The Silver Mask
9.8
10) ลำดับที่ 11 [บทส่งท้าย]
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความณ หอคอยราชินีในยามราตรี แม้เวลาจะผันผ่านจนเกือบย่ำรุ่งก็ตาม องค์ทั้งสองที่ยืนทอดมองไปยังท้องฟ้าอันกว้างไกลและมวลดอกไม้อันงดงาม กลับไม่แสดงความอ่อนล้าหรือเบื่อหน่ายเลยแม้แต่น้อย หากแต่ทบทวนเรื่องราวที่ผ่านมาด้วยความรู้สึกขบขันเหลือกำลัง ทั้งเรื่องของสตรีนักฆ่า การวิวาห์ของเจ้าหญิงและเจ้าชายต่างแดน หรือแม้แต่การพบพานในรักของซิลเวอร์
องค์ราชินีถอนหายใจออกมาเบาๆ เมื่อนึกถึงเรื่องราวของบุตรชายต่างสายโลหิต พลางเอนอิงไหล่ของผู้เป็นสามีเบาๆ “ความจริงทั้งข้าและท่านก็คงไม่อยากยอมรับ...ว่าเราไม่ใส่เขาเท่าที่ควร ในตอนที่เด็กหนุ่มคนนั้นเข้ามาเพื่อวอนขอในเรื่องนี้”
“เราทำได้ดีที่สุดเพื่อชดเชยความผิดพลาดนั้น เขาเองก็รับรู้ดี...จริงไหม” พระองค์ยกหัตถ์ซ้ายของพระนางขึ้นมาจุมพิตอย่างนุ่มนวลคล้ายจะปลอบประโลม “การรั้งเขาไว้ไม่ใช่ทางออกที่ดีที่สุด อีกทั้ง ข้ารู้ความหมายในการเดินหมากนั่นแล้ว ในเมื่อเขาเป็นฝ่าย ‘แสร้งทำเป็นยอมพ่ายแพ้’ เพื่อหวังชัยชนะที่ยิ่งใหญ่กว่า ทำไมเราจึงต้องขัดขวางเรื่องราวในการเดินทางนั้นเล่า?”
องค์ราชายังจำถึงปัญหาที่องค์ราชินีได้มอบให้ในเช้าวันนั้นได้ พระนางถามเกี่ยวกับจุดมุ่งหมายของคนที่พ่ายแพ้และไม่ได้อะไรเลย ทั้งที่วาดหวังในสิ่งของที่เดิมพัน แต่ยังคงคับเขี่ยวกับผู้ชนะจนคนคนนั้นไม่ทันได้เอะใจ กว่าความจริงจะปรากฏออกมาอีกครา ดูเหมือนว่าหมากจบเกมได้ถูกวางลงเสียแล้ว
โอ...จะมีความหมายใดไปมากกว่านั้นเล่า ในเมื่อคำตอบคือการปล่อยผู้ชนะได้รับของเดิมพันนั้น นั่นคือความเหมาะสมสำหรับทุกฝ่ายแล้ว รวมทั้งความสุขของสิ่งเดิมพันที่ว่า หากนั่นคือจุดมุ่งหมายสูงสุดของผู้พ่ายแพ้อย่างฟิลลิปป์
อีกหนึ่งเรื่องที่ชวนขบขันเป็นที่สุด...คงไม่พ้นเรื่องราวของสตรีนักฆ่า มันช่างเป็นละครช่างเล็กๆอันน่าดูชมทีเดียว เรื่องนี้อาจถูกเก็บงำเป็นความลับอย่างยิ่งยวด แม้แต่กับองค์ราชาเองก็ตาม ถึงกระนั้น พระองค์พอจะรับรู้ ‘การร่วมมือ’ ขององค์ราชินีระหว่างอาณาจักรดี จะมีผู้หญิงที่ไหนหน้าตาเหมือนกันถึงสามคน หนึ่งในนั้นกลับหาลู่ทางต่างๆได้จนสร้างเรื่องราวใหญ่โต ทั้งที่เป็นเพียงสตรีธรรมดา ไร้ซึ่งยศฐาและสิ่งจำเป็นอีกหลายประการ
ที่สำคัญ การเดินทางมายังโลนอนซิลของเจ้าชายต่างแดน ย่อมไม่มีทางสืบทราบว่ามายังดินแดนแห่งนี้ได้เลย เว้นแต่ว่าคนคนนั้นจะได้รับข้อมูลจากใครบางคนที่หนุนหลังนางอยู่ ใครบางคนที่ ‘ส่งองครักษ์’ มาให้บุตรี โดยที่การคัดเลือกนั้นไม่ปรากฏอย่างชัดเจน ซ้ำยังมีเอกสารยืนยันตัวตนของเจ้าหญิงเดเนียร์อีก
พระนางยิ้มออกมาบางเบา “คนของข้าเองก็สนุกสนานไม่น้อยนะเพคะ เพียงแต่เวลามันมีน้อยนิดจนเกินไป ละครอันไร้ความแนบเนียนบทนี้จึงได้ผลสรุปง่ายดาย ถึงเจ้าชายแห่งโอเทล์มหรือไดอาน่าจะล่วงรู้แล้วมันอย่างไรกัน? เพราะสุดท้ายคนที่ได้ผลประโยชน์คือทุกฝ่าย”
สิ่งที่น่าขบขันที่สุดในเรื่องของสาวน้อยผู้มีใบหน้าเหมือนกัน แต่โชคชะตากลับแตกต่างถึงสามคน นั่นคือการที่มีเพียงคนเดียวที่มีตัวตนอยู่จริง ไม่ว่าจะเป็นบทบาทของสตรีนักฆ่าที่องค์ราชินีสรรค์สร้างมา หรือแม้แต่เจ้าหญิงเดเนียร์จากโครอน ก็ยังคงเป็นอีกหนึ่งฉากที่กำเนิดขึ้นมาโดยไม่ตั้งใจ ให้ใครเข้าใจภาษาในภาษาของอาณาจักรนั้นสักนิด คงจะรู้ดีว่าการออกเสียงคำว่า ‘ไดอาน่า’ ได้ถูกแผลงเป็น ‘เดเนียร์’ อย่างเรียบร้อย
แทนที่ท่านป้าของบุตรีนางจะประกาศอย่างชัดเจน ถึงตัวตนของหลานสาววัยเยาว์จากแดนไกล กลับกลายเป็นว่าโครอนเข้าใจถึงการมีอยู่ของเจ้าหญิงคนใหม่ ทั้งสองเองก็ร้ายใช่ย่อย เมื่อเห็นว่าเรื่องของเดเนียร์เป็นที่เข้าใจผิด กลับชักชวนให้อยู่ในฐานะของบุตรีจริงๆ จนต้องกันความวุ่นวายโดยการสร้างเรื่องการโดนลักพาตัวในที่สุด
ดังนั้น จะไม่นับเป็นเรื่องนี้เป็นเรื่องชวนขบขันที่สุดได้อย่างไร...?
