ศพแยกส่วน ณ โรงละครผีสิง
11) บทที่ 11 เจ้าชายแห่งศิขรินนคร
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
บทที่ 11
เจ้าชายแห่งศิขรินนคร
เวลา 16.00 นาฬิกา ครึ่งชั่วโมงต่อมาภายหลังจากที่ ภานุและเกด ได้ย้อนเวลากลับคืนมายังดินแดนสนธยาที่ยังไม่รู้แน่ชัดว่ามันเป็นสถานที่แบบไหนกันแน่ แต่อย่างไรเสีย ณ ขณะนี้เวลาในนาฬิกาข้อมือก็ยังคงก้าวเดินต่อไปอย่างช้าๆ และเป็นปกติดีไม่มีการบิดเบี้ยวหรือโค้งงอ อย่างที่เกดกำลังคิดเกรงกลัวมันอยู่ทุกขณะของจิตใจ
“เป็นไปอย่างที่คาดการณ์เอาไว้ แม้แต่รถยนต์ก็หายสาบสูญไปหมด” เกดพูดขึ้นขณะยื่นสงบนิ่งอยู่ด้านหน้าลานกว้าง ที่มีสภาพเป็นป่าหญ้าคาอันรกครึ้ม ภายนอกโรงละครผีสิงอันเป็นสถานที่จอดรถยนต์ทิ้งเอาไว้จำนวนถึงหกคัน อันได้แก่รถยนต์ของภานุ ของเกด ของใบเฟิร์น ของศักดิ์ ของโอม และสุดท้ายเป็นของสองสาววัยรุ่นวัยใสเมล์และดาอีก 1 คัน ณ เวลานี้ไม่ปรากฏว่ามีสิ่งใดหลงเหลืออยู่อีกเลยมันว่างเปล่า และที่สำคัญไม่ปรากฏว่ามีถนนลูกรังในสภาพอันขรุขระเพียงเส้นเดียวที่ใช้สำหรับเดินทางไปและกลับบ้านได้ ปรากฏอยู่อีกเลยเช่นกัน แต่กับปรากฏบ้างสิ่งบ้างอย่างอันเป็นหนทางรอดอย่างสุดท้ายทิ้งเอาไว้แทนที มันคือท่าจอดเรือยนต์ที่ใช้สำหรับเดินทางไปและกลับบ้านได้เท่านั้น
“ฉันคิดว่าพวกเราคงจะฝันไปแน่ๆ เลยภานุ” นั่น คือประโยคคำพูดสุดท้ายที่เขาอยากที่จะได้ยินจากเกดเพราะเขาเองก็กำลังคิดว่ามันน่าที่จะเป็นความฝันอยู่เช่นกัน ก่อนที่เขาเองจะรีบจับจูงมือของเธอก้าวเดินลงมาตามเนินหญ้าและเนินดินแข็งๆ ลงมาจนถึงยังท่าจอดเรือยนต์ ที่ไม่ปรากฏว่ามันจะมีเรือยนต์จอดทิ้งเอาไว้เลยแม้แต่ลำเดียว
“มันน่าจะมีเรืออีกครั้งคงจะเป็นพรุ่งนี้เช้าใช่ไหมภานุ”
“คงจะเป็นอย่างนั้น”
“แล้วเวลานี้เราจะทำอะไรกันดี” มันเป็นคำถามที่ดีมาก เพราะเขาเองก็กำลังครุ่นคิดอยู่ด้วยเช่นเดียวกัน เมื่อเขาไม่สามารถที่จะเดินทางกลับไปบ้านได้ แม้จะเป็นทั้งทางบกหรือทางน้ำ ก็คงจะเหลือแต่เฉพาะทางอวกาศเท่านั้น หากเขามีปีกแลสามารถโผผินโบยบินหนีไปได้อย่างเช่นนกบนท้องนภา ดังนั้นเมื่อจนแล้วซึ่งปัญญาที่จะหาทางหลบหนีออกไปจากสถานที่แห่งนี้ได้ สิ่งที่เขาอยากที่จะทำมากที่สุดในเวลานี้ นั้นก็คือการล้มตัวลงนอนหลับเปลือกตาพักผ่อนเพื่อเรียกเรี่ยวแรงแลพละกำลังกลับคืนมาก่อนที่จะต้องเริ่มต้นออกค้นหาหนทางแก้ไขปมปริศนาต่างๆ ต่อไป โดยเฉพาะปมปริศนาแห่งศิวลึงค์ ซึ่งเขาเองก็เริ่มที่จะพอรับรู้เบาะแสอะไรมาได้บ้างแล้วจากบทลำนำเพลงเพราะๆ ที่เกดเป็นผู้ขับร้องลำนำให้ฟัง และที่เป็นเบาะแสเสริมสร้างความเชื่อมั่นให้กับเขาเพิ่มมากขึ้นอย่างเด่นชัดที่สุดนั้นก็คือบทบริกรรมคาถาของชายชรานามว่าอ้ายจัน ที่เขาและเกดเพิ่งจะได้พานพบประสบมาและได้ยินน้ำเสียงอันหนาวเย็นยะเยือกมาด้วยพร้อมๆ กัน ซึ่งเหมือนกับว่าเขาเองจะมีฌานพิเศษพอที่จะเข้าใจในความหมายแห่งบทบริกรรมคาถานั้นได้เป็นอย่างดี เหมือนกับว่าครั้งหนึ่งบทบริกรรมคาถาบทนั้นมันต่างก็เคยเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของเขามาก่อนด้วยเช่นเดียวกัน ซึ่งตรงกันข้ามกันกับเกดที่ได้ยินได้ฟังแต่กับไม่เข้าใจในบทบริกรรมคาถานั้นเลย
