิบจากบรรดาหญิงสาวทั้งหลาย ย่อมส่งมาถึงตัวคนรักของเขาได้ในสักวัน
เจ้าหญิงแห่งโลนอนซิลก้าวเข้ามาชักชวนการเข้าร่วมดื่มชาครั้งนี้ ทั้งที่รู้อยู่ว่ากำลังเกิดข่าวลือไม่ดีอะไรขึ้น
“เขาไม่มีทางได้พบกับเจ้าชายแน่ๆ เจ้าก็รู้” นางเอ่ยด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ “อีกทั้งก่อนหน้านี้ ทั้งเจ้าและเขาก็ได้อยู่ด้วยกันทั้งวันคืนเป็นกรณีพิเศษ รับรองว่าอิสตรีนางไหนย่อมชักจูงเขาไปไม่ได้”
และโคเรนซ์ยังคงไม่สบายใจเมื่อเห็นฟิลลิปป์ยินยอมเดินตามไดอาน่าไป หวังว่าผู้หญิงคนนั้นจะไม่พูดอะไรร้ายกาจออกมากับคนรักของเขา เพราะเรื่องราวที่อาณาจักรคอนชายส์ยังเป็นปริศนาสำหรับเขา หากว่ามีเรื่องวุ่นวายใหม่เข้า น่ากลัวว่ามันคงจะต้องสร้างบรรยากาศมืดมนขึ้นมาอีกแน่
เขาไม่คิดว่าฟิลลิปป์เป็นตัวปัญหา นี่มันเป็นแค่กรณีไม่ปกติเท่านั้น หากว่าหน้ากากในนามโคเรนซ์ถูกเปิดออกเมื่อไหร่ ความวุ่นวายทุกอย่างก็จะหมดไป แน่นอนว่าเขาหวังว่ามันจะเป็นเช่นนั้นในเร็ววัน
อัสเซลเตรียมตัวจะก้าวเข้าไปเพื่ออารักขาเจ้าหญิงในห้องสำหรับดื่มชา หากไม่ติดตรงเสียงเรียกของที่เจ้าชายกำลังเดินไปมาอย่างไม่เป็นสุขเท่าไหร่นัก เนื่องจากผู้ที่ร่วมดื่มชายามบ่ายต้องการกั้นทุกคน รวมทั้งเขาผู้ซึ่งดำรงตำแหน่งองครักษ์ด้วย
คำแรกที่เขากระซิบกับโคเรนซ์จำแลงคือ... “ฝ่าบาทเป็นเจ้าชายจริงๆใช่ไหมพะยะค่ะ?”
ดวงตาสีเขียวคู่นั้นจ้องอย่างไม่วางใจ แม้จะพบกันมานานร่วมเดือนผ่านการเดินทางทั้งไปและกลับอาณาจักรคอนชายส์ แต่ทำไมองครักษ์ที่ยังไม่นับว่าเก่าหรือคุ้นเคยกันมากนัก จึงเอ่ยปากอย่างตรงไปตรงมาเช่นนี้
“วางใจเถิด ข้าพระองค์ไม่ได้มีเจตนาร้าย หากแต่ต้องการจะแน่ใจในคำร่ำลือบางอย่าง” เขากล่าวอย่างเนิบช้า
ซิลเวอร์ทวนสองพยางค์หลังเบาๆ มีคำร่ำลือใดเกิดขึ้นมางั้นหรือ...?
อัสเซลแสดงสีหน้าไม่มั่นใจในการเอ่ยปากพูดนัก หากแต่ค่อยๆบอกโดยพยามไม่ให้เป็นการเสียมารยาทมากนัก เกี่ยวกับการพบองครักษ์ที่มีบรรยากาศผิดแปลกอยู่รอบกาย หากวันใดมีอะไรไม่ปกติในกิจวัตรประจำวันอย่างการมาใครมาเยือน บางครั้งองครักษ์ผู้ผิดแปลกคนนั้นจะเดินกระสับกระส่ายไปมา ซ้ำยังกล่าวกันว่าผู้เดียวที่ยังไม่ทราบเรื่องคงจะเป็นสหายคนใหม่ของเชื้อพระวงศ์ทั้งสอง
สาเหตุที่องครักษ์หนุ่มกล่าวว่าเป็นมิตรสหาย เนื่องจากความสัมพันธ์ของพวกเขายังไม่ถูกเปิดเผยอย่างชัดเจน แม้ว่าจะเคยกล่าวกับชนชั้นสูงหลายต่อหลายคนด้วยความมั่นใจในชัยชนะก็ตาม แต่ฟิลลิปป์ไม่อยากจะให้คนทั้งหลายในปราสาทต้องมองว่าเขาเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ เมื่อผลลัพธ์ออกมาไม่เป็นดั่งที่ใครหลายคนคาดหวัง ถึงกระนั้น ผู้ที่ระแคะระคายต่อเรื่องนี้ก็มีไม่น้อยเลยทีเดียว เพียงแต่ยังไม่ได้เอ่ยถามออกมาตรงๆเท่านั้น
“ความจริงข้าพระองค์ยังไม่เคยชมโฉมของเจ้าหญิงจากโครอนสักที” เขาถอนหายใจออกมาเบาๆอย่างหยั่งเชิง “เขาร่ำลือว่ามีความงดงามเทียบเท่าเจ้าหญิงไดอาน่าเลยหรือพะยะค่ะ”
ใบหน้าของเจ้าหญิงต่างอาณาจักรไม่เคยอยู่ในความสนใจของอัสเซล หากแต่องครักษ์หนุ่มอยากจะรู้เท่านั้น หากว่าการที่เจ้าหญิงเดเนียร์มาที่นี่ได้สร้างความไม่สบายใจแก่เจ้าชายผู้ปลอมตัว มันย่อมมีความหมายนัยยะแอบแฝงอยู่เป็นแน่
“จะว่าสวยเทียบเท่าก็ว่าได้” ซิลเวอร์อดขำกับคำถามของอีกฝ่ายไม่ได้ พลางหรี่ตาลงอย่างรู้ทัน “ซึ่งเจ้าก็จะได้รู้เรื่องนี้เมื่อนางกลับไป จริงไหม?”
