Music of the Heart.
9.0
1) ท่วงทำนองที่ 1 Good Morning My Live
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
Music of the Heart.
ท่วงทำนองที่ 1
Good Morning My Live
ณ เกรทไลฟ์ซิตี้ เป็นเมืองที่ที่เจริญรุ่งเรืองมากกว่าเมืองรอบข้าง สถานที่ท่องเที่ยวดึงดูดให้ผู้คนต่างพากันมาเชยชม ย่านการค้าที่ใหญ่โตพร้อมด้วยทุกอย่างที่ลูกค้าต้องการ ด้านการจราจรสะดวกและรวดเร็ว เหล่าผู้คนพากันเดินทางโดยใช้รถไฟฟ้าที่ทันสมัยประหยัดพลังงาน โรงเรียนของที่นี้สนับสนุนด้านกิจกรรมมากกว่าด้านการเรียน โดยการแบ่งชั้นเรียนเป็นสองสาย หนึ่งคือ วิทย์ด้านการประยุกต์สิ่งที่เรียนมาใช้ในชีวิตประจำวัน สองคือ ศิลป์ด้านการแสดงออกทางงานศิลป์เช่นดนตรีหรือการวาดภาพหรืออื่นๆ
ตึก! ตึก! ตึก!
“ งั้น พี่ไปก่อนนะ ”
เสียงจากเด็กหนุ่มตัวสูงสักร้อยเจ็ดสิบ ผมสีน้ำตาล นัยน์ตาสีน้ำตาล ใบหน้าดูก็ธรรมดาและดูแล้วอาจดูน่ารักมากในสายตาสาวๆหลายคน เด็กหนุ่มเอ่ยกับเด็กผู้หญิงผมสีเทาเงิน นัยน์ตาสีครามเทา ก่อนที่เด็กหนุ่มจะวิ่งออกจากบ้านในขณะที่เด็กสาวโบกมือให้ พอเดินไปสักสิบนาทีเขาเดินขึ้นบันไดซึ่งมีขั้นเล็กๆหลายขั้น เด็กหนุ่มมองฟ้าไปพลางคิดอะไรไปด้วย
...อยากให้สิ่งที่ร้ายๆผ่านมาเป็นเพียงความฝันหนึ่ง พอตื่นขึ้นอยากให้สิ่งที่ดีๆที่จะเจอเป็นความจริง...ในตอนนี้...
เด็กหนุ่มเดินคิดจนไปหยุดอยู่หน้าเครื่องขายบัตรอัตโนมัติก่อนที่จะกดปุ่มสีเหลืองแล้วรับบัตรเดินจากไป เขาเดินถือบัตรไปที่ชานชาลาที่เจ็ด ก่อนจะมองรอบๆเห็นเด็กสาวผมสั้นสีดำ ดวงตาสีน้ำตาล ไม่สูงมากสักร้อยหกสิบ ใบหน้าเธอยามอ่านหนังสือดูน่ารักมาก นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามในขณะที่ใบไม้สีส้มเหลืองกำลังร่วงโรยจากต้นไม้ข้างตัวเธอ สักครู่ก็มีประกาศมาว่า
“ ขณะนี้เวลา 7.00 น. รถไฟฟ้าขบวน D-117 กำลังจะออกจากชานชาลาแล้วกรุณาถอยห่างจากประตูด้วยค่ะ ”
เด็กหนุ่มได้ยินรีบวิ่งขึ้นรถไฟตรงหน้าทันทีก่อนสังเกตรอบข้างว่าทำไมคนมันน้อยมากๆ หรือเรียกว่าแทบไม่มีคนเลย สักพักรถไฟฟ้าเริ่มขยับที่ละนิดก่อนจะมีประกาศออกมาว่า
“ สถานีต่อไป ไบโอซิตี้ จะถึงในอีกหนึ่งชั่วโมงสามสิบนาทีกรุณาตรวจสัมภาระด้วย ”
เด็กหนุ่มที่รีบวิ่งขึ้นมาถึงกับทรุดลงกับพื้น ก่อนลุกขึ้นมองไปที่เด็กสาวนั่งอ่านหนังสืออยู่ เธอหัวเราะนิดๆก่อนที่จะพูดบางอย่างเบาๆออกมา ถึงเขาไม่ได้ยินแต่เขาพอเดาออกทำให้สีหน้าเขาเปลี่ยนสีหน้าเป็นแย่ลงทันที ก่อนเดินไปนั่งลงเบาะนั่งนุ่มๆข้างหน้าตารถไฟฟ้า ก่อนครุ่นคิดอะไรอยู่คนเดียวสักพัก
...ถึงคุณพ่อและแม่อันเป็นที่รัก ตอนนี้ผมชักอยากไปหาท่านแล้วสิครับ...
