Lady in the Night
1) ตอนที่ 1
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ1.
ไม่ถึงชั่วโมงหลังเกิดการโจรกรรมอุกอาจขึ้นที่บ้านของนายพลอีวานอฟ
เสียงสัญญาณไซเรนดังลั่นแทรกผ่านความเงียบสงัดยามราตรีในเขตหมู่บ้านของกลุ่มชนชั้นกลางระดับสูง ปลุกให้เหล่าผู้รากมากดีสะดุ้งตื่นขึ้นจากภวังค์อย่างประหลาดใจ เพราะเสียงที่ได้ยินนั้นมักมาพร้อมกับข่าวที่ฟังไม่รื่นหูเสมอ แสงไฟจากในบ้านขนาดใหญ่เนื้อที่กว่าร้อยตารางวาหลายหลังในละแวกใกล้เคียงที่เกิดเหตุสว่างไสวขึ้น พร้อมกับบรรดาคนขี้สงสัยแต่ไม่แสดงออกที่แง้มชายผ้าม่านเล็กน้อยเพื่อส่งสายตามองสอดแนมผ่านทางกระจกหน้าต่างบ้านของตนเอง
ชายผิวสีผู้มาเพื่อสั่งการดูจะไม่ชอบละแวกนี้สักเท่าไร เขาได้แต่นั่งเงียบๆ ทอดสายตามองดูรอบทางอย่างสังเกต... รถสีดำคาดขาวของตำรวจเปิดไซเรนส่งเสียงดังระงมไม่ต่ำกว่าสิบคัน แต่ละคันตามกันเลี้ยวผ่านประตูรั้วสีเงินเข้ามาจอดเรียงรายอยู่หน้าเคหะสถานสวยสง่า ดูทันสมัย ขนาดใหญ่พอๆ กับตำแหน่งของผู้เป็นเจ้าของมัน
เมื่อเสียงรถดับลง เสียงพูดคุยสั่งการอย่างแข็งขันรวมถึงเสียงของเครื่องมือสื่อสารก็ดังเซ็งแซ่ไปทั่วบริเวณ พร้อมกับตำรวจทั้งในและนอกเครื่องแบบหลายนายกระจายกำลังกันไปเคลียร์พื้นที่รอบบ้าน ตรวจค้นหาหลักฐานต่างๆ เท่าที่จะหาได้จากทุกซอกทุกมุม
“ผู้พันครับ...เรายังไม่เจอร่องรอยหรือหลักฐานอะไรเลยครับ”
นายตำรวจชั้นผู้น้อยเดินเข้ามาตรงจุดที่ชายวัยกลางคนผิวสีรูปร่างสูงใหญ่ท่าทางภูมิฐานยืนสังเกตการณ์อยู่ก่อนจะกล่าวรายงาน
ไม่ผิดจากที่คิดไว้จริงๆ...
พันตำรวจเอกเจมส์ถอนหายใจเบาๆ นี่เป็นครั้งที่สี่แล้วในช่วงสามเดือนที่ผ่านมาที่มีการโจรกรรมเกิดขึ้นโดยทางตำรวจไม่สามารถจะหาสิ่งที่จะสาวไปถึงตัวคนร้ายได้เลย โดยเฉพาะย่านของคนมีเงินที่ความปลอดภัยอยู่ในระดับดี หากแต่พวกเขาแทบไม่ได้หลักฐานอะไร
ราวกับว่านักโจรกรรมผู้นี้จะรู้จักทุกซอกทุกมุมของหมู่บ้าน คงศึกษามาก่อนจนมั่นใจ...
“ผู้พันครับ...” นายตำรวจหนุ่มคนเดิมเรียกซ้ำทำสีหน้าไม่ถูกเมื่อเห็นนายของเขานิ่งไปพักใหญ่เหมือนกำลังคิดอะไรอยู่
“ผมต้องไปพบท่านนายพลในบ้าน คุณไปทำงานในส่วนของคุณต่อเถอะ” พันเอกเจมส์สั่งการพลางยกสองมือขึ้นจัดปกคอเสื้อที่ยับย่นให้เรียบร้อยก่อนจะเดินหายเข้าไปในตัวบ้าน
เสียงฝีเท้ามาหยุดลงตรงหน้าประตูไม้แกะสลักลวดลายสวยงามตามแบบฉบับของผู้ดีรัสเซีย บ่งบอกให้รู้ถึงความเป็นชาตินิยมในสายเลือดของคนที่อยู่หลังประตูบานนั้น
ก๊อกๆ...
“วินเซนซ์ครับท่าน” พันเอกเจมส์เคาะประตูตามมารยาท ก่อนจะส่งเสียงแสดงตัวแล้วหมุนลูกบิดเปิดมันเข้าไป
ความที่เป็นห้องทำงานของคนระดับสูงมันจึงเก็บและกันเสียงจากภายนอกได้ดี ดังนั้นเสียงที่พันเอกเจมส์ได้ยินชัดเจนที่สุดเวลานี้ จึงเป็นเสียงเคาะปลายนิ้วมือลงบนโต๊ะไม้ ทีละนิ้วๆ เรียงจากนิ้วก้อยไปถึงนิ้วชี้ เคาะวนไปวนมาอยู่อย่างนั้น ในห้องไม่สว่างมากนักแต่ก็มีแสงมากพอจะทำให้เห็นสีหน้าหงุดหงิดของชายวัยห้าสิบปลายๆ ในชุดนอนนั่งอยู่หลังโต๊ะทำงาน
บรรยากาศค่อนข้างตึงเครียด...
