คดีร้าย พ่ายพิศวาส (สำนักพิมพ์ simplybook ตีพิมพ์)
-
5) หนีเสือปะจระเข้ 100%
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความตอน ที่ 5 หนีเสือปะจระเข้
ขอโทษงั้นหรือ ไม่มีทาง! เธอ ไม่มีวันยอมเสียศักดิ์ศรีขอโทษใครเด็ดขาด เขาถึงเนื้อต้องตัวเธอไม่พอ แล้วยังมาหวังให้คำขอโทษหลุดออกจากปากเธออีก คนหยิ่งในศักดิ์ศรีอย่างกวิสราไม่มีทางยอมแน่นอน
“ คุณต้องขอโทษฉันก่อน เรื่องที่คุณถือดีมาโอบเอวฉัน คุณขอโทษฉันเมื่อไหร่ ฉันถึงจะขอโทษคุณกลับ ”
เธอเอ่ยหน้าตาย นั่นยิ่งทำให้รวิภาสโกรธจัด งานเขาก็มีต้องทำ แต่ผู้หญิงคนนี้กลับปากเก่งไม่ยอมใคร สมิตามองซ้ายทีขวาที ยิ่งเห็นว่าเรื่องนี้ไม่มีวันจบ เธอก็ดึงแขนเสื้อเพื่อนสาวให้หันมาทางตนอย่างแรง
“ ยัยวิ! แกขอโทษไปเถอะ เรื่องมันจะได้จบ ”
“ คนอย่างฉัน! ไม่เคยขอโทษใคร ”
รวิภาสเห็นแววตาหยิ่ง ยโสของหญิงสาวแล้วก็แค่นยิ้มออกมา เขาเริ่มรู้สึกถูกชะตากับเธออย่างประหลาด แน่นอนว่าความหมายของคำว่าถูกชะตานี้ ไม่ใช่ชอบอย่างแน่นอน แต่หมายถึง อยากแกล้งให้หนำใจ!!!
“ โอเค! คุณไม่ขอโทษผมก็ไม่เป็นไร ผมรู้ว่าคุณน่ะหยิ่งในศักดิ์ศรีตัวเองมากแค่ไหน ”
ชายหนุ่มเดินผ่านตัว หญิงสาวทั้งสองไป เมื่อยืนหันหลังให้จึงเอ่ยขึ้นอีกครั้ง
“ ดังนั้น! ผมจะให้คุณมิวไปหางานทำที่อื่นแล้วกัน ”
คำพูดของเขาทำเอาสอง สาวเบิกตากว้างพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย
“ หา! อะ... อะไรนะคะคุณรัส ”
สมิตาร้องออกมาแทบจะไม่มีเสียง เข่าแทบทรุดเมื่อได้ยินถ้อยคำประกาศิตจากปากเจ้าของรีสอร์ทอย่างรวิภาส เธอฝันไปหรือเปล่า นี่เธอกำลังฝันอยู่ใช่ไหม มันต้องไม่ใช่ความจริง ไม่! แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเธอ ด้วยเนี่ย!!!
“ คุณรัส! แล้วมิวไปเกี่ยวอะไรด้วย ทำไมต้องไล่มิวออกด้วยล่ะคะ ”
เสียงที่เอ่ยแทบจะเจือ ด้วยน้ำตาผสมเข้าไปอยู่แล้ว หญิงสาวเพิ่งมาทำงานได้ไม่ถึงปี เงินก็ต้องส่งให้พ่อแม่ที่ต่างจังหวัดทุกเดือน หากถูกไล่ออกจริงๆ แล้วเวลาเช่นนี้เธอจะไปหางานทำที่ไหน ไม่อดตายเลยหรือ แล้วพ่อแม่เธอล่ะ!!!
“ ยัยมิว! ผู้ชายคนนี้เขาเป็น... ”
เธอเว้นคำไว้อย่าง หวั่นใจนิดๆ รู้สึกใจหาย อย่าบอกนะว่าเขาเป็น...
“ คนที่แกคุยอยู่เป็น เจ้าของรีสอร์ทนี้ยัยเพื่อนบ้า ”
สมิตาทำหน้าอยากจะ ร้องไห้ อยู่ดีไม่ว่าดี ตกกระไดพลอยโจนเสียอย่างนั้น ไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวอะไรด้วยเลย แล้วทำไมต้องมาโดนไล่ออกด้วยล่ะเนี่ย! เธอไม่เข้าใจ!!!
“ คุณรัส! เพื่อนฉันไม่เกี่ยว กรุณาอย่าเอาเธอมาเกี่ยวข้องด้วยจะได้ไหม ”
กวิสรากัดฟันพูดดีๆกับ เขา เพราะเป็นห่วงหน้าที่การงานของเพื่อนสาว ถึงเขาจะเป็นเจ้าของรีสอร์ท แต่ก็ไม่มีสิทธิ์มาทำอะไรแบบนี้ โดยเฉพาะเผด็จการอย่างไร้เหตุผล!!!