เด็กหนุ่มได้แต่นั่งคิดอยู่อย่างนั้นไปสักสามสิบนาทีก่อนที่เขาจะมองรอบๆข้างตัวเขา เขาเห็นเด็กสาวคนหนึ่งหน้าตาน่ารักผมสั้นสีดำ กำลังหลับเป็นตายอยู่บนเบาะรถไฟก่อนที่เธอจะตื่นขึ้นแล้วนั่งลงบนเบาะนั่ง เธอหันไปรอบๆก่อนทำท่าสะลืมสะลือ แล้วจ้องหน้ามาที่เด็กหนุ่มตรงหน้า ก่อนพูดขึ้นมา
“ นาย นักเรียนใหม่สินะ ชื่อว่าอะไรนะ อ๋อ ไดรฟ์ สินะ เห็นว่าสอบได้คะแนนดีมากเลยนี่ แต่ไม่นึกว่าจะเออขนาดขึ้นรถผิดคัน คิกคิก ” เด็กสาวพูดออกมาพร้อมทั้งหัวเราะออกมา เด็กหนุ่มก็พูดออกตอบกลับไปแบบอายนิดๆ
“ นี่เธอ หลับอยู่แน่หรอ เล่นโดดแต่วันแรกเลยหรอแม่คุณ เอ๋! เดี่ยวสิ นี่เธอทำไมถึงรู้จักชื่อชั้นล่ะ หรือว่าเราเคยเจอที่ไหนป่าว ” เด็กหนุ่มตกใจมากเพราะ เขาพึงเข้ามาโรงเรียนนี้ปีแรกแต่กับรู้จักเขาทั้งหน้าตา ชื่อด้วยทั้งที่ไม่เคยเจอกัน
“ ปีนี้ นักเรียนทุนมีสี่คนพอดีไม่เคยเห็นนายในโรงเรียนเลยเดาเอานะ อีกสามคนเป็นผู้หญิงเลยเดาง่าย และอีกอย่างฉันแค่ไม่อยากไปเรียนก็แค่นั้น ” จากนั้นเธอหันหน้าออกไปทางหน้าต่าง หน้าตาดูไร้ชีวิตชีวาแต่กลับดูหน้ารักนิดๆอย่างบอกไม่ถูก
ท่ามกลางความเงียบบนรถไฟฟ้าและเสียงสายลมที่เข้ามานิดๆ เด็กหนุ่มตกใจมากเพราะเคยคิดว่าโลกนี้ไม่น่ามีคนที่สามารถจำหน้าตา ชื่อ ห้อง เลขที่ ทั้งโรงเรียนได้แน่นอน ขณะที่เขากำลังจะถามขึ้น
“ เธอ... ”
“ นี่ นายนะ ทำไมเรียกว่า เธอๆๆ อยู่ได้ล่ะ คนเขาก็มีชื่อเหมือนกันนะ ฉันชื่อ มาเรีย แอน ดีโทนี่ แต่เรียกฉันว่า แอนดีกว่านะ ฉันชอบ ”
“ งั้นแอน ทำไมเธอถึงมานอนบนนี้ละ ” เด็กหนุ่มพูดออกมาหลังจากที่เด็กสาวพึ่งบอกชื่อเสร็จ เธอหันไปมองนอกหน้าต่าง ก่อนถอนหายใจเบา แล้วหันมาตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยสนใจเรื่องที่จะพูด
“ เฮ้อ…แค่ รู้สึกว่าเรียนไปก็เท่านั้น ถึงเรียนแล้วมันจะได้อะไรไม่ได้ช่วยใครได้สักหน่อย ”
... เรียนแล้วจะไปช่วยใครไม่ได้งั้นหรอ...
พอได้ยินคำพูดนั้น เขาหวนนึกถึงเด็กสาวคนหนึ่งที่ตายเพราะโรคร้ายที่ยังไม่มีทางรักษา และยังเป็นคนสำคัญของเขาอีก
“ แต่ถ้ามันเกิดขึ้นแล้ว มันจะไม่มีทางย้อนไปแก้ไขอะไรได้อีกแล้วต่างหาก ” เด็กหนุ่มตะโกนใส่หน้าเด็กสาวทำให้เธอตกใจอย่างแรงจนเธอกระเด็นไปผิงหลังกับเบาะที่อยู่หลังเธออย่างจัง เด็กหนุ่มรู้ตัวอีกที เขาก็นั่งอย่างสงบที่ตรงข้ามเธอเขาก้มหน้าไม่มองเธอเลย
“ ขอโทษนะ คงผ่านอะไรมาเยอะสินะ เดี๋ยวลงสถานีหน้าเลย ฉันจะอยู่ที่นี้จนเย็นนั้นแหละ ”เด็กหนุ่มได้ยินที่พูดเขาเงยหน้าขึ้นมามองหน้าหญิงสาวที่ไร้อารมณ์และกำลังมองออกไปนอกหน้าต่าง เขาลุกขึ้นแล้วหันมามองเธอเล็กน้อยก่อนจะ...
กึกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก....ตึง!