เมื่อนึกไปถึง ‘ความบังเอิญ’ อย่างแท้จริง คงจะเป็นเดิมพันระหว่างเจ้าชายกับองค์ราชา อันเป็นการต่อรองของจริงที่มีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมาย ทั้งยังมาตรงกันกับเรื่องของเจ้าชายจากโอเทล์มโดยบังเอิญ กลายเป็นว่าความวุ่นวายถึงสองสิ่งอย่างกับรวมมาอยู่ในห้วงเวลาเดียวกันได้อย่างน่าอัศจรรย์ จนสุดท้ายกลายเป็นว่าแม้แต่เรื่องการเดิมพัน ยังถูกแทรกแซงเติมแต่งเป็นระยะโดยไม่รู้ตัว
ไม่เพียงแค่เรื่องของบุตรี เมื่อขึ้นชื่อว่าเป็นบุตรแล้ว แม้จะไม่ได้ถือกำเนิดจากอุทร มารดาไหนเล่าจะละเลยถึงคู่ครองของเด็กน้อยที่ได้ฟูมฟักรักเลี้ยงดูเหล่านั้นได้ หากในคืนการขอแต่งงานครั้งที่พระนางวางตัวหมากไว้อย่างเหมาะเจาะ เขาพร้อมในการเดินทางไปกับซิลเวอร์ หรือแม้แต่การถอดหน้ากากออกมาในเวลาอันถูกกำหนดไว้ โดยไม่สนใจว่าผู้ที่ถือกำเนิดขึ้นมาเพื่อเป็นเจ้าชาย สามารถทานทนกับอุปสรรคในฐานะของสามัญชนทั่วไปตามชาติกำเนิดอันแท้จริงได้ เขาคนนั้นจะได้รับ ‘คนรักสามัญชน’ ไปตามที่ต้องการ
ถึงกระนั้น พระนางไม่คาดคิดเกี่ยวกับการวอนขอต่อเรื่องราวของซิลเวอร์เลยแม้แต่น้อย ดูท่าว่า ‘สตรีนักฆ่าผู้โง่เขลา’ จะไม่ได้แสดงตามบทบาทของนางทุกอย่าง กลับยื่นมือเข้ามาอีกเล็กน้อยสำหรับความเหมาะสมตามสายตาของคนที่มองเรื่องราวอย่างห่างๆ ช่วยบอกเล่าบางสิ่งอย่างแก่หนุ่มน้อยคนนั้น เพื่อช่วยเหลือให้ทุกสิ่งอย่างเดินไปตามที่ควรจะเป็น ทั้งที่คนในเผลอมองข้ามไปจนคล้ายจะลืมเลือนสิ่งนั้น หากไม่แล้ว...ฟิลลิปป์คงไม่มีทางรับรู้และมาอ้อนวอนเรื่องเจ้าชายเป็นแน่
องค์ราชาเงยหน้าขึ้นเพื่อส่งสายตาแด่โชคชะตา ทุกอย่างช่างลงตัวเรียบร้อยเหลือเกิน ลงตัวจนน่าประหลาดใจในฐานะของมนุษย์ ผู้พยามควบคุมหลายสิ่ง แต่กลับไม่อาจบังคับในบางสิ่งได้
องค์ราชินีเข้าใจดีว่าคนข้างกายกำลังเย้าหยอกถึงแผนการ จึงได้ยิ้มรับอย่างไม่ปฏิเสธ ก่อนจะมองทอดสายตาไปยังดวงดาราอันพร่างพรายบนท้องฟ้า “ไม่ใช่แค่พวกเขา แม้แต่เราเองก็เช่นกันไม่ใช่หรือ ตอนที่อายุเท่ากับกับซิลเวอร์ ท่านเองก็ร้ายใช่ย่อยเลย”
เจ้าชายแห่งโลนอนซิลกำลังจับจ้องร่างของสาวน้อยผู้หนึ่ง เรือนผมสีแดงสลวยของนางเปล่งประกายงดงาม ทั้งยังสวมชุดสีหวานสวยเรียบง่ายกว่าใครหลายคนในที่นี้ ถึงกระนั้น แม้เป็นเพียงร่างด้านหลัง เขาก็พอจะเดาความสวยชวนให้หลงใหลของใบหน้านั้นได้
องค์ราชาในวัยสิบแปดปียิ้มกริ่มกับสหาย ผู้กำลังโอดโอยด้วยความเห็นใจเจ้าหญิงองค์นั้น น่ากลัวว่านางคงจะเป็นเช่นสตรีอื่นๆ มอบใจให้แก่เด็กหนุ่มผู้หล่อเหลากับบทกวีแว่วหวาน จากนั้นก็โดนทอดทิ้งให้เปลี่ยวเหงาเดียวดาย เป็นการเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างอาณาจักรโดยอ้อม นั่นช่างเป็นข้ออ้างอันดีเลิศเหลือเกิน แม้ในความเป็นจริงจะไม่สวยหรูเลยสักนิด
เจ้าชายแห่งโลนอนซิลตรงเข้าไปทักทายเด็กสาวทั้งสอง แม้จะเป็นเช่นนั้น สาวน้อยผู้มีใบหน้าละม้ายพอจะเดาจุดประสงค์ออก นางก้มลงกระซิบเบาๆกับน้องสาวแล้วเลี่ยงไป เปิดทางให้เชื้อพระวงศ์จากต่างแดนได้พูดคุย
“ความงามเลอค่าของท่าน เป็นความฝันที่ข้าไม่อาจจับต้อง” เจ้าชายกล่าวชมเชยพลางโค้งตัวลงเล็กน้อยอย่างมีมาดแทนการทักทายและแนะนำตัว ซึ่งเจ้าหญิงเองก็ไม่ปฏิเสธในไมตรี นางย่อตัวลงเล็กน้อยและเริ่มต้นกล่าวสนทนาในเรื่องของบทกวีรัก อันเป็นสิ่งที่ประทับใจนางมาเนิ่นนาน
“บทกวีและดอกกหลาบ ล้วนควรคู่กับเจ้าหญิงแสนสวยเช่นท่าน” เขาส่งสายตาลกซึ้งโดยเปี่ยมไปด้วยเล่ห์ “ท่านคิดว่าข้าควรคู่กับอะไร โปรดอย่ากล่าวว่าข้าเอ่ยวาจาไร้ยางอาย ในเมื่อบุรุษตรงหน้าท่านกำลังหลงใหลต่อความงามนี้เหลือเกิน”
ใบหน้าของเจ้าหญิงแดงซ่านสมดังคำตั้งใจของเจ้าชายแห่งโลนอนซิล เพียงแต่นางไม่ได้เอ่ยคำขานใดออกมา ทำให้เขารู้ว่านางคงเขินอายเกินกว่าจะตอบรับคำใดได้ เมื่อสตรีหวั่นไหวย่อมเอ่ยวาจาแว่วหวานใส่ ในใจของเขาล่วงรู้ดีว่าทุกอย่างเป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งของการผูกมิตรเฉกเช่นที่ผ่านมาเท่านั้น จึงไม่คิดหวั่นไหวไปตามความรู้สึกดังที่กล่าวไปเลยแม้แต่น้อย กลับกัน เขารู้สึกว่ามันเป็นเพียงเรื่องเล่นสนุกไร้สาระเท่านั้นเอง
แต่จะกล่าวคำรักผ่านบทกวีหรือเอ่ยเป็นนัยเพื่อไม่ให้ผิดมารยาทมากไปนัก เจ้าหญิงแสนงามยังไม่ตอบคำใดสักที เป็นครั้งแรกที่เจ้าชายเริ่มท้อเต็มที นางเองก็หวั่นไหวไม่ใช่หรือ อย่างน้อยก็ควรจะเอ่ยโต้ตอบสักคำสองคำ
“ข้าควรเอ่ยว่าอย่างไรหรือ” นางจับจ้องใบหน้าทดท้อของเขาอย่างเงียบๆ พร้อมทั้งมอบแก้วเครื่องดื่มเปลี่ยนให้ใหม่ การพูดยืดยาวของเขาคงทำให้คอแห้งและเครื่องดื่มในมือเขาก็ไม่เหลือแม้แต่หยดเดียว
เจ้าชายแห่งโลนอนซิลเริ่มจนด้วยคำพูดก็คราวนี้ ใบหน้าของสาวน้อยตรงหน้าเห็นอกเห็นใจเขาอย่างจริงจัง แต่คล้ายว่านางไม่ทราบว่าสิ่งที่เขากำลังกระทำคืออะไร บางทีเขาควรจะเอ่ยออกมาอย่างชัดเจนเพื่อการสานสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้นขึ้น อย่างน้อยตอนนี้แค่ได้รับสักจุมพิตหนึ่งก็เพียงพอแล้ว
“จะมีประโยชน์อะไร หากว่าจุมพิตนั้นไม่ได้มาจากคนที่ท่านรัก” เจ้าหญิงกล่าวอย่างอ่อนโยน “ทำไมเราไม่เริ่จากการกล่าวว่าคืนนี้อากาศหนาวทีเดียว ท่านว่าไหม”
เจ้าชายแห่งโลนอนซิลพยักหน้ารับกับประโยคนั้น เพราะไม่รู้จะทำเช่นไรต่อไปกับผู้ที่ไม่ทั้งประสงค์ดีและร้ายกับเขา นางเขินอายกับคำพูดแต่กลับไม่หวั่นไหว ในเมื่อทุกอย่างไม่ได้รับการตอบสนองเลย เขาก็ควรจะลองเริ่มจากการสนทนาเรื่องดินฟ้าอากาศจริงดังที่นางว่า
“คงเพราะด้านนอกมีหิมะและใครบางคนปิดหน้าต่างไม่สนิท” เจ้าชายเอื้อมไปลงกลอนหน้าต่างให้แน่ใจ ก่อนจะพบว่ามันค่อนข้างหนักทีเดียว การที่แรงผู้หญิงจะกระทำคงออกกริยาจนผิดมารยาท ถึงอย่างนั้นความหนาวยังไม่จางหาย “ทำไมท่านไม่เปลี่ยนสถานที่คุยกัน?”