แต่แม้จะวางท่าเพียงใด มันก็ไม่สามารถทำคนที่เพิ่งเดินเข้ามาแสดงออกถึงความร้อนรน อย่างที่เจ้าของห้องนั้นต้องการให้เป็น
“ท่านนายพล” พันเอกเจมส์ขยับตัวมาตรงกลางห้อง เขายืดตัวตรงเล็กน้อยแล้วค้อมศีรษะ แสดงออกถึงความเคารพให้กับคนตรงหน้า
ปึ้ง!
เสียงเคาะปลายนิ้วหยุดลง เปลี่ยนเป็นเสียงตบโต๊ะดังสนั่น พร้อมกับเสียงล้อของเก้าอี้ครูดกับพื้นไม้เพราะคนที่นั่งอยู่ผุดลุกขึ้นยืนด้วยความใจร้อน ไม่สนว่าพนักพิงของเก้าอี้ที่ไถลไปจากแรงดันนั้นจะไปฟาดเข้ากับชั้นหนังสือด้านหลังเต็มแรงจนหนังสือหลายเล่มเกือบจะร่วงลงมา ชายร่างท้วมผู้เป็นเจ้าของบ้านหยิบบางสิ่งบางอย่างออกมาจากกล่องสีน้ำตาลบนโต๊ะให้ผู้พันเจมส์ได้เห็นเต็มสองตา
“ผู้พัน... คุณช่วยอธิบายให้ผมฟังหน่อยได้มั้ย? ว่าไอ้ขนนกพิลึกนี่มันกลับมาอีกได้ยังไง?”
ผู้พันผิวเข้มมองดูขนนกสีเพลิงตรงหน้า ความยาวกว่าฟุต สีแดงเพลิงราวกับเปลวไฟแบบนี้ทำให้เขาหวนนึกย้อนกลับไปถึงบุคคลที่ใครในยุคเขาต่างก็รู้จักเป็นอย่างดี
“จอมโจรไลเบทงั้นเหรอครับ...?”
น้ำเสียงของเจมส์เต็มไปด้วยความสงสัย สีหน้าเขาตื่นตะลึงไม่แพ้กัน...!
…………………………………
“เฮ้อ...”
หญิงสาวถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อนจากการที่ต้องทำงานหนักหน่วงมาทั้งวัน ดังขึ้นพร้อมกับมือที่เอื้อมไปเปิดประตูห้องน้ำ กองเสื้อผ้าที่สวมใส่แล้วถูกถอดวางกองทิ้งไว้ที่หน้าห้อง ร่างบางเปลือยเปล่าก้าวเข้าไปยังหลังม่านสีขาว มือเรียวงามหมุนฝักบัวเปิดออกให้น้ำอุ่นๆ ไหลลงมาสัมผัสกับใบหน้าขาวเนียนใสดูอ่อนหวาน เรือนผมยาวสีน้ำตาลเปียกชุ่มไปด้วยน้ำและแชมพูกลิ่นหอมจางๆ สองมือถูกยกขึ้นมาขยี้ผมพลางฮัมเพลงในลำคอเบาๆ พร้อมกับโยกย้ายส่ายเอวเล็กน้อยตามจังหวะเพลงอย่างอารมณ์ดี กระทั่งเสียงเรียกเข้าของเครื่องมือสื่อสารที่วางอยู่ตรงอ่างล้างหน้าดังขึ้น
“รับสาย” ร่างบางพูดเสียงดัง พลันหน้าจอที่ปรากฏชื่อคนโทรเข้าเปลี่ยนเป็น ON CALL แทน
“Hello” เธอกล่าวเป็นภาษาสากลเพราะไม่รู้ว่าคนที่โทรเข้ามาเป็นใครและใช้ภาษาอะไรในการสื่อสาร
“คุณหมอณัฐณิชา ผมผู้พันเจมส์ วินเซนซ์นะ...”
เสียงจากปลายสายตอบกลับมา ชื่อของบุคคลที่โทรเข้ามาทำให้หญิงสาวรีบปิดน้ำฝักบัวและออกมายกเจ้าเทเลแกรมรุ่นใหม่ล่าสุดที่ได้มาจากทางการ (เชิงอรรถ : ชื่อเรียกของโทรศัพท์มือถือในยุคนั้น) ขึ้นมาสนทนาทั้งที่ตัวยังเปื้อนฟองสบู่อยู่ด้วยความแปลกใจ
“ค่ะท่าน”
“ผมมีเรื่องด่วนจะรบกวน คุณรีบมาที่เกิดเหตุเดี๋ยวนี้เลย มีคนบาดเจ็บหลายคน ผมจะส่งแผนที่ไปให้นะ...”
