The Match Maker เจ้าเเม่สื่อรัก
2) แนะนำตัว
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
2
แนะนำตัว
ฉันนั่งรถมาไม่นานเราก็มาที่ย่านซากุระแล้วก็เข้าไปที่หมู่บ้านงะมัง(แปลว่าอดทน)ของคนญี่ปุ่นที่อาศัยอยู่ในฟรีแลนด์แต่จริงๆก็มีหลายชนชาติอาศัยอยู่ที่นี่ด้วย(เพราะชื่นชอบในวัฒนธรรม)แต่ส่วนมากจะมีเชื่อสายญี่ปุ่นอยู่ในตัว รวมไปถึงเจ้าตัวยุ่งที่หนุนอยู่บนตักฉันเนี่ย ฉันเหนื่อยแล้วก็หนักรู้ไหม เมื่อรถหยุดฉันก็ผลักเจแปนลุกขึ้น ยกก้อนหินออกจากหน้าตักทันที “ถึงแล้วเหรอ เร็วจัง”เจแปนเผยยิ้ม ก่อนจะเดินตามหลังฉันลงรถ ด้านนอกรถสวยงามด้วยบรรยากาศญี่ปุ่นแท้ๆเหมือนกับอยู่ที่โตเกียวประเทศญี่ปุ่นยังไงหยั่งงั้น แม้แต่กลิ่นอายก็ยังเหมือนเลย การสร้างบ้านรักษาความเป็นญี่ปุ่นสุดๆ แถมแอบมีต้นซากุระขึ้นอยู่ประปรายด้วย (แต่ยังไม่มีดอกมีแต่ต้นกับกิ่งก้าน) ฉันหมุนตัวไปรอบๆจนมาหยุดอยู่ที่บ้านทรงญี่ปุ่นหลังใหญ่ตรงหน้าอย่างตื่นตะลึงในความสวยงาม*O*
“เป็นไงล่ะ อึ้งไปเลยใช่ไหม? นี่แหละบ้านจริงๆของฉันล่ะ”เจแปนยิ้มอย่างภูมิใจ พลางเอามือมาโอบไหล่ฉันแล้วตบมันเบาๆ ฉันไม่เคยรู้เลยว่าเจแปนมีบ้านที่นี่ด้วย (เพราะเขาอยู่อีกบ้านที่ต่างจังหวัดดูแลธุรกิจที่พ่อเค้าลงทุนให้)
“สวยดีนะ นายเป็นคนสร้างเหรอ? ” ฉันสบตาเขาด้วยแววตาชื่นชม
“เปล่าหรอก พ่อฉันสร้างน่ะฮ่าๆๆ” -__-^!
“-3-อ้าว!!” ไอ้เราก็นึกชื่นชม
“เข้าไปข้างในกันเถอะ”เจแปนโอบเอวฉันพาเข้าไปในบ้าน ที่นี่มีสวนสไตล์ญี่ปุ่น หินก็คงมาจากญี่ปุ่นด้วย(ล่ะมั้ง) มีไผ่กอเล็กๆปลูกใกล้ๆกองหิน ทับอยู่บนพื้นหญ้าเขียวขจี ฉันพยายามเดินตามหินที่ปูเอาไว้เพราะไปอยากเผลอไปเหยียบหญ้ารอบๆวงหินตาย จนสุดท้ายเราก็มานั่งอยู่บนระเบียงเตี้ยๆหน้าบ้าน(ฉันอธิบายไม่ถูกง่ะ) -__-^! บ้านเป็นบ้านญี่ปุ่นสมัยก่อนเลยนะ แบบมีฉากกั้นอะไรทำนองนั้นน่ะ
“นายน้อยครับ นายท่านเชิญเข้าข้างในได้เลยครับ” บุรุษชุดดำคนหนึ่งในชุดสูทเลื่อนประตูเปิดออกมาจากห้องด้านหลังตรงกับระเบียงที่เรานั่งอยู่ บอกให้เราเข้าไปข้างใน ฉันมองหน้าเจแปนอย่างลังเล แต่เขาก็ยิ้มอ่อนโยนให้ฉันทำให้ฉันหายกลัวไปนิดหน่อย เขากุมมือฉันแน่นและเราเดินเข้าไปในห้องพร้อมกัน ในห้องมีชายชุดดำอีกสองคนนั่งอยู่ใกล้ๆประตูที่ฉันกับเจแปนเดินเข้าไป ชายวัยกลางคนคนหนึ่งนั่งอยู่หน้าโต๊ะเตี้ยที่มีอาหารอยู่เต็มไปหมด ดูๆแล้วคงจะเป็นพ่อของเจแปนไม่ผิดแน่เพราะท่านหน้าคล้ายเขา ท่าทางท่านดูเหมือนยากูซ่าสุดๆไปเลย ดูองอาจน่าเกรงขามแถมยังดูสุขุม ลุ่มลึก มีอำนาจมากๆ
