The Silver Mask
9.8
3)
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความฟิลลิปป์ไม่ค่อยสบายใจกับฐานะของสาวน้อยที่อ้างตัวว่าเป็นคนรู้จักของอัศวินสวมหน้ากาก แน่นอนว่าคำกล่าวนั้นไม่ได้บิดเบือนเสียทีเดียว หากแต่ความจริงนางก็เป็นเจ้าหญิง แม้ผู้คนในแถบนี้จะไม่ค่อยได้พบหรือล่วงรู้ใบหน้าที่แท้จริงของราชนิกูลนัก ก็ใช่ว่าจะไม่มีใครเดาใบหน้าใต้ผ้าคลุมนั่นไม่ได้
หมู่บ้านนี้ค่อนข้างเงียบสงบและอยู่รวมกันโดยไม่ข้องแวะสิ่งใดนัก ด้วยสาเหตุนั้นจึงทำให้ข่าวลือต่างๆแพร่ผ่านไปเร็ว อีกทั้ง รถม้าประดับตราราชวงศ์ได้รับเขาขึ้นไปก่อนหน้านี้ ไม่แน่ว่าผู้คนอาจจะเดาฐานะของไดอาน่าออก สำหรับเจ้าหญิงที่มาโดยไร้องครักษ์คุ้มกัน ก็เท่ากับเปิดโอกาสให้ผู้ปองร้ายมิใช่หรือ
ทว่า การที่นางเข้าร่วมการเชียร์ให้เขาเล่าถึงชีวิตภายใต้ขอบรั้วของปราสาท ทำให้คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยติดใจมากนัก ยินยอมเชื่อตามคำบอกเล่าในฐานะที่ฟิลลิปป์กล่าวแต่โดยดี อาจเพราะคราวนี้ไม่มีธงราชวงศ์อะไร และชุดที่ใส่ก็ไม่ใช่กระโปรงบานพลิ้วแสนสวยเหมือนในนิทาน เป็นชุดชาวบ้านธรรมดาไร้การสะดุดตาใดๆ
หญิงสาวคนเดิมยกมือขึ้น อยากจะดูใบหน้าของคนที่เกี่ยวข้องกับบุรุษปริศนาสักหน่อย จนคนข้างกายที่คัดค้านถึงกับโดนหยิกเบาๆจากภรรยาไปหลายครั้ง
“ใบหน้าของข้างั้นหรือ” เสียงของเจ้าหญิงรื่นเริงอย่างไม่คิดอะไรมาก ทั้งที่คำพูดชวนให้รู้สึกเจ็บปวด “เคยมีคนเห็นอยู่ครั้งหนึ่ง จากนั้น...เขาก็ไม่เคยพูดคุยกับข้าเหมือนเดิมอีกเลย หากไม่เอ่ยถามก็ไม่เอ่ยตอบ เอาแต่หลบตาเสมือนว่าหาหญิงใดที่หน้าตาขี้ริ้วขี้เหร่กว่านี้ไม่ได้”
ฟิลลิปป์รู้สึกทึ่งปนขบขันกับคำพูดของนาง มันเป็นแนวทางที่ชวนให้เชื่อว่าใบหน้าภายใต้ผ้าคลุมคงจะน่าเกลียดน่ากลัว จนคนทั้งหลายไม่กล้ารบเร้าให้นางเปิดผ้าคลุมอีกต่อไป ทั้งที่ไม่ว่าใครย่อมไม่กล้ากระทำหรือกล่าววาจาสนิทสนม เมื่อรู้ว่าตนกำลังพูดคุยกับคนที่ดำรงฐานันดรสูงศักดิ์ขนาดนี้
พวกเด็กๆที่รุมล้อมได้สักพักเริ่มนึกถึงนิทานประจำรุ่งอรุณ หลายวันมานี้พวกเขาเอาแต่ถกเถียงเกี่ยวกับความสัมพันธ์อันน่าประหลาดใจ ผิดกับผู้ใหญ่หลายคนที่มุ่งเน้นเรื่องความเป็นอยู่มากกว่า บ้างก็ว่าบุรุษปริศนาคนนั้นเป็นเจ้าชายที่หายสาบสูญไปของอาณาจักรใดสักแห่ง มีแต่ราชวงศ์เท่านั้นที่รู้ว่าเขาเป็นใคร จึงได้ส่งตัวมารับคนรักของเขาด้วยรถม้าพร้อมธงตราราชวงศ์คันนั้น
หลายครั้งที่ฟิลลิปป์ถูกหาว่านำความเชื่อผิดๆมาล้างสมองของเด็กน้อยเหล่านี้ แต่พวกเขาก็ยังมานั่งฟังนิทานอยู่เป็นประจำ ใครจะทนเสียงรบเร้าอันน่ารักของพวกเขาได้กัน?
สายตาของหญิงสาวผู้หนึ่งมุ่งตรงมา เป็นแววตาประสงค์ร้ายอันโหดเหี้ยม แฝงด้วยความบ้าคลั่งกราดเกรี้ยว เป้าหมายของสตรีเสียสติคนนี้คือคนที่อยู่ท่ามกลางวงล้อม เจ้าหญิงไดอาน่าที่ปิดหน้าปิดตากำลังถูกเข้าใจว่าเป็นแม่มด และคนประสงค์ร้ายเข้าใจว่าตนเป็นนักล่าผู้ใช้มนตร์ดำ!
คนขายเนื้อยื่นสินค้าแก่แมดดิน่าโดยไม่คิดเงิน เขาอาจไม่ใช่ผู้ปกครองหรือคนเลี้ยงดูโดยตรง แต่ชาวบ้านทั่วไปก็เอื้ออาทรหญิงสาวผู้นี้ด้วยกันทั้งนั้น สภาพเลื่อนลอยของนางน่าเวทนา ซ้ำยังอยู่เพียงลำพังในกระท่อมท้ายหมู่บ้าน ไม่ค่อยมีใครไปช่วยดูแลเรื่องเล็กๆน้อยๆของหญิงวิกลจริตคนนี้มากนัก เสื้อผ้าของนางจึงเก่าขาดวิ่นเป็นส่วนใหญ่
ลุงขายเนื้อร่างท้วมอุทานด้วยความตกใจ มีดหั่นเนื้อถูกแมดดิน่าฉวยเอาไปแทนของในมือตน ปกตินางไม่ค่อยจะแสดงความดุร้ายออกมานัก หากแต่มีดแหลมคมวาววับไม่ช่วยให้สิ่งนั้นดูน่าไว้ใจในวินาทีนี้ ถึงนางจะไม่เคยทำร้ายคนที่เอื้ออาทรนางก็ตาม
ปลายมีดหันออกจากทิศทางของร่างเขา นั่นทำให้ลุงคนขายเนื้อถอนหายใจด้วยความโล่งอก แต่การที่นางไม่ยอมวางอาวุธ ซ้ำยังวิ่งโร่เข้าไปทางกลุ่มคนก็ไม่ช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้น คนในละแวกนั้นเริ่มเอะอะตกใจกับเหตุการณ์นี้ ทั้งยังตะโกนให้พวกเด็กๆรีบหลบออกจากทางของนางโดยเร็ว!
ไดอาน่าอยู่รั้งท้ายให้พวกเด็กๆหลบเข้าไปในร้านภาพเขียนก่อน โดยไม่ทันสังเกตถึงนัยเนตรอันน่าหวาดกลัวนั่น มันมุ่งตรงมาที่นางเพียงคนเดียว เมื่อหันกลับไปยังทิศที่หญิงวิกลจริตวิ่งอยู่ อาวุธเจือกลิ่นคาวเนื้อห่างออกไปไม่กี่ก้าว เตรียมพร้อมสำหรับการแทงเข้ามาอย่างเต็มแรง “พวกแม่มดชอบปิดบังใบหน้า ข้าไม่ปล่อยแม่มดชั่วช้าไว้แน่!”
ฟิลลิปป์พุ่งตัวเข้าไปขวางไว้อย่างรวดเร็ว แม้ว่าเจ้าหญิงจะชักชวนเขาให้กลับมายังหมู่บ้านนี้เอง เขาก็จะคิดข้อนั้นแล้วปล่อยให้นางได้รับอันตรายที่นี่ไม่ได้!
คมมีดบาดในพริบตาจนโลหิตสีชาดสดหลั่งไหล เจ้าหญิงไดอาน่ามองเหตุการณ์เหล่านั้นด้วยความตื่นตะลึง ดูเหมือนว่าคนที่ได้รับบาดเจ็บจะไม่ใช่นาง แต่เป็นตัวของคนประทุษร้ายเอง ด้วยฝีมือของชายหนุ่มปริศนาที่ใช้ผ้าคลุมปิดหน้าปิดตาดุจชาวทะเลทราย เขาตวัดมัดสั้นในแนวทแยงเพื่อต้านอาวุธของนาง จนเผลอไปโดนใบหน้าของแมดดิน่าถูกบาดเป็นรอยแผลบางๆอย่างไม่ตั้งใจ
ชาวบ้านส่วนหนึ่งรีบเข้าไปควบคุมตัวของหญิงวิกลจริต ส่วนอีกส่วนทำท่าจะทำร้าย ส่วนเมตตาก็คือเมตตา แต่ถ้าแมดดิน่าก่อเรื่องแบบนี้ขึ้น พวกเขาก็พร้อมจะทารุณนางให้หลาบจำเช่นกัน
ฟิลลิปป์ใช้แขนกั้นไดอาน่าจากชายในชุดสีดำสนิทไว้ ปิดบังใบหน้าใต้ผ้าคลุม ซ้ำยังมีอาวุธอันร้ายกาจอยู่ เป็นคนไม่น่าไว้ใจจะให้เจ้าหญิงเข้าใกล้ได้หรอก หากแต่สตรีที่คลุมผ้าแบบเดียวกันกลับไม่คิดเช่นนั้น นางกล่าวขอบคุณผู้ช่วยชีวิตทั้งสองอย่างจริงใจ ทั้งที่เพิ่งรู้จักกันไม่กี่วัน สหายคนสำคัญของนางกลับพร้อมจะปกป้องนางจากคมมีดนั่น เรื่องนี้ต้องเป็นสิ่งน่าสนใจสำหรับองค์ราชาแน่นอน
อีกทั้ง คนแปลกหน้าผู้นี้เป็นใครกัน แม้จะเพียงแวบเดียว แต่ด้ามดาบของเขาทำจากทองคำไม่ผิดแน่ ซ้ำยังแกะสลักสวยงาม และปฏิกิริยาของฟิลลิปป์ก็บ่งบอกว่าเขาไม่ใช่คนในหมู่บ้าน นางชอบเรื่องเล่าการผจญัยที่ต่างๆไม่น้อยหน้าวรรณกรรมรัก หากเรื่องราวของเขาน่าตื่นเต้นเช่นกันก็คงจะดี
“ข้าไม่ทำอะไรคนรักของเจ้าหรอก” ชายหนุ่มแปลกหน้าออกตัว เมื่อเห็นรังสีความไม่ไว้ใจของจิตรกรหนุ่ม แต่เมื่อเห็นสีหน้าอันเปลี่ยนไปของเขา คนคนนั้นจึงเปลี่ยนการคาดเดาใหม่ คราวนี้แอบหรี่ตาสงสัยลงอย่างเงียบๆ “หรือว่านางเป็นสาวกของเทพประจำวิหารที่ถัดไปไม่ไกลนี้? รู้สึกว่าสาวกของเทพองค์นั้นจะสวมผ้าคลุมเช่นเดียวกัน”
นางยิ้มขำพร้อมกับส่ายหน้าปฏิเสธ ก่อนจะชวนฟิลลิปป์กลับไปยังปราสาท หากเรื่องวุ่นวายนี้ถูกเล่าจากกองทหารแทนที่จะเป็นนาง ความเข้าใจต่างๆก็อาจคลาดเคลื่อนไป ทิ้งเพียงถุงเงินรางวัลเล็กๆให้แก่ชายแปลกหน้าคนนั้น
มื้อกลางวันอาจผ่านไปอย่างเรียบง่าย พร้อมด้วยองค์ราชาราชินี แต่มื้ออาหารค่ำนั้นกลับแตกต่าง แม้องค์ทั้งสองจะกลับไปเพราะต้องต้อนรับอาคันตุกะผู้มาเยือนกระทันหัน
นางกำนัลสวมหน้ากากเดินเข้ามาอย่างช้าๆ นางเสิร์ฟวางจานเนื้ออบลงตรงหน้าเจ้าหญิง ดวงตาเรียบเฉยนั้นดูแข็งกร้าวเกินไป นั่นทำให้ไดอาน่ารู้สึกสงสัยเป็นอย่างยิ่ง ปกติซาร่าที่เป็นคนทำหน้าที่นี้จะมีแววตาสดใส ท่าทางกระฉับกระเฉง ไม่แข็งทื่อเย็นชาอย่างนี้ อีกทั้ง พ่อบ้านกับนางกำนัลคนอื่นๆหายไปไหนหมด ทำไมถึงไม่ยืนรอรับคำสั่งอย่างทุกที
อีกคนที่สัมผัสความแปลกได้คือฟิลลิปป์ ซาร่าเป็นคนสนใจในเรื่องการวาดภาพ เรื่องภาพวาดที่เขามอบแก่เจ้าหญิงไม่ใช่ข่าวปิด ออกจะโด่งดังในหมู่นางกำนัลด้วยซ้ำ ไม่มีทางที่นางจะไม่รู้เรื่อง แล้วไฉนจึงเงียบขรึม ไม่ปริปากสอบถามสิ่งใดเหมือนเช่นทุกที
เด็กหนุ่มสบตากับสหายชั้นสูง ก่อนจะเอ่ยถามนางกำนัลด้วยความแคลงใจ “เจ้าไม่ใช่ซาร่างั้นหรือ...?”