“ภานุฉันถามว่าพวกเราควรจะทำอย่างไรกันต่อไปดี ในเวลานี้ฉันหิวน้ำจะแย่อยู่แล้ว” ขณะนี้เขาเองก็กำลังหิวน้ำด้วยเช่นกัน พวกเราสองคนต่างก้าวเดินจนมาถึงท่าจอดเรือยนต์ อันมีกองสัมภาระ ซึ่งประกอบด้วยอาหารสด อาหารแห้งและน้ำดื่มที่ยังไม่ได้ลำเลียงขนขึ้นไปเก็บเอาไว้ยังภายในโรงละครผีสิงซึ่งมีจำนวนมากมายเพียงพอสำหรับคนจำนวนกว่ายี่สิบคน และอย่างน้อยก็ใช้ดื่มกินกันได้มากกว่าหนึ่งอาทิตย์เลยทีเดียว
“คุณก็เลือกแกะออกมาดื่มสักขวดสองขวดสิ พวกเขาคงไม่ว่าอะไรคุณหรอก” แพ็คน้ำขวดพลาสติกยี่ห้อดังหลายสิบแพ็ค วางกองสุมทิ้งเอาไว้รวมกันกับกองอาหารกระป๋องจำนวนมาก เธอรับฟังน้ำเสียงออกคำสั่งของภานุอย่างว่าง่ายพร้อมกันกับยื่นมือตรงออกไปหยิบมันขึ้นมาจำนวนสองขวดส่งให้กับภานุหนึ่งขวดและเธอเองอีกหนึ่งขวด ภานุแย้มยิ้มแล้วยื่นมือรับมันไปจากมือเธอ
“ขอบใจ...” ภานุแย้มยิ้มด้วยรอยยิ้มอันเปี่ยมด้วยความสุขใจ
“ก็ฉันตกลงเป็นแฟนกับคุณแล้ว ก็คงต้องเอาใจคุณเอาไว้หน่อย” เธอแกล้งตอบประชดประชันกลับคืนไป ภานุก็ยังคงแย้มยิ้มอยู่เช่นเดิม
“ผมจะต้องสูญเสียอิสระอะไรไปบ้างครับ ที่ผมหลวมตัวได้คุณมาเป็นแฟนของผม” ภานุมีรอยยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ และรู้เท่าทันเธออยู่เช่นเดิม
“คนเป็นแฟนกัน ก็ย่อมไม่มีอะไร ให้ต้องปิดบังกันไม่ใช่หรือคะภานุ”
“ฮ่าๆๆ...” ภานุหัวเราะชอบใจ
“จริงครับ เอาเป็นว่าคุณเกดอยากจะถามสิ่งใดจากแฟนคนนี้ของคุณ แฟนคนนี้ก็ยินดีที่จะตอบคำถามของคุณทุกอย่างเลย แต่ก่อนอื่นผมขอนอนพักหรือหลับตานิ่งๆ สักสิบหรือสิบห้านาทีก่อนเถอะเพราะผมรู้สึกว่าจะเหนื่อยล้าเต็มทีแล้ว กับสิ่งที่เพิ่งจะได้พานพบประสบเจอะเจอมา” เธอพยักหน้าอย่างเห็นด้วย โดยไม่มีข้อแม้ใดๆ ที่จะกล่าวโต้แย้ง การออกมาอยู่ภายนอกโรงละครผีสิงในเวลาเช่นนี้ จึงถือได้ว่าเป็นการชาร์ตหรือสะสมพลังงานครั้งใหม่ก่อนที่จะต้องพากันก้าวเดินกลับคืนเข้าไปเผชิญหน้ากับเพศภัยอันตรายจากภายในสถานที่อันลี้ลับแห่งนั้นกันใหม่อีกครั้ง
“ที่นี่บรรยากาศดีจังเลยนะคะ” ภานุพยักหน้าอย่างเห็นด้วย ท่าจอดเรือฝั่งที่เธอกับภานุกำลังล้มตัวลงนั่งนิ่งแผ่นหลังพิงเข้ากันกับกองสัมภาระแอบหลบซ่อนเร้นกายอยู่นั้น มันไม่สามารถที่จะจับจ้องมองเห็นดวงอาทิตย์ในยามเย็นได้ แต่ก็ยังสามารถที่จะจับจ้องมองเห็นลำแสงสะท้อนจากดวงอาทิตย์จากฝั่งตรงข้ามได้อยู่บ้าง ลำแสงสว่างอ่อนๆ มีประกายของลำแสงเจิดจรัสสะท้อนกันกับผืนผิวน้ำใสดังกระจกแลมองเห็นฝูงปลาน้อยใหญ่กำลังพากันแหวกว่ายอยู่ในห้วงนทีได้อย่างชัดเจน เสียงสายลมเย็นๆ พัดพาละอองน้ำบางเบาทำให้ก่อเกิดเป็นเสียงเพลงและดนตรีแห่งธรรมชาติเพราะๆ รอบข้าง ซึ่งมันช่างน่าที่จะปิดเปลือกตาหลับพักผ่อนลงสักครู่เป็นยิ่งนัก ไม่นานภายหลังจากนั้นภานุก็นอนหลับจนสนิทพร้อมกันกับความฝันในห้วงนิมิตที่มักจะบังเกิดขึ้นมาอยู่เป็นประจำตั้งแต่เมื่อครั้งยังเยาว์วัย มันมักจะเรียกร้องให้ภานุย้อนวันคืนหวนกลับคืนไปยังสถานที่อันแปลกๆ อยู่เสมอ แม้ภานุจะไม่ต้องการอยากที่จะรับรู้น้ำเสียงหรือเรียกร้องนั้นเลยก็ตามที
“เจ้าชายศิขริน ท่านจงกลับคืนมายังบ้านเมืองของท่านได้แล้ว”
..............................