ฉันค่อยๆเดินเกาะแขนเจแปนเข้าไปหาท่านอย่างกล้าๆกลัวๆ ยิ่งท่านมองมาด้วยสายตาเรียบเฉยๆ(ก็เถอะ)ก็ยังแอบใจสั่นเหมือนกัน -3-
“สวัสดีครับพ่อ”เจแปนทักทายท่านด้วยภาษาอังกฤษ ไม่ยักทักทายด้วยภาษาญี่ปุ่น เขาคงกลัวว่าฉันจะฟังไม่รู้เรื่องล่ะมั้ง
“เอ่อสวัสดีค่ะ”ฉันทักท่านบ้าง
“อืม สวัสดี นั่งก่อนสิ”ท่านยิ้มจางๆให้ฉัน เจแปนก้มหัวลงเหมือนเคารพแล้วนั่งลงบนเบาะ ฉันจึงทำตามแล้วนั่งลงบนเบาะข้างเขา
“หนูเค้กใช่ไหมจ๊ะ” เสียงทานดูอบอุ่นดี ฟังแล้วไม่รู้สึกเกร็งเท่าไหร่ ตอนนั้นเจแปนหันมายิ้มอบอุ่นให้ฉัน
“ค่ะเค้ก อลีเซีย ประเสริฐศรี เบอร์เตอร์คะ” ฉันยิ้มน้อยๆ “นามสกุลเบอร์เตอร์ เหรอ?” ท่านถาม
“ค่ะ ประเสริฐศรี เบอร์เตอร์ค่ะ”
“ประเสริฐศรี?” ท่านทำหน้าฉงน
“เป็นนามสกุลของแม่ที่เป็นคนไทยน่ะค่ะ หนูอยากใช้นามสกุลท่านเพื่อที่จะได้ระลึกถึงท่าน”
“อ้อ เหรอจ้ะ ฟังดูเพราะดีนี่ แล้วพอมาใช้นามคุณพ่อก็คงจะต่อจนยาวเป็น อลีเซีย ประเสริฐศรี เบอร์เตอร์ คุซุมิ สินะเนี่ย ฮะๆๆ”ท่านหัวเราะอย่างเบิกบาน เจแปนก็เอากับท่านด้วย ส่วนฉันงงน่ะสิ
“อึ้งอะไรล่ะ เค้ก พ่อฉันให้เธอใช้นามสกุลร่วมกับท่านได้นะไม่ดีใจเหรอ?”
“อ๋อ..ดีใจสิค่ะ ดีใจๆ” ฉันพูดพลางยิ้มแหย
“เอ้า กินข้าวกันก่อนแล้วกัน แล้วคุยกันต่อ พ่อหิวแล้วล่ะ?” ท่านพูดพลางผายมือที่โต๊ะเตี้ยข้างหน้าที่เต็มไปด้วยอาหารญี่ปุ่น เท่าที่ดูเหมือนจะเป็นอาหารที่ฉันคุ้นเคยทั้งนั้นเลย ไม่ว่าจะเป็นซูชิ ราเมง ข้าวหน้าเนื้อ อุด้งหมูทอด ข้าวห่อสาหร่าย บะหมี่กุ้งเทมปุระ หน้าตาอาหารแต่ละอย่างสีสันน่ากินทั้งนั้นเลย
“มีแต่อาหารทานง่ายๆ จานเดียวทั้งนั้นนะ เห็นว่าหนูไม่ค่อยชอบรสชาติวาซาบิซักเท่าไหร่ใช่ไหมจ้ะแล้วก็คุ้นเคยกับอาหารพวกนี้มากกว่า พ่อเลยเตรียมให้ ชอบชามไหนก็เลือกทานเลยนะ” ท่านยิ้มอ่อนโยนถามฉัน พลางคีบข้าวห่อสาหร่ายคำโตจิ้มวาซาบิเข้าปาก
“ค่ะ ก็ทานได้ แต่ไม่มาก ขอบคุณค่ะ” ฉันพูด แล้วโค้งศีรษะให้ท่าน
“เอ้ากินสิ” เจแปนคีบเทมปุระมาจ่อปากฉัน
“นายกินเถอะ ฉันกินเองได้” ฉันพูดก่อนจะยกชามอุด้งมาตั้งตรงหน้า
“กินกุ้งฉันก่อน” เจแปนขึ้นเสียงสั่ง