“ถูกแล้วเจ้าค่ะ” นางกำนัลคนนั้นยอมรับง่ายๆ “ตอนนี้นางติดธุระสำคัญ ข้าจึงต้องมารับหน้าที่นี้แทน”
ไดอาน่ามองหน้ามองหลัง พลางถามถึงคนอื่นๆอย่างเช่นพวกพ่อบ้าน ซึ่งต้องมายืนอยู่ในห้องจนกว่านางจะทานเสร็จ นางยังถามถึงชื่อของอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้มหวานประจำตัว โดยยังไม่แตะอาหารในจานนั้นสักนิด ไม่...แม้แต่จะหยิบช้อนกับส้อมขึ้นมาเตรียมลงมือรับประทาน
ถึงจะสวมหน้ากาก แต่นางอาศัยอยู่ที่นี่กับคนในปราสาทมานาน ไม่มีทางที่จะรู้สึกแปลกแยกเช่นนี้แน่นอน
นางกำนัลปริศนาหรี่ตาลง พลางพยามสะบัดมือหนีจากฟิลลิปป์ที่เอื้อมมาจับไว้อย่างรวดเร็ว ท่าทางของผู้หญิงคนนี้แตกต่างจากนางกำนัลอื่นโดยสิ้นเชิง การส่งให้ทหารตรวจสอบก่อนนับเป็นสิ่งรอบคอบที่ควรกระทำ
ทันใดนั้น ประตูถูกเปิดผางออกด้วยฝีมือของเด็กหนุ่มในชุดของทหารองครักษ์ในปราสาท ข้างกายมีซาร่าตัวจริง ซึ่งไม่ได้สวมหน้ากากไว้ ใบหน้าอันแท้จริงของนางเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก รีบชี้ถึงบุคคลแปลกหน้าที่ทำร้ายนางจนสลบ แล้วปิดปากมัดมือเท้าไว้ในตู้เก็บอุปกรณ์ทำความสะอาดตั้งแต่หลังมื้อกลางวัน หากซิลเวอร์ไม่ได้ยินเสียงกุกกักแปลกๆในนั้น คงไม่มีทางรู้ว่าเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น ยังไม่นับรวมพวกพ่อบ้านที่ถูกขังอยู่ในห้องว่างอีก
อัศวินสีเงินเกือบจะพุ่งเข้าใส่สตรีนักฆ่าผู้นั้นแล้ว ถ้าไม่ติดตรงคนที่ใกล้นางที่สุดคือฟิลลิปป์ ซึ่งหญิงสาวคนนั้นคำนวณสถานการณ์และปฏิกนิยานั้นได้ภายในเสี้ยววินาที รีบบิดแขนให้คนจับกลายเป็นฝ่ายถูกจี้แทนด้วยมีดแหลมที่เหน็บไว้ในกาย นางหัวเราะเยาะกับแววตาของผู้สั่งห้ามทหารบุกเข้ามา รับรู้ว่าคนตรงหน้าคงกัดฟันกรอดด้วยความแค้นอยู่เป็นแน่
“ถ้าเข้าใกล้แม้แต่หนึ่งก้าว ข้าจะกรีดหน้าของเขาหนึ่งครั้ง เป็นข้อตกลงที่ดี...จริงไหม?”
สตรีนักฆ่าค่อยๆถอยเข้าไปใกล้หน้าต่าง พลางมองสำรวจภายนอกอย่างละเอียด ไดอาน่าอาศัยช่วงจังหวะนั้นในการเหวี่ยงจานอาหารไปทางคนร้าย ซึ่งใช้มีดในมือปัดสิ่งของที่ลอยเข้าหาอย่างรวดเร็ว พลางใช้เข่ากระแทกร่างกายตัวประกันอย่างรุนแรง แล้วเหวี่ยงไปทางพวกซิลเวอร์ที่ทำท่าจะบุกเข้ามาโดยลืมคำขู่
หญิงสาวปริศนาคนนั้นส่งเสียงเย้ยหยันสั้นๆอีกครั้ง ถึงงานรองจะไม่สำเร็จก็ช่างปะไร เพราะจิ๊กซอว์ส่วนเล็กๆได้ถูกวางเชื่อมต่อเรียบร้อยแล้ว
ซิลเวอร์ประคองคนสลบไว้ในอ้อมกอด พลางพิจารณาหลักฐานที่หลงเหลือในที่เกิดเหตุ เศษผ้าขาดวิ่นที่ปักตราจากอาณาจักรศัตรู เขาไม่คิดจะตกหลุมพรางไร้สาระเช่นนี้หรอก หากนักฆ่าคนนั้นมาจากโอเทล์มจริง นางยังจะต้องพกผ้าปักตราที่มาทำไม เว้นซะแต่จะเป็นการประกาศสงครามโดยไม่เกรงกลัว
ในเช้าวันรุ่งขึ้น เขาก็ได้ทราบเกี่ยวกับการเร่งซ่องสุมกำลังของอาณาจักรที่ใช้สัญลักษณ์ในเศษผ้าขาดวิ่นนั่น
“ข่าวเรื่องมื้อเย็นถูกปิดเป็นความลับแน่นหนา มีเพียงไม่กี่คนที่รู้เรื่องนี้” องคราชินีกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียดแก่บุคคลทั้งสอง
ความจริงซิลเวอร์ควรอยู่ที่นี่เพื่อปกป้องไดอาน่า แต่การตัดสินใจเมื่อวานส่งผลอย่างชัดเจน หากศัตรูนำตัวฟิลลิปป์มาใช้ต่อรองอีกครั้ง บางทีมันอาจไม่จบแค่การที่คนร้ายหลบหนีไปอย่างคราวก่อน อีกทั้ง ตำแหน่งของเขาเกี่ยวข้องห่างๆกับกองทหาร เมื่อมีเหตุด่วนจำเป็นจึงจะเข้ามาควบคุมโดยตรง หากเป็นเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับคนรัก ดูเหมือนว่าความรอบคอบจะกลับมาเหมือนเดิม อีกทั้ง องครักษ์ของที่นี่มีฝีมือมากพอจะคุ้มกันปราสาทนี้
องค์ราชินียังมีข่าวจะแจ้งอีกเรื่อง นั่นคือเรื่องของอาคันตุกะที่มาเยือนกระทันหัน เจ้าหญิงจากโครอนซึ่งเดินทางมาเพื่อเยี่ยมเยียนอาณาจักรโลนอนซิลแห่งนี้
ฟิลลิปป์รู้ว่าโครอนคืออาณาจักรพันธมิตรที่มีความเกี่ยวโยงทางสายเลือดระหว่างราชินีของโลนอนซิลและราชินีของฝ่ายนั้น หากไม่นับรวมพระธิดาที่หายตัวไปหนึ่งองค์ โครอนจะมีเจ้าหญิงและเจ้าชายอย่างละสองพระองค์ ซึ่งอายุอาจจะไล่เลี่ยกันกับไดอาน่า แม้ว่าเขาจะไม่เคยพบเชื้อพระวงศ์เหล่านั้นเลยก็ตาม แต่เคยมีคนเคยพูดเกี่ยวกับเรื่องนี้ให้ได้ยินมาบ้าง
เจ้าหญิงแย้มยิ้มพลางเดาชื่อของสหายคนสนิทจากโครอนจนครบทุกชื่อ แต่กลับไม่มีนามใดได้รับคำตอบว่าถูกต้องเลยสักครั้ง นางถามอย่างฉงนใจกลั้วเสียงหัวเราะ “อย่าบอกว่าเป็นเจ้าหญิงเดเนียร์นะเพคะ? ในเมื่อนาง...”
“...กลับมาแล้ว กว่าทหารจะสืบทราบข่าวคราวได้ก็นานทีเดียว” องค์ราชินีอธิบายจากคำบอกเล่าของเดเนียร์ “ในทีแรกพวกเราคิดว่าไม่ใช่ตัวจริง แต่นางมีจดหมายรับรองจากราชินีแห่งโครอนมาด้วย พวกเราจึงตัดสินใจต้อนรับขับสู้นางเป็นอย่างดี เจ้าเองก็ควรไปต้อนรับด้วยตนเองเช่นเดียวกัน”
ฟิลลิปป์พบว่าเจ้าหญิงไดอาน่าแต่งกายอย่างเลิศหรูอีกครั้ง เพียงแต่ไม่เท่ากับในคืนงานเลี้ยงสวมหน้ากากนัก เขาเองก็ได้รับคำสั่งให้เตรียมตัวออกไปพบด้วยกัน ดูเหมือนไดอาน่าตั้งใจแนะนำเขาให้เจ้าหญิงที่เพิ่งกลับมาพอสมควร อาจเพราะเขาเป็นคนรักของซิลเวอร์ ต่อให้เขาไม่ทราบฐานะของอัศวินสีเงินผู้นั้นก็ตาม
ลำคอของสาวน้อยตั้งตรง ใบหน้าเชิดขึ้นนั้นเปี่ยมด้วยรอยยิ้ม ฟิลลิปป์ไม่เคยเจอท่าทีเช่นนี้ของสหายชั้นสูงมาก่อน กระนั้น เขาก็ไม่ได้เอ่ยถามสิ่งใดออกไปให้มากมาย
ทว่า เมื่อสาวน้อยที่นั่งคอยอยู่ที่โต๊ะน้ำชาในห้องรับแขกกว้างขวางแลดูเลิศหรู ได้เงยหน้าขึ้นมาสบตากับเจ้าของปราสาทประหนึ่งทักทาย เขาแทบจะยั้งคำพูดอุทานไว้ไม่อยู่ เนื่องจากเขาไม่ค่อยได้พบแท้จริงของชนชั้นสูงนัก และยอมรับว่าหลายวันมานี้คือครั้งแรกที่เขาพบใบหน้าอันแท้จริงของเชื้อพระวงศ์แห่งโลนอนซิล หลังผ่านเกือบห้าหรือหกปี
แต่ใบหน้าของเชื้อพระวงศ์ในโครอน เขาเพิ่งพบกับเจ้าหญิงเดเนียร์เป็นคนแรก ใบหน้าของนางละม้ายคล้ายคลึงเจ้าหญิงไดอาน่าไม่มีผิด ทั้งรูปร่างหน้าตาหรือสีผม หากแต่เดเนียร์เกล้าผมขึ้นเรียบร้อย ปล่อยปอยยาวลงมาสองข้างเล็กๆ ผิดกับสหายชั้นสูงของเขาที่ประดับเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
อาคันตุกะผู้มาเยือนสบตากับนางอย่างเงียบๆ รอคอยปฏิกิริยาของเจ้าของปราสาทต่อตน อาจเพราะใบหน้าที่เหมือนกันราวกับฝาแฝดนี้ ได้สร้างความตกใจให้แก่สาวน้อยทั้งสองอยู่บ้าง
ไดอาน่าเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นมาก่อนพร้อมรอยยิ้มต้อนรับ “ข้าดีใจจริงๆที่ท่านเดินทางมาที่นี่”
นางแนะนำเด็กหนุ่มด้านหลังอย่างชัดเจนพร้อมฐานะที่มีต่อซิลเวอร์ นั่นทำให้อาคันตุกะเผลอขมวดคิ้วขึ้นมาเล็กน้อย อาจเพราะคนตรงหน้านี้เป็นบุรุษอย่างแน่นอน แม้ใบหน้าจะสวยหวานคล้ายสตรีอยู่บ้าง ความสวยงามของเพศตรงข้ามกลับไม่มีโดยสิ้นเชิง หากแต่เสน่ห์บางอย่างที่หาได้ยากกลับทดแทนเป็นอย่างดี
ฟิลลิปป์เองก็ขมวดคิ้วไม่แพ้เดเนียร์ แม้ว่าเจ้าหญิงจะไม่เอ่ยนามของเขาออกมาตรงๆ แต่เขากลายเป็นคนรักของพี่ชายนางงั้นรึ? เขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าโลนอนซิลมีเจ้าชายด้วยซ้ำ!