จากเรื่องเล่าขานปรัมปราหลายร้อยหลายพันปีก่อนหน้า มีมหานครลับแลอันลึกลับนามว่าศิขริน ซึ่งอยู่จนสุดสายปลายของเส้นผืนแผ่นฟ้า แผ่นดิน ผืนแผ่นน้ำ แลมหาสมุทร ผู้เคยผ่านข้ามเขตแดนเข้าไปจักมิเคยมีใครได้ผ่านข้ามออกมาอีก จึงไม่เคยมีผู้ใดเลยจักรับรู้ได้ถึงสภาพภายในของมหานครแห่งศิขรินนั้นได้อย่างแท้จริง ว่ามันมีสภาพอันตระการตาเป็นเช่นไรกันแน่ แต่ยิ่งเมื่อไม่เคยมีใครได้เคยผ่านพ้นข้ามเขตแดนแห่งมนต์ตราเข้าไปได้ ก็ยิ่งที่จะก่อเกิดเรื่องราวเล่าขาน เรื่องราวการโกหก และเรื่องที่เสกสรรปรุงแต่งขึ้นอันเป็นตำนานปรัมปราแห่งมหานครมนต์ตราแห่งนี้เพิ่มมากยิ่งขึ้น ซึ่งหนึ่งในเรื่องราวเล่าขานที่ชวนให้น่าติดตามแลเชื่อถือได้หลายร้อยหลายพันเรื่องนั้น เรื่องที่ภานุกำลังนิมิตอยู่ในความฝันจึงถือได้ว่าเป็นเรื่องราวเล่าขานที่น่าเชื่อถือเป็นที่สุดแล้ว โดยมีเนื้อความปรัมปราในนิมิตเป็นดังนี้แล...
เมืองศิขรินไม่ได้อยู่บนจุดใดของแผนที่โลก แต่มันคือเมืองที่ถูกเนรมิตเสกสรรปั้นแต่งขึ้นด้วยเวทย์มนต์แลคำสาป โดยมีพระมหากษัตริย์เป็นผู้ปกครองเฉกเช่นเดียวกันกับโลกภายนอกทุกประการ เมืองศิขรินมีความแปลกเป็นพิเศษแตกต่างจากโลกภายนอกเพียงอย่างเดียวนั้น นั่นก็คือกาลเวลากลางวันแลกลางคืนจะหมุนวนไปอย่างเช่นเดียวกันกับโลกภายนอก แต่ชีวิตของผู้คนภายในเมืองศิขรินจักไม่รับรู้ได้ถึงความเจ็บป่วยแลวัยชรา จนกระทั้งกษัตริย์ผู้ปกครองพระนครแห่งศิขริน ต้องการอยากที่จะมีพระราชโอรสอย่างเช่นเดียวกันกับกษัตริย์ที่อยู่ภายนอกรั้วหลังม่านหมอกเมืองลับแลแห่งนี้ พระองค์จึงได้ทรงแอบซ่อนเร้นกายร่ายมนต์ตราปลอมแปลงตนเป็นชายหนุ่มรูปงามอย่างเช่นชาวบ้านป่าธรรมดาทั่วไป ได้แอบลักรอบมีความสัมพันธ์อันลึกซึ้งด้วยกันกับหญิงสาวสวย จนในที่สุดพระองค์ก็ทรงได้ก่อเกิดแลประสูติพระราชโอรสอย่างเช่นที่ได้ตั้งพระหทัยเอาไว้ นามของพระราชโอรสองค์น้อยพระองค์นั้นมีนามว่า ”ศิขริน”
“เด็กน้อยนั้น กับนังแม่สาวชาวบ้านป่าจักเข้ามาอยู่ในพระนครแห่งศิขรินแห่งนี้ ไม่ได้โดยเด็ดขาดเพคะ หม่อมฉันไม่มีวันยินยอม” พระมเหสีแห่งศิขริน กล่าววาจาด้วยความหึงหวงแลอิจฉาริษยา
“แต่เธอคือพระมารดาของพระโอรสของพี่ แล้วจักให้เธอแม่ลูกไปอยู่เสียที่ไหนกันได้เล่า หากไม่ใช่ภายในนครศิขรินแห่งนี้”
“น้องไม่ทรงยินยอม เด็จพี่จะต้องทรงเรียกได้เพียงแค่หนึ่งอย่างเท่านั้น จะเลือกพระราชโอรสหรือนังสาวชาวป่านั้น” แน่นอนว่าพระองค์ย่อมที่จะต้องทรงเลือกพระชายาพระองค์ใหม่เอาไว้อยู่แล้ว เพราะอย่างไรเสียพระราชโอรสก็จักไม่มีวันที่จะเจริญวัยเติบโตเป็นชายหนุ่มรูปงามอยู่ภายในมหานครที่กาลเพลาหยุดนิ่งได้จริงๆ ดอก ดังนั้นพระองค์จึงคิดที่จะส่งราชโอรสที่ยังทรงพระเยาว์วัยเพียงแค่ขวบปีเดียว กับคืนออกไปยังโลกภายนอกอยู่ก่อนแล้วเช่นเดียวกัน แลรอคอยจนกว่าพระราชโอรสจะเจริญวัยครบเบญจเพส 25 ชันษาแล้วจึงคิดที่จะหาทางนำพระราชโอรสกลับคืนมายังมหานครแห่งศิขรินนี้ใหม่อีกครั้ง เรื่องที่กษัตริย์หนุ่มกำลังทรงครุ่นคิดและวางแผนการ พระมเหสีคู่พระหทัยก็ทรงคาดคิดและคาดการณ์เอาไว้อยู่ก่อนแล้วด้วยเช่นเดียวกัน แม้จะทรงเสแสร้งแกล้งทำเป็นไม่รับรู้สิ่งใดเลยก็ตามที
