The Silver Mask
9.8
1) ลำดับที่ 1
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ“...แล้วเขาก็จุมพิตข้าอย่างนุ่มนวลที่สุด” ฟิลลิปป์เล่าด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
เหล่าเด็กผู้ชายมักจะหัวเราะคิกคักกับเรื่องเล่าเหล่านี้ในทุกเช้า ผิดกับเด็กหญิงและสาวน้อยทั้งหลายที่พร้อมใจกันถอนหายใจให้ความรักอันแสนหวานนั้น หากแต่ในเรื่องเล่าไม่เคยระบุสถานที่สักที แม้อยากจะพานพบอัศวินในหน้ากากสีเงินนั่นดูสักครา ก็จนปัญญาในการค้นหาตามรอยอาชาสีเงิน
พวกนางหลายคนเคยแอบลอบมองจากทางหน้าต่างในคืนสว่าง หากแต่อัศวินสวมหมวกกว้างปักขนนก สิ่งอื่นนอกจากนั้นถูกปิดบังไว้หมด จึงพิสูจน์ได้แค่เรื่องเหล่านี้ไม่ใช่นิทานหรือคำโกหก ต่อให้พวกผู้ใหญ่ใจแข็งทั้งหลายที่มองว่าไร้สาระ เปี่ยมด้วยความมดเท็จและท้ายที่สุดคือเป็นความรักอันผิดแปลก แต่ยังมีคนที่ชอบเรื่องเล่าและมาฟังได้ทุกเช้าเช่นเดียวกัน
ความรักคือสิ่งบริสุทธิ์ จำกัดไว้เหนือขอบเขตใดของโลก เหล่านักฟังทั้งหลายยึดมั่นไว้เช่นนั้น พร้อมกับวาดฝันถึงอัศวินม้าขาวของตนบ้าง
แม้ว่าจะถูกขอให้วาดรูปของซิลเวอร์ จิตรกรหนุ่มก็มักจะกล่าวปฏิเสธได้อย่างสม่ำเสมอ ไม่ใช่ว่าวาดรูปคนไม่ได้หรือไม่มั่นใจ แต่เขาอยากเก็บไว้เป็นความลับระหว่างพวกเขาสองคนมากกว่า แม้แต่รูปลักษณ์หรือชื่อเรียกขานระหว่างพวกเขา อัศวินหน้ากากเงินผู้นั้นเองก็ชอบความเป็นส่วนตัวแบบนี้ แค่เล่าให้ผู้อื่นฟังก็นับว่ามากเกินพอแล้ว
“บางทีเขาอาจจะมาซื้อภาพที่นี่หรือไม่ก็มานั่งเป็นแบบให้เขียนภาพเหมือนก็ได้” หนึ่งในผู้ฟังเสนอขึ้นด้วยความตื่นเต้น “ชายหนุ่มนิรนามคนนั้นอาจจะเคยมาหาเจ้าด้วยความรัก พูดคุยกับเจ้าแฝงด้วยความนัยอันลึกซึ้งจนเจ้าไม่รู้ตัว!”
ฟิลลิปป์เคยหวังว่าจะเป็นเช่นนั้น เพราะเขาแน่ใจว่าตนไม่เคยพูดหรือเขียนภาพของซิลเวอร์อย่างแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นเส้นผมสีน้ำตาลอ่อนหรือดวงตาสีเขียวชวนให้หวั่นไหว มันโดดเด่นชัดเจนและสะดุดตา ไม่มีทางที่จับจ้องแล้วจะเมินลืมไปได้เป็นอันขาด!
หญิงสาวนักฟังคนเดิมทำหน้าเบ้ แอบยุแยงเล็กน้อย “ไม่มาเจอเจ้าในตอนกลางวันตลอดห้าปี ข้าว่า...เขาอาจจะไม่จริงใจ เห็นเจ้าเป็นของเล่น แล้วก็มีใครอีกคน เลยมาพบเจ้าที่นี่ไม่ได้!”
ผิดกับชายหนุ่มจำนวนน้อยในบรรดาผู้ฟัง ซึ่งโดนนิ้วของหญิงสาวคนนั้นหยิกเอาหลายรอบ เสมือนว่าเมื่อครู่กำลังพูดถึงกรณีของตน เขาแอบตัวสั่นเล็กน้อย “ระ...หรือว่าไม่มีใครเลย เพราะเขาไม่มีตัวมีตน เพราะงั้นเลยมาแต่ตอนกลางคืนไง บรื๋อ!”
สารพัดความคิดเห็นต่อชายที่เรียกกันโดยทั่วไปว่า ‘ชายหนุ่มปริศนา’ หากแต่ตัวคนรักก็ได้เพียงยิ้มขำต่อคำพูดเหล่านั้น ไม่ว่าจะเสียงกระซิบหรือไออุ่นอันแผ่ซ่านน่าหลงใหล รวมทั้ง...ความนุ่มนวลอย่างจุมพิต เขาเชื่อมั่นว่ายังไงซิลเวอร์ก็ต้องเป็นมนุษย์อย่างแน่นอน แต่เขาจะเป็นใคร แอบมองเขาหรือว่าอยู่ข้างกายมาโดยตลอด ฟิลลิปป์ก็ไม่อาจรู้ได้
ทันใดนั้นเอง ชายสูงอายุคนหนึ่งวิ่งเข้ามาในร้านภาพเขียน ตัวเขาเตี้ยและรูปร่างท้วมทีเดียว ใบหน้าท่าทางบ่งบอกชัดเจนว่าต้องเป็นผู้คร่ำหวอดกับหนังสือเป็นแน่ หากแต่ทำไมคนที่คลุกคลีอยู่กับหนังสือทั้งวัน จึงวิ่งร้อนรนเข้ามาในร้านขายรูปเช่นนี้เล่า
เจ้าของร้านปลีกตัวออกมาจากบรรดาผู้ฟัง ซึ่งสนใจใคร่รู้ในตัวลูกค้าคนใหม่ไม่น้อย หาใช่บุคลิกท่าทางไม่ แต่เป็นเสื้อผ้าดูดีมีระดับ หลายคนแอบคิดว่าเขาต้องมาจากชายหนุ่มปริศนาผู้นั้นแน่ บางทีอาจจะเชิญฟิลลิปป์ไปร่วมงานเลี้ยงฉลอง หรือถึงขั้นประกาศตัวในงานราตรีนั้น!
