Lady in the Night
-
2) ตอนที่ 2
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ2
โซน SE คือชื่อเรียกเขตแดนที่ณัฐณิชาเกิดและเติบโตขึ้นมา
เธอไม่เคยออกไปนอกเขตนี้เลยสักครั้ง ที่นี่มีคนผิวเหลือง หรือที่คนรุ่นเก่าๆ เรียกกันว่าชาวเอเชีย อยู่เป็นจำนวนมาก เธอเองก็เป็นหนึ่งในนั้น เป็นสาวเชื้อสายไทย แต่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพ่อและแม่เป็นใคร หญิงสาวเติบโตมาในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า ด้านหน้าย่านสลัมของโซน
บ่อยครั้งเธอหวนนึกถึงช่วงที่เรียนมหาวิทยาลัย เธอเคยสำรวจกับเพื่อนและค้นพบว่าเขตที่อยู่นั้นมีพื้นที่กว้างมากเพราะเคยเป็นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มาก่อนกินพื้นที่หลายประเทศ แต่เพราะสงครามและการก่อการร้ายเมื่อราวสามสิบปีที่แล้ว ทำให้พื้นที่หลายส่วนปลูกพืชและอาศัยไม่ได้ อากาศมีแต่มลพิษ โลกใช้เวลาฟื้นฟูอยู่นานจนวิวัฒนาการไม่ได้ก้าวหน้าไปกว่าก่อนยุคสงครามสักเท่าไร ร่างกายของคนในจุดเสี่ยงนั้นอ่อนแอ บ้างก็เสียชีวิตก่อนเวลาอันควร แม้แต่คนทั่วไปยังต้องทำการฉีดวัคซีนทุกสามเดือนเพื่อป้องกันกัมมันตรังสีและสารเคมีปนเปื้อนที่อาจเข้าสู่ร่างกายได้ทุกเมื่อ
ต้นไม้เหลือน้อยลง มีเพียงภาพในห้องสมุดที่หาดูได้ บางต้นก็สูญพันธุ์ไป เช่นเดียวกับสัตว์หลายอย่าง แม้แต่มนุษย์เองก็อาศัยอยู่ได้แค่ทวีปเดียว เชตที่เหลือ บ้างก็ยังลุกไหม้ บ้างก็ไม่เหลือดินดีๆ ให้ใช้สอย มีแต่คราบดำและตอไม้
มาร่วมกันฟื้นฟูโลกเพื่อลูกหลานเถอะครับ...
ป้ายโฆษณาของรัฐบาลกลางติดเป็นระยะ เช่นเดียวกับเครื่องตรวจจับ เดี๋ยวนี้จะไปไหนนอกเขตแทบไม่ได้ เธอรู้ดีว่าเทคโนโลยีที่ไปไกลที่สุด คือ ส่วนที่สร้างมาเพื่อควบคุมให้เป็นระเบียบ ไม่ว่าจะเป็นกล้อง ระบบความปลอดภัย การติดตามตัว เรียกได้ว่าลายนิ้วมือและดีเอ็นเอของทุกคนอยู่ในฐานข้อมูลทั้งสิ้น
ที่โรงพยาบาลกลาง โซนตะวันออกเฉียงใต้( SE )
แผนกผู้ป่วยสามัญ
ทุกๆ วัน โต๊ะเก้าอี้ของที่นี่จะถูกจัดเตรียมไว้สำหรับรอพบแพทย์ และมันเต็มตั้งแต่ยังไมได้เวลาเริ่มงาน แฟ้มประวัติของคนไข้ถูกวางไว้จนเต็มหน้าเคาน์เตอร์พยาบาล ยิ่งพอใกล้เวลาที่เข็มสั้นจะชี้ไปที่เลขแปด ความวุ่นวายก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นเป็นทวีคูณ เสียงพูดคุยถกเถียงกันของผู้คนที่นั่งรอดังก้องประสานไปกับเสียงประกาศเรียกชื่อคนไข้ จากลำโพงที่ถูกติดอยู่ทั่วบริเวณ แยกแทบไม่ออกว่าเสียงไหนเป็นเสียงไหน
ณัฐณิชาเจอเรื่องแบบนี้ทุกวันตลอดสองปีที่เธอทำงานในฐานะแพทย์อยู่ที่แผนกนี้ เพื่อนของเธอหลายคนคิดว่าการทำงานที่แผนกนี้ช่างไม่คุ้มค่าตอบแทนเอาเสียเลย เพราะนิยามคำว่าสามัญของที่นี่ คือคนระดับล่าง ยากไร้ ไม่มีจะกิน หรือไม่ก็พวกเด็กกำพร้า ไร้ญาติ แพทย์ที่สมัครใจทำงานแผนกนี้จะได้รับแค่เงินเดือน ไม่มีค่ารักษาให้เหมือนกับที่แผนกอื่นได้รับกัน แต่ณัฐณิชาก็ไม่ได้ใส่ใจเรื่องพวกนั้น เธอไม่แคร์เลยซักนิด ความพอใจของเธอคือการได้ดูแล รักษา ให้คำปรึกษาคนเหล่านั้น ซึ่งมันดีกว่าคอยไปประจบพวกลูกคุณหนูผู้ดีที่รู้จักแต่จะใช้เงินซื้อทุกอย่าง
“แง...ฮือๆ...แม่จ๋า...”
เสียงร้องไห้ของเด็กน้อยดังขึ้นขณะที่ณัฐณิชากำลังจะเดินไปที่ห้องตรวจประจำของเธอ นั่นทำให้เธอหยุดชะงักและมองหาที่มาของเสียงทันที
เด็กหญิงตัวเล็กวัยไม่เกินสี่ขวบกำลังยืนเกาะขาเก้าอี้ที่ตรงที่รอพบแพทย์เอาไว้แน่น ใบหน้าเล็กๆ ที่เต็มไปด้วยคราบน้ำตากำลังหันรีหันขวางไปมามองหาผู้เป็นแม่ ณัฐณิชาคิดจะเดินเข้าไปปลอบ แต่ยังไม่ทันได้ขยับตัว ผู้ช่วยพยาบาลสาวลูกครึ่งเกาหลี หน้าตาจิ้มลิ่มที่วิ่งออกมาจากเคาน์เตอร์ก็ถึงตัวเด็กน้อยนั่นเสียก่อนแล้ว
“โอ๋ๆ ไม่ร้องนะ อย่าร้องนะคะ เดี๋ยวคุณแม่ก็มา” ผู้ช่วยพยาบาลสาวใช้ผ้าเช็ดหน้าของตนเองซับน้ำตาจากใบหน้าเล็กๆ พลางพยายามพูดปลอบเด็กน้อย แต่ไม่ว่าทำอย่างไรเด็กคนนี้ก็ไม่ยอมหยุดร้องแถมยังไม่ยอมให้อุ้มอีกต่างหาก เห็นแบบนั้นแล้วคุณหมอสาวก็อดที่จะยืนขำก่อนจะเข้าไปช่วยเหลือไม่ได้
“ไหนๆ ร้องไห้ทำไมจ๊ะ ดูซิหน้าตามอมแมมหมดแล้ว เดี๋ยวไม่สวยนะ” ณัฐณิชาย่อตัวลงนั่งข้างเด็กน้อยก่อนจะใช้มือลูบหัวเธอเบาๆ
“สวัสดีค่ะหมอนิ” ผู้ช่วยสาวเรียกด้วยน้ำเสียงดีใจพลางส่งยิ้มกว้างให้ ณัฐณิชายิ้มตอบ ก่อนจะหยิบอมยิ้มสีชมพูสดจากกระเป๋าเสื้อกราวน์ของเธอส่งให้กับเด็กหญิงตรงหน้า เสียงร้องงอแงเงียบลงเปลี่ยนเป็นสะอื้นเบาๆ ในลำคอ แววตาไร้เดียงสาจดจ้องอยู่กับของในมือของคุณหมอสาว
“เงียบนะคะคนเก่ง เดี๋ยวคุณหมอจะพาไปหาแม่นะ” เด็กน้อยค่อยรับขนมไปพลางพยักหน้าน้อยๆ คุณหมอสาวจึงค่อยๆ อุ้มร่างเล็กๆ ขึ้นมากอดไว้อย่างอ่อนโยน ก่อนจะหันไปพูดเล่นกับผู้ช่วยสาวที่ยังคงยืนอยู่ข้างๆ
“ไหนๆ ลองถามพี่พยาบาลซิว่าแม่หนูอยู่ไหนคะ พี่โบอาขา คุณแม่หนูอยู่ไหนคะ?” คุณหมอสาวทำเสียงหยอกเย้า แต่เด็กน้อยก็เอาแต่ทำตาแป๋วไม่พูดไม่จา ทำเอาโบอาที่พยายามปลอบอยู่นานถึงกับทึ่งในความสามารถของแพทย์สาว ทั้งสองหันมองหน้ากันก่อนจะหัวเราะออกมา
“แม่ของน้องผิงเค้าไปเอ็กซ์เรย์ค่ะหมอนิ ก็เลยฝากน้องผิงไว้กับโบอาน่ะค่ะ โบอาวางน้องเค้าไว้บนเก้าอี้ในเคาน์เตอร์ แล้วก็หันไปเช็คประวัติคนไข้ แป๊บเดียวเอง หันกลับมาอีกที น้องเค้าก็มาอยู่นี่แล้ว” ผู้ช่วยสาวเล่า ใครที่เดินผ่านไปมาพอเห็นคนสวยสองคนคุยกันอยู่กับเด็กหน้าตาน่ารัก ต่างก็เหลือบมองด้วยความสนใจ
“เหรอ? งั้นอีกเดี๋ยวแม่น้องผิงก็คงจะเสร็จแล้วมั้ง เราพาน้องเค้าไปรอหน้าห้อง X-ray แล้วกันนะ”
ณัฐณิชาตัดสินใจ เธอเห็นว่ายังมีเวลาพอจะเดินไปกับหนูน้อยจึงเดินคุยกับโบอาไปด้วย...