“พี่จักส่งราชโอรสของพี่กลับคืนไปให้กับ ท่านพราหมณ์ผู้มีตบะแลฌานอันแก่กล้าได้ดูแลเลี้ยงดูแทนพี่ไปก่อนสักพัก รอคอยจนกว่าพราะราชโอรสของพี่จักครบยี่สิบห้าชันษา แล้วพี่ถึงจักนำโอรสของพี่กลับคืนมายังศิขรินแห่งนี้อีกครั้ง” นั้นแลคือเรื่องราวที่ภานุกำลังนิมิตแลฝันเห็นมันอยู่บ่อยๆ ตั้งแต่ครั้งยังเยาว์วัย ส่วนเหตุการณ์ภายหลังจากยี่สิบห้าปีล่วงเลยมาแล้ว พระราชโอรสจะได้มีโอกาสหวนกลับคืนไปยังศิขรินจนได้พานพบกับพระบิดาพระมารดาหรือไม่ ภานุเองก็ไม่สามารถที่จะรับรู้ได้เลยเช่นกันจนกระทั่งเมื่อเร็วนี้ ได้มีน้ำเสียงแปลกๆ ร้องเรียกภานุอยู่ทุกวันคืนเมื่อพยายามที่จะปิดเปลือกตาหลับพักผ่อนลงในคราใด
“เจ้าชายศิขริน ท่านจงกลับคืนบ้านเมืองของท่านได้แล้ว”
“เรามิใช่เจ้าชายศิขริน ท่านจดจำคนผิดแล้ว เรามีชื่อว่าวรเชษฐ์”
“วรเชษฐ์ ไม่ใช่นามที่แท้จริงของท่าน ศิขริน ต่างหากคือนามอันแท้จริงของท่าน”
“ท่านพูดโกหก เราคือวรเชษฐ์”
“ไม่จริงท่านคือ ศิขริน หากท่านยังมิยินยอมที่จะเชื่อข้า อย่างนั้นข้าจักพิสูจน์ให้ท่านได้เห็นเอง” น้ำเสียงการตอบโต้กันของชายแปลกหน้าในนิมิตแลความฝันของภานุ มีทั้งน้ำเสียงที่อบอุ่นแลแข็งกร้าว อย่างทรงไว้ซึ่งอำนาจ จนในบ้างครั้งภานุรู้สึกอยากที่จะโกรธและโมโหน้ำเสียงนั้นอยู่บ้าง
“ท่านจะพิสูจน์ได้อย่างไรกัน”
“ได้แน่นอนหากท่านจักยินยอมท่องบทบริกรรมคาถาติดตามข้า”
“ได้ข้าจะทำตามอย่างที่ท่านต้องการ” เสียงบทบริการรมคาถาแปลกๆ ดังกึกก้องกัมปนาทขึ้นมาภายในนิมิต ซึ่งเป็นเส้นโค้งงอหลากหลายรูปแบบจนไม่สามารถที่จะลำดับเส้นสายลวดลายสีขาวแลสีดำเหล่านั้นได้ เพราะมันกำลังหมุนวนรวมตัวกันเป็นเกรียวคลื่นย้อนวันเวลากลับคืนไปยังเมื่อศตวรรษเก่าก่อนใหม่อีกครั้งหนึ่ง
..............................
“สืบมาได้ความว่าอย่างไรบ้างท่านวรเชษฐ์” เจ้าชายอินทวงค์ตั้งคำถามขึ้น
“เขาผู้นั้นมีนามว่า ศิขริน พะยะคะ”
“เป็นนามที่ไพเราะมากเลยทีเดียว แต่ข้าเหมือนจักเคยได้ยินนามนั้นมาจากที่ไหนมาก่อนแล้วนะ ท่านวรเชษฐ์” ท่านรองแม่ทัพมีสีหน้าพร้อมกันกับแววตาอันซีดเผือดลงไปบ้างเล็กน้อยก่อนที่จะเริ่มตอบคำถามแก่เจ้าชายอินทวงค์
“เด็กกำพร้า ไม่มีพ่อแม่ ชาวบ้านป่าแถวนี้ มักจักพากันเรียกขานชื่อว่า ศิขริน พะยะคะ” เจ้าชายอินทวงค์ทำสีพระพักตร์นึกแปลกใจเพิ่มมากยิ่งขึ้นไปอีก
“หมายความเป็นเช่นไรกันแน่ บอกเล่าให้เราได้เข้าใจหน่อยได้ไหม”
“พะยะคะ...ในความเชื่อของชาวบ้านป่าแถบนี้ มักจะกล่าวถึงตำนานเมืองลับแลอันแอบหลบซ่อนเร้นอยู่ภายในหุบเขาหลังม่านหมอก ซึ่งเมื่อพระจันทร์เต็มดวงในคราใดชาวบ้านป่าก็มักจักพากันจับจ้องมองเห็นมหานครแห่งศิขรินแห่งนี้กันอยู่บ่อยๆ พะยะคะ”
“แล้วนี้มันก็คือที่มาของนามแห่งชายหนุ่มผู้นั้นอย่างนั้นรึ ท่านวรเชษฐ์”
“พะยะคะ เมื่อหลายสิบปีก่อนเด็กชายกำพร้าผู้นั้น ได้ลอยตามกระแสน้ำป่าลงมาจากหุบเขาฝั่งโน่น ซึ่งเป็นหุบเขาเดียวกันกับที่ชาวบ้านต่างเชื่อกันว่าเป็นมหานครแห่งศิขริน ดังนั้นเด็กน้อยผู้นั้นจึงถูกตั้งนามเรียกขานตามเมืองลับแลแห่งนั้นไปด้วย”
“อย่างนั้นชาวบ้านที่ต่างนอนตายอยู่ตรงนั้นก็ไม่ใช่พ่อแม่จริงๆ ของชายหนุ่มผู้นั้นอย่างนั้นใช่ไหม ท่านวรเชษฐ์”
“พะยะคะ ภายหลังจากที่เด็กน้อยรอดชีวิตมาจากกระแสน้ำป่า ท่านพราหมณ์ที่อาศัยอยู่ระหว่างเขตแดนของชนชาติขอม อันปราดเปรื่อง ลือเลืองวิชาการแลความรอบรู้ก็ได้รับเด็กน้อยเอาไว้เลี้ยงดูอบรมสั่งสอน แลได้มอบเด็กน้อยให้กับชาวบ้านป่าเอาไปเลี้ยงดูอีกต่อหนึ่งในเวลาต่อมา จนกระทั่ง...” ท่านรองแม่ทัพวรเชษฐ์ไม่กล้าที่จะกล่าวหรือเล่าสิ่งใดต่อไปอีก เพราะเหตุการณ์เบื้องหน้าพระพักตร์ก็ต่างที่จะพิสูจน์ทุกสิ่งทุกอย่างได้จนหมดสิ้นแล้ว
...........................