หญิงชราช่างตัดเสื้อเอามือกุมไว้กลางอกด้วยความเคลิ้มฝัน มาดมั่นจะเป็นคนมอบชุดที่ดีที่สุดให้กับชายหนุ่มที่ตนเห็นมาแต่เล็กแต่น้อยให้ได้
แม้สีหน้าจะไม่ปรากฏ ในใจก็อดคาดหวังยินดีไม่ได้ ร้านของเขามีขนาดเล็กมาก หากเทียบกับอีกหลายแห่งที่อยู่ในเมืองนี้ ถ้าคนมีฐานะเกินปกติจะต้องการภาพเขียนดีๆสักภาพ ร้านแห่งนี้น่าจะถูกเมิน...
“เจ้าพอจะมีภาพในสวนสักแห่งไหม ประดับประดาด้วยดอกไม้ ขนาดประมาณ...พอดีๆน่ะ” ชายร่างท้วมคนนั้นทำหน้าหนักใจ ก่อนจะทำมือประกอบไปมา ขนาดของมันประมาณครึ่งตัวคนเห็นจะได้ “เป็นสวนท่ามกลางแสงจันทร์ คล้ายจะมีมนตราติดตรึง เจ้ามีรูปแบบนั้นหรือเปล่า?”
เหล่าผู้แอบฟังด้านนอกต่างสูดลมหายใจเข้าไปอย่างรู้สึกทึ่ง พากันคาดเดาไม่แพ้ฟิลลิปป์ว่าคนที่ส่งชายคนนี้มาต้องเป็นบุรุษปริศนากลางราตรีแน่นอน!
จิตรกรหนุ่มพยามลดอาการเกร็งเต็มที่ เมื่อถามถึงผู้ที่ต้องการมัน
“เจ้านายของข้าเอง ระบุลงมาว่าต้องเป็นที่นี่เท่านั้น” ชายร่างท้วมคนนั้นยิ้มแย้มตอบชัดเจน “เจ้าหญิงไดอาน่า”
สีหน้าของฟิลลิปป์เปลี่ยนไปเล็กน้อยคล้ายคนผิดหวัง หากแต่รีบปรับให้เป็นปกติและยิ้มรับพร้อมผายมือไปทางภาพในลักษณะคล้ายกันกับที่ชายร่างท้วมบรรยาย มันดูมีมนตราติดตรึงอย่างที่ว่า แม้มันจะไม่ใช่สวนแห่งการเต้นรำของเขากับซิลเวอร์
ชายร่างท้วมดูจะประทับใจในฝีมือ แม้จะยังไม่จัดจ้านอย่างจิตรกรชั้นสูง แต่สำหรับเด็กหนุ่มวัยสิบแปดปีเท่านี้ก็นับว่าเยี่ยมยอด อย่างไรก็ตาม นี่ยังไม่ใช่รูปภาพแบบที่เขาต้องการ มันต้องเป็นภาพของสวนที่มีมนตราและจิตวิญญาณของผู้เขียนมากกว่านี้ ภาพที่นอกจากจะเป็นจินตนาการ ยังต้องแฝงด้วยอารมณ์อันลึกซึ้ง เห็นได้ชัดว่าภาพนี้อาจมีทุกสิ่งครบถ้วน เพียงแค่ยังไม่ถึงที่สุดเท่านั้น
ฟิลลิปป์มีภาพเขียนนั้นอยู่อย่างแน่นอน แต่เขาขายไม่ได้ ต่อให้เป็นเหรียญทองสูงเท่าภูเขามาแลก เขาก็ไม่อาจจะขายสัญลักษณ์สถานที่ระหว่างตนกับชายหนุ่มในหน้ากากไป
ชายร่างท้วมเสนอราคางามสำหรับจิตรกรไม่มีชื่อเสียง แต่ยังคงได้รับการยืนยันว่าไม่มีภาพนั้นขายอยู่ดี ทำให้กลุ่มคนด้านนอกแอบถกเถียงกันในเรื่องนี้ เนื่องจากพวกเขาไม่ทราบว่าภาพนั้นได้ถูกวางเก็บไว้ จึงคิดว่าตัวฟิลลิปป์น่าจะสร้างเล่ห์กลยื้อเอาไว้สักหน่อย ถ้านำภาพวาดใหม่ไปเสนอแล้วพลาด ก็ยังมีสิทธิขายรูปนั้นได้ตามปกติอยู่ดี ไม่ใช่ว่าคนเหล่านี้แสนกลในการค้า ทว่า ราคาที่ถูกเสนอมามันไม่ใช่น้อยๆเลย
สุดท้าย ชายร่างท้วมจึงกลับไปพร้อมความผิดหวัง โดยฝากไว้เพียงแค่ชื่อติดต่อ เมื่อจิตรกรหนุ่มต้องการนาพที่ตนต้องการไปเสนอ
“ทำไมเจ้าถึงไม่คิดจะต่อรองเวลาสักหน่อยล่ะ” หนึ่งในนั้นแนะขึ้น “ฝีมือเจ้าไปถูกใจเจ้าหญิงได้ แปลว่านางต้องการภาพชั้นเลิศที่สุดของเจ้าไง เจ้าน่าจะวาดภาพแบบนั้นได้ไม่ใช่หรือ”
ฟิลลิปป์ไม่ตอบ
“ทำไมท่านถึงเดาออกว่าข้าวาดภาพสวนแห่งนี้กัน”
นักเขียนภาพยังคงเชื่อมั่นว่าการที่มีคนมาซื้อรูปในนามเจ้าหญิง จะต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับซิลเวอร์เป็นแน่ ลูกค้าส่วนใหญ่ของเขาเป็นคนธรรมดา ไม่น่าจะเกี่ยวข้องหรือให้การต้อนรับชนชั้นสูงได้ โดยเฉพาะเชื้อพระวงศ์ขั้นเจ้าหญิง จิตรกรไร้ชื่ออย่างเขายังไม่เคยเจอสักองค์ แล้วภาพเขียนของเขาจะเคยผ่านตานางได้อย่างไร
อนึ่ง ฟิลลิปป์คิดว่าเขาน่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับไดอาน่ามากพอสมควร ถึงขั้นใช้ชื่อของนางในการทำสิ่งเหล่านี้ได้ ไม่แน่ว่า...อาจจะเป็นความสัมพันธ์พิเศษ ความสัมพันธ์ที่ถูกเปิดเผยในตอนกลางวัน!
