เพลิงสวาท... รุ้งมารายา
2) เมื่อได้พบกัน
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความบทที่ ๒
“ตอนนี้คุณอยู่ส่วนไหนของโรงแรมครับ?” เสียงเข้มเอ่ยถาม ขณะชะเง้อคอมองไปยังจุดต่างๆ ของสถานที่
จรรย์อมรลอบมองความสับสนของชายหนุ่มอย่างชอบใจ หล่อนยิ้มน้อยๆ ก่อนตอบออกไป “ตายจริง คุณถึงแล้วหรือคะ?” แสร้งทำท่าทีตกอกตกใจในน้ำเสียง
“ซักครู่นี้เองครับ” กฤตกรตอบพร้อมพลิกดูนาฬิกาที่หลังมือ
“ต้องขอโทษจริงๆ นะคะ พอดีว่าวันนี้รถติดมาก”
“ไม่เป็นไรครับ ผมรอได้”
“เกรงใจคุณจังเลยค่ะ” น้ำเสียงร้อนอกร้อนใจ หากแต่ใบหน้ากำลังยิ้มขัน
“ถ้าอย่างนั้น... ผมจะนั่งรอที่คอฟฟี่ชอปนะครับ ถ้าคุณมาถึงเมื่อไหร่ ก็มาหาผมที่นั่นได้เลย”
“ได้ค่ะ”
“แล้วเจอกันนะครับ”
การสนทนาจบลง ทั้งคู่เก็บโทรศัพท์มือถือลงกระเป๋าของตัวเอง จรรย์อมรยิ้มมุมปากขณะมองร่างสูงของชายหนุ่มเดินเข้าไปยังร้านกาแฟที่ได้รับแจ้งมา
...เขาดูดีมากจริงๆ...
อดไม่ได้ที่จะชื่นชม แม้วันนี้กฤตกรจะมาในชุดลำลองสบายๆ ด้วยเสื้อยืดแขนยาวสีครีมคว้านคอตัววีลึกลงมาจนเห็นเนินกล้ามหน้าอกให้พอใจสั่นกับกางสามส่วนลายทางสีน้ำตาลอ่อน รองเท้าที่ใส่เป็นคัตชูส์ผูกเชือกสีน้ำตาลหัวแหลมแบบสมัยนิยม รับโทนสีกันไปหมดทั้งเรือนร่าง ซึ่งก็ไม่ได้ทำให้ความหล่อเหลาและความเท่ของเขาจางหายไปเลยแม้เพียงเสี้ยว กลับกันตัวจริงยังดูดีกว่าในรูปภาพเสียอีก
จรรย์อมรเหลือบมองนาฬิกาข้อมือของตัวเองก่อนจะเลื่อนสายตาไปมองชายหนุ่มผ่านกระจกใสบานใหญ่ของร้านกาแฟ รู้ตำแหน่งและพิกัดของเขาแล้ว โดยที่เจ้าตัวไม่ได้รู้เลยว่ามีสายตาคมคู่หนึ่งกำลังจับจ้องทุกอิริยาบถของเขาอยู่ที่อีกด้านของต้นไม้สูงในสวนจำลองกลางล็อบบี้นั่นเอง
เมื่อได้เวลาอันเห็นสมควรแล้ว ท่อนขาเรียวยาวก็นำพาร่างระหงของตัวเองเดินทอดน่องช้าๆ เข้าไปในร้านกาแฟพร้อมกระเป๋าเดินทาง ภายในกรอบแว่นกันแดดสีดำหล่อนแกล้งกดขาแว่นลงมาที่ปีกจมูกพร้อมก้มหน้าเหลือบตากวาดมองไปทั่วร้านเพื่อให้เป็นจุดสนใจ ขณะเดียวกันกับที่เป้าหมายก็หันมาสบสายตากับหล่อนเข้าพอดี
กฤตกรเริ่มแน่ใจเมื่อเห็นกระเป๋าเดินทางของตัวเองจากข้างกายของผู้หญิงแสนสวยคนนั้น เขาจึงลุกขึ้นแล้วตรงเข้าไปหาหล่อน
“สวัสดีครับ คุณจรรย์อมลรึเปล่าครับ?”
หญิงสาวแกล้งทำสีหน้าประหลาดใจต่ออีกสักนิดแล้วคลี่ยิ้มกว้างออกมา “ใช่ค่ะ ส่วนคุณคือ... คุณกฤตกรใช่มั้ยคะ?” ร้องถามพร้อมกับถอดแว่นกันแดดออก
“ถูกต้องครับ” ตอบพร้อมรอยยิ้ม ดวงตาทั้งคู่ของเขาจ้องมองหล่อนราวกับถูกมนต์สะกด นานจนอีกฝ่ายเริ่มรู้สึกผิดปกติ
“เอ่อ... หน้าฉันมีอะไรติดอยู่รึเปล่าคะ? หรือคุณคาดหวังว่าฉันต้องสวยกว่านี้” จรรย์อมรเลิกคิ้วถาม ใบหน้าหยอกเย้าของหล่อนทำให้อีกฝ่ายใจหล่นวูบ
“สวยเกินไปต่างหาก...” เขาเผลอพึมพำ
“ว่าไงนะคะ?”