กองซากศพของชาวบ้านป่าผู้บริสุทธิ์นับกว่าหนึ่งร้อยชีวิต ถูกแบกหามนำมากองรวมกัน จนไม่สามารถที่จะแยกแยะได้ชิ้นไหนเป็นของผู้ใด ศีรษะ แขน แลขา ต่างขาดหายไปจากร่างจนไม่สามารถที่จะนำเอามาจัดเรียงให้เป็นรูปลักษณ์ใหม่ได้อีกเลย ยกเว้นแต่บุตรชายแลภรรยาของชายหนุ่มผู้กำลังโศกเศร้าเสียใจแลกำลังล้ำไห้จนหยาดหยดน้ำตานองหน้า ที่ยังมีรูปร่างอยู่จนครบถ้วนสมบูรณ์ดี
“เขากำลังทำสิ่งใดอยู่ตรงนั้นกันรึ ท่านวรเชษฐ์” เจ้าชายอินทวงค์ตั้งคำถามขึ้นมาอีกครั้ง
“มันเหมือนพิธีกรรม ความเชื่อ ของชาวบ้านป่าแถบนี้นะพะยะคะ”
“แต่มันเป็นพีธีกรรม ที่น่าขนลุกมากเลยนะเพคะ เด็จพี่” เจ้าชายอินทวงค์จับจ้องมองพระกนิษฐาการะเกดอย่างนึกเอือมระอาแก่ใจ
“หากจ้าวไม่คิดอยากที่จะมองดูก็กลับเข้าไปอยู่ในกระโจม ของเจ้าเทิด”
“เด็จพี่ไล่น้องอีกแล้ว” การะเกดทำท่าทางไม่พอใจ
“ใช่พี่ไล่จ้าวเพราะจ้าวมันมักจะทำให้เสียเรื่องอยู่เรื่อย” เจ้าชายอินทวงค์ต่อว่าน้องสาวต่อหน้าคนสนิทที่ใกล้ชิดพระองค์ถึงสองคนอันได้แก่ท่านรองแม่ทัพวรเชษฐ์แลท่านรองแม่ทัพศักดิ์ดาฤชา
“น้องทำเสียเรื่องไปเพียงแค่เรื่องเดียวเท่านั้น ที่น้องไปใช้วาจาอันหยาบคายกับชายผู้นั้น ก็ในเพลานั้นน้องยังมิได้รู้ความจริงนี้เพคะว่าเขาเป็นผู้บริสุทธิ์ แลน่าสงสารเยื้องนั้น เกิดมาก็ต้องเป็นเด็กกำพร้าพ่อแลแม่ แถมล่องลอยตามกระแสน้ำป่ามาอีก พอเติบโตมาเป็นหนุ่มได้อีกหน่อยก็ต้องมากำพร้าพ่อแม่ลูกเมียอีกครั้ง โธ่..เขาช่างทำเวรกรรมในชาติบางก่อนเอาไว้มากมายจริงๆ นะเพคะเด็จพี่ ถึงได้ต้องมามีชีวิตเป็นเยื้องนี้ จริงหรือไม่ เด็จพี่” เจ้าชายอินทวงค์พระพักตร์ซีดเผือด ดวงเนตรลุกไหม้ยิ่งกว่าเปลวไฟ ในคำพูดอันประชดประชันของน้องสาว
“การะเกดหากจ้าวต้องการอยากจะทำให้พี่โกรธ จ้าวก็ทำมันจนสำเร็จแล้ว ในเวลานี้จ้าวจงกลับไปยังกระโจมของเจ้าได้แล้ว” ในเวลานี้ต่างไม่มีใครอยากที่จะเข้าใกล้เจ้าชายอินทวงค์อีกแม้แต่ท่านรองแม่ทัพผู้ใกล้ชิดทั้งสองคนก็ตาม
“พวกจ้าวรอข้าอยู่ที่นี่ แล้วอย่าได้ติดตามข้ามา” มันคือการออกคำสั่งด้วยอารมณ์แห่งความโกรธเกี้ยว จนคนใกล้ชิดทั้งสามคนไม่กล้าที่จะพากันกล่าววาจาสิ่งใดออกมาเพื่อเป็นที่ขัดพระหทัย ทรงก้าวเดินตรงไปยังชายหนุ่มผู้มีนามเรียกขานว่า “ศิขริน” น้ำเสียงจากบทบริกรรมคาถาอันเป็นพิธีกรรมที่ชายหนุ่มต่างรับรู้จักกับมันและเข้าใจมันอยู่แต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น มันจึงทำให้พระองค์ก่อเกิดความนึกสงสัยในสิ่งที่ชายหนุ่มกำลังนั่งขัดสมาธิกระทำบทบริกรรมคาถาอยู่เพียงลำพัง เป็นเวลายาวนานถึงหกวันหกคืนโดยไม่ได้หลับได้นอนหรือได้ดื่มกินอะไรเข้าไปเลยแม้แต่น้ำเพียงสักหยดเดียวก็ตาม และไม่รู้ว่าพิธีกรรมนั้นมันจะถึงวันสิ้นสุดลงในเพลาใดกันแน่หรืออีกสักกี่วันกันแน่
“ท่านศิขริน จ้าวควรจะได้พักผ่อน แลทานอาหารบ้าง ไม่อย่างนั้นท่านอาจที่จะ...” เจ้าชายอินทวงค์ชะงักคำพูดหยุดเอาไว้
“ท่านกลัวว่าข้าจักตายเช่นนั้นรึ”
“เป็นเช่นนั้นจริงๆ”