“ไม่ยักรู้ว่าดอกกุหลาบของข้า เริ่มคิดจะใช้หนามแหลมคมแห่งความหึง...หันมาทางข้าแล้วหรือนี่” อัศวินสีเงินหยอกเย้า พลางก้าวเท้าไปตามจังหวะ “ถ้ามีเจ้าในยามราตรี แล้วมีใครในรุ่งทิวา ข้าคงจะใช้ธนูยิงดวงตะวันในตอนเช้าทิ้งไป เพื่อให้ได้พบกับเจ้าเพียงคนเดียว”
คำกล่าวจริงจังนั้นถูกกระซิบแผ่วเบา “วางใจเถิด กุหลาบรัตติกาลของข้า ศิลปินรังสรรค์ผลงานสะท้อนหัวใจตน นางก็แค่อยากจะรับชมภาพนั้น ซึ่งกลั่นมาจากความรู้สึกอันอ่อนไหวของเจ้า”
ฟิลลิปป์คิดว่ามันน่าจะมีเบื้องหลังกว่านี้ จะเป็นได้หรือ สำหรับการใช้นามอันสูงส่งแฝงด้วยอำนาจในการมาประกาศในที่สาธารณะ ซ้ำยังด้วยเรื่องไร้แก่นสารอีก
ซิลเวอร์เผยยิ้มอ่อนใจออกมา หญิงสาวเส้นผมสีแดงคนนั้นก็มักจะเป็นแบบนี้ หากเป็นเรื่องที่ตนมุ่งหมายใจ ต่อให้ไร้แก่นสารเพียงใด ก็พร้อมจะทุ่มทุกอย่างเพื่อให้ได้มันมา จะเตือนไปกี่ครั้งก็ยังไม่อาจแก้ได้ เป็นเจ้าหญิงอ่อนโยนผู้ดื้อดึง อีกนัยหนึ่ง เขาจำเป็นต้องหลับตาลงหนึ่งข้างในการปล่อยให้นางทำแบบนั้น
ฟิลลิปป์ไม่เข้าใจเลยสักนิด ทำไมเขาถึงต้องรู้เกี่ยวกับการไปเยี่ยมชมราษฏรอย่างลับๆของไดอาน่า การได้รับความช่วยเหลือจากครอบครัวเล็กๆแห่งหนึ่ง ซึ่งที่นั่นมีภาพของเขาแขวนอยู่ ที่มาของภาพนั้นชวนซาบซึ่งจนถึงที่สุด ด้วยความประทับใจในเรื่องราวและฝีมือ เจ้าหญิงจึงต้องการบางสิ่งบางอย่างที่พิเศษ เพื่อตอบแทนจิตรกรนิรนามคนนั้น
เขาจำได้ว่าตัวเองไม่เคยสร้างความซาบซึ้งให้ใคร ยกเว้นเวลาเล่าถึงอัศวินสีเงิน อีกฝ่ายรู้เรื่องนิทานตอนเช้าของเขาดี ซ้ำยังไม่เอ่ยปากห้าม ดูจากรูปการแล้ว...คงไม่ใช่แค่เขาฝ่ายเดียวที่มีนิทานสำหรับคนสนิท
“ไม่ต้องห่วง ถ้าเจ้าหญิงไดอาน่าบอกว่ามี ไม่ช้าก็จะมีขึ้นมาเอง” ซิลเวอร์กล่าวขรึมๆ “ข้าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ เพราะเกรงว่าเจ้าจะไม่ชอบใจ แต่นางต้องการให้เจ้าเป็นจิตรกรหลวงประจำปราสาท”
ฟิลลิปป์ตอบปฏิเสธในทันใด ทั้งเพื่อนสนิทมิตรสหายหรือเหล่าเด็กๆ ไม่นับรวมนักฟังประจำเช้าอีก เขาไม่อาจละเลยคนเหล่านั้น แล้วก้าวเข้าไปในฐานะอันแปลกใหม่ในสถานที่หรูหรา ทั้งที่เคยได้แต่มองอย่างเงียบๆจากสวนแห่งนี้ ใช่แล้ว สถานที่เต้นรำของพวกเขาทั้งสองคือสวนในปราสาทนั่นเอง
อีกทั้ง ฝีมือเขายังไม่ดีเด่นถึงขั้นจะรับตำแหน่งอันทรงเกียรติได้ การเป็นคนโปรดของเจ้าหญิงอาจก้าวเข้าไปในฐานะอื่น โดยไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้เลยสักนิด
สีหน้าของซิลเวอร์สลดลงไปเล็กน้อย “ถึงจะบอกว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง แต่ความจริงแล้ว...ข้าก็อยากให้เจ้าตอบรับแผนของนาง เพื่อจะได้พบเจ้ามากขึ้น ไม่จำเป็นต้องหลบซ่อนท่ามกลางความมืดเช่นนี้อีก”
