กลร้อน เล่ห์รักชีค
-
3) บทที่ 3
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความบทที่ 3
นี่ก็เป็นเวลา 1 อาทิตย์แล้วซินะที่ฉันมาอยู่นี่ ฉันเริ่มปรับตัวได้และตื่นเองโดยไม่ต้องมีใครปลุก แต่ยัยคนใช้ปากมากก็ยังมาบ่นอยู่ดีไม่รู้หล่อนจงเกลียดจงชังฉันอะไรนักหนาตอนนี้ฉันเลยทำเป็นหูทวนลมเก่งแล้วละและแล้วโอกาสก็มาถึง ฉันจะได้ออกนอกบ้านสักที
“นังเอม่า...อยู่ไหนว่ะ” เสียงแก่ๆของคนขับรถประจำบ้านดังขึ้น ฉันพอจะเดาออกว่าชื่อที่ออกมาจากปากนั้นเป็นชื่อใคร ก็เป็นชื่อของยัยคนใช้โรคจิตนั้นละซิ
“ลุงจ๊ะ...เอม่าไปที่ห้องครัวจ๊ะ! ลุงมีอะไรจะใช้เขาหรือ”
ฉันถามด้วยภาษาพื้นเมืองของที่นี้อยู่ 1 อาทิตย์ฉันพอจะฝึกพูดได้เหมือนกันละน่า ลุงคนนั้นมีสีหน้าแปลกใจแปปเดียวก่อนจะกลับมายิ้มแย้มเหมือนเก่า
“หนูนี่หัวไวนะ อยู่แค่ 1 อาทิตย์พูดเกือบคล่องละ” ฉันหัวเราะแหะๆยิ้มรับคำชม
“ออ...พอดีเดือนนี้เป็นเวรที่มันจะต้องส่งข้าวส่งน้ำให้น้องคุณยาซาสน่ะ”
“เอ๋...น้องไอ้ยาเอ๊ย...คุณยาซาสเขาเป็นอะไรหรอค่ะ” ฉันเดินเข้าไปถามอย่างสนใจไอ้โรคจิตนั้นมีน้องด้วยหรอ หวังว่าน้องมันคงไม่เลวเหมือนพี่มันนะ
“นี่หนูพูดที่นี้หนูอย่าไปบอกใครนะ...คือว่าน้องของยาซาสติดคุกที่ชายแดนข้อหาร่วมกบฏพระราชวงศ์น่ะ”
“หา!ร้ายแรงขนาดนั้นเลยหรอค่ะ”
“ใช่ กษัตริย์องค์ก่อนสิ้นพระชนม์ชีพเพราะมันนี่ละ” อะไรนะฆ่าสำเร็จด้วยหรอมิน่าถึงขังคุกไกลยังงั้น
“ที่จริงน่ะ โทษถึงตายเลยละ”
“เอ๋~ โทษถึงตายทำไมถึงยังไว้ชีวิตอยู่ละค่ะ” น่าสงสัยแฮะ มันไปทำยังไงถึงยังรอดชีวิตได้
“ข่าวลับๆว่าที่ยังไว้ชีวิตอยู่น่ะเพราะกษัตริย์ องค์ปัจจุบันทรงให้การสนับสนุนเบื้องหลังน่ะสิ!” ห๊ะ!จริงหรองั้นก็เข้าข่ายปิตุฆาตน่ะสิ ขณะที่ฉันกำลังอึ้งๆอยู่นั้นลุงคนขับรถทำท่าจะบอกต่อแต่ก็ต้องเงียบไปเพราะยัยคนใช้โรคจิตเดินนวยนาดเข้ามาซะก่อนชิ! เสียดายจัง
“พูดอะไรกันน่ะ”
ยัยเอม่าหรือยัยคนใช้โรคจิตนั้นมาถึงก็แปร๋นออกมาทันที ให้มันได้อย่างนี้ซิ
“เดือนนี้ เป็นเวรแกที่จะต้องไปส่งข้าวส่งน้ำที่ชายแดนไง”
“ยี้~ ไม่ไปหรอกไม่ได้ดูข่าวเมื่อเช้าหรือไงว่า...” อยู่ๆยัยเอม่าก็หยุดพูดซะงั้นแล้วยิ้มเจ้าเล่ห์แทน
“นี่! แกน่ะอยู่บ้านนี่ได้ตั้งอาทิตย์แล้วอยากออกไปเที่ยวนอกบ้านไหมละ ฉันจะให้แกส่งของแทนฉันจะไปไหม”
เอ๊ะ! นี่มันผิดปกติมากอยู่ๆก็ถามเหมือนใส่ใจฉันแถมยังรอยยิ้มเจ้าเล่ห์นั้นอีกชักเสียวสันหลังวาบขึ้นมาแล้วซิ!
“นั้นซิครับคุณ! คุณยังไม่เคยเห็นตลาดของพวกเราละซิคึกคักมากเลยนะ”
“เอ่อ...ฉัน” ขณะที่ฉันมัวกังวลว่าจะไปดีไม่ไปดีนั้นยัยเอม่าก็สอดปากมาซะก่อน
“โอย...มัวแต่อำๆอึ้งๆนั้นละ จะไปไม่ห๊ะ มันเสียเวลา”
ฉันตัดสินใจเฮือกสุดท้าย...เอาวะอย่างน้อยโอกาสมันก็มาถึงแล้วจะลองคว้าดูสักหน่อยเป็นไรไป!