“ข้าชอบทิวทัศน์บริเวณนี้ที่สุด แม้จะเป็นในความมืดของยามราตรี” นางยิ้มให้เขา เป็นยิ้มที่มีชีวิตชีวามากเลยทีเดียว “และกำลังรอใครสักคนจะเอื้อมไปปิดหน้าต่างให้ ข้าเพียงแค่คิดว่าคนที่เข้ามาบอกรักคำหวาน จะสังเกตถึงความหนาวเย็นของข้าบ้างหรือไม่”
เจ้าชายแห่งโลนอนซิลหลุบตาลงกับคำกระทบกระทั่งนั้น อดละอายใจไม่ได้ว่าเขามัวแต่กล่าวเพลินไปจริงๆ อีกทั้งชุดที่สวมใส่ก็หนานุ่มหลายชั้น แม้ลมหนาวจะลอดผ่านช่องเล็กๆมาก็คงไม่ทันรู้สึก
“ท่านไม่ใช่คนที่แย่ที่สุด ขอบคุณสำหรับการลดความหนาวเย็นของข้า” นางกล่าวให้กำลังใจต่อใบหน้าอึมครึมนั้น “และจากคำถามของท่าน ข้าไม่อาจนึกเปรียบเปรยสิ่งใดได้เลย เพราะข้ายังไม่ทันได้พบความจริงใจของท่าน”
“อย่างน้อยข้าก็ไม่คิดอะไรตอนปิดหน้าต่าง และขออภัยที่ข้าไม่ทันคิดถึงอากาศ” เขากล่าวแก้ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาสบตาด้วยความจริงใจดังที่นางต้องการ “ข้าจะแนะนำให้ท่านได้รู้จักกับโลนอนซิล หากว่าท่านยินดีจะเยี่ยมเยือนและผูกสัมพันธไมตรีระหว่างอาณาจักร”
อาณาจักรอันสวยงามแห่งนั้นร่มรื่นสมดังที่เจ้าหญิงได้วาดหวัง
เมื่อคนทั้งคู่ได้เข้าสู่พิธีวิวาห์และได้รับการสถาปนาในฐานะแห่งผู้ครองอำนาจในโลนอนซิล หอคอยราชินีจึงมอบเป็นที่ระลึกแด่เรื่องราวในครั้งนั้น
มันช่างเป็นสิ่งที่น่าประหลาดใจในการพบพานกับเจ้าหญิงในตอนนั้น นางไม่ได้ปฏิเสธคำรักของเขาและไม่ได้ตอบรับ แต่กลับได้มายืนเคียงข้างเขาในฐานะของคู่ชีวิตที่ยังไว้ซึ่งหัวใจรักดั่งในวันวาน
“เจ้าไม่หวั่นไหว แต่ก็ใช่ว่าจะเมินเฉยต่อข้า...จริงไหม” องค์ราชาส่งสายตาลึกซึ้งพลางโอบกอดสตรีข้างกายให้แนบแน่นยิ่งขึ้น เมื่อหวนนึกถึงความหลังในวันวาน “ราชินีผู้แสนสวยและงดงามกว่าใคร”
“ข้าฟังคำยกยอมามากมายแล้วเพคะ” พระนางตอบรับจุมพิตของคนรักอย่างนุ่มนวลดั่งในวันแรกวิวาห์ “และยังคงหลงใหลต่อมันเสมอมา แต่นิทานของข้าในค่ำคืนนี้คงไม่ใช่เรื่องของเรา ท่านจะลองฟังบ้างไหมเล่า...?”
นิทานกระนั้นรึ...? องค์ราชาอดคิดในใจด้วยความรู้สึกที่ยากจะบรรยาย พอจะรับรู้ว่าผู้ที่พระนางกำลังจะกล่าวหมายถึงใคร หากแต่เด็กในตอนนั้นยังอยู่ในวัยเยาว์ คำกล่าววาจาจะเป็นเช่นไรกัน...? หากว่าเริ่มต้นที่ดินฟ้าอากาศก็คงจะดี อย่างน้อยก็หวังว่าซิลเวอร์จะไม่ลืมปิดหน้าต่างให้ใคร
พระนางเพิ่งได้รับรู้ว่าเรื่องในคราวนั้น ทำให้หอคอยราชินีแห่งนี้ไม่มีกระจกเลยสักบาน
“ข้าจะโอบกอดเจ้าไว้เอง” องค์ราชากล่าวด้วยน้ำเสียงอับอบอุ่น “โลนอนซิลแห่งนี้ไม่มีหิมะและความหนาวเย็นจนโหดร้าย จะมีก็เพียงดางดาวอันพราวพรายเท่านั้น”
องค์ราชินีไม่ได้กล่าวตอบรับอะไรในประโยคอันสมบูรณ์ด้วยความรู้สึกนั้นและนิทานได้เริ่มต้นขึ้น
อาชาไนยสีขาวเหลือบเงินควบทะยานเท่าที่ฝีมือของเจ้าชายวัยสิบสามปีจะพึงมี ในค่ำคืนนี้ดึกและเงียบสงัด จะมีก็เพียงแสงจันทราอันงดงามคอยสองสว่างแทนตะเกียงเท่านั้น
ความเงียบเหงาเข้าเกาะกุมใจของเขาจนแทบทนไม่ไหว แม้จะรู้ว่าอันตรายในการออกมาเพียงลำพัง เจ้าชายน้อยที่แอบออกมาจากงานเลี้ยงสวมหน้ากากของปราสาท กลับโลดแล่นเพลิดเพลินในความมืดมิด ได้เห็นสิ่งต่างๆที่คอยปลอบประโลมว่าอย่างน้อย ผู้ที่โดดเดี่ยวคงไม่ได้มีเพียงเขา
หากจะถามว่าสิ่งนั้นคืออะไร...ย่อมเป็นเด็กน้อยวัยไล่เลี่ย ผู้เดินอยู่เพียงลำพังในยามดึกดื่นค่อนคืนเช่นนี้ ดจากชุดเสื้อผ้าคงไม่ใช่คนเร่ร่อนทั่วไป บางทีการเสนอความช่วยเหลือเล็กๆน้อยๆอาจจะดีกว่า อย่างน้อยเขาก็ไม่ได้ใจคับแคบอะไร หรืออาจจะคิดว่าการหาเพื่อนคุยสักคนคงจะเป็นการดีกว่า
เสียงของอาชาไนยที่วิ่งมาหยุดอยู่ข้างกาย ทำให้เด็กน้อยคนนั้นตกใจมิใช่น้อย แต่เจ้าของม้าสีขาวเหลือบเงินไม่ได้ทำอันตรายแก่เขา ซ้ำยังเสนอความช่วยเหลือให้ผู้หลงทางอย่างใจดี
ซิลเวอร์มองความลังเลของผู้ที่ตนชักชวนด้วยความประหลาดใจ หรือว่าการแต่งกายของเขาดูน่าสงสัย คงเพราะการแต่งกายเป็นอัศวินสีเงินในร่างของเด็กน้อย คงทำให้มันดูแปลกตาและขัดต่อความเป็นจริงในเรื่องของหลักเกณฑ์อายุ ถึงกระนั้น การร่วมทางกับอัศวินไม่ดีตรงไหนเล่า...?
ดูเหมือนเด็กน้อยคนนั้นเองก็คงเห็นพ้องกัน จึงค่อยๆก้าวขึ้นมายังอาชาสีขาวเหลือบเงินอย่างเชื่องช้าเพื่อให้เขานำพาสู่จุดหมายในการกลับไป
“ท่าน...แน่ใจในการกระทำนี้จริงๆหรือ” ผู้ร่วมทางแปลกหน้าได้ถามขึ้นมากะทันหัน “ข้า...ข้าไม่ได้คิดว่าท่านมีเจตนาร้าย ถึงอย่างไร บุตรของคนร่ำรวยเช่นท่านคงไม่แยแสต่อข้า นอกจากแสดงน้ำใจในการพาข้าผู้หลงทางกลับบ้าน เพียงแต่...”