สำหรับฟิลลิปป์ การให้เรื่องเป็นแบบนี้ต่อไปย่อมดีที่สุด หากวันหนึ่งอัศวินสีเงินเริ่มเบื่อหน่ายเขาขึ้นมา หรืออาจจะถึงขั้นต้องเข้าพิธีวิวาห์กับหญิงสาวซึ่งเขาไม่เคยได้รู้จัก ทุกอย่างจะได้ถูกปิดผผผนกลงด้วยแสงอาทิตยฺแห่งรุ่งอรุณ ไม่จำเป็นต้องหลงใหลเนิ่นนานเกินกาล เสมือนเสียงระฆังของซินเดอเรลล่า ผู้ไม่อาจดื่มด่ำจนเกินพอดีกับความรักของเจ้าชาย
หากมากเกินไป ความรักนั้นเล่าจะแผดเผาหัวใจจนแทบถอนตัวไม่ขึ้น การเฝ้าใฝ่ฝันในยามราตรีจงเป็นการดีสำหรับพวกเขาทั้งสองคน
รวมทั้ง แสงแดดนั้นโหดร้ายและดีเลิศ มันทั้งส่องแสงสว่างและฉายภาพชัดเจนของความเป็นจริง ซึ่งภาพมายาแสนหวานก็ถูกมันสาดส่องจนเลือนราง ทิ้งไว้เพียงความปวดร้าวในควันอากาศเท่านั้น
“เจ้าหญิงไดอาน่าไม่หยุดง่ายๆ หากเจ้าไม่ตอบรับในตอนนี้ ไม่แน่ว่านางอาจจะเดินทางไปพบเจ้า” อัศวินสีเงินเตือนถึงวิสัยของสาวน้อยนัยเนตรสีชาด พลางเปลี่ยนหัวข้อใหม่ “เจ้ายังไม่รู้ว่าข้าเป็นใครหรือว่า...กำลังลังเลว่าข้าเป็นใครหรือเปล่า”
ฟิลลิปป์ซบลงกับแผ่นอกอันอบอุ่นอีกฝ่าย เขารู้ตั้งแต่ได้พบกันครั้งแรกแล้วว่าอัศวินสีเงินต้องการปิดเป็นความลับ แม้ทีแรกจะอยากรู้เพียงไร เขาก็ไม่เคยใจกล้าในการลองสืบค้นดูสักครั้ง คงเพราะกลัวว่าอีกฝ่ายจะโกรธ และไม่มาพบเขาอีกต่อไป
ทว่า จริงดังคำเตือนของซิลเวอร์ เมื่อเขาเปิดร้านภาพเขียนขึ้นมาในเช้าวันรุ่งขึ้น แล้วพบกับหญิงสาวเส้นผมสีแดงยืนคอยอยู่ ชุดของนางเหมือนจะกลืนไปกับชาวบ้าน หากแต่ยังเจือความมั่งคั่งและอำนาจในรังสีที่แผ่ซ่าน บ่งบอกว่านางไม่ใช่คนธรรมดาอย่างแน่นอน
ยังไม่ทันจะกล่าวอะไร เสียงของพวกเด็กๆซึ่งรอฟังนิทานทุกเช้าก็ดังข้นมาแต่ไกล สาวน้อยมุดเข้าไปในร้านเขียนภาพอย่างถือวิสาสะ ปล่อยให้ฟิลลิปป์เชิญคำถามกับนักฟังของตนเองเพียงลำพัง
ด้วยคำพูดจ้อกแจ้กจากเด็กๆ คนอื่นซึ่งมาทีหลังต่างตกใจ ไม่คิดว่าเขาจะนอกใจชายหนุ่มปริศนาคนนั้น ซ้ำยังซุกซ่อนไม่ให้พวกเขารู้ว่านางเป็นใครอีก โดยที่พยานรู้เห็นยืนยันเป็นเสียงเดียวกัน เกี่ยวกับลักษณะด้านหลังในเสี้ยววินาทีของสตรี มิใช่บุรุษแต่ประการใด
หญิงสาวคนเดิมประณามโดยทันที ระหว่างพูดก็หยิกชายคนรักผู้เคราะห์ร้ายไปพร้อมกัน
คนถูกว่าร้ายเกือบจะให้การปฏิเสธข้อกล่าวหาทั้งหมด หากไม่นึกถึงคำพูดของซิลเวอร์ขึ้นมาได้ เรื่องคงวุ่นวายยิ่งกว่าเดิม ถ้าทุกคนรู้ว่าเจ้าหญิงมายืนรอเขาตั้งแต่เช้าตรู่
“นาง...นางเป็นคนรู้จักของบุรุษปริศนาน่ะ”
เขาเล่าโยงไปถึงเรื่องกลางค่ำคืนตามกิจวัตรตามปกติ ในขณะเดียวกันก็เติมแต่งส่วนที่เหมาะสม ไม่เอ่ยชื่อเจ้าหญิงไดอาน่า สาวน้อยที่อาจจะกำลังแอบอยู่ในร้านภาพเขียนเล็กๆของเขา โดยพูดปดอีกเล็กน้อย หากพวกเขารู้เกี่ยวกับนางเมื่อไหร่ ชายสวมหน้ากากจะไม่มาพบเขาอีก
ชายคนรักของหญิงสาวจอมหยิก รีบร้องโวยวายลั่น หาว่าสาวน้อยปริศนาภายในเป็นแม่มด ส่วนร่างจริงของชายหนุ่มใต้แสงจันทร์คืออสูรร้าย!