“อ้อ! ปละ เปล่าครับ เชิญคุณจรรย์อมลที่โต๊ะก่อนครับ เดี๋ยวผมจะถือกระเป๋าให้” พูดจบแล้วก็กุลีกุจอเข้าไปดึงกระเป๋าออกจากมือของหญิงสาว หล่อนกล่าวขอบคุณ ก่อนจะเดินนำเข้าไปยังโต๊ะที่ชายหนุ่มเพิ่งลุกออกมา
หล่อนเป็นผู้หญิงที่งดงามมากจริงๆ ไม่ว่าจะมองจากด้านหลัง ด้านหน้า หรือด้านข้าง ก็ไม่มีที่ติเอาเสียเลย จรรย์อมรมาในชุดไว้ทุกข์สีดำ หากแต่ก็เป็นกระโปรงเดรสแขนกุดยาวกรอมเข่าเว้าช่วงอกลึกให้พอวาบหวามในใจแก่ผู้พบเห็นได้บ้างเล็กน้อย ซึ่งกฤตกรก็ไม่สามารถรอดพ้นจากมนตราอาภรณ์ที่หล่อนเนรมิตขึ้นมาได้เช่นกัน
ทั้งคู่นั่งประจันหน้ากันที่โต๊ะทรงกลมขนาดเล็ก ทำให้บังเกิดความใกล้ชิดขึ้นมาอย่างไม่ตั้งใจ ต่างฝ่ายต่างมองหน้ากันด้วยความชื่นชม
ผมทรงสั้นเซ็ตเปิดหน้าผากเผยให้เห็นใบหน้าของกฤตกรใสเกลี้ยงเนียนนวลราวกับผิวผู้หญิง ขับคิ้วหนาเข็มทั้งสองข้างให้ดูโดดเด่น ดวงตาเฉี่ยวคมเป็นกระกายวาวโรจน์ยามจ้องมอง จมูกโด่งคมสันรับกับใบหน้าเรียวยาว ริมฝีปากบางสีชมพูระเรื่อแบบธรรมชาติภายใต้ไรหนวดสีเขียวจางๆ คลี่ยิ้มให้หล่อนอย่างเป็นมิตร
“ฉันต้องขอโทษจริงๆ นะคะที่มาสาย” จรรย์อมรประดิษฐ์คิ้วย่น ตีหน้าเศร้าอย่างสำนึกผิด
“ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมก็ไม่ได้รอนานอะไร”
“ลองเปิดดูกระเป๋าสิคะ ว่าใช่ของคุณจริงรึเปล่า” หล่อนว่าพร้อมกับเพ่งสายตาไปที่กระเป๋าข้างกายของชายหนุ่ม
กฤตกรโน้มตัวมองแล้วจึงยกกระเป๋าคืนหล่อนกลับไป “ผมไม่แน่ใจนักว่าจะใช่ของคุณรึเปล่า ลองได้มีกระเป๋าที่เหมือนกับเปี๊ยบแบบนี้แล้ว ก็คงไม่ได้มีแค่เราสองคนแล้วล่ะครับ ผมก็ไม่กล้าจะเช็กอะไรมากซะด้วย เพราะเห็นว่าเป็นของผู้หญิง”
“อย่างนั้นเหรอคะ” หล่อนถามพร้อมกับรูดซิปกระเป๋าเปิดออกดู แล้วก็ต้องโล่งใจเมื่อสัมภาระในนั้นเป็นของเธอจริงๆ “โชคดีจังค่ะที่สลับถูกคู่ แอบคิดว่าจะต้องเหนื่อยซะแล้ว”
“ยินดีด้วยครับ”
“ว่าแต่คุณไม่ลองตรวจเช็กอะไรดูบ้างเหรอ แต่บอกไว้ก่อนนะว่าฉันไม่ได้เอาอะไรของคุณไป แค่แอบละลาบละล้วงนิดหน่อยเพื่อตามหาเจ้าของเท่านั้น”
“ถ้างั้นคุณก็เห็นชั้นในของผมด้วยสิ” ตั้งใจกระเซ้าให้แก้มแดง แต่อีกฝ่ายกลับไม่มีปฏิกิริยาใดๆ
“ก็มันเลี่ยงไม่ได้นี่คะ แต่ชั้นในคุณก็ไม่เห็นจะน่าเกลียดตรงไหน มีก็แต่สีดำกับสีขาวเท่านั้น อ้อ มีสีเทาตัวนึงด้วยค่ะ”
ตอนนี้คนที่เขินจนแก้มแดงกลับเป็นฝ่ายกฤตกรเสียเอง ผู้หญิงตรงหน้าช่างมาดมั่นโดนใจเขาเสียจริง บุคลิกของหล่อนดูราวสาวอินเตอร์ สง่าและมั่นใจ ไม่ขี้เหนียมขี้อายแม้ใบหน้าจะสวยหวานน่ารักแบบสาวชาวเหนือก็เถอะ แบบนี้ล่ะที่เขาปรารถนา