เมื่อกล่าวมาถึงตรงนี้ วาจาของผู้เอื้อนเอ่ยได้ยุติลงเพราะความไม่มั่นใจเป็นทุนเดิม ทั้งผู้ฟังยังไม่ได้ซักไซ้ไล่เลียงอะไร มันคงไม่สมเหตุสมผลนัก ถ้าเขายังฝืนดึงดันต่อไปให้น่าเบื่อหน่าย
หากเป็นพวกเขาในอีกห้าให้หลัง ระยะทางเช่นนี้คงจะน้อยนิดนัก ทั้งความเร็วและความคุ้นเคยต่อเส้นทาง แต่ไม่ใช่กับฝีมือของเด็กอายุสิบสามปีที่ห่างชั้นกัน อีกทั้งยังเป็นเวลาที่ดวงจันทราเคลื่อนมาถึงกึ่งกลางฟ้า เด็กน้อยด้านหลังที่เจรจาอย่างกล้าๆกลัวๆจึงได้เผลอเข้าสู่ห้วงนิทรา ทั้งที่มือสองข้างเลื่อนมือโอดกอดเขาแน่นหนาคล้ายป้องกันไม่ให้ตัวเองร่วงลงไปกลางทาง หากเขาไม่เอะใจหันมาถามทางต่อไปเสียก่อน คงจะไม่รู้เรื่องคนง่วงงุนด้านหลังเลย
เมื่อพินิจใบหน้ายามนิทราก็อดถูกอกถูกใจในความไร้เดียงสานั้นไม่ได้ ทั้งที่วัยไล่เลี่ยกันมากแท้ๆ แต่ความน่ารักในใบหน้านั้นฉายชัดจนน่าปกป้อง
คำว่า ‘ปกป้อง’ นอกจากกับไดอาน่าหรือองค์ทั้งสอง เขาเพิ่งใช้กับคนอื่นเป็นครั้งแรก ทั้งยังเป็นเด็กแปลกหน้าที่ไม่รู้จักหน้าค่าตากันมาก่อน น่ากลัวว่าอีกฝ่ายย่อมไม่รู้จักเขาเช่นกัน ถึงอย่างไรเขาก็เป็นอัศวินพิทักษ์ของเจ้าหญิง ความภาคภูมิใจนั้นเต็มเปี่ยม แม้บางครั้งจะอดน้อยใจขึ้นมาไม่ได้ นั่นก็เป็นสิ่งที่ควรกระทำไม่ใช่หรือไร
คล้ายว่าสายลมได้หยุดลงนานเกินไปตามเวลาที่ซิลเวอร์จับจ้อง คนที่เผลอหลับไปเริ่มรู้สึกถึงความผิดปกติ ก่อนจะกล่าวคำขออภัยต่อคนที่ตนโอบกอดอยู่ บางทีเขาคงจะโดนไล่ลงจากอาชาก็เป็นได้ การปรานีปล่อยให้เขารู้สึกตัวและไม่ตะเพิดลงในวินาทีนี้นับว่าเมตตามากแล้ว
“เปล่า...ข้าไม่ได้คิดแบบนั้น” ซิลเวอร์รู้ว่าตนต้องถามเส้นทางไปต่อ แต่กลับ... “ข้าเพียงแค่สงสัยว่าเจ้าอยากจะบอกอะไรงั้นหรือ”
สีหน้าของฟิลลิปป์แดงเรื่อคล้ายจะอายต่อการกล่าววาจา เนื่องจากตนคิดว่ามันผิดมหันต์ในการยื่นมือเข้ามายุ่งวุ่นวายกับเรื่องส่วนตัว แต่แววตาในตอนแรกที่อัศวินสีเงินจับจ้องมา มันเหมือนมีหิมะและน้ำแข็งแห่งความหนาวเย็นก่อตัวกันอยู่ ผู้ที่มองทะลุผ่านเข้าไปย่อมเหน็บหนาวจับขั้วหัวใจ ทว่า มันก็ดูโดดเดี่ยวเปลี่ยวเหงาเหลือเกิน บางทีถ้าได้พูดคุยกัน เขาอาจช่วยรับฟังปัญหาได้
แต่ในทางกลับกัน บุตรชายของขุนนางหรือเศรษฐีจะมีปัญหาที่เขายากเกินจะฟังหรือเปล่า ฟิลลิปป์ในวัยสิบสามปียังไม่มั่นใจนัก “เพียงแต่...เมื่อท่านภาวนาต่อเทพีวีนัส นางจะช่วยเยียวยาให้ใจเจ้าคลายความเจ็บปวดลง มีคนเคยเล่าให้ข้าฟังเช่นนี้”
ซิลเวอร์ขมวดคิ้วเพื่อทบทวนความเข้าใจ เทพีวีนัสคือเทพีแห่งความงามและความรัก การเยียวยาให้จิตใจคลายความเศร้าโศกเจ็บปวดนั้นคงจะเป็นความรักมากกว่าความเจ็บปวดทั่วไป บางทีผู้กล่าวคงเข้าใจความหมายผิดไป แต่เจตนาดีย่อมเป็นเจตนาดี เด็กน้อยยิ้มปลอบโยนให้กับใบหน้าเศร้าหมองอันห่วงใยต่อความรู้สึกของเขา ทั้งที่เพิ่งพบกันเพียงชั่วครู่แท้ๆ เขาอดคิดขึ้นมาในใจถึงสิ่งที่ผู้ร่วมทางกล่าวมาไม่ได้
หากว่าฟิลลิปป์กำลังหวาดเกรงต่อเส้นทางการกลับบ้านและเริ่มอ้อนวอนต่อเทพี การที่นางส่งเข้ามาพานพบคงจะแฝงนัยยะบางอย่างได้...?
หรืออาจจะไม่ใช่...เด็กน้อยยิ้มให้กับการคิดมากไปของตน พลางหันไปถามไถ่กับผู้ที่ร่วมทางมาด้วยกัน เผื่อว่าอีกฝ่ายสนใจจะไปค้างแรมในปราสาทของเขาสักคืน ตอนนี้ซิลเวอร์ยอมรับว่ามันเป็นข้ออ้างในการย้อนกลับทางเดิมเพื่อพูดคุยกันนานกว่าเดิม อย่างน้อยก็มีใครสักคนที่อยากจะช่วยปลอบใจเขาจริงๆ
“ข้าเกรงว่าเจ้าหญิงจะไม่พอใจ ข้าไม่อยากสร้างความเกรี้ยวโกรธแก่ผู้ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นเชื้อพระวงศ์” ฟิลลิปป์ก้มหน้าลง “ส่วนท่านคงเป็นบุตรของขุนนางหรือพ่อค้าผู้ร่ำรวย ท่านคงจะเข้าใจว่าการทำให้เจ้าหญิงไม่พอใจย่อมไม่ใช่สิ่งที่ดี หากเป็นไปได้...ตัวข้าคงไม่คิดจะข้องเกี่ยว”
ซิลเวอร์เป็นฝ่ายเงียบไปบ้าง ก่อนจะกล่าวขึ้นมาคล้ายลังเลต่อบางสิ่งอย่างที่ผู้ฟังไม่เข้าใจ “งั้น...ถ้าเป็นเพียงสวนในปราสาทเล่า นางไม่ว่าอะไรแน่นอน”
ความง่วงงุนฉายชัดในแววตานั้น ทำให้อัศวินสีเงินจำต้องกล่าวปฏิเสธในคำชวนเสียเอง อดโทษต่อความคิดชั่วครู่ขึ้นมาไม่ได้ ไปชักชวนคนแปลกหน้าก้าวไปในปราสาทเพื่อพูดคุยกระนั้นรึ? แล้วเขาควรจะอธิบายเรื่องนี้ว่าอย่างไร ในเมื่อเขาเพียงแค่อยากจะพูดคุยกับคนที่ตนสนใจเท่านั้น คนธรรมดาที่ไม่มีอะไรพิเศษเลย
“หากเป็นคืนพรุ่งนี้...” เสียงหวานที่ยังไม่แตกพานของผู้ร่วมทางได้เอ่ยขึ้น “...ข้าคิดว่าคงจะไปที่สวนแห่งนั้นกับท่านได้”
คนธรรมดาไม่มีอะไรพิเศษและเขาควรจะคิดว่านั่นเป็นเรื่องไร้สาระ ถึงกระนั้นก็ยังคง... “ได้ แล้วข้าจะมารับเจ้าในคืนพรุ่งนี้”
ฟิลลิปป์มานั่งด้านหน้าตามคำชวนของสารถี ผู้รู้ดีว่าตนคงจะหลับอีกครั้งก่อนถึงที่หมายเป็นแน่
“ข้าจะคอยอยู่เคียงข้างท่านเอง” ฟิลลิปป์กล่าวอย่างไม่คิดอะไร นอกจากห่วงใยในตัวของอีกฝ่ายเมื่อนึกถึงแววตาเมื่อแรกพบกัน ก่อนจะเผลอเข้าสู่ห้วงนิทราไปในอ้อมกอดของซิลเวอร์ ผู้ผ่อนความเร็วในการเดินทางลงทีละน้อยคล้ายจะรั้งห้วงเวลา
“เจ้าจะคอยอยู่เคียงข้างข้างั้นหรือ” ซิลเวอร์ทวนความหมาบนั้นเบาๆ “ข้าเองก็เช่นนั้น นั่นถือเป็น ‘คำตกลง’ ในเรื่องของเราแล้วนะ”
Finish.