“ ผมบอกแล้วไงว่าคุณ ไม่จำเป็นต้องขอโทษผมก็ได้ ขอแค่... หาที่ทำงานใหม่ให้เพื่อนคุณก็พอ ”
เขายิ้มให้สองสาว มือใหญ่เสียบเข้าที่กางเกงข้างกายพลางพูดอย่างเป็นต่อด้วยความสะใจ คนแสนหยิ่งก็ต้องเจอความกดดันแบบนี้แหละ อยากรู้นักเธอจะเลือกตัวเองหรือ... เพื่อนที่กำลังจะตกงาน!!! “ โอเค! ฉันยอมแล้ว! ฉันขอโทษก็ได้สำหรับเหตุการณ์ เมื่อกี้นี้ ฉันผิดเอง! พอใจหรือยัง! ”
รวิภาสยิ้มที่มุมปากอย่างพอใจ เขาแค่อยากให้คนผิดยอมรับผิดก็เท่านั้น แต่เมื่อเธอไม่ยอมรับผิดด้วยตัวเอง มันก็ต้องเจอความกดดันเข้าไปเสียหน่อย จะได้มีอะไรมากระตุ้นความหยิ่งให้ถดถอยลงไปบ้าง
กวิสรากล่าวคำขอโทษจบ เธอก็หน้าเสียด้วยความอาย หญิงสาวเดินเลี่ยงออกไปทันที เสียงฝีเท้าปึงปังที่เต็มไปด้วยอารมณ์อันฉุนฉียว ทำให้เขาอดส่ายหน้าระอาในความไม่ยอมใครของเธอไม่ได้ แต่ชายหนุ่มก็ไม่ปิดบังความรู้สึกตนเอง เขารู้สึกถูกชะตากับเธอ ซึ่งจะถูกชะตาในรูปแบบไหนนั้น ไม่อาจมีใครรู้ได้นอกจากเขาคนเดียว
“ อ้าว! ยัยวิ! ไปไม่ลากันเลย แล้ว... ”
สมิตาทำตัวไม่ถูก ตกลงเธอโดนไล่ออกหรือเปล่าเนี่ย เมื่อหันไปมองเจ้านายหนุ่ม อ้าปากกำลังจะถาม เขาก็เดินยิ้มๆออกไปเสียแล้ว แต่ปากก็ยังไม่วายพูดขึ้น
“ ก่อนกลับบ้านคุณไปพบ ผมที่ห้องทำงานด้วย ”
เท่านั้นแหละหญิงสาวก็แทบกรี๊ด อยากเอาหัวเขกที่เสาแรงๆ เผื่อจะตื่นจากฝันร้ายนี้ได้ ทำไมวันนี้เธอซวยอย่างนี้นะ ยัยวินะยัยวิ! ทำไมทิ้งเรื่องไว้ให้เธอแล้วเดินหนีไปเฉยๆ เฮ้อ! สมิตาถอนหายใจยาว ก่อนจะเดินคอตกกลับล็อบบี้ด้วยความกังวลในใจ
หนอย! ไอ้ผู้ชายเจ้าเล่ห์! กดดันเธอด้วยการต่อรอง หน้าที่การงานเพื่อน ทำให้เธอต้องยอมลดศักดิ์ศรีตัวเองไปขอโทษเขา ถ้าไม่ติดว่าตามพี่นนมา ให้ตายเธอก็ไม่มาเหยียบรีสอร์ทของผู้ชายมากเล่ห์อย่างเขาหรอก มากเล่ห์ยังไม่พอ ยังมาโอบเอวเธอด้วย! ไม่น่าข่วน หน้าอย่างเดียวเลย น่าจะเตะจุดสำคัญเอาให้จุกเดินไม่ได้ไปสามวันสามคืน!!!
กวิสราปัดไปปัดมาที่บริเวณเอวบางด้วยความรังเกียจ เพราะไม่ถึงสิบห้านาทีที่ผ่านมา เพิ่งจะถูกมือเขาแตะเนื้อต้องตัวอย่างแนบชิด ยิ่งคิดยิ่งขนลุก เธอพยายามพาตัวเองไปถึงรถโดยเร็ว ขาเรียวเดินกระโผกกระเผกเพราะยังไม่หายเจ็บปวดที่ข้อเท้าเรียวงาม หญิงสาวจึงไม่ทันระวัง เพราะมัวแต่ก้มหน้าก้มตาปัดไปปัดมาบริเวณร่างกายอยู่ ส่งผลให้เธอชนเข้ากับใครบางคนอย่างแรงจนร่างเสียหลักเป็นครั้งที่สอง
“ ว้าย! ”
ร่างบางเซล้มลงแต่ดีที่มีมือใหญ่มารับร่างน้อยไว้ได้ทัน ความแนบชิดติดร่างทำให้กวิสราเริ่มเกิดอาการฉุนจัด
เอาอีกแล้วหรือเนี่ย! นี่วันนี้เธอจะซวย ซ้ำซวยซ้อนที่รีสอร์ทบ้าๆนี้ใช่ไหม ถึงได้อยู่ในอ้อมกอดผู้ชายสองคนในเวลาไล่เลี่ยกัน กวิสราเงยหน้าขึ้นกำลังจะอ้าปากพูดให้ปล่อย เธอก็ต้องตะลึงค้างอยู่ตรงนั้น เมื่อคนที่มารับร่างเธอไว้ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็น...