“ในเพลานี้ข้ามิคิดอยากที่จะตายดอก พิธีกรรมของข้าเหลือเพลาอีกเพียงแค่ไม่กี่โมงยามข้างหน้านี้แล้ว เมื่อดวงพระสุริยาฉายแสงส่องของวันใหม่ มันก็คือเป็นอันสิ้นสุดแห่งพิธีกรรมของข้า” เจ้าชายอินทวงค์รู้สึกว่าขนเล็กๆ ตามพระวรกายลุกขึ้นชูชัน ในคำพูดตอบรับอันหนาวเย็นยะเยือกของชายหนุ่มเบื้องหน้า
“ข้าจะถามจ้าวได้หรือไม่ พิธีกรรมที่จ้าวกำลังกระทำอยู่มันมีความหมายเป็นเช่นไรกันแน่ ข้าไม่เคยจักพานพบเห็นกับมันมาก่อนเลย” แม้พระองค์จักเคยเห็นท่านโหรหรือพระปุโรหิตประกอบพิธีกรรมทางศาสนามามาบ้างแล้ว แต่ในเพลานี้มันคือพิธีกรรมที่พระองค์ไม่เคยจักได้ประสบพานพบเห็นกับมันมาก่อนเลยจริงๆ
“มันเป็นการสะกดดวงวิญญาณที่ไม่สงบ ให้ได้นอนหลับพักผ่อนอย่างมีความสุข แล้วรอวันที่จะตื่นขึ้นมาใหม่อีกครั้ง ในวันหนึ่งข้างหน้า” เจ้าชายอินทวงค์ใบหน้าซีดเผือดจนขาวซีด หากพระองค์เข้าใจและตีความหมายไม่ผิดและได้อย่างถูกต้องมันคือพิธีกรรมฝังจิตฝังร่างเพื่อสะกดดวงวิญญาณให้คอยติดตามทวงถามความเป็นธรรมต่อเจ้ากรรมนายเวร แลบุคคลผู้นั้นก็น่าที่จะเป็นพระองค์เอง แลคนสนิทของพระองค์อีกถึงสามคน
“จ้าวรับรู้หรือไม่ ศิขริน การผูกรัดมัดตรึงดวงจิตในครั้งนี้ของจ้าว มันคือการสร้างเวรแลก่อกรรมต่อตัวของจ้าวเองแลดวงวิญญาณจำนวนมากมายเหล่านี้ด้วย ข้าคิดว่าจ้าวควรน่าที่จะล้มเลิกล้มพิธีกรรมอัปมงคลนี้เสียเทิด” ชายหนุ่มนามว่าศิขรินน้ำตาไหลหยาดหยดด้วยความเศร้าเสียใจ ซึ่งยากยิ่งนักที่พระองค์เองจักนึกเข้าใจจิตใจของชายหนุ่มผู้อาภัพเบื้องหน้านี้ได้
“พวกเขาเป็นครอบครัวของข้า พวกเขาเป็นภรรยาและลูกชายข้า พวกเขาจักต้องอยู่เคียงข้างข้าตลอดไป” เจ้าชายอินทวงค์รู้สึกถึงความเจ็บปวดของชายหนุ่มเบื้องหน้าได้เป็นอย่างดี และเริ่มจะยอมรับเวรกรรมที่จักต้องติดตามพระองค์ต่อไปอีกนานแสนนานจากชายหนุ่มผู้มีนามว่า “ศิขริน” ผู้นี้
“ชีวิตของข้าแลของเจ้าคงจะถูกชะตากรรม นำพาให้ต้องมาพานพบกัน แลข้าเองจักต้องติดตามพานพบกันกับจ้าวไปอีกแสนนาน หลายชาติภพเป็นแน่แท้ใช่หรือไม่ ศิขริน”
“อาจจะเป็นเยื้องนั้น ข้าจะผูกพันรัดมัดดวงจิตตรึงสายใยของพวกเราเอาไว้ด้วยกันในพิธีกรรมของข้าในวันนี้ แล้วพวกเราจะได้กลับคืนมาพานพบกันอีกครั้ง แม้มันจะผ่านวันคืนหมุนเปลี่ยนไปอีกร้อยปีพันปีข้างหน้าก็ตาม”
“อย่างนั้นเจ้าจงประกอบพิธีกรรมของเจ้าต่อไปเทิด ข้าจักไม่นึกเสียใจอีกเลย หากข้าจักต้องกลับมาพานพบกับจ้าวใหม่อีกครั้งแลอีกครั้งแม้มันจะอีกกี่ชาติกี่ภพข้างหน้าก็ตามที” เสียงบทบริกรรมคาถาดังสนั่นหวั่นไหวเพิ่มมากยิ่งขึ้นอีกครั้ง วันคืนเปลี่ยนแปลงจากความมืดมิดของโมงยาม เปลี่ยนเป็นยามเช้าตรู่ของวันใหม่ที่บรรยากาศรอบข้างเริ่มที่จะแจ่มใสขึ้นมาอีกคราหนึ่ง สุดท้ายพิธีกรรมที่ใช้เวลายาวนานถึงเจ็ดวันเจ็ดคืนก็สำเร็จลุล่วงลงได้เป็นอย่างดี ซากศพแลชิ้นส่วนเล็กๆ ที่กระจัดกระจายเหม็นเน่าอยู่ตามพื้นดินได้แปรเปลี่ยนสภาพเป็นแท่งเถ้าถ่านสีดำเล็กๆ หลายร้อยก้อนแต่ละก้อนมีขนาดเท่ากันกับลึงค์ของชายหนุ่มเมื่อมันได้พองโตจนเต็มที เจ้าชายอินทวงค์เอื้อมฝามือออกไปหยิบจับลึงค์ชิ้นเล็กๆ เหล่านั้น นำมันเอามาพินิจสำรวจดูอยู่อย่างนึกแปลกพระหทัย ที่อดีตก่อนหน้าแท่งดำๆ เล็กๆ เหล่านี้ มันเคยเป็นร่างกายมนุษย์แล้วจักสามารถแปรเปลี่ยนสภาพกลับกลายเป็นเถ้าถ่านชิ้นเล็กๆ เยื้องนี้ได้