“ เรียนผู้โดยสารโปรดทราบเนื่องจาก รถไฟฟ้าเกิดไฟดับชั่วคราวขอให้ทุกท่านนั่งประจำที่ให้เรียบร้อยและตัวสอบสิ่งของด้วยค่ะ ”
ตึก ตัก ตึก ตัก ตึก ตัก ตึก ตัก ตึก ตัก
เสียงหัวใจที่เต้นรัวระหว่างเขาทั้งคู่ ประสาทเสียงกันอย่างพร้อมเพรียง ภาพของเด็กสาวที่ล้มลงนอนทับเด็กหนุ่ม ในขณะที่เด็กหนุ่มที่เธอดึงล้มลงโดนเธอทับอยู่ เด็กสาวหน้าแดงก่ำยิ่งกว่าผลแอปเปิ้ลสดซะอีก
“ ขอโทษนะ เป็นอะไรมากไหม ” เด็กสาวพูดขึ้นมาก่อนเธอจะลุกแล้วยื่นมือมาทางเด็กหนุ่ม เด็กหนุ่มหันขึ้นไปมองเธอก่อนที่จะรีบหันหน้าลงมา คราวนี้เป็นหน้าเขาที่แดงก่ำ เธอดูรอบๆตัวเองก่อนที่เด็กหนุ่มจะพูดขึ้นมา
“ นี่เธอ อยู่บนตัวฉันนะ เห็นกางเกงในหมดแล้ว ” เด็กสาวได้ยินหน้าเธอยิ่งแดงกว่าเมื่อกี้ก่อนเธอจะเอามือปิดไว้ เด็กหนุ่มลุกขึ้นมามองเธอในอาการที่อายจนหน้าแดงก่ำซึ่งดูดีๆเธอก็น่ารักมาก ยิ่งชุดนักเรียนเป็นชุคสำหรับหน้าร้อนอีก
ชุดนักเรียนผู้หญิงหน้าร้อนเป็นแบบกระโปรงสั้นสีฟ้า เสื้อแขนสั้นสีขาวและมีลายสีฟ้าตรงปกคอเสื้อ ที่หน้าอกซ้ายปักตัวย่อโรงเรียนไว้บนกระเป๋าเสื้อไว้ด้วยด้ายสีดำ ชื่อที่อยู่บนกระเป๋าเสื้อนั้นมันเหมือนกับตัวย่อปักด้วยด้ายสีดำเหมือนกัน
“ N.O.T.W มันมีความหมายว่ายังไงน่า ฉันลองค้นหาความหมายเป็นร้อยรอบยังไม่เข้าใจเลย ” เด็กหนุ่มพูดออกมาขณะที่เขาจ้องชื่อย่อที่ปักตรงกระเป๋าเสื้อ
“ Note Of The World สมุดที่บันทึกเรื่องราวของโลกหรือในอีกความหมายก็คือเจ้าคือสิ่งที่บันทึกทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ตั้งแต่อดีตจนอนาคตรวมทั้ง เรื่องราวของฉันหรือนายไม่ว่าใครก็ตามก็เป็นส่วนหนึ่งของบันทึกนั้น นั้นคือคำขวัญโรงเรียนเรา ” เด็กสาวตอบเสร็จก็มองออกไปทางหน้าต่างเธอไม่คิดจะฟังสิ่งที่ไดรฟ์กำลังจะพูดออกมา
เด็กหนุ่มนั่งนิ่งบนเบาะนุ่มๆอย่างสงบนิ่ง เขาทำท่าคิดนูนคิดนี้ตลอดจนเขาพูดประโยคหนึ่งออกมา ทำให้เด็กสาวที่นั่งตรงข้ามตกใจนิดหน่อย เพราะเธอนึกว่าเขากำลังจะถามบางอย่างเกี่ยวกับประโยคเมื่อกี้ซะอีก
“ I am not a Memory Of The World But I Am a Memory Of You ฉันไม่ใช่บันทึกของโลกแต่ฉันคือหนึ่งในความทรงจำของเธอ ”
“ นายนี้เป็นพวกนอกสามัญสำนึกรึไง ตามปกติเขาไม่คิดคำพูดแบบนั้นหรอกนะที่โรงเรียนนี้นะ ” เด็กสาวพูดจบก็นั่งกอดอก ก่อนที่เด็กหนุ่มจะหันหน้ามาจ้องเธอตรงๆแล้วพูดว่า
“ I Love Them But I Don’t Love The School Without Fun ฉันรักทุกคนแต่ฉันก็ไม่ได้รักโรงเรียนที่ไร้ความสนุก นั้นก็เป็นหนึ่งในคำที่ เจม เม็กคาเรน พูดก่อนตาย เขาตายเพราะเรียนหนักเกินไป หากโรงเรียนที่เรียนและสร้างกิจกรรมที่พอดี เขาคงไม่ตายด้วยการเรียนแบบนี้หรอก ”