ผมที่รวบเกล้าขึ้นของหล่อน เผยให้เห็นสัดส่วนช่วงบนสุดของร่างกายชัดเจน ไรผมที่เกลี่ยเคล้าบนหน้าผาก เรียวคิ้วเส้นบางโค้งได้รูป ดวงตาเป็นกระกายกลมโตสุกสกาว จมูกโด่งเล็กเชิดขึ้นน้อยๆ ริมฝีปากบางทรงกระจับอวบอิ่มนิดๆ ถูกทาทับด้วยสีแดงสดอย่างเย้ายวนใจ ซอกคอขาวเนียนไร้ริ้วรอยขีดย่น ไล่ยาวมาจนถึงผิวเนินอก กฤตกรเผลอกลืนน้ำลายก้อนใหญ่ลงคอ
ท่าทีของเขาไม่สามารถรอดพ้นสายตาของจรรย์อมรไปได้ หล่อนกระหยิ่มยิ้มน้อยๆ อย่างพอใจ นี่คือสิ่งที่หล่อนต้องการเช่นกัน
“คุณกฤตกรคะ...” จรรย์อมรเอ่ยเรียก ปลุกเจ้าของชื่อตื่นจากภวังค์
“ครับ?” ชายหนุ่มตวัดหน้ามองหญิงสาวตาโตด้วยความตกใจ
“เพราะวันนี้ฉันมาช้า ทำให้คุณต้องเสียเวลา...” หล่อนเปรยขึ้น “ให้ฉันไถ่โทษด้วยการเลี้ยงข้าวคุณซักมื้อจะได้มั้ยคะ”
“เอ่อ...” ครางในลำคออย่างไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง
“นะคะ เพื่อความสบายใจของฉัน”
มีหรือสีหน้าอ้อนวอนของหล่อนจะทำให้ชายหนุ่มปฏิเสธได้ลงคอ โอกาสงามๆ แบบนี้ไม่ได้ผ่านเข้ามาง่ายๆ หากมีสะพานทอดมาก็ต้องเร่งกระโดดก้าวข้ามไปให้เร็วที่สุด
กฤตกรกลืนน้ำลายอีกก้อนลงคอแล้วตอบออกไป “ตกลงครับ...”
จรรย์อมรยิ้มบางๆ อย่างรู้สึกดีและเป็นเกียรติกับคำตอบนั้นในหน้าที่ของมารยาทอันพึงเหมาะสม หากแต่ในใจของหล่อนกลับลุกโชนขึ้นด้วยเปลวเพลิงแห่งความแค้นราวกับถูกราดด้วยน้ำมันเชื้อเพลิงอย่างดี “งั้น... ที่ไหนดีคะ?”
รอยยิ้มกว้างที่พิมพ์อยู่บนใบหน้าเปี่ยมสุขของชายหนุ่มทำให้ผู้เป็นพี่ชายอดประหลาดใจไม่ได้ กฤตพจน์มองน้องชายที่เดินยิ้มร่าผ่านไปซึ่งราวกับกำลังเคลิบเคลิ้มอยู่ในโลกส่วนตัวอันแสนหวานก็มิปาน อดไม่ได้จึงต้องเอ่ยทักเอ่ยทายให้กลับมาสู่โลกแห่งความเป็นจริงเสียหน่อย
“หายไปทั้งวันแถมกลับมาอารมณ์ดีแบบนี้ แสดงว่าไปเจออะไรเด็ดๆ มาแน่ๆ”
คนถูกแซวชะงักฝีเท้าแล้วถอยตัวเองกลับมาอีกสองก้าว ก่อนจะเบือนรอยยิ้มนั่นไปทางพี่ชายที่นั่งเลิกคิ้วสงสัยอยู่บนโซฟา
“พี่พจน์อยู่บ้านด้วยหรือเนี่ย?” กฤตกรย้อนถาม ใบหน้ายังคงเจือรอยยิ้ม
“ก็ต้องอยู่บ้านสิ นายจะให้ฉันไปอยู่ไหนได้ล่ะหือ?”
“ไม่เห็นต้องถามเลย ปกติพี่จะมีชิวิตอยู่ในบ้านก็ตอนหลับเท่านั้นแหละ”
“เราก็ไม่ต่างกันหรอก” กฤตพจน์สวนกลับ “แล้วกระเป๋าเดินทางนี่จะหิ้วไปหิ้วมาทำไมล่ะเนี่ย”
กฤตกรก้มมองกระเป๋าเดินทางข้างตัวตามคำถามแล้วก็ยักไหล่ ก่อนจะเดินอ้อมมานั่งโซฟาตัวใกล้ๆ พี่ชาย
“มันคือกระเป่านำโชคนะพี่” เขาแอบกระซิบ แต่เสียงก็ยังดังพอที่บุคคลที่สามจะได้ยิน
“ยังไงวะกระเป๋านำโชค?” กฤตพจน์เลิกคิ้ว ใบหน้าสงสัยอย่างไม่ปกปิด
กฤตกรกระเถิบตัวเองเข้ามาใกล้พี่ชายกว่าเดิม “ก็กระเป๋าใบนี้น่ะสิ ทำให้ผมพบผู้หญิงที่ถูกใจ”
กฤตพจน์ชำเลืองมองน้องชายด้วยหางตาเมื่อฟังจบ ก่อนจะระบายหัวเราะออกมาอย่างชอบใจ “คิดไว้อยู่แล้วเชียว”
“หมายความว่ายังไง?”