“อือ...ฉันจะไป” สิ้นเสียงฉันยัยเอม่าก็ถอดหายใจอย่างหมายมาดพลางพยักหน้าที่ฉันว่าง่ายๆ
“งั้นตามฉันมาฉันจะจัดของเอาไว้ ถ้าขาดอะไรค่อยไปซื้อที่ตลาดเอา”
กล่าวจบยัยนั้นก็เดินตัวปลิวบิดตูดไปทันที ทิ้งไว้แต่ฉันกับคนขับรถแก่ๆคนหนึ่งเท่านั้น ความรู้สึกนี้มันอะไรกันมีอะไรบางอย่างผุดขึ้นมาเต็มไปหมด...ราวกับว่าฉันจะต้องเผชิญหน้ากับสิ่งที่ร้ายๆอีกแล้ว
“อ๊ะ...ของครบไม่ต้องแวะซื้ออะไรอีก” ไปไม่ถึง 10 นาทียัยเอม่าก็เดินบิดตูดเอาของมาให้
“ดีๆ ไม่ต้องแวะให้เสียเวลา ตรงไปจะได้ถึงเร็วๆ”
ลุงคนขับรถบ่นคนเดียว แต่ฉันก็ยังแอบได้ยินอยู่บ้างเสียดายจังนึกว่าจะได้แวะดูของและดูลาดเลาสักหน่อย ไม่เป็นไรรีบๆไปส่งของแล้วไปดูลาดเลาที่ชายแดนเลยดีกว่า ลุงคนขับรถเดินถือของแล้วสตาร์รถรอทันทีฉันไม่รอช้ารีบเดินมานั่งข้างคนขับแล้วเตรียมตัวพร้อมยัยเอม่าเดินมาส่งถึงทีแล้วพูดจาแปลกๆที่ได้ยินกันแค่ 2 คน
“เดินทางปลอดภัยนะ...หวังว่าคงได้เจอกันอีกถ้ามีโอกาส” ห๊า! แบบนี้มันหมายความว่าไงฉันไม่ทันคิดอะไรมากลุงคนขับรถก็ออกรถไปทันที
บรรยากาศข้างนอกกำลังคึกคักเชียวชายหญิงแต่งชุดคลุมสวยสดงดงาม แสงแดดจ้าสมกับเป็นเมืองแห่งทะเลทรายข้างนอกลมแรงหรือเปล่านะความสงสัยฉันผุดขึ้นเพราะนั่งแต่ในรถที่มีแอร์ฉันจึงไม่ว่าข้างนอกมีลมหรือแดดแรงแค่ไหนเสียดายจัง ผ่านตัวเมือมาสักพักเจอกับตลาดที่ขายของทุกอย่างคนเดินซื้อกันขวัคไขว่ราวกับตลาดนัดของเมืองไทยก็ไม่ปานรถติดเป็นระยะๆแต่ยังดีกว่าเมืองไทยนักที่รถติดราวกับไม่ให้เดินไปไหนได้ พอออกจากตลาดไม่ไกลนักรู้สึกมีคนในเครื่องแบบเยอะแยะจนผิดปกติ ด้วยความสงสัยฉันจึงเอ่ยถามกับลุงคนขับรถแทน
“ลุงค่ะ รู้สึกว่าทหารเยอะจังนะค่ะแถวนี้”
“ออ...มันเป็นปกติหนูจะออกจากเมืองก็เป็นแบบนี้แหละ...แต่เอ~ รู้สึกว่าเยอะเกินไปจริงๆเหะ” ลุงคนขับรถพูดเสร็จก็บ่นกับคัวเองเบาๆแล้วก็ไม่พูดอะไร จนในที่สุดรถก็แล่นจอดด่านตรวจสายหนึ่งเขาซักไซ้กันไม่ 3 นาทีลุงคนขับรถก็หยิบบัตรสีทองยืนไปนายตรวจคนนั้นรับไปสแกนสักพักก่อนจะปล่อยรถของเราไป แต่ถ้าสังเกตดีๆไม่มีรถสักคันเลยนี่มันหมายความว่ายังนะ
ผ่านไป1ชั่วโมงเศษๆรถยนต์ที่ติดตราพระราชวังก็ปรากฏที่ด่านชายแดน พร้อมกันซักถามกันอย่างเคร่งเครียด
“วันนี้ปิดด่านซะไม่ให้ใครทั้งสิ้นผ่าน นี้เป็นราชโองการออกมา ห้ามใครเข้าออกชายแดนในระยะนี้ 3 วันเพราะทางการสืบทราบว่าจะมีพวกโจรทะเลทรายออกมาป่วนเปี้ยนแถวๆนี้”
นายทหารยศน้อยกว่าได้แต่ก้มหัวรับคำสั่ง แต่เมือนึกได้ว่าเมือกี้ให้รถผ่านไป 1 คันรีบพูดออกมาหน้าซีดเผือก
“แต่เมือกี้ข้าให้รถผ่านไปแล้วจะไปไรหรือไม่”
“เจ้าว่าอย่างไรนะ ชิ!ข้าจะเอาความไปกราบทูลองค์ชีคฟาเร็นก่อนเจ้า 2 คนอย่างพึ่งไปไหนเสียละ”
