เพลิงสวาท... รุ้งมารายา
1) ต้นเหตุของความแค้น
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความบทที่ ๑
ต้นเหตุของความรัก
เชือกปอสีน้ำตาลเส้นหนาตวัดพาดกับขื่อคานไม้สักใต้หลังคา ปลายข้างหนึ่งถูกดึงลงมาให้เป็นเส้นคู่ขนานโดยมือบางที่สั่นระริก ก่อนจะถูกจับมัดเป็นปมเป็นเงื่อนปาดเปื้อนคราบน้ำตาของร่างระหงที่ยืนอยู่บนเก้าอี้ไม้สนในชุดกระโปรงผ้าอองฟองสีขาวพลิ้ว...
//////////
“พจน์คะ... ฉันเอ่อ...” เสียงนุ่มเอ่ยพึมพำแล้วเงียบไปเฉยๆ ใบหน้าของเธอฉายแววลำบากใจที่จะต้องพูดต่อ
กฤตพจน์ที่กำลังไล่ติดกระดุมบนเสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อนตรงหน้ากระจกเงาบานใหญ่ชำเลืองมองเงาสะท้อนของหญิงสาวในชุดนอนกระโปรงสายเดี่ยวซึ่งนั่งอยู่ริมขอบเตียงบริเวณด้านหลังของเขาอย่างสงสัย
“มีอะไรก็พูดมาสิ” เสียงทุ้มใหญ่เอ่ยถามอย่างรำคาญใจ ก่อนจะเลื่อนสายตาลงมายังปลายแขนเสื้อที่กำลังถูกพับทบขึ้นเป็นชั้นแทน
จรรย์อมลกลืนก้อนน้ำลายเหนียวหนืดลงคออย่างยากลำบาก แล้วจึงตัดสินใจพูดมันออกมา “ฉันท้องค่ะ...”
ความเงียบเข้าปกคลุมชั่วขณะ หลังเสียงสั่นเครือของหญิงสาวสิ้นสุด เธอก้มหน้าลง ริมฝีปากบางเม้มแน่น ขณะที่ร่างสูงตรงหน้าก็ยืนค้างกับปลายแขนเสื้อที่ยังพับไม่เสร็จ
“กี่เดือนแล้ว?” กฤตพจน์ถามต่อ เขาสูดหายใจเข้ายาวๆ คิ้วหนาเข้มสองข้างขมวดเข้าหากัน
“สองเดือนค่ะ”
“ไปเอาออกซะ”
“พจน์!” จรรย์อมลเชิดหน้าขึ้นสบสายตากับเงาสะท้อนของชายหนุ่มด้วยความตกใจ หูของเธอยังไม่ฝาดถึงขนาดฟังสิ่งที่เขาพูดเพี้ยนไปใช่ไหม แม้เธอจะรู้ดีว่าสิ่งนี้จะต้องรบกวนจิตใจเขาแน่ๆ จนเป็นเรื่องยากของเธอที่จะบอกเขา หากแต่ก็ไม่เคยคาดคิดว่าจะได้รับคำแนะนำกลับมาทันควันแบบนี้
“ทำไมล่ะพจน์ เขาเป็นลูกของเรานะ ทำไมถึงคิดฆ่าเขาได้ลงคอล่ะ”
“ก็แล้วถ้าเก็บมันไว้จะมีปัญญาเลี้ยงงั้นเหรอ” กฤตพจน์หมุนตัวกลับมาจ้องหน้าจรรย์อมลเขม็ง เขาแค่นเสียงหัวเราะในลำคอแล้วพูดต่อ “ตบแต่งกันแล้วรึก็ไม่... เธอคิดว่าตอนนี้เราพร้อมกันแล้วรึไง”
“พร้อมสิพจน์ มลพร้อม...” หญิงสาวพยักหน้าหงึกหงัก สวนตอบขึ้นไวเท่าความคิด “หน้าที่การงานของทั้งพจน์และมลตอนนี้สามารถเลี้ยงลูกเราได้อย่างสบาย โดยเฉพาะพจน์คนเดียวก็เหลือหลายแล้ว ตอนนี้ก็เหลือแค่เราแต่งงานกันให้เป็นเรื่องเป็นราวเท่านั้น” แววตาสีน้ำตาลอ่อนของจรรย์อมลฉายประกายแห่งความหวังแรงกล้า อย่างน้อยนี่ก็ใช้เป็นข้ออ้างเพื่อให้เขาสู่ขอเธอได้