“ พี่นน! ” กวิสราหน้าซีดเผือก โธ่! เหมือนหนีเสือปะจระเข้ก็ไม่ปาน อุตส่าห์หนีผู้ชายมากเล่ห์อย่างเจ้าของรีสอร์ทบ้าๆนี้มาแล้ว ยังต้องมาเจอกับพี่ชายตัวเองอีก นี่เขาคงรู้แล้วสินะว่าเธอแอบตามมา
“ เอ่อ... คือวิ... ”
ระหว่างกำลังคิดหาคำ แก้ตัวอยู่นั้น นันทิพัฒน์ก็ปล่อยร่างบางให้เป็นอิสระ แต่ยังจับแขนเรียวไม่ยอมปล่อย พร้อมกับคาดคั้นเสียงดุ
“ แอบตามพี่มาใช่ไหม! ”
“ คือ... คือว่า... ”
เมื่อเห็นว่าพี่ชาย ต่างสายเลือดจับได้แล้ว เธอก็พูดไม่ออก นันทิพัฒน์ยิ่งจ้องตาเธออย่างคาดคั้นต้องการคำตอบ
“ บอกมา! เราแอบตามพี่มาที่นี่ทำไม ”
กวิสราเหลียวซ้ายมอง ขวา ในเมื่อไม่รู้จะตอบยังไงก็ขอหาตัวช่วยสักหน่อยแล้วกัน เธอหวังว่ายัยมิวจะเดินผ่านมาทางนี้เหมือนเหตุการณ์เมื่อครู่ แต่เธอคงลืมไปว่าหญิงสาวทำงานในรีสอร์ท นี่มันก็จะหน้ารีสอร์ทอยู่แล้ว คงไม่มีพนักงานคนไหนเดินออกมาโดยไม่จำเป็นหรอก นอกจาก อู้งาน!!!
“ ไม่ต้องมองหาตัวช่วย ตอบพี่มาเดี๋ยวนี้! แอบตามมาทำไม ถ้ายังไม่ตอบอีก พี่จะให้อายุทธเค้นถามด้วยตัวเอง ”
พูดจบเขาก็ดึงมือเธอไป ทันที กวิสราร้องเสียงดังด้วยความกลัว ขาเรียวทั้งสองกดพื้นดินไว้พยายามถ่วงน้ำหนักไม่ให้พี่ชายลากตัวเธอไปได้
“ มะ... ไม่นะพี่นน วิบอกแล้ว! อย่าพาวิไปหาคุณพ่อเลยนะขอร้อง ”
นันทิพัฒน์หยุดเดินทัน ใด ก่อนหันมาจ้องตาเธอนิ่งๆเป็นเชิงว่าก็ตอบมาสิ ดวงตาหวานลุกลี้ลุกลน ก่อนตัดสินใจตอบออกมา
“ วิก็แค่... อยากรู้ว่าพ่อให้พี่นนไปหาผู้หญิงคนนั้นทำไมก็เท่านั้นเอง ”
“ แล้วเรารู้ไหมว่า เรื่องมันจะยุ่งขึ้นถ้าคุณพิณเขาเห็นเราขึ้นมา ”
“ แต่วิว่าเรื่องมัน ชักจะวุ่นวายตั้งแต่พ่อสั่งให้พี่นนมายุ่งกับเธอแล้วนะคะ ”
หญิงสาวเถียงอย่างมี เหตุผล นันทิพัฒน์ถอนหายใจก่อนจะตอบสั้นๆ
“ เราอย่ามายุ่งเรื่อง นี้ดีกว่า ”
จบประโยคร่างสูงก็หันหลังเดินออกไป ทิ้งให้กวิสรายืนนิ่งอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งรู้สึกตัวเธอจึงรีบวิ่งตามไปแทบ ไม่ทัน
“ เดี๋ยวพี่นน! ยังไงวิก็ควรรู้เรื่องนี้ ไม่ใช่หรือ เพราะวิเป็นคนช่วยเธอนะ ”
นันทิพัฒน์ทอดสายตามอง เธอนิ่งๆ เสียงถอนหายใจตามมา ก่อนจะเอ่ยช้าๆ
“ ถ้าวิอยากช่วยเธอก็ อย่าเข้ามายุ่งเรื่องนี้ ถือว่าเป็นคำขอร้องจากพี่แล้วกัน ”
ชายหนุ่มพูดจบก็เดินไป ถึงรถพอดี เขากระชากประตูรถเปิดออกกำลังจะปิดหญิงสาวก็โผเข้ามาขวางมันไว้ด้วยมือของ เธอเอง
“ พี่นน! บอกวิมาเถอะว่านี่มันเรื่องอะไร กัน ”
“ วิ! อย่ายุ่งเรื่องนี้! ถอยไปได้แล้ว! พี่จะไปไร่ ”
เขาปัดมือเธอออก ก่อนจะปิดประตูรถอย่างแรง รถยนต์คันสวยพุ่งทะยานออกไปอย่างรวดเร็ว หญิงสาวจึงได้แต่ถอนใจ ตกลงมันเรื่องอะไรกันแน่นะ และทำไมจึงมีเพียงเธอคนเดียวที่ไม่รู้และไม่เข้าใจ ทำไม... หลังรวิภาสปะทะคารมกับกวิสราแล้ว เขาก็เดินกลับห้องทำงานไป น่าแปลก... ที่นานกว่าเขาจะรู้ตัวว่าตนเองลืมอะไรไป
เขาลืมไปหาพศิกา น้องสาวแสนน่ารักของเขาที่ล็อบบี้...
