สุดฝั่งฝัน
-
3) บทที่ 2
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ2....
หลังจากที่ฟ้าเริ่มจะมืดครึ้มได้ไม่นาน เม็ดฝนก็โปรยปรายลงมากระทบกับกระจกด้านหน้าของรถยนต์ส่งเสียงดังเปาะแปะ ความลื่นของพื้นถนนทำให้เกเบรียลลาต้องชะลอความเร็วของรถลง กระทั่งถึงศูนย์คุ้มครองเด็กมาสเดน หญิงสาวจึงหักพวงมาลัยเลี้ยวเข้าไปด้านใน หากวันนี้ที่จอดรถประจำของเธอกลับมีรถยุโรปราคาแพงลิบจับจองอยู่ก่อนแล้ว คุณหมอสาวมองไปรอบ ๆ ก่อนจะพบกับที่ว่างสำหรับจอดรถอยู่ฟากตรงข้ามกับตัวอาคาร เกเบรียลลาจึงนำรถยนต์เข้าไปจอดเทียบตรงช่องว่างนั้นอย่างไม่มีทางเลือก
เมื่อดับเครื่องเรียบร้อยแล้วหญิงสาวก็เอื้อมมือไปคว้าหนังสือนิทานสีสันสวยงามสามเล่มซึ่งเกเบรียลลาเพิ่งซื้อมาใหม่สำหรับบรรดาคนไข้ตัวน้อยของเธอ หากเมื่อกวาดตามองหาร่มสักคัน หญิงสาวกลับต้องพบกับความผิดหวัง
“ให้มันได้อย่างนี้สิ ทำไมไม่รู้จักติดร่มมาสักคันนะ” เกเบรียลลาบ่นกับตัวเอง หญิงสาวเปิดประตูรถแล้วเงยหน้าขึ้นมองไปบนท้องฟ้า ดูเหมือนอีกนานกว่าที่ฝนจะหยุด และเมื่อคำนวณจากความแรงแล้ว เธอคงวิ่งฝ่าไปได้โดยไม่เปียกจนเกินไปนัก
เกเบรียลลาวิ่งมาถึงตัวอาคารได้ก็รีบผลักประตูเข้าไปข้างใน หญิงสาวก้มลงมองสภาพของตัวเอง ดูเหมือนหยาดฝนจะเล่นงานเธอหนักกว่าที่คิด เมื่อเสื้อเชิ้ตสีขาวแขนยาวตัวเก่งนั้นเปียกแนบไปกับลำตัว เน้นให้เห็นส่วนสัดของผู้หญิงอย่างชัดเจน จิตแพทย์สาวรีบยกหนังสือนิทานทั้งสามเล่มขึ้นแนบอก ก่อนจะก้มหน้าก้มตาสาวเท้าไปยังห้องทำงานซึ่งอยู่ชั้นสองให้เร็วที่สุด หากเมื่อเดินแกมวิ่งไปจนถึงหัวมุมบันได เกเบรียลลาก็ชนเข้าอย่างจังกับร่างสูงของผู้ที่กำลังเดินสวนมา ส่งผลให้หนังสือในอ้อมแขนนั้นหล่นลงสู่พื้นกระจายไปคนละทาง หญิงสาวรีบก้มลงเก็บ เมื่อถึงเล่มสุดท้ายมือเรียวบางของเธอกลับวางทับลงไปบนมือที่ใหญ่กว่าของใครบางคน คุณหมอสาวรีบชักมือกลับแล้วเงยหน้าขึ้นมอง
ดวงตาสีน้ำเงินเข้มจัดกำลังมองตรงเข้ามาในดวงตาสีน้ำผึ้งของเธอเช่นกัน เมื่อทั้งคู่ยืนขึ้น เกเบรียลลาจึงเห็นว่าผู้ชายที่เดินชนกับเธอนั้นสูงมากทีเดียว เขาอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตแขนสั้นสีน้ำเงินสดที่มีลวดลายน่าเวียนหัวกับกางเกงยีนส์สีซีดเก่าที่ดูราวกับจะผ่านการใช้งานมาแล้วอย่างโชกโชน หากแต่ผู้ที่เดินตามหลังมาทั้งสองคนกลับอยู่ในชุดสูทสีดำอย่างเรียบร้อย
คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันเล็กน้อยเมื่อเห็นอาการกวาดสายตาไปทั่วร่างเธออย่างรวดเร็วของคนตรงหน้า หญิงสาวรีบยกหนังสือในมือขึ้นแนบอกอีกครั้ง และดูเหมือนว่าอากัปกิริยานี้เองที่ทำให้ชายหนุ่มรู้ตัว เขาจึงส่งหนังสือคืนให้เธอพร้อมกับรอยยิ้ม...รอยยิ้มที่ดูคุ้นตาเหลือเกินในความรู้สึกของหญิงสาว
“ขอโทษครับ” เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นเพียงแค่นั้น ก่อนที่ร่างสูงจะก้าวจากไปโดยที่เกเบรียลลายังไม่ทันได้เอ่ยตอบ หญิงสาวจึงหันหลังเดินต่อไปยังห้องทำงาน
เธอนั่งอ่านบันทึกประจำวันของเด็ก ๆ ในศูนย์อยู่สักพัก กระทั่งเสื้อผ้าที่สวมอยู่นั้นแห้งเกือบสนิทแล้ว เกเบรียลลาจึงออกไปหาบรรดาคนไข้ตัวน้อยของเธอ ก่อนออกจากห้องคุณหมอสาวหันไปคว้าหนังสือนิทานที่วางอยู่บนโต๊ะติดมือไปด้วย โชคดีที่ทั้งหมดเป็นแบบกระดาษแข็งทั้งเล่ม ฝนจึงไม่สามารถทำความเสียหายได้มากนัก
เมื่อไปถึงห้องเรียนรวม ภาพของเด็ก ๆ ที่กำลังเต้นกันอยู่อย่างสนุกสนานนั้น ทำให้ริมฝีปากอิ่มสวยหยักยิ้มขึ้นอย่างอ่อนโยน เกเบรียลลารู้สึกดีใจที่เธอเองเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยนำความสดใสกลับคืนให้กับเด็ก ๆ เหล่านี้ ทุกคนที่ถูกส่งตัวมายังศูนย์คุ้มครอง เมื่อแรกมักจะมีอาการซึมเศร้าหรือไม่ก็ก้าวร้าวรุนแรง และส่วนใหญ่ล้วนถูกกระทำจากพ่อเลี้ยงหรือแม่เลี้ยง หากบางรายกลับเป็นฝีมือของพ่อแม่แท้ ๆ ต้องใช้เวลาบำบัดกันพักใหญ่กว่าที่หนูน้อยเหล่านี้จะกลับมาสดใสร่าเริงเหมือนเด็กทั่วไปอีกครั้ง