สองปีแล้วที่คบกัน แต่กฤตพจน์ก็ไม่เคยพูดถึงเรื่องอนาคตระหว่างเขากับเธอเลย ยิ่งช่วงหลังๆ ความสัมพันธ์ก็ดูเหมือนจะแย่ลงไปทุกที เธอเคยจับได้ว่าเขามีผู้หญิงอื่น แม้จะจัดการจนเลิกติดต่อกันไป แต่ก็มีคนอื่นแวะเวียนเข้ามาเรื่อยๆ จนเธอเหนื่อยใจ การแต่งงานจึงน่าจะเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการหยุดปัญหานี้ และนี่คือโอกาสที่กำลังเข้ามา
“แต่ฉันยังไม่พร้อม” ชายหนุ่มบอกเสียงแข็ง ก่อนจะหมุนตัวกลับไปที่หน้ากระจกอีกครั้งเพื่อดูความเรียบร้อยของเสื้อผ้าและหน้าผม “ฉันยังสนุกกับชีวิตแบบนี้อยู่ ไม่พร้อมจะรับภาระเลี้ยงมารหัวขนตอนนี้หรอก ฉันจะยืนยันตามเดิม ไปเอาออกซะ”
“ไม่! ยังไงมลก็ไม่เอาลูกออกเด็ดขาด! มลรักพจน์ และนี่จะเป็นพยานรักของเราไม่ให้ใครหน้าไหนมายุ่งกับพจน์ได้อีก” จรรย์อมลลุกขึ้นประกาศกร้าวยืนยันเจตจำนงชัดเจน แต่แทนที่กฤตพจน์จะคล้อยตาม เขากลับเหยียดยิ้มที่มุมปากแล้วหมุนคอมามองหญิงสาวด้วยหางตาอย่างเย้ยหยัน
“ตกลงว่าคิดจะจับฉันงั้นสิ? อย่าให้ฉันต้องพูดตรงๆ เลยจรรย์อมล...”
ดวงตาของหญิงสาวสั่นไหวขณะจ้องมองใบหน้าด้านข้างของคนรัก
“คิดดูแล้วกัน เธอเป็นใคร... แล้วฉันเป็นใคร...” ชายหนุ่มเปรยต่อด้วยน้ำเสียงกร้าวขึ้นเล็กน้อย “ที่ได้มาอยู่ร่วมเตียงกับฉันก็บุญโขของเธอแล้ว อย่ามาเรียกร้องอะไรซะให้ยากเลย... เธอจะเก็บเด็กเวรนั่นเอาไว้ก็ได้นะ แต่ก็ช่วยเก็บข้าวของของเธอไปพร้อมกับมันด้วย เพราะไม่มีประโยชน์อะไรที่เธอจะต้องอยู่ที่นี่แล้ว” พูดจบเขาก็เดินผ่านหน้าเธอไปยังประตู แต่ก่อนที่จะก้าวขาพ้นออกไป ร่างสูงก็หยุดกึกแล้วหันกลับมาอีกครั้ง “จะบอกอะไรให้อีกอย่าง... ฉันเองก็เบื่อเธอเต็มทน อะไรที่มันนานวันไปก็น่าเบื่อ ของเก่าซ้ำซากไม่ว่าแต่นี่ยังจะเหม็นเน่าอีก ไปซะวันนี้ได้เลยก็ดี...” สิ่งที่อยู่ในใจได้ประกาศโพล่งออกมาแล้ว กฤตพจน์หันหลังให้แล้วก้าวออกประตูพร้อมกับโบกมือให้จรรย์อมลที่ยืนอยู่ด้านหลังอย่างเย็นชา
หญิงสาวยืนนิ่ง ลำคอตีบตันจนไม่สามารถเอื้อนเอ่ยอะไรออกมาได้ จนพ้นแผ่นหลังกว้างที่เดินลับไป หยดน้ำใสๆ ที่คลอเคล้ามาแต่แรกจึงเอ่อล้นไหลรินลงมาเป็นทางอาบผิวแก้มเนียนใสให้เปียกปอน
ราวกับถูกกระหน่ำแทงซ้ำๆ ด้วยเข็มรนไฟจนแดงฉ่านับพันเล่มที่หัวใจ มันเจ็บจี๊ดเข้ากระดูกดำด้วยคำพูดไร้เยื่อใยที่ทิ้งไว้ ภาพตรงหน้าพร่ามัวด้วยละอองน้ำตาที่บดบังพร้อมกับเสียงทุ้มต่ำเย็นชาที่ยังดังก้องอยู่ในโสตประสาทการได้ยินไม่มลายไป
...ฉันเองก็เบื่อเธอเต็มทน... ไปซะวันนี้ได้เลยยิ่งดี...