“อีกแล้วนะ! เจ้าเลิกอ่านเรื่องแปลกๆสักทีเถอะ!” นางบิดหูสามีอย่างรวดเร็ว โดยที่เขาไม่กล้าโต้แย้ง เกี่ยวกับประเด็นนอกใจที่นางพร่ำพูดกรอกหูนักเล่าบ่อยๆ “เอาเถอะ นางคงมีความสำคัญบางอย่าง พวกเราก็ไม่อยากจะขัดขวางความรักของพวกเจ้าสองคนด้วย เฮ้อ ทำไมข้าถึงไม่เจอใครแบบนั้นบ้างนะ”
ฟิลลิปป์ยิ้มจืดๆ ทั้งที่มันเคยเป็นนิทานให้พวกเด็กๆกลุ่มเล็กๆฟังเท่านั้น คนหนึ่งเล่าไปสู่อีกคนหนึ่ง กิจวัตรประหลาดนี้จึงเริ่มมีผู้ฟังมากขึ้นเรื่อยๆ...
เขาปิดประตูกลับมาเหมือนเดิมทันทีที่เคลียร์ความวุ่นวายต่างๆได้ แต่นัยเนตรสีแดงเชอรี่ทำให้เขาเกือบตกใจ สาวน้อยปริศนาในผ้าคลุมศีรษะผืนสีชมพูสวยกำลังจ้องมองเขาด้วยความตื่นเต้น สองมือประสานระหว่างกลางอกอย่างเพ้อฝัน ที่สำคัญ การยืนใกล้ชิดทำให้จิตรกรเส้นผมสีดำสนิทถึงกับตกใจ
“เหมือนกับที่เขาเล่าเปี๊ยบเลย!” เจ้าหญิงไดอาน่าเอ่ยอย่างรวดเร็วพร้อมรอยยิ้ม “อัศวินในหน้ากากสีเงินรูปหล่อ กับหนุ่มน้อยหน้าสวย ผู้บังเอิญได้มาพบกันในสวนของปราสาทอันแสนโรแมนติค! ว้าว!”
ว้าว? ฟิลลิปป์คาใจกับสรรพบุรุษที่สามของประโยคแรก เขาที่หมายถึงจะเป็นซิลเวอร์หรือเปล่านะ งั้นนางก็ถูกส่งมาจากอัศวินสวมหน้ากากคนนั้นจริงๆ!
ไดอาน่าเล่าเกี่ยวกับการฟังนิทานแสนหวานประจำการทักทายทิวาสวัสดิ์ แน่นอนว่าเขาไม่ได้ตื่นแต่เช้ามาตลอดห้าปีแล้ว ผิดกับฟิลลิปป์ที่ต้องหาโอกาสพักผ่อนตอนกลางวันเป็นช่วงๆ คงไม่แปลกสำหรับคนที่สวมอารณ์ชั้นดีทุกครั้งที่พบกัน เขาหมายถึงชุดเสื้อผ้าลวดลายเดิม แต่ทุกชุดมีร่องรอยการตัดเย็บใหม่เกือบทั้งนั้น ฝีมือก็เลิศเลอเกินกว่าจะเป็นช่างผ้าธรรมดาได้
เขาจะเป็นเจ้าชายเหมือนยศของนางหรือเปล่า เขาเองก็ไม่อาจทราบ รู้แต่ว่าลูกขุนนางหลายคนก็แทบจะใช้เวลาตื่นตอนนั้นเป็นประจำ หรืออาจจะเป็นบุตรชายของพ่อค้ามั่งคั่งสักคนในเมือง ซึ่งแต่ละสิ่งมีสิทธิสนิทกับเจ้าหญิงได้ทั้งนั้น ด้วยฐานะหรือเงินตรา รวมทั้งอายุประมาณสิบแปดปีของพวกเขาทั้งสามคน
อย่างไรก็ตาม นางไม่เอ่ยเกี่ยวกับซิลเวอร์สักคำ ราวกับจงใจเลี่ยงโดยเฉพาะ
“ข้าอ่านจากจดหมายสั่งห้ามรบกวนเจ้าในตอนเช้าวันนี้เอง เจ้าไม่อยากรับตำแหน่งเพราะฝีมือไม่ถึงหรือ? เอ ข้าไม่ค่อยรู้เกี่ยวกับศิลปะนะ แต่ภาพของเจ้าสวยทั้งนั้นเลย โดยเฉพาะภาพเทพีแสงอาทิตย์ตรงนู้นน่ะ” นางชี้ไปหลังร้าน ซึ่งหน้าร้านยังไม่มีที่วางภาพใหม่ คนวาดจึงเอาผ้าคลุมมันไว้มิดชิด ไม่มีกรณีลมพัดแล้วปรากฏเองแน่นอน “แต่ถ้าลำบากใจจริงๆ ข้าให้จิตรกรหลวงของเรารับเจ้าไว้เป็นศิษย์ก่อน เอาไหม?”