ซูซาน หนึ่งในเจ้าหน้าที่ซึ่งทำหน้าที่เป็นครูพี่เลี้ยงกำลังวุ่นวายอยู่กับการสอนการแสดงประกอบเพลงให้กับเด็ก ๆ และเจ้าตัวร้ายทั้งหลายก็เต้นพร้อมกันบ้างไม่พร้อมบ้าง ดูแล้วทั้งน่าขันและน่าเอ็นดู และเมื่อเพลงจบลงครูพี่เลี้ยงจึงหันมาเห็นจิตแพทย์สาว ซูซานส่งยิ้มมาให้เกเบรียลลา ส่งผลให้เด็ก ๆ พากันกรูเข้ามารุมล้อมคุณหมอของพวกแก
“วันนี้เรียนอะไรกันอยู่เอ่ย เป็นเด็กดีกันรึเปล่าคะ” เกเบรียลลาถามพร้อมกับก้มลงจูบศีรษะของเด็ก ๆ ซึ่งแย่งกันตอบคำถามของเธอไปคนละที ดูเหมือนทุกคนจะยอมรับว่าตัวเองเป็นเด็กดีกันหมด จนหญิงสาวอดหัวเราะเสียงใสออกมาไม่ได้
“เอาล่ะ ในเมื่อเป็นเด็กดีกันหมดแบบนี้ คุณหมอแก๊บบี้ก็มีรางวัลมาฝาก” หญิงสาวชูนิทานในมือขึ้น เรียกเสียงร้องอย่างดีใจดังเซ็งแซ่ เกเบรียลลาส่งนิทานต่อให้กับครูพี่เลี้ยงอีกคน เด็ก ๆ จึงพากันทิ้งคุณหมอหันไปหานิทานกันอย่างพร้อมเพรียง หญิงสาวยิ้มน้อย ๆ ก่อนจะผละไปหาซูซาน
“ฝึกหัดการแสดงชุดใหม่เหรอคะ” คุณหมอสาวชวนคุย
“ใช่ค่ะ ไว้แสดงอวดผู้บริจาครายใหม่” ซูซานตอบด้วยน้ำเสียงร่าเริง แก้มอิ่มนั้นเป็นสีชมพูเรื่อขึ้นมาทันตา เกเบรียลลาจึงเอ่ยเย้าอย่างรู้ทัน
“สงสัยผู้บริจาครายใหม่นี่ต้องเป็นหนุ่มหล่อแหง ๆ เลย”
ส่งผลให้คนถูกเย้าหัวเราะอย่างเขิน ๆ “ไม่ใช่หรอกค่ะ คุณหลุยส์ เกรแฮมน่ะอายุเลยวัยหนุ่มไปนานแล้ว”
“หลุยส์ เกรแฮม” คุณหมอสาวเลิกคิ้วด้วยความสงสัย “เป็นอะไรกับอดีตวุฒิสมาชิกจอห์น เกรแฮมรึเปล่าคะ” ทุกคนในศูนย์ล้วนคุ้นหูกับนามสกุลเกรแฮมเป็นอย่างดี ในเมื่อจอห์น เกรแฮม อดีตวุฒิสมาชิกก็เคยเป็นหนึ่งในผู้อุปถัมภ์รายใหญ่
“สายตรงเลยล่ะค่ะ คุณหลุยส์น่ะเป็นลูกชายคนเดียวของท่านวุฒิสมาชิก” ซูซานเล่าด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น
“แล้วซูซานก็เลยตื่นเต้นที่จะได้เจอกับลูกชายของคนดัง” เกเบรียลลาเอ่ยต่อให้ด้วยแววตายิ้มพราย
“แหม...ไม่ถึงอย่างนั้นหรอกค่ะ จริง ๆ แล้วเป็นหลานชายต่างหาก ลูกชายของคุณหลุยส์น่ะหล่อสะเด็ดเลย” ท้ายประโยคคนพูดลดเสียงลงเป็นกระซิบแค่พอให้ได้ยินกันเพียงสองคน
“เคยเห็นแล้วเหรอคะ” เกเบรียลลาถามด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ ในสายตาของซูซานผู้ชายทั้งโลกดูจะหล่อเหมือนกันหมดทุกคน เธอไม่เคยเห็นครูพี่เลี้ยงคนนี้จะบอกว่าใครไม่หล่อสักคน
“เคยสิคะ วันนี้ก็มา” ซูซานตอบด้วยแววตาเคลิ้มฝัน
เกเบรียลลาส่ายหน้าอย่างขบขันกับอาการของเจ้าหน้าที่สาว เธอจำได้ว่าซูซานก็เคยเป็นแบบนี้เมื่อตอนที่เห็นแอนดรูว์มาที่นี่ครั้งแรก หญิงสาวขอตัวกลับไปที่ห้องทำงาน หากครูพี่เลี้ยงก็ยังส่งเสียงไล่หลังมาให้ได้ยิน “คนนี้หล่อจริง ๆ นะคะคุณหมอ”
..................................................................
เมื่อแสงอาทิตย์ที่สว่างสไวของยามบ่ายเหลือเพียงแสงเรื่อเรืองแต้มอยู่ตามขอบฟ้า ใบหน้าอันคุ้นเคยก็โผล่แว่บเข้ามาในห้องทำงานของจิตแพทย์สาวพร้อมกับรอยยิ้มแฉ่ง ทำให้เกเบรียลลายิ้มตอบพร้อมกับหัวเราะออกมาเบา ๆ หากเมื่อหันไปมองหน้าคู่หมั้นหนุ่มเต็มตา กลับมีภาพของชายหนุ่มอีกคนซ้อนขึ้นมาในความคิด ชายหนุ่มใบหน้าคมสัน ผมดำสนิทกับดวงตาสีน้ำเงินเข้มสวยเจ้าของรอยยิ้มที่คุ้นตา...ใช่แล้ว! ผู้ชายคนนั้นยิ้มเหมือนกับแอนดรูว์นี่เอง แต่เมื่อตอนกลางวันเธอกลับนึกไม่ออก
“ถึงเวลาเลิกงานแล้วครับคุณหมอ” แอนดรูว์ก้าวเข้ามาคว้ากระเป๋าถือของเกเบรียลลาขึ้นมาไว้ในมือ หญิงสาวจึงเก็บแฟ้มประวัติของคนไข้เด็กรายใหม่เข้าที่ ก่อนจะก้าวตามคู่หมั้นหนุ่มออกไป
“ขอแวะไปหาเพื่อนหน่อยนะครับ” ชายหนุ่มเลี้ยวไปยังบริเวณที่พักของบรรดาเด็ก ๆ ในศูนย์โดยไม่รอคำตอบ จนเมื่อเห็นเพื่อนซี้คนโปรดเขาจึงยกมือขึ้นทักด้วยน้ำเสียงร่าเริง
“เฮ้! เจมี่ ว่าไงเพื่อน”
เพื่อนตัวจ้อยมองตอบกลับมาด้วยประกายตายินดีเป็นอย่างยิ่ง เจ้าหนูเจมี่กระโดดเข้าหาอ้อมแขนของเพื่อนตัวโตที่อ้าแขนรอรับอยู่ก่อนแล้ว แอนดรูว์อุ้มเด็กชายขึ้นยืนพร้อมกับหอมแก้มแดงใสนั้นแรง ๆ อย่างมันเขี้ยว โดยที่กระเป๋าของหญิงสาวยังห้อยต่องแต่งอยู่ที่มือข้างหนึ่งของชายหนุ่มอย่างน่าขัน
ดูเหมือนหนูน้อยเจมี่จะมีเรื่องคุยกับเพื่อนเล่นตัวโข่งของแกเยอะแยะไปหมด เกเบรียลลาจึงตัดสินใจนั่งรอที่เก้าอี้ตัวหนึ่ง รอยยิ้มและเสียงสนทนาของสองคู่หูต่างวัยทำให้หญิงสาวอดยิ้มตามไม่ได้