ใบหน้าปิดครึ่งเสี้ยวเป็นกรณีพิเศษของอัสเซลตอบรับอย่างไม่เต็มใจนัก พลางเปลี่ยนหัวข้อสนทนาไปยังตัวเจ้าหญิงไดอาน่าแทน เขากล่าวชมในความงามสง่าและการวางตัวในงานเลี้ยงของราชินีอะเล็ตก้า หากว่านางตั้งใจแสดงอำนาจออกมาอย่างเต็มที่ก็สร้างความกดดันไม่น้อย หากแต่ในยามปกติกลับเป็นมิตรกับทุกคนในปราสาท สร้างความสนิทสนมรักใคร่ผูกใจบรรดาข้ารับใช้ไม่น้อยเลยทีเดียว
“ทว่า ดูเหมือนจะไม่ค่อยชอบออกงานสังสรรค์ชั้นสูงเหล่านี้เท่าไหร่นัก ทั้งที่มีเจ้าชายหรือราชามากมายให้ความสนใจต่อนาง” อัสเซลให้ความคิดเห็น พลางเผลอคิดคำนวณพร้อมรอยยิ้มบางเบาแฝงความชัยชนะที่ได้อยู่ใกล้ชิดกับไดอาน่ามากกว่าคนกลุ่มนั้น
ดวงตาของซิลเวอร์แผ่รังสีเยียบเย็นออกมาจนผู้ที่พูดมากเกินควรจำต้องเงียบลง
ในค่ำคืนนั้น ฟิลลิปป์อดยิ้มขบขันไม่ได้ “ท่านเองก็เป็นห่วงนางไม่น้อยเลย”
แน่นอนว่าคำพูดปฏิเสธของคู่เต้นรำแทบจะปรากฏออกมาในทันทีทันใด นั่นเรียกเสียงหัวเราะเบาๆจากเด็กหนุ่มได้เป็นอย่างดี เขามองว่านั่นเป็นปฏิกิริยาที่กระทำไปเพราะความเขินอาย หากต้องถูกมองว่ากำลังหวงน้องสาวจากบุรุษทั้งหลายที่เข้ามาให้ความสนใจ
หากแต่ซิลเวอร์โอบเขาเข้ามาแนบชิดจนไม่อาจมองสีหน้าในครานี้ได้ “ไม่ใช่เช่นนั้นหรอก การทำให้นางได้พบกับคู่ครองที่ดีที่นางนั้นรัก รวมทั้งการกำจัดพวกบังอาจเอื้อมมามอบใจให้เจ้าหญิงแห่งโลนอนซิลคือหน้าที่ของข้า แม้แต่การปกป้องกึ่งดูแลตั้งแต่นางยังแบเบาะด้วย”
มือทั้งสองของฟิลลิปป์โอบกอดเขาให้หนาแน่นกว่าเดิม พลางปลอบโยนคนรักด้วยความสงสาร ความจริงแล้วการที่ไดอาน่าเป็นสตรี ซ้ำยังมีฐานะเป็นน้องสาวคงทำให้อะไรหลายอย่างกดดันมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง องค์ราชาราชินีย่อมมองว่าเขาแข็งแกร่งกว่าและควรที่จะปกป้อง
ถึงกระนั้น แม้จะเคยละเลยไปบ้างหรือแสดงออกว่าห่วงใยดูแลนางมากกว่า แต่เมื่อฝ่าบาททั้งสองจ้องมองซิลเวอร์มา ก็เปี่ยมด้วยความรักและเชื่อมั่นในตัวเขาอย่างแรงกล้า ไม่น้อยหน้าไปกว่าเจ้าหญิงแต่ประการใดเลย ผู้ปลอบหลบตาเขาระหว่างกล่าวถ้อยคำทั้งหมด
ฝ่ามืออันอบอุ่นของซิลเวอร์ลูบไล้ไปตามเส้นผมอันอ่อนนุ่มของคนรักผู้อ่อนโยน พลางกระซิบคำรักซ้ำไปซ้ำมา เสมือนว่าโลกใบนี้มีเพียงคนในอ้อมกอดนี้ที่ทราบถึงความรู้สึกที่ถูกปิดกั้นไว้ นั่นทำให้ฟิลลิปป์รู้สึกเห็นใจเขาไม่น้อยเลย บางครั้งชายผู้นี้อาจรู้สึกโดดเดี่ยวและห่างไกลจากความอบอุ่นจากบุพการี นั่นเพราะภาระหน้าที่ซึ่งถูกลิขิตมาตั้งแต่กำเนิด
ฟิลลิปป์หวนนึกถึงเหตุการณ์ที่อาณาจักรคอนชายส์ขึ้นมากะทันหัน หากแต่เวลานี้ไม่ใช่เวลาตัดพ้อสิ่งใด แค่เพียงลบความเจ็บปวดของชายตรงหน้านี้ไปได้ก็เพียงพอ
“สิ่งที่ข้าพูด ข้าคิด...หรือแม้แต่กระทำในคืนนี้ เจ้าห้ามบอกใครเป็นอันขาดนะ” ฟิลลิปป์รู้สึกเสมือนว่าน้ำเสียงนั้นสั่นสะท้านเจือจาง “ข้าขอร้อง...”
เด็กหนุ่มอดคิดว่าการเก็บเงียบไว้เพียงลำพังไม่ช่วยให้ปัญหาทุกอย่างดีขึ้น อีกทั้ง การพูดออกไปให้อีกฝ่ายเข้าใจในความรู้สึก น่าจะเป็นสิ่งที่ขจัดปัญหานี้ไปได้เป็นอย่างดี องค์ราชาอาจดูเข้มงวดบ้างในบางครั้ง หรือองค์ราชินีอาจเผลอดูแลบุตรสาวมากกว่าด้วยความเป็นสตรีเหมือนกันหรือความนิสัยที่ใกล้เคียงเข้ากันได้ แต่หากองค์ทั้งสองล่วงรู้ในความคิดนี้ บางทีความรู้สึกเจ็บปวดอาจจะได้รับการบรรเทาลง...
“ไม่! ข้าไม่ได้ต้องการการให้ใครรู้ทั้งนั้น!” ฟิลลิปป์ตัวแข็งทื่อในน้ำเสียงนั้น ก่อนจะได้ยินคำพูดที่อ่อนลงราวกับว่าอีกฝ่ายรู้สึกตัวในความกระด้างเมื่อครู่ “ข้าขอโทษ แต่เชื่อข้า...ไม่ว่าใครก็แก้ปัญหานี้ไม่ได้ นอกจากเจ้าเท่านั้น ถอดหน้ากากของข้าออกมา แล้วเราจะมีความสุขด้วยกัน”
เด็กหนุ่มจึงไม่กล่าวคัดค้านใดอีก ได้แต่กอดปลอบประผู้เป็นที่รักของตนอย่างเงียบงันท่ามกลางเวลาที่ผันผ่านในค่ำคืนนี้
จนกระทั่ง อารมณ์ต่างๆเริ่มกลับสู่ความปกติดังเดิม ซิลเวอร์ชวนเขาไปเที่ยวชมหอคอยราชินีอีกครั้ง โดยมีพาหนะคู่ใจเป็นม้าสีขาวออกเทาเงินตัวเดิม แม้จะปกติอย่างไร สีหน้าของเขายังคงเปี่ยมด้วยความว้าวุ่นอยู่บางเบา กระทั่งการตัดสินใจนี้ยังเป็นความคิดอย่างกะทันหันอีกด้วย
หลังตัดผ่านสายลมและความเงียบงัน ในที่สุดสถานที่อันสวยงามจึงปรากฏขึ้นสู่สายตา ด้วยแสงจากจันทร์ครึ่งดวงบนท้องนภาอันห่างไกลเกินกว่าจะเอื้อม ได้แต่เฝ้ามองให้เรื่องราวของมันเคลื่อนไปอย่างช้าๆ ทั้งจันทราและหมู่ดวงดาราอันพร่างพราว
เสียงฝีเท้ากระทบกับพื้นหินเป็นสิ่งเดียวที่กลบความเงียบงันระหว่างขึ้นบันไดวนยาวซึ่งทอดสู่ชั้นบนสุด มันเชื่องช้าและเป็นจังหวะ ในความเงียบงันนั้นไม่มีใครทราบว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอย่างไร พวกเขาเพียงแต่รอให้ถึงจุดหมายอันสูงจนเหน็บหนาว
ซิลเวอร์พาเดินตัดผ่านชั้นชมจันทร์รองขึ้นไปยังจุดยอดของหอคอย มันยังคงเปี่ยมด้วยความงดงามของสิ่งต่างๆที่จัดวางอย่างลงตัวประณีต ผู้ซึ่งได้สร้างสิ่งนี้ให้กับคนรักคงเอาใจใส่นางอย่างมากมาย มากเท่าที่ชายคนหนึ่งจะสามารถกระทำได้
“ยังจำได้ไหม? เมื่อครั้งนั้นที่เราก้าวเข้ามายังหอคอย เจ้าได้บอกเล่าความใฝ่ฝันอันสวยงาม ท่ามกลางแสงจันทราในคืนวันนั้น ความใฝ่ฝันว่าสักวันเจ้าจะได้เที่ยวท่องไปทั่วทั้งดินแดน เพื่อวาดรูปสถานที่ต่างๆ มันเกือบจะเป็นสิ่งยากเกินจะกระทำสำหรับผู้ที่เก็บตัวอยู่แต่ในหมู่บ้านเล็กๆเพื่อมีชีวิตอย่างสงบสุขกับการสร้างสรรค์สีสันต่างๆบนผ้าใบสีขาว”
อัศวินสีเงินยิ้มให้เขาอย่างอ่อนโยน ก่อนจะลูบไล้เส้นผมสีดำสนิทนั้นอย่างอ่อนโยน “ข้าจะทำให้เจ้าสมความปราถนาเอง”
ฟิลลิปป์โอบกอดเขาแนบแน่น สายน้ำตาได้หลั่งไหลลงมาอย่างเงียบงันจนไหล่บอบบางนั้นสั่นไหว เป็นสายน้ำตาที่ไม่มีใครล่วงรู้ความหมายเลย เด็กหนุ่มกล่าวด้วยน้ำเสียงอันสั่นเครือว่าอีกฝ่ายไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้เพื่อเขาก็ได้ ในเมื่อเขาเป็นเพียงคนธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น คนธรรมดาที่ไม่อาจมอบสิ่งพิเศษเหนืออื่นใดให้เลย
ซิลเวอร์ยิ้มอย่างอ่อนโยน พลางบรรจงเช็ดหยาดหยดเหล่านั้นอย่างช้าๆ เขาเองก็ไม่ได้สลักสำคัญใดเลย เพราะอย่างนั้นชื่อของเจ้าชายจึงเงียบงันจนไม่มีใครรู้ หรือแม้แต่การเห็นหน้าค่าตาในขบวนชมเมืองและความเป็นอยู่ของประชาชน จะมีก็เพียงชนชั้นสูงเท่านั้นที่ล่วงรู้การมีอยู่ของเขา ทุกอย่างถูกสร้างขึ้นมาตั้งแต่เขายังเป็นทารกไร้เดียงสา...
