Magic ศึกการ์ดเวทย์ชิงบรรลังค์
8.2
1) "Magic"
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความบทที่ 1
Magic
เวลาล่วงเลยเร็วยิ่งนักตั้งแต่ลอร์ดลูคัสหลุดออกมาจากมิติเวลาและใช้ชีวิตอยู่ในอาณาจักรที่เรียกว่า “โลก”
ก็เกือบ 18 ปีแล้ว
ลอร์ดลูคัสได้อยู่ร่วมกับเจนน่า และตกลงคบหาดูใจจนแต่งงานอยู่กินกัน จนมีลูกด้วยกันหนึ่งคน และตั้งชื่อว่า เมจิกที่แปลว่า เวทย์มนต์ ที่ลอร์ดลูคัสเลือกชื่อนี้ เพราะต้องการให้ลูกของตนสืบทอดเจตนารมณ์ที่มีต่อโลกเวทย์มนต์ โดยการเล่าเป็นนิทานให้เมจิกฟังตั้งแต่เด็ก
ทางด้านเมจิกเองก็โตมากับนิทานของลอร์ดลูคัส ที่มีตัวละครเป็นถึงพระโอรสของพระธิดา แต่ยกอำนาจทั้งหมดให้เหล่าผู้อาวุโส และแต่งตั้งตัวเองเป็นลอร์ดที่มีอำนาจควบคุมเหล่าทหารทั่วราชอาณาจักร ซึ่งประชาชนแห่งโลกเวทย์มนต์ก็เห็นด้วย
แต่หลังจากเกิดมหันตภัยกับโลกเวทย์มนต์ ท่านลอร์ดก็ต้องออกเดินทางค้นหาความจริง แต่แล้วความจริงกลับต้องทำให้เขาแทบไม่เชื่อสายตาเมื่อต้นเหตุทั้งหมดก็คือ เหล่าผู้อาวุโส ท่านลอร์ดจึงออกเดินทางอีกครั้งแต่ก็ถูกแผ่นดินไหวที่มีละอองเวทย์มนต์มากมายเปิดประตูมิติและทำให้ลอร์ดหลุดเข้าไปจนไปพบกับโลกใหม่และอยู่ร่วมกับภรรยาที่โลกใหม่ตั้งแต่นั้นมา
ลอร์ดลูคัสต้องการให้เมจิกสืบทอดตระกูลแบร็คเบริ์ดต่อไป เพราะคนในตระกูลนี้เหลือเพียงลอร์ดลูคัสเท่านั้น เพราะคนอื่นๆที่เหลือถูกรอบฆ่าจนหมดเหลือแต่เพียงเขาที่สามารถอยู่รอดได้ ด้วยเหตุนี้เขาจึงต้องการให้เมจิกเป็นคนสืบทอดเวทย์มนต์ของตระกูล และเมจิกเป็นคนที่ชอบเวทย์มนต์จากใจจริงจึงสามรถเรียนได้ถึงขั้นสูง
เหตุเป็นเช่นนี้เพราะเวทย์มนต์เป็นความลี้ลับของธรรมชาติ จอมเวทย์มนต์สามารถใช้เวทย์มนต์ได้ทุกที่ที่มีธรรมชาติ แม้เพียงน้อยนิด ธรรมชาติก็สามารถให้พลังอันมหาสารได้ แต่ก็มีจอมเวทย์ไม่กี่คนที่ใช้ได้เฉพาะที่ แต่ก็เป็นส่วนน้อยในโลกเวทย์มนต์อันยิ่งใหญ่
“เมจิกไปโรงเรียนได้แล้วลูก! สายแล้วนะ” เจนน่าผู้เป็นแม่ตะโกนมาจากห้องครัว
“โรงเรียนหรอแม่ โรงเรียน! สายแล้ววว” เด็กหนุ่มนามว่าเมจิกรีบกุลีกุจรลุกขึ้นอาบน้ำแต่งตัวแล้ววิ่งลงไปด้านล่างทันที
แต่เพราะเขารีบจนเกินไปขาของเขาจึงขัดกันจนทำให้เมจิกล้มคะมำเอาหน้าจูบพื้นบ้านในทั้นที แต่เด็กหนุ่มก็รีบลุกขึ้นแล้ววิ่งไปหยิบขนมปังมาหนึ่งแผ่นจากนั้นก็รีบออกจากบ้านในทันที
“ไปแล้วนะแม่! ฝากบอกพ่อด้วย..” เมจิกตะโกนเข้ามาแล้วรีบวิ่งไปโรงเรียนในทันที
เขารีบวิ่งไปตามทางเดินที่สองข้างทางเต็มไปด้วยร้านค้าที่ถูกกันเพียงถนนสี่เล็นเท่านั้น เด็กหนุ่มเลี้ยวตรงหัวมุมถนน และวิ่งต่อไปอีกนิดหน่อยก็ถึงโรงเรียน แต่ประตูทางเข้าถูกปิดแล้ว เมจิกจึงวิ่งอ้อมไปทางหลังโรงเรียนแล้วดันตัวเองเข้าไปในโรงเรียนผ่านลูกกรงที่ขาด พอเข้ามาได้เขาก็รีบวิ่งขึ้นห้องเรียนทันที
“นึกว่าจะไม่ทันซะแล้วสิเรา” เมจิกพูดกับตัวเองแล้วก็เปิดประตูออก
“ครูยังไม่มาสินะ รอดไป” เด็กหนุ่มโล่งใจเมื่อเห็นว่าครูผู้สอนยังไม่มาถึงห้องที
“มาสายอีกแล้วนะเมจิก บ้านก็อยู่แค่นี้” หญิงสาวคนหนึ่งเดินมาหาเมจิกแล้วพูดขึ้น
“ก็คนมันตื่นสายจะให้ทำไงได้ละ ไม่เหมือนเธอนิเอลโลสมาตั้งแต่ตะวันยังไม่ขึ้น” เมจิกพูดประชดประชันใส่หญิงสาวแล้วหันไปทางอื่นพร้อมทำท่าทางไม่รู้ไม่ชี้
“ตื่นสายแล้วไงก็นอนให้เร็วขึ้นสิ และอีกอย่างฉันชื่อเอลล่าอย่ามาเรียกชื่อฉันผิดนะ” หญิงสาวทำหน้าตาบูดบึ้ง
“จะเรียกเอลโลสจะทำไมฉันละ เอลโลส! เอลโลส” เด็กหนุ่มทำหน้าทะเล้นขณะพูด
ผั๊ววว เสียงฝ่ามือของเอลล่าไปสะกิดโดนที่แก้มของเมจิกอย่างจัง จนทำให้เด็กหนุ่มถึงกับหน้าหัน
“ฉันขอโทษนะ ฉันไม่ได้ยั้งมือเลย ขอโทษด้วย” พอตบเสร็จหญิงสาวก็รู้ทันทีว่าตนทำเกินเหตุได้แต่ขอโทษชายหนุ่มเท่านั้น
เมจิกซึ่งถูกสะกิดเมื่อสักครู่ไม่พูดพร้อมสะบัดมือของเอลล่าที่เข้ามาดูอาการ แล้วเดินไปนั้งที่โต๊ะของตัวเองท่ามกลางเพื่อนร่วมห้อง ตลอดวันนั้นเมจิกไม่พูดกับเอลล่าเลยแม้แต่สักคำเดียว นั้นทำให้เอลล่ารู้สึกผิดขึ้นมาทันทีที่ทำเกินกว่าเหตุ อันที่จริงเอลล่ากะว่าจะตบเบาๆพอเล่นๆเท่านั้นไม่คิดว่าแรงของตัวเองจะมีมากขนาดทำให้เมจิกหน้าหันแบบที่เห็นเมื่อตอนเช้า
จนถึงเวลานี้ก็เวลาเลิกเรียนแล้วเมจิกก็ไม่ยอมพูดแถมเดินออกไปจากห้องทันที เด็กหนุ่มเดินลงบันไดอย่างช้าๆจนถึงหน้าประตูโรงเรียนแล้วหันกลับมามอง แล้วก็เดินกลับบ้านทันที ส่วนเอลล่าซึ่งพยายามเรียกเท่าไรก็ไม่ยอมหันกลับมา เธอจึงวิ่งเข้าไปควงแขนของเมจิกเอาไว้