นายทหารชั้นน้อยกว่าได้แต่ก้มหน้ารับคำภายในใจได้แต่กังวลจนเจียดจะระเบิดท่านชีคองค์นี้ได้ขึ้นชื่อว่าโหดเหี้ยมนัก เด็ดขาด และน่าเกรงขามเพียงแค่พูดเบาๆราวกระซิบเขาก็หัวขาดได้ดังนั้นเขาจึงหวังว่าท่านชีคองค์ดุองค์นั้นจะตรัสอย่างอื่นแทนที่จะตรัสเรื่องการประหาร
ภายในวังอันงดงามวิจิตรราวกับทัสมาฮัลหลังที่ 2 กำลังวุ่นวายโกลาหลกัน ขุนนางชั้นผู้ใหญ่ต่างเร่งรีบมาเข้าเฝ้าหลังทหารส่งข่าวไม่ถึง 20 นาทีทำให้รู้ว่าข้าหลวงที่นี้กลัวผู้เป็นนายคนนี้ขนาดไหน กล่าวไปที่ห้องโถงใหญ่ข้าหลวงทั้งหลายมากันเกือบครบขาดก็แต่ผู้ที่ตรวจราชการเมืองนอกเท่านั้น ตรงกลางทางเดินขนาดใหญ่ประดับพรมสีแดงกำมะยีนุ่มเท้ามีทหารยศพันตรียืนรอรายงานอยู่
“เรียนองค์ชีค...ทางชายแดนฝั่งตะวันตกมีผู้เล็ดลอดไปได้ 2 คน”
“หือม์” เสียงนุ่มทุ้มดังแผ่วๆที่ลำคอ คิ้วดกเลิกขึ้นอย่างแปลกใจดวงตาสีสนิมเหล็กส่องแวววาวแปลกๆโครงหน้าเรียวยาวสวยงามส่ายน้อยๆราวกับหนักอกหนักใจอะไรบ้างอย่าง แต่ริมฝีปากเรียวเล็กนั้นกลับยิ้มแปลกๆแทน
“เรื่องแค่นี้พวกเจ้าก็จัดการไม่ได้...ไม่มีน้ำยาจริง”
“เอ่อ...คือมัน” นายทหารยศพันตรีหน้าซีดที่ถูกตำหนิโดยตรง
“จะบอกว่ามันเป็นเหตุสุดวิสัยงั้นสิ”
ชีคฟาเร็นกล่าวแทรกอย่างรู้ทัน ทำเอาข้าหลวงที่เข้าเฝ้ารอบๆถึงกับเหงื่อตกขนาดทหารยศพันตรียังโดนตำนิออกมาตรงๆถ้าหากเรื่องที่พวกเขาโกงกินบ้านเมืองถูกเปิดเผยละ มิถูกโทษประหาร 7 ชั่วโคตรเลยหรือไงแค่คิดก็หนาวแล้ว
“ช่างมันๆข้านึกอยู่แล้วละที่พวกเจ้าทำงานพลาด”
“ห๊ะ!” นายทหารยศพันตรีหน้าซีดนี่เขาถูกดูถูกก่อนที่จะทำงานเลยหรอ เขาดูปฏิกิริยาชีคฟาเร็นที่นั่งบนบังลังค์สีทองอร่ามตามือข้างหนึ่งหยิบองุ่นพันธุ์ไร้เมล็ดอย่างดีเข้าปากอย่างสบายอารมณ์โดยไม่สะทกสะท้านกับสายตารอบๆแม้แต่นิดเดียวหลังจากลิ้มรสมันจนพอใจแล้วจึงถอดหายใจออกมาหน่อยหนึ่งแล้วพูดออกมา
“เตรียมแผลที่ 2 แล้วใช่ไหมชารค์” คำพูดนี้มิได้พูดกับทุกคนเช่นเคยแต่หันไปพูดกับมือขวาของตัวเอง
“พร้อมทุกเมื่อ ถ้าพระองค์ต้องการ”
มือขวาคนสนิทของชีคก้มหัวเล็กน้อยพลางกล่าวรายงานอย่างแข็งขัน ฟาเร็นได้ยินแล้วยิ้มพอใจเกิดขึ้นที่ริมฝีปากบางเฉียบบางๆ จากนั้นหันไปสั่งการเบาๆกับมือขวาเช่นเคย ส่วนข้าหลวงรอบๆที่ไม่ได้ยินถึงกับกระสับกระส่ายเลยที่เดียวเพราะกลัวพระองค์จะขุดเรื่องของตัวเองขึ้นมา พอผ่านไปสักพักมือขวาของท่านก็พยักหน้ารับคำแล้วก้มตัวเคารพชีคฟาเร็นที่เป็นเจ้านายของตนแล้วเดินจากไป
“เอาละ...เรื่องโจรชั้นต่ำเราจัดการไปหมดละ ก็เหลือแต่โจรชั้นสูงเท่านั้นละ”
“เอ่อ...ทะ ท่านชีคหมายความว่า”
“มีใครจะอธิบายว่าเงินส่วนกลางหายไปจำนวนหนึ่งได้บ้าง” พูดเพียงเท่านี้ชีคฟาเร็นหน้าขรึมทันทีรวมทั้งข้าหลวงหลายคนถึงกับหน้าซีดจะเป็นลมทันที
“ท่านชารค์...ถึงกลับมาด้วยตัวเองเลยหรือ หม่อนฉันว่า...”