“ฉันมองหน้าเขาแล้วจำต้องอ้าปากอย่างเสียไม่ได้ นี่ถ้าไม่อยู่ต่อหน้าพ่อเขาฉันคงต้องโวยบ้าง แต่ก็เอาเถอะ
“นั่นแหละ คนดี”เจแปนหันมาหยิกแก้มฉัน เรานั่งทานกันนานพอสมควร (ทานแบบไม่เร่งรีบน่ะ พ่อเจแปนก็เป็นกันเองดี ท่านให้ฉันเรียกท่านว่าพ่อได้ด้วย ท่านบอกว่าอยากมีลูกสาวน่ารักๆแบบฉัน เพราะลูกชายคนเดียวของท่านมันดื้อ (หัวแข็ง ทั้งยังใจร้อนวู่วาม ‘เหมือนกับท่านตอนวัยรุ่นใช่ไหมครับ?’) เจแปนแทรกขึ้นสร้างเสียงหัวเราะเฮฮาดังออกมาจากท่าน (พ่อเจแปน) รวมทั้งฉันด้วย
“ลูกเป็นลูกสาวคนเดียวของผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติเหรอจ๊ะ”ท่านถามฉัน ขณะที่นั่งจิบชาอยู่ โต๊ะญี่ปุ่นข้างหน้า ซึ่งฉันหลงเรียกมันว่าโต๊ะเตี้ยอยู่ตั้งนาน เปลี่ยนมาตั้งกาน้ำชาและขนมโมจิแทน
“ค่ะ” ฉันอยากตอบยาวๆกว่านี้ แต่คิดคำพูดไม่ออก
“อืม เห็นว่าลูกมีพี่ชายด้วยใช่ไหมจ๊ะ”ท่านถามอีก
“เปล่าค่ะ โนเอลเป็นน้องชายค่ะ”
“อ้อ น้องชาย ทำไมลูกพ่อมันบอกว่าพี่ชายล่ะ?” ท่านเหล่ตาไปหาเจแปนที่นั่งนิ่ง
“แหม มันก็ผิดพลาดกันได้ครับพ่อ”เจแปนว่า
“แล้วสองคนเป็นแฟนกันนานรึยังจ้ะ ลูกพ่อมันบอกเกือบปีครึ่งแล้ว แต่พ่อไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่ มันชอบโม้ ลูกก็ว่างั้นใช่ไหม?” ท่านพูดกลั้วรอยยิ้ม ฉันก็พยักหน้ายิ้มตอบ
“ค่ะ เกือบปีครึ่งแล้ว แต่เรื่องที่เจแปนขี้โม้เนี่ย หนูก็เห็นด้วยค่ะ”
“ฮ่าๆๆๆใช่ไหมล่ะจ๊ะ”ท่านหัวเราะอย่างอารมณ์ดี
“โถ๋ๆๆๆ ได้ทีล่ะเผาผมใหญ่เลยนะ อย่าให้ถึงคราวผมบ้างก็แล้วกัน”เจแปนทำหน้างอประชด
“เห็นว่าหนูมีธุรกิจของตัวเองด้วย ธุรกิจอะไรเหรอจ๊ะ? ” แล้วเจแปนไม่ได้เล่าให้ท่านฟังเหรอค่ะ? ฉันเก็บความสงสัยไว้ในใจ ทีเรื่องอื่นทำไมเจแปนเล่าให้ฟังล่ะ
“บริษัทจัดหาคู่น่ะคะ” ฉันเผยยิ้มหวาน
“โอ้!จริงเหรอ หนูเป็นแม่สื่อที่อายุน้อยจังเลยนะ หนูเพิ่งจะสิบเก้าเองใช่ไหมเนี่ย? เด็กกว่าเจแปน 2 ปี”
“ใกล้จะยี่สิบแล้วล่ะค่ะ”
“อื้ม หนูนี่เก่งจริงๆอายุแค่นี้ก็เป็นเจ้าของบริษัทใหญ่โตได้ เก่งๆๆๆเก่งกว่าเจแปนเป็นไหนๆ” ท่านพูดอย่างชื่นชม
“อ้าวพ่อ! ไหงพูดงั้นล่ะครับ ผมก็น้อยใจเป็นนะ” เจแปนประท้วง
“ฮ่าๆๆเหรอๆ ก็แกมันไม่ได้เรื่องจริงๆนี่หว่า ลูกเค้กจบปริญญาตรีอายุ19 แกจบตอน 21 นี่ถ้าฉันไม่ส่งแกมาที่นี่ป่านนี้แกคงอยู่ เกะกะระรานคนอื่นเขาไปทั่ว...”