“ฉันคงต้องไปแล้วล่ะเจมี่ คุณหมอแก๊บบี้รอนานแล้ว” ในที่สุดแอนดรูว์ก็เอ่ยลาเพื่อนคนโปรดของเขา แต่เจ้าหนูยังยึดแขนชายหนุ่มเอาไว้พร้อมกับทวงสัญญา
“ไหนคุณบอกว่าจะพาผมไปหัดขี่ม้าไงฮะแอนดี้”
“แน่นอนสิ แต่ต้องรอให้นายตัวสูงกว่านี้อีกสักสี่นิ้ว” คำตอบของแอนดรูว์ทำให้สีหน้าของเจ้าหนูเจมี่ม่อยลงด้วยความผิดหวัง ชายหนุ่มจึงหัวเราะเบา ๆ พร้อมกับกล่าวให้กำลังใจ
“ไม่เอาน่าเจมี่ กินนมเยอะ ๆ เข้าไว้เพื่อนยาก สี่นิ้วน่ะแป๊บเดียว โอเคมั้ย”
“โอเคฮะ” เด็กชายรับคำเสียงอ่อย
แอนดรูว์วางตัวหนูน้อยเจมี่ลง เขาขยี้เส้นผมสีดำยุ่งเหยิงนั้นเบา ๆ อย่างเอ็นดู ก่อนจะผละไปหาคู่หมั้นสาว
ชายหนุ่มพาเกเบรียลลาไปดินเนอร์กันที่ภัตตาคารแห่งหนึ่งซึ่งเป็นร้านอาหารประจำของคนทั้งคู่ หญิงสาวอมยิ้มกับท่าทางหิวซ่กของคู่หมั้นหนุ่ม แอนดรูว์ก้มหน้าก้มตาทานอาหารราวกับอดอยากมาหลายวัน เขายิ้มอย่างเขิน ๆ เมื่อเงยหน้าขึ้นเห็นเกเบรียลลากำลังมองอยู่พอดี
“ทำไมถึงหิวมาอย่างนี้ล่ะคะ” หญิงสาวถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนเหมือนที่เธอมักใช้กับเด็ก ๆ ที่ศูนย์
“วันนี้ซ้อมหนักไปหน่อย เลยไม่มีเวลากินข้าวกัน” ชายหนุ่มพูดถึงการซ้อมโปโลที่เขาต้องลงแข่งชิงถ้วยการกุศลในเร็ว ๆ นี้
“แสดงว่าวันนี้เกงานอีกแล้วใช่มั้ยคะ” เกเบรียลลาแกล้งต่อว่าคู่หมั้น เพราะเธอรู้ดีว่าแอนดรูว์ไม่ค่อยชอบงานทางด้านธุรกิจนัก ชายหนุ่มยอมเข้าไปบริหารบริษัทเพียงเพราะพ่อของเขาและเพราะมันเป็นหน้าที่ของผู้นำตระกูลเท่านั้น หากแม้จะไม่ชอบ แต่แอนดรูว์ก็ทำหน้าที่ได้ดี ธุรกิจของตระกูลเคลย์ตันยังทำกำไรได้อย่างสม่ำเสมอ
“ไม่ได้เกงาน ผมฝากให้น้าโรเจอร์ช่วยดูแลแล้วต่างหาก”
“ระวังนะคะ มัวแต่ฝากคนอื่นดูน่ะ” หญิงสาวเตือนอย่างไม่จริงจังนัก ส่งผลให้แอนดรูว์หัวเราะเบา ๆ อย่างขบขันกับคำเตือนของคู่หมั้นสาว
“โธ่! แก๊บบี้ น้าโรเจอร์น่ะไว้ใจได้ เขาเป็นน้าแท้ ๆ ของผมนะครับ แล้วเขาก็รักแม่ของผมมากด้วย เพราะฉะนั้นเขาไม่มีวันทำร้ายผมซึ่งเป็นลูกชายของแม่หรอก วางใจได้”
คุณหมอสาวเพียงยิ้มน้อย ๆ กับคำตอบของแอนดรูว์ ดูเหมือนชายหนุ่มจะไว้วางใจต่อสายเลือดเป็นอย่างยิ่ง แอนดรูว์เชื่อสนิทใจว่าน้าชายจะไม่มีวันทำร้ายเขา และหญิงสาวก็หวังว่ามันจะเป็นเช่นนั้น เพราะการที่ถูกสายเลือดเดียวกันทำร้ายย่อมเจ็บปวดยิ่งกว่า
เสียงรถแล่นเข้ามาจอดชั่วครู่ ก่อนที่นายแพทย์โทมัสจะได้ยินเสียงเครื่องยนต์แล่นออกไปอีกครั้ง ผู้สูงวัยเงยหน้าขึ้นจากหนังสือเล่มหนา เขาขยับแว่นตาเล็กน้อยเมื่อร่างโปร่งบางของบุตรสาวเดินผ่านประตูเข้ามา
“แอนดรูว์มาส่งเหรอลูก” ผู้เป็นพ่อเอ่ยถามด้วยบุตรสาวคนเดียวด้วยน้ำเสียงปรานี
“ค่ะพ่อ คืนนี้รถของหนูเลยต้องนอนอยู่ที่ศูนย์ พรุ่งนี้ขอติดรถคุณหมอโทมัสไปลงที่ศูนย์ได้มั้ยคะ” เกเบรียลลายกแขนขึ้นโอบรอบคอบิดา พร้อมกับหอมแก้มที่เต็มไปด้วยเคราครึ้มของผู้เป็นพ่ออย่างประจบ ส่งผลให้นายแพทย์โทมัสหัวเราะหึ ๆ อย่างถูกอกถูกใจ
“แล้วคู่หมั้นเรา เขาไม่มารับแล้วเรอะ”
“แอนดี้เขาจะมาเหมือนกันค่ะ แต่หนูบอกว่าหนูจะไปพร้อมคุณพ่อ” เกเบรียลลาสอดมือเข้าไปกอดแขนบิดาอย่างสนิทสนมจนนายแพทย์โทมัสอดยิ้มอย่างเอ็นดูไม่ได้
“ติดพ่อแบบนี้แล้วเมื่อไหร่จะแต่งงานสักทีฮึ” ผู้สูงวัยจับศีรษะบุตรสาวโยกเบา ๆ หญิงสาวจึงย่นจมูกด้วยสีหน้าดื้อรั้นที่ผู้เป็นพ่อมักจะเห็นอยู่เสมอตั้งแต่เกเบรียลลายังเด็ก เธอลุกขึ้นยืนก่อนจะหันมาพูดกับบิดา
“ยังไม่แต่งหรอกค่ะ อยู่ก่อกวนนายแพทย์สลีเฟิร์ทก่อนดีกว่า”
“อ้าว!” ผู้เป็นพ่อร้องออกมาได้คำเดียวแล้วก็ได้แต่ส่ายหน้า เมื่อร่างเพรียวของบุตรสาวหนีหายขึ้นห้องไปเสียแล้ว
เกเบรียลลาหย่อนกระเป๋าถือลงบนเตียงกว้าง ใบหน้างดงามนั้นขรึมลงเมื่อนึกถึงคำพูดของบิดา เธอยังไม่พร้อมจะแต่งงาน ทุกวันนี้หญิงสาวยังหาคำตอบให้กับตัวเองไม่ได้เลยว่าเธอรักแอนดรูว์หรือไม่ ที่เธอตกลงหมั้นกับชายหนุ่มก็เพราะว่าเธอมั่นใจว่าเขาเป็นคนดี และเหนือสิ่งอื่นใด เกเบรียลลารู้ดีว่าแอนดรูว์ต้องการใครสักคนเพื่อทดแทนน้องชายของเขา...นิโคลัส
.............................................................