“เจ้ารู้ไหม ข้าดีใจที่คืนนั้นเราได้พบกัน”
เขาคุกเข่าลงอย่างช้าๆทั้งที่ยังสัมผัสมือของคนรัก “ข้าไม่ใช่องค์ราชา ข้าไม่อาจสร้างหอคอยอันเปี่ยมด้วยมนตร์ขลังใดให้ ข้าไม่แม้แต่จะตอบรับต่อหน้าเทพีเฮร่า[1] ว่าเราจะเป็นคู่ครองของกันและกัน ถึงเช่นนั้น...ฟิลลิปป์ หากว่าสามเดือนนี้สิ้นสุดลงเมื่อใด เราจะเดินทางไปด้วยกันในดินแดนต่างๆได้ไหมหรือไม่”
ในใจอันสั่นรัวของซิลเวอร์ปรารถนาจะได้เพียงคำเล็กๆแสนสั้นว่าตกลงก็เท่านั้น แค่เสียงสองพยางค์ที่บอกว่าพวกเขาจะได้อยู่ด้วยกัน นั่นคือทุกสิ่งซึ่งเขาอยากจะวอนขอให้คนรักตรงหน้านี้ตอบรับ เพราะทุกสิ่งถูกจัดเตรียมไว้พร้อมแล้ว แค่คำกล่าวนั้นทุกอย่างก็จะสมบูรณ์...
ฟิลลิปป์ดึงเขาขึ้นมาจุมพิตอย่างเนิ่นนาน เป็นจุมพิตทั้งน้ำตาได้แทนคำตอบทั้งหมดทั้งมวล ซึ่งมีเพียงอัศวินสีเงินเท่านั้นที่จะเข้าใจ
ในห้องน้ำชานั้นมีเพียงพวกเขาทั้งสอง คล้อยหลังไดอาน่าที่ออกไปไม่นาน มือของเจ้าหญิงต่างแดนได้รั้งแขนของเด็กหนุ่มไว้ ทั้งที่ก่อนหน้าไม่เคยปริปากสนทนา ไม่แม้แต่จะปรายตามอง
ฟิลลิปป์นั่งลงที่เดิมด้วยความประหลาดใจในสีหน้า ทั้งที่เมื่ออยู่ต่อหน้าเจ้าหญิง นางเปี่ยมด้วยความอ่อนโยนและอารมณ์อันอ่อนหวาน หากแต่สายตาอันจริงจังหรือใบหน้าอันเย็นชาไร้อารมณ์ล้วนแต่สร้างความแตกต่างเสมือนไม่ใช่คนเดียวกัน
“โครอนและโลนอนซิลต่างเป็นอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่” นางเกริ่นนำขึ้นมาอย่างช้าๆ “เจ้ารู้อะไรเกี่ยวกับคนรักบ้างไหม? รู้หรือเปล่าว่าเป็นเจ้าชายได้อย่างไร รู้บ้างรึไม่ว่าเหตุผลที่เขาแทบจะไม่เคยปรากฏนามให้บรรดาประชาชนได้ยินคืออะไร”
ร่างของเด็กหนุ่มเริ่มนิ่งงันตามอารมณ์ที่ใส่ลงไปในน้ำเสียงของนาง อารมณ์อันเผ็ดร้อนที่ย้ำแน่นหนักในแต่ละคำพูด
“เมื่อรุ่งอรุณ ข้าได้ยินพระนางตรัสกับเขาเกี่ยวกับเรื่องของการแต่งงานของเจ้าชายแห่งอาณาจักรหนึ่ง ซึ่งไม่ได้มีความรักให้แก่สตรีผู้เป็นคู่วิวาห์เลย...” ดวงตาของนางจ้องมองตรงมาจนน่าหวาดกลัว “...บุตรธิดาเพียงองค์เดียว ราชาและราชินีผู้สมรสกันด้วยความรักจะปล่อยให้นางเลือกคู่ครองเพื่อผลประโยชน์ได้อย่างไร ดังนั้น ทารกชายต่างสายเลือดจึงถูกเลือกขึ้นมา เผื่อว่าวันหนึ่งการสมรสอันไร้ซึ่งความรู้สึกจะต้องเกิดขึ้น”
เดเนียร์ยังกล่าวถึงสงครามครั้งใหญ่ที่อาจกำลังจะปะทุขึ้นระหว่างโลนอนซิลและโอเทล์ม ซึ่งหากเขาเคยได้ยินการซ่องสุมกำลังย่อมจะเข้าใจว่าสถานการณ์ในตอนนี้เกิดอะไรขึ้น รวมทั้งฝ่ายที่เริ่มก่อนย่อมมีเวลาจัดเตรียมแผนการต่างๆมากกว่า จะมีสถานการณ์ไหนที่เหมาะแก่การเชื่อมสัมพันธ์ไปมากกว่านี้
ทว่า ซิลเวอร์ได้ยืนยันหนักแน่นว่าเขาจะไม่มีวันทรยศในความรู้สึกของคนรักอย่างแน่นอน สำหรับองค์ราชาและราชินีที่เลี้ยงดูเขามาจนเติบใหญ่ ได้มอบความรักเสมือนเป็นบุตรในอุทรแท้ๆตลอดสิบแปดปีไปอย่างไม่อาจถอนคืนได้ ไยจะกล้าทำร้ายจิตใจของเขาได้กันเล่า...?
“ถึงกระนั้น เจ้าชายผู้ไร้ซึ่งสายเลือดแห่งราชวงศ์ ไร้ซึ่งผลประโยชน์จากคู่วิวาห์ ซ้ำยังมามีความรักอันผิดแปลก เจ้าเคยคิดหรือไม่ว่าสักวัน เมื่อความมั่นคงของเขาไม่ได้มีมากมายเท่าเดิม เขาที่ถูกทุกคนประเมินค่าด้อยกว่าเจ้าหญิงตัวจริง ย่อมถูกเมินหยามจนแทบจะทนไม่ไหว สุดท้ายอาจเป็นไม่ได้แม้แต่เครื่องเรือนสักชิ้นในปราสาท...”
[1] เทพีเฮร่าคือเทพีแห่งการสมรสของตำนานเทพเจ้ากรีก รวมทั้งเป็นราชินีแห่งสวรรค์ด้วย
คณะเดินทางของเจ้าหญิงไดอาน่าเพิ่งออกจากอาณาจักรคอนชายส์ได้ไม่นานนัก หลังพักอยู่ที่นั่นหนึ่งคืนเพื่อเตรียมตัวสำหรับการกลับไปยังโลนอนซิล
เหล่าองครักษ์จัดเวรยามรักษาการณ์บริเวณโดยรอบกระโจมตรงกลางอย่างหนาแน่น กองไฟขนาดย่อมนี้เป็นส่วนของเหล่าเชื้อพระวงศ์ แยกออกจากอีกด้านหนึ่งขององครักษ์ซึ่งมีขนาดใหญ่กว่าตามจำนวนคนและความจำเป็น ไม่เว้นกระทั่งองครักษ์ผู้อาจหาญ เสี้ยมสอนนางต่อการวางตัวอย่างงามสง่า
ไดอาน่าเคยคิดว่าการให้เขาได้อยู่ร่วมกับกององครักษ์เป็นสิ่งไม่ดีนัก หากว่าเขาคิดจะผูกมิตรชักจูงให้ผู้คุ้มกันความปลอดภัยของนางเปิดช่องว่างหรือลอบทำการสืบข้อมูลบางอย่าง หากแต่การที่เขาเข้ามาในตำแหน่งนี้ได้ คงจะไม่เหลือปราการใดให้ต้องพยามขวางกั้นแล้ว อีกทั้ง องค์ราชินีไม่ใช่คนประมาท พระนางคงสืบค้นประวัติของชายผู้นี้อย่างถ้วนถี่แน่ชัด
แววตาของเจ้าหญิงจับจ้องยังคนคู่หนึ่งตรงหน้า ทั้งที่เป็นการเอนอิงกันท่ามกลางความหนาวเย็นรอบกาย อันตัดกันกับความอบอุ่นของกองไฟตรงกลาง นัยเนตรของพวกเขายังคงเปี่ยมด้วยความห่วงหาอาทรซึ่งกันและกัน เป็นความแปลกใจในตัวเองอยู่ลึกๆของสาวน้อยผู้เกิดมาอย่างสูงศักดิ์ ทั้งที่ชื่นชอบในวรรณกรรมรักอันแสนหวาน ทั้งที่ใบหน้าก็ไม่ได้เป็นสองรองใคร หากแต่สิบแปดปีที่ผ่านมา ไฉนนางจึงไม่เคยรู้สึกถึงสิ่งที่เรียกว่า‘ความรัก’ จากใจจริงมาก่อน ได้แต่เฝ้ามอง สดับฟัง เรื่องราวของคนคู่แล้วคู่เล่า
อาจเป็นเพราะคำว่า ‘เจ้าหญิง’ เสมือนบางสิ่งที่ขวางกั้น ไม่อาจยินยอมให้นางมองใครอย่างจริงจัง
ภาพของสะเก็ดไฟที่แตกระยิบดูสวยงามก็จริง แต่ก็น่าเบื่อเสียจนเกินบรรยาย ด้วยเสียงอันโลดแล่นขึ้นมาไม่เป็นจังหวะจนแทบจับความไพเราะแทนดนตรีขับกล่อมในค่ำคืนนี้ไม่ได้ ซิลเวอร์พบว่าตัวเองนั้นกำลังรู้สึกถึงความผิดปกติบางอย่างจากคนรักข้างกาย
กุหลาบงามของเขากำลังคิดอะไรอยู่ในใจหรือ? ตั้งแต่เดินทางออกจากคอนชายส์ ดูเหมือนว่าจะสิ่งติดค้างในใจอย่างบอกไม่ถูก ทั้งการนอนพักเคียงข้างกันในสองค่ำคืนที่อาณาจักรนั้น ฟิลลิปป์ได้โอบกอดเขาไว้แน่นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในงานเลี้ยงคืนแรก...