“ เจม เม็กคาเรน นี้มัน... ปลากระป๋องหรือคนกันแน่ ” เด็กสาวตกใจมากนิดหน่อยที่เธอได้ยินเรื่องที่น่าตลกออกมาจากปากเขา ไดรฟ์เห็นเธอทำหน้าอย่างนั้นเขาอายจนนั่งก้มหน้าไม่กล้าสบตาเธอทันที
“ นี้เป็นเรื่องจริง เขาตายคาห้องเรียน ไม่มีอาการใดกำเริบเลยอยู่ๆเขาก็ตกจากเก้าอี้และเสียชีวิตทันที ” เสียงของเด็กหนุ่มโศกเศร้ายิ่งนัก
“ หรอ น่าเชื่อเนอะ ไว้จะลองไปอ่านข่าวเก่าๆดูแล้วกัน ” เด็กสาวพูดตอบมา
ผ่านไปอีกสามสิบนาทีความเงียบยังเข้าครอบงำจากนั้นอยู่ ไนท์เขามองหน้าขึ้นมาเด็กสาวไม่สบตากับเขาเธอมองไปในกระเป๋า แล้วหยิบนิยายเรื่องหนึ่งออกมาอ่าน
“ The Memory Of No Body มันสนุกมากงั้นเลยหรอ เห็นเด็กสาวตะกี้ที่อยู่สถานีก่อนเขาก็นั่งอ่านเหมือนกัน ” เขาพูดออกมาท่ามกลางความเงียบ เด็กสาวหัวเราะเบาๆก่อนหันหน้ามามองเขา
“ นี่ นายไม่รู้จักเรื่องนี้หรอ ออกจะดัง The Memory Of No Body สนุกดีออก คนแต่งช่างคิดจริงนะ ”
“ไม่ต้องเล่าก็ได้ เดี๋ยวขากลับ เราค่อยแวะไปซื้อเองล่ะกัน ” ยังไม่สิ้นประโยคเด็กหนุ่มก็ห้ามเธอไว้
แล้วผ่านไปจนเวลาเริ่มค่อยๆหมดลงเด็กหนุ่มหยิบสิ่งหนึ่งออกมาจากกระเป๋ากางเกง สิ่งที่เขาหยิบออกมาเป็นไพ่สำหรับหนึ่ง แล้วเขาก็เปิดไปเรื่อยๆจนเจอใบที่ต้องการแล้วหยิบออกมาก่อนที่เขาจะเรียกมาเรียมาเล่นด้วย
“ แอน เราลองมาเล่นเกม Heart And Joker มาลองดูไหมครับ(ช่วงนี้เห็นฮิตจังเกมส์แบบนี้) รับรองฉันจะเป็นกำแพงที่เธอไม่มีวันข้ามไปได้แน่ๆ (ถึงจะแค่เกมก็เถอะ) ”
“ ได้สิ เล่นแบบนี้น่าจะเร่าใจกว่าพวกที่หาของมาสารภาพรักอีกนะ คิกคิก ถ้านั้นเธอทำได้จริงนะ(ทั้งด้านอื่นๆด้วย) ” เด็กสาวตอบกลับรับคำท้าจากเด็กหนุ่มที่กำลังสลับไพ่อย่างมันมือ(ถึงมีแค่สองใบก็เถอะ)
“ แต่ เธอคงไม่คิดว่านี้มันเป็นเกมเสียงดวงธรรมดาๆเรอะนะ ”
“ แน่นอนอยู่แล้ว ฉันไม่คิดเสียงดวงอยู่แล้วสักครั้ง ” เด็กสาวมีท่าทีตื่นเต้นและอยากเอาชนะคนตรงหน้าให้ได้ สายตาเธอมุ่งมั่นมาก
... นี้ ไม่ได้เป็นเกมเสียงโชคแต่แรกแล้วถึงบอกว่าโอกาส 50-50 แต่จริงๆหากสามารถจับตายของอีกฝ่ายได้ก็มีโอกาสเกิน 70-80 แล้วแต่ถ้าพลาดโอกาสที่เหลือจะต่ำกว่า 20 ซะอีก...
ณ ที่หน้าโรงเรียนเวลา 11.30 น. เด็กหนุ่มสาวสองคนเพิ่งมาถึงหน้าโรงเรียนที่พวกเธอกำลังเรียนอยู่
“ ในที่สุดก็มาถึงสักที ถึงจะใกล้พักเที่ยงแล้วก็เถอะ ” เด็กสาวพูดออกมาขณะที่ตัวเองกำลังง่วงหนาวหาวนอนอยู่
“ นั้นสินะครับ เล่นเปลี่ยนตั้งสามเที่ยวนี้ครับ กว่าจะมาถึงเพราะรถไฟฟ้านั้นเป็นสายไปเมืองอื่น ”
“ อ๋อใช่ อย่าลืมเรื่องบนรถไฟฟ้าละกันนะจ๊ะ ไปล่ะ คิกคิก ” พูดจบแอนก็เดินจากไป
“ ครับๆ แล้วเจอกันนะครับ ” เด็กหนุ่มพูดจบก็เดินจากไปอีกทางเช่นกัน…
Music of the Heart.