แต่อาคันตุกะกลับไม่แสดงความแปลกใจ นางค่อยๆเผยรอยยิ้มเจื่อนจางพร้อมกับเปลี่ยนเรื่อง แม้จะไม่แสดงอาการออกมาตรงๆ น่ากลัวว่าเจ้าหญิงต่างแดนคงไม่ค่อยเห็นด้วยกับความรักอันผิดแปลกเช่นนี้นัก สายตาของนางเหลือบมองเขาอยู่หลายรอบเสมือนเป็นคนแปลกที่สุดเท่าที่นางเคยพบมา
องครักษ์คนเดิมมองมุ่งตรงมาทางพวกเขาทั้งสาม เขาจัดการเรื่องการควบคุมกองทัพและออกคำสั่งสิ่งเกี่ยวข้องอย่างรวดเร็ว แล้วขออนุญาตพระราชาอย่างเคารพที่สุดเพื่อกลับมาสู่เกมเดินพันนี้ต่อไป
คนที่เขาห่วงที่สุดไม่ใช่เจ้าหญิงต่างแดนหรือเจ้าหญิงแห่งโลนอนซิลแห่งนี้ แต่เป็นคนรักที่ร่างกายแข็งทื่อมาตั้งแต่เมื่อครู่ เขาไม่เคยเปิดเผยฐานันดรของตนเพราะกังวลว่าจะไม่ถูกยอมรับ หรือปฏิบัติในฐานะอันสามารถจะสื่อความรู้สึกกันได้เหมือนอย่างที่ผ่านมา
แล้วตอนนี้เล่า...ฟิลลิปป์จะคิดเช่นใดกับสิ่งที่เพิ่งได้ยินกัน?
เจ้าหญิงทั้งสองสนทนากันในเรื่องต่างๆอย่างราบรื่น โดยมีการกล่าวถึงเรื่องในอดีตบ้าง แต่มันไม่อยู่ในสมองของอีกบุคคลหนึ่งเลย เสมือนว่าร่างของเขายังนั่งฟังอย่างเงียบๆ แต่ใจลอยไปถึงสิ่งต่างๆเกี่ยวกับคนรักของตน เขาเคยคิดว่าอีกฝ่ายน่าจะเป็นชนชั้นสูงอย่างบุตรชายของใครสักคน...ใครสักคนที่ไม่ใช่องค์ราชา
ไฉนเขาจึงไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับเจ้าชายแห่งโลนอนซิลเลยหนอ ไม่เคยพบในขบวนราชนิกูลเมื่อห้าปีที่แล้วหรือครั้งไหนๆ จะมีก็แต่องค์ราชา ราชินีแล้วก็เจ้าหญิงไดอาน่า
ฟิลลิปป์จำไม่ได้ว่าตนเองขอตัวจากการสนทนาครั้งนั้นได้อย่างไร แต่สิ่งที่เขาต้องการคือสถานที่คิดเงียบๆสักครู่ และการกลับไปยังห้องพักคือความคิดเดียวที่เขาจำได้
ซิลเวอร์ก้าวตามไปอย่างห่างๆ บังเกิดความหวาดหวั่นต่อการพบหน้าคนรักขึ้นมา ทั้งที่ทุกวินาทีอยากจะเข้าไปโอบกอดเรือนกายนั้นให้แนบแน่นที่สุด หรือประทับจุมพิตอันแสนหวานพร้อมกล่าวถ้อยคำจากใจซ้ำไปซ้ำมา แต่มาครั้งนี้เท่านั้นที่เขา...ไม่กล้า กังวลว่าจะถูกปฏิบัติเสมือนไม่เคยพบเจอกันมาก่อน
ทหารหน้าห้องของฟิลลิปป์สบตากันเงียบๆ เมื่อครู่สหายคนใหม่ของเจ้าหญิงเพิ่งเข้าไปในห้องอย่างเร่งร้อน ไม่ทันไร ทหารองครักษ์ผู้สวมหมวกและชุดสีน้ำเงินเข้มก็มาเดินวกวนไปมา แน่นอนว่าเครื่องแบบนั้นไม่มีอะไรต่างจากพวกตน เพราะทหารในปราสาทมักสวมเครื่องแบบเช่นนี้เหมือนกัน แต่บรรยากาศรอบกายที่แปลกแยก บ่งบอกว่าอีกฝ่ายคงจะเป็นคนที่พวกเขาทราบกันอยู่
ทุกครั้งซิลเวอร์จะคอยมองอย่างเงียบๆ ไม่แสดงอาการใดให้พวกเขารู้ทันทีเหมือนครั้งนี้มาก่อน มันเกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่นะ?
“ฝ่าบาท...” หนึ่งในสองทหารหน้าห้องเอ่ยอย่างลังเล ก่อนจะรายงานเรื่องท่าทีสับสนของคนภายใน แต่กลับได้รับคำถามกลับมาแทน เขาควรจะเข้าไปในห้องนั้นดีหรือไม่?
ทหารทั้งสองหันกลับมาสบตากันอีกครั้ง พวกเขาไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นแม้แต่น้อย การตอบคำถามนี้คงจะไม่ง่ายนัก นายทหารคนเดิมจึงตอบกลับมาอย่างไม่มั่นใจอีกครั้ง “ข้าพระองค์ไม่คิดว่าความคิดนี้จะดีนัก แต่เราทุกคนต่างสวมหน้ากาก ทั้งดวงตาสีผมของฝ่าบาทก็คล้ายกันกับข้าพระองค์ หากไม่รังเกียจในความต่ำต้อย... เอ่อ คือข้าพระองค์...”
“เจ้าชื่ออะไร” ซิลเวอร์เขาตอบรับแผนการของคนเจ้าปัญญาโดยไม่คิดมาก สร้างความโล่งใจแก่คนตะกุกตะกักเป็นอย่างดี ก่อนจะเปิดเข้าไปพบกับฟิลลิปป์โดยเร็ว
คนในห้องนั้นหันกลับมามองผู้มาเยือนโดยพลัน หากแต่ถามธุระของทหารหน้าห้องด้วยน้ำเสียงอันแผ่วเบา ราวกับมีปัญหาบางอย่างอยู่ในใจ การแสดงออกเช่นนี้สร้างความวิตกแก่องครักษ์จำแลงอย่างที่สุด พลางนึกถึงเหตุผลในการที่ตนเข้ามาในห้องอย่างรวดเร็ว
ทว่า สิ่งที่เขากล่าวออกไปเป็นอันแรกคือ... “เหตุไฉนท่านจึงคิดว่าข้าคือโคเรนซ์ขอรับ”
ฟิลลิปป์แสดงอาการประหลาดใจในคำถามออกมาอย่างชัดเจน โดยปกติแล้วจะไม่มีทหารองครักษ์คนใดเข้ามาในห้องเขา หรือถ้ามีคำสั่งจากเจ้าหญิงไดอาน่า คนที่เข้ามามักจะเป็นนางกำนัลมากกว่า หากว่าอีกฝ่ายไม่ใช่โคเรนซ์ ซึ่งพูดคุยกับเขาบ้างเป็นบางครั้ง ก็คงไม่มีทางทหารหน้าห้องอีกผู้หนึ่งแน่ เพราะสีของดวงตาและเส้นผมนั้นต่างกัน
“หรือเจ้าจะไม่ใช่เขาหรอกหรือ?” ฟิลลิปป์ดูผ่อนคลายลงเพราะสถานการณ์อันชวนมึนงงนี้ เขาหรี่ตาลงอย่างสังเกตเสมือนกำลังตั้งข้อสงสัยในตัวผู้มาเยือน
“ไม่ใช่... ข้าหมายถึง...ข้าไม่ใช่คนอื่นขอรับ” เขากล่าวอย่างรวดเร็ว
เจ้าชายผู้ปิดบังตัวตนเลี่ยงการเอ่ยถึงธุระในการเข้ามา โดยการโยงไปถึงอาคันตุกะอีกท่านหนึ่งของเจ้าหญิง เนื่องจากฟิลลิปป์มีใบหน้าที่ไม่สบายใจนัก ไม่แน่ว่าการคุยกับใครสักคนอาจเป็นทางออกที่ดี เขาจ้องมองลึกเข้าไปในความว้าวุ่นนั้นด้วยความสับสนไม่แพ้กัน อย่างน้อยก็ตัวตนจอมปลอมนี้จงช่วยสร้างกำแพงกั้นอันแสนบางที เพราะเขาไม่กล้าจะเอื้อมมือออกไปสัมผัสผู้ที่อยู่อีกด้านหนึ่งหรอกนะ
ฟิลลิปป์นั่งลงตรงเก้าอี้ริมหน้าต่าง แววตาฉายความกังวลเหม่อมองไปยังท้องฟ้ากว้างไกล
ซิลเวอร์ไม่แน่ใจว่าตนกระทำถูกต้องหรือไม่ เทพธิดาวีนัสจะกำลังเมินเฉยต่อความรักของพวกเขากระนั้นรึ? การอวยพรในความหอมหวานของความรักนั้นอาจเป็นเพียงสิ่งลวงหลอกให้ผู้ต้องมนตราในเสน่ห์อันมากล้นของความรู้สึกบ่มเพาะทุกสิ่งอย่างเต็มที่ ก่อนจะปล่อยมือให้พวกเขาทั้งสองต้องเจ็บปวด
เจ้าของห้องหันมาทางทางเจ้าชายผู้ปิดบังตัวตนอย่างเชื่องช้า กล่าวคำพูดที่ไม่เจาะจงมากนัก น้อยคนที่จะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นอย่างจริงจัง ทุกคนทราบเพียงแต่เรื่องหน้ากากนี้เกี่ยวข้องกับการเดิมพันบางอย่างและพวกเขาไม่จำเป็นต้องสงสัยอะไรให้มากไปกว่านั้นอีก “ข้าไม่รู้อะไรเกี่ยวกับคนที่ตนเองรักเลยแม้แต่น้อย ไม่ว่าจะเป็นชื่อ ฐานันดร หรือแม้แต่ใบหน้า...”
ซิลเวอร์หลับตาลง เตรียมรับฟังคำพูดต่อไป คำพูดที่อาจจะกล่าวถึงการหมดเยื่อใยต่อความรักในครั้งนี้ เพราะเขาเป็นคนที่ปิดบังทุกอย่างเองและคงไม่อาจยื้อไว้ได้ สิ่งเหล่านั้นอัศวินสีเงินจะได้รับฟังมันอีกครั้งในคืนนี้
แต่ไม่ใช่... “เขารู้ทุกอย่างเกี่ยวกับตัวข้าหรือ? เขาผู้เติบโตขึ้นมาเพียบพร้อมด้วยสิ่งต่างๆ ตัวข้ากลับเป็นกระจกสะท้อนอีกด้าน เราต่างพบกันในความมืดมิด ปิดบังทุกสิ่งไว้ท่ามกลางรัตติกาล สุดท้าย มันก็เป็นเพียงมายาที่ผันผ่านมาดุจสายลม เมื่อเมฆหมอกจางหายและพายุผ่านไป...”
“ไม่มีทาง...!” โคเรนซ์ตัวปลอมเผลอคัดค้านขึ้น ก่อนจะหลบสายตาอันจับจ้องมาอย่างประหลาดใจนั่น “ข้าเพียงแค่คิดว่าคนที่ท่านรัก ไม่ได้หลงใหลอยู่ในสิ่งที่ราตรีสร้างขึ้น เขาจ้องมองท่านอยู่ตลอดเวลา จับจ้องทุกอย่างทุกรายละเอียด เขาหลงรักในสิ่งที่ท่านเป็น แม้อยู่ท่ามกลางตะวันซึ่งสาดแสงเรืองรอง ท่านก็ยังคงไม่เปลี่ยนไป และไม่ว่าจะยากเย็นเพียงไร เขาพร้อมจะฟันฝ่าไปพร้อมกันกับท่าน เพียงแค่อย่าปล่อยมือจากเขาเท่านั้น...หากเขามายืนตรงหน้าท่าน เขาจะกล่าวคำว่า ‘ได้โปรด’ ซ้ำไปซ้ำมาเพื่ออ้อนวอนให้ท่านอย่าทอดทิ้งชายผู้มีรักอันแท้จริงนี้เลย...”
และทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบงันอีกครั้ง ครั้งนี้กลับไม่มีบรรยากาศอันชวนอึดอัดใจอย่างเมื่อครู่ ราวกับคำพูดจากหัวใจของซิลเวอร์ส่งผ่านไปให้ผู้รับฟังได้ เขาหันกลับไปมองภายนอกด้วยสีหน้าสดชื่นขึ้นเล็กน้อย เฝ้ารอคอยให้แสงอาทิตย์และความวุ่นวายกังวลนี้จบลงเสียที เพื่อที่เขาจะได้พบกับคนรักท่ามกลางแสงจันทราอันอ่อนโยน
กาลเวลาผ่านไปเนิ่นนาน ฟิลลิปป์รู้สึกเหมือนสายลมในช่วงบ่ายพัดผ่านเสมือนเพลงกล่อม เปลือกตาของเขาปิดลงอย่างช้าๆ โดยมีโคเรนซ์คอยมองอยู่เช่นนั้นไม่ห่างไปไหน ความเลือนลางทำให้เขารู้สึกเหมือนมีใครโอบอุ้มเขาขึ้นมาจากเก้าอี้ริมหน้าต่างหนานุ่มตัวนั้น วางลงตรงเตียงอย่างระมัดระวัง เป็นสัมผัสอ่อนอ่อนโยนและปลอดภัย ไม่ทำให้ความง่วงงุนอันมีมากถึงขีดสุดนี้จางหาย
ก่อนจะเข้าสู่ห้วงนิทรา ฟิลลิปป์รู้สึกถึงอ้อมกอดของใครบางคนที่ห่อหุ้มคล้ายจะปกป้องจากสิ่งเร้าภายนอก มันช่างเต็มไปด้วยความคุ้นเคยเสียจริง แต่ความง่วงไม่ปล่อยให้เขารับรู้อะไรไปมากกว่านั้นแล้ว ไม่เป็นไร แค่มีอ้อมกอดนี้คอยอยู่เคียงข้างก็เพียงพอ
โคเรนซ์ตัวปลอมรู้ดีว่าตนเองควรจะละมือออกจากผู้ที่กำลังนอนหลับพักผ่อน เพื่อไปพบกันอาคันตุกะผู้มาเยือน หากแต่คำพูดเมื่อครู่ของคนรักได้ดังก้องอยู่ในความรู้สึกนึกคิด ยอมรับข้อเสียกระนั้นหรือ? เขาเองที่อยากเป็นฝ่ายกล่าวคำนั้นออกมา เจ้าชายในนิทานที่สร้างสิ่งต่างๆขึ้นมาอย่างมหัศจรรย์นั้นไม่ใช่เขาหรอก ไม่ใช่เลยสักนิด...
“ข้าจึงอยู่ที่นี่เพื่อขอร้องอ้อนวอนต่อเจ้า...” ซิลเวอร์ลูบไล้เส้นผมของคนรักอย่างแผ่วเบา “...อ้อนวอนว่าหากวันใดที่เจ้ารู้ว่าข้าไม่ใช่เจ้าชายผู้สูงส่งหรืออัศวินผู้สง่างาม เป็นเพียงคนคนหนึ่งซึ่งไม่ได้แตกต่างจากใคร เจ้าซึ่งเป็นผู้เดียวที่ข้ายอมทิ้งได้ทุกสิ่ง ได้โปรดจับมือข้าด้วยความรู้สึกนี้เหมือนอย่างที่เคยกระทำ เพราะมันช่างอบอุ่นเหลือเกิน”
กลิ่นกายหอมอ่อนๆตามธรรมชาติของคนในอ้อมกอด ผสานเข้ากับสายลมยามบ่ายอันเย็นสบาย ความเงียบงันรอบกายทำให้เด็กหนุ่มอยากนอนหลับไปทั้งแบบนั้น หากแต่สามัญสำนึกไม่ยอมให้เขาทำเช่นนั้น เพราะตอนนี้เขาสวมหน้ากากเป็นโคเรนซ์ ไม่ใช่อัศวินสีเงินที่อีกฝ่ายคุ้นเคย
ฝ่ามือของเขาทาบทามลงบนเรียวมือของผู้หลับใหล พร้อมทั้งดน้มตัวลงไปจุมพิตอย่างอ่อนโยนเนิ่นนาน นานมากจนเจ้าหญิงนิทราเริ่มรู้สึกตัว น่ากลัวว่านี่คงไม่ใช่เวลาที่เจ้าชายผู้แสนดีควรไปปลุกนาง และฟิลลิปป์มักจะมีความอ่อนแรงเจือไว้ในแววตาเสมอ การให้เขานอนหลับพักผ่อนอย่างเต็มที่จึงเป็นการดีที่สุด
เขารู้ดี...เขาเห็นแก่ตัว แสดงตัวตนต่างๆใต้แสงจันทร์อันสาดส่อง แต่มันจะเป็นแบบนี้ต่อไปอีกไม่นานหรอก เขาจะสวมหน้ากากของโคเรนซ์เข้ามา จนกว่าฟิลลิปป์จะรู้ตัวว่าผู้ที่ตนพูดด้วยเป็นใคร แต่...นี่ก็ยังเป็นความเห็นแก่ตัวของเขาอีกครั้ง เพราะไม่กล้าพูดออกไปด้วยตนเองมิใช่หรือ เพราะไม่กล้ายืดหยัดจนถึงที่สุดมิใช่หรือ ทุกสิ่งจึงสับสนวุ่นวายอยู่เช่นนี้ หากในวันนั้นเขากล้าที่จะไม่รับคำท้า แล้วจับมือคนรักออกเดินทางไปด้วยกัน ไม่ต้องหวั่นเกรงต่ออำนาจขององค์ราชาที่จะพาตัวพวกเขากลับมา พระองค์อาจจะเข้าใจว่านั่นคือสิ่งที่เขาเลือกด้วยตนเองก็เป็นได้ พระองค์อาจจะเข้าใจ...
ซิลเวอร์จมอยู่กับความคิดของตนอยู่นานมาก จนท้องฟ้าเริ่มทอแสงเย็นลงเรื่อยๆจนแสงสว่างนั้นน้อยลง อีกไม่นานค่ำคืนใหม่ก็จะมาเยือน ช่วงเวลาที่พวกเขาจะได้มาพบกันโดยไม่ต้องสวมบทบาทเป็นใคร จนถึงยามที่พระจันทร์นั้นเคลื่อนกายขึ้นท่ามกลางความมืดมิดอย่างเต็มเปี่ยม ร่างในอ้อมกอดของเขาจึงจะเริ่มเคลื่อนไหวคล้ายรู้สึกตัว
ฟิลลิปป์รู้สึกเหมือนมีใครลุกออกจากเตียงหนานุ่มนี้ แต่เขายังสะลึมสะลือเกินกว่าจะสนใจ จนกระทั่งมีฝ่ามือของใครมาสัมผัสร่างอีกครั้ง เด็กหนุ่มจึงค่อยๆตื่นขึ้นมาอย่างมึนงง นี่เขาเผลอหลับไปอย่างนั้นหรือ? น่ากลัวว่าคงนานพอสมควร เพราะท้องฟ้าด้านนอกแปรเปลี่ยนเป็นสีดำสนิทแล้ว
อัศวินสีเงินยังคงสวมหน้ากาก เขายิ้มให้คนรักบางๆดูมีเสน่ห์อย่างที่เคยเป็น แต่ผู้ที่เพิ่งตื่นขึ้นกลับรู้สึกเหมือนเป็นรอยยิ้มอันฝืนทำ ราวกับว่าคนตรงหน้านี้มีอะไรบางอย่างติดค้างอยู่ในใจ เขาควรถามหรือไม่นะ...? แต่สีหน้าของอีกฝ่ายไม่ต้องการบอกสิ่งใด เขาไม่ควรจะทำให้ซิลเวอร์ลำบากใจเช่นกัน
ผู้มาเยือนคำรบที่สองตัดสินใจเอ่ยขึ้นก่อน “เจ้ารู้ฐานะของข้า...” แล้วจึงเงียบลงไปตามอีกครั้ง
เขาไม่ควรพูดเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่บางทีฟิลลิปป์ควรจะมีสิทธิถามทุกสิ่งเกี่ยวกับเขา...หากว่าอีกฝ่ายต้องการจะรู้ ความว้าวุ่นในตอนกลางวันสร้างความไม่มั่นใจให้กับอัศวินสวมหน้ากากนัก เขาไม่รู้ว่าต้องพูดหรือกระทำสิ่งใดให้สถานการณ์ไม่แย่ลงไปกว่าที่ในความคิดของเขาเป็น
นึกไม่ถึงว่าคู่สนทนาจะใช้รอยยิ้มตอบรับ รอยยิ้มที่คล้ายจะลำบากใจในคำถาม “ข้าควรจะเรียกท่านด้วยชื่อซิลเวอร์ต่อไปดีหรือไม่...ขอรับ? ข้าควรพูดเช่นนั้นหรือเปล่า?”
อัศวินสวมหน้ากากบอกปฏิเสธด้วยความคาดไม่ถึง ความจริงเขาคิดว่าตนเองจะได้ยินคำตัดพ้อหรือคำต่อว่าเกี่ยวกับการปิดบังฐานะ ทั้งที่คนรักของเขาไม่เคยปิดบังไม่ว่าเรื่องอะไรแท้ๆ สีหน้าของเจ้าชายแสดงความตกตะลึงออกมามากมายทีเดียว
แม้จะเป็นคำถามที่หวั่นเกรงในคำตอบ ซิลเวอร์ก็อดถามไม่ได้เกี่ยวกับความรู้สึกหลังรับรู้ฐานันดรนี้
ฟิลลิปป์ก้มหน้าลงเล็กน้อย “ข้าคิดว่าตนเองช่างเป็นคนรักที่ใช่ไม่ได้ ข้า...ข้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าโลนอนซิลมีเจ้าชาย บางทีน่าจะมีหนังสือสักเล่มที่ข้าควรอ่าน หรือท่านคิดว่า...”
ซิลเวอร์เผยยิ้มโล่งอกออกมา เขาคิดว่าหนังสือเหล่านั้นเทียบตัวจริงไม่ได้สักนิด หากว่าฟิลลิปป์ต้องการรู้อะไรเกี่ยวกับเขา ก็ไม่จำเป็นต้องเก็บความสงสัยไว้ในใจเหมือนอย่างที่ผ่านมาอีกต่อไป เดิมทีเขาคิดว่าคนรักจะกังวลเกี่ยวกับเรื่องฐานะอันเต็มไปด้วยความยุ่งยากนี้ เพราะคนตรงหน้านี้รักในความสงบสุขและไม่มากด้วยพิธีการ รวมทั้งการข้องแวะกับชนชั้นสูงในฐานะอันใกล้ชิดเกินไป หากว่าไดอาน่าไม่มอบความเป็นกันเองตั้งแต่ต้น น่ากลัวว่าคงใช้เวลาอีกนานกว่าจะปรับตัวเข้าหากันได้
บุรุษสวมหน้ากากเตรียมจะเอ่ยเล่าถึงเรื่องราวเกี่ยวกับตนเองทั้งหมด หากแต่ฟิลลิปป์ซึ่งตัดสินใจบางอย่างขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ได้เอื้อมมือมาแตะริมฝีปากเขาเบาๆ “จนกว่าจะครบเวลาสามเดือน เวลาที่เราจะได้รู้ผลลัพธ์ของเรื่องราวในครั้งนี้ ท่านอย่าเผยหน้าตาหรือเรื่องราวต่างๆได้หรือไม่ อย่างน้อย ถ้าข้าจะไม่ได้พบกับท่านอีก ก็คงไม่มีสิ่งใดเกี่ยวกับตัวตนของท่านที่ข้าควรจะรู้...จริงไหม?”