แต่แล้วเหตุไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นเมื่อเมจิกสะบัดมือของเอลล่าแล้วผลักเธอให้ล้มลง แล้วเดินต่อไปไม่หันมามองอีกเลย ปล่อยให้หญิงสาวนั่งร้องให้อยู่คนเดียว เมจิกเดินมาถึงบ้านก็ขึ้นไปขลุกตัวอยู่บนห้องไม่ยอมลงมากินข้าวกินปลาทำให้พ่อและแม่ของเขาเป็นห่วงมาก
“เดี๋ยวฉันเข้าไปหาลูกเองนะ คุณรออยู่ที่นี้แหละ” ลอร์ดลูคัสพูดกับเจนน่าแล้วขึ้นไปบนห้องของเมจิก
ก๊อกๆๆ
“นี่พ่อเองนะ เข้าไปได้ไหม” ลอร์ดลูคัสเคาะประตูแล้วพูดออกมา
ไม่มีเสียงตอบกลับมามีแต่เสียงปลดล็อคประตูเท่านั้น ลอร์ดลูคัสพอเปิดประตูเข้าไปก็ได้กลิ่นไอของเวทย์มนต์ที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วห้อง ซึ่งทำให้ลอร์ดลูคัสรู้อารมณ์ของลูกตนเองดี เพราะหากจอมเวทย์มนต์มีอารมณ์ไม่มั่นคง จะทำให้ละอองเวทย์มนต์เล็ดลอดออกมาจากร่างกาย ซึ่งแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล
ลอร์ดลูคัสเดินเข้าไปในห้องแล้วลงนั่งข้างๆลูกชายที่ตอนนี้กำลังเหม่อมองฟ้าที่มืดสนิทไม่มีแม้ดวงดาว
“เป็นอะไรลูก” ผู้เป็นพ่อถามลูกของตนอย่างห่วงใยแต่คำตอบกลับมานั้นทำให้ต้องกระอักเลือดเลยทีเดียว
“ไม่ต้องมายุ่งกับผม” เมจิกหันมาตะโกนใส่พ่อของตนทำให้ละอองเวทย์มนต์ที่กระจายอยู่รอบห้องรวมตัวกันกระแทกลอร์ดลูคัสจนกระเด็นไปชนกับประตูทำให้กระอักเลือดออกกองหนึ่ง
ลอร์ดลูคัสมองดูเลือดของตัวเองแล้วกลับไปมองหน้าลูกชายที่ตอนนี้กำลังตกใจกับสิ่งที่ตนเองทำลงไปโดยไม่รู้ตัวว่ากำลังทำอะไรอยู่
“ไม่เป็นอะไรลูก” ลอร์ดลูคัสลุกขึ้นแล้วเดินเข้าไปหาลูกชาย
“ถึงเวลาที่ต้องบอกความจริงแล้วสินะ..” ลอร์ดลูคัสหยุดหายใจแล้วพูดต่อ
“ลูกไม่ต้องตกใจในสิ่งที่ลูกเพิ่งจะทำไปหรอกเพราะนั้นคือเวทย์มนต์ มันไหลเวียนปะปนไปในสายเลือด แบร็คเบริ์ดของลูกตั้งแต่ที่ลูกเกิดมามันก็หลับใหลอยู่ในจิตใจของลูกเมื่อลูกมีสภาวะจิตใจที่ไม่มันคง มันจะตื่นขึ้นมาอย่างที่เป็นเมื่อกี้ไงละ ลูกยังจำนิทานที่พ่อเคยเล่าให้ฟังตอนที่ลูกยังเป็นเด็กได้อยู่หรือเปล่า..” ผู้เป็นพ่อหยุดเล่าเพื่อรอคำตอบจากลูกชาย
“ได้ครับ ผมชอบมากเลย” เมจิกตอบกลับมาทันที
“งั้นหรอดีใจนะที่ลูกชอบ เพราะเรื่องราวที่พ่อเล่าให้ฟังทั้งหมดมันเป็นเรื่องจริงของพ่อเองมันเกิดขึ้นเมื่อ 16 ปีก่อนตั่งแต่พ่อยังไม่เจอกับแม่ของลูก พ่อเป็นรัชทายาทองค์สุดท้ายของ พระมาหาราชาอาเธอร์ แบร็คเบริ์ด ผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกเวทย์มนต์และเป็นที่รักของเหล่าปวงประชา แต่แล้วในวันหนึ่งที่อากาศเย็นและฝนตกตลอดทั้งวัน พรระราชาหรือว่าปู่ของลูกถูกปลงประชนโดยนักฆ่าลึกลับ และอีกไม่นานเหล่าพี่น้องของพ่อก็ถูกรอบฆ่าตายไปทีละคนๆ จนเหลือเพียงพ่อซึ่งเป็นน้องคนสุดท้อง แต่พวกมันไม่รู้ว่าก่อนที่ปู่ของลูกจะตาย พระองค์ทรงได้มอบการ์ดศักดิ์สิทธิ์มาให้พ่อ 1 ใบ เมื่อนักฆ่าจะมาฆ่าพ่อการ์ดนั้นสำแดงเดชขึ้นจนทำให้นักฆ่าคนนั้นถึงกับมอดไหม้เป็นผงธุรีด้วยเปลวเพลิงสีแดงฉาน และหลังจากนั้นพ่อก็ได้ขึ้นครองราชย์แต่เพราะเหล่าผู้อาวุโสนั้นอยู่คู่แผ่นดินเวทย์มายาวนานพ่อจึงตัดสินใจยกบรรลังค์ให้พวกเขาและแต่งตั้งตนเองเป็นลอร์ดลูคัส ซึ่งเหล่าประชาชนก็ยินดีปรีดาด้วย แต่แล้วอยู่มาวันหนึ่งเกิดมหัตภัยขึ้นเมื่อเวทย์มนต์สลายไปในอากาศ ผู้คนล้มตาย นับว่าเป็นมหัตภัยครั้งใหญ่ที่สุดของโลกเวทย์มนต์ก็ว่าได้ เหล่าผู้อาวุโสจึงส่งผู้กล้าไปคนแล้วคนเล่าแต่ก็ไม่มีผู้ใดกลับมาจนเหลือพ่อเพียงคนเดียว พอจึงอาสาออกไปหาเบาะแสเอง แต่พ่อพยายามจะหาเพียงไรก็ไม่พบ จนไปเจอกับชายชราผู้หนึ่งเขาในตอนแรกพ่อก็จำเขาไม่ได้แต่เมื่อได้เห็นอัหขระชั้นสูงและเวทย์ประจำตัวทำให้พ่อรู้ว่าชายชราคนนั้นก็คือ ผู้อาวุโสโจเซฟ ผู้ใช้มหาเวทย์แห่งแสงคนที่ห้า ซึ่งได้ถอนตัวออกมาจากพระราชวังเพราะเหตุอันใดพ่อก็ไม่ทราบ ผู้อาวุโสได้แสดงหลักฐานให้พ่อดูว่าใครคือผู้กระทำและความจริงก็ปรากฏเมื่อพ่อเห็นเหล่าผู้อาวุโสกำลังวางแผนที่จะฆ่าพ่อเมื่อพ่อรู้เช่นนั้นพ่อจึงออกเดินทางไปตามหมู่บ้านต่างๆ แต่เกรงว่าชาวบ้านจะได้รับอันตรายจึงออกเดินทางไปเรื่อยจนถูกหลุมมิติดูดกลืนเข้าไปและมาตกอยู่ในโลกใบใหม่และที่นี้เองที่พ่อได้พบกับแม่ของลูก”