ฟิลลิปป์ยืนยันชัดถ้อยชัดคำ ยังไงเขาก็ไม่อาจทิ้งชาวบ้านที่ต่างช่วยเหลือกันมาโดยตลอด ทั้งหญิงชรารับจ้างเย็บผ้าผู้ใจดี ภรรยาขี้หึงกับสามีผู้หลงใหลเรื่องแปลกประหลาดพอๆกับกลัว หรือจะเป็นเด็กเล็กเด็กน้อยที่รอฟังนิทานอล้วสรุปในแบบคนไม่ประสีประสาเรื่องความรัก
นัยเนตรสีชาดของเจ้าหญิงฉายแววไม่เดือดเนื้อร้อนใจ เตรียมสั่งให้ทุกคนที่ถูกร่ายรายชื่อให้ย้ายไปพร้อมกับฟิลลิปป์ นั่นทำให้เขาเกือบจะอ้าปากค้าง หากแต่ควบคุมให้กล่าวปฏิเสธได้เสียก่อน
ไดอาน่าไม่คิดว่ามันจะเป็นเรื่องสลักสำคัญตรงไหน หมู่บ้านนี้ก็น่ารักดีอยู่หรอก ทว่า มันไม่หรูหราน่าอยู่เท่าที่ตนจัดเตรียมไว้แน่ๆ หรือถ้ารู้สึกผูกพันกับหมู่บ้านมาก จนไม่อาจละทิ้งไปได้ง่ายๆ นางจะสร้างหมู่บ้านจำลองไว้ที่นั่น เท่านี้ก็ไม่รู้สึกแปลกแล้ว!
เป็นเวลานานเอาการ กว่าฟิลลิปป์จะพูดให้เจ้าหญิงเข้าใจว่าการอยู่สถานที่จริงกับสถานที่จำลอง มันต่างกันมากแค่ไหน
อย่างไรก็ตาม เจ้าหญิงไดอาน่ายอมรับรู้ในส่วนนั้นเพียงอย่างเดียว แต่ยังคงดึงดันให้เขาตามไปเป็นลูกศิษย์จิตรกรหลวงประจำปราสาท ไม่อยากเป็นศิษย์ใครโดยไม่เต็มใจก็ไม่เป็นไร เพราะนางตั้งใจให้เขาไปอยู่ในฐานะแขกคนสำคัญอยู่แล้ว จะได้พูดคุยเรื่องราวในห้าปีที่ผ่านมา จากมุมอีกด้านของคู่เต้นรำแสนงามกลางค่ำคืน
ดวงตากลมโตของเจ้าหญิงเปี่ยมด้วยความคาดหวัง แม้คำปฏิเสธยังคงไม่เสื่อมคลาย ความจริงจะใช้อำนาจบังคับไปเลยก็ดี ให้ทหารอุ้มตัวไปเลยก็ได้ แต่คนคนนี้เป็นคนรักของของอัศวินสีเงินผู้นั้น ไหนจะคำบอกเล่าเกี่ยวกับความบอบบางประหนึ่งดอกไม้ ซึ่งดูจากรูปการและรูปกายแล้ว มันคงไม่ใช่เรื่องโกหกนัก
ฟิลลิปป์ไม่รู้เรื่องนี้ มิฉะนั้น เขาคงเถียงเต็มที่เกี่ยวกับพละกำลัง ด้วยความที่ไม่มีใครคอยรับใช้อย่างเจ้าหญิงเจ้าชาย งานต่างๆจึงต้องทำเองทั้งหมด รวมทั้งถือค้อนหนักซ่อมเก้าอี้ ซ่อมโต๊ะ ยามที่อุปกรณ์เหล่านั้นเสียหาย ไม่นับรวมเวลาแบกรูปภาพหลายต่อหลายรูปอีก ถ้าไม่ติดตรงร่างกายอันผอมบาง พละกำลังก็ไม่ต่างจากชายหนุ่มทั่วไปนัก
สุดท้าย เมื่อการเจรจาไม่เป็นผล นางจึงหุนหันกลับไปด้วยความโมโห โดยไม่ลืมสวมผ้าคลุมปิดบังหน้าตาจากการแอบมองของคนในละแวกนั้น โชคดีที่ชาวบ้านแถบนี้เองก็ไม่ค่อยได้พบเชื้อพระวงศ์เหมือนกัน จึงไม่ได้คิดเกี่ยวโยงไปถึงการซื้อขายในนามของนางเมื่อวาน
ฟิลลิปป์มองประตูที่ถูกผลักออกอย่างแรง บางส่วนเหมือนจะได้ผลกระทบหนักทีเดียว เห็นทีว่าคนร่างน้อยแรงหนัก คงไม่ใช่แค่เขาฝ่ายเดียวเท่านั้นสินะ
อัศวินสีเงินถูกอิงแอบด้วยความสุขใจ ระหว่างควบม้าผ่านสายลมอันหนาวเหน็บ หากแต่เสื้อผ้าหนานุ่มช่วยกำบังไว้ได้ดี ส่วนเสื้อคลุมก็ห่มกายคนรักไว้มิดชิด ไม่มีทางที่ความเย็นเพียงเท่านี้จะหยุดพวกเขาไว้ได้
วันนี้เขาไม่ได้ไปเต้นรำที่สวนในปราสาทเหมือนอย่างทุกที และได้อธิบายถึงแนการอันมองออกง่ายดายของไดอาน่า นางต้องเตรียมกำลังรอให้พวกเขาไปที่นั่น แล้วใช้คำพูดชักชวนรบกวนเป็นแน่ ความจริงแล้ว เมื่อไม่กี่วันมานี้ เขาก็เผลอพูดว่าอยากชวนฟิลลิปป์มาอยู่ด้วยกันแท้ๆ นางถึงได้เริ่มก่อความไม่สงบขึ้นมา ถึงจะเป็นความหวังดีต่อพวกเขา แต่ความสมัครใจของคนในอ้อมกอดนี้ต้องมาก่อน
ความรักมิใช่ความฝืนใจ เมื่อฝืนหักหาญไป ใยกุหลาบงามจะไม่หมองมัว?