“ก็ฉันเห็นนายเดินยิ้มร่าเข้ามาอย่างนั้น มันจะเรื่องอะไรซะอีก ผู้ชายอย่างเราจะอารมณ์ดีได้ถ้าไม่ใช่เรื่องรถก็ต้องเรื่องผู้หญิงอยู่แล้ว”
“โช๊ะเด๊ะไปเลยพี่ชาย!” กฤตกรดีดนิ้วดังเป๊าะอย่างถูกใจ
“แล้วเป็นยังไงล่ะ ผู้หญิงคนนั้นน่ะ”
“คำแรกเลย สวย...” ชายหนุ่มบอกพร้อมประกายตาชวนฝัน
“มากกว่านั้นมั้ง”
“แน่นอนอยู่แล้วพี่” กฤตกรชี้ชัดเสียงหนักแน่น “ความสวยน่ะ เป็นเพียงปราการด่านแรกเท่านั้น แต่เธอยังมี ‘เซ็กซ์แอพเพียล’ แรงกล้า”
“เสน่ห์ดึงดูด?”
“คงไม่ต่างกันนักใช่มั้ยล่ะ”
กฤตพจน์พยักหน้า
“ทั้งสวยทั้งน่าหลงใหล ถ้าพี่ได้พบเธอก่อน ผมคงไม่ได้มานั่งเพ้อแบบนี้หรอก”
“ถ้านายชอบ... แสดงว่าเป็นผู้หญิงแรง?” คนเป็นพี่ย้อนถาม
“ประมาณนั้น” กฤตกรยักไหล่ตอบ
“งั้นนายก็เชิญเพ้อต่อไป ฉันไม่ค่อยปลื้มสาวมั่นซักเท่าไหร่ ผู้หญิงพวกนี้หลอกยาก ข้อต่อรองเยอะ ไม่ใช่แนวฉันหรอก”
“ต้องสไตล์หญิงไทยโบราณ พูดน้อยๆ ยิ้มหวานมากๆ อย่างนั้นล่ะสิ เข้าทางพี่ทุกราย”
“ถูกต้องที่สุด”
หากแต่ใบหน้าของจรรย์อมลก็ค่อยๆ พิมพ์ขึ้นในใจของเขาช้าๆ กฤตพจน์อดรำลึกถึงเธออีกครั้งไม่ได้ ในห้างขณะหนึ่งของความรู้สึกก็เกิดสับสนว่าแท้จริงแล้วเขายังคงต้องการเธออยู่รึเปล่า ป่านนี้เด็กเจ้าปัญหาในท้องนั่นจะเป็นอย่างไร... แล้วก็ต้องสลัดความคิดรกสมองไร้สาระออกไปอย่างรวดเร็ว
จรรย์อมรมาที่คอนโดฯ ของพี่สาว หล่อนเคยมานอนเล่นครั้งหนึ่งเมื่อเกือบสองปีที่แล้ว ข้าวของในห้องยังคงถูกจัดวางอย่างเป็นระเบียบตามนิสัยของเจ้าของห้อง แม้ตอนเด็กๆ จรรย์อมลจะดูห้าวแต่ก็ไม่ได้ทโมนจนออกทอมบอยเกินไปนัก หากเมื่อโตขึ้นความเป็นกุลสตรีจึงเข้ามาแทนที่อย่างเต็มรูปแบบ ความรักสวยรักงามเป็นไปตามธรรมชาติอย่างที่ผู้หญิงควรเป็น เมื่อผสมเข้ากับใบหน้างดงามหมดจดแล้ว ชายใดได้ครอบครองศรีภรรยาคนนี้แล้วคงต้องมอบความสุขทั้งชีวิตให้อย่างเลี่ยงไม่ได้
จรรย์อมรวางรูปถ่ายพี่สาวในกรอบลายลูกไม้กลับลงที่เดิม ฝุ่นที่ติดนิ้วมือฟ้องว่าคงจะนานมากแล้วที่เจ้าของห้องไม่ได้ใช้ชีวิตอยู่ในนี้
...เธอคงไปอยู่กับเขา ผู้ชายสารเลวคนนั้น...
ยิ่งคิดก็ยิ่งเจ็บ ยิ่งนึกก็ยิ่งแค้น จรรย์อมลอ่อนแอเกินไปจริงๆ หากเป็นหล่อน เรื่องคงไม่จบลงด้วยโศกนาฏกรรมเพียงฝ่ายเดียวแบบนี้แน่ ไม่มีทางปล่อยให้เขาลอยหน้าลอยตาท่ามกลางความระทมทุกข์กล้ำกลืนฝืนทนของหล่อนแน่ๆ หากหล่อนเจ็บเขาคนนั้นก็จะต้องเจ็บกว่าร้อยเท่า!