“คุณค่ะ” เจนน่าซึ่งยืนฟังอยู่ตั้งแต่ต้นเดินเข้ามาโอบกอดสามีของตนไว้และก็มีน้ำหยดใสๆไหลออกมาจากตา
“แม่ครับ เรื่องที่พ่อเล่าเป็นความจริงหรือเปล่า” เมื่อเห็นผู้เป็นแม่เดินเข้ามาเด็กหนุ่มก็ถามขึ้นทันที
“แล้วลูกคิดว่ายังไงละ” เจนน่าเหมือนรู้ใจลูกจึงถามกลับไป
“เรื่องจริง!ครับ” เมจิกตอบด้วยน้ำเสียงที่เชื่อมั่นในตัวพ่อและแม่ของเขา
“วันนี้วันเกิดครบรอบ 18 ปี ของลูกสินะพ่อมีของขวัญจะให้ด้วยรอแป๊บนึงนะ” ลอร์ดลูคัสเดินออกไปจากห้อง พักใหญ่เขาก็เดินกลับมาพร้อมกล่องของขวัญในมือ
เมจิกในตอนนี้กลับกลายเป็นเด็กน้อยอีกครั้งเขาเปิดกล่องด้วยสีหน้ายิ้มแย้มและตื่นเต้นว่าจะมีอะไรอยู่ในกล่อง พอเปิดออกดูก็มีหนังสือเพียงหนึ่งเล่ม เมจิกหยิบสมุดขึ้นมาและพลิกมันไปพลิกมันมาเหมือนหาอะไรบางอย่าง
“แค่นี้หรอครับ” เมจิกหันไปถามพ่อของตน
“ยังหรอกยังมีอีกชิ้นแต่ลองเปิดหนังสือนั้นดูสิ!” ลอร์ดลูคัสยิ้มเล็กน้อยที่มุมปากและตั้งหน้าตั้งตารออะไรบางอย่าง
และทันทีที่เมจิกเปิดหนังสือออกดู ห้องทั้งห้องก็สว่างจ้าขึ้นจากเปลวเพลิงสีฟ้าที่สวยงามเหมือนกับพลุในงานเฉลิมฉลอง อักขระในหนังสือและรูปภาพขยับไปมาและลอยออกมานอกแผ่นกระดาษ
ช่างเป็นเรื่องที่อัศจรรย์ใจยิ่งนักสำหรับหนุ่มน้อย อักขระทุกตัวเขาสามารถอ่านออกได้แม้จะไม่เคยเห็นมาก่อน แต่ที่จริงแล้วมันก็ไม่แปลกเพราะสายเลือดนักเวทย์นั้นจะทำให้อักขระโบราณต่างๆแปรเปลี่ยนเป็นภาษาที่เจ้าของรู้จัก ซึ่งทำให้เมจิกอ่านออกทันทีที่เห็น
“และนี่คือของขวัญชิ้นที่สองที่พ่อจะให้ลูกนะ” ลอร์ดลูคัสล้วงกระเป๋าเสื้อของตัวเองแล้วก็ส่งต่อให้กับเมจิก สิ่งที่ลอร์ดลูคัสส่งให้เมจิกนั้นก็คือกระเป๋าหนังเล็กๆที่ใส่การ์ดใบหนึ่งไว้ข้างใน
“นี่อะไรครับพ่อ” เมจิกหันมาถามพ่อของเขาด้วยความสงสัยขณะพลิกการ์ดไปมา
“นี่คือมรดกสืบทอดจากบรรพบุรุษนะ จะส่งมอบให้โอรสคนสุดท้องเท่านั้นซึ่งพ่อก็ได้มาจากปู่ของลูก มันเป็นการ์ดเวทย์มนต์ที่ปิดผนึกสัตว์เวทย์ที่อยู่ทั่วโลกเวทย์มนต์เอาไว้ ซึ่งแต่ละใบก็แตกต่างกันไปตามสายพันธ์ของสัตว์เวทย์ตัวนั้นๆ และการ์ดนี่ก็มีชื่อว่าราชาเพลิง เฟลฟรอส ซึ่งมีพลังมหาศาลในการทำลายล้าง แต่มันก็ขึ้นอยู่กับเจ้าของและจิตใจของเจ้าของนั้นแหละ”
และทันทีที่ผู้เป็นพ่อพูดจบนักฆ่าก็ปรากฏตัวขึ้น มันไม่ปล่อยโอกาสให้ลอร์ดลูคัสได้ร่ายเวทย์มนต์ มันใช้มีดที่ลับมาอย่างดีถึงขั้นตัดเหล็กกล้าให้ขาดได้เพียงดาบเดียว
มันบรรจงกรีดที่คอหอยของลอร์ดลูคัสจนหลอดเลือดใหญ่ขาดอย่างช้าๆทำให้เลือดสีแดงเข้มทะลักออกมาทีละน้อยๆจนดูไม่หมดสิ้น แค่นั้นยังไม่พอมันยังเข้าไปจ้วงแทงเจนน่าผู้เป็นแม่อีกนั้บครั้งไม่ท้วนจนเลือดของทั้งสองไหลนองไปทั่วพื้นและผสมกัน
“หนีไปลูกพ่อ..แม่” สองสามีภรรยาใช้แรงเฮือกสุดท้ายพูดออกมาแล้วก็หมดแรงไปนอนจมกองเลือดของตัวเองอยู่ในห้อง
“ไม่...............พ่อครับ แม่ครับ ผมจะแก้แค้นและจะทางบรรลังค์คืนมาให้ได้....” เมจิกตะโกนขึ้นพลังเวทย์ที่หลับไหลถูกปลุกให้ตื่นโดยสมบูรณ์ และใช้เวทย์มนต์อัดกระแทกใส่นักฆ่าจนกระเด็นทะลุกำแพงลงไปนอนกับพื้นดิน
“นี่มันอะไรกันนนนน” นี่เป็นคำตอบสุดท้าย ไม่สิเป็นคำพูดสุดท้ายของมันก่อนที่จะโดนคลื่นพลังเวทย์อัดกระแทกและบีบร่างกายจนกระดูกละเอียด อวัยวะภายในแตกสลาย และสุดท้านร่างทั้งร่างก็แตกกระจัดกระจายจนไม่เหลือชิ้นดี แต่ดูจากสภาพของมันแล้วต้องพูดว่าไม่เหลือซากที่จะบอกได้ว่ามันเป็นมนุษย์เลยต่างหากละ
เด็กหนุ่มรีบวิ่งขึ้นไปบนบ้านและตรงไปยังห้องที่พ่อแม่ของเขานอนจมกองเลือดอยู่ พอไปถึงก็เห็นข้อความที่เขียนด้วยเลือดที่ฝาพนัง ซึ่งนั้นก็เป็นลายมือของพ่อเขา มีความว่า
“เมจิกลูกคือโอรสคนเดียวของ ลอร์ดลูคัส แบล็คเบริ์ด ผู้ทรงเกียตริ..” มีข้อความเขียนไว้เท่านี้แต่มันก็เพียงพอที่จะทำให้เมจิกปล่อยน้ำตาที่อดกลั้นไว้ตั้งแต่ตนออกมาจนหมด
อารมณ์ของเด็กหนุ่มในตอนนี้ช่างผสมปนเปไปกันหมด ทั้ง รัก โกรธ เศร้า เหงา มันผสมกันไปหมดจนไม่รู้ว่าอยู่ในอารมณ์ไหนกันไหน บางที่ก็หัวเราะ บางทีก็ร้องให้ เมจิกในตอนนี้เหมือนคนบ้าเป็นที่สุด แต่มันก็ไม่แปลกที่จะเป็นแบบนี้เพราะเมจิกต้องศูนย์เสียทุกอย่างที่เขารักไป นั้นก็คือพ่อกับแม่ของเขานั้นเอง