นั่นเพราะอะไร ทำไมเขาถึงลืมเสียสนิท เขารู้ดีอยู่แก่ใจ มันเป็นเพราะเธอคนนั้น...
ผู้หญิงแสนเย่อหยิ่ง ผู้หญิงที่ไม่ยอมก้มหัวให้ใคร ปากกล้าอวดดี เขาเปิดรีสอร์ทมาสองปีเต็ม ตลอดทั้งชีวิตยังไม่เคยมีใครกล้าทำร้ายเขาแบบนี้มาก่อน นับว่าเธอเป็นคนแรกที่กล้าข่วนหน้าเขา คนที่ทำตัวเป็นสุภาพบุรุษ สุขุมอย่างเขาตลอดมาคงต้องเปลี่ยนเป็นอีกลุคนึงเพราะเธอเสียแล้วกระมัง
รวิภาสส่ายหัว สะบัดไล่ความคิดฟุ้งซ่านออกไปจนหมดสิ้น พลางคิดถึงใบหน้าอันแสนน่ารักของพศิกาแต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น ฉับพลันก็เปลี่ยนเป็นหน้าของผู้หญิงปากเก่งคนนั้นอีกครั้ง ซ้ำไปซ้ำมาจนชายหนุ่มต้องเดินออกจากห้องทำงาน เพื่อให้เลิกคิดถึงเธอซะ ใช่! ถึงจะไม่คิดถึงผู้หญิงคนนั้น แต่เขาต้องการจะเอาคืนเธอ เขาต้องแกล้งเธอกลับให้ได้ รอยข่วนนี้เธอต้องรับผิดชอบ ว่าแล้วร่างสูงก็เดินดุ่มๆไปที่ล็อบบี้ของรีสอร์ททันที
“ เป็นอะไรหรือเปล่ามิว ทำไมทำหน้าทำตาอย่างนั้น เหมือนคนอมทุกข์แบกโลกไว้ทั้งใบเลย ”
พศิกาเดินเข้ามาแตะ ไหล่บอบบางของสมิตาเบาๆ พลางก้มหน้าลงมาถามด้วยความเป็นห่วง เพราะตั้งแต่เธอเดินกลับเข้ามาทำงาน เพื่อนสาวก็เอาแต่นั่งหน้าเศร้า เหมือนคนกำลังมีความทุกข์แต่กลับไม่ยอมบอกใคร เห็นแล้วก็อดสงสัยไม่ได้ เมื่อสองวันก่อนยังดีๆอยู่เลย ทำไมวันนี้เป็นเช่นนี้ก็ไม่มีใครทราบได้ ครั้นถามเพื่อนคนไหนก็ไม่มีใครรู้
“ ไม่มีใครช่วยฉันได้หรอก ฉันตายแน่เลย! ”
สมิตาปิดหน้าทำทีเหมือนจะร้องไห้ พศิกาเห็นแล้วยิ่งรู้สึกสงสาร กำลังจะอ้าปากพูด นิพาดาก็ชิงเอ่ยขึ้นเสียก่อนด้วยท่าทีหมั่นไส้
“ ที่นี่คือที่ทำงาน ไม่ใช่ที่ที่เธอจะมานั่งทำหน้าอมทุกข์แบบนี้ ถ้าไม่มีกะจิตกะใจทำงานก็กลับบ้านไปซะ เห็นแล้วรำคาญลูกตา! ”
“ ยัยดา! มิวเขาคงมีเรื่องไม่สบายใจ ทำไมต้องพูดแบบนี้ด้วย ”
พศิกาหันมาเอ็ดเพื่อน สาว แต่นิพาดากลับยักไหล่อย่างไม่แคร์ เพราะเธอรำคาญคนทำตัวอ่อนแออย่างสมิตาจนรู้สึกเอียนไปหมด
“ ใครจะเป็นแม่พระ อย่างเธอกันล่ะ เห็นแล้วน่าหมั่นไส้ มองไปทางไหนก็เจอแต่คนใสซื่ออ่อนแอ น่ารำคาญชะมัด! ”
นิพาดาเอ่ยขึ้นด้วยวาจาเสียดสี ก่อนจะเดินออกนอกล็อบบี้ไป กวิตาเห็นดังนั้นจึงเริ่มทนไม่ไหว เดินไปถึงตัวเธอพลางถามด้วยไม่สบอารมณ์
“ นี่มันเวลางานนะ จะไปไหน! ”
“ ฉันจะไปไหน แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเธอด้วย ถอยไป! เกะกะสิ้นดี! ”