ณัฐณิชายังไม่ทันได้ตอบรับหรือปฏิเสธ ปลายสายก็ถูกตัดไปเสียแล้ว
“เยี่ยม” คุณหมอสาวถอนใจอย่างเหนื่อยหน่าย “ตัวยังไม่ทันจะถึงเตียงก็ต้องออกไปทำงานอีกแล้วเหรอเนี่ย นี่ฉันควรจะขอลาหยุดหรือลาออกไปเลยดีมั้ย?”
เทเลแกรมสีดำเงาวับถูกโยนลงไปคว่ำกลิ้งคว่ำหงายอยู่บนเตียง ขณะที่เจ้าของมันกลับเข้าไปล้างคราบฟองสบู่ที่แห้งแล้วออกจากตัวอย่างรวดเร็ว
“บ่นไปก็เท่านั้น ยังไงก็ต้องไป ก็งาน งาน งานนี่นา” เธอพึมพำกับตัวเองไปเรื่อยเปื่อย ถึงจะรู้อย่างนั้นแต่เธอก็เลิกบ่นไม่ได้ อย่างไรก็ตามเธอยังอยากอยู่ห้องนี้ อยากเป็นคุณหมอต่อไป
.........................................
อีกมุมหนึ่งของเมือง...
ย่านของชนชั้นกลางทั่วไปซึ่งอาศัยเป็นกลุ่มใหญ่ที่สุดของโซน ผู้คนส่วนใหญ่เลิกงานแล้วก็แวะหาเบียร์เย็นๆ ดื่มสักแก้ว บ้างก็หาอาหารรับประทานในห้างที่ใหญ่ที่สุดและมีเพียงแห่งเดียวของโซน มันอาจไม่สะดวกสบายนักแต่พวกเขาก็มีอิสระและมีสิทธิเท่าเทียมมากกว่าฝั่งใต้ของโซนมาก
คนที่นี่อยู่แบบพอมีพอกินและเป็นมันสมองให้กับโซน...
แม้ข้างนอกจะคึกคัก แต่ยังมีหลายคนที่เพิ่งเลิกงานและอยากกลับบ้านเต็มแก่ เช่นเดียวกับรัชชานนท์ที่ขับรถประจำตำแหน่งสีดำสนิทเข้ามาจอดหน้าบ้านหลังเล็กดูอบอุ่น
พอลงจากรถ ทันทีที่ร่างสูงท่าทางทะมัดทะแมงก้าวเข้ามาในบ้าน อาหารจากในห้องครัวก็หอมโชยกลิ่นลอยออกมาเตะจมูก ผู้กองรัชชานนท์อยู่ในชุดนอกเครื่องแบบเสื้อเชิ้ตกางเกงยีนส์ดำรัดรูป ท่าทางทะมัดทะแมง ใบหน้าเรียวเข้มแบบเอเชียดูพึงพอใจที่มีของกินรอแบบนี้ เขารีบเดินเข้าไปด้านในทันที ถ้าให้เดาจากกลิ่นแล้ว ของอร่อยวันนี้ต้องเป็นสุกี้น้ำฝีมือของอรินเป็นแน่
รัชชานนท์ทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ สุกี้น้ำใส่ไข่เน้นผักเยอะๆ ก็ถูกหญิงสาวคนหนึ่งเสิร์ฟจานร้อนให้อย่างรวดเร็ว ไม่ผิดจากที่เขาเดาเลยสักนิด
“ว่าแล้วว่าต้องเป็นสุกี้ หอมจัง ออกเวรดึกมาทั้งทีได้ซดอะไรอุ่นๆ แบบนี้ค่อยยังชั่วหน่อย” รัชชานนท์ยิ้มกรุ้มกริ่มให้สาวน้อยผิวขาววัยใส ผมบ๊อบซอยสั้นสีน้ำตาลแดง ไว้หน้าม้าปัดรับกับใบหน้าน่ารัก ดวงตากลมโตมองแล้วน่าเอ็นดูที่นั่งอยู่อีกฝั่งของโต๊ะอาหาร
“ก็เห็นมันดึกมากแล้วน่ะสิ เลยคิดว่าไอ้นี่น่าจะเหมาะที่สุดทั้งผักทั้งซุปจะได้หลับสบาย น่ากินก็กินเยอะๆ เลยนะ ในครัวยังมีอีกค่ะ”
“แน่นอนอยู่แล้วจ้า” เขาบอกพลางตักใช้ช้อนตักน้ำซุปร้อนๆ เข้าปาก
“ว้าว... หวานน้ำต้มผักมากๆ” รัชชานนท์ยิ้ม หายเหนื่อยจากงานรัดตัวทั้งวันเป็นปลิดทิ้ง แต่พอจะเริ่มลงมือกินอย่างจริงจัง สาวน้อยวัยสิบเก้าก็เรียกไว้ก่อน
“พี่รัชคะ”
“หืม...?”