เขาหยิบหนังสือและการ์ดขึ้นมาซึ่งในตอนนี้มันกลายเป็นของดูต่างหน้าพ่อกับแม่ของเมจิกไปแล้ว เขาเดินออกมาจากบ้าน และเดินหายไปในความมืดมิดของค้ำคืนที่โหดร้าย และมาหยุดอยู่ตรงเสาไปในสวนสาธารณะ แล้วเปิดหนังสือขึ้นอ่านเขาพลิกหน้ากระดาษไปมาจนไปเจอกับวิธีเข้าโลกเวทย์มนต์ ซึ่งทำให้เมจิกลืมความเศร้าไปชั่วขณะและรีบอ่านวิธีการดูจนมั้นใจแล้วเด็กหนุ่มก็ลงมือทำ
เมจิกใช้ก้อนหินวาดเป็นวงแหวนเวทย์กลับด้านและสลับหัวพร้อมสลักอักขระโบราณไว้ตามมุมและรอบๆวงแหวนจากนั้นก็ร่ายเวทย์ในทันที
“ข้าแด่เหล่าเทพแห่งสวรรค์ผู้ปกป้องบรรลังค์กษัตริย์แบล็กเบริ์ดผู้ยิ่งใหญ่เอ๋ย ข้ามีความจำนงที่จะกลับโลกเวทย์มนต์ จงบันดาลข้ากลับสู่โลกของข้าด้วย เมสตา วินา”
ทันทีที่เมจิกร่ายเวทย์จบวงแหวนก็เรืองแสงสีเงินขึ้นเด็กหนุ่มรีบเข้าไปอยู่ในใจกลางวงแหวนแล้วก็ฟุบ เมจิกล่องลอยอยู่ในมิติเวลาแล้วก็หลุดล่วงลงมายังโลกที่พ่อของเขาเกิดซึ่งเรียกอีกชื่อว่า โลกเวทย์มนต์(อาณาจักรเวทย์มนต์)
ตอนนี้เป็นเวลารุ่งเช้าของโลกเวทย์มนต์ทำให้เมจิกได้เห็นสภาพแวดล้อมโดยรอบได้เต็มตา สภาพของโลกใบนี้เต็มไปด้วยป่าไม้ที่อุดมสมบูรณ์มากมายเป็นร้อยละ 3 ของโลกเลยก็ว่าได้ ส่วนอีกหนึ่งก็เป็นเมืองและแม่น้ำสายต่างๆซึ่งนั้นก็หมายถึงโลกใบนี้อยู่ร่วมกับธรรมชาตินั้นเอง
เมจิกออกเดินทางด้วยร่างกายที่อ่อนแอ เขาเดินเซไปตลอดเมจิกเดินไปโดยไมหยุดพักนั้นยิ่ทำให้ร่างกายของเขาอ่อนแอยิ่งขึ้นไปอีก จนเด็กหนุ่มหมดแรงตรงทางลาดและล้มกลิ้งลงไปยังพื้นข้างล่าง เขาไม่แม้จะรู้สึกตัวเลยสักนิดจนกลิ้งไปกระแทกกับต้นไม้ข้างทางอย่างจังทำให้เขากระอักเลือดออกมาหนึ่งกองก่อนที่จะสลบไปอีกครั้ง
เด็กหนุ่มจากโลกที่แสนจะโหดร้ายนอนสลบอยู่ตรงโคนต้นไม้ ขนาดตอนนี้เที่ยงแล้วเขาก็ยังไม่ตื่นจนมีหญิงสาวอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเมจิกคนหนึ่งเดินมาพบเข้าแล้วพาเมจิกไปพักยังบ้านของตน ซึ่งหญิงสาวสาวก็คอยดูแลเมจิกอย่างดีทั้งป้อนอาหาร ป้อนยา เช็ดตัว หญิงสาวก็คอยดูแลอย่างดีแบบยุงไม่ให้ไต่ไรไม่ไห้ตอม
จนอาการของเมจิกดีขึ้นจนฟื้นขึ้นมาเป็นปกติ เขาตื่นขึ้นมาและพบว่าตนเองกำลังนอนอยู่ในห้องนอนสีครีมสดใสที่สว่างตา เมจิกลุกขึ้นนั่งบนเตียงพักนึงแล้วเดินออกไปนอกห้อง ทันทีที่เปิดก็พบกับหญิงสาวคนหนึ่งทีถือถามใส่อาหารและน้ำมาให้เขา
“ตื่นแล้วหรอค่ะ จะทานในห้องหรือในครัวค่ะ” หญิงสาวถามด้วยท่าทางที่เป็นมิตร
“ที่ห้องครัวก็ได้ครับ” เมจิกตอบกลับไป
“ถ้าอย่างนั้นก็ตามฉันมานะค่ะ” หญิงสาวเดินนำหน้าเมจิกไปยังห้องครัวขนาดปานกลางที่มีโต๊ะกับข้าววางอยู่ใกล้เตาผิงไฟ
“แล้วคุณชื่ออะไร” เมจิกหันมาถามอีกครั้งขณะทานอาหารยู่
“อุ้ยตาย ฉันยังไม่ได้แนะนำตัวหรอค่ะ เสียมารยาทจังเลย ฉันมีชื่อว่า เอลซ่า ดรอฮอฟ คุณละ” หญิงสาวหน้าแดงขึ้นมาทันที
“ผมชื่อ เมจิก แบล็คเบริ์ด” เด็กหนุ่มตอบไปโดยไม่รู้ว่าตระกูลของเขายิ่งใหญ่เพียงใด
“แบล็คเบริ์ดหรอค่ะ เจ้าเป็นอะไรกับลอร์ดลูคัสผู้สาปสูญ” หญิงสาวเริ่มสนใจในตัวของเมจิกมากขึ้น
“ลอร์ดลูคัสนะหรอ พ่อของฉันเอง มีอะไรหรือเปล่า” เด็กหนุ่มตอบไปโดยไม่คิดอะไร
“ห๊ะพ่อหรอ น่าตกใจจริงๆ” หญิงสาวตรงเข้ามามองหน้าเมจิกอย่างใกล้ชิด
“อย่าทำให้เขากลับนะเอลซ่า” หญิงสาวอีกคนเดินมาแต่คนนี้ดูมีอายุมากกว่ามาก
“ฉันลืมแนะนำแม่ของฉันไปนะ แม่ของฉันชื่อว่า เมชลา ครอฮอฟ”
“ยินดีที่ได้รู้จัก”
หลังจากทั้งสามได้แนะนำตัวและทำความรู้จักกันไปแล้ว เมจิกก็เริ่มเล่าเรื่องพ่อของเขาให้ฟัง ซึ่งเมชลา และ เอลซ่า ก็มีท่าทีที่สนใจในเรื่องนี้มากด้วยเช่นกัน แต่พอเล่าถึงตอนที่พ่อกับแม่ถูกฆ่า น้ำตาก็ไหลออกมาไม่หยุดนั้นทำให้สองแม่ลูกรู้สึกผิดเป็นอย่างมากที่ขยั้นขยอให้เมจิกเล่าเรื่องของพ่อเขาให้ฟัง แม้ว่าจะปลอบเท่าไรอาการของเด็กหนุ่มก็ไม่ดีขึ้นเลย
เมจิกหลังจากร้องไห้แล้วก็ขอตัวกลับไปห้องนอนแล้วก้มลงมองหนังสือที่พ่อของเขามอบให้ไว้ก่อนจะตาย เด็กหนุ่มค่อยเปิดมันขึ้นมาช้าๆ แต่ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเหมือนอย่างตอนแรกนั้นทำให้เมจิกแปลกใจเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้คิดอะไร เขาเปิดดูไปเรื่อยๆ อ่านหน้าแล้วหน้าเล่าอย่างตั้งใจจนเปิดมาถึงหน้าที่ 169
ก็มีกระดาษแผ่นหนึ่งหล่อนลงมาจากหน้านี้ เด็กหนุ่มจึงหญิบแผ่นหระดาษและเปิดออกดูนั้นทำให้น้ำตาของเขาเริ่มไหลอีกครั้งหนึ่ง..