“หยุดพูดเหอะ เราอยากให้งานสำเร็จจึงลงมาด้วยตัวเอง...เอาละเตรียมตัวเราจะเปลี่ยนแผนทั้งหมด” ที่กองทหารชายแดนถึงกับเคร่งเครียดขึ้นมาทันทีที่มือขวาคนสนิทพูดแผนใหม่ขึ้น ทำเอาทหารหลายคนหน้าซีดขึ้นมา
“เอ๋! ตั้งแต่เมื่อกี้แล้วนะค่ะ ทำไมไม่มีรถสักคันละค่ะ” ฉันสงสัยขึ้นมาทันทีเมื่อรถแล่นมาเกือบจะสุดถนนแต่ไม่เห็นรถสักคัน
“คงไม่มีอะไรหรอกหนู ตอนที่หนูเหม่อรถอาจจะแล่นตอนนั้นก็ได้” คนขับรถบอกด้วยความหวังดีทั้งที่ตัวเองก็วิตกเหมือนกัน พอพูดเสร็จคนขับรถก็หันโค้งไปที่ถนนที่เป็นทรายทันทีทางที่เรียบเสมอบัดนี้เริ่มขรุขระ
“หนูทางนี้อาจลำบากหน่อยนะ ลุงใช้ทางลัดน่ะอยากให้ถึงไวๆลุงสังหรณ์ไม่ดียังไงไม่รู้”
“ค่ะลุง หนูเข้าใจ” เพราะตั้งแต่เมื่อกี้แล้วเธอใจคอไม่ดีเธฮจึงอยากถึงที่หมายเร็วๆ พอแล่นได้สักพักฉันจึงถามขึ้นมาใหม่
“ลุงค่ะ อีกไกลไหม...”
“ออ ถึง2-3โลก็ถึงแล้วละ” ฉันพยักหน้ารับคำรู้สึกโล่งใจขึ้นตั้งเยอะเลย มือบางจึงเอื้อมไปเปิดฟังเพลงวิทยุแต่ไปสะดุดกับข่าวๆหนึ่ง
...ขณะนี้ทางพระราชวังสั่งให้เปิดด่านเข้า-ออกชายแดนทุกด่าน เนื่องจากทางพระราชวังได้สืบทราบว่าขบวนโจรกลางทะเลทรายได้ออกปล้น จึงขอความร่วมสำหรับผู้ที่อยู่ชายแดนหรือผู้ที่กำลัง
เดินทางไปชายแดนโปรดอยู่แต่ในบ้านของท่านและอย่าออกเดินทาง ณ ตอนนี้ถ้าสถานการณ์ปลอดภัย พระราชวังจะมีการแจ้งให้ทราบที่หลังโปรดให้ความร่วมมือด้วย...
ฉันและลุงคนขับรถต่างหันมามองหน้ากันโดยไม่ได้นัดหมาย ขณะนั้นเองจู่ๆก็มีเสียงระเบิดตรงล้อหน้าลุงคนขับรถตอนแรกตกใจแต่ก็สามารถประคองรถได้แต่ก็ทำให้รถหมุนคว้างไปหลายตลบเหมือนกัน
พอฉันตั้งสติได้ปืนกระบอกหนึ่งก็มาจ่อตรงขมับอย่างแรง จากนั้นก็มีคำสั่งประมาณว่าลงมาเร็วๆนี่ละ เพราะคนพวกนี้พูดเร็วเกือบจะจับใจความไม่ได้ ฉันเดินออกมานอกรถด้วยความกลัวกระบอกปืนที่จ่อขมับเปลี่ยนเป็นจ่อที่เอวฉันแทนเพื่อให้ฉันเดินสะดวก
ฉันเหลียวมองรอบตัวพบแต่พวกที่โพกผ้าสีดำทะมึนเห็นแต่ลูกตามี 3-4 ที่เดินมาควบคุมตัวฉันกับลุงคนขับรถส่วนที่เหลือบ้างขี่อูฐบ้าง บางคนค้นข้าวค้นของที่ในรถก็มี บางคนเดินมาดูหน้าฉัน 2-3 คนก็พยักหน้าแล้วใช้ให้ใครคนหนึ่งไปไหนไม่รู้ ลุงคนขับรถทำใจกล้าถามมันออกไป
“พะ พวกแกปล่อยพวกฉันไปเหอะ แล้วเงินทุกอย่างจะส่งมาให้พวกแก”
“หุบปาก!!!” หนึ่งในพวกนั้นตวาดจากนั้นก็ใช้ด้ามปืนตีเข้าที่กกหูลุงคนขับคนนั้น ฉันตกใจถึงกับร้องไห้ออกมาทันที โฮ~ พ่อค่ะได้โปรดช่วยลูกด้วย
“ฮือ...ฮือ” ฉันร้องไห้เสียงดังขึ้นเรื่อยๆคนพวกนั้นคงรำคาญฉันหรืออย่างไม่ทราบเมื่อมันเอวผ้าหยาบๆมามัดที่ปากแล้วเอาเชือกมามัดที่ข้อมือข้อเท้าจนฉันร้องไห้อีกสักพักจนน้ำตาฉันไม่ไหลแล้วนั้นละ ฉันถึงพอมีสติแล้วเหลียวมองรอบๆดูเหมือนพวกมันจะรอใครสักคนหนึ่งซึ่งคนๆนั้นคงสำคัญมากฉันเหลียวมองไปข้างหลังจนสายตาฉันไปปะทะกับสายตาคมใต้ผ้าคลุมหน้าสีดำที่มองดูฉันตลอดเวลา ทำไมนะฉันถึงคุ้นกับสายตานั้น...
...........................