ซิลเวอร์จ้องมองลึกเข้าไปในแววตาเปี่ยมด้วยความกังวลนั้น ก่อนจะจุมพิตที่มือซ้ายของคนรักเบาๆ เอ่ยปลอบโยนด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เจ้าอย่าได้กังวลใจไปเลย เวลาสามเดือนไม่มากเกินกว่าความรักของเรา เมื่อการเดิมพันนี้จบลงอย่างที่คาดหวังไว้และมันควรจะเป็น เมื่อนั้น เจ้าจะได้ล่วงรู้ทุกสิ่งทุกอย่างแน่นอน”
หมู่บ้านนี้ค่อนข้างเงียบสงบและอยู่รวมกันโดยไม่ข้องแวะสิ่งใดนัก ด้วยสาเหตุนั้นจึงทำให้ข่าวลือต่างๆแพร่ผ่านไปเร็ว อีกทั้ง รถม้าประดับตราราชวงศ์ได้รับเขาขึ้นไปก่อนหน้านี้ ไม่แน่ว่าผู้คนอาจจะเดาฐานะของไดอาน่าออก สำหรับเจ้าหญิงที่มาโดยไร้องครักษ์คุ้มกัน ก็เท่ากับเปิดโอกาสให้ผู้ปองร้ายมิใช่หรือ
ทว่า การที่นางเข้าร่วมการเชียร์ให้เขาเล่าถึงชีวิตภายใต้ขอบรั้วของปราสาท ทำให้คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยติดใจมากนัก ยินยอมเชื่อตามคำบอกเล่าในฐานะที่ฟิลลิปป์กล่าวแต่โดยดี อาจเพราะคราวนี้ไม่มีธงราชวงศ์อะไร และชุดที่ใส่ก็ไม่ใช่กระโปรงบานพลิ้วแสนสวยเหมือนในนิทาน เป็นชุดชาวบ้านธรรมดาไร้การสะดุดตาใดๆ
หญิงสาวคนเดิมยกมือขึ้น อยากจะดูใบหน้าของคนที่เกี่ยวข้องกับบุรุษปริศนาสักหน่อย จนคนข้างกายที่คัดค้านถึงกับโดนหยิกเบาๆจากภรรยาไปหลายครั้ง
“ใบหน้าของข้างั้นหรือ” เสียงของเจ้าหญิงรื่นเริงอย่างไม่คิดอะไรมาก ทั้งที่คำพูดชวนให้รู้สึกเจ็บปวด “เคยมีคนเห็นอยู่ครั้งหนึ่ง จากนั้น...เขาก็ไม่เคยพูดคุยกับข้าเหมือนเดิมอีกเลย หากไม่เอ่ยถามก็ไม่เอ่ยตอบ เอาแต่หลบตาเสมือนว่าหาหญิงใดที่หน้าตาขี้ริ้วขี้เหร่กว่านี้ไม่ได้”
ฟิลลิปป์รู้สึกทึ่งปนขบขันกับคำพูดของนาง มันเป็นแนวทางที่ชวนให้เชื่อว่าใบหน้าภายใต้ผ้าคลุมคงจะน่าเกลียดน่ากลัว จนคนทั้งหลายไม่กล้ารบเร้าให้นางเปิดผ้าคลุมอีกต่อไป ทั้งที่ไม่ว่าใครย่อมไม่กล้ากระทำหรือกล่าววาจาสนิทสนม เมื่อรู้ว่าตนกำลังพูดคุยกับคนที่ดำรงฐานันดรสูงศักดิ์ขนาดนี้
พวกเด็กๆที่รุมล้อมได้สักพักเริ่มนึกถึงนิทานประจำรุ่งอรุณ หลายวันมานี้พวกเขาเอาแต่ถกเถียงเกี่ยวกับความสัมพันธ์อันน่าประหลาดใจ ผิดกับผู้ใหญ่หลายคนที่มุ่งเน้นเรื่องความเป็นอยู่มากกว่า บ้างก็ว่าบุรุษปริศนาคนนั้นเป็นเจ้าชายที่หายสาบสูญไปของอาณาจักรใดสักแห่ง มีแต่ราชวงศ์เท่านั้นที่รู้ว่าเขาเป็นใคร จึงได้ส่งตัวมารับคนรักของเขาด้วยรถม้าพร้อมธงตราราชวงศ์คันนั้น
หลายครั้งที่ฟิลลิปป์ถูกหาว่านำความเชื่อผิดๆมาล้างสมองของเด็กน้อยเหล่านี้ แต่พวกเขาก็ยังมานั่งฟังนิทานอยู่เป็นประจำ ใครจะทนเสียงรบเร้าอันน่ารักของพวกเขาได้กัน?
สายตาของหญิงสาวผู้หนึ่งมุ่งตรงมา เป็นแววตาประสงค์ร้ายอันโหดเหี้ยม แฝงด้วยความบ้าคลั่งกราดเกรี้ยว เป้าหมายของสตรีเสียสติคนนี้คือคนที่อยู่ท่ามกลางวงล้อม เจ้าหญิงไดอาน่าที่ปิดหน้าปิดตากำลังถูกเข้าใจว่าเป็นแม่มด และคนประสงค์ร้ายเข้าใจว่าตนเป็นนักล่าผู้ใช้มนตร์ดำ!
คนขายเนื้อยื่นสินค้าแก่แมดดิน่าโดยไม่คิดเงิน เขาอาจไม่ใช่ผู้ปกครองหรือคนเลี้ยงดูโดยตรง แต่ชาวบ้านทั่วไปก็เอื้ออาทรหญิงสาวผู้นี้ด้วยกันทั้งนั้น สภาพเลื่อนลอยของนางน่าเวทนา ซ้ำยังอยู่เพียงลำพังในกระท่อมท้ายหมู่บ้าน ไม่ค่อยมีใครไปช่วยดูแลเรื่องเล็กๆน้อยๆของหญิงวิกลจริตคนนี้มากนัก เสื้อผ้าของนางจึงเก่าขาดวิ่นเป็นส่วนใหญ่
ลุงขายเนื้อร่างท้วมอุทานด้วยความตกใจ มีดหั่นเนื้อถูกแมดดิน่าฉวยเอาไปแทนของในมือตน ปกตินางไม่ค่อยจะแสดงความดุร้ายออกมานัก หากแต่มีดแหลมคมวาววับไม่ช่วยให้สิ่งนั้นดูน่าไว้ใจในวินาทีนี้ ถึงนางจะไม่เคยทำร้ายคนที่เอื้ออาทรนางก็ตาม
ปลายมีดหันออกจากทิศทางของร่างเขา นั่นทำให้ลุงคนขายเนื้อถอนหายใจด้วยความโล่งอก แต่การที่นางไม่ยอมวางอาวุธ ซ้ำยังวิ่งโร่เข้าไปทางกลุ่มคนก็ไม่ช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้น คนในละแวกนั้นเริ่มเอะอะตกใจกับเหตุการณ์นี้ ทั้งยังตะโกนให้พวกเด็กๆรีบหลบออกจากทางของนางโดยเร็ว!
ไดอาน่าอยู่รั้งท้ายให้พวกเด็กๆหลบเข้าไปในร้านภาพเขียนก่อน โดยไม่ทันสังเกตถึงนัยเนตรอันน่าหวาดกลัวนั่น มันมุ่งตรงมาที่นางเพียงคนเดียว เมื่อหันกลับไปยังทิศที่หญิงวิกลจริตวิ่งอยู่ อาวุธเจือกลิ่นคาวเนื้อห่างออกไปไม่กี่ก้าว เตรียมพร้อมสำหรับการแทงเข้ามาอย่างเต็มแรง “พวกแม่มดชอบปิดบังใบหน้า ข้าไม่ปล่อยแม่มดชั่วช้าไว้แน่!”
ฟิลลิปป์พุ่งตัวเข้าไปขวางไว้อย่างรวดเร็ว แม้ว่าเจ้าหญิงจะชักชวนเขาให้กลับมายังหมู่บ้านนี้เอง เขาก็จะคิดข้อนั้นแล้วปล่อยให้นางได้รับอันตรายที่นี่ไม่ได้!
คมมีดบาดในพริบตาจนโลหิตสีชาดสดหลั่งไหล เจ้าหญิงไดอาน่ามองเหตุการณ์เหล่านั้นด้วยความตื่นตะลึง ดูเหมือนว่าคนที่ได้รับบาดเจ็บจะไม่ใช่นาง แต่เป็นตัวของคนประทุษร้ายเอง ด้วยฝีมือของชายหนุ่มปริศนาที่ใช้ผ้าคลุมปิดหน้าปิดตาดุจชาวทะเลทราย เขาตวัดมัดสั้นในแนวทแยงเพื่อต้านอาวุธของนาง จนเผลอไปโดนใบหน้าของแมดดิน่าถูกบาดเป็นรอยแผลบางๆอย่างไม่ตั้งใจ
ชาวบ้านส่วนหนึ่งรีบเข้าไปควบคุมตัวของหญิงวิกลจริต ส่วนอีกส่วนทำท่าจะทำร้าย ส่วนเมตตาก็คือเมตตา แต่ถ้าแมดดิน่าก่อเรื่องแบบนี้ขึ้น พวกเขาก็พร้อมจะทารุณนางให้หลาบจำเช่นกัน
ฟิลลิปป์ใช้แขนกั้นไดอาน่าจากชายในชุดสีดำสนิทไว้ ปิดบังใบหน้าใต้ผ้าคลุม ซ้ำยังมีอาวุธอันร้ายกาจอยู่ เป็นคนไม่น่าไว้ใจจะให้เจ้าหญิงเข้าใกล้ได้หรอก หากแต่สตรีที่คลุมผ้าแบบเดียวกันกลับไม่คิดเช่นนั้น นางกล่าวขอบคุณผู้ช่วยชีวิตทั้งสองอย่างจริงใจ ทั้งที่เพิ่งรู้จักกันไม่กี่วัน สหายคนสำคัญของนางกลับพร้อมจะปกป้องนางจากคมมีดนั่น เรื่องนี้ต้องเป็นสิ่งน่าสนใจสำหรับองค์ราชาแน่นอน
อีกทั้ง คนแปลกหน้าผู้นี้เป็นใครกัน แม้จะเพียงแวบเดียว แต่ด้ามดาบของเขาทำจากทองคำไม่ผิดแน่ ซ้ำยังแกะสลักสวยงาม และปฏิกิริยาของฟิลลิปป์ก็บ่งบอกว่าเขาไม่ใช่คนในหมู่บ้าน นางชอบเรื่องเล่าการผจญัยที่ต่างๆไม่น้อยหน้าวรรณกรรมรัก หากเรื่องราวของเขาน่าตื่นเต้นเช่นกันก็คงจะดี
“ข้าไม่ทำอะไรคนรักของเจ้าหรอก” ชายหนุ่มแปลกหน้าออกตัว เมื่อเห็นรังสีความไม่ไว้ใจของจิตรกรหนุ่ม แต่เมื่อเห็นสีหน้าอันเปลี่ยนไปของเขา คนคนนั้นจึงเปลี่ยนการคาดเดาใหม่ คราวนี้แอบหรี่ตาสงสัยลงอย่างเงียบๆ “หรือว่านางเป็นสาวกของเทพประจำวิหารที่ถัดไปไม่ไกลนี้? รู้สึกว่าสาวกของเทพองค์นั้นจะสวมผ้าคลุมเช่นเดียวกัน”
นางยิ้มขำพร้อมกับส่ายหน้าปฏิเสธ ก่อนจะชวนฟิลลิปป์กลับไปยังปราสาท หากเรื่องวุ่นวายนี้ถูกเล่าจากกองทหารแทนที่จะเป็นนาง ความเข้าใจต่างๆก็อาจคลาดเคลื่อนไป ทิ้งเพียงถุงเงินรางวัลเล็กๆให้แก่ชายแปลกหน้าคนนั้น
มื้อกลางวันอาจผ่านไปอย่างเรียบง่าย พร้อมด้วยองค์ราชาราชินี แต่มื้ออาหารค่ำนั้นกลับแตกต่าง แม้องค์ทั้งสองจะกลับไปเพราะต้องต้อนรับอาคันตุกะผู้มาเยือนกระทันหัน
นางกำนัลสวมหน้ากากเดินเข้ามาอย่างช้าๆ นางเสิร์ฟวางจานเนื้ออบลงตรงหน้าเจ้าหญิง ดวงตาเรียบเฉยนั้นดูแข็งกร้าวเกินไป นั่นทำให้ไดอาน่ารู้สึกสงสัยเป็นอย่างยิ่ง ปกติซาร่าที่เป็นคนทำหน้าที่นี้จะมีแววตาสดใส ท่าทางกระฉับกระเฉง ไม่แข็งทื่อเย็นชาอย่างนี้ อีกทั้ง พ่อบ้านกับนางกำนัลคนอื่นๆหายไปไหนหมด ทำไมถึงไม่ยืนรอรับคำสั่งอย่างทุกที
อีกคนที่สัมผัสความแปลกได้คือฟิลลิปป์ ซาร่าเป็นคนสนใจในเรื่องการวาดภาพ เรื่องภาพวาดที่เขามอบแก่เจ้าหญิงไม่ใช่ข่าวปิด ออกจะโด่งดังในหมู่นางกำนัลด้วยซ้ำ ไม่มีทางที่นางจะไม่รู้เรื่อง แล้วไฉนจึงเงียบขรึม ไม่ปริปากสอบถามสิ่งใดเหมือนเช่นทุกที
เด็กหนุ่มสบตากับสหายชั้นสูง ก่อนจะเอ่ยถามนางกำนัลด้วยความแคลงใจ “เจ้าไม่ใช่ซาร่างั้นหรือ...?”