Magic
เวลาล่วงเลยเร็วยิ่งนักตั้งแต่ลอร์ดลูคัสหลุดออกมาจากมิติเวลาและใช้ชีวิตอยู่ในอาณาจักรที่เรียกว่า “โลก”
ก็เกือบ 18 ปีแล้ว
ลอร์ดลูคัสได้อยู่ร่วมกับเจนน่า และตกลงคบหาดูใจจนแต่งงานอยู่กินกัน จนมีลูกด้วยกันหนึ่งคน และตั้งชื่อว่า เมจิกที่แปลว่า เวทย์มนต์ ที่ลอร์ดลูคัสเลือกชื่อนี้ เพราะต้องการให้ลูกของตนสืบทอดเจตนารมณ์ที่มีต่อโลกเวทย์มนต์ โดยการเล่าเป็นนิทานให้เมจิกฟังตั้งแต่เด็ก
ทางด้านเมจิกเองก็โตมากับนิทานของลอร์ดลูคัส ที่มีตัวละครเป็นถึงพระโอรสของพระธิดา แต่ยกอำนาจทั้งหมดให้เหล่าผู้อาวุโส และแต่งตั้งตัวเองเป็นลอร์ดที่มีอำนาจควบคุมเหล่าทหารทั่วราชอาณาจักร ซึ่งประชาชนแห่งโลกเวทย์มนต์ก็เห็นด้วย
แต่หลังจากเกิดมหันตภัยกับโลกเวทย์มนต์ ท่านลอร์ดก็ต้องออกเดินทางค้นหาความจริง แต่แล้วความจริงกลับต้องทำให้เขาแทบไม่เชื่อสายตาเมื่อต้นเหตุทั้งหมดก็คือ เหล่าผู้อาวุโส ท่านลอร์ดจึงออกเดินทางอีกครั้งแต่ก็ถูกแผ่นดินไหวที่มีละอองเวทย์มนต์มากมายเปิดประตูมิติและทำให้ลอร์ดหลุดเข้าไปจนไปพบกับโลกใหม่และอยู่ร่วมกับภรรยาที่โลกใหม่ตั้งแต่นั้นมา
ลอร์ดลูคัสต้องการให้เมจิกสืบทอดตระกูลแบร็คเบริ์ดต่อไป เพราะคนในตระกูลนี้เหลือเพียงลอร์ดลูคัสเท่านั้น เพราะคนอื่นๆที่เหลือถูกรอบฆ่าจนหมดเหลือแต่เพียงเขาที่สามารถอยู่รอดได้ ด้วยเหตุนี้เขาจึงต้องการให้เมจิกเป็นคนสืบทอดเวทย์มนต์ของตระกูล และเมจิกเป็นคนที่ชอบเวทย์มนต์จากใจจริงจึงสามรถเรียนได้ถึงขั้นสูง
เหตุเป็นเช่นนี้เพราะเวทย์มนต์เป็นความลี้ลับของธรรมชาติ จอมเวทย์มนต์สามารถใช้เวทย์มนต์ได้ทุกที่ที่มีธรรมชาติ แม้เพียงน้อยนิด ธรรมชาติก็สามารถให้พลังอันมหาสารได้ แต่ก็มีจอมเวทย์ไม่กี่คนที่ใช้ได้เฉพาะที่ แต่ก็เป็นส่วนน้อยในโลกเวทย์มนต์อันยิ่งใหญ่
“เมจิกไปโรงเรียนได้แล้วลูก! สายแล้วนะ” เจนน่าผู้เป็นแม่ตะโกนมาจากห้องครัว
“โรงเรียนหรอแม่ โรงเรียน! สายแล้ววว” เด็กหนุ่มนามว่าเมจิกรีบกุลีกุจรลุกขึ้นอาบน้ำแต่งตัวแล้ววิ่งลงไปด้านล่างทันที
แต่เพราะเขารีบจนเกินไปขาของเขาจึงขัดกันจนทำให้เมจิกล้มคะมำเอาหน้าจูบพื้นบ้านในทั้นที แต่เด็กหนุ่มก็รีบลุกขึ้นแล้ววิ่งไปหยิบขนมปังมาหนึ่งแผ่นจากนั้นก็รีบออกจากบ้านในทันที
“ไปแล้วนะแม่! ฝากบอกพ่อด้วย..” เมจิกตะโกนเข้ามาแล้วรีบวิ่งไปโรงเรียนในทันที
เขารีบวิ่งไปตามทางเดินที่สองข้างทางเต็มไปด้วยร้านค้าที่ถูกกันเพียงถนนสี่เล็นเท่านั้น เด็กหนุ่มเลี้ยวตรงหัวมุมถนน และวิ่งต่อไปอีกนิดหน่อยก็ถึงโรงเรียน แต่ประตูทางเข้าถูกปิดแล้ว เมจิกจึงวิ่งอ้อมไปทางหลังโรงเรียนแล้วดันตัวเองเข้าไปในโรงเรียนผ่านลูกกรงที่ขาด พอเข้ามาได้เขาก็รีบวิ่งขึ้นห้องเรียนทันที
“นึกว่าจะไม่ทันซะแล้วสิเรา” เมจิกพูดกับตัวเองแล้วก็เปิดประตูออก
“ครูยังไม่มาสินะ รอดไป” เด็กหนุ่มโล่งใจเมื่อเห็นว่าครูผู้สอนยังไม่มาถึงห้องที
“มาสายอีกแล้วนะเมจิก บ้านก็อยู่แค่นี้” หญิงสาวคนหนึ่งเดินมาหาเมจิกแล้วพูดขึ้น
“ก็คนมันตื่นสายจะให้ทำไงได้ละ ไม่เหมือนเธอนิเอลโลสมาตั้งแต่ตะวันยังไม่ขึ้น” เมจิกพูดประชดประชันใส่หญิงสาวแล้วหันไปทางอื่นพร้อมทำท่าทางไม่รู้ไม่ชี้
“ตื่นสายแล้วไงก็นอนให้เร็วขึ้นสิ และอีกอย่างฉันชื่อเอลล่าอย่ามาเรียกชื่อฉันผิดนะ” หญิงสาวทำหน้าตาบูดบึ้ง
“จะเรียกเอลโลสจะทำไมฉันละ เอลโลส! เอลโลส” เด็กหนุ่มทำหน้าทะเล้นขณะพูด
ผั๊ววว เสียงฝ่ามือของเอลล่าไปสะกิดโดนที่แก้มของเมจิกอย่างจัง จนทำให้เด็กหนุ่มถึงกับหน้าหัน
“ฉันขอโทษนะ ฉันไม่ได้ยั้งมือเลย ขอโทษด้วย” พอตบเสร็จหญิงสาวก็รู้ทันทีว่าตนทำเกินเหตุได้แต่ขอโทษชายหนุ่มเท่านั้น
เมจิกซึ่งถูกสะกิดเมื่อสักครู่ไม่พูดพร้อมสะบัดมือของเอลล่าที่เข้ามาดูอาการ แล้วเดินไปนั้งที่โต๊ะของตัวเองท่ามกลางเพื่อนร่วมห้อง ตลอดวันนั้นเมจิกไม่พูดกับเอลล่าเลยแม้แต่สักคำเดียว นั้นทำให้เอลล่ารู้สึกผิดขึ้นมาทันทีที่ทำเกินกว่าเหตุ อันที่จริงเอลล่ากะว่าจะตบเบาๆพอเล่นๆเท่านั้นไม่คิดว่าแรงของตัวเองจะมีมากขนาดทำให้เมจิกหน้าหันแบบที่เห็นเมื่อตอนเช้า
จนถึงเวลานี้ก็เวลาเลิกเรียนแล้วเมจิกก็ไม่ยอมพูดแถมเดินออกไปจากห้องทันที เด็กหนุ่มเดินลงบันไดอย่างช้าๆจนถึงหน้าประตูโรงเรียนแล้วหันกลับมามอง แล้วก็เดินกลับบ้านทันที ส่วนเอลล่าซึ่งพยายามเรียกเท่าไรก็ไม่ยอมหันกลับมา เธอจึงวิ่งเข้าไปควงแขนของเมจิกเอาไว้