ท่วงทำนองที่ 1
Good Morning My Live
ณ เกรทไลฟ์ซิตี้ เป็นเมืองที่ที่เจริญรุ่งเรืองมากกว่าเมืองรอบข้าง สถานที่ท่องเที่ยวดึงดูดให้ผู้คนต่างพากันมาเชยชม ย่านการค้าที่ใหญ่โตพร้อมด้วยทุกอย่างที่ลูกค้าต้องการ ด้านการจราจรสะดวกและรวดเร็ว เหล่าผู้คนพากันเดินทางโดยใช้รถไฟฟ้าที่ทันสมัยประหยัดพลังงาน โรงเรียนของที่นี้สนับสนุนด้านกิจกรรมมากกว่าด้านการเรียน โดยการแบ่งชั้นเรียนเป็นสองสาย หนึ่งคือ วิทย์ด้านการประยุกต์สิ่งที่เรียนมาใช้ในชีวิตประจำวัน สองคือ ศิลป์ด้านการแสดงออกทางงานศิลป์เช่นดนตรีหรือการวาดภาพหรืออื่นๆ
ตึก! ตึก! ตึก!
“ งั้น พี่ไปก่อนนะ ”
เสียงจากเด็กหนุ่มตัวสูงสักร้อยเจ็ดสิบ ผมสีน้ำตาล นัยน์ตาสีน้ำตาล ใบหน้าดูก็ธรรมดาและดูแล้วอาจดูน่ารักมากในสายตาสาวๆหลายคน เด็กหนุ่มเอ่ยกับเด็กผู้หญิงผมสีเทาเงิน นัยน์ตาสีครามเทา ก่อนที่เด็กหนุ่มจะวิ่งออกจากบ้านในขณะที่เด็กสาวโบกมือให้ พอเดินไปสักสิบนาทีเขาเดินขึ้นบันไดซึ่งมีขั้นเล็กๆหลายขั้น เด็กหนุ่มมองฟ้าไปพลางคิดอะไรไปด้วย
...อยากให้สิ่งที่ร้ายๆผ่านมาเป็นเพียงความฝันหนึ่ง พอตื่นขึ้นอยากให้สิ่งที่ดีๆที่จะเจอเป็นความจริง...ในตอนนี้...
เด็กหนุ่มเดินคิดจนไปหยุดอยู่หน้าเครื่องขายบัตรอัตโนมัติก่อนที่จะกดปุ่มสีเหลืองแล้วรับบัตรเดินจากไป เขาเดินถือบัตรไปที่ชานชาลาที่เจ็ด ก่อนจะมองรอบๆเห็นเด็กสาวผมสั้นสีดำ ดวงตาสีน้ำตาล ไม่สูงมากสักร้อยหกสิบ ใบหน้าเธอยามอ่านหนังสือดูน่ารักมาก นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามในขณะที่ใบไม้สีส้มเหลืองกำลังร่วงโรยจากต้นไม้ข้างตัวเธอ สักครู่ก็มีประกาศมาว่า
“ ขณะนี้เวลา 7.00 น. รถไฟฟ้าขบวน D-117 กำลังจะออกจากชานชาลาแล้วกรุณาถอยห่างจากประตูด้วยค่ะ ”
เด็กหนุ่มได้ยินรีบวิ่งขึ้นรถไฟตรงหน้าทันทีก่อนสังเกตรอบข้างว่าทำไมคนมันน้อยมากๆ หรือเรียกว่าแทบไม่มีคนเลย สักพักรถไฟฟ้าเริ่มขยับที่ละนิดก่อนจะมีประกาศออกมาว่า
“ สถานีต่อไป ไบโอซิตี้ จะถึงในอีกหนึ่งชั่วโมงสามสิบนาทีกรุณาตรวจสัมภาระด้วย ”
เด็กหนุ่มที่รีบวิ่งขึ้นมาถึงกับทรุดลงกับพื้น ก่อนลุกขึ้นมองไปที่เด็กสาวนั่งอ่านหนังสืออยู่ เธอหัวเราะนิดๆก่อนที่จะพูดบางอย่างเบาๆออกมา ถึงเขาไม่ได้ยินแต่เขาพอเดาออกทำให้สีหน้าเขาเปลี่ยนสีหน้าเป็นแย่ลงทันที ก่อนเดินไปนั่งลงเบาะนั่งนุ่มๆข้างหน้าตารถไฟฟ้า ก่อนครุ่นคิดอะไรอยู่คนเดียวสักพัก
...ถึงคุณพ่อและแม่อันเป็นที่รัก ตอนนี้ผมชักอยากไปหาท่านแล้วสิครับ...