“เทเลแกรมพี่สั่นแหนะ”
ร่างสูงวางช้อนลง มองเห็นชื่อของผู้พันเจมส์ วินเซนซ์โชว์หราอยู่บนหน้าจอ และกดรับสายทันที
“ครับท่าน”
“ผู้กองรัช ผมต้องการให้คุณมาที่เกิดเหตุทันที นี่เป็นคำสั่งด่วน” สิ้นเสียงสายก็ถูกกดวางไปในทันที
อริน รีบลุกออกไปจากตรงนั้นและเลี่ยงไปที่ครัวเหมือนนึกได้ว่าทำอะไรค้างไว้ แต่ในใจพลางคิดว่าของโปรดของรัชชานนท์ที่เธอตั้งใจปรุงสุดฝีมือคงต้องเป็นหมันอีกตามเคย ไม่ทันไรเสียงของรัชชานนท์ก็ดังแว่วมา
“อริน เดี๋ยวพี่...”
“ทราบแล้วค่าพี่รัช ต้องปิดหน้าต่าง ประตูทุกบาน เปิดเซ็นเซอร์กันพวกขโมยก่อนเข้านอน” อรินรีบพูดสวนทันที เรื่องพวกนี้เธอทำมันทุกวันจนบางครั้งยังเผลอคิดไปว่ามีใครแอบมาตั้งโปรแกรมในสมองเธอหรือเปล่านะ
รัชชานนท์ยิ้มน้อยๆ ก่อนจะลงมือตักสุกี้เข้าปาก เคี้ยวตุ้ยๆ ให้ไวที่สุด ทั้งหิวและไม่อยากเสียน้ำใจ ก่อนจะวางชามแล้ววิ่งพรวดไปทันทีที่แผนที่ถูกส่งเข้ามาในเทเลแกรม
เขาหยิบเทเลแกรมวางบนแท่นสีดำสนิทด้านหน้าคอนโซลรถ ไม่นานแผนที่ก็ถูกฉายลงบนกระจกหน้าบานใหญ่เหมือนภาพเลเซอร์สีชมพูเข้มตรงหน้าเบาะข้างคนขับพอจะเห็นง่ายดาย บอกให้เห็นทั้งเส้นทางและจำนวนความหนาแน่นกับระยะเวลาที่จะไปถึง พร้อมกับเสียงโอเปอเรเตอร์ที่คอยบอกทางเขา
รัชชานนท์ถอนหายใจเฮือกใหญ่...
ถ้าของหลวงจะทันสมัยขนาดนี้ เขาก็คงไม่ต้องใช้สมองคิดอะไรนัก ชายหนุ่มแค่ขับตามทางก็พอสินะ
…………………………………………………
ย่านคนรวยของโซน SE
ที่นี่คือจุดที่อากาศเป็นพิษน้อยที่สุด บรรยากาศดีที่สุด อุณหภูมิ อบอุ่นตลอดทั้งปี เรียกได้ว่ามันคือย่านในฝันของทุกคน ไม่ต้องกังวลว่าการรักษาความปลอดภัยนั้นจะดีเยี่ยมสักเพียงใด...
ดึกขนาดนี้ คนในย่านพักผ่อนกันหมดแล้ว เว้นแต่แสงไฟซีนอนสีเขียวส่องวูบวาบกับพื้นถนนทันทีที่รถเปิดประทุนรุ่นลิมิทเต็ดที่ผลิตเพียงไม่กี่คัน เลี้ยวเข้ามาจอดหน้าคฤหาสน์หรูในย่านของชนชั้นสูงโซน S.E. รถขับมาด้วยความเร็วและเบรกส่งเสียงดังสนั่นชนิดที่คนในบ้านวิ่งพรวดออกมาดูแทบไม่ทัน
คนรับใช้สามคนที่ยืนรอรับคุณหนูของพวกเขามาตั้งแต่ก่อนสี่ทุ่ม รีบตรงเข้ามาเปิดประตูฝั่งคนขับทันทีที่รถจอด พร้อมกับโค้งตัวลงอย่างอ่อนน้อม ร่างสูงท่าทางหยิ่งๆ ตามแบบฉบับลูกผู้ดีในชุดสูทแฟชั่นสีขาวกับกางเกงยีนส์สีดำเอวต่ำเดินก้าวลงมาจากรถ ผมสีน้ำตาลประกายทองซอยสั้นระดับต้นคอถูกจัดทรงให้รับกับใบหน้าลูกครึ่งเอเชีย-ยุโรป พร้อมกับกลิ่นฉุนที่ลอยฟุ้งตีกันจนแยกไม่ออกว่ากลิ่นไหนน้ำหอม กลิ่นไหนแอลกอฮอล์
“กลับมาแล้วเหรอครับคุณแทน” พ่อบ้านใหญ่ประจำคฤหาสน์เอ่ยถาม
“ก็เห็นอยู่” คนถูกถามตอบสั้นๆ แล้วโยนเสื้อสูทให้พ่อบ้านพลางปลดกระดุมบนของเสื้อเชิ้ตสีขาวนวลด้านใน ก่อนจะถามกลับ “คนอื่นๆ หลับกันหมดรึยัง”
“หลับกันหมดแล้วครับ ยกเว้นแต่...”