ค่ะ นิยายจบๆไปแล้ว 3 ตอน 555+
ยังไม่รู้จักนักเขียนเลย เรียกด้าละกันนะค่ะ
เป็นนักเขียนหน้าใหม่ค่ะ
มีอะไรติชมได้นะค่ะ วิจาร์ก็ได้ค่ะ ด้ายินดี
สุดท้ายนี้ด้าจะมาอัพอาทิตละ 1 บทนะค่ะ
เนื่องจากด้างานยุ่งมากกก 555+
นี่ก็เป็นเวลา 1 อาทิตย์แล้วซินะที่ฉันมาอยู่นี่ ฉันเริ่มปรับตัวได้และตื่นเองโดยไม่ต้องมีใครปลุก แต่ยัยคนใช้ปากมากก็ยังมาบ่นอยู่ดีไม่รู้หล่อนจงเกลียดจงชังฉันอะไรนักหนาตอนนี้ฉันเลยทำเป็นหูทวนลมเก่งแล้วละและแล้วโอกาสก็มาถึง ฉันจะได้ออกนอกบ้านสักที
“นังเอม่า...อยู่ไหนว่ะ” เสียงแก่ๆของคนขับรถประจำบ้านดังขึ้น ฉันพอจะเดาออกว่าชื่อที่ออกมาจากปากนั้นเป็นชื่อใคร ก็เป็นชื่อของยัยคนใช้โรคจิตนั้นละซิ
“ลุงจ๊ะ...เอม่าไปที่ห้องครัวจ๊ะ! ลุงมีอะไรจะใช้เขาหรือ”
ฉันถามด้วยภาษาพื้นเมืองของที่นี้อยู่ 1 อาทิตย์ฉันพอจะฝึกพูดได้เหมือนกันละน่า ลุงคนนั้นมีสีหน้าแปลกใจแปปเดียวก่อนจะกลับมายิ้มแย้มเหมือนเก่า
“หนูนี่หัวไวนะ อยู่แค่ 1 อาทิตย์พูดเกือบคล่องละ” ฉันหัวเราะแหะๆยิ้มรับคำชม
“ออ...พอดีเดือนนี้เป็นเวรที่มันจะต้องส่งข้าวส่งน้ำให้น้องคุณยาซาสน่ะ”
“เอ๋...น้องไอ้ยาเอ๊ย...คุณยาซาสเขาเป็นอะไรหรอค่ะ” ฉันเดินเข้าไปถามอย่างสนใจไอ้โรคจิตนั้นมีน้องด้วยหรอ หวังว่าน้องมันคงไม่เลวเหมือนพี่มันนะ
“นี่หนูพูดที่นี้หนูอย่าไปบอกใครนะ...คือว่าน้องของยาซาสติดคุกที่ชายแดนข้อหาร่วมกบฏพระราชวงศ์น่ะ”
“หา!ร้ายแรงขนาดนั้นเลยหรอค่ะ”
“ใช่ กษัตริย์องค์ก่อนสิ้นพระชนม์ชีพเพราะมันนี่ละ” อะไรนะฆ่าสำเร็จด้วยหรอมิน่าถึงขังคุกไกลยังงั้น
“ที่จริงน่ะ โทษถึงตายเลยละ”
“เอ๋~ โทษถึงตายทำไมถึงยังไว้ชีวิตอยู่ละค่ะ” น่าสงสัยแฮะ มันไปทำยังไงถึงยังรอดชีวิตได้
“ข่าวลับๆว่าที่ยังไว้ชีวิตอยู่น่ะเพราะกษัตริย์ องค์ปัจจุบันทรงให้การสนับสนุนเบื้องหลังน่ะสิ!” ห๊ะ!จริงหรองั้นก็เข้าข่ายปิตุฆาตน่ะสิ ขณะที่ฉันกำลังอึ้งๆอยู่นั้นลุงคนขับรถทำท่าจะบอกต่อแต่ก็ต้องเงียบไปเพราะยัยคนใช้โรคจิตเดินนวยนาดเข้ามาซะก่อนชิ! เสียดายจัง
“พูดอะไรกันน่ะ”
ยัยเอม่าหรือยัยคนใช้โรคจิตนั้นมาถึงก็แปร๋นออกมาทันที ให้มันได้อย่างนี้ซิ
“เดือนนี้ เป็นเวรแกที่จะต้องไปส่งข้าวส่งน้ำที่ชายแดนไง”
“ยี้~ ไม่ไปหรอกไม่ได้ดูข่าวเมื่อเช้าหรือไงว่า...” อยู่ๆยัยเอม่าก็หยุดพูดซะงั้นแล้วยิ้มเจ้าเล่ห์แทน
“นี่! แกน่ะอยู่บ้านนี่ได้ตั้งอาทิตย์แล้วอยากออกไปเที่ยวนอกบ้านไหมละ ฉันจะให้แกส่งของแทนฉันจะไปไหม”
เอ๊ะ! นี่มันผิดปกติมากอยู่ๆก็ถามเหมือนใส่ใจฉันแถมยังรอยยิ้มเจ้าเล่ห์นั้นอีกชักเสียวสันหลังวาบขึ้นมาแล้วซิ!
“นั้นซิครับคุณ! คุณยังไม่เคยเห็นตลาดของพวกเราละซิคึกคักมากเลยนะ”
“เอ่อ...ฉัน” ขณะที่ฉันมัวกังวลว่าจะไปดีไม่ไปดีนั้นยัยเอม่าก็สอดปากมาซะก่อน
“โอย...มัวแต่อำๆอึ้งๆนั้นละ จะไปไม่ห๊ะ มันเสียเวลา”
ฉันตัดสินใจเฮือกสุดท้าย...เอาวะอย่างน้อยโอกาสมันก็มาถึงแล้วจะลองคว้าดูสักหน่อยเป็นไรไป!