ระหว่างที่สองสาวกำลังเดินไปที่ห้อง X-ray นายแพทย์ชาร์ล หนุ่มชาวตะวันตกร่างสูง ผิวสีแทน วัยสี่สิบห้าปีเดินตรงเข้ามาหาพวกเธอด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยเป็นมิตรเท่าไรนัก สายตาเย็นชาที่เขาใช้มองมาที่คุณหมอสาวบ่งบอกว่าเขาไม่พอใจอะไรเธอสักอย่าง แต่โชคยังดีที่เขาเป็นคนเงียบขรึม ประกอบกับที่เขาเป็นถึงหัวหน้าฝ่ายการแพทย์ทำให้เขาจำเป็นต้องวางตัวในที่สาธารณะ ทำให้การพบกันครั้งนี้มีเพียงแค่การออกคำสั่งแล้วจากไปเท่านั้น
“คุณหมอณัฐณิชา เสร็จธุระแล้วไปพบผมที่ห้องด้วย” ชายหนุ่มสั่งการเป็นภาษาสากลอย่างชัดถ้อยชัดคำ ดูเหมือนเขาจะดูถูกโซน SE และไม่ชอบลดตัวไปคุยกับใครสักเท่าไร แน่นอนว่าคุณหมอสาวไม่จำเป็นต้องให้คำตอบใดๆ เพราะมันคือคำสั่ง ที่ไม่สามารถปฏิเสธได้ ดังนั้นไม่ว่าเธอจะตอบหรือไม่ ยังไงก็ต้องไปอยู่ดี
“หมอนิคะ...” ผู้ช่วยพยาบาลสาวน้อยมองณัฐณิชาอย่างกังวล
“อ้าว ทำไมทำหน้าอย่างนั้นล่ะจ้ะโบอา ไม่เอาน่าฉันไม่เป็นไรซักหน่อย เธอก็รู้อยู่แล้วว่าคุณหมอชาร์ลน่ะ เขาไม่ชอบหน้าฉันมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ยิ่งพอตอนที่ฉันทำเรื่องของบเพิ่มให้แผนกผู้ป่วยสามัญ เขาก็ยิ่งไม่พอใจใหญ่ ต่อให้ฉันไม่ได้ทำไรผิด เค้าก็ตามจิกกัดอยู่ดีน่ะแหละ” ณัฐณิชาส่งยิ้มให้พลางพูดให้โบอาสบายใจขึ้น เมื่อเห็นเธอทำหน้าเป็นกังวลเสียยกใหญ่
“ก็โบอาไม่อยากให้หมอนิโดนดุนี่คะ ยิ่งเป็นตาด็อกเตอร์ชาร์ลด้วยแล้ว ยิ่งไม่ชอบเข้าไปใหญ่ เดี๋ยวก็ส่งหมอนิไปทำอะไรแปลกๆ อีก ไม่ชอบเลย”
ณัฐณิชายิ้มน้อย ยิ้มใหญ่พลางมองดูสาวสวยที่กำลังทำหน้ามุ่ยเป็นกังวลอย่างเอ็นดู สำหรับเธอแล้วโบอาแทบไม่ต่างอะไรจากน้องสาวแท้ๆ แม้ว่าเธอจะไม่ใช่ก็ตาม
“อืม...งั้นเอาอย่างงี้ไหม ถ้าด็อกเตอร์ชาร์ลบอกให้ไปไหน ฉันจะปฏิเสธให้หมดเลย ไม่ไปไหนทั้งนั้น ดีไหม?”
“โธ่ หมอนิอ่ะ โบอาเป็นห่วงนะคะ” ผู้ช่วยสาวทำเสียงงอนๆ รู้ว่าคุณหมอสาวประชดเธออย่างเอ็นดู
“รู้แล้วจ้ะๆ เอ้า เอาน้องผิงไปอุ้มไว้ ฉันต้องไปพบคุณหมอสุดโหดแล้ว” ณัฐณิชาบอกพลางส่งเด็กน้อยในอ้อมกอดให้กับโบอาเอาไปอุ้มไว้แทน ก่อนจะโบกมือลา
…………………………………..
ทุกครั้งที่ณัฐณิชาก้าวออกจากลิฟท์มาที่ชั้น 12 ซึ่งเป็นหอผู้ป่วยพิเศษ เธอมักจะคิดว่าเธอหลุดโลกออกจากโรงพยาบาลมาอยู่ที่โรงแรมห้าดาวก็ไม่ปาน ไม่ว่าจะหันมองไปทางไหนก็พบแต่ความหรูหราทันสมัย เฟอร์นิเจอร์ทุกชิ้นตกแต่งด้วยสีขาวและครีมดูสะอาดตา โซฟาหลายตัวหลากไซส์ทั้งเล็กใหญ่ถูกจัดวางไว้ใกล้ๆ ชั้นหนังสือไม้ขนาดกลางที่บรรจุหนังสือไว้เต็มทุกชั้น พนักงานต้อนรับทั้งชายและหญิงอยู่ในชุดสูทสีขาวยืนเตรียมพร้อมรอต้อนรับผู้มาใช้บริการด้วยรอยยิ้ม
นิยามคำว่าพิเศษของที่นี่คงหมายถึง สถานที่สำหรับผู้ป่วยที่มาจากชนชั้นสูง พวกคุณหนูผู้ดีมีอันจะกิน พวกข้าราชการยศใหญ่ หรือใครก็ตามที่กระเป๋าหนักพอจะจ่ายค่ารักษาและค่าห้องต่อวัน
ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าพวกคนรวยเนี่ย นั่งเก้าอี้สแตนเลสธรรมดาไม่ได้รึยังไงนะ เฮ้อ...
คุณหมอสาวคิดพลางเดินตรงผ่านเคาน์เตอร์พยาบาลเข้าไปด้านใน ซึ่งเป็นทางเดินไปยังห้องของชาร์ล พื้นกระเบื้องหินขัดสีขาวทอดยาวไปยังสุดทางเลี้ยว สองข้างซ้ายขวาเป็นห้องคนไข้ที่ขนานไปกับทางเดิน ณัฐณิชาไม่ได้มาชั้นนี้บ่อยมากนัก แต่มันก็บ่อยพอให้จำทางไปยังจุดหมายได้
…………………………………..
รัชชานนท์เปิดประตูออกจากห้องคนไข้หลังจากที่เขาเสร็จงานสอบปากคำไฮโซสาวที่โดนกระชากกระเป๋าและทำร้ายร่างกายก่อนหน้าคดีจอมโจรไลเบทไม่ถึงสามชั่วโมง
เฮ้อ...เสร็จซักที...
ผู้กองหนุ่มหน้าเข้มถอนหายใจยาวๆ เขารู้สึกสดชื่นและหายใจได้ทั่วท้องมากกว่าตอนอยู่ในห้องของคนไข้เสียอีก เจอผู้หญิงเรื่องมากมาก็เยอะ แต่ไม่เคยเจอใครที่ทั้งเรื่องมาก ทั้งเวิ่นเว้อ พูดวกไปวนมาแถมยังโมโหใส่ได้เท่าเจ้าทุกข์รายนี้เลยจริงๆ ที่สำคัญคำให้การยังกลับไปกลับมา สะเปะสะปะจนจับต้นชนปลายไม่ถูกอีกต่างหาก คิดแล้วยังเหนื่อยไม่หาย
เอ๊ะ...นั่นคุณหมอคนนั้นนี่นา...
รัชชานนท์นึก เมื่อสายตาของเขาเหลือบไปเห็นหญิงสาวสวมเสื้อกาวน์สีขาวกำลังเดินมาทางนี้
โลกกลมจริงนะ...