แต่แล้วเหตุไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นเมื่อเมจิกสะบัดมือของเอลล่าแล้วผลักเธอให้ล้มลง แล้วเดินต่อไปไม่หันมามองอีกเลย ปล่อยให้หญิงสาวนั่งร้องให้อยู่คนเดียว เมจิกเดินมาถึงบ้านก็ขึ้นไปขลุกตัวอยู่บนห้องไม่ยอมลงมากินข้าวกินปลาทำให้พ่อและแม่ของเขาเป็นห่วงมาก
“เดี๋ยวฉันเข้าไปหาลูกเองนะ คุณรออยู่ที่นี้แหละ” ลอร์ดลูคัสพูดกับเจนน่าแล้วขึ้นไปบนห้องของเมจิก
ก๊อกๆๆ
“นี่พ่อเองนะ เข้าไปได้ไหม” ลอร์ดลูคัสเคาะประตูแล้วพูดออกมา
ไม่มีเสียงตอบกลับมามีแต่เสียงปลดล็อคประตูเท่านั้น ลอร์ดลูคัสพอเปิดประตูเข้าไปก็ได้กลิ่นไอของเวทย์มนต์ที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วห้อง ซึ่งทำให้ลอร์ดลูคัสรู้อารมณ์ของลูกตนเองดี เพราะหากจอมเวทย์มนต์มีอารมณ์ไม่มั่นคง จะทำให้ละอองเวทย์มนต์เล็ดลอดออกมาจากร่างกาย ซึ่งแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล
ลอร์ดลูคัสเดินเข้าไปในห้องแล้วลงนั่งข้างๆลูกชายที่ตอนนี้กำลังเหม่อมองฟ้าที่มืดสนิทไม่มีแม้ดวงดาว
“เป็นอะไรลูก” ผู้เป็นพ่อถามลูกของตนอย่างห่วงใยแต่คำตอบกลับมานั้นทำให้ต้องกระอักเลือดเลยทีเดียว
“ไม่ต้องมายุ่งกับผม” เมจิกหันมาตะโกนใส่พ่อของตนทำให้ละอองเวทย์มนต์ที่กระจายอยู่รอบห้องรวมตัวกันกระแทกลอร์ดลูคัสจนกระเด็นไปชนกับประตูทำให้กระอักเลือดออกกองหนึ่ง
ลอร์ดลูคัสมองดูเลือดของตัวเองแล้วกลับไปมองหน้าลูกชายที่ตอนนี้กำลังตกใจกับสิ่งที่ตนเองทำลงไปโดยไม่รู้ตัวว่ากำลังทำอะไรอยู่
“ไม่เป็นอะไรลูก” ลอร์ดลูคัสลุกขึ้นแล้วเดินเข้าไปหาลูกชาย
“ถึงเวลาที่ต้องบอกความจริงแล้วสินะ..” ลอร์ดลูคัสหยุดหายใจแล้วพูดต่อ
“ลูกไม่ต้องตกใจในสิ่งที่ลูกเพิ่งจะทำไปหรอกเพราะนั้นคือเวทย์มนต์ มันไหลเวียนปะปนไปในสายเลือด แบร็คเบริ์ดของลูกตั้งแต่ที่ลูกเกิดมามันก็หลับใหลอยู่ในจิตใจของลูกเมื่อลูกมีสภาวะจิตใจที่ไม่มันคง มันจะตื่นขึ้นมาอย่างที่เป็นเมื่อกี้ไงละ ลูกยังจำนิทานที่พ่อเคยเล่าให้ฟังตอนที่ลูกยังเป็นเด็กได้อยู่หรือเปล่า..” ผู้เป็นพ่อหยุดเล่าเพื่อรอคำตอบจากลูกชาย
“ได้ครับ ผมชอบมากเลย” เมจิกตอบกลับมาทันที
“งั้นหรอดีใจนะที่ลูกชอบ เพราะเรื่องราวที่พ่อเล่าให้ฟังทั้งหมดมันเป็นเรื่องจริงของพ่อเองมันเกิดขึ้นเมื่อ 16 ปีก่อนตั่งแต่พ่อยังไม่เจอกับแม่ของลูก พ่อเป็นรัชทายาทองค์สุดท้ายของ พระมาหาราชาอาเธอร์ แบร็คเบริ์ด ผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกเวทย์มนต์และเป็นที่รักของเหล่าปวงประชา แต่แล้วในวันหนึ่งที่อากาศเย็นและฝนตกตลอดทั้งวัน พรระราชาหรือว่าปู่ของลูกถูกปลงประชนโดยนักฆ่าลึกลับ และอีกไม่นานเหล่าพี่น้องของพ่อก็ถูกรอบฆ่าตายไปทีละคนๆ จนเหลือเพียงพ่อซึ่งเป็นน้องคนสุดท้อง แต่พวกมันไม่รู้ว่าก่อนที่ปู่ของลูกจะตาย พระองค์ทรงได้มอบการ์ดศักดิ์สิทธิ์มาให้พ่อ 1 ใบ เมื่อนักฆ่าจะมาฆ่าพ่อการ์ดนั้นสำแดงเดชขึ้นจนทำให้นักฆ่าคนนั้นถึงกับมอดไหม้เป็นผงธุรีด้วยเปลวเพลิงสีแดงฉาน และหลังจากนั้นพ่อก็ได้ขึ้นครองราชย์แต่เพราะเหล่าผู้อาวุโสนั้นอยู่คู่แผ่นดินเวทย์มายาวนานพ่อจึงตัดสินใจยกบรรลังค์ให้พวกเขาและแต่งตั้งตนเองเป็นลอร์ดลูคัส ซึ่งเหล่าประชาชนก็ยินดีปรีดาด้วย แต่แล้วอยู่มาวันหนึ่งเกิดมหัตภัยขึ้นเมื่อเวทย์มนต์สลายไปในอากาศ ผู้คนล้มตาย นับว่าเป็นมหัตภัยครั้งใหญ่ที่สุดของโลกเวทย์มนต์ก็ว่าได้ เหล่าผู้อาวุโสจึงส่งผู้กล้าไปคนแล้วคนเล่าแต่ก็ไม่มีผู้ใดกลับมาจนเหลือพ่อเพียงคนเดียว พอจึงอาสาออกไปหาเบาะแสเอง แต่พ่อพยายามจะหาเพียงไรก็ไม่พบ จนไปเจอกับชายชราผู้หนึ่งเขาในตอนแรกพ่อก็จำเขาไม่ได้แต่เมื่อได้เห็นอัหขระชั้นสูงและเวทย์ประจำตัวทำให้พ่อรู้ว่าชายชราคนนั้นก็คือ ผู้อาวุโสโจเซฟ ผู้ใช้มหาเวทย์แห่งแสงคนที่ห้า ซึ่งได้ถอนตัวออกมาจากพระราชวังเพราะเหตุอันใดพ่อก็ไม่ทราบ ผู้อาวุโสได้แสดงหลักฐานให้พ่อดูว่าใครคือผู้กระทำและความจริงก็ปรากฏเมื่อพ่อเห็นเหล่าผู้อาวุโสกำลังวางแผนที่จะฆ่าพ่อเมื่อพ่อรู้เช่นนั้นพ่อจึงออกเดินทางไปตามหมู่บ้านต่างๆ แต่เกรงว่าชาวบ้านจะได้รับอันตรายจึงออกเดินทางไปเรื่อยจนถูกหลุมมิติดูดกลืนเข้าไปและมาตกอยู่ในโลกใบใหม่และที่นี้เองที่พ่อได้พบกับแม่ของลูก”
“คุณค่ะ” เจนน่าซึ่งยืนฟังอยู่ตั้งแต่ต้นเดินเข้ามาโอบกอดสามีของตนไว้และก็มีน้ำหยดใสๆไหลออกมาจากตา