นิพาดาเดินดุ่มๆออกไป อย่างรวดเร็ว ทิ้งให้กวิตายืนฉุนเฉียวอยู่ตามลำพัง พลางพูดขึ้นอย่างเหลืออด
“ ยัยนี่มันเป็นบ้า อะไรทุกวัน ชอบกัดคนอื่นเขาไปทั่ว เห็นทีสักวันคงไม่พ้นต้องตบกันตาย ”
“ ยัยตา! ”
พศิกาเอ็ดทางสายตาและ น้ำเสียง กวิตาพยายามสงบสติอารมณ์ ไม่วายถอนหายใจเฮือกใหญ่ด้วยความไม่พอใจเพื่อนร่วมงาน แม้ไม่พอใจมากแค่ไหนก็ต้องทนๆไว้ เพราะก็ต้องทำงานด้วยกันอยู่ดี หญิงสาวพยายามฉีกยิ้ม เพราะหน้าที่บริการ ต่างรู้ดีว่าต้องทำด้วยใจและรอยยิ้ม หากเธอทำหน้าตาบูดบึ้งใส่ลูกค้า คงไม่เป็นที่พอใจของใครแน่ และเธออาจถูกตัดเงินเดือนโดยไม่รู้ตัว ส่วนใครจะเป็นบ้าก็ช่าง เธอพยายามไม่สนหมาบ้าจะดีกว่า
“ น้องพิณ! ”
เสียงเรียกทักทายเป็น กันเองเช่นนี้มีเพียงคนเดียวที่เรียกได้ น่าแปลกที่ทุกครั้งเธอจะยิ้มก่อนเป็นอันดับแรกเมื่อพี่ชายแสนดีแวะมาหา แต่ครั้งนี้พศิกากลับทำหน้าทำตาไม่ถูก หายใจไม่ทั่วท้อง ลุกลี้ลุกลนเพราะยังไม่ทันคิดหาข้อแก้ตัวที่เหมาะๆเลยเขาก็มาเสียแล้ว เธอจะทำยังไงดีล่ะทีนี้!
“ พี่รัส... สวัสดีค่ะ ”
ปากคอสั่นไปหมด หญิงสาวเงยหน้าขึ้นทักทายรวิภาสตามปกติ ท่าทีที่ไม่เป็นปกติของเธอทำให้ชายหนุ่มเดินเข้าไปหาอย่างสงสัย
“ พี่ไม่โกรธน้องพิณ เรื่องเมื่อเช้านี้หรอกนะ แต่พี่แค่อยากรู้เหตุผล น้องพิณพอจะตอบพี่ได้ไหม ”
“ เอ่อ... คือ... ”
“ บอกพี่มาตามตรงเถอะ พี่ไม่โกรธหรอก น้องพิณอยากรีบเข้ารีสอร์ททำไม ในเมื่อมันยังไม่ถึงเวลางานเสียหน่อย ”
ในหัวสมองเธอตอนนี้ เต็มไปด้วยคำตอบมากมาย แต่กลับไม่เข้าท่าสักคำตอบ เธอไม่อยากโกหกเลย แต่มันก็จำเป็น เมื่อไม่มีคำตอบที่ฟังขึ้นจึงยังไม่มีคำตอบใดๆหลุดลอดออกมาจากริมฝีปากสวย ในที่สุดก็ต้องยอมเลือกเอาคำตอบที่ไม่เข้าท่าขึ้นมาคำตอบหนึ่งเพราะมันคิด ประมวลไม่ทันแล้วจริงๆ
“ พอดีแขกที่โทรมาต้องการจะเข้าพักที่รีสอร์ทเราเมื่อสองวันก่อน น่ะค่ะ พิณจดบันทึกข้อมูลไว้ในสมุดแล้วเผลอเก็บเข้ากระเป๋าตัวเองไป เมื่อวานก็เกิดเรื่องจนไม่ได้มาทำงาน ข้อมูลมันเลยอยู่กับพิณ แล้วลูกค้าก็โทรกลับเข้ามาตอนเย็นเมื่อวานนี้ ซึ่งคนที่รับเรื่องไว้แต่แรกก็คือพิณ ดังนั้นพิณก็เลยต้องรีบมารีสอร์ทเพื่อติดต่อกลับไปหาลูกค้าค่ะ ”
เธอบีบมือแน่น เพราะรู้ว่าคำตอบที่คิดสดๆร้อนๆมันไม่เข้าท่าเลยสักนิด แต่หญิงสาวก็ไม่อยากอ้ำอึ้งนาน ด้วยรู้ว่ารวิภาสคงจับโกหกจากท่าทีเธอได้แน่นอน ชายหนุ่มถอนหายใจ เขาเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่ก็ไม่อยากเค้นถามให้ต้องเสียน้ำใจกันอีก ชายหนุ่มก้มหน้าลงมาหา ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงนิ่งขรึม
“ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผล อะไร พี่ก็ไม่โกรธน้องพิณหรอกนะ ยังไง... วันพรุ่งนี้รอพี่ด้วยแล้วกัน พี่จะรีบไปให้เร็วขึ้นสักสิบห้านาที ดีไหม! ”
“ แต่ดาว่าคงไม่ต้อง หรอกค่ะคุณรัส ”
นิพาดาพูดแทรกขึ้นด้านหลังอย่างเสียมารยาท ทั้งหมดหันไปมองเธอพร้อมกัน พศิกาเริ่มหายใจไม่ทั่วท้องอีกครั้ง หลังจากที่เมื่อครู่เริ่มคลายความกังวลลงแล้วแท้ๆ รวิภาสขมวดคิ้วทั้งสองเข้าหากันเป็นปมอย่างไม่เข้าใจคำพูดของเธอ
“ คุณดาหมายความว่ายัง ไง ผมไม่เข้าใจ! ”
“ ดาก็หมายความว่ามีผู้ชายหน้าตาดีดูมีฐานะมาส่งยัยพิณวันนี้น่ะสิ คะ ต่อไปก็คงมารับมาส่งกันทุกวัน ไม่จำเป็นต้องรบกวนคุณรัสแล้วล่ะค่ะ ”
และแล้วความจริงก็ กระจ่าง รวิภาสหันไปมองเธอด้วยหลายคำถาม หญิงสาวเริ่มลุกลี้ลุกลนทำอะไรไม่ถูก อาการหลบสายตาและท่าทีผิดปกติ ทำให้ชายหนุ่มรู้ว่าสิ่งที่นิพาดาพูดเป็นความจริง เขาผิดหวังเหลือเกิน!
“ ทำไมต้องโกหกพี่ด้วย ”
“ คือ... พี่รัสฟังพิณก่อนนะคะ... พิณ... ”
“ พอเถอะ! ”
ชายหนุ่มใช้มือใหญ่รวบ ผมที่ตกลงบนใบหน้าก่อนถอนหายใจหมุนตัวไปด้านหลังไม่ยอมหันมามองเธอ
“ พี่บอกแล้วว่าจะไม่ โกรธ เอาเป็นว่า... พิณต้องการแบบนี้ใช่ไหม ต่อไปพี่จะไม่ไปรับไปส่งพิณอีกแล้วกัน เพราะพิณคงมีคนทำหน้าที่นั้นแทนพี่อยู่แล้ว ”
เขานิ่งอย่างใช้ความ คิดชั่วครู่ ความเสียใจพุ่งเข้ามา ความผิดหวังแน่นจุกอกจนเขาหายใจไม่ออก คำถามหลายคำถามอัดแน่นในหัว ทำไมเธอต้องโกหกเขา ทำไมเธอต้องหลอกว่านั่งแท็กซี่มาตอนเช้า และเขารู้เหตุผลที่แท้จริงที่เธอมาก่อนเวลาทำงาน นั่นก็เพราะมีคนมาส่งเธอนี่เอง เธอใช้ลูกค้ามาอ้างเพื่อโกหกเขา... มันเจ็บปวดใจเหลือเกิน อะไรก็ไม่เจ็บปวดเท่ากับผู้หญิงที่เขารักและเอ็นดู ทะนุถนอมเป็นอย่างดี ตั้งใจจะให้เธอรักสักวัน แต่แล้วเธอกลับมีผู้ชายคนหนึ่งมาส่งเธอ มันจะไม่ให้เขาเจ็บปวดใจได้อย่างไร
“ เดี๋ยวพี่รัส! ฟังพิณก่อนสิคะ พี่รัส! พี่รัสคะ ”
พศิกาได้สติพยายามวิ่ง ตามไปแต่ก็ไร้ผล เขาเดินไปไกลแล้วด้วยสายตาอันเหม่อลอย จะเดินชนอะไรหรือเปล่าก็ไม่รู้ เธอเป็นห่วงเขาเหลือเกิน หญิงสาวกัดฟันอย่างรู้สึกเจ็บ เจ็บในใจที่ทำร้ายพี่ชายแสนดีไปคนนึง เธอโกหกเขาทำให้เขาต้องผิดหวังและเสียใจ เธอทำไปได้ยังไงกัน ทั้งหมดมันเป็นเพราะตาบ้านั่นคนเดียว!!!