“เจ้าเรียกสิ่งนี้ว่าเช่นไรกัน ศิขริน”
“ท่านจะเรียกมันว่าลึงค์ หรือจะเรียกมันว่าศิวลึงค์ ก็ได้”
“แล้วที่อยู่ในฝามือของเจ้านั้นอีกเล่าเรียกว่า ศิวลึงค์ ด้วยเช่นกันอย่างนั้นรึ ศิขริน”
“มันเป็นสิ่งที่ติดตัวข้ามาตั้งแต่เกิด ท่านพราหมณ์ผู้รับข้ามาเลี้ยงดูบอกกับข้ามาเช่นนั้น และเคยบอกข้าว่ามันอาจจะเป็นสิ่งที่บิดาของข้าเหลือทิ้งเอาไว้ให้ แลก็เคยบอกกับข้าอีกด้วยว่าสักวันหนึ่งข้าเองจักเข้าใจในความหมายแห่งศิวลึงค์แท่งนี้ได้เองอย่างชัดเจนในสักวัน แต่จน ณ เพลานี้ข้าก็ยังไม่มีความสามารถเพียงพอที่จักรับรู้หรือเข้าใจถึงความหมายอันแท้จริงแห่งศิวลึงค์แท่งนี้ได้เลย นอกเสียจากจะใช้มันในการประกอบพิธีกรรมเพื่อเพิ่มพูนตบะและฌานของข้าให้แก่กล้ามากยิ่งขึ้นเท่านั้น อันเป็นสิ่งที่ข้าเองได้ศึกษาเล่าเรียนมาจากท่านพราหมณ์ แลมันก็ไม่ได้มีความหมายเป็นอย่างอื่นสำหรับข้าอีกเลย...” เจ้าชายอินทวงค์เริ่มรู้สึกผูกพันเข้าด้วยกันกับศิขรินมากยิ่งขึ้น แม้มันจะไม่ได้ก่อเกิดขึ้นจากพิธีกรรมผูกรัดมัดตรึงดวงจิตที่ศิขรินเพิ่งจะประกอบพิธีกรรมเสร็จสิ้นไปแล้วก็ตามที ด้วยดวงจิตและดวงใจอันใสซื่อที่ไม่คิดที่จะปิดบังซ่อนเร้นสิ่งใดจากพระองค์ ทำให้พระองค์ก่อเกิดความเชื่อใจแลไว้วางใจ ศิขริน มากเกินกว่าบุคคลใกล้ชิดพระองค์ทั้งสามคนเสียอีก
“ข้าขอดูสิ่งนั้นใกล้ๆ หน่อยจะได้ไหม ศิขริน” ศิขรินยื่นมันส่งให้กับพระองค์ตามคำขอด้วยความเต็มใจ มันมีความยาวประมาณเก้านิ้วเท่ากันกับขนาดลึงค์ของพระองค์เองเมื่อมันพองตัวเต็มที ลักษณะรูปทรงกระบอกมนหัวแลมนท้ายเป็นสีดำดังนิลทั้งแท่ง มันไม่ได้มีลักษณะเป็นเถ้าถ่านอย่างเช่นเดียวกันกับลึงค์ที่วางกระจัดกระจายอยู่ตามพื้นดินเบื้องล่างเหล่านั้น ศิวลึงค์แท่งนี้มันแข็งแกร่งยิ่งกว่าหินผาใดๆ ที่พระองค์เคยรู้จักมาก่อนแลมันมีอักขระภาษาแปลกๆ สลักลวดลายเอาไว้ที่แม้แต่พระองค์เองก็ไม่สามารถที่จักแปลความหมายมันออกมาได้ในเพลานี้
“อักขระภาษาพวกนี้มันคืออะไรกัน ศิขริน”
“มันคือสิ่งที่ท่านพราหมณ์บอกกับข้าว่า ข้าจะเข้าใจมันได้เอง”
“แต่จ้าวก็ยังคงไม่เข้าใจมันใช่หรือไม่ ศิขริน”
“เป็นเช่นนั้น...” พระองค์ยื่นศิวลึงค์แท่งนั้นกลับคืนให้ ศิขรินใหม่อีกครั้ง อย่างหมดสิ้นความสงสัย
“แล้วจ้าวจะทำเช่นไรกับเถ้าถ่านเล็กๆ เหล่านั้น” ครั้งหนึ่งมันคือร่างกายหรือเศษชิ้นส่วนของซากศพที่แปรสภาพเปลี่ยนเป็นเพียงแค่ลึงค์หรือศิวลึงค์จากการประกอบพิธีกรรมของศิขริน
“ข้าจักนำมันไปกับข้าด้วย แล้วข้าจะสร้างสุสานเก็บซ่อนเร้นมันเอาไว้ใกล้ๆ กันกับข้าตลอดไป” เจ้าชายอินทวงค์ไม่คิดที่จะห้ามปรามศิขรินอีกต่อไป แต่ในสักวันหนึ่งภายภาคหน้าศิขรินอาจที่จะน่าคิดอ่านอะไรออกได้เอง หากความเจ็บปวดแลความเศร้าโศกเสียใจได้จืดจางหายไปแล้ว การสะกดดวงวิญญาณในวันนี้ แต่ในสักวันหนึ่งศิขรินอาจจะคิดคายมนต์ตราที่สะกดเอาไว้ก็ได้
“หากจ้าวต้องการอยากจะสร้างสุสานข้ายินดีจะช่วยเหลือจ้าวเองศิขริน จ้าวจะสร้างมันไว้ยังที่แห่งใดโปรดบอกแก่ข้ามาได้เลย”
“สุสาน...สร้าง...สุสาน...”