ขอบพระคุณที่คอยติดตามเรื่องนี้เสมอมาค่ะ
ทั้งที่อู้บ้างอะไรบ้าง แต่เรื่องนี้ลงจบได้ในที่สุด (เย้!)
เป็นเรื่องหนึ่งในความภาคภูมิใจของผู้แต่งเป็นอย่างยิ่ง
++ ขอบคุณมากค่ะ ++
องค์ราชินีถอนหายใจออกมาเบาๆ เมื่อนึกถึงเรื่องราวของบุตรชายต่างสายโลหิต พลางเอนอิงไหล่ของผู้เป็นสามีเบาๆ “ความจริงทั้งข้าและท่านก็คงไม่อยากยอมรับ...ว่าเราไม่ใส่เขาเท่าที่ควร ในตอนที่เด็กหนุ่มคนนั้นเข้ามาเพื่อวอนขอในเรื่องนี้”
“เราทำได้ดีที่สุดเพื่อชดเชยความผิดพลาดนั้น เขาเองก็รับรู้ดี...จริงไหม” พระองค์ยกหัตถ์ซ้ายของพระนางขึ้นมาจุมพิตอย่างนุ่มนวลคล้ายจะปลอบประโลม “การรั้งเขาไว้ไม่ใช่ทางออกที่ดีที่สุด อีกทั้ง ข้ารู้ความหมายในการเดินหมากนั่นแล้ว ในเมื่อเขาเป็นฝ่าย ‘แสร้งทำเป็นยอมพ่ายแพ้’ เพื่อหวังชัยชนะที่ยิ่งใหญ่กว่า ทำไมเราจึงต้องขัดขวางเรื่องราวในการเดินทางนั้นเล่า?”
องค์ราชายังจำถึงปัญหาที่องค์ราชินีได้มอบให้ในเช้าวันนั้นได้ พระนางถามเกี่ยวกับจุดมุ่งหมายของคนที่พ่ายแพ้และไม่ได้อะไรเลย ทั้งที่วาดหวังในสิ่งของที่เดิมพัน แต่ยังคงคับเขี่ยวกับผู้ชนะจนคนคนนั้นไม่ทันได้เอะใจ กว่าความจริงจะปรากฏออกมาอีกครา ดูเหมือนว่าหมากจบเกมได้ถูกวางลงเสียแล้ว
โอ...จะมีความหมายใดไปมากกว่านั้นเล่า ในเมื่อคำตอบคือการปล่อยผู้ชนะได้รับของเดิมพันนั้น นั่นคือความเหมาะสมสำหรับทุกฝ่ายแล้ว รวมทั้งความสุขของสิ่งเดิมพันที่ว่า หากนั่นคือจุดมุ่งหมายสูงสุดของผู้พ่ายแพ้อย่างฟิลลิปป์
อีกหนึ่งเรื่องที่ชวนขบขันเป็นที่สุด...คงไม่พ้นเรื่องราวของสตรีนักฆ่า มันช่างเป็นละครช่างเล็กๆอันน่าดูชมทีเดียว เรื่องนี้อาจถูกเก็บงำเป็นความลับอย่างยิ่งยวด แม้แต่กับองค์ราชาเองก็ตาม ถึงกระนั้น พระองค์พอจะรับรู้ ‘การร่วมมือ’ ขององค์ราชินีระหว่างอาณาจักรดี จะมีผู้หญิงที่ไหนหน้าตาเหมือนกันถึงสามคน หนึ่งในนั้นกลับหาลู่ทางต่างๆได้จนสร้างเรื่องราวใหญ่โต ทั้งที่เป็นเพียงสตรีธรรมดา ไร้ซึ่งยศฐาและสิ่งจำเป็นอีกหลายประการ
ที่สำคัญ การเดินทางมายังโลนอนซิลของเจ้าชายต่างแดน ย่อมไม่มีทางสืบทราบว่ามายังดินแดนแห่งนี้ได้เลย เว้นแต่ว่าคนคนนั้นจะได้รับข้อมูลจากใครบางคนที่หนุนหลังนางอยู่ ใครบางคนที่ ‘ส่งองครักษ์’ มาให้บุตรี โดยที่การคัดเลือกนั้นไม่ปรากฏอย่างชัดเจน ซ้ำยังมีเอกสารยืนยันตัวตนของเจ้าหญิงเดเนียร์อีก
พระนางยิ้มออกมาบางเบา “คนของข้าเองก็สนุกสนานไม่น้อยนะเพคะ เพียงแต่เวลามันมีน้อยนิดจนเกินไป ละครอันไร้ความแนบเนียนบทนี้จึงได้ผลสรุปง่ายดาย ถึงเจ้าชายแห่งโอเทล์มหรือไดอาน่าจะล่วงรู้แล้วมันอย่างไรกัน? เพราะสุดท้ายคนที่ได้ผลประโยชน์คือทุกฝ่าย”
สิ่งที่น่าขบขันที่สุดในเรื่องของสาวน้อยผู้มีใบหน้าเหมือนกัน แต่โชคชะตากลับแตกต่างถึงสามคน นั่นคือการที่มีเพียงคนเดียวที่มีตัวตนอยู่จริง ไม่ว่าจะเป็นบทบาทของสตรีนักฆ่าที่องค์ราชินีสรรค์สร้างมา หรือแม้แต่เจ้าหญิงเดเนียร์จากโครอน ก็ยังคงเป็นอีกหนึ่งฉากที่กำเนิดขึ้นมาโดยไม่ตั้งใจ ให้ใครเข้าใจภาษาในภาษาของอาณาจักรนั้นสักนิด คงจะรู้ดีว่าการออกเสียงคำว่า ‘ไดอาน่า’ ได้ถูกแผลงเป็น ‘เดเนียร์’ อย่างเรียบร้อย
แทนที่ท่านป้าของบุตรีนางจะประกาศอย่างชัดเจน ถึงตัวตนของหลานสาววัยเยาว์จากแดนไกล กลับกลายเป็นว่าโครอนเข้าใจถึงการมีอยู่ของเจ้าหญิงคนใหม่ ทั้งสองเองก็ร้ายใช่ย่อย เมื่อเห็นว่าเรื่องของเดเนียร์เป็นที่เข้าใจผิด กลับชักชวนให้อยู่ในฐานะของบุตรีจริงๆ จนต้องกันความวุ่นวายโดยการสร้างเรื่องการโดนลักพาตัวในที่สุด
ดังนั้น จะไม่นับเป็นเรื่องนี้เป็นเรื่องชวนขบขันที่สุดได้อย่างไร...?