...ไปซะวันนี้ได้เลยยิ่งดี...
...ไปซะ...
//////////
บ่วงบาศตรงหน้าถูกจับยึดไว้ไม่ให้ไกวแกว่งด้วยมือบางอันสั่นเทาทั้งสองข้าง จรรย์อมลใบหน้าหมองเศร้า ดวงตาไร้แววเหม่อมองผ่านช่องว่างไปด้วยมโนภาพเมื่อวันวานครั้งความรักยังหวานหอมดุจน้ำผึ้งดอกลำไยแรกแย้ม
กฤตพจน์คือผู้ชายที่เธอรักมากอย่างหมดหัวใจ คนที่เธอยอมพลีกายถวายเรือนร่างให้อย่างหัวปักหัวปำ เขาคือชายหนุ่มรูปงามช่างเอาใจ แถมฐานะการเงิน หน้าตาทางสังคมก็ไม่น้อยหน้าใคร ออกจะโดดเด่นที่ได้เดินควงคู่ไปกับเขา สายตาที่จับจ้องมาเต็มไปด้วยความอิจฉา แน่นอน เธอช่างเป็นผู้หญิงที่โชคดี... หากแต่ตอนนี้มันไม่ใช่อีกต่อไปแล้ว...
//////////
แลมเบอร์กินีสีเงินวาวคันคุ้นตาตีวงมาจอดที่หน้าประตูบ้าน จรรย์อมลมองดูจากบนหน้าต่างห้องนอนชั้นสามด้วยความดีใจเมื่อเห็นว่าคนรักกลับมา ทั้งที่คิดเอาไว้แล้วว่าเขาอาจจะไปค้างคืนกกอยู่กับหญิงร่านที่ไหนสักที่ หากแต่สิ่งที่เลวร้ายกว่าความคิดก็ปรากฏเมื่อประตูรถราคาแพงถูกเปิดออก พร้อมกับร่างของคนสองคนที่จับจูงกันเดินออกมา
กฤตพจน์กลับมาพร้อมกับผู้หญิงแปลกหน้า จรรย์อมลหน้าชาเมื่อเห็นภาพนั้น รอยยิ้มบางๆ ที่เผยอขึ้นก่อนหน้านี้หุบลงในทันที
สองคนคลอเคล้าคลอเคลียพากันขึ้นบันไดอย่างชื่นมื่นระรื่นใจ โดยไม่ทันสังเกตว่ายังมีสายตาที่เปียกปอนไปด้วยคราบน้ำตาจับจ้องอยู่ แม้เขาจะออกลายว่าเจ้าชู้ แต่ก็ไม่เคยพาหญิงอื่นกลับมาบ้านเย้ยหยามน้ำหน้าเธอแบบนี้
ที่ระเบียงบันไดชั้นสาม ชายหนุ่มเงยหน้ามาสบตากับหญิงสาวเข้าพอดี เขาหยุดอยู่ตรงนั้น และมองเธอราวกับคนแปลกหน้า
“ยังไม่ไปอีกเหรอ?” ประโยคแรกที่เอ่ยทัก คำถามที่ทิ่มแทง หากแต่เมื่อเห็นผู้หญิงกายโทรมตรงหน้ายืนนิ่ง เขาจึงดึงร่างบางข้างกายเข้ากระชับมาพะเน้าพะนอต่ออย่างรำคาญใจก่อนจะตระกรองกอดสาวสังคมปากแดงเดินผ่านหน้าเธอไปราวกับเป็นอากาศธาตุ
จรรย์อมลไม่รอช้าวิ่งตามไปขวางทั้งคู่เอาไว้ กันไม่ให้มีใครล่วงล้ำเข้าไปในอาณาเขตส่วนตัวได้ ห้องนอนนี้มีได้แค่เธอกับเขาเท่านั้น