“ใช่แล้วศิขรินสร้างสุสาน จ้าวจดจำนามของจ้าวได้แล้วใช่หรือไม่ ศิขริน” น้ำเสียงของคนเดิมแต่กับไม่น่าจะใช่น้ำเสียงของคนเดิม ภานุรู้สึกตื่นตกใจในความฝันที่เหมือนกับความจริงมาก แต่ก็ยังไม่กล้าที่จะลืมตาตื่นอยู่เช่นเดิม เพราะยังต้องการอยากที่จะรับรู้เรื่องราวต่อไปอยู่อีก
“หากข้าคือ ศิขริน จริงๆ แล้วท่านเหล่าคือใครกัน”
“ข้าเอง จ้าวจดจำข้าไม่ได้แล้วรึ ข้าคือเจ้าชายอินทวงค์...อย่างไรเล่า”
“ไม่จริงดอกหากจ้าวคือ เจ้าชายอินทวงค์ จ้าวก็น่าที่จะตายไปแล้ว จ้าวไม่ควรจะมาอยู่ในนิมิตของข้าได้เช่นนี้ จ้าวควรที่จะเวียนว่ายตายแลเกิดใหม่อย่างเช่นพระกนิษฐาของท่านการะเกดอย่างไรกันเล่าแลตัวของข้าเองด้วย”
“จ้าวคงจะลืมอักขระภาษาแปลกๆ บนแท่งศิวลึงค์พวกนั้นไปแล้ว ศิขริน นึกให้ออกซิ จดจำมันให้ได้ มันคือกุญแจที่จะนำพาจ้าวกลับคืนสู่นครแห่งศิขรินได้ใหม่อีกครั้ง แลข้าเองก็กำลังรอคอยเจ้าอยู่ด้วยเช่นกัน”
“ท่านรอคอยข้าอยู่ที่นครแห่งศิขริน จริงๆ รึ เจ้าชายอินทวงค์”
“แน่นอนเจ้าชายแห่งศิขริน ข้ารอคอยเจ้ามายาวนับเป็นร้อยๆ ปีแล้ว จงติดตามหาศิวลึงค์ให้พานพบเทิด ศิขริน แล้วจงกลับคืนมาบ้านเมืองของเจ้าได้แล้ว ข้าคิดถึงจ้าวเหลือเกิน”
“ข้าจักค้นหาศิวลึงค์นั้นได้จากที่ไหนกัน บอกข้ามาอีกหน่อยไม่ได้หรือ” เสียงบทลำนำโครงกลอนเพราะๆ แว่วผ่านห้วงดวงจิตเข้ามาอีกครั้ง
ศิวลึงค์จักปรากฏเลือดสีแดง ศาสตร์แขนงสังเวยร่างคืนเลือดเนื้อ
หมื่นแขนขาเสียสละแลกชีวิต ฝังสถิตกลบไว้ยังหลักศิวลึงค์
ร่ายมนต์ตราฝังจิตแลฝังร่าง ฝังอำพรางแทนดวงจิตเพื่อรัดตรึง
หมื่นราตรีรอตบะแลฌานกล้า จักคืนมาด้วยหยดเลือดแห่งความรัก
“ไม่ท่านจะทำเยื้องนี้ไม่ได้ ท่านจะมาท่องบทลำนำกลอนบ้าๆ พวกนี้ทิ้งเอาไว้ไม่ได้ เพราะข้าไม่เคยจักเข้าใจมันเลยสักนิด บอกกับข้ามาตรงๆ เลยเทิด”
“ข้าเองถูกกฎเกณฑ์แห่งวิบากกรรมบังคับเอาไว้ ท่านแลน้องสาวของข้าจะต้องแก้ไขแลแปรความหมายมันได้อย่างแน่นอน แล้วจ้าวจะได้กลับคืนแลพบพานกับข้าอีกครั้งยังนครศิขรินแห่งนี้”
“ไม่ท่านมันเอาเปรียบข้า ในขณะที่ข้าต้องเวียนว่ายตายเกิดเพราะเวรกรรมหลายชาติหลายภพ แต่ท่านกับไปใช้ชีวิตอยู่อย่างสงบสุขสบาย อยู่ภายในนครศิขรินแห่งนั้น มันไม่ยุติธรรมสำหรับข้าเลยสักนิด ท่านจะต้องทนทุกข์ทรมานด้วยบาปกรรมเยื้องเดียวกันข้ามันถึงจะถูกต้อง มิใช่ต้องเป็นข้าเพียงผู้เดียวเยื้องนี้เลยที่ต้องรับเวรกรรมที่ท่านเองก็เป็นผู้เริ่มก่อมันขึ้นมาด้วยเช่นกัน”
“เจ้ามันก็ยังคงดื้อดึงไม่แปรเปลี่ยนไปเลยสักนิด ศิขริน หากจ้าวยินยอมเชื่อฟังข้าสักนิดชีวิตของจ้าวก็คงจะไม่ถูกผูกติดรัดมัดตรึงอยู่กับเวรกรรมของดวงวิญญาณนับร้อยพวกนั้นเช่นนี้ดอก”
“ข้าไม่เชื่อ ข้าไม่ยอมรับ ข้าทำถูกต้องทุกอย่างแล้ว ข้าทำถูกต้องแล้ว...” ภานุตะโกนจนสุดน้ำเสียงแลสะดุ้งตกใจตื่น
“อะ..อินทวงค์ ท่านมันเอาเปรียบข้า”
.............................
ณ เวลาปัจจุบันท่าจอดเรือยนต์
“ภานุ คุณเป็นอะไร ฝันร้ายใช่ไหม” ภานุจับจ้องมองเกด แฟนคนใหม่ แลยังอาจจะเป็นจอมบงการชีวิตคนใหม่ของเขาอีกด้วย
“ใช่ผมฝันบ้าอะไรไปก็ไม่รู้ แต่มันเหมือนกับความจริงมากเลย” เกดมองเขาอย่างนึกสงสัย
“คุณอย่ารู้เลย ผมลืมมันไปหมดแล้ว”
“อย่างนั้นคุณก็เริ่มเล่าชีวประวัติของคุณมาได้แล้ว เพราะแฟนคนใหม่ของคุณอยากที่จะรับฟังมันแล้วในเวลานี้ ไหนบอกว่าจะหลับพักสายตาแค่สักสิบห้านาที เล่นหลับลึกยาวนานกว่าครึ่งชั่วโมง แถมยังนอนฝันละเมอจนน้ำลายไหลหยดย้อยเป็นทางอีกต่างหาก” เธอพูดล้อภานุเล่น ทำให้ภานุต้องส่งแววตาแกล้งทำไม่พอใจเธอกลับคืนมาบ้างแต่ก็จืดจางหายไปในเวลาต่อมา
“เอาล่ะ คุณอยากจะรู้เรื่องอะไรบ้างละ”
“ครอบครัว พ่อแม่ ญาติพี่น้อง หน้าที่การงาน เอาทุกอย่างเลย” ภานุทำใบหน้าเบื่อหน่ายนิดๆ เช่นเคย
“ก็ได้...”
“ผมมีชื่อว่า ศิขริน”
..........................
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