ช่องว่างที่พ่อบ้านเว้นไว้ไม่ยอมตอบทำให้ แทน หรือ ธารธี โรมเวลล์ ลูกสาวคนสุดท้องของตระกูลโรมเวลล์ทราบในทันทีว่าใครรอเธออยู่ในบ้าน สาวเท่ขมวดคิ้วทั้งที่คิดไว้แล้วว่าจะต้องเจอแบบนี้
“กลับมาแล้วเหรอตัวดี นี่มันกี่โมงกี่ยามแล้วรู้บ้างไหม? หือ... อะไรกัน กลิ่นเหล้าหึ่งเชียว” หญิงสาววัยใกล้เลขสาม ท่าทางดูเป็นคูณหนูผู้ดีรีบเดินตรงรี่เข้ามาหาผู้เป็นน้องสาวทันทีที่ธารธีเปิดประตูเข้ามาด้านในของคฤหาสน์
“ปกติคนแก่เค้านอนเร็วกันไม่ใช่เหรอ ทำไมพี่ยังไม่นอน เดี๋ยวหน้าก็เหี่ยวไปกว่านี้หรอก เบื่อฟังพี่บ่นนะ อีกอย่างไม่มีใครกล้าทำอะไรคนตระกูลโรมเวลล์หรอกน่า” เธอตอบกลับพี่สาวที่ชอบจับผิดมาแต่ไหนแต่ไร ทั้งที่เข้าใจดีว่าในความปากร้ายของพี่สาวแฝงความห่วงใยตัวเธอเอาไว้ด้วย
แต่คนมันปากเสียต่อให้ในสมองคิดดีแต่ก็พูดดีๆ ไม่ค่อยได้
“เธอนี่!...”
“จุ๊ๆ...” คนปากเสียทำทีหรี่ตาลง ทำปากจู๋ด้วยท่าทางยียวน พร้อมกับยกนิ้วชี้ขึ้นมาแตะไว้ที่ริมฝีปากบ่งบอกว่าให้พี่สาวของเธอสงบศึกก่อน พลางหยิบเทเลแกรมจากกระเป๋ากางเกงที่กำลังสั่นหงึกๆ ขึ้นมาโชว์ว่ามีสายเข้าก่อนจะกดรับสาย
“Hello”
“คุณธารธี ผมพันเอกเจมส์ วินเซนซ์ ผมต้องการให้คุณไปตรวจสอบหลักฐานในที่เกิดเหตุเดี๋ยวนี้เลย ผมส่งแผนที่ให้คุณเรียบร้อยแล้ว”
และสายก็ถูกตัดไปโดยไม่สนว่าคนรับสายจะหน้าบึ้งตึงแค่ไหน พร้อมกับที่หน้าจอของเทเลแกรมปรากฏคำว่า
1 massage
เมื่อเธอกดเปิดข้อความ ภาพแผนที่แบบสามมิติถูกฉายออกมาจากหน้าจอของเทเลแกรม มีจุดแดงๆ ที่มีชื่อของธารธีกระพริบบอกให้รู้ว่าตัวเธออยู่ที่ไหน เส้นสีน้ำเงินลากออกจากจุดสีแดงไปยังจุดมุ่งหมายที่บ้านของนายพลอีวานนอฟ ร่างสูงก็หันมาทำหน้าผิดหวังด้วยนัยน์ตาเจ้าเล่ห์ใส่พี่สาว
“ว้า... แย่จัง อดฟังปาฐกถาเลย เดี๋ยวแทนไปทำงานก่อนแล้วจะมาให้บ่นใหม่นะจ๊ะพี่สาว จุ๊บๆ”
………………………………………….
ครึ่งชั่วโมงหลังจากนั้น...