กวีตอนหนึ่งในหนังสือวรรณกรรมรักเคยว่าไว้อย่างนั้น ความจริงเขาเองคงไม่เฉียดกรายเข้าไปใกล้หรือได้ยินสิ่งเหล่านี้ แต่ไดอาน่าขยันสรรค์หามาอ่านยิ่งกว่าสิ่งใด
ตอนนี้ เขาเริ่มเข้าใจของความหมายในบทกวีนั้นชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ในทุกวินาทีต่อวินาทีที่ได้อยู่กับฟิลลิปป์ แม้ใจจริงอยากจะดื้อรั้นลักพาไปไกลสุดขอบฟ้า ที่มีเพียงพวกเขาทั้งสอง ในขณะเดียวกัน เขาก็ไม่อาจทำให้กุหลาบงามหนึ่งเดียวต้องขุ่นข้องหมองใจไปได้เลย เพียงคิดถึงนัยเนตรสีม่วงงดงามที่จับจ้องด้วยความเสียใจ เขาก็เจ็บปวดมากจนเกินจะบรรยาย
เป็นแบบนี้ต่อไปนั้นดีแล้ว จนกว่าฟิลลิปป์พร้อมจะยื่นมือมา เพื่อฝากร่างนั้นไว้ในอ้อมกอดให้เขาดูแลอย่างทะนุถนอม เขาจะเฝ้ารอด้วยความหวังอย่างสุดหัวใจ
เวลาผ่านไปเนิ่นนาน ทำให้อีกฝ่ายเริ่มขยับเคลื่อนไหวบ้างเป็นครั้งคราว อัศวินสีเงินปลอบโยนด้วยการบรรยายถึงสถานที่อันงดงาม ไม่แพ้สวนในปราสาทแห่งนั้น หรืออาจจะมากกว่าหลายร้อยเท่า เพราะมันเป็นที่ซึ่งถูกจัดเตรียมไว้เป็นพิเศษสำหรับการชมท้องฟ้ายามค่ำคืน
จริงดังที่เขาว่า เมื่ออาชาไนยสีเงินก้าวล้ำผ่านประตูที่เปิดกว้างนั้น หอคอยแห่งหนึ่งได้ปรากฏอย่างชัดเจน มันถูกสร้างด้วยหินก้อนเรียงกันอย่างแข็งแรง
“เจ้าลองหลับตาแล้วก้าวตามการเต้นรำของข้าสิ” ซิลเวอร์กล่าวพร้อมรอยยิ้ม “รับรองว่าข้าจะไม่ทำให้เจ้าบาดเจ็บแน่”
การกระทำเช่นนั้นอันตรายมาก แต่ไหนเลยฟิลลิปป์จะปฏิเสธนัยเนตรสีเขียวแฝงแววเชื่อมั่นนั่นได้ เมื่อปิดดวงตาแสนงามคู่นั้นลง เขาสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นที่โอบกายตนไว้...เป็นการเต้นรำอันใกล้ชิดแสนคุ้นเคย และยังคงมอบความน่าไว้วางใจให้ไม่เสื่อมคลาย ในตอนที่ผ่านช่วงแรกมาได้ สิ่งต่างๆก็เริ่มง่ายขึ้น
จนมาหยุด ณ จุดหนึ่ง ซึ่งได้รับอนุญาตให้จ้องมองทุกสิ่งเบื้องหน้า ทั้งดวงดาราพร่างพรายหรือจันทราเต็มดวง ในสวนของปราสาทนั้นมองแล้วช่างห่างไกล ทว่า ฟิลลิปป์รู้สึกเหมือนตนอยากจะเอื้อมมือไปสัมผัสประกายเล็กๆประดุจเพชรบนท้องฟ้ายามราตรีเหล่านั้น
ช่องหน้าต่างกว้างใหญ่ไร้บานกระจกถูกเว้นไว้สำหรับชมความงามยามค่ำคืนก็จริง แต่เมื่อถึงจุดที่พระจันทร์ลอยสูงสู่กลางฟ้า สิ่งก่อสร้างต่างๆเริ่มเป็นอุปสรรคเสียแล้ว
“งั้นก็ขึ้นไปสูงกว่านี้เถอะ” ซิลเวอร์ไม่รอฟังคำตอบ เขาจับมือกับคนรักวิ่งขึ้นตามบันไดเล็กๆ สู่ยอดหอคอยที่รอบด้านกั้นไว้ด้วยลักษณะรั้วหินงดงาม ตามจังหวะโค้งของมันบ่งบอกว่าหอคอยแห่งนี้เป็นรูปทรงแปดเหลี่ยม โดยที่นี่ไร้หลังคาใดๆจะมาปิดบังท้องนภาเอาไว้อีก
หากมองลงเบื้องหลัง ที่นี่เองก็มีสวนดอกไม้เช่นกัน เรียงในลักษณะของรูปหัวใจมีปีก มันเป็นดอกไม้สีชมพูที่บานพลิ้วไหวในตอนกลางคืน เป็นดอกไม้ราตรีแสนสวย ซึ่งเป็นสิ่งที่พระราชาทรงมีรับสั่งสร้างขึ้นแด่องค์ราชินีคู่บัลลังค์โดยเฉพาะ
ฟิลลิปป์เพิ่งรับรู้เรื่องนี้ เมื่อมองกลุ่มดอกไม้เหล่านั้น ซึ่งส่องแสงสว่างตามจุดอย่างเหมาะสม ดูมืดสลัวและสว่างอย่างเงียบงันไปในตัว แน่นอนว่าเขาค่อนข้างกังวลทีเดียว “ท่าน...นี่จะไม่เป็นไรแน่หรือ”
“ในตอนทางเข้าก็ไม่มีทหารยามนี่” เขาขยิบตาอย่างเจ้าเล่ห์ “ไม่รู้ก็ไม่ถูกจับหรอก”
ความจริงคือเขาสั่งการพวกนั้นไม่ให้ปรากฏตัวไว้ตั้งแต่ต้น ทันทีที่เสียงฝีเท้าของอาชาสีขาวมาแต่ไกล หรือจะให้แน่ยิ่งกว่านั้นคือเมื่อเห็นอัศวินสีเงินเช่นเขาใกล้เข้ามา
ฟิลลิปป์ไม่มีทางแสดงความตื่นตระหนกไปมากกว่านี้ ยังไงซิลเวอร์ก็คงไม่ทำเรื่องร้ายแรงมากมายนัก โดยเฉพาะเรื่องที่มีเขาเข้ามาเกี่ยวข้อง จิตรกรหนุ่มรับรู้เรื่องนั้นดียิ่งกว่าใคร ด้วยความไว้วางใจในบุรุษปริศนา แม้ไม่เคยพบเห็นใบหน้าใต้หน้ากากนั้นเลยสักครั้ง
และตอนนี้ ท้องฟ้ามืดมิดเจือแสงสว่างจากดวงจันทราก็เริ่มดึงดูดความสนใจจากเขาอีกครั้ง
อัศวินสีเงินโอบรอบเอวบอบบางของคนรักเบาๆ พลางหยอกเย้าเล็กน้อย “กุหลาบของข้า เห็นทีว่าคงจะเบื่อหน่ายยามมองชายผู้รักท่านอย่างสุดหัวใจแล้วกระนั้นหรือ?”