รอยยิ้มจางๆ ปรากฏอยู่บนใบหน้าของคนที่เผลอจ้องมองโดยไม่ได้ตั้งใจ และก็เป็นจังหวะเดียวกับที่ณัฐณิชาหันมาเห็นเขาพอดี คุณหมอสาวส่งยิ้มตอบกลับไปอย่างเป็นมิตรก่อนรัชชานนท์จะเดินมาหยุดตรงหน้าเธอ
“บังเอิญจังเลย ไม่คิดว่าจะได้เจอคุณอีก” ผู้กองเป็นฝ่ายเริ่มต้นพูดก่อน
"เอ่อ... เราเพิ่งเจอกันเมื่อวานนี้เองไม่ใช่เหรอคะ?” ณัฐณิชาตั้งคำถามกลับด้วยอาการสงสัย ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายแกล้งอำเธอเล่นหรือเปล่าเพราะยังไงทำงานทีมเดียวกันต้องเจอกันอยู่แล้วนี่นา
รัชชานนท์เห็นหน้าตาท่าทางใสซื่อแบบนั้นก็อดที่จะอมยิ้มและจ้องมองคนตรงหน้าด้วยสายตาเอ็นดูไม่ได้ ณัฐณิชาในสายตาของรัชชานนท์เวลานี้ น่ารักจนไม่อยากจะละสายตาไปไหน
“ผมหมายถึง...ตั้งแต่เรื่องคราวนั้นต่างหากล่ะ”
“คราวนั้น?...”
หญิงสาวทวนคำทำหน้าสงสัย แต่ยังไม่ทันที่พวกเธอจะได้คุยอะไรกันต่อ เสียงเรียกเข้าจากเทเลแกรมของทั้งคู่ก็ดังขึ้นมาขัดจังหวะเสียก่อน ต่างคนต่างหยิบมันขึ้นมาดู
“งานเข้าซะแล้ว” ผู้กองไม่ได้รับสาย เขากดปิดเสียงเอาไว้ก่อนจะหันมาพูดกับอีกคนซึ่งก็ทำแบบเดียวกันกับเธอ ณัฐณิชาตอบกลับด้วยรอยยิ้มก่อนจะพูด
“เหมือนกันเลยค่ะ”
“งั้น...ไว้ค่อยคุยกันนะ คุณหมอณัฐณิชา” รัชชานนท์เผยยิ้มตรงมุมปาก ก่อนจะขยับตัวเปิดทางพร้อมทั้งผายมืออย่างสุภาพให้อีกคน
“นิค่ะ” คุณหมอสาวสวยหันมาบอกก่อนจะส่งยิ้มและเดินจากไป
“คร้าบ หมอนิ...” รัชชานนท์พูดขึ้น สำนวนกับน้ำเสียงของเขาทำให้คุณหมอสาวเริ่มนึกอะไรออก เธอหันกลับมามองร่างสูงอีกครั้ง
“นายชานม...?” ร่างบางเรียกขึ้นเหมือนคิดอะไรออก ผู้กองมาดเข้มเอียงหน้ากลับมายิ้มให้น้อยๆ ไม่นึกเลยว่าเขาจะเป็นตำรวจหนุ่มจอมเพ้อคนเดียวกับที่เธอเจอตอนเป็นหมออินเทอร์น ทว่าร่างกายที่ดูแข็งแรงขึ้น ผมเผ้าที่ตัดเรียบร้อยไม่ไว้ยาว รวมถึงใบหน้าเข้มๆ เกลี้ยงเกลาที่เมื่อก่อนไม่ดูแลตัวเองนักทำให้เธอแทบจำไม่ได้
ไม่จริงน่า...
ณัฐณิชารู้สึกหัวใจเต้นรัวผิดจังหวะ
..........................................
กว่ายี่สิบนาทีที่ณัฐณิชาต้องนั่งฟังนายแพทย์ชาร์ลยกสารพัดหลักการขึ้มาพูดอธิบายปนจิกกัดถึงสิ่งที่เธอทำไปเมื่อเช้านี้ จริงๆ แล้วมันก็แค่เรื่องที่เธอดันไปแจ้งให้พยาบาลในห้อง ICU เปลี่ยนสายสวนปัสสาวะใหม่ก่อนหน้าที่จะถึงกำหนดเปลี่ยนเร็วไป 24 ชม. แต่เขาทำราวกลับว่านี่เป็นเรื่องผิดพลาดยิ่งใหญ่ของปีเลยก็ว่าได้
สำหรับคุณหมอสาวแล้ว สิ่งที่ทำให้รู้สึกผิดที่สุดคงจะเป็นเพราะเธอไม่ได้ตรวจสอบชื่อแพทย์เจ้าของไข้เสียก่อน ถึงได้หวังดีเข้าไปยุ่งวุ่นวายกับคนไข้ในสังกัดของเขาเข้า
“เขียนรายงานอธิบายเรื่องนี้มาให้ผมด้วย และก็เชิญกลับไปทำหน้าที่ของคุณได้แล้ว...”
เขียนรายงาน!?!... เอาจริงเหรอเนี่ย...
ใครที่ไหนเขาให้เขียนรายงานกับเรื่องจิ๊บจ้อยแค่นี้กัน!...
ฮึ้ยยย...คิดว่านายเกลียดฉันได้ฝ่ายเดียวรึไง...ฉันก็เกลียดนายเหมือนกันแหละ...
เฮ้อออออ...
เจ้าของร่างบางเดินคิดหน้ามุ่ยมาตลอดทาง ตั้งแต่ออกจากห้องทำงานของนายแพทย์ชาร์ลมาจนถึงหน้าลิฟท์ โดยที่ไม่ทันได้สังเกตว่ามีใครอีกคนเดินตามเธอมาด้วย
“โดนดุแต่หัววันเลยสิ”
เสียงทักที่ฟังดูคุ้นหูดังขึ้นปลุกหญิงสาวที่ตกอยู่ในห้วงความคิดรู้สึกตัวขึ้น รอยยิ้มกว้างปรากฏอยู่บนใบหน้าของคุณหมอสาวทันทีที่เธอหันไปเห็นหญิงชาวต่างชาติยืนอยู่ข้างๆ
“อะ... อาจารย์โจลี่สวัสดีค่ะ มาตั้งแต่เมื่อไหร่คะ?”
เจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลอ่อนแดง ท่าทางใจดี เผยรอยยิ้มจางๆ ยามที่เธอตอบคำถาม
“ก็...พร้อมๆ กับหมอนิแหละ พอดีอาจารย์ออกจากห้องมาแล้วเห็นเราเพิ่งออกมาจากห้องพักของด็อกเตอร์ชาร์ล ท่าทางเหมือนจะหงุดหงิด อาจารย์ก็เลยเดินตามเรามาติดๆ ไม่รู้ตัวเลยรึยังไง ฮึ...” สายตาอ่อนโยนปนเอ็นดูที่ถูกส่งมายังคุณหมอสาวมักทำให้เธอรู้สึกว่าเธอยังแค่นักศึกษาแพทย์คนหนึ่งอยู่เสมอ แม้ว่าเวลานั้นจะผ่านมานานแล้วก็ตาม
ในบรรดาอาจารย์หมอทุกคนที่สอนณัฐณิชามา ผู้หญิงคนนี้ถือเป็นอาจารย์ที่เธอรักและเคารพมากที่สุด เธอทั้งอ่อนโยน ใจดีและมีเมตตา แถมยังไม่ถือตัวเลยสักนิดไม่ว่ากับใครจะยากดีมีจนเท่าไหร่ แม้ว่าเธอจะเป็นถึงผู้อำนวยการโรงพยาบาลก็ตาม เรียกได้ว่าเป็นแบบฉบับของคุณหมอที่ณัฐณิชาอยากจะเจริญรอยตามที่สุดก็ว่าได้
“ไม่ทันสังเกตจริงๆ ค่ะ แล้วนี่อาจารย์จะไปไหนต่อรึเปล่าคะ” หญิงสาวยิ้มเจื่อนๆ รู้สึกอายในความเปิ่นของตัวเองก่อนจะรีบตั้งคำถามเปลี่ยนเรื่องแทน
“ก็มีธุระข้างนอกนิดหน่อยจ้ะ และก็ว่าจะแวะไปหาโบอาด้วย ไปแสดงความยินดีกับเค้าหน่อย ในที่สุดก็ได้เป็นผู้ช่วยพยาบาลเต็มตัวสักทีนะ”
“ค่ะ ต้องขอบคุณอาจารย์มากกว่า ถ้าตอนนั้นอาจารย์ไม่ช่วย โบอาก็คงไม่มีวันนี้หรอกค่ะ” ณัฐณิชาบอกพลางผายมือเชิญอีกคนเข้าไปในลิฟท์ที่เพิ่งมาถึง
“เพราะตัวของเด็กคนนั้นเองด้วยต่างหาก ที่พยายามขยันเรียนอย่างหนัก จนมีวันนี้ได้ ใครจะคิดล่ะ ว่าคนที่ดูหัวอ่อน กลัวนู่น กลัวนี่อยู่ตลอดเวลาจะทำสำเร็จจนได้”
“นั่นสินะคะ...ไม่น่าเชื่อเลย...”
ถึงปากจะพูดแบบนั้น แต่ใจจริงแล้วณัฐณิชามั่นใจมาตลอดว่าโบอาจะต้องเรียนจบแน่ เพราะโบอามีความมุ่งมั่นและแรงผลักดันที่คล้ายกับเธอ นั่นคือต้องเรียนให้จบและหางานทำให้ได้ แบบนั้นแล้วถึงจะย้อนกลับไปให้ความช่วยเหลือเด็กๆ ที่เผชิญชะตากรรมเดียวกับพวกเธอได้...
เด็กกำพร้า...