ณัฐณิชามาถึงที่เกิดเหตุด้วยความอ่อนเพลียเล็กน้อย เธออยู่ในชุดเสื้อกาวน์สีขาว ในมือถือกล่องปฐมพยาบาลกำลังเดินลัดสนามหญ้าหน้าบ้านของนายพลอีวานนอฟเข้าไปด้านในตัวบ้าน สองตาสอดส่องไปทั่วบริเวณเพื่อมองหาคนเจ็บ
นี่ถ้าไม่มีใครบอกเธอว่าที่นี่เป็นสถานที่เกิดเหตุ เธอคงคิดเอาเองว่านี่คือสถานีตำรวจสุดหรูเป็นแน่ ดูจากจำนวนนายตำรวจที่เดินสวนกันไปอย่างกับเดินสวนสนาม ประมาณคร่าวๆ ด้วยสายตาไม่น่าต่ำกว่าสิบนาย
“คนใหญ่คนโตก็อย่างเงี้ย ชอบทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ กะอีแค่ขโมยขึ้นบ้านก็ไม่น่ามีใครบาดเจ็บถึงตายสักหน่อย” คุณหมอสาวเดินไปบ่นไป จนกระทั่งสายตาไปสบเข้ากับผู้กองรัชชานนท์ที่กำลังยืนคุยอยู่กับตำรวจสองสามนาย หญิงสาวนึกคุ้นๆ หน้าเหมือนเคยเจอกันที่ไหน จนกระทั่งตำรวจหนุ่มหันมาเห็นและเป็นฝ่ายส่งยิ้มให้เธอ ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนของเขาดูแปลกใจไม่ต่างจากหญิงสาว
เอ... ทำไมคุ้นหน้าเขาจังนะ
พอคิดออกว่าอาจจะเคยเจอกันมาก่อน คุณหมอสาวสวยก็ยิ้มตอบ ร่างสูงโปร่งของรัชชานนท์จึงหยุดสนทนาแล้วเดินตรงเข้ามาทางเธออย่างช้าๆ พร้อมกับรอยยิ้มอบอุ่นจนหญิงสาวรู้สึกได้ว่าเขาสนใจเธอ ร่างบางเห็นเข้าก็ยืนรอตามมารยาท
จู่ๆ ก็มีใครคนหนึ่งเดินมายืนขวางตรงกลางระหว่างเธอกับเขา แถมใครคนนั้นยังไม่ได้มองเธอกับรัชชานนท์เลยสักนิด เพียงแค่ก้าวมาขวางแล้วบ่นพึมพำ
“อะไรกันเนี่ย คนเยอะอย่างกับงานเลี้ยงขนาดนี้ จะเรียกมาทำไมอีก”
ธารธี นักนิติวิทยาศาสตร์สาวมือดีของกองสืบสวนพิเศษสากลสากลมายืนมองซ้ายมองขวาอยู่เบื้องหน้า ขวางเธอกับรัชชานนท์อย่างจัง ท่าทางดูเหมือนพวกคุณชายอวดดีทั้งที่ดูออกว่าเป็นหญิง แต่งตัวทะมัดทะแมงแถมยังไม่ใส่เสื้อคลุมของกองสืบสวนพิเศษสากลสากลแบบคนอื่นๆ แต่งตัวอย่างกับหลุดออกมาจากนิตยาสารออนไลน์
คนอะไร ไม่มีมารยาทเลย ไม่เห็นหรือไงว่าคนเค้าจะทักทายกัน...?
ณัฐณิชาย่นคิ้วนึกในใจ เคยเห็นสาวเท่คนนี้จากในข่าวสังคมบ่อยๆ เคยสวนกันบ้างในที่ทำงาน แต่ไม่เคยรู้สึกหมั่นไส้เท่าวันนี้
เหมือนอีกฝ่ายจะรู้ความคิดของเธอ ธารธีหันมาหรี่ตามองคุณหมอสาวทีหนึ่งก่อนจะยักคิ้วใส่ หญิงสาวยืนนิ่ง แล้วจู่ๆ ธารธีก็มองลงไปที่พื้นตรงหน้าของก่อนจะเดินหายไปดูหลักฐานที่ตกพื้น เมื่อพ้นสายตาไปแล้ว คุณหมอสาวก็หันไปมองรัชชานนท์อีกครั้ง ไม่ทันที่ทั้งคู่จะได้คุยกัน ตำรวจนายหนึ่งก็มาตามรัชชานนท์ไป
“ไว้ค่อยทักแล้วกัน...” คุณหมอสาวบอกกับตัวเองก่อนจะมุ่งตรงไปยังตัวบ้านเพื่อรีบไปทำหน้าที่ของเธอ...
………………..
ภายในห้องรับแขก...
ณัฐณิชาเห็นบอดี้การ์ดหนุ่มเอาผ้าเช็ดหน้ากดแผลที่หน้าผากนั่งเอนหลังอยู่บนโซฟาสีครีมตัวยาว เธอจึงเดินเอากล่องปฐมพยาบาลไปวางบนโต๊ะรับแขก ก่อนจะหยิบถุงมือขึ้นมาสวมเอาไว้ทั้งสองข้าง ใบหน้าสวยๆ ของเธอทำเอาหนุ่มผู้โชคร้ายดูมีชีวิตชีวาขึ้น
“ไหน...ขอดูแผลหน่อยซิ” เธอบอกกับคนเจ็บก่อนจะหยิบผ้าเช็ดหน้าที่เปรอะเลือดออก บอดี้การ์ดหนุ่มเบ้หน้าเล็กน้อยเมื่อเธอใช้สำลีชุบแอลกอฮอล์เช็ดรอบๆ แผลเบาๆ ก่อนจะพูดต่อ
“โชคดีนะ แผลไม่ลึกมาก ไม่กี่วันก็หาย...”