เมื่อนึกไปถึง ‘ความบังเอิญ’ อย่างแท้จริง คงจะเป็นเดิมพันระหว่างเจ้าชายกับองค์ราชา อันเป็นการต่อรองของจริงที่มีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมาย ทั้งยังมาตรงกันกับเรื่องของเจ้าชายจากโอเทล์มโดยบังเอิญ กลายเป็นว่าความวุ่นวายถึงสองสิ่งอย่างกับรวมมาอยู่ในห้วงเวลาเดียวกันได้อย่างน่าอัศจรรย์ จนสุดท้ายกลายเป็นว่าแม้แต่เรื่องการเดิมพัน ยังถูกแทรกแซงเติมแต่งเป็นระยะโดยไม่รู้ตัว
ไม่เพียงแค่เรื่องของบุตรี เมื่อขึ้นชื่อว่าเป็นบุตรแล้ว แม้จะไม่ได้ถือกำเนิดจากอุทร มารดาไหนเล่าจะละเลยถึงคู่ครองของเด็กน้อยที่ได้ฟูมฟักรักเลี้ยงดูเหล่านั้นได้ หากในคืนการขอแต่งงานครั้งที่พระนางวางตัวหมากไว้อย่างเหมาะเจาะ เขาพร้อมในการเดินทางไปกับซิลเวอร์ หรือแม้แต่การถอดหน้ากากออกมาในเวลาอันถูกกำหนดไว้ โดยไม่สนใจว่าผู้ที่ถือกำเนิดขึ้นมาเพื่อเป็นเจ้าชาย สามารถทานทนกับอุปสรรคในฐานะของสามัญชนทั่วไปตามชาติกำเนิดอันแท้จริงได้ เขาคนนั้นจะได้รับ ‘คนรักสามัญชน’ ไปตามที่ต้องการ
ถึงกระนั้น พระนางไม่คาดคิดเกี่ยวกับการวอนขอต่อเรื่องราวของซิลเวอร์เลยแม้แต่น้อย ดูท่าว่า ‘สตรีนักฆ่าผู้โง่เขลา’ จะไม่ได้แสดงตามบทบาทของนางทุกอย่าง กลับยื่นมือเข้ามาอีกเล็กน้อยสำหรับความเหมาะสมตามสายตาของคนที่มองเรื่องราวอย่างห่างๆ ช่วยบอกเล่าบางสิ่งอย่างแก่หนุ่มน้อยคนนั้น เพื่อช่วยเหลือให้ทุกสิ่งอย่างเดินไปตามที่ควรจะเป็น ทั้งที่คนในเผลอมองข้ามไปจนคล้ายจะลืมเลือนสิ่งนั้น หากไม่แล้ว...ฟิลลิปป์คงไม่มีทางรับรู้และมาอ้อนวอนเรื่องเจ้าชายเป็นแน่
องค์ราชาเงยหน้าขึ้นเพื่อส่งสายตาแด่โชคชะตา ทุกอย่างช่างลงตัวเรียบร้อยเหลือเกิน ลงตัวจนน่าประหลาดใจในฐานะของมนุษย์ ผู้พยามควบคุมหลายสิ่ง แต่กลับไม่อาจบังคับในบางสิ่งได้
องค์ราชินีเข้าใจดีว่าคนข้างกายกำลังเย้าหยอกถึงแผนการ จึงได้ยิ้มรับอย่างไม่ปฏิเสธ ก่อนจะมองทอดสายตาไปยังดวงดาราอันพร่างพรายบนท้องฟ้า “ไม่ใช่แค่พวกเขา แม้แต่เราเองก็เช่นกันไม่ใช่หรือ ตอนที่อายุเท่ากับกับซิลเวอร์ ท่านเองก็ร้ายใช่ย่อยเลย”
เจ้าชายแห่งโลนอนซิลกำลังจับจ้องร่างของสาวน้อยผู้หนึ่ง เรือนผมสีแดงสลวยของนางเปล่งประกายงดงาม ทั้งยังสวมชุดสีหวานสวยเรียบง่ายกว่าใครหลายคนในที่นี้ ถึงกระนั้น แม้เป็นเพียงร่างด้านหลัง เขาก็พอจะเดาความสวยชวนให้หลงใหลของใบหน้านั้นได้
องค์ราชาในวัยสิบแปดปียิ้มกริ่มกับสหาย ผู้กำลังโอดโอยด้วยความเห็นใจเจ้าหญิงองค์นั้น น่ากลัวว่านางคงจะเป็นเช่นสตรีอื่นๆ มอบใจให้แก่เด็กหนุ่มผู้หล่อเหลากับบทกวีแว่วหวาน จากนั้นก็โดนทอดทิ้งให้เปลี่ยวเหงาเดียวดาย เป็นการเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างอาณาจักรโดยอ้อม นั่นช่างเป็นข้ออ้างอันดีเลิศเหลือเกิน แม้ในความเป็นจริงจะไม่สวยหรูเลยสักนิด
เจ้าชายแห่งโลนอนซิลตรงเข้าไปทักทายเด็กสาวทั้งสอง แม้จะเป็นเช่นนั้น สาวน้อยผู้มีใบหน้าละม้ายพอจะเดาจุดประสงค์ออก นางก้มลงกระซิบเบาๆกับน้องสาวแล้วเลี่ยงไป เปิดทางให้เชื้อพระวงศ์จากต่างแดนได้พูดคุย
“ความงามเลอค่าของท่าน เป็นความฝันที่ข้าไม่อาจจับต้อง” เจ้าชายกล่าวชมเชยพลางโค้งตัวลงเล็กน้อยอย่างมีมาดแทนการทักทายและแนะนำตัว ซึ่งเจ้าหญิงเองก็ไม่ปฏิเสธในไมตรี นางย่อตัวลงเล็กน้อยและเริ่มต้นกล่าวสนทนาในเรื่องของบทกวีรัก อันเป็นสิ่งที่ประทับใจนางมาเนิ่นนาน
“บทกวีและดอกกหลาบ ล้วนควรคู่กับเจ้าหญิงแสนสวยเช่นท่าน” เขาส่งสายตาลกซึ้งโดยเปี่ยมไปด้วยเล่ห์ “ท่านคิดว่าข้าควรคู่กับอะไร โปรดอย่ากล่าวว่าข้าเอ่ยวาจาไร้ยางอาย ในเมื่อบุรุษตรงหน้าท่านกำลังหลงใหลต่อความงามนี้เหลือเกิน”
ใบหน้าของเจ้าหญิงแดงซ่านสมดังคำตั้งใจของเจ้าชายแห่งโลนอนซิล เพียงแต่นางไม่ได้เอ่ยคำขานใดออกมา ทำให้เขารู้ว่านางคงเขินอายเกินกว่าจะตอบรับคำใดได้ เมื่อสตรีหวั่นไหวย่อมเอ่ยวาจาแว่วหวานใส่ ในใจของเขาล่วงรู้ดีว่าทุกอย่างเป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งของการผูกมิตรเฉกเช่นที่ผ่านมาเท่านั้น จึงไม่คิดหวั่นไหวไปตามความรู้สึกดังที่กล่าวไปเลยแม้แต่น้อย กลับกัน เขารู้สึกว่ามันเป็นเพียงเรื่องเล่นสนุกไร้สาระเท่านั้นเอง
แต่จะกล่าวคำรักผ่านบทกวีหรือเอ่ยเป็นนัยเพื่อไม่ให้ผิดมารยาทมากไปนัก เจ้าหญิงแสนงามยังไม่ตอบคำใดสักที เป็นครั้งแรกที่เจ้าชายเริ่มท้อเต็มที นางเองก็หวั่นไหวไม่ใช่หรือ อย่างน้อยก็ควรจะเอ่ยโต้ตอบสักคำสองคำ
“ข้าควรเอ่ยว่าอย่างไรหรือ” นางจับจ้องใบหน้าทดท้อของเขาอย่างเงียบๆ พร้อมทั้งมอบแก้วเครื่องดื่มเปลี่ยนให้ใหม่ การพูดยืดยาวของเขาคงทำให้คอแห้งและเครื่องดื่มในมือเขาก็ไม่เหลือแม้แต่หยดเดียว
เจ้าชายแห่งโลนอนซิลเริ่มจนด้วยคำพูดก็คราวนี้ ใบหน้าของสาวน้อยตรงหน้าเห็นอกเห็นใจเขาอย่างจริงจัง แต่คล้ายว่านางไม่ทราบว่าสิ่งที่เขากำลังกระทำคืออะไร บางทีเขาควรจะเอ่ยออกมาอย่างชัดเจนเพื่อการสานสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้นขึ้น อย่างน้อยตอนนี้แค่ได้รับสักจุมพิตหนึ่งก็เพียงพอแล้ว
“จะมีประโยชน์อะไร หากว่าจุมพิตนั้นไม่ได้มาจากคนที่ท่านรัก” เจ้าหญิงกล่าวอย่างอ่อนโยน “ทำไมเราไม่เริ่จากการกล่าวว่าคืนนี้อากาศหนาวทีเดียว ท่านว่าไหม”
เจ้าชายแห่งโลนอนซิลพยักหน้ารับกับประโยคนั้น เพราะไม่รู้จะทำเช่นไรต่อไปกับผู้ที่ไม่ทั้งประสงค์ดีและร้ายกับเขา นางเขินอายกับคำพูดแต่กลับไม่หวั่นไหว ในเมื่อทุกอย่างไม่ได้รับการตอบสนองเลย เขาก็ควรจะลองเริ่มจากการสนทนาเรื่องดินฟ้าอากาศจริงดังที่นางว่า
“คงเพราะด้านนอกมีหิมะและใครบางคนปิดหน้าต่างไม่สนิท” เจ้าชายเอื้อมไปลงกลอนหน้าต่างให้แน่ใจ ก่อนจะพบว่ามันค่อนข้างหนักทีเดียว การที่แรงผู้หญิงจะกระทำคงออกกริยาจนผิดมารยาท ถึงอย่างนั้นความหนาวยังไม่จางหาย “ทำไมท่านไม่เปลี่ยนสถานที่คุยกัน?”