นับแต่นี้ไป...หล่อนจะต้องใช้ชีวิตที่นี่ อยู่เพื่อแก้แค้น... เพื่อการตายที่ไม่สูญเปล่าของพี่สาว ในนามของหญิงสาวแสนสวยที่ชื่อจรรย์อมล...
มือเรียวเอื้อมไปล้วงโทรศัพท์มือถือเมื่อมันส่งเสียงเป็นสัญญาณเตือนโทรเข้าเบาๆ ออกมาจากกระเป๋าสะพายแบรนด์ดังราคาแพง หน้าจอปรากฏชื่อและรูปภาพคนโทรเข้า หากมันไม่ใช่เรื่องยากสำหรับหล่อนเลย หนึ่งคืนเต็มๆ ที่จรรย์อมรทำความรู้จักกับบุคคลรอบตัวของจรรย์อมล หล่อนสืบค้นจากข้อมูลในโทรศัพท์และสังคมเครือข่ายออนไลน์ในอินเตอร์เน็ต พอจะรู้บ้างว่าจรรย์อมลตอนยังมีชีวิตอยู่เธอสนิทกับใครบ้าง
ใต้รูปถ่ายปั้นหน้าสวยปรากฏชื่อ ‘ปารมี’ คงเป็นคนเดียวกับที่คอมเมนต์โต้ตอบกันบ่อยๆ ในกระดานข้อความหน้าเพจเฟซบุ๊กของจรรย์อมล พี่สาวของหล่อนคงจะสนิทกับผู้หญิงคนนี้ที่สุดกระมัง
“ฮัลโหล...” จรรย์อมรกดรับสายแล้วกล่าวเสียงทักทายอย่างระแวดระวัง
“ยัยมล นี่เธอหายไปไหนตั้งหลายวันน่ะ โทรศัพท์มือถือก็ปิดเครื่องตลอด ทั้งเอ็มทั้งเฟซก็ไม่ออน ฉันล่ะจะอกแตกตายที่ไม่มีเพื่อนเมาธ์” ปลายสายแหวเสียงแจ๋นเข้ามาชุดใหญ่ คนทนฟังทำหน้าเหยเก
“อ้อ โทษทีนะปาน พอดีมีเรื่องยุ่งๆ ที่บ้านนิดหน่อยน่ะ”
“บ้านที่ต่างจังหวัดน่ะเหรอ?”
“อื้ม ใช่...” จรรย์อมรตอบเสียงเศร้าๆ ในตอนท้าย “แล้วนี่โทรมามีอะไรรึเปล่า” หล่อนถามต่อ
“ตอนแรกก็ไม่มีหรอก แต่ตอนนี้มีแล้ว”
“อะไรของเธอ?”
“ก็ทีแรกว่าจะโทรมาเช็คให้แน่ใจว่าเธอยังไม่ตายจากโลกนี้ไปแล้ว”
“ทีแรกฉันก็ตายไปแล้วล่ะ แต่ว่าตอนนี้ฉันฟื้นแล้ว!”
น้ำเสียงแข็งกร้าวของหล่อนทำให้ปลายสายประหลาดใจทันที
“ทำไมต้องทำเสียงน่ากลัวแบบนั้นด้วยล่ะ ฉันก็แค่พูดล้อเล่นเองนะ” ปารมีตอบกลับด้วยน้ำเสียงหวาดๆ เริ่มไม่เข้าใจอารมณ์ของคู่สนทนา
เมื่อเริ่มรู้สึกตัว จรรย์อมรก็รีบกระตุกยิ้ม พร้อมร้องบอกไปอีกครั้งด้วยน้ำเสียงร่าเริงกลับมาเป็นปกติ
“ฉันก็ล้อเล่นเหมือนกันนั่นล่ะน่า อย่าบอกนะว่าเธอกลัวจริงๆ”
“แน่ล่ะ ทำเสียงเข้มซะขนาดนั้น”
“โอ๋ๆ ขวัญเอ๊ยขวัญมา” หล่อนแกล้งปลอบเพื่อนด้วยน้ำเสียงกระเซ้า “ว่าแต่ที่บอกว่า ‘มี’ เธอมีอะไรจะบอกฉันเหรอ?” ถามต่อเพื่อเข้าประเด็น
“อ๋อ ก็แค่จะชวนเธอไปเที่ยว”
“ที่ไหนล่ะ”
“ไนต์คลับ”
“เนื่องในโอกาสพิเศษอะไรรึเปล่า?”