โรเจอร์เพิ่งจะกลับเข้าบ้านได้เพียงไม่นานเมื่อเขาได้ยินเสียงเคาะประตูดังขึ้นสองสามครั้ง ชายวัยสี่สิบกว่า ๆ แนบใบหน้าจ้องมองผ่านรูเล็ก ๆ ของประตูไปด้านนอก เขาเห็นชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลากำลังยืนอยู่หน้าประตูบ้าน ใบหน้าคมสันสะดุดตานั้นช่างดูคุ้นเคยอย่างประหลาด โรเจอร์ถอดกลอนประตูและหมุนลูกบิดเปิดประตูออกอย่างช้า ๆ
“สวัสดีครับน้าโรเจอร์” ชายหนุ่มทักผู้สูงวัยกว่าด้วยความสนิทสนมทันทีที่ประตูเปิดกว้างออก
“เธอคือ...” โรเจอร์เขม้นมองชายหนุ่มร่างสูงตรงหน้าอย่างพิจารณา
“นิค หลานชายอีกคนของน้าไงครับ” นิโคลัสเป็นผู้เฉลยโดยไม่รอให้ผู้เป็นน้าต้องนึกนาน คำพูดของหลานชายทำให้โรเจอร์ยิ้มกว้างอย่างยินดี เขาตรงเข้าไปสวมกอดพร้อมกับตบไหล่นิโคลัสด้วยความรักใคร่
“นิค! หลานรัก น้าดีใจจริง ๆ มา เข้ามาข้างในก่อน” โรเจอร์ชักชวนผู้เป็นหลานเข้าบ้านอย่างกระตือรือร้น หากคนชวนกลับชะงักเท้าเสียเองเมื่อมองเห็นผู้ติดตามทั้งสองของหลานชาย นิโคลัสมองตามสายตาของโรเจอร์แล้วจึงเข้าใจอาการชะงักงันของน้าชาย
“ไม่มีอะไรหรอกครับ แบรนดอนกับไซม่อนเป็นคนขับรถกับเลขาฯของผมเอง ให้เขารออยู่ข้างนอกก็ได้”
เมื่อผู้ติดตามทั้งสองถอดแว่นกันแดดออกอย่างพร้อมที่จะแสดงความบริสุทธิ์ใจ โรเจอร์จึงหัวเราะเสียงดังอย่างคลายใจ “ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร เข้ามาทั้งหมดนั่นแหละ”
“เป็นยังไงบ้างนิค หลานสบายดีใช่มั้ย นายเกรแฮมเขาดีกับหลานรึเปล่า” พอทุกคนนั่งลงเรียบร้อย โรเจอร์ก็ยิงคำถามใส่หลานชายเป็นชุด
“คุณพ่อดีกับผมมากครับ น้าไม่ต้องเป็นห่วง” นิโคลัสตอบคำถามพร้อมกับยิ้มให้โรเจอร์เล็กน้อย ผู้เป็นน้าพยักหน้า เมื่อนึกถึงชะตาชีวิตของพี่สาว หนุ่มใหญ่ก็ถึงกับน้ำตาคลอ
“จริงสินะ ก็หลานเป็นลูกชายคนเดียวของเขานี่นา อย่าไปสนใจกับเสียงนกเสียงกาเลยนะ ถึงยังไงหลานก็เป็นถึงหลานชายของท่านวุฒิสมาชิก ใครจะว่ายังไงก็ช่าง” โรเจอร์เอ่ยปลอบหลานชาย เป็นคำพูดที่เขาอยากจะพูดกับนิโคลัสมานานแล้ว แต่เขาไม่เคยมีโอกาสได้เข้าใกล้นิคน้อยอีก หลังจากที่เขาตัดสินใจเข้าทำงานในบริษัทของตระกูลเคลย์ตัน
“ผมไม่สนใจมันมาตั้งนานแล้วครับ” นิโคลัสกำลังโกหก ทุกวันนี้เขายังเจ็บปวดทุกครั้งกับคำว่า ‘ลูกชู้’ ซึ่งการเป็นลูกหลานของคนดังไม่ได้ช่วยอะไร ในเมื่อแม่ของเขาแต่งงานกับนายเอ็ดเวิร์ดอยู่ก่อนแล้ว ยังไงเขาก็ยังเป็นลูกชู้อยู่วันยังค่ำ
“ดีแล้วนิค หลานทำให้น้านึกถึงนาตาเลีย เคยมีใครบอกมั้ยว่าหลานหน้าเหมือนแม่มาก” โรเจอร์ถึงกับต้องสูดน้ำมูกและพยายามกลั้นน้ำตาเมื่อพิจารณาใบหน้าของนิโคลัสตรง ๆ ก่อนจะกล่าวต่ออย่างยากเย็น
“เหมือนมาก ยกเว้นตรงดวงตา”
“ครับ” นิโคลัสตอบรับ เขาได้ยินคำพูดแบบนี้จากปากของนายหลุยส์ผู้เป็นพ่อมาแล้วเป็นร้อย ๆ ครั้ง ใบหน้างดงามของนาตาเลีย ดวงตาสีน้ำเงินเข้มดุจท้องทะเลลึกของตระกูลเกรแฮม...ส่วนผสมของลูกผู้ดีกับหญิงเลวคนหนึ่ง มันทำให้เขารู้สึกเกลียดตัวเองทุกครั้ง
ชายหนุ่มปล่อยให้โรเจอร์ซักถามสารทุกข์สุขดิบจนพอใจ เขาจึงค่อยเริ่มธุระของตัวเอง หากสักพักใบหน้าของผู้สูงวัยกว่ากลับซีดลง โรเจอร์ยกมือขึ้นลูบเหงื่อที่ขมับของตนเอง หนุ่มใหญ่รู้สึกร้อนขึ้นมากะทันหัน
“นิค น้าทำไม่ได้ แอนดรูว์ก็เป็นหลานของน้าเหมือนกัน”
“คิดดูสิครับ ผมแค่อยากช่วยพี่ชาย ดรูว์เขาไม่ถนัดเรื่องบริหารธุรกิจ น้าก็รู้ ยังไงผมก็ไม่ปล่อยให้พี่ชายของตัวเองต้องลำบากหรอก” นิโคลัสพยายามโน้มน้าวน้าชาย เขาพูดเรื่อย ๆ อย่างใจเย็น
ท่าทางจริงใจของชายหนุ่มทำให้โรเจอร์เริ่มลังเล นิโคลัสพูดถูกแอนดรูว์ไม่ชอบเรื่องธุรกิจ แล้วถ้าให้นิโคลัสเข้ามาทำแทนก็ไม่น่าจะเสียหาย ยังไงทั้งคู่ก็เป็นพี่น้องกัน
เมื่อเห็นว่างานของตนใกล้จะสำเร็จ นิโคลัสจึงลุกขึ้น เขาเอ่ยลาราวกับต้องการให้เวลาคนเป็นน้าคิดทบทวน
“น้าเอาไปคิดดูแล้วกันนะครับ ผมไม่ได้เร่งรัดอะไร แต่ถ้าน้าตกลงก็โทรหาผมที่เบอร์นี่ละกัน” ชายหนุ่มส่งกระดาษแผ่นหนึ่งให้โรเจอร์ กระดาษสีขาวที่มีเพียงแค่เบอร์โทรศัพท์เบอร์เดียว
“เอ้อ! งั้นเดี๋ยวน้าออกไปส่ง”
โรเจอร์เดินเคียงคู่ออกไปพร้อมกับหลานชาย เมื่อไปถึงหน้าบ้านคนเป็นน้าก็ต้องแปลกใจที่มีรถยุโรปคันหรูจอดอยู่ถึงสองคัน เอ...หรือว่าอีกคันจะเป็นของเลขาฯ ของนิโคลัส โรเจอร์กำลังคิดอยู่ในใจ อยู่ดี ๆ หลานชายก็ยื่นกุญแจดอกหนึ่งมาตรงหน้า
“อะไรหรือนิค” ผู้เป็นน้าถามด้วยหัวใจที่กำลังเต้นกระหน่ำด้วยความตื่นเต้น
“รถที่บ้านผมมีเยอะ ก็เลยเอามาแบ่งให้น้าใช้บ้าง” นิโคลัสหย่อนกุญแจลงในมือของโรเจอร์ เขาส่งยิ้มที่มีแต่แบรนดอนและไซม่อนเท่านั้นที่ดูออกว่าเป็นรอยยิ้มเย็น...ยะเยือกยิ่งกว่าน้ำแข็งที่ขั้วโลกเสียอีก หากดูเหมือนโรเจอร์มัวแต่ดีใจจนลืมสังเกต
หลังจากรถอีกคันของหลานชายคนเล็กเคลื่อนห่างออกไปแล้ว โรเจอร์ก็อดคิดถึงแอนดรูว์ไม่ได้ แม้แอนดรูว์จะคอยคำนึงถึงความสะดวกสบายของคนเป็นน้าเสมอ แต่หลานชายคนโตของเขาก็ไม่เคยให้อะไรถึงขนาดนี้
มือที่กำลังลูบคลำรถยนต์เหลือใช้ของนิโคลัสนั้นสั่นน้อย ๆ อย่างห้ามไม่อยู่ โรเจอร์รู้สึกเหมือนกำลังอยู่ในความฝัน รถยนต์คันใหญ่หรูหรา...ให้ตาย! นี่นิโคลัสให้โรสรอยซ์เขาเชียวหรือ!