“ข้าชอบทิวทัศน์บริเวณนี้ที่สุด แม้จะเป็นในความมืดของยามราตรี” นางยิ้มให้เขา เป็นยิ้มที่มีชีวิตชีวามากเลยทีเดียว “และกำลังรอใครสักคนจะเอื้อมไปปิดหน้าต่างให้ ข้าเพียงแค่คิดว่าคนที่เข้ามาบอกรักคำหวาน จะสังเกตถึงความหนาวเย็นของข้าบ้างหรือไม่”
เจ้าชายแห่งโลนอนซิลหลุบตาลงกับคำกระทบกระทั่งนั้น อดละอายใจไม่ได้ว่าเขามัวแต่กล่าวเพลินไปจริงๆ อีกทั้งชุดที่สวมใส่ก็หนานุ่มหลายชั้น แม้ลมหนาวจะลอดผ่านช่องเล็กๆมาก็คงไม่ทันรู้สึก
“ท่านไม่ใช่คนที่แย่ที่สุด ขอบคุณสำหรับการลดความหนาวเย็นของข้า” นางกล่าวให้กำลังใจต่อใบหน้าอึมครึมนั้น “และจากคำถามของท่าน ข้าไม่อาจนึกเปรียบเปรยสิ่งใดได้เลย เพราะข้ายังไม่ทันได้พบความจริงใจของท่าน”
“อย่างน้อยข้าก็ไม่คิดอะไรตอนปิดหน้าต่าง และขออภัยที่ข้าไม่ทันคิดถึงอากาศ” เขากล่าวแก้ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาสบตาด้วยความจริงใจดังที่นางต้องการ “ข้าจะแนะนำให้ท่านได้รู้จักกับโลนอนซิล หากว่าท่านยินดีจะเยี่ยมเยือนและผูกสัมพันธไมตรีระหว่างอาณาจักร”
อาณาจักรอันสวยงามแห่งนั้นร่มรื่นสมดังที่เจ้าหญิงได้วาดหวัง
เมื่อคนทั้งคู่ได้เข้าสู่พิธีวิวาห์และได้รับการสถาปนาในฐานะแห่งผู้ครองอำนาจในโลนอนซิล หอคอยราชินีจึงมอบเป็นที่ระลึกแด่เรื่องราวในครั้งนั้น
มันช่างเป็นสิ่งที่น่าประหลาดใจในการพบพานกับเจ้าหญิงในตอนนั้น นางไม่ได้ปฏิเสธคำรักของเขาและไม่ได้ตอบรับ แต่กลับได้มายืนเคียงข้างเขาในฐานะของคู่ชีวิตที่ยังไว้ซึ่งหัวใจรักดั่งในวันวาน
“เจ้าไม่หวั่นไหว แต่ก็ใช่ว่าจะเมินเฉยต่อข้า...จริงไหม” องค์ราชาส่งสายตาลึกซึ้งพลางโอบกอดสตรีข้างกายให้แนบแน่นยิ่งขึ้น เมื่อหวนนึกถึงความหลังในวันวาน “ราชินีผู้แสนสวยและงดงามกว่าใคร”
“ข้าฟังคำยกยอมามากมายแล้วเพคะ” พระนางตอบรับจุมพิตของคนรักอย่างนุ่มนวลดั่งในวันแรกวิวาห์ “และยังคงหลงใหลต่อมันเสมอมา แต่นิทานของข้าในค่ำคืนนี้คงไม่ใช่เรื่องของเรา ท่านจะลองฟังบ้างไหมเล่า...?”
นิทานกระนั้นรึ...? องค์ราชาอดคิดในใจด้วยความรู้สึกที่ยากจะบรรยาย พอจะรับรู้ว่าผู้ที่พระนางกำลังจะกล่าวหมายถึงใคร หากแต่เด็กในตอนนั้นยังอยู่ในวัยเยาว์ คำกล่าววาจาจะเป็นเช่นไรกัน...? หากว่าเริ่มต้นที่ดินฟ้าอากาศก็คงจะดี อย่างน้อยก็หวังว่าซิลเวอร์จะไม่ลืมปิดหน้าต่างให้ใคร
พระนางเพิ่งได้รับรู้ว่าเรื่องในคราวนั้น ทำให้หอคอยราชินีแห่งนี้ไม่มีกระจกเลยสักบาน
“ข้าจะโอบกอดเจ้าไว้เอง” องค์ราชากล่าวด้วยน้ำเสียงอับอบอุ่น “โลนอนซิลแห่งนี้ไม่มีหิมะและความหนาวเย็นจนโหดร้าย จะมีก็เพียงดางดาวอันพราวพรายเท่านั้น”
องค์ราชินีไม่ได้กล่าวตอบรับอะไรในประโยคอันสมบูรณ์ด้วยความรู้สึกนั้นและนิทานได้เริ่มต้นขึ้น
อาชาไนยสีขาวเหลือบเงินควบทะยานเท่าที่ฝีมือของเจ้าชายวัยสิบสามปีจะพึงมี ในค่ำคืนนี้ดึกและเงียบสงัด จะมีก็เพียงแสงจันทราอันงดงามคอยสองสว่างแทนตะเกียงเท่านั้น
ความเงียบเหงาเข้าเกาะกุมใจของเขาจนแทบทนไม่ไหว แม้จะรู้ว่าอันตรายในการออกมาเพียงลำพัง เจ้าชายน้อยที่แอบออกมาจากงานเลี้ยงสวมหน้ากากของปราสาท กลับโลดแล่นเพลิดเพลินในความมืดมิด ได้เห็นสิ่งต่างๆที่คอยปลอบประโลมว่าอย่างน้อย ผู้ที่โดดเดี่ยวคงไม่ได้มีเพียงเขา
หากจะถามว่าสิ่งนั้นคืออะไร...ย่อมเป็นเด็กน้อยวัยไล่เลี่ย ผู้เดินอยู่เพียงลำพังในยามดึกดื่นค่อนคืนเช่นนี้ ดจากชุดเสื้อผ้าคงไม่ใช่คนเร่ร่อนทั่วไป บางทีการเสนอความช่วยเหลือเล็กๆน้อยๆอาจจะดีกว่า อย่างน้อยเขาก็ไม่ได้ใจคับแคบอะไร หรืออาจจะคิดว่าการหาเพื่อนคุยสักคนคงจะเป็นการดีกว่า
เสียงของอาชาไนยที่วิ่งมาหยุดอยู่ข้างกาย ทำให้เด็กน้อยคนนั้นตกใจมิใช่น้อย แต่เจ้าของม้าสีขาวเหลือบเงินไม่ได้ทำอันตรายแก่เขา ซ้ำยังเสนอความช่วยเหลือให้ผู้หลงทางอย่างใจดี
ซิลเวอร์มองความลังเลของผู้ที่ตนชักชวนด้วยความประหลาดใจ หรือว่าการแต่งกายของเขาดูน่าสงสัย คงเพราะการแต่งกายเป็นอัศวินสีเงินในร่างของเด็กน้อย คงทำให้มันดูแปลกตาและขัดต่อความเป็นจริงในเรื่องของหลักเกณฑ์อายุ ถึงกระนั้น การร่วมทางกับอัศวินไม่ดีตรงไหนเล่า...?
ดูเหมือนเด็กน้อยคนนั้นเองก็คงเห็นพ้องกัน จึงค่อยๆก้าวขึ้นมายังอาชาสีขาวเหลือบเงินอย่างเชื่องช้าเพื่อให้เขานำพาสู่จุดหมายในการกลับไป
“ท่าน...แน่ใจในการกระทำนี้จริงๆหรือ” ผู้ร่วมทางแปลกหน้าได้ถามขึ้นมากะทันหัน “ข้า...ข้าไม่ได้คิดว่าท่านมีเจตนาร้าย ถึงอย่างไร บุตรของคนร่ำรวยเช่นท่านคงไม่แยแสต่อข้า นอกจากแสดงน้ำใจในการพาข้าผู้หลงทางกลับบ้าน เพียงแต่...”