เด็กหนุ่มได้แต่นั่งคิดอยู่อย่างนั้นไปสักสามสิบนาทีก่อนที่เขาจะมองรอบๆข้างตัวเขา เขาเห็นเด็กสาวคนหนึ่งหน้าตาน่ารักผมสั้นสีดำ กำลังหลับเป็นตายอยู่บนเบาะรถไฟก่อนที่เธอจะตื่นขึ้นแล้วนั่งลงบนเบาะนั่ง เธอหันไปรอบๆก่อนทำท่าสะลืมสะลือ แล้วจ้องหน้ามาที่เด็กหนุ่มตรงหน้า ก่อนพูดขึ้นมา
“ นาย นักเรียนใหม่สินะ ชื่อว่าอะไรนะ อ๋อ ไดรฟ์ สินะ เห็นว่าสอบได้คะแนนดีมากเลยนี่ แต่ไม่นึกว่าจะเออขนาดขึ้นรถผิดคัน คิกคิก ” เด็กสาวพูดออกมาพร้อมทั้งหัวเราะออกมา เด็กหนุ่มก็พูดออกตอบกลับไปแบบอายนิดๆ
“ นี่เธอ หลับอยู่แน่หรอ เล่นโดดแต่วันแรกเลยหรอแม่คุณ เอ๋! เดี่ยวสิ นี่เธอทำไมถึงรู้จักชื่อชั้นล่ะ หรือว่าเราเคยเจอที่ไหนป่าว ” เด็กหนุ่มตกใจมากเพราะ เขาพึงเข้ามาโรงเรียนนี้ปีแรกแต่กับรู้จักเขาทั้งหน้าตา ชื่อด้วยทั้งที่ไม่เคยเจอกัน
“ ปีนี้ นักเรียนทุนมีสี่คนพอดีไม่เคยเห็นนายในโรงเรียนเลยเดาเอานะ อีกสามคนเป็นผู้หญิงเลยเดาง่าย และอีกอย่างฉันแค่ไม่อยากไปเรียนก็แค่นั้น ” จากนั้นเธอหันหน้าออกไปทางหน้าต่าง หน้าตาดูไร้ชีวิตชีวาแต่กลับดูหน้ารักนิดๆอย่างบอกไม่ถูก
ท่ามกลางความเงียบบนรถไฟฟ้าและเสียงสายลมที่เข้ามานิดๆ เด็กหนุ่มตกใจมากเพราะเคยคิดว่าโลกนี้ไม่น่ามีคนที่สามารถจำหน้าตา ชื่อ ห้อง เลขที่ ทั้งโรงเรียนได้แน่นอน ขณะที่เขากำลังจะถามขึ้น
“ เธอ... ”
“ นี่ นายนะ ทำไมเรียกว่า เธอๆๆ อยู่ได้ล่ะ คนเขาก็มีชื่อเหมือนกันนะ ฉันชื่อ มาเรีย แอน ดีโทนี่ แต่เรียกฉันว่า แอนดีกว่านะ ฉันชอบ ”
“ งั้นแอน ทำไมเธอถึงมานอนบนนี้ละ ” เด็กหนุ่มพูดออกมาหลังจากที่เด็กสาวพึ่งบอกชื่อเสร็จ เธอหันไปมองนอกหน้าต่าง ก่อนถอนหายใจเบา แล้วหันมาตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยสนใจเรื่องที่จะพูด
“ เฮ้อ…แค่ รู้สึกว่าเรียนไปก็เท่านั้น ถึงเรียนแล้วมันจะได้อะไรไม่ได้ช่วยใครได้สักหน่อย ”
... เรียนแล้วจะไปช่วยใครไม่ได้งั้นหรอ...
พอได้ยินคำพูดนั้น เขาหวนนึกถึงเด็กสาวคนหนึ่งที่ตายเพราะโรคร้ายที่ยังไม่มีทางรักษา และยังเป็นคนสำคัญของเขาอีก
“ แต่ถ้ามันเกิดขึ้นแล้ว มันจะไม่มีทางย้อนไปแก้ไขอะไรได้อีกแล้วต่างหาก ” เด็กหนุ่มตะโกนใส่หน้าเด็กสาวทำให้เธอตกใจอย่างแรงจนเธอกระเด็นไปผิงหลังกับเบาะที่อยู่หลังเธออย่างจัง เด็กหนุ่มรู้ตัวอีกที เขาก็นั่งอย่างสงบที่ตรงข้ามเธอเขาก้มหน้าไม่มองเธอเลย
“ ขอโทษนะ คงผ่านอะไรมาเยอะสินะ เดี๋ยวลงสถานีหน้าเลย ฉันจะอยู่ที่นี้จนเย็นนั้นแหละ ”เด็กหนุ่มได้ยินที่พูดเขาเงยหน้าขึ้นมามองหน้าหญิงสาวที่ไร้อารมณ์และกำลังมองออกไปนอกหน้าต่าง เขาลุกขึ้นแล้วหันมามองเธอเล็กน้อยก่อนจะ...
กึกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก....ตึง!