กฤตพจน์มองท่าจังก้าพร้อมแววตาขึงขังนั่นแล้วก็ต้องนึกขำ นี่เธอคงไม่รู้ตัวเลยสินะว่ามันน่าสมเพชขนาดไหน ตอนนี้เธอไม่ได้อยู่ในหัวใจของเขาอีกต่อไปแล้ว ไม่สิ แม้แต่ในสายตาของเขาเธอก็ไม่มีแม้แต่เงาสะท้อนที่แพรวพราวอยู่ในม่านตาดำเลย
“ถอย...” คำสั่งห้วนๆ ในน้ำเสียงระอา เขาไม่ได้สบตาเธอขณะที่พูด
“ไม่ค่ะ... ห้องนี้คือห้องของมลกับพจน์เท่านั้น ห้องเดียวที่จะมีแค่เรา...”
“มีแค่เรา?” ชายหนุ่มฉีกยิ้มกว้าง ขำขันกับสิ่งที่ได้ยิน มันตลกกว่าหนังคอมแมนดี้ที่ไปดูในโรงเรื่องล่าสุดเสียอีก “ตื่นได้แล้วจรรย์อมล...” เสียงทุ้มเอ่ยต่อ “ตอนนี้เธอไม่ใช่คนของบ้านนี้แล้วนะ อย่าเที่ยวสำคัญตัวผิดแบบนี้สิ ที่นี่มันบ้านฉัน ห้องนอนนี่ก็ของฉัน เธอเองต่างหากที่ยังใจกล้าหน้าด้านยืนเกะกะขวางทางอยู่ได้ ถอยไป... ก่อนที่อารมณ์ดีๆ ของฉันมันจะเสียซะก่อน นับนาที... ฉันก็ขยะแขยงเธอขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งเห็นหน้า... ก็ยิ่งอยากจะอ้วก!” ตะคอกใส่หน้าให้ได้สำเหนียกตัวไปเต็มๆ แล้ว กฤตพจน์ก็กระชากร่างนั้นจนกระเด็นออกมาด้วยมือเดียว
จรรย์อมลล้มลงไปกองกับพื้น มองภาพของเขาที่พาผู้หญิงอื่นเข้าไปในห้องต่อหน้าต่อตาด้วยความเจ็บปวด ใช่... ตอนนี้เธอเป็นเพียงขยะไร้ค่าที่เขาไม่ต้องการทั้งยังเหม็นขี้หน้าเต็มทนแล้ว
เมื่อเขาไล่... ก็ไม่มีประโยชน์จะอยู่ต่อ เมื่อเขาไม่ต้องการ... แล้วจะอยู่ไปเพื่ออะไร
//////////
ทั้งพ่อและแม่ต่างตื่นเต้นดีใจเมื่อจรรย์อมลกลับมาบ้าน เห็นลูกสาวที่ไม่ได้เจอกันมานานกว่าห้าปีก็ให้ปลาบปลื้มยินดีรีบโผเข้าไปกอดให้หายชื่นใจปลิดความคิดถึงทิ้งไปพัลวัน หากแต่สาวงามกลับยิ้มเนือยๆ อย่างอ่อนแรงตอบกลับไปราวกับเหนื่อยล้ามาเต็มทน
“พ่อดีใจเหลือเกินที่มลกลับมา” อำพลโผเข้ากอดลูกสาวก่อนใคร ขณะสุดาเตรียมเข้ามาช่วยยกกระเป๋าเข้าไปเก็บแต่ก็ถูกผู้เป็นผัวปัดมือออกจนกระเด็นไป “ไม่ต้อง! เดี๋ยวข้าจัดการเอง” ก่อนจะดึงกระเป๋าเดินทางของลูกสาวมาถือเสียเอง แล้วพะเน้าพะนอพาเข้าบ้านอย่างเอาใจ