“อือ...ฉันจะไป” สิ้นเสียงฉันยัยเอม่าก็ถอดหายใจอย่างหมายมาดพลางพยักหน้าที่ฉันว่าง่ายๆ
“งั้นตามฉันมาฉันจะจัดของเอาไว้ ถ้าขาดอะไรค่อยไปซื้อที่ตลาดเอา”
กล่าวจบยัยนั้นก็เดินตัวปลิวบิดตูดไปทันที ทิ้งไว้แต่ฉันกับคนขับรถแก่ๆคนหนึ่งเท่านั้น ความรู้สึกนี้มันอะไรกันมีอะไรบางอย่างผุดขึ้นมาเต็มไปหมด...ราวกับว่าฉันจะต้องเผชิญหน้ากับสิ่งที่ร้ายๆอีกแล้ว
“อ๊ะ...ของครบไม่ต้องแวะซื้ออะไรอีก” ไปไม่ถึง 10 นาทียัยเอม่าก็เดินบิดตูดเอาของมาให้
“ดีๆ ไม่ต้องแวะให้เสียเวลา ตรงไปจะได้ถึงเร็วๆ”
ลุงคนขับรถบ่นคนเดียว แต่ฉันก็ยังแอบได้ยินอยู่บ้างเสียดายจังนึกว่าจะได้แวะดูของและดูลาดเลาสักหน่อย ไม่เป็นไรรีบๆไปส่งของแล้วไปดูลาดเลาที่ชายแดนเลยดีกว่า ลุงคนขับรถเดินถือของแล้วสตาร์รถรอทันทีฉันไม่รอช้ารีบเดินมานั่งข้างคนขับแล้วเตรียมตัวพร้อมยัยเอม่าเดินมาส่งถึงทีแล้วพูดจาแปลกๆที่ได้ยินกันแค่ 2 คน
“เดินทางปลอดภัยนะ...หวังว่าคงได้เจอกันอีกถ้ามีโอกาส” ห๊า! แบบนี้มันหมายความว่าไงฉันไม่ทันคิดอะไรมากลุงคนขับรถก็ออกรถไปทันที
บรรยากาศข้างนอกกำลังคึกคักเชียวชายหญิงแต่งชุดคลุมสวยสดงดงาม แสงแดดจ้าสมกับเป็นเมืองแห่งทะเลทรายข้างนอกลมแรงหรือเปล่านะความสงสัยฉันผุดขึ้นเพราะนั่งแต่ในรถที่มีแอร์ฉันจึงไม่ว่าข้างนอกมีลมหรือแดดแรงแค่ไหนเสียดายจัง ผ่านตัวเมือมาสักพักเจอกับตลาดที่ขายของทุกอย่างคนเดินซื้อกันขวัคไขว่ราวกับตลาดนัดของเมืองไทยก็ไม่ปานรถติดเป็นระยะๆแต่ยังดีกว่าเมืองไทยนักที่รถติดราวกับไม่ให้เดินไปไหนได้ พอออกจากตลาดไม่ไกลนักรู้สึกมีคนในเครื่องแบบเยอะแยะจนผิดปกติ ด้วยความสงสัยฉันจึงเอ่ยถามกับลุงคนขับรถแทน
“ลุงค่ะ รู้สึกว่าทหารเยอะจังนะค่ะแถวนี้”
“ออ...มันเป็นปกติหนูจะออกจากเมืองก็เป็นแบบนี้แหละ...แต่เอ~ รู้สึกว่าเยอะเกินไปจริงๆเหะ” ลุงคนขับรถพูดเสร็จก็บ่นกับคัวเองเบาๆแล้วก็ไม่พูดอะไร จนในที่สุดรถก็แล่นจอดด่านตรวจสายหนึ่งเขาซักไซ้กันไม่ 3 นาทีลุงคนขับรถก็หยิบบัตรสีทองยืนไปนายตรวจคนนั้นรับไปสแกนสักพักก่อนจะปล่อยรถของเราไป แต่ถ้าสังเกตดีๆไม่มีรถสักคันเลยนี่มันหมายความว่ายังนะ
ผ่านไป1ชั่วโมงเศษๆรถยนต์ที่ติดตราพระราชวังก็ปรากฏที่ด่านชายแดน พร้อมกันซักถามกันอย่างเคร่งเครียด
“วันนี้ปิดด่านซะไม่ให้ใครทั้งสิ้นผ่าน นี้เป็นราชโองการออกมา ห้ามใครเข้าออกชายแดนในระยะนี้ 3 วันเพราะทางการสืบทราบว่าจะมีพวกโจรทะเลทรายออกมาป่วนเปี้ยนแถวๆนี้”
นายทหารยศน้อยกว่าได้แต่ก้มหัวรับคำสั่ง แต่เมือนึกได้ว่าเมือกี้ให้รถผ่านไป 1 คันรีบพูดออกมาหน้าซีดเผือก
“แต่เมือกี้ข้าให้รถผ่านไปแล้วจะไปไรหรือไม่”
“เจ้าว่าอย่างไรนะ ชิ!ข้าจะเอาความไปกราบทูลองค์ชีคฟาเร็นก่อนเจ้า 2 คนอย่างพึ่งไปไหนเสียละ”