เมื่อกล่าวมาถึงตรงนี้ วาจาของผู้เอื้อนเอ่ยได้ยุติลงเพราะความไม่มั่นใจเป็นทุนเดิม ทั้งผู้ฟังยังไม่ได้ซักไซ้ไล่เลียงอะไร มันคงไม่สมเหตุสมผลนัก ถ้าเขายังฝืนดึงดันต่อไปให้น่าเบื่อหน่าย
หากเป็นพวกเขาในอีกห้าให้หลัง ระยะทางเช่นนี้คงจะน้อยนิดนัก ทั้งความเร็วและความคุ้นเคยต่อเส้นทาง แต่ไม่ใช่กับฝีมือของเด็กอายุสิบสามปีที่ห่างชั้นกัน อีกทั้งยังเป็นเวลาที่ดวงจันทราเคลื่อนมาถึงกึ่งกลางฟ้า เด็กน้อยด้านหลังที่เจรจาอย่างกล้าๆกลัวๆจึงได้เผลอเข้าสู่ห้วงนิทรา ทั้งที่มือสองข้างเลื่อนมือโอดกอดเขาแน่นหนาคล้ายป้องกันไม่ให้ตัวเองร่วงลงไปกลางทาง หากเขาไม่เอะใจหันมาถามทางต่อไปเสียก่อน คงจะไม่รู้เรื่องคนง่วงงุนด้านหลังเลย
เมื่อพินิจใบหน้ายามนิทราก็อดถูกอกถูกใจในความไร้เดียงสานั้นไม่ได้ ทั้งที่วัยไล่เลี่ยกันมากแท้ๆ แต่ความน่ารักในใบหน้านั้นฉายชัดจนน่าปกป้อง
คำว่า ‘ปกป้อง’ นอกจากกับไดอาน่าหรือองค์ทั้งสอง เขาเพิ่งใช้กับคนอื่นเป็นครั้งแรก ทั้งยังเป็นเด็กแปลกหน้าที่ไม่รู้จักหน้าค่าตากันมาก่อน น่ากลัวว่าอีกฝ่ายย่อมไม่รู้จักเขาเช่นกัน ถึงอย่างไรเขาก็เป็นอัศวินพิทักษ์ของเจ้าหญิง ความภาคภูมิใจนั้นเต็มเปี่ยม แม้บางครั้งจะอดน้อยใจขึ้นมาไม่ได้ นั่นก็เป็นสิ่งที่ควรกระทำไม่ใช่หรือไร
คล้ายว่าสายลมได้หยุดลงนานเกินไปตามเวลาที่ซิลเวอร์จับจ้อง คนที่เผลอหลับไปเริ่มรู้สึกถึงความผิดปกติ ก่อนจะกล่าวคำขออภัยต่อคนที่ตนโอบกอดอยู่ บางทีเขาคงจะโดนไล่ลงจากอาชาก็เป็นได้ การปรานีปล่อยให้เขารู้สึกตัวและไม่ตะเพิดลงในวินาทีนี้นับว่าเมตตามากแล้ว
“เปล่า...ข้าไม่ได้คิดแบบนั้น” ซิลเวอร์รู้ว่าตนต้องถามเส้นทางไปต่อ แต่กลับ... “ข้าเพียงแค่สงสัยว่าเจ้าอยากจะบอกอะไรงั้นหรือ”
สีหน้าของฟิลลิปป์แดงเรื่อคล้ายจะอายต่อการกล่าววาจา เนื่องจากตนคิดว่ามันผิดมหันต์ในการยื่นมือเข้ามายุ่งวุ่นวายกับเรื่องส่วนตัว แต่แววตาในตอนแรกที่อัศวินสีเงินจับจ้องมา มันเหมือนมีหิมะและน้ำแข็งแห่งความหนาวเย็นก่อตัวกันอยู่ ผู้ที่มองทะลุผ่านเข้าไปย่อมเหน็บหนาวจับขั้วหัวใจ ทว่า มันก็ดูโดดเดี่ยวเปลี่ยวเหงาเหลือเกิน บางทีถ้าได้พูดคุยกัน เขาอาจช่วยรับฟังปัญหาได้
แต่ในทางกลับกัน บุตรชายของขุนนางหรือเศรษฐีจะมีปัญหาที่เขายากเกินจะฟังหรือเปล่า ฟิลลิปป์ในวัยสิบสามปียังไม่มั่นใจนัก “เพียงแต่...เมื่อท่านภาวนาต่อเทพีวีนัส นางจะช่วยเยียวยาให้ใจเจ้าคลายความเจ็บปวดลง มีคนเคยเล่าให้ข้าฟังเช่นนี้”
ซิลเวอร์ขมวดคิ้วเพื่อทบทวนความเข้าใจ เทพีวีนัสคือเทพีแห่งความงามและความรัก การเยียวยาให้จิตใจคลายความเศร้าโศกเจ็บปวดนั้นคงจะเป็นความรักมากกว่าความเจ็บปวดทั่วไป บางทีผู้กล่าวคงเข้าใจความหมายผิดไป แต่เจตนาดีย่อมเป็นเจตนาดี เด็กน้อยยิ้มปลอบโยนให้กับใบหน้าเศร้าหมองอันห่วงใยต่อความรู้สึกของเขา ทั้งที่เพิ่งพบกันเพียงชั่วครู่แท้ๆ เขาอดคิดขึ้นมาในใจถึงสิ่งที่ผู้ร่วมทางกล่าวมาไม่ได้
หากว่าฟิลลิปป์กำลังหวาดเกรงต่อเส้นทางการกลับบ้านและเริ่มอ้อนวอนต่อเทพี การที่นางส่งเข้ามาพานพบคงจะแฝงนัยยะบางอย่างได้...?
หรืออาจจะไม่ใช่...เด็กน้อยยิ้มให้กับการคิดมากไปของตน พลางหันไปถามไถ่กับผู้ที่ร่วมทางมาด้วยกัน เผื่อว่าอีกฝ่ายสนใจจะไปค้างแรมในปราสาทของเขาสักคืน ตอนนี้ซิลเวอร์ยอมรับว่ามันเป็นข้ออ้างในการย้อนกลับทางเดิมเพื่อพูดคุยกันนานกว่าเดิม อย่างน้อยก็มีใครสักคนที่อยากจะช่วยปลอบใจเขาจริงๆ
“ข้าเกรงว่าเจ้าหญิงจะไม่พอใจ ข้าไม่อยากสร้างความเกรี้ยวโกรธแก่ผู้ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นเชื้อพระวงศ์” ฟิลลิปป์ก้มหน้าลง “ส่วนท่านคงเป็นบุตรของขุนนางหรือพ่อค้าผู้ร่ำรวย ท่านคงจะเข้าใจว่าการทำให้เจ้าหญิงไม่พอใจย่อมไม่ใช่สิ่งที่ดี หากเป็นไปได้...ตัวข้าคงไม่คิดจะข้องเกี่ยว”
ซิลเวอร์เป็นฝ่ายเงียบไปบ้าง ก่อนจะกล่าวขึ้นมาคล้ายลังเลต่อบางสิ่งอย่างที่ผู้ฟังไม่เข้าใจ “งั้น...ถ้าเป็นเพียงสวนในปราสาทเล่า นางไม่ว่าอะไรแน่นอน”
ความง่วงงุนฉายชัดในแววตานั้น ทำให้อัศวินสีเงินจำต้องกล่าวปฏิเสธในคำชวนเสียเอง อดโทษต่อความคิดชั่วครู่ขึ้นมาไม่ได้ ไปชักชวนคนแปลกหน้าก้าวไปในปราสาทเพื่อพูดคุยกระนั้นรึ? แล้วเขาควรจะอธิบายเรื่องนี้ว่าอย่างไร ในเมื่อเขาเพียงแค่อยากจะพูดคุยกับคนที่ตนสนใจเท่านั้น คนธรรมดาที่ไม่มีอะไรพิเศษเลย
“หากเป็นคืนพรุ่งนี้...” เสียงหวานที่ยังไม่แตกพานของผู้ร่วมทางได้เอ่ยขึ้น “...ข้าคิดว่าคงจะไปที่สวนแห่งนั้นกับท่านได้”
คนธรรมดาไม่มีอะไรพิเศษและเขาควรจะคิดว่านั่นเป็นเรื่องไร้สาระ ถึงกระนั้นก็ยังคง... “ได้ แล้วข้าจะมารับเจ้าในคืนพรุ่งนี้”
ฟิลลิปป์มานั่งด้านหน้าตามคำชวนของสารถี ผู้รู้ดีว่าตนคงจะหลับอีกครั้งก่อนถึงที่หมายเป็นแน่
“ข้าจะคอยอยู่เคียงข้างท่านเอง” ฟิลลิปป์กล่าวอย่างไม่คิดอะไร นอกจากห่วงใยในตัวของอีกฝ่ายเมื่อนึกถึงแววตาเมื่อแรกพบกัน ก่อนจะเผลอเข้าสู่ห้วงนิทราไปในอ้อมกอดของซิลเวอร์ ผู้ผ่อนความเร็วในการเดินทางลงทีละน้อยคล้ายจะรั้งห้วงเวลา
“เจ้าจะคอยอยู่เคียงข้างข้างั้นหรือ” ซิลเวอร์ทวนความหมาบนั้นเบาๆ “ข้าเองก็เช่นนั้น นั่นถือเป็น ‘คำตกลง’ ในเรื่องของเราแล้วนะ”
Finish.
ขอบพระคุณที่คอยติดตามเรื่องนี้เสมอมาค่ะ
ทั้งที่อู้บ้างอะไรบ้าง แต่เรื่องนี้ลงจบได้ในที่สุด (เย้!)
เป็นเรื่องหนึ่งในความภาคภูมิใจของผู้แต่งเป็นอย่างยิ่ง
++ ขอบคุณมากค่ะ ++
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.5 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