“ ฮึ! คนหลอกลวงก็ต้องได้รับผลแบบนี้แหละ ”
นิพาดาพูดอย่างสะใจ ก่อนจะเดินไปโต๊ะตนเองอย่างสบายอารมณ์ที่ได้แกล้งคนอื่น กวิตาเดินมาหาด้วยท่าทีที่โกรธจัด
“ สะใจเธอมากไหม! ที่เห็นคนอื่นเขาทะเลาะกันน่ะ ”
“ สะใจสิ สะใจมากเลย ดีเสียอีก ที่คุณรัสผิดหวังในตัวน้องพิณแสนรักของเขา ช่างน่าสะใจสิ้นดี! ”
นิพาดาเงยหน้าขึ้นโต้ กลับด้วยรอยยิ้มแห่งความสุขในความทุกข์ของคนอื่น กวิตาทนไม่ไหวจะเข้าไปตบสักฉาด สมิตาที่กำลังเศร้าสร้อยเห็นเข้าก็รีบเข้าไปห้ามไว้
“ อย่า! นี่มันที่ทำงานนะยัยตา ”
“ แต่ฉันทนไม่ไหวแล้ว ขอสักฉาดเถอะ จะได้หายบ้าเลิกกัดคนอื่นเขาเสียที ”
มือเรียวยกขึ้นกำลังจะ ฟาดหน้าอีกฝ่าย ซึ่งนิพาดาก็ตั้งรับไว้อยู่แล้ว เธอเตรียมมืออีกข้างไว้รอจะแลกรอยบนใบหน้า แต่พศิกาที่กำลังทุกข์จัดตะโกนขึ้นขัดเสียก่อน
“ หยุดเถอะ! ฉันขอร้อง! ”
เท่านั้นแหละ กวิตาจึงยอมถอยออกมายืนอยู่ข้างพศิกา หญิงสาวถอนหายใจยาวพลางปิดหน้าปิดตาด้วยความเครียด พี่รัสโกรธเธอแบบนี้ แล้วเธอจะทำยังไงดี! เวลาล่วงเลยมาจนถึงตอนเย็นของวัน รีสอร์ท ของที่นี่มีเวลาเลิกงานเหมือนกับทำงานบริษัทไม่มีผิด แต่ก็มีพนักงานอีกชุดรอทำงานตอนกลางคืน จนเกือบรุ่งสาง ซึ่งถือว่าเป็นระบบที่ดีที่รวิภาสจัดขึ้นเอง รีสอร์ทอื่นเขาไม่รู้ เขาไม่อยากทำเหมือนใคร เขาอยากให้พนักงานของเขาทำงานด้วยรอยยิ้ม ด้วยความไม่เหนื่อยล้ากายจนเกินไป รีสอร์ทเขาไม่ใช่คุกที่จะขังใครไว้ทั้งวัน ต่างคนต่างมีเวลาเลิกงานและกลับบ้านเป็นเวลาส่วนตัวของตนเอง
ที่ล็อบบี้ สี่สาวกำลังนั่งจัดเก็บข้าวของของตนเพื่อเตรียมตัวกลับบ้าน กวิตาเก็บของด้วยท่าทางปกติ ส่วนนิพาดาจัดของใส่ลิ้นชักด้วยความอารมณ์ดี อารมณ์ดีที่ได้แกล้งคนอื่นให้แตกคอกัน ส่วนอีกสองสาวมีแต่สีหน้าอมทุกข์ น่าแปลกที่ทั้งคู่คิดถึงแต่เรื่องเดียวกัน คือ...
รวิภาส...
พศิกากลัวว่ารวิภาสจะโกรธเธอจนไม่อาจอภัยได้ ส่วนสมิตาก็กังวลเรื่องเมื่อตอนเช้าว่าเธอจะถูกไล่ออกหรือไม่ ยิ่งเก็บของใกล้เสร็จเท่าไหร่ เธอก็ยิ่งใจสั่นด้วยความกลัว เก็บของเสร็จเธอยังกลับบ้านไม่ได้ เพราะต้องไปพบเจ้าของรีสอร์ทเสียก่อน
“ ฉันกลับ บ้านก่อนนะทุกคน โชคดีจ๊ะ ”
นิพาดาเอ่ยอย่างอารมณ์ ดี เธอถูกสายตาอาฆาตปนหมั่นไส้ของกวิตาก็ไม่สะทกสะท้านใดๆ หญิงสาวเดินนวยนาดออกไปด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม กวิตาจึงชวนพศิกากลับบ้านด้วยกัน
“ วันนี้ฉันจะไปส่งเธอ ที่บ้านเอง ”
“ อย่าเลย รบกวนเปล่าๆ ฉันนั่งรถสองแถวหน้ารีสอร์ทกลับก็ได้ ”
พศิกาเกรงใจเพื่อนแสน ดีของเธอ แต่กวิตากลับส่ายหน้า
“ จะไปเบียดคนเขาทำไม อึดอัดจะตาย นั่งรถฉันกลับดีกว่า สบายกว่าเป็นไหนๆ ”
“ ก็ได้จ๊ะ วันนี้ฉันคงต้องรบกวนเธอแล้วนะ ”
“ ไม่มีปัญหา เราเพื่อนกันอยู่แล้วนี่ ”
กวิตายิ้มให้เพื่อน สาวอย่างเป็นมิตร ก่อนจะหันมาบอกสมิตาที่ตอนนี้เก็บของเสร็จเรียบร้อยแล้ว
“ กลับก่อนนะมิว พรุ่งนี้เจอกัน ”