เด็กที่ไม่มีพ่อแม่ญาติพี่น้องมาคอยดูแลเอาใจใส่เหมือนคนอื่นๆ แต่พวกเธอยังถือว่าโชคดีกว่าอีกหลายคน เพราะพวกเธอยังได้รับโอกาส และเมื่อได้รับมันมาแล้ว ย่อมจะให้มันเสียเปล่าไม่ได้อย่างเด็ดขาด...
..................................................................
รัชชานนท์เดินมาดูหลักฐานที่ห้องแลบชั้น 22 ของตึกกองสอบสวนพิเศษ ตึกแห่งนี้ตั้งอยู่กลางโซน ถือเป็นจุดศูนย์กลางทางราชการ ความสูงตระหง่านถึง 77 ชั้น และไม่เคยหลับใหลทำให้แสงจากตึกดูไม่ต่างจากประภาคารที่ตั้งเพื่อรอเป็นจุดหมายของนักเดินทาง...
ปกติแล้วรัชชานนท์จะทำงานอยู่ที่ชั้นสิบ ห้องทำงานของเขามองเห็นโรงพยาบาลกลางที่อยู่ด้านข้างตึก ทางเชื่อมระหว่างตึกทั้งสองมักมีคนในชุดเสื้อกาวน์ ไม่ก็ตำรวจเดินขวักไขว่ทั้งวัน เขาไม่ค่อยได้ขึ้นมาชั้นสูงๆ นักเพราะยิ่งสูงเท่าไหร่ หน่วยงานก็ยิ่งระดับสูงมากขึ้น แต่ละคนทำได้แค่แสกนนิ้วมือและทาบบัตรประจำตัวเพื่อขึ้นชั้นของตัวเอง หากไปชั้นอื่นต้องแจ้งกับหน่วยงานรักษาความปลอดภัย ซึ่งถือได้ว่ามีความสามารถไม่ต่างกับกรมตำรวจเลยทีเดียว
ก๊อกๆ
เขาเคาะประตูกระจกขุ่นทันทีที่เห็นป้ายห้อง จากกระจกมองเข้าไปเห็นเงาคนมัวๆ จึงแน่ใจว่าธารธีอยู่ในนั้น ร่างสูงเปิดประตูเข้าไป
“มีธุระถึงขนาดต้องขึ้นมาบนนี้เลยเหรอ”
เสียงห้าวๆ ของนักนิติวิทยาศาสตร์สาวมาดเท่เอ่ยโดยไม่มอง สายตาของเธอยังอยู่กับกล้องจุลทรรศน์ตรงหน้า
“ฉันเอาของมาให้” รัชชานนท์ตอบ “แล้วก็อยากรู้ผลของหลักฐานบ้านนายพลอีวานนอฟด้วย
“คนร้ายของคดีนี้เข้ามาได้อย่างเงียบเชียบเพราะมีการเจาะข้อมูลแฮกระบบรักษาความปลอดภัย แต่ถึงอย่างนั้นก็มีฝีมือไม่ใช่ย่อยเลยล่ะเพราะหลักฐานมีน้อยมาก ว่าแต่เอาอะไรมาล่ะ”
ธารธีละสายตาจากกล้องตรงหน้า หันมามองผู้กองเต็มสองตา รัชชานนท์จึงหยิบของที่เขาเตรียมมาจากในกระเป๋าด้านในเสื้อสูท
“เดี๋ยวนี้ยูนิฟอร์มสากลของตำรวจดูไม่ต่างจากพวกพ่อบ้านเลยนะ” ธารธีมองสูทสีน้ำตาลเข้มของรัชชานนท์ คำพูดดูถูกกรายๆ ของเธอทำให้เขาขมวดคิ้ว แล้วเปลี่ยนมายิ้มน้อยๆ
“นายนี่ยังไม่เปลี่ยนเลยจริงๆ นะแทน”
“ไม่ต้องมาเรียกชื่อสนิทสนมขนาดนั้น งานก็ส่วนงานผู้กอง” ธารธีบอกห้วนๆ พลางหยิบกล่องนั้นมา แค่ความยาวของมัน ธารธีก็พอเดาได้
“ผู้พันเจมส์อยากให้ตรวจเทียบอย่างละเอียด” เสียงของรัชชานนท์ปรับต่ำลงเมื่ออีกฝ่ายวางท่าใส่ “อยากให้นายทำให้เสร็จภายในสัปดาห์นี้ เราต้องรีบจัดการโจรนั่น เวลานี้กลุ่มผู้นำโลกยังไม่จับตามอง แต่ถ้าโซนเรามีปัญหาขึ้นมา นายคงรู้ว่าเป็นยังไง”
ธารธียังคงนิ่ง เธอเปิดกล่องออก สายตาเป็นประกายแวบหนึ่ง
“นี่มัน...”
“ใช่ ขนนกสีเพลงของแท้เมื่อสิบสองปีก่อนมันตกอยู่ในที่เกิดเหตุ กรมตำรวจต่างประหลาดใจ มันเหมือนขนนกจริงมาก ดูมีชีวิต สีสวยเหมือนเปลวไฟ สัญลักษณ์ของจอมโจรไลเบท นายหาได้ใช่ไหมว่าอันใหม่มันเป็นแบบเดียวกันหรือเปล่า"
“อืม” ร่างสูงตอบสั้นๆ รัชชานนท์จึงเดินกลับไป เขาเข้าใจดีที่เธอไม่อยากพูดด้วยสักเท่าไร
แต่ฉันก็หวังว่าการได้ทำงานด้วยกันของเราจะทำให้นายลืมเรื่องนั้นได้นะ แทน...
......................
บ่ายวันเดียวกัน...
เสียงเครื่องมือสื่อสารขนาดพกพาดังขึ้น เจ้าของร่างบางหยิบมันขึ้นมาดูว่าใครโทรเข้ามา ก่อนจะกดรับทันทีที่เห็นสัญลักษณ์กลุ่มดาวรูปหงส์ปรากฏอยู่บนหน้าจอเทเลแกรมของเธอ
“ว่าไง ซิกนัส”
“ไงที่รัก คิดถึงซิกนัสมากไหมจ๊ะ?” เสียงปลายสายตอบกลับอย่างยียวน
“ก็ไม่นะ” คนพูดอมยิ้มพลางยักไหล่
“เบื่อจังพวกปากไม่ตรงกับใจเนี่ย... ว่าแต่...รู้สึกไหมว่างานคราวที่แล้วของเรามันเงียบไปนะ มาสร้างความครึกครื้นกันหน่อยดีไหม มีงานใหม่น่าสนใจมาอีกแล้ว แถมเป็นงานด่วนเสียด้วยสิ”
“แหม...ใจตรงกันจัง” หญิงสาวพูดเสียงทะเล้นก่อนจะเอ่ยถาม “แล้ว...งานใหม่ที่ว่ามันคืออะไรล่ะ ลองบอกมาสิ เผื่อฉันจะสนใจอยากทำ”
“ฉันมั่นใจว่าเธอจะต้องสนมันอย่างแน่นอน ฟินิกซ์”
เสียงจากปลายสายเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนที่จะมีเสียงเตือนข้อความใหม่เข้ามาที่เทเลแกรมของอีกคน ฟินิกซ์ใช้นิ้วจิ้มตรงคำว่า...
1 New massage
ภาพของชายวัยประมาณห้าสิบต้นๆ ผมทรงสุภาพสีดำแซมขาวเล็กน้อย ผิวคล้ำออกแดง ก็ปรากฏขึ้นมาบนหน้าจอของเธอ
“นี่มันรูป นายฉลอง ทำนุ รองผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของโซน SE ไม่ใช่เหรอ ฉันรู้มาว่ารัฐบาลให้เขาจัดการกับงบก้อนใหญ่ที่เป็นสวัสดิการให้พวกคนแก่ และเด็กๆ ตามสถานสงค์เคราะห์ต่างๆ นี่ ” หญิงสาวบอกพลางใช้นิ้วมือขยายภาพจากหน้าจอ
“ถูกต้อง และด้วยความอัจฉริยะของฉัน ทำให้สืบทราบมาว่า หมอนั่นหมกเม็ดเงินงบประมาณก้อนโตเอาไว้ใช้เองส่วนหนึ่ง และในวันพรุ่งนี้ นายฉลองคนนี้มีภารกิจยิ่งใหญ่ที่จะต้องเดินทางไปทำงานต่างโซน ซึ่งนั่นหมายความว่า...”
“หมายความว่า ตาจิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์นี่ จะเอาเงินที่หมกไว้ไปฟอกมาใช้ให้สบายใจเฉิบล่ะสิ ฉลาดคิดนักนะ” ฟินิกซ์ทำน้ำเสียงไม่สบอารมณ์ เธอเกลียดคนแบบนายฉลองมาก ถึงมากที่สุด เพื่อผลประโยชน์และเพื่อสนองความโลภของตนเอง คนพวกนี้ไม่ได้สนใจสักนิด ว่าคนที่รอความช่วยเหลือนั้นจะเดือดร้อนแค่ไหน
“ฉลาดแค่ไหน ก็ไม่เกินเราหรอก... จัดไหม?”
“ว่าแผนการมาเลย ไลเบทได้เวลาทำงานแล้ว”
……………………………………..