“ เรียนผู้โดยสารโปรดทราบเนื่องจาก รถไฟฟ้าเกิดไฟดับชั่วคราวขอให้ทุกท่านนั่งประจำที่ให้เรียบร้อยและตัวสอบสิ่งของด้วยค่ะ ”
ตึก ตัก ตึก ตัก ตึก ตัก ตึก ตัก ตึก ตัก
เสียงหัวใจที่เต้นรัวระหว่างเขาทั้งคู่ ประสาทเสียงกันอย่างพร้อมเพรียง ภาพของเด็กสาวที่ล้มลงนอนทับเด็กหนุ่ม ในขณะที่เด็กหนุ่มที่เธอดึงล้มลงโดนเธอทับอยู่ เด็กสาวหน้าแดงก่ำยิ่งกว่าผลแอปเปิ้ลสดซะอีก
“ ขอโทษนะ เป็นอะไรมากไหม ” เด็กสาวพูดขึ้นมาก่อนเธอจะลุกแล้วยื่นมือมาทางเด็กหนุ่ม เด็กหนุ่มหันขึ้นไปมองเธอก่อนที่จะรีบหันหน้าลงมา คราวนี้เป็นหน้าเขาที่แดงก่ำ เธอดูรอบๆตัวเองก่อนที่เด็กหนุ่มจะพูดขึ้นมา
“ นี่เธอ อยู่บนตัวฉันนะ เห็นกางเกงในหมดแล้ว ” เด็กสาวได้ยินหน้าเธอยิ่งแดงกว่าเมื่อกี้ก่อนเธอจะเอามือปิดไว้ เด็กหนุ่มลุกขึ้นมามองเธอในอาการที่อายจนหน้าแดงก่ำซึ่งดูดีๆเธอก็น่ารักมาก ยิ่งชุดนักเรียนเป็นชุคสำหรับหน้าร้อนอีก
ชุดนักเรียนผู้หญิงหน้าร้อนเป็นแบบกระโปรงสั้นสีฟ้า เสื้อแขนสั้นสีขาวและมีลายสีฟ้าตรงปกคอเสื้อ ที่หน้าอกซ้ายปักตัวย่อโรงเรียนไว้บนกระเป๋าเสื้อไว้ด้วยด้ายสีดำ ชื่อที่อยู่บนกระเป๋าเสื้อนั้นมันเหมือนกับตัวย่อปักด้วยด้ายสีดำเหมือนกัน
“ N.O.T.W มันมีความหมายว่ายังไงน่า ฉันลองค้นหาความหมายเป็นร้อยรอบยังไม่เข้าใจเลย ” เด็กหนุ่มพูดออกมาขณะที่เขาจ้องชื่อย่อที่ปักตรงกระเป๋าเสื้อ
“ Note Of The World สมุดที่บันทึกเรื่องราวของโลกหรือในอีกความหมายก็คือเจ้าคือสิ่งที่บันทึกทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ตั้งแต่อดีตจนอนาคตรวมทั้ง เรื่องราวของฉันหรือนายไม่ว่าใครก็ตามก็เป็นส่วนหนึ่งของบันทึกนั้น นั้นคือคำขวัญโรงเรียนเรา ” เด็กสาวตอบเสร็จก็มองออกไปทางหน้าต่างเธอไม่คิดจะฟังสิ่งที่ไดรฟ์กำลังจะพูดออกมา
เด็กหนุ่มนั่งนิ่งบนเบาะนุ่มๆอย่างสงบนิ่ง เขาทำท่าคิดนูนคิดนี้ตลอดจนเขาพูดประโยคหนึ่งออกมา ทำให้เด็กสาวที่นั่งตรงข้ามตกใจนิดหน่อย เพราะเธอนึกว่าเขากำลังจะถามบางอย่างเกี่ยวกับประโยคเมื่อกี้ซะอีก
“ I am not a Memory Of The World But I Am a Memory Of You ฉันไม่ใช่บันทึกของโลกแต่ฉันคือหนึ่งในความทรงจำของเธอ ”
“ นายนี้เป็นพวกนอกสามัญสำนึกรึไง ตามปกติเขาไม่คิดคำพูดแบบนั้นหรอกนะที่โรงเรียนนี้นะ ” เด็กสาวพูดจบก็นั่งกอดอก ก่อนที่เด็กหนุ่มจะหันหน้ามาจ้องเธอตรงๆแล้วพูดว่า
“ I Love Them But I Don’t Love The School Without Fun ฉันรักทุกคนแต่ฉันก็ไม่ได้รักโรงเรียนที่ไร้ความสนุก นั้นก็เป็นหนึ่งในคำที่ เจม เม็กคาเรน พูดก่อนตาย เขาตายเพราะเรียนหนักเกินไป หากโรงเรียนที่เรียนและสร้างกิจกรรมที่พอดี เขาคงไม่ตายด้วยการเรียนแบบนี้หรอก ”