คุณหมอสาวเอาสำลีชุบยาสีน้ำตาลเข้มมาจนชุ่มโปะมันลงบนแผล คนเจ็บถึงกับสะดุ้งเล็กน้อย รอยยิ้มจางๆ แต้มอยู่บนใบหน้าของณัฐณิชาทันที ผ้ากอตถูกหยิบมาวางทับบนสำลีตามด้วยสกอตเทปสีขาวขุ่นแปะทับอีกชั้นกันไม่ให้สำลีหลุดออกมา
“เสร็จแล้ว” เธอบอกหลังจากที่เช็คความเรียบร้อยของผ้าพันแผลแล้ว คนเจ็บผงกหัวเล็กน้อยพลางกล่าว
“ขอบคุณครับ”
คุณหมอตอบรับคำขอบคุณนั้นด้วยรอยยิ้มก่อนจะเอ่ยถาม “มีคนเจ็บคนอื่นอีกไหม?”
“มีอีกสองคนครับ ถูกยิงกับหมดสติ แต่รถพยาบาลมารับไปแล้ว” เขาตอบ
“โอเคจ้ะ ถ้างั้นก็ไม่มีอะไรแล้ว พักวันสองวันก็หาย” พูดจบณัฐณิชาก็หันไปเก็บอุปกรณ์ต่างๆ ลงกล่องพยาบาล ในเมื่อไม่มีคนเจ็บแล้วก็หน้าที่ของเธอก็คงหมดแค่นี้ ในใจนึกสงสัยว่าถ้สมีรถพยาบาลแล้วผู้พันเจมส์จะเรียกเธอมาที่นี่เพื่ออะไร
ช่างมันเถอะ กลับดีกว่าเรา ในที่สุดก็จะได้พักสักทีนะเรา...
หญิงสาวคิดในใจพลางยกกล่องพยาบาลขึ้นมาและเดินตรงไปที่ทางออกด้วยความเหนื่อยอ่อน ทว่ายังไม่ทันจะก้าวออกจากตัวบ้าน เสียงเรียกก็ทำให้เจ้าของชื่อหยุดเดิน
“คุณหมอณัฐณิชา” พันเอกเจมส์ก้าวลงจากบันไดบ้านชั้นสองมาหยุดอยู่ตรงหน้าเธอ หญิงสาวหันขวับมาเผชิญหน้ากับหัวหน้าระดับสูงของกองสืบสวนพิเศษสากลผู้โทรเรียกตัวเธอมา
“คะท่าน?” ณัฐณิชายืนนิ่งๆ ไม่รู้ว่าควรจะทำสีหน้าแบบไหนและควรจะพูดอะไร
“รอผมอยู่ตรงนี้ก่อน เดี๋ยวผมมา” พูดจบพันเอกเจมส์ก็เดินหายออกนอกบ้านไปเสียอย่างนั้น
“ค่ะท่าน...” เธอตอบรับลอยๆ เผื่อว่ามันจะลอยตามไปเข้าหูคนสั่งการบ้าง
ทำไมผู้พันไม่อยู่รอฟังคำตอบเสียบ้างนะ นี่ถ้าฉันเกิดบอกว่าไม่รอค่ะ มีธุระ ปวดท้อง หรือกำลังจะเสียเลือดหมดตัว ท่านจะรู้ไหม เผด็จการจริงๆ ไม่ให้โอกาสคนอื่นเค้าปฏิเสธบ้างเลย เฮ้อ...
ถึงคุณหมอสาวจะบ่นยาวเหยียดอยู่ในใจแต่เธอก็ปฏิบัติตามคำสั่งอย่างเคร่งครัด ยืนรอนิ่งๆ อยู่กับที่กลางห้องรับแขกโดยไม่ขยับไปไหน จนกระทั่งพันเอกเจมส์กลับเข้ามาพร้อมกับผู้ติดตามอีกสี่คน ซึ่งสองคนในนั้นมีผู้กองรัชชานนท์ และธารธีรวมอยู่ด้วย
คนหนึ่งหันมาเห็นเข้าก็ยิ้มให้เธออย่างอ่อนโยนอีกครั้ง ส่วนอีกคนทำอย่างกับว่าเธอไม่ได้ยืนอยู่ตรงนั้น ท่าทางอวดดีบอกไม่ถูก...