“เจ้าเป็นอะไรหรือเปล่า” เขาอดถามไถ่ขึ้นมาไม่ได้ หากแต่ผู้แอบอิงยังคงไม่เอ่ยกล่าวอะไรอย่างตรงไปตรงมา
“ไม่หรอก...” ดวงตาของฟิลลิปป์หลุบลงเล็กน้อย “ไม่เลยสักนิด หากท่านยังอยู่เคียงข้างข้าเช่นนี้”
ไม่มีคำพูดตอบกลับจากอัศวินสีเงิน ทว่า...อ้อมกอดอันโอบเข้ามาแนบกายจนได้ยินเสียงหัวใจที่เต้นเป็นจังหวะ มันเพียงพอแล้วสำหรับเวลา อันเปี่ยมด้วยห้วงคำนึงในค่ำคืนนั้น
ทาสหนุ่มคนนั้นผละออกอย่างตกใจ พลางวิ่งสวนหนีไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งให้ฟิลลิปป์ยืนเผชิญสายตาอยู่กับองค์ราชินีอะเล็ตต้า!
ผู้ที่ได้มาพบเห็นการกระทำอันผิดความคาดหมายสำหรับองค์ราชินีผู้สูงศักดิ์ เปี่ยมด้วยความสง่าและความเก่งกาจรอบด้านไม่แพ้บุรุษ ไม่คาดฝันว่าความซับซ้อนจะนำทางมาจนพบเจอเรื่องราวเหล่านี้ เขารีบกล่าวขออภัยในสิ่งบังเอิญนี้ หากแต่ไม่อาจผละจากไปดังหวัง เนื่องจากพระนางเรียกรั้งไว้ด้วยน้ำเสียงอันเฉียบขาดจนน่าเกรงกลัว
ร่างกายของเขาสั่นเทาขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ อาจเป็นเพราะใบหน้าของสตรีที่แลดูมีความเมตตาอยู่บ้างในงานเลี้ยงเมื่อครู่ แปรเปลี่ยนไปจนกลายเป็นคนน่าหวาดหวั่น ดุจในมือมีคทาที่สามารถพิพากษาเด็กหนุ่มตรงหน้าอย่างไร้ความปรานี ในความผิดที่สับสนเส้นทางจนมาถึงห้องนี้
การกระทำนี้เหมือนจะเป็นความลับ ฟิลลิปป์เข้าใจได้อย่างถูกต้องแทบจะในทันที เพราะฉะนั้นจึงไม่มีใครเข้าออกในบริเวณนี้ แม้แต่องครักษ์หน้าห้องเองก็ยังถูกสั่งห้ามให้ก้าวเข้ามา หลังจากได้เรียนรู้ใกล้ชิดกับชีวิตในฐานะราชวงศ์ของเจ้าหญิงไดอาน่า การไปไหนมาไหนหรืออยู่อย่างเงียบสงัดไร้คนคุ้มครอง นับว่าเป็นการเสี่ยงอันตรายไม่น้อยเลยทีเดียว
พระนางปิดประตูห้องลงกลอนอย่างดีเพื่อกั้นคนขัดจังหวะ ความคมวาวของอาวุธประดับในห้องทำให้ผู้ถูกเชื้อเชิญกึ่งบังคับรู้สึกหวาดผวามากยิ่งขึ้น เขาหาใช่เจ้าหญิงเจ้าชายหรือแม้แต่องค์ราชา หากกำจัดเขาไปคงจะไม่มีผลเสียใดๆ ถึงอย่างไร ทุกคนก็เข้าใจว่าเขาเป็นเพียงแค่คนสนิทไร้ความสำคัญต่อซิลเวอร์อย่างแท้จริง
“ถูกต้อง ราชาแห่งโลนอนซิลไม่มีทางบาดหมางกับเราในเรื่องนี้ หรือไม่แน่ว่า...ข้าอาจจะกำจัดเจ้าอย่างเงียบๆ ไม่ให้พวกเขารู้ก็ได้” เสียงขององค์ราชินีเยือกเย็นจนน่าขนลุก “แต่ข้าไม่ได้ขลาดเขลา หากว่าเจ้าหายไป เจ้าชายผู้นั้นคงไม่มีทางอยู่เฉย แม้จะไม่ก่อสงคราม สิ่งที่ตามมาสำหรับข้ากลับร้ายแรงยิ่งกว่า...”
องค์ราชินีแห่งคอนชายส์ขึ้นสู่อำนาจโดยไร้ราชาเคียงข้าง ด้วยกายาแห่งสตรีเพศจึงต้องพยามทำทุกสิ่งเพื่อไม่ให้ใครได้ดูหมิ่น หรือแม้แต่การขับเคี่ยวกับอำนาจจากฝ่ายต่างๆ ทั้งขุนนางและเชื้อพระวงศ์ด้วยกัน แม้จะใช่ว่าโหดร้าย นางก็ไม่ได้เปี่ยมเมตตาเสียทีเดียว
ราชินีอะเล็ตต้าคิดคำนวณอย่างเข้าอกเข้าใจดี หากว่าเด็กหนุ่มตรงหน้านางนี้หายไป คนรักของเขาย่อมสืบค้นอย่างลับๆโดยนางไม่อาจสกัดกั้นได้หมดทุกทาง หากเป็นเช่นนั้นแล้ว ความสัมพันธ์กับทาสหนุ่มคนนั้นอาจถูกเปิดเผย สำหรับองค์ราชินีที่ไร้ข้อตำหนิ กลับกลายเป็นหญิงผู้คลุกคลีรักใคร่กับทาสชั้นต่ำในปราสาท นั่นไม่ถือเป็นข้อด่างพร้อมที่ยิ่งใหญ่ เป็นรอยโหว่ให้คนอื่นๆโจมตีกันอย่างสนุกสนานหรอกรึ?