“อืม...” ปารมีจากปลายสายครางเสียงใช้ความคิด “พิเศษมั้ยเหรอ... มันใช้ในกรณีที่ฉันอยากเที่ยวกับเธอเฉยๆ ได้รึเปล่าล่ะ ตั้งแต่เธอไปอยู่กับนายพจน์นั่น เราก็ไม่ได้เที่ยวด้วยกันตั้งสามเดือนกว่าแล้วนะ”
“สามเดือน? นี่ฉันไปอยู่กับเขากี่เดือนมาแล้วนะ”
“ราวๆ สี่ห้าเดือนได้แล้วล่ะ มีความสุขจนลืมวันลืมคืนเลยล่ะสิ”
คำแซวทำให้เจ้าตัวยิ้มเจื่อนๆ แต่ปลายสายก็เข้าใจว่าหล่อนเขินน้อยๆ ในเวลาเดียวกัน
...มีความสุขงั้นเหรอ...
“ตกลงว่าเธอจะรับปากฉันรึเปล่า?” ปารมีถามย้ำ
“เมื่อไหร่ล่ะ?”
“คืนนี้”
“คืนนี้เลยเหรอ?” จรรย์อมรนิ่วหน้า
“อื้ม ใช่สิ ไม่ว่างรึไง”
“เปล่าหรอก นี่มันก็ทุ่มกว่าแล้ว”
“จะแคร์อะไร ฉันให้เวลาเธอหนึ่งชั่วโมง เจอกันที่เดิม โอเค๊ะ?” ปารมีตวัดปลายเสียงสูง ก่อนจะสรุปจบการสนทนาแต่จรรย์อมรก็รีบขัดถามเสียก่อนเมื่อนึกขึ้นได้
“ว่าแต่ที่เดิมน่ะ... ที่ไหนเหรอ?” น้ำเสียงแหยๆ ไร้ความมั่นใจ
“ล้อเล่นรึเปล่ายัยมล”
“ก็ฉัน... เอ่อ... ฉันไม่ได้ไปที่นั่นหลายเดือนแล้วนี่นา” หญิงสาวแถสีข้างตัวเองตะกุกตะกัก
“แต่เราก็ไปที่นั่นออกจะบ่อย จำไม่ได้จริงๆ อ่ะ”
“ใช่”
คำยืนยันของหล่อนทำให้เพื่อนสาวต้องระบายลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่ด้วยไม่อยากเชื่อ แต่ก็ยอมบอกไปอีกครั้งแต่โดยดี
สายสนทนาถูกตัดจบลง จรรย์อมรลุกไปเปิดตูเสื้อผ้าแล้วเลือกชุดสำหรับคำคืนแห่งราตรีมาหนึ่งชุด พาดหลาไว้บนเตียงนอนก่อนจะเปลื้องชุดสวยสีดำแล้วก้าวเข้าไปในห้องน้ำด้วยชุดคลุมสีม่วงอ่อน
แสงไฟสีสันสวยงามยามค่ำคืนส่องระยิบระยับแวววับคึกครื้น แม้จะปิดทึบด้วยประตูหนักกำแพงหนาแต่เสียงดนตรีก็ดังกระหึ่มเล็ดลอดออกมาให้หัวใจสั่นสะเทือนเป็นจังหวะได้อยู่ดี ที่หน้าประตูปารมีก้มมองหน้าปัดนาฬิกาข้อมือราคาแพงของตัวเองก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาพบกับคนที่รอคอยพอดี หล่อนอ้าปากค้างกับร่างของเพื่อนสาวที่ปรากฏตัวขึ้น
“คุณพระ! ใช่เธอจริงๆ เหรอ?”
คนถูกถามกระตุกยิ้ม ที่จริงอยากจะแค่นหัวเราะกับใบหน้าเกินจริงแบบนั้น
“ทำไมเหรอ ฉันดูเสร่อมากเหรอ” จรรย์อมรแสร้งถาม
ฝ่ายตรงข้ามสั่นหน้ารัว
“เธอดูเปลี่ยนไป...” ปารมีบ่นพึมพำราวกับคนไม่ได้สติ “ฉันหมายถึง... เธอไม่เหมือนจรรย์อมลคนก่อน แบบว่ายังไงดีล่ะ”
“แล้วยังไงล่ะ?”
“เมื่อก่อนเธอจะดูเรียบๆ หวานๆ”
“แล้วตอนนี้ล่ะ?”