โซน SE คือชื่อเรียกเขตแดนที่ณัฐณิชาเกิดและเติบโตขึ้นมา
เธอไม่เคยออกไปนอกเขตนี้เลยสักครั้ง ที่นี่มีคนผิวเหลือง หรือที่คนรุ่นเก่าๆ เรียกกันว่าชาวเอเชีย อยู่เป็นจำนวนมาก เธอเองก็เป็นหนึ่งในนั้น เป็นสาวเชื้อสายไทย แต่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพ่อและแม่เป็นใคร หญิงสาวเติบโตมาในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า ด้านหน้าย่านสลัมของโซน
บ่อยครั้งเธอหวนนึกถึงช่วงที่เรียนมหาวิทยาลัย เธอเคยสำรวจกับเพื่อนและค้นพบว่าเขตที่อยู่นั้นมีพื้นที่กว้างมากเพราะเคยเป็นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มาก่อนกินพื้นที่หลายประเทศ แต่เพราะสงครามและการก่อการร้ายเมื่อราวสามสิบปีที่แล้ว ทำให้พื้นที่หลายส่วนปลูกพืชและอาศัยไม่ได้ อากาศมีแต่มลพิษ โลกใช้เวลาฟื้นฟูอยู่นานจนวิวัฒนาการไม่ได้ก้าวหน้าไปกว่าก่อนยุคสงครามสักเท่าไร ร่างกายของคนในจุดเสี่ยงนั้นอ่อนแอ บ้างก็เสียชีวิตก่อนเวลาอันควร แม้แต่คนทั่วไปยังต้องทำการฉีดวัคซีนทุกสามเดือนเพื่อป้องกันกัมมันตรังสีและสารเคมีปนเปื้อนที่อาจเข้าสู่ร่างกายได้ทุกเมื่อ
ต้นไม้เหลือน้อยลง มีเพียงภาพในห้องสมุดที่หาดูได้ บางต้นก็สูญพันธุ์ไป เช่นเดียวกับสัตว์หลายอย่าง แม้แต่มนุษย์เองก็อาศัยอยู่ได้แค่ทวีปเดียว เชตที่เหลือ บ้างก็ยังลุกไหม้ บ้างก็ไม่เหลือดินดีๆ ให้ใช้สอย มีแต่คราบดำและตอไม้
มาร่วมกันฟื้นฟูโลกเพื่อลูกหลานเถอะครับ...
ป้ายโฆษณาของรัฐบาลกลางติดเป็นระยะ เช่นเดียวกับเครื่องตรวจจับ เดี๋ยวนี้จะไปไหนนอกเขตแทบไม่ได้ เธอรู้ดีว่าเทคโนโลยีที่ไปไกลที่สุด คือ ส่วนที่สร้างมาเพื่อควบคุมให้เป็นระเบียบ ไม่ว่าจะเป็นกล้อง ระบบความปลอดภัย การติดตามตัว เรียกได้ว่าลายนิ้วมือและดีเอ็นเอของทุกคนอยู่ในฐานข้อมูลทั้งสิ้น
ที่โรงพยาบาลกลาง โซนตะวันออกเฉียงใต้( SE )
แผนกผู้ป่วยสามัญ
ทุกๆ วัน โต๊ะเก้าอี้ของที่นี่จะถูกจัดเตรียมไว้สำหรับรอพบแพทย์ และมันเต็มตั้งแต่ยังไมได้เวลาเริ่มงาน แฟ้มประวัติของคนไข้ถูกวางไว้จนเต็มหน้าเคาน์เตอร์พยาบาล ยิ่งพอใกล้เวลาที่เข็มสั้นจะชี้ไปที่เลขแปด ความวุ่นวายก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นเป็นทวีคูณ เสียงพูดคุยถกเถียงกันของผู้คนที่นั่งรอดังก้องประสานไปกับเสียงประกาศเรียกชื่อคนไข้ จากลำโพงที่ถูกติดอยู่ทั่วบริเวณ แยกแทบไม่ออกว่าเสียงไหนเป็นเสียงไหน
ณัฐณิชาเจอเรื่องแบบนี้ทุกวันตลอดสองปีที่เธอทำงานในฐานะแพทย์อยู่ที่แผนกนี้ เพื่อนของเธอหลายคนคิดว่าการทำงานที่แผนกนี้ช่างไม่คุ้มค่าตอบแทนเอาเสียเลย เพราะนิยามคำว่าสามัญของที่นี่ คือคนระดับล่าง ยากไร้ ไม่มีจะกิน หรือไม่ก็พวกเด็กกำพร้า ไร้ญาติ แพทย์ที่สมัครใจทำงานแผนกนี้จะได้รับแค่เงินเดือน ไม่มีค่ารักษาให้เหมือนกับที่แผนกอื่นได้รับกัน แต่ณัฐณิชาก็ไม่ได้ใส่ใจเรื่องพวกนั้น เธอไม่แคร์เลยซักนิด ความพอใจของเธอคือการได้ดูแล รักษา ให้คำปรึกษาคนเหล่านั้น ซึ่งมันดีกว่าคอยไปประจบพวกลูกคุณหนูผู้ดีที่รู้จักแต่จะใช้เงินซื้อทุกอย่าง
“แง...ฮือๆ...แม่จ๋า...”
เสียงร้องไห้ของเด็กน้อยดังขึ้นขณะที่ณัฐณิชากำลังจะเดินไปที่ห้องตรวจประจำของเธอ นั่นทำให้เธอหยุดชะงักและมองหาที่มาของเสียงทันที
เด็กหญิงตัวเล็กวัยไม่เกินสี่ขวบกำลังยืนเกาะขาเก้าอี้ที่ตรงที่รอพบแพทย์เอาไว้แน่น ใบหน้าเล็กๆ ที่เต็มไปด้วยคราบน้ำตากำลังหันรีหันขวางไปมามองหาผู้เป็นแม่ ณัฐณิชาคิดจะเดินเข้าไปปลอบ แต่ยังไม่ทันได้ขยับตัว ผู้ช่วยพยาบาลสาวลูกครึ่งเกาหลี หน้าตาจิ้มลิ่มที่วิ่งออกมาจากเคาน์เตอร์ก็ถึงตัวเด็กน้อยนั่นเสียก่อนแล้ว
“โอ๋ๆ ไม่ร้องนะ อย่าร้องนะคะ เดี๋ยวคุณแม่ก็มา” ผู้ช่วยพยาบาลสาวใช้ผ้าเช็ดหน้าของตนเองซับน้ำตาจากใบหน้าเล็กๆ พลางพยายามพูดปลอบเด็กน้อย แต่ไม่ว่าทำอย่างไรเด็กคนนี้ก็ไม่ยอมหยุดร้องแถมยังไม่ยอมให้อุ้มอีกต่างหาก เห็นแบบนั้นแล้วคุณหมอสาวก็อดที่จะยืนขำก่อนจะเข้าไปช่วยเหลือไม่ได้
“ไหนๆ ร้องไห้ทำไมจ๊ะ ดูซิหน้าตามอมแมมหมดแล้ว เดี๋ยวไม่สวยนะ” ณัฐณิชาย่อตัวลงนั่งข้างเด็กน้อยก่อนจะใช้มือลูบหัวเธอเบาๆ
“สวัสดีค่ะหมอนิ” ผู้ช่วยสาวเรียกด้วยน้ำเสียงดีใจพลางส่งยิ้มกว้างให้ ณัฐณิชายิ้มตอบ ก่อนจะหยิบอมยิ้มสีชมพูสดจากกระเป๋าเสื้อกราวน์ของเธอส่งให้กับเด็กหญิงตรงหน้า เสียงร้องงอแงเงียบลงเปลี่ยนเป็นสะอื้นเบาๆ ในลำคอ แววตาไร้เดียงสาจดจ้องอยู่กับของในมือของคุณหมอสาว
“เงียบนะคะคนเก่ง เดี๋ยวคุณหมอจะพาไปหาแม่นะ” เด็กน้อยค่อยรับขนมไปพลางพยักหน้าน้อยๆ คุณหมอสาวจึงค่อยๆ อุ้มร่างเล็กๆ ขึ้นมากอดไว้อย่างอ่อนโยน ก่อนจะหันไปพูดเล่นกับผู้ช่วยสาวที่ยังคงยืนอยู่ข้างๆ
“ไหนๆ ลองถามพี่พยาบาลซิว่าแม่หนูอยู่ไหนคะ พี่โบอาขา คุณแม่หนูอยู่ไหนคะ?” คุณหมอสาวทำเสียงหยอกเย้า แต่เด็กน้อยก็เอาแต่ทำตาแป๋วไม่พูดไม่จา ทำเอาโบอาที่พยายามปลอบอยู่นานถึงกับทึ่งในความสามารถของแพทย์สาว ทั้งสองหันมองหน้ากันก่อนจะหัวเราะออกมา
“แม่ของน้องผิงเค้าไปเอ็กซ์เรย์ค่ะหมอนิ ก็เลยฝากน้องผิงไว้กับโบอาน่ะค่ะ โบอาวางน้องเค้าไว้บนเก้าอี้ในเคาน์เตอร์ แล้วก็หันไปเช็คประวัติคนไข้ แป๊บเดียวเอง หันกลับมาอีกที น้องเค้าก็มาอยู่นี่แล้ว” ผู้ช่วยสาวเล่า ใครที่เดินผ่านไปมาพอเห็นคนสวยสองคนคุยกันอยู่กับเด็กหน้าตาน่ารัก ต่างก็เหลือบมองด้วยความสนใจ
“เหรอ? งั้นอีกเดี๋ยวแม่น้องผิงก็คงจะเสร็จแล้วมั้ง เราพาน้องเค้าไปรอหน้าห้อง X-ray แล้วกันนะ”
ณัฐณิชาตัดสินใจ เธอเห็นว่ายังมีเวลาพอจะเดินไปกับหนูน้อยจึงเดินคุยกับโบอาไปด้วย...