ฟิลลิปป์ฟังคำกล่าวเหล่านั้นอย่างนิ่งงัน แม้แต่ตัวเขาเอง ในตอนที่พบพระนางครั้งแรก ยังรู้สึกถึงความสมบูรณ์ในฐานะของนางพญาผู้ปกครองเหนืออาณาจักรอันยิ่งใหญ่ รวมทั้งรู้สึกิดความคาดหมายกับภาพเมื่อครู่ นั่นทำให้ความละอายเปี่ยมล้นขึ้นมาในใจของเด็กหนุ่มโดยพลัน
น้ำเสียงของเขากล่าวออกมาอย่างแน่วแน่ หากเขาไม่บอกใครในเรื่องนี้ก็พอแล้ว ถึงอย่างไรคำพูดของคนไร้ฐานันดรศักดิ์ ซ้ำยังถูกมองว่าเป็นเพียงคนสนิทอันไร้ความสำคัญ ย่อมไม่มีผู้ใดเชื่อถือต่อข้อกล่าวหานี้
“โอ...ใช่ หากว่าคนกล่าวคือเจ้า ไม่ใช่ไดอาน่าหรือพี่ชายของนาง...จริงไหม” น้ำเสียงนางเยียบเย็นเหมือนเช่นเคย ก่อนจะหัวเราะออกมาอ่อนแรงเปี่ยมด้วยความขื่นขม “ความจริงข้าก็รู้...เข้าใจ...และอยากจะยุติความสัมพันธ์เหล่านี้สักทีแล้วเช่นกัน”
พระนางหลับตาลงเสมือนกำลังฉายวนเรื่องราวความลับของตนในวันวาน ก่อนจะลืมตาขึ้นอย่างแข็งกร้าวเฉกเช่นเคย “หากต้องเลือกระหว่างความรักชั่วยามกับอำนาจที่สั่งสมมา ข้าคือสตรีที่ขี่อยู่บนหลังของพยัคฆ์ หากก้าวลงมาเมื่อไหร่ คงไม่วายถูกอำนาจที่เคยมีหันคมดาบเข้าใส่อย่างไร้ปรานีเป็นแน่”
ราชินีอะเล็ตก้าเอื้อมมือมาสัมผัสไหล่ของฟิลลิปป์เบาๆ แรงบีบจากมือของพระนางทำให้เขารู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมาในทันที หากแต่เด็กหนุ่มไม่ได้กล่าวปฏิเสธในสัมผัสอันส่งความคิดอย่างแรงกล้าออกมา แววตาอันรวดร้าวลึกๆข้างในของสตรีผู้มีชาติกำเนิดอันสมบูรณ์ จะขาดก็เพียงคุณสมบัติเล็กๆแค่เพียงข้อเดียวเท่านั้น...แค่เพียงข้อเดียว
“เขา...คนรักของเจ้าก็เช่นกัน เขาเองก็ถูกราชสีห์โอบอุ้มอยู่ แม้ข้าจะไม่อาจรู้อะไรในความรู้สึกของราชาแห่งโลนอนซิล แต่เมื่อถึงวันที่มีหญิงสาวที่คู่ควร ไม่สิ...’ถูกลิขิตว่าต้องคู่ควร’ กับเขาปรากฏขึ้นเมื่อใด เจ้าจะเข้าใจความหมายของข้าเอง” มือขององค์ราชินีเอื้อมไปคลายกลอนประตูช้าๆ พร้อมทั้งกล่าวโดยไม่ได้หันไปมองคู่สนทนา “แม้ข้าจะไม่คิดจะหวนคืนความสัมพันธ์ที่จอมปลอมของทาสชั่วช้า ผู้ล่อลวงข้าให้เผลอใจในภาพมายาคนนั้นก็ตาม แต่ก็หวังว่าเรื่องนี้คงไม่แพร่งพรายไปไหน หวังว่าเจ้าจะเข้าใจ”
ฟิลลิปป์สบตากับนางก่อนจะเดินออกจากห้องที่เกิดเรื่องราววุ่นวายสั้นๆนั่น หมายความว่าองค์ราชินีรู้ทันในแผนการของคนรักมาตั้งแต่ต้นงั้นหรือ? หากเป็นเมื่อห้าปีก่อน เขาคงจะถามพระนางว่าสตรีที่ทั้งเก่งกาจและชาญฉลาด ซ้ำยังเพียบพร้อมด้วยฐานะเงินตรา ไฉนจึงต้องการของไร้ค่าที่เสมือนหลอกใช้ทางอ้อมเช่นนี้ด้วย?
เด็กหนุ่มเดินไปเพียงไม่กี่ก้าวเท่านั้น และเริ่มมองออกไปจากริมระเบียงอันมืดทึบไร้แสงไฟ จะมีก็แต่เสียงจากพระจันทร์ส่องสลัวไม่ให้ทุกอย่างต้องถูกบดบังเท่านั้น
เขาเข้าใจดี...แม้เพียงภาพฝันอันไร้ค่าก็ตาม ในความสุขสมอันเกินจะเอื้อนเอ่ย แค่เพียงสักนาทีเดียวของแต่ละวัน แต่ละคืนเท่านั้น แค่เพียงเท่านั้นที่ต้องการจะไร้ซึ่งกฎเกณฑ์ใดๆ กลายเป็นเพียงคนคนหนึ่งซึ่งได้รับอ้อมกอดอันแสนหวานจากคนรัก
หลายนาทีต่อมาในงานเลี้ยง เขาเห็นองค์ราชินีเดินเข้ามาพูดคุยกับแขกเหรื่อในงานอย่างแจ่มใส เสมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยแม้แต่น้อย...
ไดอาน่าเริ่มอยากโอดครวญต่อความเงียบที่เกิดขึ้นนี้ ที่ผ่านมามักมีคำกลอนเพราะๆหรือเรื่องเล่าแสนสนุกเชิงย้อนความของคนคู่นี้แทนความเงียบสงัดเสมอ หากแต่ค่ำคืนอันน่าเบื่อหน่ายเริ่มย่างกายเข้ามาสองคำรบแล้ว แล้วในคืนที่สามนี้เล่า? จะมีความสนุกสนานดังกล่าวเกิดขึ้นมาได้หรือไม่
ทั้งนางและพี่ชายเริ่มคิดเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นในคอนชายส์ มีอยู่ช่วงหนึ่งที่ฟิลลิปป์หายไปโดยไม่มีใครพบ ก่อนจะกลับมาพร้อมรอยยิ้มที่ไม่สดชื่นเท่าไหร่นัก แน่นอนว่ารอยยิ้มเดิมของเขาใกล้จะหมดความสนใจในงานเลี้ยงมากขึ้นทุกวินาที ตั้งแต่พูดคุยกับแขกคนแรกเริ่มแล้ว
อัสเซลก้าวเข้ามาพร้อมขนมหวานที่ปิ้งไฟจนได้ที่ โดยกล่าวเชื้อเชิญให้บุคคลทั้งสามเข้าร่วมงานสังสรรค์รอบกองไฟที่จัดขึ้น ซึ่งถัดออกไปไม่ไกลและมีเพียงพุ่มไม้กั้นเท่านั้น
เขาได้ยินจากเพื่อนองครักษ์ด้วยกันเกี่ยวกับเจ้าชายอยู่หลายอย่าง ทุกคนล้วนแต่เคารพและสนิทสนมต่อราวกับหนึ่งในมิตรสหาย หากวันใดที่มีการพักค้างอ้างแรมกลางป่าเช่นนี้ ส่วนใหญ่ซิลเวอร์จะรอจนกว่าเจ้าหญิงจะเข้าสู่นิทราเพื่อความปลอดภัย แล้วจึงจะเข้าไปพูดคุยกับการสังสรรค์รอบกองไฟนั้น
แต่ตอนนี้ฟิลลิปป์มาด้วย บางทีซิลเวอร์อาจไม่ต้องการเข้าไปร้องเล่นกับบรรดาองครักษ์เหมือนเก่า อีกทั้งคืนนี้ไม่มีเสียงหัวเราะหรือใบหน้ายิ้มแย้มจากเจ้าหญิงอย่างในการเดินทางรอบแรก บรรยากาศที่เงียบงันมืดมนนี้เป็นที่สังเกตของใครหลายคน ทว่า ผู้ที่กล้าหาญพอจะเข้ามาชักชวนเปิดประเด็นพูดคุยคือองครักษ์ใหม่ผู้นี้ แม้จะรู้ว่าการชักชวนนั้นจะถูกปฏิเสธก็ตาม
“ท่านไม่ต้องรอข้าหลับก็ได้”
ไดอาน่ากล่าวขึ้นเพื่อต่อบทสนทนาจากองครักษ์ใจกล้า ทั้งที่รู้อยู่เต็มอกว่าไม่ใช่เพราะสาเหตุนั้นเสียทีเดียว แต่หนึ่งในข้อแม้หลักคือเด็กหนุ่มที่ขยับจากอิงแอบเขาอยู่ต่างหากเล่า ถึงกระนั้น นางไม่อยากจะให้รอบกายมีแต่ความเงียบงันอีกต่อไป รวมถึงการพูดคุยกันน่าจะทำให้สิ่งค้างคาใจของฟิลลิปป์ลดน้อยลง
อัสเซลเป็นฝ่ายรับช่วงต่อเมื่อเห็นการปฏิเสธซ้ำอีกครั้งของซิลเวอร์ เขาเล่าถึงการร้องเล่นครั้งสำคัญที่เรียกให้ถูกชาวเผ่าในป่าลึกยกกำลังมาโอบล้อม หากแต่การวางกำลังที่มีอัศวินสีเงินเป็นผู้นำย่อมจบลงด้วยชัยชนะ
“โอ้ เรื่องราวครั้งนั้นเอง” เจ้าหญิงประสานมือกันอย่างตื่นเต้นเกินความเป็นจริง “เมื่อตอนที่พวกท่านกลับมาที่ปราสาท ดูเหมือนจะกลายเป็นเรื่องเล่าโด่งดังไปนานเลยทีเดียว”
ฟิลลิปป์เงยหน้าขึ้นมาด้วยความสนใจ อนึ่ง เขาอดรู้สึกสงสารไดอาน่าขึ้นมาไม่ได้ นางพยามทำให้บรรยากาศครื้นเครงขึ้นมา หากว่าเขายังทำหน้าเสมือนถูกกดดันจากคำพูดขององค์ราชินีอะเล็ตก้า ไม่เท่ากับว่าชักจูงให้ทุกอย่างตกอยู่ในสภาวะมืดมนหรอกหรือ?