การกลับมาบ้านที่ต่างจังหวัดในครั้งนี้ ไม่ใช่เพราะตั้งใจกลับมาเพื่อให้บุพการีได้เชยชม ความระทมทุกข์ต่างหากที่หอบนำพาให้เธอมาที่นี่
คืนนั้นเมื่อทุกคนหลับสนิท ท่ามกลางความเวิ้งว้างเปล่าเปลี่ยวไร้ที่ยึดเหนี่ยวในหัวใจ จรรย์อมลค่อยๆ สอดศีรษะของตัวเองเข้าไปยังบ่วงเชือกที่ผูกปมไว้ เปลือกตาของเธอปิดลงพร้อมกับหยดน้ำหยาดสุดท้ายที่ไหลรินลงมาจากตาข้างหนึ่ง ริมฝีปากบางเม้มแน่น ก่อนปลายเท้าทั้งสองข้างจะถีบดันให้เก้าอี้ไม้สนล้มลง
น้ำหนักตัวฉุดรั้งให้บ่วงเชือกตรึงรัดที่คอของเธอ มันแน่นขนัด ปิดกลั้นจังหวะการหายใจของเธอได้อย่างรวดเร็ว ไม่นานเกินรอ... ร่างบางที่ห้อยโหนอยู่กลางอากาศดิ้นส่ายไปมา ปลายเท้าเกร็งเผยเห็นเส้นเอ็นโปนปูด ดวงตาเบิกกว้างมีเส้นเลือดฝอยสีแดงแผ่กิ่งทั่วตาเนื้อสีขาว มือทั้งสองข้างเกาะจิกอยู่ที่เส้นเชือกใต้ลำคอ ร่างระหงกระตุกชักอยู่สองสามทีก่อนจะแน่นิ่งไป ลมหายใจรวยรินของเธอหยุดช่วงไปแล้ว กว่าที่คนในครอบครัวจะมาพบก็สายเกินไปที่จะแก้ไข...
ก้าวย่างที่มั่นคงและเป็นจังหวะสม่ำเสมอของรองเท้าคัตชูส์ส้นแหลมสูงสีดำวาววับสะดุดตา เรียวขายาวทอดน่องอย่างมั่นใจรับกับเสียงกระทบดังกุบกับที่พื้นเบื้องล่าง กระโปรงรัดรูปสีดำสั้นเลยเข่าขึ้นมาเล็กน้อยเผยเห็นช่วงสะโพกผายชัดเจน ไล่ยาวขึ้นไปตลอดลำตัวก็กิ่วคอดอรชรดุจช่วงเว้าของนาฬิกาทราย ลอดไปจนถึงช่วงอกที่ยกกระเพื่อมเทิ้มไหวตามจังหวะการก้าวเดิน อวดโชว์เนินเนื้ออวบอิ่มด้วยเกาะอกสีดำทะมึนขับผิวขาวให้ยิ่งโดดเด่น
ลำคอยาวเนียนเกลี้ยงรับกับใบหน้ากลมมนรูปไข่ ริมฝีปากอิ่มรูปกระจับถูกทาทับด้วยลิปสติกสีแดงแรงฤทธิ์เป็นจุดสนใจ จมูกโด่งเล็กปลายเชิดเล็กน้อยถูกวางทาบทับด้วยแว่นตากันแดดสีชาราคาแพงปกปิดดวงตาคู่สวยที่ไม่อยากให้ใครจับจ้อง เรือนผมสีน้ำตาลแดงดัดลอนเป็นเกลียวคลื่นถูกจับแสกข้างวางไพล่ไล่เคลียที่เนื้อไหล่เนียนสวยข้างหนึ่ง
เสื้อคลุมสีดำถูกถอดห้อยกับแขนข้างขวา ส่วนอีกข้างก็ลากกระเป๋าเดินทางเสียงล้อเล็กครูดกับพื้นดังยาวมา