ระหว่างที่สองสาวกำลังเดินไปที่ห้อง X-ray นายแพทย์ชาร์ล หนุ่มชาวตะวันตกร่างสูง ผิวสีแทน วัยสี่สิบห้าปีเดินตรงเข้ามาหาพวกเธอด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยเป็นมิตรเท่าไรนัก สายตาเย็นชาที่เขาใช้มองมาที่คุณหมอสาวบ่งบอกว่าเขาไม่พอใจอะไรเธอสักอย่าง แต่โชคยังดีที่เขาเป็นคนเงียบขรึม ประกอบกับที่เขาเป็นถึงหัวหน้าฝ่ายการแพทย์ทำให้เขาจำเป็นต้องวางตัวในที่สาธารณะ ทำให้การพบกันครั้งนี้มีเพียงแค่การออกคำสั่งแล้วจากไปเท่านั้น
“คุณหมอณัฐณิชา เสร็จธุระแล้วไปพบผมที่ห้องด้วย” ชายหนุ่มสั่งการเป็นภาษาสากลอย่างชัดถ้อยชัดคำ ดูเหมือนเขาจะดูถูกโซน SE และไม่ชอบลดตัวไปคุยกับใครสักเท่าไร แน่นอนว่าคุณหมอสาวไม่จำเป็นต้องให้คำตอบใดๆ เพราะมันคือคำสั่ง ที่ไม่สามารถปฏิเสธได้ ดังนั้นไม่ว่าเธอจะตอบหรือไม่ ยังไงก็ต้องไปอยู่ดี
“หมอนิคะ...” ผู้ช่วยพยาบาลสาวน้อยมองณัฐณิชาอย่างกังวล
“อ้าว ทำไมทำหน้าอย่างนั้นล่ะจ้ะโบอา ไม่เอาน่าฉันไม่เป็นไรซักหน่อย เธอก็รู้อยู่แล้วว่าคุณหมอชาร์ลน่ะ เขาไม่ชอบหน้าฉันมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ยิ่งพอตอนที่ฉันทำเรื่องของบเพิ่มให้แผนกผู้ป่วยสามัญ เขาก็ยิ่งไม่พอใจใหญ่ ต่อให้ฉันไม่ได้ทำไรผิด เค้าก็ตามจิกกัดอยู่ดีน่ะแหละ” ณัฐณิชาส่งยิ้มให้พลางพูดให้โบอาสบายใจขึ้น เมื่อเห็นเธอทำหน้าเป็นกังวลเสียยกใหญ่
“ก็โบอาไม่อยากให้หมอนิโดนดุนี่คะ ยิ่งเป็นตาด็อกเตอร์ชาร์ลด้วยแล้ว ยิ่งไม่ชอบเข้าไปใหญ่ เดี๋ยวก็ส่งหมอนิไปทำอะไรแปลกๆ อีก ไม่ชอบเลย”
ณัฐณิชายิ้มน้อย ยิ้มใหญ่พลางมองดูสาวสวยที่กำลังทำหน้ามุ่ยเป็นกังวลอย่างเอ็นดู สำหรับเธอแล้วโบอาแทบไม่ต่างอะไรจากน้องสาวแท้ๆ แม้ว่าเธอจะไม่ใช่ก็ตาม
“อืม...งั้นเอาอย่างงี้ไหม ถ้าด็อกเตอร์ชาร์ลบอกให้ไปไหน ฉันจะปฏิเสธให้หมดเลย ไม่ไปไหนทั้งนั้น ดีไหม?”
“โธ่ หมอนิอ่ะ โบอาเป็นห่วงนะคะ” ผู้ช่วยสาวทำเสียงงอนๆ รู้ว่าคุณหมอสาวประชดเธออย่างเอ็นดู
“รู้แล้วจ้ะๆ เอ้า เอาน้องผิงไปอุ้มไว้ ฉันต้องไปพบคุณหมอสุดโหดแล้ว” ณัฐณิชาบอกพลางส่งเด็กน้อยในอ้อมกอดให้กับโบอาเอาไปอุ้มไว้แทน ก่อนจะโบกมือลา
…………………………………..
ทุกครั้งที่ณัฐณิชาก้าวออกจากลิฟท์มาที่ชั้น 12 ซึ่งเป็นหอผู้ป่วยพิเศษ เธอมักจะคิดว่าเธอหลุดโลกออกจากโรงพยาบาลมาอยู่ที่โรงแรมห้าดาวก็ไม่ปาน ไม่ว่าจะหันมองไปทางไหนก็พบแต่ความหรูหราทันสมัย เฟอร์นิเจอร์ทุกชิ้นตกแต่งด้วยสีขาวและครีมดูสะอาดตา โซฟาหลายตัวหลากไซส์ทั้งเล็กใหญ่ถูกจัดวางไว้ใกล้ๆ ชั้นหนังสือไม้ขนาดกลางที่บรรจุหนังสือไว้เต็มทุกชั้น พนักงานต้อนรับทั้งชายและหญิงอยู่ในชุดสูทสีขาวยืนเตรียมพร้อมรอต้อนรับผู้มาใช้บริการด้วยรอยยิ้ม
นิยามคำว่าพิเศษของที่นี่คงหมายถึง สถานที่สำหรับผู้ป่วยที่มาจากชนชั้นสูง พวกคุณหนูผู้ดีมีอันจะกิน พวกข้าราชการยศใหญ่ หรือใครก็ตามที่กระเป๋าหนักพอจะจ่ายค่ารักษาและค่าห้องต่อวัน
ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าพวกคนรวยเนี่ย นั่งเก้าอี้สแตนเลสธรรมดาไม่ได้รึยังไงนะ เฮ้อ...
คุณหมอสาวคิดพลางเดินตรงผ่านเคาน์เตอร์พยาบาลเข้าไปด้านใน ซึ่งเป็นทางเดินไปยังห้องของชาร์ล พื้นกระเบื้องหินขัดสีขาวทอดยาวไปยังสุดทางเลี้ยว สองข้างซ้ายขวาเป็นห้องคนไข้ที่ขนานไปกับทางเดิน ณัฐณิชาไม่ได้มาชั้นนี้บ่อยมากนัก แต่มันก็บ่อยพอให้จำทางไปยังจุดหมายได้
…………………………………..
รัชชานนท์เปิดประตูออกจากห้องคนไข้หลังจากที่เขาเสร็จงานสอบปากคำไฮโซสาวที่โดนกระชากกระเป๋าและทำร้ายร่างกายก่อนหน้าคดีจอมโจรไลเบทไม่ถึงสามชั่วโมง
เฮ้อ...เสร็จซักที...
ผู้กองหนุ่มหน้าเข้มถอนหายใจยาวๆ เขารู้สึกสดชื่นและหายใจได้ทั่วท้องมากกว่าตอนอยู่ในห้องของคนไข้เสียอีก เจอผู้หญิงเรื่องมากมาก็เยอะ แต่ไม่เคยเจอใครที่ทั้งเรื่องมาก ทั้งเวิ่นเว้อ พูดวกไปวนมาแถมยังโมโหใส่ได้เท่าเจ้าทุกข์รายนี้เลยจริงๆ ที่สำคัญคำให้การยังกลับไปกลับมา สะเปะสะปะจนจับต้นชนปลายไม่ถูกอีกต่างหาก คิดแล้วยังเหนื่อยไม่หาย
เอ๊ะ...นั่นคุณหมอคนนั้นนี่นา...
รัชชานนท์นึก เมื่อสายตาของเขาเหลือบไปเห็นหญิงสาวสวมเสื้อกาวน์สีขาวกำลังเดินมาทางนี้
โลกกลมจริงนะ...