อัสเซลกับกับเจ้าหญิงพร้อมใจกันทำหน้ายุ่งเหยิงวุ่นวาย “ข้าเองก็ไม่ค่อยได้ฟังเรื่องนี้นัก หากให้ท่านเล่าน่าจะได้รายละเอียดกว่ามาก”
เมื่อชายหนุ่มออกไปปิ้งขนมหวานมาให้ไดอาน่าอีกครั้ง คราวนี้มีสหายหมู่องครักษ์ติดตามมาด้วยอีกกลุ่มหนึ่ง ดูเหมือนว่าพวกเขาเองก็สนใจในเรื่องเล่าวีรกรรมที่ถูกกล่าวขานไปพักใหญ่นั่นเช่นเดียวกัน ซึ่งต่างพากันทยอยเข้ามาเรื่อยๆ บ้างก็อยู่ในเหตุการณ์ช่วยเล่าโม้โอ้อวดเกินกว่าสิ่งที่เกิดแก่บรรดาผู้ที่ยังไม่เคยฟัง เรียกเสียงฮือฮาจากพวกเขาเหล่านั้นได้เป็นอย่างดี ยังไม่นับรวมเสียงหัวเราะและการขัดคอเชิงขบขันสำหรับผู้ที่ร่วมในวีรกรรมนั้น
แล้วค่ำคืนแห่งการเดินทางจึงกลับมาปกติสุขอีกครั้ง
หลังกลับมาจากคอนชายส์ได้ไม่นานนัก ในที่สุดหนึ่งในอาคันตุกะผู้ยังไม่กลับสู่โครอนจึงปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งในชุดสวยงาม เพื่อมาร่วมดื่มน้ำชายามบ่ายกันที่ปราสาทของเจ้าหญิงไดอาน่า ซึ่งนางกำนัลต่างลือกันหนาหูเกี่ยวกับธิดาราชวงศ์ต่างแคว้น บ้างก็ว่านางตั้งใจจะมาพบซิลเวอร์โดยตรงเลยทีเดียว เรื่องดื่มน้ำชานั่นก็เป็นเพียงข้ออ้างเท่านั้น!
อัศวินสีเงินในคราบโคเรนซ์ไม่ค่อยสบายใจเท่าไหร่นัก เนื่องจากเสียงกระซิบจากบรรดาหญิงสาวทั้งหลาย ย่อมส่งมาถึงตัวคนรักของเขาได้ในสักวัน
เจ้าหญิงแห่งโลนอนซิลก้าวเข้ามาชักชวนการเข้าร่วมดื่มชาครั้งนี้ ทั้งที่รู้อยู่ว่ากำลังเกิดข่าวลือไม่ดีอะไรขึ้น
“เขาไม่มีทางได้พบกับเจ้าชายแน่ๆ เจ้าก็รู้” นางเอ่ยด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ “อีกทั้งก่อนหน้านี้ ทั้งเจ้าและเขาก็ได้อยู่ด้วยกันทั้งวันคืนเป็นกรณีพิเศษ รับรองว่าอิสตรีนางไหนย่อมชักจูงเขาไปไม่ได้”
และโคเรนซ์ยังคงไม่สบายใจเมื่อเห็นฟิลลิปป์ยินยอมเดินตามไดอาน่าไป หวังว่าผู้หญิงคนนั้นจะไม่พูดอะไรร้ายกาจออกมากับคนรักของเขา เพราะเรื่องราวที่อาณาจักรคอนชายส์ยังเป็นปริศนาสำหรับเขา หากว่ามีเรื่องวุ่นวายใหม่เข้า น่ากลัวว่ามันคงจะต้องสร้างบรรยากาศมืดมนขึ้นมาอีกแน่
เขาไม่คิดว่าฟิลลิปป์เป็นตัวปัญหา นี่มันเป็นแค่กรณีไม่ปกติเท่านั้น หากว่าหน้ากากในนามโคเรนซ์ถูกเปิดออกเมื่อไหร่ ความวุ่นวายทุกอย่างก็จะหมดไป แน่นอนว่าเขาหวังว่ามันจะเป็นเช่นนั้นในเร็ววัน
อัสเซลเตรียมตัวจะก้าวเข้าไปเพื่ออารักขาเจ้าหญิงในห้องสำหรับดื่มชา หากไม่ติดตรงเสียงเรียกของที่เจ้าชายกำลังเดินไปมาอย่างไม่เป็นสุขเท่าไหร่นัก เนื่องจากผู้ที่ร่วมดื่มชายามบ่ายต้องการกั้นทุกคน รวมทั้งเขาผู้ซึ่งดำรงตำแหน่งองครักษ์ด้วย
คำแรกที่เขากระซิบกับโคเรนซ์จำแลงคือ... “ฝ่าบาทเป็นเจ้าชายจริงๆใช่ไหมพะยะค่ะ?”
ดวงตาสีเขียวคู่นั้นจ้องอย่างไม่วางใจ แม้จะพบกันมานานร่วมเดือนผ่านการเดินทางทั้งไปและกลับอาณาจักรคอนชายส์ แต่ทำไมองครักษ์ที่ยังไม่นับว่าเก่าหรือคุ้นเคยกันมากนัก จึงเอ่ยปากอย่างตรงไปตรงมาเช่นนี้
“วางใจเถิด ข้าพระองค์ไม่ได้มีเจตนาร้าย หากแต่ต้องการจะแน่ใจในคำร่ำลือบางอย่าง” เขากล่าวอย่างเนิบช้า
ซิลเวอร์ทวนสองพยางค์หลังเบาๆ มีคำร่ำลือใดเกิดขึ้นมางั้นหรือ...?
อัสเซลแสดงสีหน้าไม่มั่นใจในการเอ่ยปากพูดนัก หากแต่ค่อยๆบอกโดยพยามไม่ให้เป็นการเสียมารยาทมากนัก เกี่ยวกับการพบองครักษ์ที่มีบรรยากาศผิดแปลกอยู่รอบกาย หากวันใดมีอะไรไม่ปกติในกิจวัตรประจำวันอย่างการมาใครมาเยือน บางครั้งองครักษ์ผู้ผิดแปลกคนนั้นจะเดินกระสับกระส่ายไปมา ซ้ำยังกล่าวกันว่าผู้เดียวที่ยังไม่ทราบเรื่องคงจะเป็นสหายคนใหม่ของเชื้อพระวงศ์ทั้งสอง
สาเหตุที่องครักษ์หนุ่มกล่าวว่าเป็นมิตรสหาย เนื่องจากความสัมพันธ์ของพวกเขายังไม่ถูกเปิดเผยอย่างชัดเจน แม้ว่าจะเคยกล่าวกับชนชั้นสูงหลายต่อหลายคนด้วยความมั่นใจในชัยชนะก็ตาม แต่ฟิลลิปป์ไม่อยากจะให้คนทั้งหลายในปราสาทต้องมองว่าเขาเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ เมื่อผลลัพธ์ออกมาไม่เป็นดั่งที่ใครหลายคนคาดหวัง ถึงกระนั้น ผู้ที่ระแคะระคายต่อเรื่องนี้ก็มีไม่น้อยเลยทีเดียว เพียงแต่ยังไม่ได้เอ่ยถามออกมาตรงๆเท่านั้น
“ความจริงข้าพระองค์ยังไม่เคยชมโฉมของเจ้าหญิงจากโครอนสักที” เขาถอนหายใจออกมาเบาๆอย่างหยั่งเชิง “เขาร่ำลือว่ามีความงดงามเทียบเท่าเจ้าหญิงไดอาน่าเลยหรือพะยะค่ะ”
ใบหน้าของเจ้าหญิงต่างอาณาจักรไม่เคยอยู่ในความสนใจของอัสเซล หากแต่องครักษ์หนุ่มอยากจะรู้เท่านั้น หากว่าการที่เจ้าหญิงเดเนียร์มาที่นี่ได้สร้างความไม่สบายใจแก่เจ้าชายผู้ปลอมตัว มันย่อมมีความหมายนัยยะแอบแฝงอยู่เป็นแน่
“จะว่าสวยเทียบเท่าก็ว่าได้” ซิลเวอร์อดขำกับคำถามของอีกฝ่ายไม่ได้ พลางหรี่ตาลงอย่างรู้ทัน “ซึ่งเจ้าก็จะได้รู้เรื่องนี้เมื่อนางกลับไป จริงไหม?”