ใครที่ไม่มองหล่อนคงแปลกพิลึก ร่างระหงสะกดทุกสายตาให้จับจ้องไม่ว่าจะเป็นเพศและวัยใด บั้นท้ายกลมกลึงอวบตึงเรียกความเย้ายวนในใจให้กับบุรุษมากกามได้ไม่น้อย หากแต่เมื่อจ้องนานเข้าก็ต้องโดนแพ่นกระบาลจากคนข้างๆ
ภาพเหล่านี้จรรย์อมรเห็นจนชินตา แรกเริ่มก็รู้สึกดีแต่มากเข้าก็เริ่มรำคาญ สุดท้ายก็ต้องทำใจยอมรับในเมื่อหล่อนเป็นคนสวย ช่วยไม่ได้จริงๆ
จรรย์อมรบินด่วนจากอังกฤษหลังได้รับข่าวร้ายจากเมืองไทย หัวใจแทบดับวูบตอนรู้ข่าวการจากไปของจรรย์อมลผู้เป็นพี่สาว ภายใต้กรอบแว่นตากันแดดสีชาพร้อมจะหลั่งหยาดน้ำใสไหลรินลงมาได้ทุกเมื่อหากได้ประจักษ์แก่สายตาของตนเองแล้วจริงๆ
หญิงสาวมาถึงหน้างานศพของผู้เป็นพี่ด้วยรถแท็กซี่ งานถูกจัดขึ้นในวัดที่พอจะมีชื่อเสียงในจังหวัดบ้านเกิด ทันทีที่ขาเรียวยาวก้าวลงจากรถ แขกเหรื่อทั่วทั้งงานต่างแตกฮือลุกกระเถิบถอยห่างด้วยความตกใจ ใบหน้าของหล่อนเหมือนกับคนที่อยู่ในรูปราวกับคนคนเดียวกัน คนนับร้อยมีสีหน้าซีดเผือดพากันจ้องมองปากอ้าตาค้าง ยิ่งหล่อนเดินเข้าไปใกล้บางคนถึงขนาดยกมือขึ้นประนมสวดมนต์ถามหาสิ่งศักดิ์สิทธิ์กันเลยทีเดียว
หากแต่ปฏิกิริยาเหล่านั้นกลับตรงกันข้ามกับสุดาผู้เป็นแม่ เธอปรี่ร่างระโหยของตัวเองมาตระกรองกอดลูกสาวคนเล็กที่อุตส่าห์บินตรงมาไกลจากเมืองนอกเมืองนา
จรรย์อมรยกมือไหว้บุพการีก่อนจะประคองร่างไร้เรี่ยวแรงของแม่ไปนั่งยังเก้าอี้รับรองที่ตระเตรียมไว้สำหรับแขกเหรื่อซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก
“ทำไมมรถึงได้เหมือนมลขนาดนี้นะลูก หือ?” สุดาเอ่ยถามเสียงแหบแห้ง พลางยกมือขึ้นสัมผัสที่ข้างแก้มของลูกสาวคนเล็ก
“ก็เราเป็นฝาแฝดกันนี่แม่ จะไม่ให้เหมือนได้ยังไง” จรรย์อมรตอบพร้อมยิ้มจางๆ
“สวยจริงๆ เลยลูกแม่ มรเกิดมาเพื่อเป็นผู้หญิงจริงๆ”
ได้ยินแม่พูดแบบนี้แล้ว หญิงสาวก็ก้มหน้าลงเล็กน้อย ความทรงจำในวัยเด็กบ่าทะลักถาโถมเข้ามาในห้วงความคิดของเขา ‘เด็กชายจรรย์อมร’ ลูกที่พ่อไม่ต้องการ...