..............................................................
หลังจากที่ฟ้าเริ่มจะมืดครึ้มได้ไม่นาน เม็ดฝนก็โปรยปรายลงมากระทบกับกระจกด้านหน้าของรถยนต์ส่งเสียงดังเปาะแปะ ความลื่นของพื้นถนนทำให้เกเบรียลลาต้องชะลอความเร็วของรถลง กระทั่งถึงศูนย์คุ้มครองเด็กมาสเดน หญิงสาวจึงหักพวงมาลัยเลี้ยวเข้าไปด้านใน หากวันนี้ที่จอดรถประจำของเธอกลับมีรถยุโรปราคาแพงลิบจับจองอยู่ก่อนแล้ว คุณหมอสาวมองไปรอบ ๆ ก่อนจะพบกับที่ว่างสำหรับจอดรถอยู่ฟากตรงข้ามกับตัวอาคาร เกเบรียลลาจึงนำรถยนต์เข้าไปจอดเทียบตรงช่องว่างนั้นอย่างไม่มีทางเลือก
เมื่อดับเครื่องเรียบร้อยแล้วหญิงสาวก็เอื้อมมือไปคว้าหนังสือนิทานสีสันสวยงามสามเล่มซึ่งเกเบรียลลาเพิ่งซื้อมาใหม่สำหรับบรรดาคนไข้ตัวน้อยของเธอ หากเมื่อกวาดตามองหาร่มสักคัน หญิงสาวกลับต้องพบกับความผิดหวัง
“ให้มันได้อย่างนี้สิ ทำไมไม่รู้จักติดร่มมาสักคันนะ” เกเบรียลลาบ่นกับตัวเอง หญิงสาวเปิดประตูรถแล้วเงยหน้าขึ้นมองไปบนท้องฟ้า ดูเหมือนอีกนานกว่าที่ฝนจะหยุด และเมื่อคำนวณจากความแรงแล้ว เธอคงวิ่งฝ่าไปได้โดยไม่เปียกจนเกินไปนัก
เกเบรียลลาวิ่งมาถึงตัวอาคารได้ก็รีบผลักประตูเข้าไปข้างใน หญิงสาวก้มลงมองสภาพของตัวเอง ดูเหมือนหยาดฝนจะเล่นงานเธอหนักกว่าที่คิด เมื่อเสื้อเชิ้ตสีขาวแขนยาวตัวเก่งนั้นเปียกแนบไปกับลำตัว เน้นให้เห็นส่วนสัดของผู้หญิงอย่างชัดเจน จิตแพทย์สาวรีบยกหนังสือนิทานทั้งสามเล่มขึ้นแนบอก ก่อนจะก้มหน้าก้มตาสาวเท้าไปยังห้องทำงานซึ่งอยู่ชั้นสองให้เร็วที่สุด หากเมื่อเดินแกมวิ่งไปจนถึงหัวมุมบันได เกเบรียลลาก็ชนเข้าอย่างจังกับร่างสูงของผู้ที่กำลังเดินสวนมา ส่งผลให้หนังสือในอ้อมแขนนั้นหล่นลงสู่พื้นกระจายไปคนละทาง หญิงสาวรีบก้มลงเก็บ เมื่อถึงเล่มสุดท้ายมือเรียวบางของเธอกลับวางทับลงไปบนมือที่ใหญ่กว่าของใครบางคน คุณหมอสาวรีบชักมือกลับแล้วเงยหน้าขึ้นมอง
ดวงตาสีน้ำเงินเข้มจัดกำลังมองตรงเข้ามาในดวงตาสีน้ำผึ้งของเธอเช่นกัน เมื่อทั้งคู่ยืนขึ้น เกเบรียลลาจึงเห็นว่าผู้ชายที่เดินชนกับเธอนั้นสูงมากทีเดียว เขาอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตแขนสั้นสีน้ำเงินสดที่มีลวดลายน่าเวียนหัวกับกางเกงยีนส์สีซีดเก่าที่ดูราวกับจะผ่านการใช้งานมาแล้วอย่างโชกโชน หากแต่ผู้ที่เดินตามหลังมาทั้งสองคนกลับอยู่ในชุดสูทสีดำอย่างเรียบร้อย
คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันเล็กน้อยเมื่อเห็นอาการกวาดสายตาไปทั่วร่างเธออย่างรวดเร็วของคนตรงหน้า หญิงสาวรีบยกหนังสือในมือขึ้นแนบอกอีกครั้ง และดูเหมือนว่าอากัปกิริยานี้เองที่ทำให้ชายหนุ่มรู้ตัว เขาจึงส่งหนังสือคืนให้เธอพร้อมกับรอยยิ้ม...รอยยิ้มที่ดูคุ้นตาเหลือเกินในความรู้สึกของหญิงสาว
“ขอโทษครับ” เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นเพียงแค่นั้น ก่อนที่ร่างสูงจะก้าวจากไปโดยที่เกเบรียลลายังไม่ทันได้เอ่ยตอบ หญิงสาวจึงหันหลังเดินต่อไปยังห้องทำงาน
เธอนั่งอ่านบันทึกประจำวันของเด็ก ๆ ในศูนย์อยู่สักพัก กระทั่งเสื้อผ้าที่สวมอยู่นั้นแห้งเกือบสนิทแล้ว เกเบรียลลาจึงออกไปหาบรรดาคนไข้ตัวน้อยของเธอ ก่อนออกจากห้องคุณหมอสาวหันไปคว้าหนังสือนิทานที่วางอยู่บนโต๊ะติดมือไปด้วย โชคดีที่ทั้งหมดเป็นแบบกระดาษแข็งทั้งเล่ม ฝนจึงไม่สามารถทำความเสียหายได้มากนัก
เมื่อไปถึงห้องเรียนรวม ภาพของเด็ก ๆ ที่กำลังเต้นกันอยู่อย่างสนุกสนานนั้น ทำให้ริมฝีปากอิ่มสวยหยักยิ้มขึ้นอย่างอ่อนโยน เกเบรียลลารู้สึกดีใจที่เธอเองเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยนำความสดใสกลับคืนให้กับเด็ก ๆ เหล่านี้ ทุกคนที่ถูกส่งตัวมายังศูนย์คุ้มครอง เมื่อแรกมักจะมีอาการซึมเศร้าหรือไม่ก็ก้าวร้าวรุนแรง และส่วนใหญ่ล้วนถูกกระทำจากพ่อเลี้ยงหรือแม่เลี้ยง หากบางรายกลับเป็นฝีมือของพ่อแม่แท้ ๆ ต้องใช้เวลาบำบัดกันพักใหญ่กว่าที่หนูน้อยเหล่านี้จะกลับมาสดใสร่าเริงเหมือนเด็กทั่วไปอีกครั้ง