ใบหน้าปิดครึ่งเสี้ยวเป็นกรณีพิเศษของอัสเซลตอบรับอย่างไม่เต็มใจนัก พลางเปลี่ยนหัวข้อสนทนาไปยังตัวเจ้าหญิงไดอาน่าแทน เขากล่าวชมในความงามสง่าและการวางตัวในงานเลี้ยงของราชินีอะเล็ตก้า หากว่านางตั้งใจแสดงอำนาจออกมาอย่างเต็มที่ก็สร้างความกดดันไม่น้อย หากแต่ในยามปกติกลับเป็นมิตรกับทุกคนในปราสาท สร้างความสนิทสนมรักใคร่ผูกใจบรรดาข้ารับใช้ไม่น้อยเลยทีเดียว
“ทว่า ดูเหมือนจะไม่ค่อยชอบออกงานสังสรรค์ชั้นสูงเหล่านี้เท่าไหร่นัก ทั้งที่มีเจ้าชายหรือราชามากมายให้ความสนใจต่อนาง” อัสเซลให้ความคิดเห็น พลางเผลอคิดคำนวณพร้อมรอยยิ้มบางเบาแฝงความชัยชนะที่ได้อยู่ใกล้ชิดกับไดอาน่ามากกว่าคนกลุ่มนั้น
ดวงตาของซิลเวอร์แผ่รังสีเยียบเย็นออกมาจนผู้ที่พูดมากเกินควรจำต้องเงียบลง
ในค่ำคืนนั้น ฟิลลิปป์อดยิ้มขบขันไม่ได้ “ท่านเองก็เป็นห่วงนางไม่น้อยเลย”
แน่นอนว่าคำพูดปฏิเสธของคู่เต้นรำแทบจะปรากฏออกมาในทันทีทันใด นั่นเรียกเสียงหัวเราะเบาๆจากเด็กหนุ่มได้เป็นอย่างดี เขามองว่านั่นเป็นปฏิกิริยาที่กระทำไปเพราะความเขินอาย หากต้องถูกมองว่ากำลังหวงน้องสาวจากบุรุษทั้งหลายที่เข้ามาให้ความสนใจ
หากแต่ซิลเวอร์โอบเขาเข้ามาแนบชิดจนไม่อาจมองสีหน้าในครานี้ได้ “ไม่ใช่เช่นนั้นหรอก การทำให้นางได้พบกับคู่ครองที่ดีที่นางนั้นรัก รวมทั้งการกำจัดพวกบังอาจเอื้อมมามอบใจให้เจ้าหญิงแห่งโลนอนซิลคือหน้าที่ของข้า แม้แต่การปกป้องกึ่งดูแลตั้งแต่นางยังแบเบาะด้วย”
มือทั้งสองของฟิลลิปป์โอบกอดเขาให้หนาแน่นกว่าเดิม พลางปลอบโยนคนรักด้วยความสงสาร ความจริงแล้วการที่ไดอาน่าเป็นสตรี ซ้ำยังมีฐานะเป็นน้องสาวคงทำให้อะไรหลายอย่างกดดันมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง องค์ราชาราชินีย่อมมองว่าเขาแข็งแกร่งกว่าและควรที่จะปกป้อง
ถึงกระนั้น แม้จะเคยละเลยไปบ้างหรือแสดงออกว่าห่วงใยดูแลนางมากกว่า แต่เมื่อฝ่าบาททั้งสองจ้องมองซิลเวอร์มา ก็เปี่ยมด้วยความรักและเชื่อมั่นในตัวเขาอย่างแรงกล้า ไม่น้อยหน้าไปกว่าเจ้าหญิงแต่ประการใดเลย ผู้ปลอบหลบตาเขาระหว่างกล่าวถ้อยคำทั้งหมด
ฝ่ามืออันอบอุ่นของซิลเวอร์ลูบไล้ไปตามเส้นผมอันอ่อนนุ่มของคนรักผู้อ่อนโยน พลางกระซิบคำรักซ้ำไปซ้ำมา เสมือนว่าโลกใบนี้มีเพียงคนในอ้อมกอดนี้ที่ทราบถึงความรู้สึกที่ถูกปิดกั้นไว้ นั่นทำให้ฟิลลิปป์รู้สึกเห็นใจเขาไม่น้อยเลย บางครั้งชายผู้นี้อาจรู้สึกโดดเดี่ยวและห่างไกลจากความอบอุ่นจากบุพการี นั่นเพราะภาระหน้าที่ซึ่งถูกลิขิตมาตั้งแต่กำเนิด
ฟิลลิปป์หวนนึกถึงเหตุการณ์ที่อาณาจักรคอนชายส์ขึ้นมากะทันหัน หากแต่เวลานี้ไม่ใช่เวลาตัดพ้อสิ่งใด แค่เพียงลบความเจ็บปวดของชายตรงหน้านี้ไปได้ก็เพียงพอ
“สิ่งที่ข้าพูด ข้าคิด...หรือแม้แต่กระทำในคืนนี้ เจ้าห้ามบอกใครเป็นอันขาดนะ” ฟิลลิปป์รู้สึกเสมือนว่าน้ำเสียงนั้นสั่นสะท้านเจือจาง “ข้าขอร้อง...”
เด็กหนุ่มอดคิดว่าการเก็บเงียบไว้เพียงลำพังไม่ช่วยให้ปัญหาทุกอย่างดีขึ้น อีกทั้ง การพูดออกไปให้อีกฝ่ายเข้าใจในความรู้สึก น่าจะเป็นสิ่งที่ขจัดปัญหานี้ไปได้เป็นอย่างดี องค์ราชาอาจดูเข้มงวดบ้างในบางครั้ง หรือองค์ราชินีอาจเผลอดูแลบุตรสาวมากกว่าด้วยความเป็นสตรีเหมือนกันหรือความนิสัยที่ใกล้เคียงเข้ากันได้ แต่หากองค์ทั้งสองล่วงรู้ในความคิดนี้ บางทีความรู้สึกเจ็บปวดอาจจะได้รับการบรรเทาลง...
“ไม่! ข้าไม่ได้ต้องการการให้ใครรู้ทั้งนั้น!” ฟิลลิปป์ตัวแข็งทื่อในน้ำเสียงนั้น ก่อนจะได้ยินคำพูดที่อ่อนลงราวกับว่าอีกฝ่ายรู้สึกตัวในความกระด้างเมื่อครู่ “ข้าขอโทษ แต่เชื่อข้า...ไม่ว่าใครก็แก้ปัญหานี้ไม่ได้ นอกจากเจ้าเท่านั้น ถอดหน้ากากของข้าออกมา แล้วเราจะมีความสุขด้วยกัน”
เด็กหนุ่มจึงไม่กล่าวคัดค้านใดอีก ได้แต่กอดปลอบประผู้เป็นที่รักของตนอย่างเงียบงันท่ามกลางเวลาที่ผันผ่านในค่ำคืนนี้
จนกระทั่ง อารมณ์ต่างๆเริ่มกลับสู่ความปกติดังเดิม ซิลเวอร์ชวนเขาไปเที่ยวชมหอคอยราชินีอีกครั้ง โดยมีพาหนะคู่ใจเป็นม้าสีขาวออกเทาเงินตัวเดิม แม้จะปกติอย่างไร สีหน้าของเขายังคงเปี่ยมด้วยความว้าวุ่นอยู่บางเบา กระทั่งการตัดสินใจนี้ยังเป็นความคิดอย่างกะทันหันอีกด้วย
หลังตัดผ่านสายลมและความเงียบงัน ในที่สุดสถานที่อันสวยงามจึงปรากฏขึ้นสู่สายตา ด้วยแสงจากจันทร์ครึ่งดวงบนท้องนภาอันห่างไกลเกินกว่าจะเอื้อม ได้แต่เฝ้ามองให้เรื่องราวของมันเคลื่อนไปอย่างช้าๆ ทั้งจันทราและหมู่ดวงดาราอันพร่างพราว
เสียงฝีเท้ากระทบกับพื้นหินเป็นสิ่งเดียวที่กลบความเงียบงันระหว่างขึ้นบันไดวนยาวซึ่งทอดสู่ชั้นบนสุด มันเชื่องช้าและเป็นจังหวะ ในความเงียบงันนั้นไม่มีใครทราบว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอย่างไร พวกเขาเพียงแต่รอให้ถึงจุดหมายอันสูงจนเหน็บหนาว
ซิลเวอร์พาเดินตัดผ่านชั้นชมจันทร์รองขึ้นไปยังจุดยอดของหอคอย มันยังคงเปี่ยมด้วยความงดงามของสิ่งต่างๆที่จัดวางอย่างลงตัวประณีต ผู้ซึ่งได้สร้างสิ่งนี้ให้กับคนรักคงเอาใจใส่นางอย่างมากมาย มากเท่าที่ชายคนหนึ่งจะสามารถกระทำได้
“ยังจำได้ไหม? เมื่อครั้งนั้นที่เราก้าวเข้ามายังหอคอย เจ้าได้บอกเล่าความใฝ่ฝันอันสวยงาม ท่ามกลางแสงจันทราในคืนวันนั้น ความใฝ่ฝันว่าสักวันเจ้าจะได้เที่ยวท่องไปทั่วทั้งดินแดน เพื่อวาดรูปสถานที่ต่างๆ มันเกือบจะเป็นสิ่งยากเกินจะกระทำสำหรับผู้ที่เก็บตัวอยู่แต่ในหมู่บ้านเล็กๆเพื่อมีชีวิตอย่างสงบสุขกับการสร้างสรรค์สีสันต่างๆบนผ้าใบสีขาว”
อัศวินสีเงินยิ้มให้เขาอย่างอ่อนโยน ก่อนจะลูบไล้เส้นผมสีดำสนิทนั้นอย่างอ่อนโยน “ข้าจะทำให้เจ้าสมความปราถนาเอง”
ฟิลลิปป์โอบกอดเขาแนบแน่น สายน้ำตาได้หลั่งไหลลงมาอย่างเงียบงันจนไหล่บอบบางนั้นสั่นไหว เป็นสายน้ำตาที่ไม่มีใครล่วงรู้ความหมายเลย เด็กหนุ่มกล่าวด้วยน้ำเสียงอันสั่นเครือว่าอีกฝ่ายไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้เพื่อเขาก็ได้ ในเมื่อเขาเป็นเพียงคนธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น คนธรรมดาที่ไม่อาจมอบสิ่งพิเศษเหนืออื่นใดให้เลย
ซิลเวอร์ยิ้มอย่างอ่อนโยน พลางบรรจงเช็ดหยาดหยดเหล่านั้นอย่างช้าๆ เขาเองก็ไม่ได้สลักสำคัญใดเลย เพราะอย่างนั้นชื่อของเจ้าชายจึงเงียบงันจนไม่มีใครรู้ หรือแม้แต่การเห็นหน้าค่าตาในขบวนชมเมืองและความเป็นอยู่ของประชาชน จะมีก็เพียงชนชั้นสูงเท่านั้นที่ล่วงรู้การมีอยู่ของเขา ทุกอย่างถูกสร้างขึ้นมาตั้งแต่เขายังเป็นทารกไร้เดียงสา...