“ไม่เคยลืมและไม่เคยหน่าย ไม่ว่าตอนนี้หรือตอนไหน” ฟิลลิปป์หมุนกายกลับมาพร้อมรอยยิ้ม “ทั้งน้ำเสียง แววตา หรือความอบอุ่นในกาย ข้าผู้มอบหัวใจแก่มนตร์สะกดแห่งรักของท่าน ไหนเลยจะกล้ากระทำสิ่งนั้น”
ซิลเวอร์เผยยิ้มพึงพอใจ เบื้องหลังของคนรักคือดวงดาวอันระยิบระยับ ความเน้นให้ร่างในอ้อมกอดนี้คล้ายดั่งเทพีแสนงาม แม้ร่างนั้นจะเป็นบุรุษเพศ แต่ไหนเลยจะหักหามใจมิให้หวั่นไหว เขาโน้มตัวลงมอบจุมพิตอันแสนหวาน ประหนึ่งยาพิษที่ทำให้ลุ่มหลงจนไม่อาจถอนตัวได้ มันทั้งนุ่มนวลดูดดื่มจนสร้างกำแพงเถากุหลาบ ปิดกั้นสิ่งรบกวนภายนอกเป็นอย่างดี
เมื่อจุมพิตนั้นยุติลง ฟิลลิปป์ซบลงกับร่างของคนรักประดุจไร้เรี่ยวแรง “โอ... ท่านตั้งใจมอบพิษรักเหลือร้ายให้ข้าตั้งแต่เมื่อไหร่กัน มันแทบจะแผดเผาใจข้าจนเต้นระรัวไปหมด”
“ตั้งแต่เมื่อแรกพบเจ้า นับแต่นั้นข้าก็ลืมทุกสิ่งในโลกนี้ ประหนึ่งดาราหยุดเคลื่อนไหว สายลมหยุดพัดผ่าน มีเพียงเจ้าคนเดียวเท่านั้น” ซิลเวอร์สบตากับเขา แฝงด้วยความรู้สึกอันเปี่ยมล้น “แล้วความฝันอันแสนดีของข้าก็เริ่มต้นขึ้น โดยไม่อาจเลือนใบหน้าของกุหลาบงามดอกนี้ไปได้เลย แม้เพียงเสี้ยววินาที”
อัศวินสีเงินตัดสินใจ เขาโอบกอดกายของคนรักแน่นหนา “มาอยู่กับข้าเถอะ! ไม่ว่าสิ่งใดในโลกนี้ ข้าก็สามารถนำมาให้เจ้าได้ทั้งนั้น!”
แววตาลังเลของฟิลลิปป์ฉายอย่างชัดเจน เขาจะทอดทิ้งทุกสิ่งที่เติบโตขึ้นมาด้วยกันได้อย่างนั้นหรือ?
กวีของซิลเวอร์เริ่มเปล่งขึ้นมาทีละวรรคตอน ขับขานเว้าวอนคนรักของเขาในค่ำคืนนี้ และนั่นทำให้ร่างในอ้อมกอดตัดสินใจ...
ได้โปรดออกมาพบข้าเถิด แม้จะรู้ว่าเจ้าจะเกิดความลังเล
ได้โปรดรับคำรักจากข้าเถิด ต่อให้รู้ว่าเจ้าจะเกิดความหวั่นใจ
ได้โปรดลุ่มหลงในอ้อมกอดของข้าเถิด เพื่อให้รู้ว่าเจ้าจะเกิดความหวั่นไหว
ได้โปรดตอบตกลงสักนิดเถิด ก่อนแสงจันทร์ในคืนนี้จะลับเลือนกลาย
โอ เจ้าผู้เป็นที่รักของข้า อย่าปล่อยให้กาลผ่านหาย พร้อมความหวังของข้าเลย...TBC.ทิวาสวัสดิ์ เป็นการทักทายช่วงกลางวันค่ะ เหมือนอรุณสวัสดิ์ในตอนเช้า
ฝากนิยายเรื่องนี้ด้วยนะคะ (โค้ง)
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.5 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