ซูซาน หนึ่งในเจ้าหน้าที่ซึ่งทำหน้าที่เป็นครูพี่เลี้ยงกำลังวุ่นวายอยู่กับการสอนการแสดงประกอบเพลงให้กับเด็ก ๆ และเจ้าตัวร้ายทั้งหลายก็เต้นพร้อมกันบ้างไม่พร้อมบ้าง ดูแล้วทั้งน่าขันและน่าเอ็นดู และเมื่อเพลงจบลงครูพี่เลี้ยงจึงหันมาเห็นจิตแพทย์สาว ซูซานส่งยิ้มมาให้เกเบรียลลา ส่งผลให้เด็ก ๆ พากันกรูเข้ามารุมล้อมคุณหมอของพวกแก
“วันนี้เรียนอะไรกันอยู่เอ่ย เป็นเด็กดีกันรึเปล่าคะ” เกเบรียลลาถามพร้อมกับก้มลงจูบศีรษะของเด็ก ๆ ซึ่งแย่งกันตอบคำถามของเธอไปคนละที ดูเหมือนทุกคนจะยอมรับว่าตัวเองเป็นเด็กดีกันหมด จนหญิงสาวอดหัวเราะเสียงใสออกมาไม่ได้
“เอาล่ะ ในเมื่อเป็นเด็กดีกันหมดแบบนี้ คุณหมอแก๊บบี้ก็มีรางวัลมาฝาก” หญิงสาวชูนิทานในมือขึ้น เรียกเสียงร้องอย่างดีใจดังเซ็งแซ่ เกเบรียลลาส่งนิทานต่อให้กับครูพี่เลี้ยงอีกคน เด็ก ๆ จึงพากันทิ้งคุณหมอหันไปหานิทานกันอย่างพร้อมเพรียง หญิงสาวยิ้มน้อย ๆ ก่อนจะผละไปหาซูซาน
“ฝึกหัดการแสดงชุดใหม่เหรอคะ” คุณหมอสาวชวนคุย
“ใช่ค่ะ ไว้แสดงอวดผู้บริจาครายใหม่” ซูซานตอบด้วยน้ำเสียงร่าเริง แก้มอิ่มนั้นเป็นสีชมพูเรื่อขึ้นมาทันตา เกเบรียลลาจึงเอ่ยเย้าอย่างรู้ทัน
“สงสัยผู้บริจาครายใหม่นี่ต้องเป็นหนุ่มหล่อแหง ๆ เลย”
ส่งผลให้คนถูกเย้าหัวเราะอย่างเขิน ๆ “ไม่ใช่หรอกค่ะ คุณหลุยส์ เกรแฮมน่ะอายุเลยวัยหนุ่มไปนานแล้ว”
“หลุยส์ เกรแฮม” คุณหมอสาวเลิกคิ้วด้วยความสงสัย “เป็นอะไรกับอดีตวุฒิสมาชิกจอห์น เกรแฮมรึเปล่าคะ” ทุกคนในศูนย์ล้วนคุ้นหูกับนามสกุลเกรแฮมเป็นอย่างดี ในเมื่อจอห์น เกรแฮม อดีตวุฒิสมาชิกก็เคยเป็นหนึ่งในผู้อุปถัมภ์รายใหญ่
“สายตรงเลยล่ะค่ะ คุณหลุยส์น่ะเป็นลูกชายคนเดียวของท่านวุฒิสมาชิก” ซูซานเล่าด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น
“แล้วซูซานก็เลยตื่นเต้นที่จะได้เจอกับลูกชายของคนดัง” เกเบรียลลาเอ่ยต่อให้ด้วยแววตายิ้มพราย
“แหม...ไม่ถึงอย่างนั้นหรอกค่ะ จริง ๆ แล้วเป็นหลานชายต่างหาก ลูกชายของคุณหลุยส์น่ะหล่อสะเด็ดเลย” ท้ายประโยคคนพูดลดเสียงลงเป็นกระซิบแค่พอให้ได้ยินกันเพียงสองคน
“เคยเห็นแล้วเหรอคะ” เกเบรียลลาถามด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ ในสายตาของซูซานผู้ชายทั้งโลกดูจะหล่อเหมือนกันหมดทุกคน เธอไม่เคยเห็นครูพี่เลี้ยงคนนี้จะบอกว่าใครไม่หล่อสักคน
“เคยสิคะ วันนี้ก็มา” ซูซานตอบด้วยแววตาเคลิ้มฝัน
เกเบรียลลาส่ายหน้าอย่างขบขันกับอาการของเจ้าหน้าที่สาว เธอจำได้ว่าซูซานก็เคยเป็นแบบนี้เมื่อตอนที่เห็นแอนดรูว์มาที่นี่ครั้งแรก หญิงสาวขอตัวกลับไปที่ห้องทำงาน หากครูพี่เลี้ยงก็ยังส่งเสียงไล่หลังมาให้ได้ยิน “คนนี้หล่อจริง ๆ นะคะคุณหมอ”
..................................................................
เมื่อแสงอาทิตย์ที่สว่างสไวของยามบ่ายเหลือเพียงแสงเรื่อเรืองแต้มอยู่ตามขอบฟ้า ใบหน้าอันคุ้นเคยก็โผล่แว่บเข้ามาในห้องทำงานของจิตแพทย์สาวพร้อมกับรอยยิ้มแฉ่ง ทำให้เกเบรียลลายิ้มตอบพร้อมกับหัวเราะออกมาเบา ๆ หากเมื่อหันไปมองหน้าคู่หมั้นหนุ่มเต็มตา กลับมีภาพของชายหนุ่มอีกคนซ้อนขึ้นมาในความคิด ชายหนุ่มใบหน้าคมสัน ผมดำสนิทกับดวงตาสีน้ำเงินเข้มสวยเจ้าของรอยยิ้มที่คุ้นตา...ใช่แล้ว! ผู้ชายคนนั้นยิ้มเหมือนกับแอนดรูว์นี่เอง แต่เมื่อตอนกลางวันเธอกลับนึกไม่ออก
“ถึงเวลาเลิกงานแล้วครับคุณหมอ” แอนดรูว์ก้าวเข้ามาคว้ากระเป๋าถือของเกเบรียลลาขึ้นมาไว้ในมือ หญิงสาวจึงเก็บแฟ้มประวัติของคนไข้เด็กรายใหม่เข้าที่ ก่อนจะก้าวตามคู่หมั้นหนุ่มออกไป
“ขอแวะไปหาเพื่อนหน่อยนะครับ” ชายหนุ่มเลี้ยวไปยังบริเวณที่พักของบรรดาเด็ก ๆ ในศูนย์โดยไม่รอคำตอบ จนเมื่อเห็นเพื่อนซี้คนโปรดเขาจึงยกมือขึ้นทักด้วยน้ำเสียงร่าเริง
“เฮ้! เจมี่ ว่าไงเพื่อน”
เพื่อนตัวจ้อยมองตอบกลับมาด้วยประกายตายินดีเป็นอย่างยิ่ง เจ้าหนูเจมี่กระโดดเข้าหาอ้อมแขนของเพื่อนตัวโตที่อ้าแขนรอรับอยู่ก่อนแล้ว แอนดรูว์อุ้มเด็กชายขึ้นยืนพร้อมกับหอมแก้มแดงใสนั้นแรง ๆ อย่างมันเขี้ยว โดยที่กระเป๋าของหญิงสาวยังห้อยต่องแต่งอยู่ที่มือข้างหนึ่งของชายหนุ่มอย่างน่าขัน
ดูเหมือนหนูน้อยเจมี่จะมีเรื่องคุยกับเพื่อนเล่นตัวโข่งของแกเยอะแยะไปหมด เกเบรียลลาจึงตัดสินใจนั่งรอที่เก้าอี้ตัวหนึ่ง รอยยิ้มและเสียงสนทนาของสองคู่หูต่างวัยทำให้หญิงสาวอดยิ้มตามไม่ได้