“แม่ครับ เรื่องที่พ่อเล่าเป็นความจริงหรือเปล่า” เมื่อเห็นผู้เป็นแม่เดินเข้ามาเด็กหนุ่มก็ถามขึ้นทันที
“แล้วลูกคิดว่ายังไงละ” เจนน่าเหมือนรู้ใจลูกจึงถามกลับไป
“เรื่องจริง!ครับ” เมจิกตอบด้วยน้ำเสียงที่เชื่อมั่นในตัวพ่อและแม่ของเขา
“วันนี้วันเกิดครบรอบ 18 ปี ของลูกสินะพ่อมีของขวัญจะให้ด้วยรอแป๊บนึงนะ” ลอร์ดลูคัสเดินออกไปจากห้อง พักใหญ่เขาก็เดินกลับมาพร้อมกล่องของขวัญในมือ
เมจิกในตอนนี้กลับกลายเป็นเด็กน้อยอีกครั้งเขาเปิดกล่องด้วยสีหน้ายิ้มแย้มและตื่นเต้นว่าจะมีอะไรอยู่ในกล่อง พอเปิดออกดูก็มีหนังสือเพียงหนึ่งเล่ม เมจิกหยิบสมุดขึ้นมาและพลิกมันไปพลิกมันมาเหมือนหาอะไรบางอย่าง
“แค่นี้หรอครับ” เมจิกหันไปถามพ่อของตน
“ยังหรอกยังมีอีกชิ้นแต่ลองเปิดหนังสือนั้นดูสิ!” ลอร์ดลูคัสยิ้มเล็กน้อยที่มุมปากและตั้งหน้าตั้งตารออะไรบางอย่าง
และทันทีที่เมจิกเปิดหนังสือออกดู ห้องทั้งห้องก็สว่างจ้าขึ้นจากเปลวเพลิงสีฟ้าที่สวยงามเหมือนกับพลุในงานเฉลิมฉลอง อักขระในหนังสือและรูปภาพขยับไปมาและลอยออกมานอกแผ่นกระดาษ
ช่างเป็นเรื่องที่อัศจรรย์ใจยิ่งนักสำหรับหนุ่มน้อย อักขระทุกตัวเขาสามารถอ่านออกได้แม้จะไม่เคยเห็นมาก่อน แต่ที่จริงแล้วมันก็ไม่แปลกเพราะสายเลือดนักเวทย์นั้นจะทำให้อักขระโบราณต่างๆแปรเปลี่ยนเป็นภาษาที่เจ้าของรู้จัก ซึ่งทำให้เมจิกอ่านออกทันทีที่เห็น
“และนี่คือของขวัญชิ้นที่สองที่พ่อจะให้ลูกนะ” ลอร์ดลูคัสล้วงกระเป๋าเสื้อของตัวเองแล้วก็ส่งต่อให้กับเมจิก สิ่งที่ลอร์ดลูคัสส่งให้เมจิกนั้นก็คือกระเป๋าหนังเล็กๆที่ใส่การ์ดใบหนึ่งไว้ข้างใน
“นี่อะไรครับพ่อ” เมจิกหันมาถามพ่อของเขาด้วยความสงสัยขณะพลิกการ์ดไปมา
“นี่คือมรดกสืบทอดจากบรรพบุรุษนะ จะส่งมอบให้โอรสคนสุดท้องเท่านั้นซึ่งพ่อก็ได้มาจากปู่ของลูก มันเป็นการ์ดเวทย์มนต์ที่ปิดผนึกสัตว์เวทย์ที่อยู่ทั่วโลกเวทย์มนต์เอาไว้ ซึ่งแต่ละใบก็แตกต่างกันไปตามสายพันธ์ของสัตว์เวทย์ตัวนั้นๆ และการ์ดนี่ก็มีชื่อว่าราชาเพลิง เฟลฟรอส ซึ่งมีพลังมหาศาลในการทำลายล้าง แต่มันก็ขึ้นอยู่กับเจ้าของและจิตใจของเจ้าของนั้นแหละ”
และทันทีที่ผู้เป็นพ่อพูดจบนักฆ่าก็ปรากฏตัวขึ้น มันไม่ปล่อยโอกาสให้ลอร์ดลูคัสได้ร่ายเวทย์มนต์ มันใช้มีดที่ลับมาอย่างดีถึงขั้นตัดเหล็กกล้าให้ขาดได้เพียงดาบเดียว
มันบรรจงกรีดที่คอหอยของลอร์ดลูคัสจนหลอดเลือดใหญ่ขาดอย่างช้าๆทำให้เลือดสีแดงเข้มทะลักออกมาทีละน้อยๆจนดูไม่หมดสิ้น แค่นั้นยังไม่พอมันยังเข้าไปจ้วงแทงเจนน่าผู้เป็นแม่อีกนั้บครั้งไม่ท้วนจนเลือดของทั้งสองไหลนองไปทั่วพื้นและผสมกัน
“หนีไปลูกพ่อ..แม่” สองสามีภรรยาใช้แรงเฮือกสุดท้ายพูดออกมาแล้วก็หมดแรงไปนอนจมกองเลือดของตัวเองอยู่ในห้อง
“ไม่...............พ่อครับ แม่ครับ ผมจะแก้แค้นและจะทางบรรลังค์คืนมาให้ได้....” เมจิกตะโกนขึ้นพลังเวทย์ที่หลับไหลถูกปลุกให้ตื่นโดยสมบูรณ์ และใช้เวทย์มนต์อัดกระแทกใส่นักฆ่าจนกระเด็นทะลุกำแพงลงไปนอนกับพื้นดิน
“นี่มันอะไรกันนนนน” นี่เป็นคำตอบสุดท้าย ไม่สิเป็นคำพูดสุดท้ายของมันก่อนที่จะโดนคลื่นพลังเวทย์อัดกระแทกและบีบร่างกายจนกระดูกละเอียด อวัยวะภายในแตกสลาย และสุดท้านร่างทั้งร่างก็แตกกระจัดกระจายจนไม่เหลือชิ้นดี แต่ดูจากสภาพของมันแล้วต้องพูดว่าไม่เหลือซากที่จะบอกได้ว่ามันเป็นมนุษย์เลยต่างหากละ
เด็กหนุ่มรีบวิ่งขึ้นไปบนบ้านและตรงไปยังห้องที่พ่อแม่ของเขานอนจมกองเลือดอยู่ พอไปถึงก็เห็นข้อความที่เขียนด้วยเลือดที่ฝาพนัง ซึ่งนั้นก็เป็นลายมือของพ่อเขา มีความว่า
“เมจิกลูกคือโอรสคนเดียวของ ลอร์ดลูคัส แบล็คเบริ์ด ผู้ทรงเกียตริ..” มีข้อความเขียนไว้เท่านี้แต่มันก็เพียงพอที่จะทำให้เมจิกปล่อยน้ำตาที่อดกลั้นไว้ตั้งแต่ตนออกมาจนหมด
อารมณ์ของเด็กหนุ่มในตอนนี้ช่างผสมปนเปไปกันหมด ทั้ง รัก โกรธ เศร้า เหงา มันผสมกันไปหมดจนไม่รู้ว่าอยู่ในอารมณ์ไหนกันไหน บางที่ก็หัวเราะ บางทีก็ร้องให้ เมจิกในตอนนี้เหมือนคนบ้าเป็นที่สุด แต่มันก็ไม่แปลกที่จะเป็นแบบนี้เพราะเมจิกต้องศูนย์เสียทุกอย่างที่เขารักไป นั้นก็คือพ่อกับแม่ของเขานั้นเอง
เขาหยิบหนังสือและการ์ดขึ้นมาซึ่งในตอนนี้มันกลายเป็นของดูต่างหน้าพ่อกับแม่ของเมจิกไปแล้ว เขาเดินออกมาจากบ้าน และเดินหายไปในความมืดมิดของค้ำคืนที่โหดร้าย และมาหยุดอยู่ตรงเสาไปในสวนสาธารณะ แล้วเปิดหนังสือขึ้นอ่านเขาพลิกหน้ากระดาษไปมาจนไปเจอกับวิธีเข้าโลกเวทย์มนต์ ซึ่งทำให้เมจิกลืมความเศร้าไปชั่วขณะและรีบอ่านวิธีการดูจนมั้นใจแล้วเด็กหนุ่มก็ลงมือทำ