“เจ้ารู้ไหม ข้าดีใจที่คืนนั้นเราได้พบกัน”
เขาคุกเข่าลงอย่างช้าๆทั้งที่ยังสัมผัสมือของคนรัก “ข้าไม่ใช่องค์ราชา ข้าไม่อาจสร้างหอคอยอันเปี่ยมด้วยมนตร์ขลังใดให้ ข้าไม่แม้แต่จะตอบรับต่อหน้าเทพีเฮร่า[1] ว่าเราจะเป็นคู่ครองของกันและกัน ถึงเช่นนั้น...ฟิลลิปป์ หากว่าสามเดือนนี้สิ้นสุดลงเมื่อใด เราจะเดินทางไปด้วยกันในดินแดนต่างๆได้ไหมหรือไม่”
ในใจอันสั่นรัวของซิลเวอร์ปรารถนาจะได้เพียงคำเล็กๆแสนสั้นว่าตกลงก็เท่านั้น แค่เสียงสองพยางค์ที่บอกว่าพวกเขาจะได้อยู่ด้วยกัน นั่นคือทุกสิ่งซึ่งเขาอยากจะวอนขอให้คนรักตรงหน้านี้ตอบรับ เพราะทุกสิ่งถูกจัดเตรียมไว้พร้อมแล้ว แค่คำกล่าวนั้นทุกอย่างก็จะสมบูรณ์...
ฟิลลิปป์ดึงเขาขึ้นมาจุมพิตอย่างเนิ่นนาน เป็นจุมพิตทั้งน้ำตาได้แทนคำตอบทั้งหมดทั้งมวล ซึ่งมีเพียงอัศวินสีเงินเท่านั้นที่จะเข้าใจ
ในห้องน้ำชานั้นมีเพียงพวกเขาทั้งสอง คล้อยหลังไดอาน่าที่ออกไปไม่นาน มือของเจ้าหญิงต่างแดนได้รั้งแขนของเด็กหนุ่มไว้ ทั้งที่ก่อนหน้าไม่เคยปริปากสนทนา ไม่แม้แต่จะปรายตามอง
ฟิลลิปป์นั่งลงที่เดิมด้วยความประหลาดใจในสีหน้า ทั้งที่เมื่ออยู่ต่อหน้าเจ้าหญิง นางเปี่ยมด้วยความอ่อนโยนและอารมณ์อันอ่อนหวาน หากแต่สายตาอันจริงจังหรือใบหน้าอันเย็นชาไร้อารมณ์ล้วนแต่สร้างความแตกต่างเสมือนไม่ใช่คนเดียวกัน
“โครอนและโลนอนซิลต่างเป็นอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่” นางเกริ่นนำขึ้นมาอย่างช้าๆ “เจ้ารู้อะไรเกี่ยวกับคนรักบ้างไหม? รู้หรือเปล่าว่าเป็นเจ้าชายได้อย่างไร รู้บ้างรึไม่ว่าเหตุผลที่เขาแทบจะไม่เคยปรากฏนามให้บรรดาประชาชนได้ยินคืออะไร”
ร่างของเด็กหนุ่มเริ่มนิ่งงันตามอารมณ์ที่ใส่ลงไปในน้ำเสียงของนาง อารมณ์อันเผ็ดร้อนที่ย้ำแน่นหนักในแต่ละคำพูด
“เมื่อรุ่งอรุณ ข้าได้ยินพระนางตรัสกับเขาเกี่ยวกับเรื่องของการแต่งงานของเจ้าชายแห่งอาณาจักรหนึ่ง ซึ่งไม่ได้มีความรักให้แก่สตรีผู้เป็นคู่วิวาห์เลย...” ดวงตาของนางจ้องมองตรงมาจนน่าหวาดกลัว “...บุตรธิดาเพียงองค์เดียว ราชาและราชินีผู้สมรสกันด้วยความรักจะปล่อยให้นางเลือกคู่ครองเพื่อผลประโยชน์ได้อย่างไร ดังนั้น ทารกชายต่างสายเลือดจึงถูกเลือกขึ้นมา เผื่อว่าวันหนึ่งการสมรสอันไร้ซึ่งความรู้สึกจะต้องเกิดขึ้น”
เดเนียร์ยังกล่าวถึงสงครามครั้งใหญ่ที่อาจกำลังจะปะทุขึ้นระหว่างโลนอนซิลและโอเทล์ม ซึ่งหากเขาเคยได้ยินการซ่องสุมกำลังย่อมจะเข้าใจว่าสถานการณ์ในตอนนี้เกิดอะไรขึ้น รวมทั้งฝ่ายที่เริ่มก่อนย่อมมีเวลาจัดเตรียมแผนการต่างๆมากกว่า จะมีสถานการณ์ไหนที่เหมาะแก่การเชื่อมสัมพันธ์ไปมากกว่านี้
ทว่า ซิลเวอร์ได้ยืนยันหนักแน่นว่าเขาจะไม่มีวันทรยศในความรู้สึกของคนรักอย่างแน่นอน สำหรับองค์ราชาและราชินีที่เลี้ยงดูเขามาจนเติบใหญ่ ได้มอบความรักเสมือนเป็นบุตรในอุทรแท้ๆตลอดสิบแปดปีไปอย่างไม่อาจถอนคืนได้ ไยจะกล้าทำร้ายจิตใจของเขาได้กันเล่า...?
“ถึงกระนั้น เจ้าชายผู้ไร้ซึ่งสายเลือดแห่งราชวงศ์ ไร้ซึ่งผลประโยชน์จากคู่วิวาห์ ซ้ำยังมามีความรักอันผิดแปลก เจ้าเคยคิดหรือไม่ว่าสักวัน เมื่อความมั่นคงของเขาไม่ได้มีมากมายเท่าเดิม เขาที่ถูกทุกคนประเมินค่าด้อยกว่าเจ้าหญิงตัวจริง ย่อมถูกเมินหยามจนแทบจะทนไม่ไหว สุดท้ายอาจเป็นไม่ได้แม้แต่เครื่องเรือนสักชิ้นในปราสาท...”
[1] เทพีเฮร่าคือเทพีแห่งการสมรสของตำนานเทพเจ้ากรีก รวมทั้งเป็นราชินีแห่งสวรรค์ด้วย
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.5 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