“ฉันคงต้องไปแล้วล่ะเจมี่ คุณหมอแก๊บบี้รอนานแล้ว” ในที่สุดแอนดรูว์ก็เอ่ยลาเพื่อนคนโปรดของเขา แต่เจ้าหนูยังยึดแขนชายหนุ่มเอาไว้พร้อมกับทวงสัญญา
“ไหนคุณบอกว่าจะพาผมไปหัดขี่ม้าไงฮะแอนดี้”
“แน่นอนสิ แต่ต้องรอให้นายตัวสูงกว่านี้อีกสักสี่นิ้ว” คำตอบของแอนดรูว์ทำให้สีหน้าของเจ้าหนูเจมี่ม่อยลงด้วยความผิดหวัง ชายหนุ่มจึงหัวเราะเบา ๆ พร้อมกับกล่าวให้กำลังใจ
“ไม่เอาน่าเจมี่ กินนมเยอะ ๆ เข้าไว้เพื่อนยาก สี่นิ้วน่ะแป๊บเดียว โอเคมั้ย”
“โอเคฮะ” เด็กชายรับคำเสียงอ่อย
แอนดรูว์วางตัวหนูน้อยเจมี่ลง เขาขยี้เส้นผมสีดำยุ่งเหยิงนั้นเบา ๆ อย่างเอ็นดู ก่อนจะผละไปหาคู่หมั้นสาว
ชายหนุ่มพาเกเบรียลลาไปดินเนอร์กันที่ภัตตาคารแห่งหนึ่งซึ่งเป็นร้านอาหารประจำของคนทั้งคู่ หญิงสาวอมยิ้มกับท่าทางหิวซ่กของคู่หมั้นหนุ่ม แอนดรูว์ก้มหน้าก้มตาทานอาหารราวกับอดอยากมาหลายวัน เขายิ้มอย่างเขิน ๆ เมื่อเงยหน้าขึ้นเห็นเกเบรียลลากำลังมองอยู่พอดี
“ทำไมถึงหิวมาอย่างนี้ล่ะคะ” หญิงสาวถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนเหมือนที่เธอมักใช้กับเด็ก ๆ ที่ศูนย์
“วันนี้ซ้อมหนักไปหน่อย เลยไม่มีเวลากินข้าวกัน” ชายหนุ่มพูดถึงการซ้อมโปโลที่เขาต้องลงแข่งชิงถ้วยการกุศลในเร็ว ๆ นี้
“แสดงว่าวันนี้เกงานอีกแล้วใช่มั้ยคะ” เกเบรียลลาแกล้งต่อว่าคู่หมั้น เพราะเธอรู้ดีว่าแอนดรูว์ไม่ค่อยชอบงานทางด้านธุรกิจนัก ชายหนุ่มยอมเข้าไปบริหารบริษัทเพียงเพราะพ่อของเขาและเพราะมันเป็นหน้าที่ของผู้นำตระกูลเท่านั้น หากแม้จะไม่ชอบ แต่แอนดรูว์ก็ทำหน้าที่ได้ดี ธุรกิจของตระกูลเคลย์ตันยังทำกำไรได้อย่างสม่ำเสมอ
“ไม่ได้เกงาน ผมฝากให้น้าโรเจอร์ช่วยดูแลแล้วต่างหาก”
“ระวังนะคะ มัวแต่ฝากคนอื่นดูน่ะ” หญิงสาวเตือนอย่างไม่จริงจังนัก ส่งผลให้แอนดรูว์หัวเราะเบา ๆ อย่างขบขันกับคำเตือนของคู่หมั้นสาว
“โธ่! แก๊บบี้ น้าโรเจอร์น่ะไว้ใจได้ เขาเป็นน้าแท้ ๆ ของผมนะครับ แล้วเขาก็รักแม่ของผมมากด้วย เพราะฉะนั้นเขาไม่มีวันทำร้ายผมซึ่งเป็นลูกชายของแม่หรอก วางใจได้”
คุณหมอสาวเพียงยิ้มน้อย ๆ กับคำตอบของแอนดรูว์ ดูเหมือนชายหนุ่มจะไว้วางใจต่อสายเลือดเป็นอย่างยิ่ง แอนดรูว์เชื่อสนิทใจว่าน้าชายจะไม่มีวันทำร้ายเขา และหญิงสาวก็หวังว่ามันจะเป็นเช่นนั้น เพราะการที่ถูกสายเลือดเดียวกันทำร้ายย่อมเจ็บปวดยิ่งกว่า
เสียงรถแล่นเข้ามาจอดชั่วครู่ ก่อนที่นายแพทย์โทมัสจะได้ยินเสียงเครื่องยนต์แล่นออกไปอีกครั้ง ผู้สูงวัยเงยหน้าขึ้นจากหนังสือเล่มหนา เขาขยับแว่นตาเล็กน้อยเมื่อร่างโปร่งบางของบุตรสาวเดินผ่านประตูเข้ามา
“แอนดรูว์มาส่งเหรอลูก” ผู้เป็นพ่อเอ่ยถามด้วยบุตรสาวคนเดียวด้วยน้ำเสียงปรานี
“ค่ะพ่อ คืนนี้รถของหนูเลยต้องนอนอยู่ที่ศูนย์ พรุ่งนี้ขอติดรถคุณหมอโทมัสไปลงที่ศูนย์ได้มั้ยคะ” เกเบรียลลายกแขนขึ้นโอบรอบคอบิดา พร้อมกับหอมแก้มที่เต็มไปด้วยเคราครึ้มของผู้เป็นพ่ออย่างประจบ ส่งผลให้นายแพทย์โทมัสหัวเราะหึ ๆ อย่างถูกอกถูกใจ
“แล้วคู่หมั้นเรา เขาไม่มารับแล้วเรอะ”
“แอนดี้เขาจะมาเหมือนกันค่ะ แต่หนูบอกว่าหนูจะไปพร้อมคุณพ่อ” เกเบรียลลาสอดมือเข้าไปกอดแขนบิดาอย่างสนิทสนมจนนายแพทย์โทมัสอดยิ้มอย่างเอ็นดูไม่ได้
“ติดพ่อแบบนี้แล้วเมื่อไหร่จะแต่งงานสักทีฮึ” ผู้สูงวัยจับศีรษะบุตรสาวโยกเบา ๆ หญิงสาวจึงย่นจมูกด้วยสีหน้าดื้อรั้นที่ผู้เป็นพ่อมักจะเห็นอยู่เสมอตั้งแต่เกเบรียลลายังเด็ก เธอลุกขึ้นยืนก่อนจะหันมาพูดกับบิดา
“ยังไม่แต่งหรอกค่ะ อยู่ก่อกวนนายแพทย์สลีเฟิร์ทก่อนดีกว่า”
“อ้าว!” ผู้เป็นพ่อร้องออกมาได้คำเดียวแล้วก็ได้แต่ส่ายหน้า เมื่อร่างเพรียวของบุตรสาวหนีหายขึ้นห้องไปเสียแล้ว
เกเบรียลลาหย่อนกระเป๋าถือลงบนเตียงกว้าง ใบหน้างดงามนั้นขรึมลงเมื่อนึกถึงคำพูดของบิดา เธอยังไม่พร้อมจะแต่งงาน ทุกวันนี้หญิงสาวยังหาคำตอบให้กับตัวเองไม่ได้เลยว่าเธอรักแอนดรูว์หรือไม่ ที่เธอตกลงหมั้นกับชายหนุ่มก็เพราะว่าเธอมั่นใจว่าเขาเป็นคนดี และเหนือสิ่งอื่นใด เกเบรียลลารู้ดีว่าแอนดรูว์ต้องการใครสักคนเพื่อทดแทนน้องชายของเขา...นิโคลัส
.............................................................