เมจิกใช้ก้อนหินวาดเป็นวงแหวนเวทย์กลับด้านและสลับหัวพร้อมสลักอักขระโบราณไว้ตามมุมและรอบๆวงแหวนจากนั้นก็ร่ายเวทย์ในทันที
“ข้าแด่เหล่าเทพแห่งสวรรค์ผู้ปกป้องบรรลังค์กษัตริย์แบล็กเบริ์ดผู้ยิ่งใหญ่เอ๋ย ข้ามีความจำนงที่จะกลับโลกเวทย์มนต์ จงบันดาลข้ากลับสู่โลกของข้าด้วย เมสตา วินา”
ทันทีที่เมจิกร่ายเวทย์จบวงแหวนก็เรืองแสงสีเงินขึ้นเด็กหนุ่มรีบเข้าไปอยู่ในใจกลางวงแหวนแล้วก็ฟุบ เมจิกล่องลอยอยู่ในมิติเวลาแล้วก็หลุดล่วงลงมายังโลกที่พ่อของเขาเกิดซึ่งเรียกอีกชื่อว่า โลกเวทย์มนต์(อาณาจักรเวทย์มนต์)
ตอนนี้เป็นเวลารุ่งเช้าของโลกเวทย์มนต์ทำให้เมจิกได้เห็นสภาพแวดล้อมโดยรอบได้เต็มตา สภาพของโลกใบนี้เต็มไปด้วยป่าไม้ที่อุดมสมบูรณ์มากมายเป็นร้อยละ 3 ของโลกเลยก็ว่าได้ ส่วนอีกหนึ่งก็เป็นเมืองและแม่น้ำสายต่างๆซึ่งนั้นก็หมายถึงโลกใบนี้อยู่ร่วมกับธรรมชาตินั้นเอง
เมจิกออกเดินทางด้วยร่างกายที่อ่อนแอ เขาเดินเซไปตลอดเมจิกเดินไปโดยไมหยุดพักนั้นยิ่ทำให้ร่างกายของเขาอ่อนแอยิ่งขึ้นไปอีก จนเด็กหนุ่มหมดแรงตรงทางลาดและล้มกลิ้งลงไปยังพื้นข้างล่าง เขาไม่แม้จะรู้สึกตัวเลยสักนิดจนกลิ้งไปกระแทกกับต้นไม้ข้างทางอย่างจังทำให้เขากระอักเลือดออกมาหนึ่งกองก่อนที่จะสลบไปอีกครั้ง
เด็กหนุ่มจากโลกที่แสนจะโหดร้ายนอนสลบอยู่ตรงโคนต้นไม้ ขนาดตอนนี้เที่ยงแล้วเขาก็ยังไม่ตื่นจนมีหญิงสาวอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเมจิกคนหนึ่งเดินมาพบเข้าแล้วพาเมจิกไปพักยังบ้านของตน ซึ่งหญิงสาวสาวก็คอยดูแลเมจิกอย่างดีทั้งป้อนอาหาร ป้อนยา เช็ดตัว หญิงสาวก็คอยดูแลอย่างดีแบบยุงไม่ให้ไต่ไรไม่ไห้ตอม
จนอาการของเมจิกดีขึ้นจนฟื้นขึ้นมาเป็นปกติ เขาตื่นขึ้นมาและพบว่าตนเองกำลังนอนอยู่ในห้องนอนสีครีมสดใสที่สว่างตา เมจิกลุกขึ้นนั่งบนเตียงพักนึงแล้วเดินออกไปนอกห้อง ทันทีที่เปิดก็พบกับหญิงสาวคนหนึ่งทีถือถามใส่อาหารและน้ำมาให้เขา
“ตื่นแล้วหรอค่ะ จะทานในห้องหรือในครัวค่ะ” หญิงสาวถามด้วยท่าทางที่เป็นมิตร
“ที่ห้องครัวก็ได้ครับ” เมจิกตอบกลับไป
“ถ้าอย่างนั้นก็ตามฉันมานะค่ะ” หญิงสาวเดินนำหน้าเมจิกไปยังห้องครัวขนาดปานกลางที่มีโต๊ะกับข้าววางอยู่ใกล้เตาผิงไฟ
“แล้วคุณชื่ออะไร” เมจิกหันมาถามอีกครั้งขณะทานอาหารยู่
“อุ้ยตาย ฉันยังไม่ได้แนะนำตัวหรอค่ะ เสียมารยาทจังเลย ฉันมีชื่อว่า เอลซ่า ดรอฮอฟ คุณละ” หญิงสาวหน้าแดงขึ้นมาทันที
“ผมชื่อ เมจิก แบล็คเบริ์ด” เด็กหนุ่มตอบไปโดยไม่รู้ว่าตระกูลของเขายิ่งใหญ่เพียงใด
“แบล็คเบริ์ดหรอค่ะ เจ้าเป็นอะไรกับลอร์ดลูคัสผู้สาปสูญ” หญิงสาวเริ่มสนใจในตัวของเมจิกมากขึ้น
“ลอร์ดลูคัสนะหรอ พ่อของฉันเอง มีอะไรหรือเปล่า” เด็กหนุ่มตอบไปโดยไม่คิดอะไร
“ห๊ะพ่อหรอ น่าตกใจจริงๆ” หญิงสาวตรงเข้ามามองหน้าเมจิกอย่างใกล้ชิด
“อย่าทำให้เขากลับนะเอลซ่า” หญิงสาวอีกคนเดินมาแต่คนนี้ดูมีอายุมากกว่ามาก
“ฉันลืมแนะนำแม่ของฉันไปนะ แม่ของฉันชื่อว่า เมชลา ครอฮอฟ”
“ยินดีที่ได้รู้จัก”
หลังจากทั้งสามได้แนะนำตัวและทำความรู้จักกันไปแล้ว เมจิกก็เริ่มเล่าเรื่องพ่อของเขาให้ฟัง ซึ่งเมชลา และ เอลซ่า ก็มีท่าทีที่สนใจในเรื่องนี้มากด้วยเช่นกัน แต่พอเล่าถึงตอนที่พ่อกับแม่ถูกฆ่า น้ำตาก็ไหลออกมาไม่หยุดนั้นทำให้สองแม่ลูกรู้สึกผิดเป็นอย่างมากที่ขยั้นขยอให้เมจิกเล่าเรื่องของพ่อเขาให้ฟัง แม้ว่าจะปลอบเท่าไรอาการของเด็กหนุ่มก็ไม่ดีขึ้นเลย
เมจิกหลังจากร้องไห้แล้วก็ขอตัวกลับไปห้องนอนแล้วก้มลงมองหนังสือที่พ่อของเขามอบให้ไว้ก่อนจะตาย เด็กหนุ่มค่อยเปิดมันขึ้นมาช้าๆ แต่ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเหมือนอย่างตอนแรกนั้นทำให้เมจิกแปลกใจเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้คิดอะไร เขาเปิดดูไปเรื่อยๆ อ่านหน้าแล้วหน้าเล่าอย่างตั้งใจจนเปิดมาถึงหน้าที่ 169
ก็มีกระดาษแผ่นหนึ่งหล่อนลงมาจากหน้านี้ เด็กหนุ่มจึงหญิบแผ่นหระดาษและเปิดออกดูนั้นทำให้น้ำตาของเขาเริ่มไหลอีกครั้งหนึ่ง..
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7.5 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