“เธอฉีกภาพพวกนั้นไปจากความทรงจำของฉันจนหมด ตอนนี้เธอดูสวยและร้อนแรง หุ่นก็เฟิร์มขึ้นมาก ทรวดทรงองค์เอวรึก็เป็นสัดเป็นส่วนซะจนน่าอิจฉา หน้าของเธอที่แต่งยังไงก็ยังสวย” เป็นคำชมที่ออกมาพร้อมกับความน้อยเนื้อต่ำใจ แม้ปารมีจะไม่ใช่คนขี้เหร่ แต่เมื่อเทียบกับ ‘จรรย์อมลในวันนี้’ แล้ว ทำให้เธอรู้สึกห่างเหินและอดเปรียบเทียบขึ้นมาไม่ได้เหมือนกัน
เพราะจรรย์อมรเองนั้น หล่อนก็สวยมากตามที่ว่าจริงๆ แม้จะเหมือนพี่สาวราวกับเป็นคนคนเดียวกัน แต่เครื่องหน้าเครื่องกายของหล่อนก็ดูจัดจ้านชัดเจนและคมสันมากกว่าจรรย์อมลมากนัก ยิ่งในชุดเดรสเข้ารูปสีดำลายขวางด้วยแล้วอวดสัดส่วนของหล่อนได้อย่างชัดเจน อาจเพราะได้อานิสงค์มาจากฮอร์โมนเพศชายที่มีอยู่เกินครึ่งในตัวหล่อน ทั้งหน้าอกเต่งตึงเต็มตัวซึ่งเป็นซีลิโคนและเทคนิคการผ่าตัดจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก็ทำให้มันกลมกลึงอวบอิ่มเกินหน้าเกินตาสตรีนางอื่นให้พวกหล่อนได้ชื่นชมพลางอิจฉากันเล่นๆ แถมผมดัดลอนสีน้ำตาลทองประกายเงางามที่ถูกจัดแสกข้างก็ยิ่งทำให้หล่อนเป็นผู้หญิงที่น่าค้นหาขึ้นไปอีก
“ฉันจะกล้าเดินเทียบรัศมีเธอมั้ยเนี่ย”
“อย่าคิดมากสิปาน เธอเองก็พูดเกินไป ฉันไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรไปมากขนาดนั้นซะหน่อย” บอกพร้อมกับดึงมือเพื่อนสาวมากุมไว้ “เรารีบเข้าไปมันส์กันข้างในดีกว่า”
สองสาวก้าวผ่านประตูไปเผชิญกับจังหวะดนตรีสนุกๆ ที่มีคนมากมายกำลังวาดลวดลายกันอย่างเต็มที่ ไม่มีใครทนอยู่เฉยได้แม้สักคนเดียว
จรรย์อมรอบอุ่นร่างกายด้วยการนั่งโยกศีรษะไปตามจังหวะเพลง มองบรรยากาศรอบข้างด้วยความครื้นแครง อย่างน้อยนี่ก็เป็นโอกาสหนึ่งที่หล่อนจะได้มาปลดปล่อยความเครียดและความเหนื่อยล้าที่สะสมมาหลายวันตั้งแต่จรรย์อมลจากไป
ครู่หนึ่งที่หล่อนจิบเครื่องดื่มไปเล็กน้อย จรรย์อมรแยกตัวเองมาเข้าห้องน้ำ ระหว่างทางก็เดินสวนกับใครคนหนึ่งเข้าโดยไม่รู้ตัว
อีกฝ่ายความจำดีกว่า รู้ทันทีว่าหล่อนคือใคร เขาหยุดเดินแล้วหมุนตัวกลับมามองการปรากฏตัวของหล่อนออีกครั้ง
“มล...” เขาเอ่ยเรียกเมื่อแน่ใจ
คนถูกเรียกชะงักเล็กน้อย ก่อนจะหมุนคอไปชะเลืองมองด้วยหางตา
“ทำใจได้เร็วกว่าที่คิดนะ”
จากคำพูดนี้บอกให้หล่อนรู้ทันทีว่าผู้ชายที่ยืนอยู่ด้านหลังตอนนี้คือใคร
...กฤตพจน์...
ไม่คิดว่าจะได้เจอเขาที่นี่ ผู้ชายเลว...
จรรย์อมรหันกลับมาเต็มตัว ยืนประจันหน้ากับอีกฝ่ายอย่างไม่สะทกสะท้าน หล่อนมองเขาด้วยสายตาว่างเปล่า ในขณะเดียวก็รู้สึกชื่นชมเขาไปพร้อมด้วย
ไม่แปลกใจเลยสักนิดว่าทำไมจรรย์อมลถึงหลงรักเขาได้หัวปักหัวปำ จะหาผู้ชายที่ดูดีแบบนี้ได้จากที่ไหนอีก แม้หล่อนจะคิดว่ากฤตกรสมบูรณ์แบบแล้ว หากแต่ก็ต้องเปลี่ยนความคิดเมื่อเจอกับพี่ชายของเขา
ร่างสูงในเสื้อเชิ้ตสีน้ำตาลกางเกงสแล็คเข้ารูปสีครีมมองผู้หญิงที่เคยรู้จักด้วยสายตาเย้ยหยัน แต่ทว่าดวงตาคมคู่นั้นกลับสั่นไหวในบางจังหวะ
เครื่องหน้าคมสันของเขาทำให้ข้างในของจรรย์อมรร้อนผ่าว พยายามควบคุมตัวเองไม่ให้หวั่นไหวซึ่งหล่อนก็สามารถทำมันได้ดี คิ้วหนาเข้ม สันจมูกโด่ง และรอยสันนูนจากกรามที่ขบกันแน่น เหล่านี้คือสิ่งที่ฝ่ามือบางๆ ของพี่สาวหล่อนเคยสัมผัสมาแล้ว ริมฝีปากใหญ่รับกับโครงหน้าคงบรรจงจูบอย่างดูดดื่มให้จรรย์อมลเคลิบเคลิ้มได้ไม่ยาก ไล่ลงมาถึงแผงหน้าอก เธอก็คงเคยซุกใบหน้าลงตรงนั้น ทุกครั้งที่ร่างกายสัมผัสกันเธอคงรู้สึกอบอุ่น หากแต่มันจบลงแล้ว ความประทับใจเหล่านั้นของพี่สาวเธอ
“ดูแจ่มใสดีนี่ แสดงว่าเธอมีคนใหม่แล้ว” เขาพูดต่อ
จรรย์อมรยังนิ่ง ใช้สายตาแบบเดิมในการมองสบสายตากับเขา ช่องว่างการสนทนาผ่านไปราวสามสิบวินาทีหล่อนจึงตอบกลับไป “ขอโทษนะคะ เราเคยรู้จักกันด้วยเหรอ?”