“ถูกแล้วเจ้าค่ะ” นางกำนัลคนนั้นยอมรับง่ายๆ “ตอนนี้นางติดธุระสำคัญ ข้าจึงต้องมารับหน้าที่นี้แทน”
ไดอาน่ามองหน้ามองหลัง พลางถามถึงคนอื่นๆอย่างเช่นพวกพ่อบ้าน ซึ่งต้องมายืนอยู่ในห้องจนกว่านางจะทานเสร็จ นางยังถามถึงชื่อของอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้มหวานประจำตัว โดยยังไม่แตะอาหารในจานนั้นสักนิด ไม่...แม้แต่จะหยิบช้อนกับส้อมขึ้นมาเตรียมลงมือรับประทาน
ถึงจะสวมหน้ากาก แต่นางอาศัยอยู่ที่นี่กับคนในปราสาทมานาน ไม่มีทางที่จะรู้สึกแปลกแยกเช่นนี้แน่นอน
นางกำนัลปริศนาหรี่ตาลง พลางพยามสะบัดมือหนีจากฟิลลิปป์ที่เอื้อมมาจับไว้อย่างรวดเร็ว ท่าทางของผู้หญิงคนนี้แตกต่างจากนางกำนัลอื่นโดยสิ้นเชิง การส่งให้ทหารตรวจสอบก่อนนับเป็นสิ่งรอบคอบที่ควรกระทำ
ทันใดนั้น ประตูถูกเปิดผางออกด้วยฝีมือของเด็กหนุ่มในชุดของทหารองครักษ์ในปราสาท ข้างกายมีซาร่าตัวจริง ซึ่งไม่ได้สวมหน้ากากไว้ ใบหน้าอันแท้จริงของนางเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก รีบชี้ถึงบุคคลแปลกหน้าที่ทำร้ายนางจนสลบ แล้วปิดปากมัดมือเท้าไว้ในตู้เก็บอุปกรณ์ทำความสะอาดตั้งแต่หลังมื้อกลางวัน หากซิลเวอร์ไม่ได้ยินเสียงกุกกักแปลกๆในนั้น คงไม่มีทางรู้ว่าเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น ยังไม่นับรวมพวกพ่อบ้านที่ถูกขังอยู่ในห้องว่างอีก
อัศวินสีเงินเกือบจะพุ่งเข้าใส่สตรีนักฆ่าผู้นั้นแล้ว ถ้าไม่ติดตรงคนที่ใกล้นางที่สุดคือฟิลลิปป์ ซึ่งหญิงสาวคนนั้นคำนวณสถานการณ์และปฏิกนิยานั้นได้ภายในเสี้ยววินาที รีบบิดแขนให้คนจับกลายเป็นฝ่ายถูกจี้แทนด้วยมีดแหลมที่เหน็บไว้ในกาย นางหัวเราะเยาะกับแววตาของผู้สั่งห้ามทหารบุกเข้ามา รับรู้ว่าคนตรงหน้าคงกัดฟันกรอดด้วยความแค้นอยู่เป็นแน่
“ถ้าเข้าใกล้แม้แต่หนึ่งก้าว ข้าจะกรีดหน้าของเขาหนึ่งครั้ง เป็นข้อตกลงที่ดี...จริงไหม?”
สตรีนักฆ่าค่อยๆถอยเข้าไปใกล้หน้าต่าง พลางมองสำรวจภายนอกอย่างละเอียด ไดอาน่าอาศัยช่วงจังหวะนั้นในการเหวี่ยงจานอาหารไปทางคนร้าย ซึ่งใช้มีดในมือปัดสิ่งของที่ลอยเข้าหาอย่างรวดเร็ว พลางใช้เข่ากระแทกร่างกายตัวประกันอย่างรุนแรง แล้วเหวี่ยงไปทางพวกซิลเวอร์ที่ทำท่าจะบุกเข้ามาโดยลืมคำขู่
หญิงสาวปริศนาคนนั้นส่งเสียงเย้ยหยันสั้นๆอีกครั้ง ถึงงานรองจะไม่สำเร็จก็ช่างปะไร เพราะจิ๊กซอว์ส่วนเล็กๆได้ถูกวางเชื่อมต่อเรียบร้อยแล้ว
ซิลเวอร์ประคองคนสลบไว้ในอ้อมกอด พลางพิจารณาหลักฐานที่หลงเหลือในที่เกิดเหตุ เศษผ้าขาดวิ่นที่ปักตราจากอาณาจักรศัตรู เขาไม่คิดจะตกหลุมพรางไร้สาระเช่นนี้หรอก หากนักฆ่าคนนั้นมาจากโอเทล์มจริง นางยังจะต้องพกผ้าปักตราที่มาทำไม เว้นซะแต่จะเป็นการประกาศสงครามโดยไม่เกรงกลัว
ในเช้าวันรุ่งขึ้น เขาก็ได้ทราบเกี่ยวกับการเร่งซ่องสุมกำลังของอาณาจักรที่ใช้สัญลักษณ์ในเศษผ้าขาดวิ่นนั่น
“ข่าวเรื่องมื้อเย็นถูกปิดเป็นความลับแน่นหนา มีเพียงไม่กี่คนที่รู้เรื่องนี้” องคราชินีกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียดแก่บุคคลทั้งสอง
ความจริงซิลเวอร์ควรอยู่ที่นี่เพื่อปกป้องไดอาน่า แต่การตัดสินใจเมื่อวานส่งผลอย่างชัดเจน หากศัตรูนำตัวฟิลลิปป์มาใช้ต่อรองอีกครั้ง บางทีมันอาจไม่จบแค่การที่คนร้ายหลบหนีไปอย่างคราวก่อน อีกทั้ง ตำแหน่งของเขาเกี่ยวข้องห่างๆกับกองทหาร เมื่อมีเหตุด่วนจำเป็นจึงจะเข้ามาควบคุมโดยตรง หากเป็นเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับคนรัก ดูเหมือนว่าความรอบคอบจะกลับมาเหมือนเดิม อีกทั้ง องครักษ์ของที่นี่มีฝีมือมากพอจะคุ้มกันปราสาทนี้
องค์ราชินียังมีข่าวจะแจ้งอีกเรื่อง นั่นคือเรื่องของอาคันตุกะที่มาเยือนกระทันหัน เจ้าหญิงจากโครอนซึ่งเดินทางมาเพื่อเยี่ยมเยียนอาณาจักรโลนอนซิลแห่งนี้
ฟิลลิปป์รู้ว่าโครอนคืออาณาจักรพันธมิตรที่มีความเกี่ยวโยงทางสายเลือดระหว่างราชินีของโลนอนซิลและราชินีของฝ่ายนั้น หากไม่นับรวมพระธิดาที่หายตัวไปหนึ่งองค์ โครอนจะมีเจ้าหญิงและเจ้าชายอย่างละสองพระองค์ ซึ่งอายุอาจจะไล่เลี่ยกันกับไดอาน่า แม้ว่าเขาจะไม่เคยพบเชื้อพระวงศ์เหล่านั้นเลยก็ตาม แต่เคยมีคนเคยพูดเกี่ยวกับเรื่องนี้ให้ได้ยินมาบ้าง
เจ้าหญิงแย้มยิ้มพลางเดาชื่อของสหายคนสนิทจากโครอนจนครบทุกชื่อ แต่กลับไม่มีนามใดได้รับคำตอบว่าถูกต้องเลยสักครั้ง นางถามอย่างฉงนใจกลั้วเสียงหัวเราะ “อย่าบอกว่าเป็นเจ้าหญิงเดเนียร์นะเพคะ? ในเมื่อนาง...”
“...กลับมาแล้ว กว่าทหารจะสืบทราบข่าวคราวได้ก็นานทีเดียว” องค์ราชินีอธิบายจากคำบอกเล่าของเดเนียร์ “ในทีแรกพวกเราคิดว่าไม่ใช่ตัวจริง แต่นางมีจดหมายรับรองจากราชินีแห่งโครอนมาด้วย พวกเราจึงตัดสินใจต้อนรับขับสู้นางเป็นอย่างดี เจ้าเองก็ควรไปต้อนรับด้วยตนเองเช่นเดียวกัน”
ฟิลลิปป์พบว่าเจ้าหญิงไดอาน่าแต่งกายอย่างเลิศหรูอีกครั้ง เพียงแต่ไม่เท่ากับในคืนงานเลี้ยงสวมหน้ากากนัก เขาเองก็ได้รับคำสั่งให้เตรียมตัวออกไปพบด้วยกัน ดูเหมือนไดอาน่าตั้งใจแนะนำเขาให้เจ้าหญิงที่เพิ่งกลับมาพอสมควร อาจเพราะเขาเป็นคนรักของซิลเวอร์ ต่อให้เขาไม่ทราบฐานะของอัศวินสีเงินผู้นั้นก็ตาม
ลำคอของสาวน้อยตั้งตรง ใบหน้าเชิดขึ้นนั้นเปี่ยมด้วยรอยยิ้ม ฟิลลิปป์ไม่เคยเจอท่าทีเช่นนี้ของสหายชั้นสูงมาก่อน กระนั้น เขาก็ไม่ได้เอ่ยถามสิ่งใดออกไปให้มากมาย
ทว่า เมื่อสาวน้อยที่นั่งคอยอยู่ที่โต๊ะน้ำชาในห้องรับแขกกว้างขวางแลดูเลิศหรู ได้เงยหน้าขึ้นมาสบตากับเจ้าของปราสาทประหนึ่งทักทาย เขาแทบจะยั้งคำพูดอุทานไว้ไม่อยู่ เนื่องจากเขาไม่ค่อยได้พบแท้จริงของชนชั้นสูงนัก และยอมรับว่าหลายวันมานี้คือครั้งแรกที่เขาพบใบหน้าอันแท้จริงของเชื้อพระวงศ์แห่งโลนอนซิล หลังผ่านเกือบห้าหรือหกปี
แต่ใบหน้าของเชื้อพระวงศ์ในโครอน เขาเพิ่งพบกับเจ้าหญิงเดเนียร์เป็นคนแรก ใบหน้าของนางละม้ายคล้ายคลึงเจ้าหญิงไดอาน่าไม่มีผิด ทั้งรูปร่างหน้าตาหรือสีผม หากแต่เดเนียร์เกล้าผมขึ้นเรียบร้อย ปล่อยปอยยาวลงมาสองข้างเล็กๆ ผิดกับสหายชั้นสูงของเขาที่ประดับเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
อาคันตุกะผู้มาเยือนสบตากับนางอย่างเงียบๆ รอคอยปฏิกิริยาของเจ้าของปราสาทต่อตน อาจเพราะใบหน้าที่เหมือนกันราวกับฝาแฝดนี้ ได้สร้างความตกใจให้แก่สาวน้อยทั้งสองอยู่บ้าง
ไดอาน่าเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นมาก่อนพร้อมรอยยิ้มต้อนรับ “ข้าดีใจจริงๆที่ท่านเดินทางมาที่นี่”
นางแนะนำเด็กหนุ่มด้านหลังอย่างชัดเจนพร้อมฐานะที่มีต่อซิลเวอร์ นั่นทำให้อาคันตุกะเผลอขมวดคิ้วขึ้นมาเล็กน้อย อาจเพราะคนตรงหน้านี้เป็นบุรุษอย่างแน่นอน แม้ใบหน้าจะสวยหวานคล้ายสตรีอยู่บ้าง ความสวยงามของเพศตรงข้ามกลับไม่มีโดยสิ้นเชิง หากแต่เสน่ห์บางอย่างที่หาได้ยากกลับทดแทนเป็นอย่างดี
ฟิลลิปป์เองก็ขมวดคิ้วไม่แพ้เดเนียร์ แม้ว่าเจ้าหญิงจะไม่เอ่ยนามของเขาออกมาตรงๆ แต่เขากลายเป็นคนรักของพี่ชายนางงั้นรึ? เขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าโลนอนซิลมีเจ้าชายด้วยซ้ำ!