“พ่อน่ะ อย่า พอเถอะครับ”เจแปนร้องห้าม ทั้งที่ท่านยังพูดไม่จบ ฉันยิ่งอยากรู้ว่าท่านจะพูดอะไรต่อ
“ยังไงเหรอค่ะ? พ่อ”
“ลูกอยากรู้เหรอ?”
“ค่ะ เล่าได้ไหมค่ะ?” ฉันอ้อน
“เค้กคร้าบ เดี๋ยวแปนเล่าให้ฟังทีหลังน้า...”เจแปนอ้อนกว่า
“ไม่ต้องมาอ้อน เดี๋ยวพ่อเล่าเอง สนุกกว่า” ท่านตัดบท
“จริงค่ะ” ฉันสนับสนุน
“ฮ่าๆๆคือหยั่งงี้จ๊ะ เมื่อก่อนนี้ เจแปนเรียนที่ญี่ปุ่นนั่นแหละแต่ชอบแอบหนีไปรวมกลุ่มกับเพื่อนแข่งรถ ถ้าแข่งในสนามแบบแฟร์ๆ พ่อก็ไม่อะไรหรอกแต่นี่มันแข่งนอกสนาม เดิมพันรถกันไม่ก็ผู้หญิง เป็นแบบนี้จนไม่สนใจจะเรียนหนังสือ วันๆก็ขลุกอยู่แต่กับกลุ่มแต่งรถไปแข่ง แต่พ่อก็คิดว่ามันเป็นความผิดของพ่อเหมือนกันที่ไม่ค่อยมีเวลาดูแลเจแปน เลยปรึกษาเรื่องนี้กับแม่เขา แม่เขาเลยบอกว่าให้พ่อส่งเจแปนมาอยู่ที่นี่ มาเรียนต่อที่นี่ เพราะที่นี่มีแต่นักเรียนที่ตั้งใจเรียน ไม่เกเรมีแต่เด็กที่มีความคิดเป็นผู้ใหญ่ อย่างลูกก็คนนึง พอส่งเจแปนมาเรียนที่นี่เจแปนก็ดีขึ้นทั้งพฤติกรรม ทั้งการเรียน ดีขึ้นเยอะเลย คงเพราะเจอลูกเค้กนี่ล่ะมั๊ง” พ่อพูดด้วยแววตาเป็นประกาย
“ใช่ครับๆ ผมเนี่ยถ้าไม่เจอเค้กคงไม่ได้ดีขนาดนี้ ผมเลยรักเค้กม๊ากมาก” เจแปนโผเข้ากอดฉัน
“น้อยๆหน่อยๆ ปล่อยเดี๋ยวนี้เลยนะ” >_< ฉันสะบัดหน้าหนีหน้าเจแปนที่มาซุกบนบ่าฉัน
“อืมไม่เป็นไรหรอกจ้ะ พ่อเข้าใจ คนรักกันชอบกัน” ท่านอมยิ้ม ยักคิ้วให้
“แต่ปล่อยเถอะเจแปน ลูกเค้กเขินหน้าแดงจะแย่แล้ว” =_=!!พ่อยังอุตส่าห์แซวฉันอีก “ฮะๆๆ” เจแปนรับคำแล้วปล่อยฉันเป็นอิสระ วันนั้นฉันได้รู้เรื่องราวของเจแปนอีกมากมายเลยล่ะ โดยเฉพาะตอนที่เจแปนนั่งรถพาฉันไปส่งที่บ้าน เจแปนเล่าให้ฟังว่าจริงๆบรรพบุรุษของเขาเป็นขุนนางใหญ่ในวังในสมัยก่อน เป็นกระกูลขุนนางค่ะ ไม่ใช่ยากูซ่าอย่างที่เจแปนโม้ตอนแรกๆ เป็นกระกูลที่มีอำนาจในราชสำนักพอสมควร แต่นั่นก็สมัยก่อนโน้น แต่ทุกคนในบ้านจะยังคงรักษาขนบธรรมเนียมปฏิบัติกันมาตลอด ที่หมายถึงคือ การแต่งงานมีครอบครัว จะต้องเป็นผู้หญิงที่เหมาะสมและที่สำคัญต้องมีเชื้อชาติเดียวกัน