“ เจม เม็กคาเรน นี้มัน... ปลากระป๋องหรือคนกันแน่ ” เด็กสาวตกใจมากนิดหน่อยที่เธอได้ยินเรื่องที่น่าตลกออกมาจากปากเขา ไดรฟ์เห็นเธอทำหน้าอย่างนั้นเขาอายจนนั่งก้มหน้าไม่กล้าสบตาเธอทันที
“ นี้เป็นเรื่องจริง เขาตายคาห้องเรียน ไม่มีอาการใดกำเริบเลยอยู่ๆเขาก็ตกจากเก้าอี้และเสียชีวิตทันที ” เสียงของเด็กหนุ่มโศกเศร้ายิ่งนัก
“ หรอ น่าเชื่อเนอะ ไว้จะลองไปอ่านข่าวเก่าๆดูแล้วกัน ” เด็กสาวพูดตอบมา
ผ่านไปอีกสามสิบนาทีความเงียบยังเข้าครอบงำจากนั้นอยู่ ไนท์เขามองหน้าขึ้นมาเด็กสาวไม่สบตากับเขาเธอมองไปในกระเป๋า แล้วหยิบนิยายเรื่องหนึ่งออกมาอ่าน
“ The Memory Of No Body มันสนุกมากงั้นเลยหรอ เห็นเด็กสาวตะกี้ที่อยู่สถานีก่อนเขาก็นั่งอ่านเหมือนกัน ” เขาพูดออกมาท่ามกลางความเงียบ เด็กสาวหัวเราะเบาๆก่อนหันหน้ามามองเขา
“ นี่ นายไม่รู้จักเรื่องนี้หรอ ออกจะดัง The Memory Of No Body สนุกดีออก คนแต่งช่างคิดจริงนะ ”
“ไม่ต้องเล่าก็ได้ เดี๋ยวขากลับ เราค่อยแวะไปซื้อเองล่ะกัน ” ยังไม่สิ้นประโยคเด็กหนุ่มก็ห้ามเธอไว้
แล้วผ่านไปจนเวลาเริ่มค่อยๆหมดลงเด็กหนุ่มหยิบสิ่งหนึ่งออกมาจากกระเป๋ากางเกง สิ่งที่เขาหยิบออกมาเป็นไพ่สำหรับหนึ่ง แล้วเขาก็เปิดไปเรื่อยๆจนเจอใบที่ต้องการแล้วหยิบออกมาก่อนที่เขาจะเรียกมาเรียมาเล่นด้วย
“ แอน เราลองมาเล่นเกม Heart And Joker มาลองดูไหมครับ(ช่วงนี้เห็นฮิตจังเกมส์แบบนี้) รับรองฉันจะเป็นกำแพงที่เธอไม่มีวันข้ามไปได้แน่ๆ (ถึงจะแค่เกมก็เถอะ) ”
“ ได้สิ เล่นแบบนี้น่าจะเร่าใจกว่าพวกที่หาของมาสารภาพรักอีกนะ คิกคิก ถ้านั้นเธอทำได้จริงนะ(ทั้งด้านอื่นๆด้วย) ” เด็กสาวตอบกลับรับคำท้าจากเด็กหนุ่มที่กำลังสลับไพ่อย่างมันมือ(ถึงมีแค่สองใบก็เถอะ)
“ แต่ เธอคงไม่คิดว่านี้มันเป็นเกมเสียงดวงธรรมดาๆเรอะนะ ”
“ แน่นอนอยู่แล้ว ฉันไม่คิดเสียงดวงอยู่แล้วสักครั้ง ” เด็กสาวมีท่าทีตื่นเต้นและอยากเอาชนะคนตรงหน้าให้ได้ สายตาเธอมุ่งมั่นมาก
... นี้ ไม่ได้เป็นเกมเสียงโชคแต่แรกแล้วถึงบอกว่าโอกาส 50-50 แต่จริงๆหากสามารถจับตายของอีกฝ่ายได้ก็มีโอกาสเกิน 70-80 แล้วแต่ถ้าพลาดโอกาสที่เหลือจะต่ำกว่า 20 ซะอีก...
ณ ที่หน้าโรงเรียนเวลา 11.30 น. เด็กหนุ่มสาวสองคนเพิ่งมาถึงหน้าโรงเรียนที่พวกเธอกำลังเรียนอยู่
“ ในที่สุดก็มาถึงสักที ถึงจะใกล้พักเที่ยงแล้วก็เถอะ ” เด็กสาวพูดออกมาขณะที่ตัวเองกำลังง่วงหนาวหาวนอนอยู่
“ นั้นสินะครับ เล่นเปลี่ยนตั้งสามเที่ยวนี้ครับ กว่าจะมาถึงเพราะรถไฟฟ้านั้นเป็นสายไปเมืองอื่น ”
“ อ๋อใช่ อย่าลืมเรื่องบนรถไฟฟ้าละกันนะจ๊ะ ไปล่ะ คิกคิก ” พูดจบแอนก็เดินจากไป
“ ครับๆ แล้วเจอกันนะครับ ” เด็กหนุ่มพูดจบก็เดินจากไปอีกทางเช่นกัน…
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