“เดี๋ยวพวกคุณทั้งหมดตามผมมา ผมจะพาไปพบท่านนายพล” พันเอกเจมส์ออกคำสั่งก่อนจะก้าวขึ้นบันได ทั้งห้าคนรวมทั้งณัฐณิชา ทั้งหมดเดินตามผู้เป็นนายไปเงียบโดยไม่มีการพูดคุยกัน
เมื่อพวกเขาก้าวเข้ามาในห้องทำงานของนายพลอีวานอฟกันจนครบ ผู้กองรัชชานนท์และนายตำรวจหนุ่มอีกสองคนก็แสดงความเคารพต่อผู้บังคับบัญชา รวมถึงณัฐณิชากับธารธีต่างยืดตัวตรงแสดงความเคารพเช่นกัน
“นี่คือผู้กองรัชชานนท์ หมวดลูคัสและหมวดไท ส่วนอีกสองคนเป็นฝ่ายของโรงพยาบาลกลาง คุณหมอณัฐณิชา กับธารธี นักนิติวิทยาศาสตร์ครับ” ร่างสูงหันไปแนะนำทุกคนให้เจ้าของบ้านฟัง
จากนั้นผู้พันเจมส์ก็เริ่มอธิบายเหตุผลว่าทำไมถึงต้องพาพวกเขาทั้งห้าคนจึงต้องขึ้นมาที่นี่
“ที่ผมเรียกพวกคุณมาพร้อมกันในห้องนี้ เพราะผมต้องการให้พวกคุณดูบางสิ่ง”
หลังจากที่ผู้พันเจมส์พูดจบ นายพลอีวานนอฟก็หยิบขนนกสีเพลิงขึ้นมาจากกล่องไม้บนโต๊ะทำงานของเขา ทั้งสี่มีสีหน้าประหลาดใจ เว้นก็แต่รัชชานนท์ที่ดูจะรู้อะไรมากกว่าคนอื่น
“คุณรู้ว่ามันคือสัญลักษณ์ของอะไรใช่ไหม ผู้กองรัชชานนท์” ผู้พันเจมส์เอ่ยถามขึ้นเมื่อเห็นท่าทางที่ตำรวจหนุ่มแสดงออกมา
“ครับท่าน” รัชชานนท์ก้าวออกมาพูด ทั้งสี่คนที่เหลือดูจะตั้งหน้าตั้งตาฟังในสิ่งที่เขากำลังจะอธิบายเป็นอย่างดี
“สัญลักษณ์ขนนกสีเพลิงเคยเกิดขึ้นในโซนของเราเมื่อราวๆ สิบกว่าปีที่แล้ว มันคือสัญลักษณ์ ที่นักโจรกรรม นามว่าไลเบท มักจะทิ้งไว้ในที่เกิดเหตุเพื่อเยอะเย้ยตำรวจ และเท่าที่ทราบกันดีว่าจอมไลเบทตายไปแล้วนับตั้งแต่การระเบิดครั้งนั้น”
“ใช่แล้ว” ผู้พันเจมส์พูดเสริมต่อจากรัชชานนท์ “ตามแฟ้มคดีจากกองสืบสวนพิเศษสากลสากล นักโจรกรรมที่ใช้ชื่อว่า จอมโจรไลเบท เสียชีวิตไปพร้อมกับตึกที่ถล่มเพราะแรงระเบิด เมื่อปี 2032 แต่ไม่มีใครพบศพ เป็นเพียงคำให้การจากตำรวจในที่เกิดเหตุเท่านั้น อย่างที่รู้ว่าฉากหน้าเขาเป็นโรบินฮู้ดแต่เบื้องหลังต้องการทำลายระบบกฏหมายและเป็นอาชญากรที่ตำรวจต้องการตัวที่สุดในเวลานั้น”
“เขาตายไปแล้วนี่ครับ” หมวดไทพูดขึ้น เขาอายุราวๆ สามสิบปี ท่าทางจะชอบคดีไลเบทไม่น้อย “แม้จะไม่พบศพทั้งหมด แต่ชิ้นส่วนที่เก็บได้จากที่เกิดเหตุก็ระบุว่าเขาเสียชีวิตแล้วแน่นอน”
แหงล่ะ เก็บขั้วลำไส้เล็กได้ขนาดนั้น
ณัฐณิชายังจำข่าวได้ดี เธอรู้สึกขยาดเล็กน้อยสมัยที่ยังเด็ก แต่เดี๋ยวนี้เห็นทั้งแผล ทั้งศพจนชาชิน...
“แสดงว่า เป็นไปได้ว่า จอมโจรไลเบทกลับมาอีกแล้วใช่ไหมครับ” นายตำรวจคนที่ยืนอยู่ข้างๆ ณัฐณิชาพูดขึ้น
“ผมยังไม่ได้สรุปอะไร อาจเป็นแค่การลอกเลียนแบบ คดีนี้ถือเป็นเรื่องใหญ่เพราะเจ้านักโจรกรรมรายนี้ขโมยทรัพย์สินจากในตู้เซฟไป มูลค่าไม่ต่ำกว่าล้านคอล์ย และเพื่อให้การสืบสวนดำเนินไปอย่างรวดเร็ว ผมจึงขอแต่งตั้งให้พวกคุณเป็นทีมพิเศษ เพื่อตามคดีของเจ้านักโจรกรรมคนนี้โดยเฉพาะ เพราะผมมั่นใจว่า มันต้องก่อเหตุอีกแน่ ไม่ช้าก็เร็ว”
ทีมอย่างนั้นเหรอ...
สีหน้าคุณหมอสาวดูกังวลขึ้นมาเล็กน้อย เธอยังไม่เคยร่วมทีมสืบสวนแบบนี้เลยสักครั้ง ทั้งยังไม่รู้จักผู้พันเจมส์เป็นการส่วนตัว แถมยังมีคุณหมอเก่งๆ เต็มโรงพยาบาลกลางไปหมด เหตุใดเธอจึงเป็นหนึ่งในทีมได้
รัชชานนท์ที่ยืนข้างเธอหันมายิ้มให้ เขาเหมือนอยากพูดอะไร แต่เพราะต้องไปดูรายละเอียดในที่เกิดเหตุ ทำให้ทั้งสองไม่ได้ทักทายกันเสียที
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