รอยยิ้มจางๆ ปรากฏอยู่บนใบหน้าของคนที่เผลอจ้องมองโดยไม่ได้ตั้งใจ และก็เป็นจังหวะเดียวกับที่ณัฐณิชาหันมาเห็นเขาพอดี คุณหมอสาวส่งยิ้มตอบกลับไปอย่างเป็นมิตรก่อนรัชชานนท์จะเดินมาหยุดตรงหน้าเธอ
“บังเอิญจังเลย ไม่คิดว่าจะได้เจอคุณอีก” ผู้กองเป็นฝ่ายเริ่มต้นพูดก่อน
"เอ่อ... เราเพิ่งเจอกันเมื่อวานนี้เองไม่ใช่เหรอคะ?” ณัฐณิชาตั้งคำถามกลับด้วยอาการสงสัย ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายแกล้งอำเธอเล่นหรือเปล่าเพราะยังไงทำงานทีมเดียวกันต้องเจอกันอยู่แล้วนี่นา
รัชชานนท์เห็นหน้าตาท่าทางใสซื่อแบบนั้นก็อดที่จะอมยิ้มและจ้องมองคนตรงหน้าด้วยสายตาเอ็นดูไม่ได้ ณัฐณิชาในสายตาของรัชชานนท์เวลานี้ น่ารักจนไม่อยากจะละสายตาไปไหน
“ผมหมายถึง...ตั้งแต่เรื่องคราวนั้นต่างหากล่ะ”
“คราวนั้น?...”
หญิงสาวทวนคำทำหน้าสงสัย แต่ยังไม่ทันที่พวกเธอจะได้คุยอะไรกันต่อ เสียงเรียกเข้าจากเทเลแกรมของทั้งคู่ก็ดังขึ้นมาขัดจังหวะเสียก่อน ต่างคนต่างหยิบมันขึ้นมาดู
“งานเข้าซะแล้ว” ผู้กองไม่ได้รับสาย เขากดปิดเสียงเอาไว้ก่อนจะหันมาพูดกับอีกคนซึ่งก็ทำแบบเดียวกันกับเธอ ณัฐณิชาตอบกลับด้วยรอยยิ้มก่อนจะพูด
“เหมือนกันเลยค่ะ”
“งั้น...ไว้ค่อยคุยกันนะ คุณหมอณัฐณิชา” รัชชานนท์เผยยิ้มตรงมุมปาก ก่อนจะขยับตัวเปิดทางพร้อมทั้งผายมืออย่างสุภาพให้อีกคน
“นิค่ะ” คุณหมอสาวสวยหันมาบอกก่อนจะส่งยิ้มและเดินจากไป
“คร้าบ หมอนิ...” รัชชานนท์พูดขึ้น สำนวนกับน้ำเสียงของเขาทำให้คุณหมอสาวเริ่มนึกอะไรออก เธอหันกลับมามองร่างสูงอีกครั้ง
“นายชานม...?” ร่างบางเรียกขึ้นเหมือนคิดอะไรออก ผู้กองมาดเข้มเอียงหน้ากลับมายิ้มให้น้อยๆ ไม่นึกเลยว่าเขาจะเป็นตำรวจหนุ่มจอมเพ้อคนเดียวกับที่เธอเจอตอนเป็นหมออินเทอร์น ทว่าร่างกายที่ดูแข็งแรงขึ้น ผมเผ้าที่ตัดเรียบร้อยไม่ไว้ยาว รวมถึงใบหน้าเข้มๆ เกลี้ยงเกลาที่เมื่อก่อนไม่ดูแลตัวเองนักทำให้เธอแทบจำไม่ได้
ไม่จริงน่า...
ณัฐณิชารู้สึกหัวใจเต้นรัวผิดจังหวะ
..........................................
กว่ายี่สิบนาทีที่ณัฐณิชาต้องนั่งฟังนายแพทย์ชาร์ลยกสารพัดหลักการขึ้มาพูดอธิบายปนจิกกัดถึงสิ่งที่เธอทำไปเมื่อเช้านี้ จริงๆ แล้วมันก็แค่เรื่องที่เธอดันไปแจ้งให้พยาบาลในห้อง ICU เปลี่ยนสายสวนปัสสาวะใหม่ก่อนหน้าที่จะถึงกำหนดเปลี่ยนเร็วไป 24 ชม. แต่เขาทำราวกลับว่านี่เป็นเรื่องผิดพลาดยิ่งใหญ่ของปีเลยก็ว่าได้
สำหรับคุณหมอสาวแล้ว สิ่งที่ทำให้รู้สึกผิดที่สุดคงจะเป็นเพราะเธอไม่ได้ตรวจสอบชื่อแพทย์เจ้าของไข้เสียก่อน ถึงได้หวังดีเข้าไปยุ่งวุ่นวายกับคนไข้ในสังกัดของเขาเข้า
“เขียนรายงานอธิบายเรื่องนี้มาให้ผมด้วย และก็เชิญกลับไปทำหน้าที่ของคุณได้แล้ว...”
เขียนรายงาน!?!... เอาจริงเหรอเนี่ย...
ใครที่ไหนเขาให้เขียนรายงานกับเรื่องจิ๊บจ้อยแค่นี้กัน!...
ฮึ้ยยย...คิดว่านายเกลียดฉันได้ฝ่ายเดียวรึไง...ฉันก็เกลียดนายเหมือนกันแหละ...
เฮ้อออออ...
เจ้าของร่างบางเดินคิดหน้ามุ่ยมาตลอดทาง ตั้งแต่ออกจากห้องทำงานของนายแพทย์ชาร์ลมาจนถึงหน้าลิฟท์ โดยที่ไม่ทันได้สังเกตว่ามีใครอีกคนเดินตามเธอมาด้วย
“โดนดุแต่หัววันเลยสิ”
เสียงทักที่ฟังดูคุ้นหูดังขึ้นปลุกหญิงสาวที่ตกอยู่ในห้วงความคิดรู้สึกตัวขึ้น รอยยิ้มกว้างปรากฏอยู่บนใบหน้าของคุณหมอสาวทันทีที่เธอหันไปเห็นหญิงชาวต่างชาติยืนอยู่ข้างๆ
“อะ... อาจารย์โจลี่สวัสดีค่ะ มาตั้งแต่เมื่อไหร่คะ?”
เจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลอ่อนแดง ท่าทางใจดี เผยรอยยิ้มจางๆ ยามที่เธอตอบคำถาม
“ก็...พร้อมๆ กับหมอนิแหละ พอดีอาจารย์ออกจากห้องมาแล้วเห็นเราเพิ่งออกมาจากห้องพักของด็อกเตอร์ชาร์ล ท่าทางเหมือนจะหงุดหงิด อาจารย์ก็เลยเดินตามเรามาติดๆ ไม่รู้ตัวเลยรึยังไง ฮึ...” สายตาอ่อนโยนปนเอ็นดูที่ถูกส่งมายังคุณหมอสาวมักทำให้เธอรู้สึกว่าเธอยังแค่นักศึกษาแพทย์คนหนึ่งอยู่เสมอ แม้ว่าเวลานั้นจะผ่านมานานแล้วก็ตาม
ในบรรดาอาจารย์หมอทุกคนที่สอนณัฐณิชามา ผู้หญิงคนนี้ถือเป็นอาจารย์ที่เธอรักและเคารพมากที่สุด เธอทั้งอ่อนโยน ใจดีและมีเมตตา แถมยังไม่ถือตัวเลยสักนิดไม่ว่ากับใครจะยากดีมีจนเท่าไหร่ แม้ว่าเธอจะเป็นถึงผู้อำนวยการโรงพยาบาลก็ตาม เรียกได้ว่าเป็นแบบฉบับของคุณหมอที่ณัฐณิชาอยากจะเจริญรอยตามที่สุดก็ว่าได้
“ไม่ทันสังเกตจริงๆ ค่ะ แล้วนี่อาจารย์จะไปไหนต่อรึเปล่าคะ” หญิงสาวยิ้มเจื่อนๆ รู้สึกอายในความเปิ่นของตัวเองก่อนจะรีบตั้งคำถามเปลี่ยนเรื่องแทน
“ก็มีธุระข้างนอกนิดหน่อยจ้ะ และก็ว่าจะแวะไปหาโบอาด้วย ไปแสดงความยินดีกับเค้าหน่อย ในที่สุดก็ได้เป็นผู้ช่วยพยาบาลเต็มตัวสักทีนะ”
“ค่ะ ต้องขอบคุณอาจารย์มากกว่า ถ้าตอนนั้นอาจารย์ไม่ช่วย โบอาก็คงไม่มีวันนี้หรอกค่ะ” ณัฐณิชาบอกพลางผายมือเชิญอีกคนเข้าไปในลิฟท์ที่เพิ่งมาถึง
“เพราะตัวของเด็กคนนั้นเองด้วยต่างหาก ที่พยายามขยันเรียนอย่างหนัก จนมีวันนี้ได้ ใครจะคิดล่ะ ว่าคนที่ดูหัวอ่อน กลัวนู่น กลัวนี่อยู่ตลอดเวลาจะทำสำเร็จจนได้”
“นั่นสินะคะ...ไม่น่าเชื่อเลย...”
ถึงปากจะพูดแบบนั้น แต่ใจจริงแล้วณัฐณิชามั่นใจมาตลอดว่าโบอาจะต้องเรียนจบแน่ เพราะโบอามีความมุ่งมั่นและแรงผลักดันที่คล้ายกับเธอ นั่นคือต้องเรียนให้จบและหางานทำให้ได้ แบบนั้นแล้วถึงจะย้อนกลับไปให้ความช่วยเหลือเด็กๆ ที่เผชิญชะตากรรมเดียวกับพวกเธอได้...
เด็กกำพร้า...