หล่อนใช้คำถามที่ไม่ทันคาดคิดยิ่งใส่เขาจนต้องอ้าปากค้าง ความหมางเมินที่หล่อนมอบให้ทำให้ชายหนุ่มต้องหน้าชา ก่อนจะหมุนตัวเข้าห้องน้ำสำหรับสตรีไปอย่างไม่ใส่ใจ
จรรย์อมรเหยียดยิ้มอย่างพึงพอใจที่หน้ากระจก นี่ไม่ใช่สิ่งที่หล่อนคาดคิดกับการเจอเขาในค่ำคืนนี้ ถึงอย่างนั้นมันก็คือการเริ่มต้นที่ดี
ออกมาอีกครั้งก็ไม่พบเขาแล้ว หล่อนเดินกลับไปหาปารมีที่นั่งคอยอยู่ จังหวะดนตรีเปลี่ยนเป็นเพลงช้าฟังสบายแล้ว
“เมื่อกี้ฉันเห็นคุณพจน์แฟนเธอด้วย” หญิงสาวร้องบอกตาโตเป็นประกาย
คนฟังเบ้ปากแล้วยกเครื่องดื่มขึ้นจิบอย่างเซ็งๆ
“ทำไมทำหน้าอย่างนั้นล่ะ เธอได้บอกเขาก่อนรึเปล่าว่าจะมาที่นี่”
“ไม่มีความจำเป็น”
“เธอพูดอะไรของเธอน่ะ” ปารมีนิ่วหน้า มองเพื่อนสาวแสนสวยอย่างไม่เข้าใจ วันนี้เธอดูเปลี่ยนไปเหลือเกินจรรย์อมล “อย่าบอกนะว่า...” หล่อนคิดต่อตามเหตุผลที่ควรจะเป็นจากคำพูดนั้น
พูดยังไม่ทันจบ จรรย์อมรก็พยักหน้าพร้อมยิ้มนิดๆ “ชีวิตคู่มันก็แบบนี้แหละ” ว่าพร้อมบังคับของเหลวสีฟ้าให้เคลื่อนไหวไหลรินอยู่ในแก้วใบใสที่ถูกจับโยกย้ายไปมา “อยู่กันไปนานวันเข้าก็เบื่อขี้หน้ากันขึ้นมาซะอย่างนั้น ช่วยไม่ได้นี่นา ถ้าไม่รักกันแล้ว จะทนอยู่กันไปทำไมให้ลำบากใจ” จรรย์อมรร่ายยาวราวกับเป็นเรื่องปกติ ไม่มีจริตสะทกสะท้านใดๆ กับสิ่งที่หลุดออกมาจากปากของตัวเองทั้งสิ้น เร้าให้อีกฝ่ายซึ่งนั่งฟังต่ออ้าปากค้างด้วยเพราะไม่เชื่อหูตัวเอง
จรรย์อมลในสายตาของปารมี เธอคือผู้หญิงที่เทิดทูนความรักยิ่งกว่าสิ่งใด เมื่อบรรจบพบพานลงตัวที่กฤตพจน์เธอก็ลุ่มหลงในตัวชายผู้นี้จนทุกลมหายใจที่พวยพุ่งออกมามีแต่ชื่อและใบหน้าของเขา เธอต้องไม่ยอมสูญเสียเข้าไปง่ายๆ แน่ แต่ทว่าทำไมวันนี้... จรรย์อมลช่างดูกลับตาลปัตรจากเมื่อวันวานเสียเหลือเกิน พูดว่าเลิกกับเขาได้โดยไม่แสดงอาการเจ็บปวดใดๆ ออกมา หรือเพราะมันซ่อนอยู่ภายในเรือนร่างและใบหน้ามาดมั่นที่ฉาบขึ้นมากันแน่นะ...
หญิงสาวยิ้มพิมพ์ใจให้เพื่อนที่นั่งสับสนกับตัวเองก่อนจะยกเครื่องดื่มขึ้นมาจิบ ท่ามกลางสายตาหลายสิบคู่ของชายหนุ่ม จากหลากหลายทิศทางซึ่งจับจ้องมาที่หล่อนเป็นตาเดียว...
**********
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