แต่พ่อของเจแปนท่านถูกส่งไปเรียนด้านบริหารธุรกิจที่ครอบครัวทำคือธุรกิจเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ที่อังกฤษ เป็นไฮสคูลที่มีชื่อเสียงแล้วก็พบรักกับสาวอังกฤษคนหนึ่งชื่อมากาเร็ต ท่านคบกับมากาเร็ตจนกระทั่งทั้งคู่เรียนจบ แต่ท่านพาเธอกลับมาที่ญี่ปุ่นเพื่อเข้าพิธีแต่งงาน แต่ครอบครัวท่านไม่อนุญาตและต่อต้านเพราะขัดต่อประเพณี ท่านไม่ยอมและดึงดันจะแต่งจึงถูกพ่อและแม่ตัดออกจากความเป็นพ่อลูก ท่านออกจากบ้านด้วยอายุเพียง 23 ปี แล้วท่านก็ตั้งหน้าตั้งตาทำงาน เก็บเงินแล้วค่อยๆสร้างเนื้อสร้างตัวจากการทำธุรกิจรับเหมาก่อสร้างที่ต่างจังหวัดในญี่ปุ่น เมื่อธุรกิจเริ่มลงตัว เริ่มมีกำไรและมั่นคงมากขึ้น ท่านจึงแต่งงานกับมากาเร็ตผู้หญิงที่ท่านรักแม้จะต่างชาติต่างศาสนาจนให้กำเนิด ลูกชายที่น่ารักมาเป็นพยานรักซึ่งก็คือเจแปน แล้วก็ขยายธุรกิจไปทั่วญี่ปุ่น ทางบ้านแม่ของท่านก็ยังคอยติดต่อมาถามสารทุกข์สุกดิบอยู่บ้างเพราะยังไงก็ตัดลูกไม่ขาด จนถึงตอนนี้ พ่อของเจแปนก็เป็นที่ยอมรับของครอบครัวเหมือนเดิมจากความทุ่มเทไม่ย่อท้อจนมีธุรกิจขนาดใหญ่เป็นของตัวเองได้ ทุกอย่างนั้นเกิดจากความพยายาม ขยัน อดทน อย่างมากของท่าน ฉันอดปลื้มปิติในตัวท่านไม่ได้เลยจริงๆ เจแปนเองก็คงภูมิใจในตัวพ่อเค้ามาก ไม่งั้นคงไม่เล่าเรื่องนี้ให้ฉันฟังด้วยดวงตาเปี่ยมสุขแบบนี้ อื้ออีกอย่างที่ฉันถามเจแปนตอนที่เขาเล่าจบ ว่าแม่ของเขาตอนนี้เป็นยังไงบ้าง แล้วอยู่ที่ไหน ได้ความว่าแม่ของเจแปนอยู่ดูแลธุรกิจทางบ้านที่อังกฤษ นานๆจะมาหาเขาซักที แต่ถ้ามาหาจะอยู่ด้วยนานเกือบเดือนสองเดือนเลยล่ะ แต่สำหรับพ่อกับแม่ของเขา มักจะบินไปหากันอยู่บ่อยๆถ้าพ่อไม่ไปหาแม่ แม่ก็จะบินมาหาพ่อ เจแปนเล่าอย่างมีความสุขก่อนจะวกมาถึงเรื่องของฉันกับเขาว่า ‘โชคดีที่ฉันกับเขามีธุรกิจที่ประเทศเดียวกัน ไม่งั้นคงบินไปหากันให้ยุ่งไปหมด’ ก่อนจะหัวเราะครืนกันอย่างมีความสุข
โปรดติดตามตอนต่อไปด้วยนะค่ะ^^
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