เด็กที่ไม่มีพ่อแม่ญาติพี่น้องมาคอยดูแลเอาใจใส่เหมือนคนอื่นๆ แต่พวกเธอยังถือว่าโชคดีกว่าอีกหลายคน เพราะพวกเธอยังได้รับโอกาส และเมื่อได้รับมันมาแล้ว ย่อมจะให้มันเสียเปล่าไม่ได้อย่างเด็ดขาด...
..................................................................
รัชชานนท์เดินมาดูหลักฐานที่ห้องแลบชั้น 22 ของตึกกองสอบสวนพิเศษ ตึกแห่งนี้ตั้งอยู่กลางโซน ถือเป็นจุดศูนย์กลางทางราชการ ความสูงตระหง่านถึง 77 ชั้น และไม่เคยหลับใหลทำให้แสงจากตึกดูไม่ต่างจากประภาคารที่ตั้งเพื่อรอเป็นจุดหมายของนักเดินทาง...
ปกติแล้วรัชชานนท์จะทำงานอยู่ที่ชั้นสิบ ห้องทำงานของเขามองเห็นโรงพยาบาลกลางที่อยู่ด้านข้างตึก ทางเชื่อมระหว่างตึกทั้งสองมักมีคนในชุดเสื้อกาวน์ ไม่ก็ตำรวจเดินขวักไขว่ทั้งวัน เขาไม่ค่อยได้ขึ้นมาชั้นสูงๆ นักเพราะยิ่งสูงเท่าไหร่ หน่วยงานก็ยิ่งระดับสูงมากขึ้น แต่ละคนทำได้แค่แสกนนิ้วมือและทาบบัตรประจำตัวเพื่อขึ้นชั้นของตัวเอง หากไปชั้นอื่นต้องแจ้งกับหน่วยงานรักษาความปลอดภัย ซึ่งถือได้ว่ามีความสามารถไม่ต่างกับกรมตำรวจเลยทีเดียว
ก๊อกๆ
เขาเคาะประตูกระจกขุ่นทันทีที่เห็นป้ายห้อง จากกระจกมองเข้าไปเห็นเงาคนมัวๆ จึงแน่ใจว่าธารธีอยู่ในนั้น ร่างสูงเปิดประตูเข้าไป
“มีธุระถึงขนาดต้องขึ้นมาบนนี้เลยเหรอ”
เสียงห้าวๆ ของนักนิติวิทยาศาสตร์สาวมาดเท่เอ่ยโดยไม่มอง สายตาของเธอยังอยู่กับกล้องจุลทรรศน์ตรงหน้า
“ฉันเอาของมาให้” รัชชานนท์ตอบ “แล้วก็อยากรู้ผลของหลักฐานบ้านนายพลอีวานนอฟด้วย
“คนร้ายของคดีนี้เข้ามาได้อย่างเงียบเชียบเพราะมีการเจาะข้อมูลแฮกระบบรักษาความปลอดภัย แต่ถึงอย่างนั้นก็มีฝีมือไม่ใช่ย่อยเลยล่ะเพราะหลักฐานมีน้อยมาก ว่าแต่เอาอะไรมาล่ะ”
ธารธีละสายตาจากกล้องตรงหน้า หันมามองผู้กองเต็มสองตา รัชชานนท์จึงหยิบของที่เขาเตรียมมาจากในกระเป๋าด้านในเสื้อสูท
“เดี๋ยวนี้ยูนิฟอร์มสากลของตำรวจดูไม่ต่างจากพวกพ่อบ้านเลยนะ” ธารธีมองสูทสีน้ำตาลเข้มของรัชชานนท์ คำพูดดูถูกกรายๆ ของเธอทำให้เขาขมวดคิ้ว แล้วเปลี่ยนมายิ้มน้อยๆ
“นายนี่ยังไม่เปลี่ยนเลยจริงๆ นะแทน”
“ไม่ต้องมาเรียกชื่อสนิทสนมขนาดนั้น งานก็ส่วนงานผู้กอง” ธารธีบอกห้วนๆ พลางหยิบกล่องนั้นมา แค่ความยาวของมัน ธารธีก็พอเดาได้
“ผู้พันเจมส์อยากให้ตรวจเทียบอย่างละเอียด” เสียงของรัชชานนท์ปรับต่ำลงเมื่ออีกฝ่ายวางท่าใส่ “อยากให้นายทำให้เสร็จภายในสัปดาห์นี้ เราต้องรีบจัดการโจรนั่น เวลานี้กลุ่มผู้นำโลกยังไม่จับตามอง แต่ถ้าโซนเรามีปัญหาขึ้นมา นายคงรู้ว่าเป็นยังไง”
ธารธียังคงนิ่ง เธอเปิดกล่องออก สายตาเป็นประกายแวบหนึ่ง
“นี่มัน...”
“ใช่ ขนนกสีเพลงของแท้เมื่อสิบสองปีก่อนมันตกอยู่ในที่เกิดเหตุ กรมตำรวจต่างประหลาดใจ มันเหมือนขนนกจริงมาก ดูมีชีวิต สีสวยเหมือนเปลวไฟ สัญลักษณ์ของจอมโจรไลเบท นายหาได้ใช่ไหมว่าอันใหม่มันเป็นแบบเดียวกันหรือเปล่า"
“อืม” ร่างสูงตอบสั้นๆ รัชชานนท์จึงเดินกลับไป เขาเข้าใจดีที่เธอไม่อยากพูดด้วยสักเท่าไร
แต่ฉันก็หวังว่าการได้ทำงานด้วยกันของเราจะทำให้นายลืมเรื่องนั้นได้นะ แทน...
......................
บ่ายวันเดียวกัน...
เสียงเครื่องมือสื่อสารขนาดพกพาดังขึ้น เจ้าของร่างบางหยิบมันขึ้นมาดูว่าใครโทรเข้ามา ก่อนจะกดรับทันทีที่เห็นสัญลักษณ์กลุ่มดาวรูปหงส์ปรากฏอยู่บนหน้าจอเทเลแกรมของเธอ
“ว่าไง ซิกนัส”
“ไงที่รัก คิดถึงซิกนัสมากไหมจ๊ะ?” เสียงปลายสายตอบกลับอย่างยียวน
“ก็ไม่นะ” คนพูดอมยิ้มพลางยักไหล่
“เบื่อจังพวกปากไม่ตรงกับใจเนี่ย... ว่าแต่...รู้สึกไหมว่างานคราวที่แล้วของเรามันเงียบไปนะ มาสร้างความครึกครื้นกันหน่อยดีไหม มีงานใหม่น่าสนใจมาอีกแล้ว แถมเป็นงานด่วนเสียด้วยสิ”
“แหม...ใจตรงกันจัง” หญิงสาวพูดเสียงทะเล้นก่อนจะเอ่ยถาม “แล้ว...งานใหม่ที่ว่ามันคืออะไรล่ะ ลองบอกมาสิ เผื่อฉันจะสนใจอยากทำ”
“ฉันมั่นใจว่าเธอจะต้องสนมันอย่างแน่นอน ฟินิกซ์”
เสียงจากปลายสายเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนที่จะมีเสียงเตือนข้อความใหม่เข้ามาที่เทเลแกรมของอีกคน ฟินิกซ์ใช้นิ้วจิ้มตรงคำว่า...
1 New massage
ภาพของชายวัยประมาณห้าสิบต้นๆ ผมทรงสุภาพสีดำแซมขาวเล็กน้อย ผิวคล้ำออกแดง ก็ปรากฏขึ้นมาบนหน้าจอของเธอ
“นี่มันรูป นายฉลอง ทำนุ รองผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของโซน SE ไม่ใช่เหรอ ฉันรู้มาว่ารัฐบาลให้เขาจัดการกับงบก้อนใหญ่ที่เป็นสวัสดิการให้พวกคนแก่ และเด็กๆ ตามสถานสงค์เคราะห์ต่างๆ นี่ ” หญิงสาวบอกพลางใช้นิ้วมือขยายภาพจากหน้าจอ
“ถูกต้อง และด้วยความอัจฉริยะของฉัน ทำให้สืบทราบมาว่า หมอนั่นหมกเม็ดเงินงบประมาณก้อนโตเอาไว้ใช้เองส่วนหนึ่ง และในวันพรุ่งนี้ นายฉลองคนนี้มีภารกิจยิ่งใหญ่ที่จะต้องเดินทางไปทำงานต่างโซน ซึ่งนั่นหมายความว่า...”
“หมายความว่า ตาจิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์นี่ จะเอาเงินที่หมกไว้ไปฟอกมาใช้ให้สบายใจเฉิบล่ะสิ ฉลาดคิดนักนะ” ฟินิกซ์ทำน้ำเสียงไม่สบอารมณ์ เธอเกลียดคนแบบนายฉลองมาก ถึงมากที่สุด เพื่อผลประโยชน์และเพื่อสนองความโลภของตนเอง คนพวกนี้ไม่ได้สนใจสักนิด ว่าคนที่รอความช่วยเหลือนั้นจะเดือดร้อนแค่ไหน
“ฉลาดแค่ไหน ก็ไม่เกินเราหรอก... จัดไหม?”
“ว่าแผนการมาเลย ไลเบทได้เวลาทำงานแล้ว”
……………………………………..
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