สมิตาได้แต่พยักหน้าให้ ทั้งสองเห็นว่าเพื่อนสาวยังไม่หายทุกข์ ซึ่งเป็นเรื่องอะไรนั้นก็ไม่อาจรู้ได้เพราะเธอไม่ยอมบอก ถึงกระนั้นก็ไม่อยากไปกวน หลังจากสองสาวเดินออกไปแล้ว เสียงถอนหายใจก็ดังขึ้นท่ามกลางความเงียบ ตอนเย็นในรีสอร์ทก็เงียบอยู่แล้ว เพราะคนส่วนใหญ่ไม่อยู่ในห้องพัก ต่างออกมาทานข้าวข้างนอกรีสอร์ทกันหมด หญิงสาวสูดลมหายใจเข้าออกลึกๆ ก่อนจะเดินตรงไปที่ห้องทำงานของเจ้าของรีสอร์ททันที
มือใหญ่เท้าคาง ดวงตาคมเหม่อลอยอย่างใช้ความคิด วันนี้เกิดเรื่องกับผู้หญิงสองคน คนแรกคือผู้หญิงจอมหยิ่งอวดดีที่กล้าข่วนหน้าเขา ชายหนุ่มกำลังรอให้สมิตามาพบเพื่อจัดการแก้เผ็ดเธอ ส่วนผู้หญิงอีกคนคือน้องสาวแสนดีของเขา แต่... เธอกลับหลอกลวงเขา โกหกเขา เธอทำได้ยังไง เขาไม่ชอบคนโกหก เขาเกลียดคนโกหก บอกความจริงเขามาแต่แรกก็ได้ ถึงเขาจะโกรธก็ไม่เสียใจเท่านี้ แต่นี่... เขาเจ็บปวดเหลือเกิน
เสียงเคาะประตู ทำให้ชายหนุ่มที่กำลังเหม่อลอยไปไกลค่อยๆรู้สึกตัวช้าๆ เขาพอรู้ว่าเวลานี้ใครมาหาเขา รวิภาสถอนหายใจ ก่อนจะทำสีหน้าท่าทางเป็นปกติแล้วเอ่ยขึ้น
“ เข้ามา! ”
ประตูค่อยๆเปิดแง้มออกช้าๆ รวิภาสมองเธอนิ่งๆก่อนจะผายมือไปด้านหน้า
“ นั่งก่อนสิ! ”
“ ค่ะ ”
เธอปากคอสั่นจนไม่มี เสียงพูดขอบคุณเขา เธอพูดอะไรไม่ออก ในใจกลัวอย่างเดียว จะถูกไล่ออกไหมเนี่ย ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงมันคงเป็นคราวซวยของเธอ และมันก็เป็นความผิดของกวิสราคนเดียวเท่านั้นที่ทำให้เธอต้องตกอยู่ใน สถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออกเช่นนี้ ยัยเพื่อนบ้า!!!
“ เรื่องเมื่อเช้า... ”
“ คุณรัสคะ คุณรัสอย่าไล่มิวออกเลยนะคะ มิวต้องเลี้ยงพ่อแม่ที่อยู่ต่างจังหวัด แล้วมิวก็เป็นลูกคนเดียวด้วย ถ้ามิวถูกไล่ออก เวลาแบบนี้ใครจะรับมิวเข้าทำงานกัน คุณรัสสงสารมิวเถอะนะ มิว... ”
“ เอาล่ะ! หยุด! ”
ชายหนุ่มโพล่งขึ้นอย่างเหลืออด คนกำลังเครียดอยู่ จู่ๆก็พูดมาเป็นชุด สมิตาเงียบทันใด แหม! เธอกลัว นี่นา ถ้าไม่ชิงพูดตัดหน้า จะรอให้เขาพูดว่าเชิญออกหรือไงกัน
“ ผมไม่ได้จะไล่คุณออก ”
รวิภาสพูดอย่างชัดถ้อย ชัดคำ สมิตาเบิกตากว้าง พลางลุกขึ้นกระโดดโลดเต้นอย่างดีใจไปรอบห้อง
“ จริงๆนะคะ คุณรัสไม่ไล่มิวออกนะ ไชโย! ”
ชายหนุ่มปวดหัวกับท่า ทีปลากระดี่ได้น้ำของเธอ จึงโพล่งขึ้นอีกครั้ง
“ ผมจะไม่ไล่คุณออก ถ้าคุณช่วยอะไรผม ”
“ ช่วยอะไรคะ ”
สมิตาหยุดกระโดด ก่อนจะกลับเข้ามานั่งถามและจ้องเขาตาไม่กระพริบ ด้วยอยากรู้สิ่งที่เขาจะให้เธอทำนั้นคืออะไร
“ ผมชอบเพื่อนคุณ! ”............................................................................................................................................................. - เอาล่ะสิ! เรื่องราวจะเป็นยังไงต่อไปน้า รอติดตามอ่านกันได้ค่ะ ขอบคุณที่เข้ามาอ่านติดตามกันค่ะ ^___^
ฝากอุดหนุนหนังสือด้วยนะคะ ขอบคุณมากค่ะ ^^
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