นายทหารชั้นน้อยกว่าได้แต่ก้มหน้ารับคำภายในใจได้แต่กังวลจนเจียดจะระเบิดท่านชีคองค์นี้ได้ขึ้นชื่อว่าโหดเหี้ยมนัก เด็ดขาด และน่าเกรงขามเพียงแค่พูดเบาๆราวกระซิบเขาก็หัวขาดได้ดังนั้นเขาจึงหวังว่าท่านชีคองค์ดุองค์นั้นจะตรัสอย่างอื่นแทนที่จะตรัสเรื่องการประหาร
ภายในวังอันงดงามวิจิตรราวกับทัสมาฮัลหลังที่ 2 กำลังวุ่นวายโกลาหลกัน ขุนนางชั้นผู้ใหญ่ต่างเร่งรีบมาเข้าเฝ้าหลังทหารส่งข่าวไม่ถึง 20 นาทีทำให้รู้ว่าข้าหลวงที่นี้กลัวผู้เป็นนายคนนี้ขนาดไหน กล่าวไปที่ห้องโถงใหญ่ข้าหลวงทั้งหลายมากันเกือบครบขาดก็แต่ผู้ที่ตรวจราชการเมืองนอกเท่านั้น ตรงกลางทางเดินขนาดใหญ่ประดับพรมสีแดงกำมะยีนุ่มเท้ามีทหารยศพันตรียืนรอรายงานอยู่
“เรียนองค์ชีค...ทางชายแดนฝั่งตะวันตกมีผู้เล็ดลอดไปได้ 2 คน”
“หือม์” เสียงนุ่มทุ้มดังแผ่วๆที่ลำคอ คิ้วดกเลิกขึ้นอย่างแปลกใจดวงตาสีสนิมเหล็กส่องแวววาวแปลกๆโครงหน้าเรียวยาวสวยงามส่ายน้อยๆราวกับหนักอกหนักใจอะไรบ้างอย่าง แต่ริมฝีปากเรียวเล็กนั้นกลับยิ้มแปลกๆแทน
“เรื่องแค่นี้พวกเจ้าก็จัดการไม่ได้...ไม่มีน้ำยาจริง”
“เอ่อ...คือมัน” นายทหารยศพันตรีหน้าซีดที่ถูกตำหนิโดยตรง
“จะบอกว่ามันเป็นเหตุสุดวิสัยงั้นสิ”
ชีคฟาเร็นกล่าวแทรกอย่างรู้ทัน ทำเอาข้าหลวงที่เข้าเฝ้ารอบๆถึงกับเหงื่อตกขนาดทหารยศพันตรียังโดนตำนิออกมาตรงๆถ้าหากเรื่องที่พวกเขาโกงกินบ้านเมืองถูกเปิดเผยละ มิถูกโทษประหาร 7 ชั่วโคตรเลยหรือไงแค่คิดก็หนาวแล้ว
“ช่างมันๆข้านึกอยู่แล้วละที่พวกเจ้าทำงานพลาด”
“ห๊ะ!” นายทหารยศพันตรีหน้าซีดนี่เขาถูกดูถูกก่อนที่จะทำงานเลยหรอ เขาดูปฏิกิริยาชีคฟาเร็นที่นั่งบนบังลังค์สีทองอร่ามตามือข้างหนึ่งหยิบองุ่นพันธุ์ไร้เมล็ดอย่างดีเข้าปากอย่างสบายอารมณ์โดยไม่สะทกสะท้านกับสายตารอบๆแม้แต่นิดเดียวหลังจากลิ้มรสมันจนพอใจแล้วจึงถอดหายใจออกมาหน่อยหนึ่งแล้วพูดออกมา
“เตรียมแผลที่ 2 แล้วใช่ไหมชารค์” คำพูดนี้มิได้พูดกับทุกคนเช่นเคยแต่หันไปพูดกับมือขวาของตัวเอง
“พร้อมทุกเมื่อ ถ้าพระองค์ต้องการ”
มือขวาคนสนิทของชีคก้มหัวเล็กน้อยพลางกล่าวรายงานอย่างแข็งขัน ฟาเร็นได้ยินแล้วยิ้มพอใจเกิดขึ้นที่ริมฝีปากบางเฉียบบางๆ จากนั้นหันไปสั่งการเบาๆกับมือขวาเช่นเคย ส่วนข้าหลวงรอบๆที่ไม่ได้ยินถึงกับกระสับกระส่ายเลยที่เดียวเพราะกลัวพระองค์จะขุดเรื่องของตัวเองขึ้นมา พอผ่านไปสักพักมือขวาของท่านก็พยักหน้ารับคำแล้วก้มตัวเคารพชีคฟาเร็นที่เป็นเจ้านายของตนแล้วเดินจากไป
“เอาละ...เรื่องโจรชั้นต่ำเราจัดการไปหมดละ ก็เหลือแต่โจรชั้นสูงเท่านั้นละ”
“เอ่อ...ทะ ท่านชีคหมายความว่า”
“มีใครจะอธิบายว่าเงินส่วนกลางหายไปจำนวนหนึ่งได้บ้าง” พูดเพียงเท่านี้ชีคฟาเร็นหน้าขรึมทันทีรวมทั้งข้าหลวงหลายคนถึงกับหน้าซีดจะเป็นลมทันที
“ท่านชารค์...ถึงกลับมาด้วยตัวเองเลยหรือ หม่อนฉันว่า...”