โรเจอร์เพิ่งจะกลับเข้าบ้านได้เพียงไม่นานเมื่อเขาได้ยินเสียงเคาะประตูดังขึ้นสองสามครั้ง ชายวัยสี่สิบกว่า ๆ แนบใบหน้าจ้องมองผ่านรูเล็ก ๆ ของประตูไปด้านนอก เขาเห็นชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลากำลังยืนอยู่หน้าประตูบ้าน ใบหน้าคมสันสะดุดตานั้นช่างดูคุ้นเคยอย่างประหลาด โรเจอร์ถอดกลอนประตูและหมุนลูกบิดเปิดประตูออกอย่างช้า ๆ
“สวัสดีครับน้าโรเจอร์” ชายหนุ่มทักผู้สูงวัยกว่าด้วยความสนิทสนมทันทีที่ประตูเปิดกว้างออก
“เธอคือ...” โรเจอร์เขม้นมองชายหนุ่มร่างสูงตรงหน้าอย่างพิจารณา
“นิค หลานชายอีกคนของน้าไงครับ” นิโคลัสเป็นผู้เฉลยโดยไม่รอให้ผู้เป็นน้าต้องนึกนาน คำพูดของหลานชายทำให้โรเจอร์ยิ้มกว้างอย่างยินดี เขาตรงเข้าไปสวมกอดพร้อมกับตบไหล่นิโคลัสด้วยความรักใคร่
“นิค! หลานรัก น้าดีใจจริง ๆ มา เข้ามาข้างในก่อน” โรเจอร์ชักชวนผู้เป็นหลานเข้าบ้านอย่างกระตือรือร้น หากคนชวนกลับชะงักเท้าเสียเองเมื่อมองเห็นผู้ติดตามทั้งสองของหลานชาย นิโคลัสมองตามสายตาของโรเจอร์แล้วจึงเข้าใจอาการชะงักงันของน้าชาย
“ไม่มีอะไรหรอกครับ แบรนดอนกับไซม่อนเป็นคนขับรถกับเลขาฯของผมเอง ให้เขารออยู่ข้างนอกก็ได้”
เมื่อผู้ติดตามทั้งสองถอดแว่นกันแดดออกอย่างพร้อมที่จะแสดงความบริสุทธิ์ใจ โรเจอร์จึงหัวเราะเสียงดังอย่างคลายใจ “ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร เข้ามาทั้งหมดนั่นแหละ”
“เป็นยังไงบ้างนิค หลานสบายดีใช่มั้ย นายเกรแฮมเขาดีกับหลานรึเปล่า” พอทุกคนนั่งลงเรียบร้อย โรเจอร์ก็ยิงคำถามใส่หลานชายเป็นชุด
“คุณพ่อดีกับผมมากครับ น้าไม่ต้องเป็นห่วง” นิโคลัสตอบคำถามพร้อมกับยิ้มให้โรเจอร์เล็กน้อย ผู้เป็นน้าพยักหน้า เมื่อนึกถึงชะตาชีวิตของพี่สาว หนุ่มใหญ่ก็ถึงกับน้ำตาคลอ
“จริงสินะ ก็หลานเป็นลูกชายคนเดียวของเขานี่นา อย่าไปสนใจกับเสียงนกเสียงกาเลยนะ ถึงยังไงหลานก็เป็นถึงหลานชายของท่านวุฒิสมาชิก ใครจะว่ายังไงก็ช่าง” โรเจอร์เอ่ยปลอบหลานชาย เป็นคำพูดที่เขาอยากจะพูดกับนิโคลัสมานานแล้ว แต่เขาไม่เคยมีโอกาสได้เข้าใกล้นิคน้อยอีก หลังจากที่เขาตัดสินใจเข้าทำงานในบริษัทของตระกูลเคลย์ตัน
“ผมไม่สนใจมันมาตั้งนานแล้วครับ” นิโคลัสกำลังโกหก ทุกวันนี้เขายังเจ็บปวดทุกครั้งกับคำว่า ‘ลูกชู้’ ซึ่งการเป็นลูกหลานของคนดังไม่ได้ช่วยอะไร ในเมื่อแม่ของเขาแต่งงานกับนายเอ็ดเวิร์ดอยู่ก่อนแล้ว ยังไงเขาก็ยังเป็นลูกชู้อยู่วันยังค่ำ
“ดีแล้วนิค หลานทำให้น้านึกถึงนาตาเลีย เคยมีใครบอกมั้ยว่าหลานหน้าเหมือนแม่มาก” โรเจอร์ถึงกับต้องสูดน้ำมูกและพยายามกลั้นน้ำตาเมื่อพิจารณาใบหน้าของนิโคลัสตรง ๆ ก่อนจะกล่าวต่ออย่างยากเย็น
“เหมือนมาก ยกเว้นตรงดวงตา”
“ครับ” นิโคลัสตอบรับ เขาได้ยินคำพูดแบบนี้จากปากของนายหลุยส์ผู้เป็นพ่อมาแล้วเป็นร้อย ๆ ครั้ง ใบหน้างดงามของนาตาเลีย ดวงตาสีน้ำเงินเข้มดุจท้องทะเลลึกของตระกูลเกรแฮม...ส่วนผสมของลูกผู้ดีกับหญิงเลวคนหนึ่ง มันทำให้เขารู้สึกเกลียดตัวเองทุกครั้ง
ชายหนุ่มปล่อยให้โรเจอร์ซักถามสารทุกข์สุขดิบจนพอใจ เขาจึงค่อยเริ่มธุระของตัวเอง หากสักพักใบหน้าของผู้สูงวัยกว่ากลับซีดลง โรเจอร์ยกมือขึ้นลูบเหงื่อที่ขมับของตนเอง หนุ่มใหญ่รู้สึกร้อนขึ้นมากะทันหัน
“นิค น้าทำไม่ได้ แอนดรูว์ก็เป็นหลานของน้าเหมือนกัน”
“คิดดูสิครับ ผมแค่อยากช่วยพี่ชาย ดรูว์เขาไม่ถนัดเรื่องบริหารธุรกิจ น้าก็รู้ ยังไงผมก็ไม่ปล่อยให้พี่ชายของตัวเองต้องลำบากหรอก” นิโคลัสพยายามโน้มน้าวน้าชาย เขาพูดเรื่อย ๆ อย่างใจเย็น
ท่าทางจริงใจของชายหนุ่มทำให้โรเจอร์เริ่มลังเล นิโคลัสพูดถูกแอนดรูว์ไม่ชอบเรื่องธุรกิจ แล้วถ้าให้นิโคลัสเข้ามาทำแทนก็ไม่น่าจะเสียหาย ยังไงทั้งคู่ก็เป็นพี่น้องกัน
เมื่อเห็นว่างานของตนใกล้จะสำเร็จ นิโคลัสจึงลุกขึ้น เขาเอ่ยลาราวกับต้องการให้เวลาคนเป็นน้าคิดทบทวน
“น้าเอาไปคิดดูแล้วกันนะครับ ผมไม่ได้เร่งรัดอะไร แต่ถ้าน้าตกลงก็โทรหาผมที่เบอร์นี่ละกัน” ชายหนุ่มส่งกระดาษแผ่นหนึ่งให้โรเจอร์ กระดาษสีขาวที่มีเพียงแค่เบอร์โทรศัพท์เบอร์เดียว
“เอ้อ! งั้นเดี๋ยวน้าออกไปส่ง”
โรเจอร์เดินเคียงคู่ออกไปพร้อมกับหลานชาย เมื่อไปถึงหน้าบ้านคนเป็นน้าก็ต้องแปลกใจที่มีรถยุโรปคันหรูจอดอยู่ถึงสองคัน เอ...หรือว่าอีกคันจะเป็นของเลขาฯ ของนิโคลัส โรเจอร์กำลังคิดอยู่ในใจ อยู่ดี ๆ หลานชายก็ยื่นกุญแจดอกหนึ่งมาตรงหน้า
“อะไรหรือนิค” ผู้เป็นน้าถามด้วยหัวใจที่กำลังเต้นกระหน่ำด้วยความตื่นเต้น
“รถที่บ้านผมมีเยอะ ก็เลยเอามาแบ่งให้น้าใช้บ้าง” นิโคลัสหย่อนกุญแจลงในมือของโรเจอร์ เขาส่งยิ้มที่มีแต่แบรนดอนและไซม่อนเท่านั้นที่ดูออกว่าเป็นรอยยิ้มเย็น...ยะเยือกยิ่งกว่าน้ำแข็งที่ขั้วโลกเสียอีก หากดูเหมือนโรเจอร์มัวแต่ดีใจจนลืมสังเกต
หลังจากรถอีกคันของหลานชายคนเล็กเคลื่อนห่างออกไปแล้ว โรเจอร์ก็อดคิดถึงแอนดรูว์ไม่ได้ แม้แอนดรูว์จะคอยคำนึงถึงความสะดวกสบายของคนเป็นน้าเสมอ แต่หลานชายคนโตของเขาก็ไม่เคยให้อะไรถึงขนาดนี้
มือที่กำลังลูบคลำรถยนต์เหลือใช้ของนิโคลัสนั้นสั่นน้อย ๆ อย่างห้ามไม่อยู่ โรเจอร์รู้สึกเหมือนกำลังอยู่ในความฝัน รถยนต์คันใหญ่หรูหรา...ให้ตาย! นี่นิโคลัสให้โรสรอยซ์เขาเชียวหรือ!
..............................................................
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