แต่อาคันตุกะกลับไม่แสดงความแปลกใจ นางค่อยๆเผยรอยยิ้มเจื่อนจางพร้อมกับเปลี่ยนเรื่อง แม้จะไม่แสดงอาการออกมาตรงๆ น่ากลัวว่าเจ้าหญิงต่างแดนคงไม่ค่อยเห็นด้วยกับความรักอันผิดแปลกเช่นนี้นัก สายตาของนางเหลือบมองเขาอยู่หลายรอบเสมือนเป็นคนแปลกที่สุดเท่าที่นางเคยพบมา
องครักษ์คนเดิมมองมุ่งตรงมาทางพวกเขาทั้งสาม เขาจัดการเรื่องการควบคุมกองทัพและออกคำสั่งสิ่งเกี่ยวข้องอย่างรวดเร็ว แล้วขออนุญาตพระราชาอย่างเคารพที่สุดเพื่อกลับมาสู่เกมเดินพันนี้ต่อไป
คนที่เขาห่วงที่สุดไม่ใช่เจ้าหญิงต่างแดนหรือเจ้าหญิงแห่งโลนอนซิลแห่งนี้ แต่เป็นคนรักที่ร่างกายแข็งทื่อมาตั้งแต่เมื่อครู่ เขาไม่เคยเปิดเผยฐานันดรของตนเพราะกังวลว่าจะไม่ถูกยอมรับ หรือปฏิบัติในฐานะอันสามารถจะสื่อความรู้สึกกันได้เหมือนอย่างที่ผ่านมา
แล้วตอนนี้เล่า...ฟิลลิปป์จะคิดเช่นใดกับสิ่งที่เพิ่งได้ยินกัน?
เจ้าหญิงทั้งสองสนทนากันในเรื่องต่างๆอย่างราบรื่น โดยมีการกล่าวถึงเรื่องในอดีตบ้าง แต่มันไม่อยู่ในสมองของอีกบุคคลหนึ่งเลย เสมือนว่าร่างของเขายังนั่งฟังอย่างเงียบๆ แต่ใจลอยไปถึงสิ่งต่างๆเกี่ยวกับคนรักของตน เขาเคยคิดว่าอีกฝ่ายน่าจะเป็นชนชั้นสูงอย่างบุตรชายของใครสักคน...ใครสักคนที่ไม่ใช่องค์ราชา
ไฉนเขาจึงไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับเจ้าชายแห่งโลนอนซิลเลยหนอ ไม่เคยพบในขบวนราชนิกูลเมื่อห้าปีที่แล้วหรือครั้งไหนๆ จะมีก็แต่องค์ราชา ราชินีแล้วก็เจ้าหญิงไดอาน่า
ฟิลลิปป์จำไม่ได้ว่าตนเองขอตัวจากการสนทนาครั้งนั้นได้อย่างไร แต่สิ่งที่เขาต้องการคือสถานที่คิดเงียบๆสักครู่ และการกลับไปยังห้องพักคือความคิดเดียวที่เขาจำได้
ซิลเวอร์ก้าวตามไปอย่างห่างๆ บังเกิดความหวาดหวั่นต่อการพบหน้าคนรักขึ้นมา ทั้งที่ทุกวินาทีอยากจะเข้าไปโอบกอดเรือนกายนั้นให้แนบแน่นที่สุด หรือประทับจุมพิตอันแสนหวานพร้อมกล่าวถ้อยคำจากใจซ้ำไปซ้ำมา แต่มาครั้งนี้เท่านั้นที่เขา...ไม่กล้า กังวลว่าจะถูกปฏิบัติเสมือนไม่เคยพบเจอกันมาก่อน
ทหารหน้าห้องของฟิลลิปป์สบตากันเงียบๆ เมื่อครู่สหายคนใหม่ของเจ้าหญิงเพิ่งเข้าไปในห้องอย่างเร่งร้อน ไม่ทันไร ทหารองครักษ์ผู้สวมหมวกและชุดสีน้ำเงินเข้มก็มาเดินวกวนไปมา แน่นอนว่าเครื่องแบบนั้นไม่มีอะไรต่างจากพวกตน เพราะทหารในปราสาทมักสวมเครื่องแบบเช่นนี้เหมือนกัน แต่บรรยากาศรอบกายที่แปลกแยก บ่งบอกว่าอีกฝ่ายคงจะเป็นคนที่พวกเขาทราบกันอยู่
ทุกครั้งซิลเวอร์จะคอยมองอย่างเงียบๆ ไม่แสดงอาการใดให้พวกเขารู้ทันทีเหมือนครั้งนี้มาก่อน มันเกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่นะ?
“ฝ่าบาท...” หนึ่งในสองทหารหน้าห้องเอ่ยอย่างลังเล ก่อนจะรายงานเรื่องท่าทีสับสนของคนภายใน แต่กลับได้รับคำถามกลับมาแทน เขาควรจะเข้าไปในห้องนั้นดีหรือไม่?
ทหารทั้งสองหันกลับมาสบตากันอีกครั้ง พวกเขาไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นแม้แต่น้อย การตอบคำถามนี้คงจะไม่ง่ายนัก นายทหารคนเดิมจึงตอบกลับมาอย่างไม่มั่นใจอีกครั้ง “ข้าพระองค์ไม่คิดว่าความคิดนี้จะดีนัก แต่เราทุกคนต่างสวมหน้ากาก ทั้งดวงตาสีผมของฝ่าบาทก็คล้ายกันกับข้าพระองค์ หากไม่รังเกียจในความต่ำต้อย... เอ่อ คือข้าพระองค์...”
“เจ้าชื่ออะไร” ซิลเวอร์เขาตอบรับแผนการของคนเจ้าปัญญาโดยไม่คิดมาก สร้างความโล่งใจแก่คนตะกุกตะกักเป็นอย่างดี ก่อนจะเปิดเข้าไปพบกับฟิลลิปป์โดยเร็ว
คนในห้องนั้นหันกลับมามองผู้มาเยือนโดยพลัน หากแต่ถามธุระของทหารหน้าห้องด้วยน้ำเสียงอันแผ่วเบา ราวกับมีปัญหาบางอย่างอยู่ในใจ การแสดงออกเช่นนี้สร้างความวิตกแก่องครักษ์จำแลงอย่างที่สุด พลางนึกถึงเหตุผลในการที่ตนเข้ามาในห้องอย่างรวดเร็ว
ทว่า สิ่งที่เขากล่าวออกไปเป็นอันแรกคือ... “เหตุไฉนท่านจึงคิดว่าข้าคือโคเรนซ์ขอรับ”
ฟิลลิปป์แสดงอาการประหลาดใจในคำถามออกมาอย่างชัดเจน โดยปกติแล้วจะไม่มีทหารองครักษ์คนใดเข้ามาในห้องเขา หรือถ้ามีคำสั่งจากเจ้าหญิงไดอาน่า คนที่เข้ามามักจะเป็นนางกำนัลมากกว่า หากว่าอีกฝ่ายไม่ใช่โคเรนซ์ ซึ่งพูดคุยกับเขาบ้างเป็นบางครั้ง ก็คงไม่มีทางทหารหน้าห้องอีกผู้หนึ่งแน่ เพราะสีของดวงตาและเส้นผมนั้นต่างกัน
“หรือเจ้าจะไม่ใช่เขาหรอกหรือ?” ฟิลลิปป์ดูผ่อนคลายลงเพราะสถานการณ์อันชวนมึนงงนี้ เขาหรี่ตาลงอย่างสังเกตเสมือนกำลังตั้งข้อสงสัยในตัวผู้มาเยือน
“ไม่ใช่... ข้าหมายถึง...ข้าไม่ใช่คนอื่นขอรับ” เขากล่าวอย่างรวดเร็ว
เจ้าชายผู้ปิดบังตัวตนเลี่ยงการเอ่ยถึงธุระในการเข้ามา โดยการโยงไปถึงอาคันตุกะอีกท่านหนึ่งของเจ้าหญิง เนื่องจากฟิลลิปป์มีใบหน้าที่ไม่สบายใจนัก ไม่แน่ว่าการคุยกับใครสักคนอาจเป็นทางออกที่ดี เขาจ้องมองลึกเข้าไปในความว้าวุ่นนั้นด้วยความสับสนไม่แพ้กัน อย่างน้อยก็ตัวตนจอมปลอมนี้จงช่วยสร้างกำแพงกั้นอันแสนบางที เพราะเขาไม่กล้าจะเอื้อมมือออกไปสัมผัสผู้ที่อยู่อีกด้านหนึ่งหรอกนะ
ฟิลลิปป์นั่งลงตรงเก้าอี้ริมหน้าต่าง แววตาฉายความกังวลเหม่อมองไปยังท้องฟ้ากว้างไกล
ซิลเวอร์ไม่แน่ใจว่าตนกระทำถูกต้องหรือไม่ เทพธิดาวีนัสจะกำลังเมินเฉยต่อความรักของพวกเขากระนั้นรึ? การอวยพรในความหอมหวานของความรักนั้นอาจเป็นเพียงสิ่งลวงหลอกให้ผู้ต้องมนตราในเสน่ห์อันมากล้นของความรู้สึกบ่มเพาะทุกสิ่งอย่างเต็มที่ ก่อนจะปล่อยมือให้พวกเขาทั้งสองต้องเจ็บปวด
เจ้าของห้องหันมาทางทางเจ้าชายผู้ปิดบังตัวตนอย่างเชื่องช้า กล่าวคำพูดที่ไม่เจาะจงมากนัก น้อยคนที่จะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นอย่างจริงจัง ทุกคนทราบเพียงแต่เรื่องหน้ากากนี้เกี่ยวข้องกับการเดิมพันบางอย่างและพวกเขาไม่จำเป็นต้องสงสัยอะไรให้มากไปกว่านั้นอีก “ข้าไม่รู้อะไรเกี่ยวกับคนที่ตนเองรักเลยแม้แต่น้อย ไม่ว่าจะเป็นชื่อ ฐานันดร หรือแม้แต่ใบหน้า...”
ซิลเวอร์หลับตาลง เตรียมรับฟังคำพูดต่อไป คำพูดที่อาจจะกล่าวถึงการหมดเยื่อใยต่อความรักในครั้งนี้ เพราะเขาเป็นคนที่ปิดบังทุกอย่างเองและคงไม่อาจยื้อไว้ได้ สิ่งเหล่านั้นอัศวินสีเงินจะได้รับฟังมันอีกครั้งในคืนนี้
แต่ไม่ใช่... “เขารู้ทุกอย่างเกี่ยวกับตัวข้าหรือ? เขาผู้เติบโตขึ้นมาเพียบพร้อมด้วยสิ่งต่างๆ ตัวข้ากลับเป็นกระจกสะท้อนอีกด้าน เราต่างพบกันในความมืดมิด ปิดบังทุกสิ่งไว้ท่ามกลางรัตติกาล สุดท้าย มันก็เป็นเพียงมายาที่ผันผ่านมาดุจสายลม เมื่อเมฆหมอกจางหายและพายุผ่านไป...”
“ไม่มีทาง...!” โคเรนซ์ตัวปลอมเผลอคัดค้านขึ้น ก่อนจะหลบสายตาอันจับจ้องมาอย่างประหลาดใจนั่น “ข้าเพียงแค่คิดว่าคนที่ท่านรัก ไม่ได้หลงใหลอยู่ในสิ่งที่ราตรีสร้างขึ้น เขาจ้องมองท่านอยู่ตลอดเวลา จับจ้องทุกอย่างทุกรายละเอียด เขาหลงรักในสิ่งที่ท่านเป็น แม้อยู่ท่ามกลางตะวันซึ่งสาดแสงเรืองรอง ท่านก็ยังคงไม่เปลี่ยนไป และไม่ว่าจะยากเย็นเพียงไร เขาพร้อมจะฟันฝ่าไปพร้อมกันกับท่าน เพียงแค่อย่าปล่อยมือจากเขาเท่านั้น...หากเขามายืนตรงหน้าท่าน เขาจะกล่าวคำว่า ‘ได้โปรด’ ซ้ำไปซ้ำมาเพื่ออ้อนวอนให้ท่านอย่าทอดทิ้งชายผู้มีรักอันแท้จริงนี้เลย...”
และทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบงันอีกครั้ง ครั้งนี้กลับไม่มีบรรยากาศอันชวนอึดอัดใจอย่างเมื่อครู่ ราวกับคำพูดจากหัวใจของซิลเวอร์ส่งผ่านไปให้ผู้รับฟังได้ เขาหันกลับไปมองภายนอกด้วยสีหน้าสดชื่นขึ้นเล็กน้อย เฝ้ารอคอยให้แสงอาทิตย์และความวุ่นวายกังวลนี้จบลงเสียที เพื่อที่เขาจะได้พบกับคนรักท่ามกลางแสงจันทราอันอ่อนโยน
กาลเวลาผ่านไปเนิ่นนาน ฟิลลิปป์รู้สึกเหมือนสายลมในช่วงบ่ายพัดผ่านเสมือนเพลงกล่อม เปลือกตาของเขาปิดลงอย่างช้าๆ โดยมีโคเรนซ์คอยมองอยู่เช่นนั้นไม่ห่างไปไหน ความเลือนลางทำให้เขารู้สึกเหมือนมีใครโอบอุ้มเขาขึ้นมาจากเก้าอี้ริมหน้าต่างหนานุ่มตัวนั้น วางลงตรงเตียงอย่างระมัดระวัง เป็นสัมผัสอ่อนอ่อนโยนและปลอดภัย ไม่ทำให้ความง่วงงุนอันมีมากถึงขีดสุดนี้จางหาย
ก่อนจะเข้าสู่ห้วงนิทรา ฟิลลิปป์รู้สึกถึงอ้อมกอดของใครบางคนที่ห่อหุ้มคล้ายจะปกป้องจากสิ่งเร้าภายนอก มันช่างเต็มไปด้วยความคุ้นเคยเสียจริง แต่ความง่วงไม่ปล่อยให้เขารับรู้อะไรไปมากกว่านั้นแล้ว ไม่เป็นไร แค่มีอ้อมกอดนี้คอยอยู่เคียงข้างก็เพียงพอ
โคเรนซ์ตัวปลอมรู้ดีว่าตนเองควรจะละมือออกจากผู้ที่กำลังนอนหลับพักผ่อน เพื่อไปพบกันอาคันตุกะผู้มาเยือน หากแต่คำพูดเมื่อครู่ของคนรักได้ดังก้องอยู่ในความรู้สึกนึกคิด ยอมรับข้อเสียกระนั้นหรือ? เขาเองที่อยากเป็นฝ่ายกล่าวคำนั้นออกมา เจ้าชายในนิทานที่สร้างสิ่งต่างๆขึ้นมาอย่างมหัศจรรย์นั้นไม่ใช่เขาหรอก ไม่ใช่เลยสักนิด...
“ข้าจึงอยู่ที่นี่เพื่อขอร้องอ้อนวอนต่อเจ้า...” ซิลเวอร์ลูบไล้เส้นผมของคนรักอย่างแผ่วเบา “...อ้อนวอนว่าหากวันใดที่เจ้ารู้ว่าข้าไม่ใช่เจ้าชายผู้สูงส่งหรืออัศวินผู้สง่างาม เป็นเพียงคนคนหนึ่งซึ่งไม่ได้แตกต่างจากใคร เจ้าซึ่งเป็นผู้เดียวที่ข้ายอมทิ้งได้ทุกสิ่ง ได้โปรดจับมือข้าด้วยความรู้สึกนี้เหมือนอย่างที่เคยกระทำ เพราะมันช่างอบอุ่นเหลือเกิน”
กลิ่นกายหอมอ่อนๆตามธรรมชาติของคนในอ้อมกอด ผสานเข้ากับสายลมยามบ่ายอันเย็นสบาย ความเงียบงันรอบกายทำให้เด็กหนุ่มอยากนอนหลับไปทั้งแบบนั้น หากแต่สามัญสำนึกไม่ยอมให้เขาทำเช่นนั้น เพราะตอนนี้เขาสวมหน้ากากเป็นโคเรนซ์ ไม่ใช่อัศวินสีเงินที่อีกฝ่ายคุ้นเคย
ฝ่ามือของเขาทาบทามลงบนเรียวมือของผู้หลับใหล พร้อมทั้งดน้มตัวลงไปจุมพิตอย่างอ่อนโยนเนิ่นนาน นานมากจนเจ้าหญิงนิทราเริ่มรู้สึกตัว น่ากลัวว่านี่คงไม่ใช่เวลาที่เจ้าชายผู้แสนดีควรไปปลุกนาง และฟิลลิปป์มักจะมีความอ่อนแรงเจือไว้ในแววตาเสมอ การให้เขานอนหลับพักผ่อนอย่างเต็มที่จึงเป็นการดีที่สุด
เขารู้ดี...เขาเห็นแก่ตัว แสดงตัวตนต่างๆใต้แสงจันทร์อันสาดส่อง แต่มันจะเป็นแบบนี้ต่อไปอีกไม่นานหรอก เขาจะสวมหน้ากากของโคเรนซ์เข้ามา จนกว่าฟิลลิปป์จะรู้ตัวว่าผู้ที่ตนพูดด้วยเป็นใคร แต่...นี่ก็ยังเป็นความเห็นแก่ตัวของเขาอีกครั้ง เพราะไม่กล้าพูดออกไปด้วยตนเองมิใช่หรือ เพราะไม่กล้ายืดหยัดจนถึงที่สุดมิใช่หรือ ทุกสิ่งจึงสับสนวุ่นวายอยู่เช่นนี้ หากในวันนั้นเขากล้าที่จะไม่รับคำท้า แล้วจับมือคนรักออกเดินทางไปด้วยกัน ไม่ต้องหวั่นเกรงต่ออำนาจขององค์ราชาที่จะพาตัวพวกเขากลับมา พระองค์อาจจะเข้าใจว่านั่นคือสิ่งที่เขาเลือกด้วยตนเองก็เป็นได้ พระองค์อาจจะเข้าใจ...
ซิลเวอร์จมอยู่กับความคิดของตนอยู่นานมาก จนท้องฟ้าเริ่มทอแสงเย็นลงเรื่อยๆจนแสงสว่างนั้นน้อยลง อีกไม่นานค่ำคืนใหม่ก็จะมาเยือน ช่วงเวลาที่พวกเขาจะได้มาพบกันโดยไม่ต้องสวมบทบาทเป็นใคร จนถึงยามที่พระจันทร์นั้นเคลื่อนกายขึ้นท่ามกลางความมืดมิดอย่างเต็มเปี่ยม ร่างในอ้อมกอดของเขาจึงจะเริ่มเคลื่อนไหวคล้ายรู้สึกตัว
ฟิลลิปป์รู้สึกเหมือนมีใครลุกออกจากเตียงหนานุ่มนี้ แต่เขายังสะลึมสะลือเกินกว่าจะสนใจ จนกระทั่งมีฝ่ามือของใครมาสัมผัสร่างอีกครั้ง เด็กหนุ่มจึงค่อยๆตื่นขึ้นมาอย่างมึนงง นี่เขาเผลอหลับไปอย่างนั้นหรือ? น่ากลัวว่าคงนานพอสมควร เพราะท้องฟ้าด้านนอกแปรเปลี่ยนเป็นสีดำสนิทแล้ว
อัศวินสีเงินยังคงสวมหน้ากาก เขายิ้มให้คนรักบางๆดูมีเสน่ห์อย่างที่เคยเป็น แต่ผู้ที่เพิ่งตื่นขึ้นกลับรู้สึกเหมือนเป็นรอยยิ้มอันฝืนทำ ราวกับว่าคนตรงหน้านี้มีอะไรบางอย่างติดค้างอยู่ในใจ เขาควรถามหรือไม่นะ...? แต่สีหน้าของอีกฝ่ายไม่ต้องการบอกสิ่งใด เขาไม่ควรจะทำให้ซิลเวอร์ลำบากใจเช่นกัน
ผู้มาเยือนคำรบที่สองตัดสินใจเอ่ยขึ้นก่อน “เจ้ารู้ฐานะของข้า...” แล้วจึงเงียบลงไปตามอีกครั้ง
เขาไม่ควรพูดเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่บางทีฟิลลิปป์ควรจะมีสิทธิถามทุกสิ่งเกี่ยวกับเขา...หากว่าอีกฝ่ายต้องการจะรู้ ความว้าวุ่นในตอนกลางวันสร้างความไม่มั่นใจให้กับอัศวินสวมหน้ากากนัก เขาไม่รู้ว่าต้องพูดหรือกระทำสิ่งใดให้สถานการณ์ไม่แย่ลงไปกว่าที่ในความคิดของเขาเป็น
นึกไม่ถึงว่าคู่สนทนาจะใช้รอยยิ้มตอบรับ รอยยิ้มที่คล้ายจะลำบากใจในคำถาม “ข้าควรจะเรียกท่านด้วยชื่อซิลเวอร์ต่อไปดีหรือไม่...ขอรับ? ข้าควรพูดเช่นนั้นหรือเปล่า?”
อัศวินสวมหน้ากากบอกปฏิเสธด้วยความคาดไม่ถึง ความจริงเขาคิดว่าตนเองจะได้ยินคำตัดพ้อหรือคำต่อว่าเกี่ยวกับการปิดบังฐานะ ทั้งที่คนรักของเขาไม่เคยปิดบังไม่ว่าเรื่องอะไรแท้ๆ สีหน้าของเจ้าชายแสดงความตกตะลึงออกมามากมายทีเดียว
แม้จะเป็นคำถามที่หวั่นเกรงในคำตอบ ซิลเวอร์ก็อดถามไม่ได้เกี่ยวกับความรู้สึกหลังรับรู้ฐานันดรนี้
ฟิลลิปป์ก้มหน้าลงเล็กน้อย “ข้าคิดว่าตนเองช่างเป็นคนรักที่ใช่ไม่ได้ ข้า...ข้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าโลนอนซิลมีเจ้าชาย บางทีน่าจะมีหนังสือสักเล่มที่ข้าควรอ่าน หรือท่านคิดว่า...”
ซิลเวอร์เผยยิ้มโล่งอกออกมา เขาคิดว่าหนังสือเหล่านั้นเทียบตัวจริงไม่ได้สักนิด หากว่าฟิลลิปป์ต้องการรู้อะไรเกี่ยวกับเขา ก็ไม่จำเป็นต้องเก็บความสงสัยไว้ในใจเหมือนอย่างที่ผ่านมาอีกต่อไป เดิมทีเขาคิดว่าคนรักจะกังวลเกี่ยวกับเรื่องฐานะอันเต็มไปด้วยความยุ่งยากนี้ เพราะคนตรงหน้านี้รักในความสงบสุขและไม่มากด้วยพิธีการ รวมทั้งการข้องแวะกับชนชั้นสูงในฐานะอันใกล้ชิดเกินไป หากว่าไดอาน่าไม่มอบความเป็นกันเองตั้งแต่ต้น น่ากลัวว่าคงใช้เวลาอีกนานกว่าจะปรับตัวเข้าหากันได้
บุรุษสวมหน้ากากเตรียมจะเอ่ยเล่าถึงเรื่องราวเกี่ยวกับตนเองทั้งหมด หากแต่ฟิลลิปป์ซึ่งตัดสินใจบางอย่างขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ได้เอื้อมมือมาแตะริมฝีปากเขาเบาๆ “จนกว่าจะครบเวลาสามเดือน เวลาที่เราจะได้รู้ผลลัพธ์ของเรื่องราวในครั้งนี้ ท่านอย่าเผยหน้าตาหรือเรื่องราวต่างๆได้หรือไม่ อย่างน้อย ถ้าข้าจะไม่ได้พบกับท่านอีก ก็คงไม่มีสิ่งใดเกี่ยวกับตัวตนของท่านที่ข้าควรจะรู้...จริงไหม?”
ซิลเวอร์จ้องมองลึกเข้าไปในแววตาเปี่ยมด้วยความกังวลนั้น ก่อนจะจุมพิตที่มือซ้ายของคนรักเบาๆ เอ่ยปลอบโยนด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เจ้าอย่าได้กังวลใจไปเลย เวลาสามเดือนไม่มากเกินกว่าความรักของเรา เมื่อการเดิมพันนี้จบลงอย่างที่คาดหวังไว้และมันควรจะเป็น เมื่อนั้น เจ้าจะได้ล่วงรู้ทุกสิ่งทุกอย่างแน่นอน”
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.5 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