“หยุดพูดเหอะ เราอยากให้งานสำเร็จจึงลงมาด้วยตัวเอง...เอาละเตรียมตัวเราจะเปลี่ยนแผนทั้งหมด” ที่กองทหารชายแดนถึงกับเคร่งเครียดขึ้นมาทันทีที่มือขวาคนสนิทพูดแผนใหม่ขึ้น ทำเอาทหารหลายคนหน้าซีดขึ้นมา
“เอ๋! ตั้งแต่เมื่อกี้แล้วนะค่ะ ทำไมไม่มีรถสักคันละค่ะ” ฉันสงสัยขึ้นมาทันทีเมื่อรถแล่นมาเกือบจะสุดถนนแต่ไม่เห็นรถสักคัน
“คงไม่มีอะไรหรอกหนู ตอนที่หนูเหม่อรถอาจจะแล่นตอนนั้นก็ได้” คนขับรถบอกด้วยความหวังดีทั้งที่ตัวเองก็วิตกเหมือนกัน พอพูดเสร็จคนขับรถก็หันโค้งไปที่ถนนที่เป็นทรายทันทีทางที่เรียบเสมอบัดนี้เริ่มขรุขระ
“หนูทางนี้อาจลำบากหน่อยนะ ลุงใช้ทางลัดน่ะอยากให้ถึงไวๆลุงสังหรณ์ไม่ดียังไงไม่รู้”
“ค่ะลุง หนูเข้าใจ” เพราะตั้งแต่เมื่อกี้แล้วเธอใจคอไม่ดีเธฮจึงอยากถึงที่หมายเร็วๆ พอแล่นได้สักพักฉันจึงถามขึ้นมาใหม่
“ลุงค่ะ อีกไกลไหม...”
“ออ ถึง2-3โลก็ถึงแล้วละ” ฉันพยักหน้ารับคำรู้สึกโล่งใจขึ้นตั้งเยอะเลย มือบางจึงเอื้อมไปเปิดฟังเพลงวิทยุแต่ไปสะดุดกับข่าวๆหนึ่ง
...ขณะนี้ทางพระราชวังสั่งให้เปิดด่านเข้า-ออกชายแดนทุกด่าน เนื่องจากทางพระราชวังได้สืบทราบว่าขบวนโจรกลางทะเลทรายได้ออกปล้น จึงขอความร่วมสำหรับผู้ที่อยู่ชายแดนหรือผู้ที่กำลัง
เดินทางไปชายแดนโปรดอยู่แต่ในบ้านของท่านและอย่าออกเดินทาง ณ ตอนนี้ถ้าสถานการณ์ปลอดภัย พระราชวังจะมีการแจ้งให้ทราบที่หลังโปรดให้ความร่วมมือด้วย...
ฉันและลุงคนขับรถต่างหันมามองหน้ากันโดยไม่ได้นัดหมาย ขณะนั้นเองจู่ๆก็มีเสียงระเบิดตรงล้อหน้าลุงคนขับรถตอนแรกตกใจแต่ก็สามารถประคองรถได้แต่ก็ทำให้รถหมุนคว้างไปหลายตลบเหมือนกัน
พอฉันตั้งสติได้ปืนกระบอกหนึ่งก็มาจ่อตรงขมับอย่างแรง จากนั้นก็มีคำสั่งประมาณว่าลงมาเร็วๆนี่ละ เพราะคนพวกนี้พูดเร็วเกือบจะจับใจความไม่ได้ ฉันเดินออกมานอกรถด้วยความกลัวกระบอกปืนที่จ่อขมับเปลี่ยนเป็นจ่อที่เอวฉันแทนเพื่อให้ฉันเดินสะดวก
ฉันเหลียวมองรอบตัวพบแต่พวกที่โพกผ้าสีดำทะมึนเห็นแต่ลูกตามี 3-4 ที่เดินมาควบคุมตัวฉันกับลุงคนขับรถส่วนที่เหลือบ้างขี่อูฐบ้าง บางคนค้นข้าวค้นของที่ในรถก็มี บางคนเดินมาดูหน้าฉัน 2-3 คนก็พยักหน้าแล้วใช้ให้ใครคนหนึ่งไปไหนไม่รู้ ลุงคนขับรถทำใจกล้าถามมันออกไป
“พะ พวกแกปล่อยพวกฉันไปเหอะ แล้วเงินทุกอย่างจะส่งมาให้พวกแก”
“หุบปาก!!!” หนึ่งในพวกนั้นตวาดจากนั้นก็ใช้ด้ามปืนตีเข้าที่กกหูลุงคนขับคนนั้น ฉันตกใจถึงกับร้องไห้ออกมาทันที โฮ~ พ่อค่ะได้โปรดช่วยลูกด้วย
“ฮือ...ฮือ” ฉันร้องไห้เสียงดังขึ้นเรื่อยๆคนพวกนั้นคงรำคาญฉันหรืออย่างไม่ทราบเมื่อมันเอวผ้าหยาบๆมามัดที่ปากแล้วเอาเชือกมามัดที่ข้อมือข้อเท้าจนฉันร้องไห้อีกสักพักจนน้ำตาฉันไม่ไหลแล้วนั้นละ ฉันถึงพอมีสติแล้วเหลียวมองรอบๆดูเหมือนพวกมันจะรอใครสักคนหนึ่งซึ่งคนๆนั้นคงสำคัญมากฉันเหลียวมองไปข้างหลังจนสายตาฉันไปปะทะกับสายตาคมใต้ผ้าคลุมหน้าสีดำที่มองดูฉันตลอดเวลา ทำไมนะฉันถึงคุ้นกับสายตานั้น...
...........................
ค่ะ นิยายจบๆไปแล้ว 3 ตอน 555+
ยังไม่รู้จักนักเขียนเลย เรียกด้าละกันนะค่ะ
เป็นนักเขียนหน้าใหม่ค่ะ
มีอะไรติชมได้นะค่ะ วิจาร์ก็ได้ค่ะ ด้ายินดี
สุดท้ายนี้ด้าจะมาอัพอาทิตละ 1 บทนะค่ะ
เนื่องจากด้างานยุ่งมากกก 555+
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