“แล้วพ่อล่ะจ๊ะแม่?” เสียงนุ่มเอ่ยถามเมื่อนึกถึง แม้รอยร้าวบนแก้วจะยังไม่ประสานเป็นเนื้อเดียวกันก็ตาม
“อยู่ข้างในน่ะจ้ะ มรไปไหว้มลก่อนก็ได้นะ”
“ไม่เป็นไรหรอกแม่ มรอยากไปไหว้พ่อก่อน”
ด้วยไม่อยากจะขัดใจลูก สุดาจึงพาจรรย์อมรไปพบกับคนที่ต้องการ อำพลนั่งพ่นควันบุหรี่อย่างหมดอาลัยอยู่ข้างๆ โลงศพลูกสาวนั่นเอง เขาไม่สนใจรับรู้ว่าใครจะมาจะไปเพราะความเศร้าที่บั่นทอนอยู่ในหัวใจ แต่เมื่อเห็นร่างระหงปรากฏขึ้นตรงหน้าแววตาเศร้าหมองก็กลับเป็นประกายพร้อมรอยยิ้มกว้างที่พิมพ์อยู่บนใบหน้าหยาบกร้านนั้น
“มล!” เขาตะโกนเรียกชื่อลูกสาวอย่างดีใจ พร้อมกับยันตัวเองให้ลุกขึ้นยืน สะบัดมวนบุหรี่ออกจากมือ
“ไม่ใช่พี่... นี่มร จรรย์อมรลูกชายเรา” สุดาบอกค้านเสียงแผ่ว ประหวั่นอยู่ข้างในลึกๆ
รอยยิ้มหุบลงแต่ดวงตาทั้งสองข้างยังคงจับจ้อง นานนับนาที จรรย์อมรสัมผัสได้ว่าแววตาคู่นั้นเปลี่ยนไป หากเป็นเมื่อก่อนจะต้องแข็งกร้าวและดุดันยามที่จ้องมองหล่อน ทว่าตอนนี้...
“กลับมาแล้วเหรอลูก?” เสียงแหบพร่าทุ้มต่ำเอ่ยถามอย่างนุ่มนวล ความเกรี้ยวกราดของพ่อหายไปแล้ว
หญิงสาวยกมือขึ้นไหว้พ่อทั้งน้ำตา นานแล้วที่ไม่ได้ยินน้ำเสียงอารีย์ของพ่อ นานมากจริงๆ ...
//////////
“ออกไป! ไอ้ลูกชั่ว ออกไปจากบ้านกู อยากจะไปตายที่ไหนก็ไป อย่ามาให้กูเห็นหน้าอีก!”
“พี่... หยุดเถอะ” สุดาวิ่งมาโอบต้นขาผัวทั้งน้ำตา โอดครวญร่ำไห้ปริ่มจะขาดใจ อ้อนวอนเสียงสั่นเสียงเครือ
จรรย์อมรในวัยสิบห้าปีนั่งคุดคู้กอดเข่าอยู่ที่มุมห้องด้วยความกลัว คราบน้ำตาสีดำไหลอาบเป็นทางจากมาสคาร่าที่ปัดแต่ง
“ไอ้วิปริต! เป็นผู้ชายดีๆ ไม่ชอบ เสือกบ้าจะเป็นผู้หญิง! ไอ้เนรคุณ แล้วพวกกูจะเกาะชายผ้าเหลืองมึงขึ้นสวรรค์ได้ยังไง!” แววตาวาวโรจน์ของอำพลเต็มไปด้วยความโกรธแค้นอันเป็นผลของความสิ้นหวังเมื่อพบลูกชายเพียงคนเดียวที่หวังฝากผีฝากไข้นั่งแต่งแต้มใบหน้าด้วยเครื่องสำอางอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง
“พอแล้วพี่ อย่าว่าลูกมันอีกเลย”
“เอ็งหุบปากนังสุดา! ข้ามีลูกเป็นผู้ชายมันก็ต้องเป็นผู้ชาย... เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงให้บ้านเราในอนาคต มันจะต้องมีเมียมีลูก... แล้วเราก็จะเป็นปู่เป็นย่า...” อำพลพรรณนาสิ่งที่วาดฝันไว้ด้วยน้ำเสียงเจ็บปวด “แต่ในเมื่อมันทำไม่ได้ ก็ไม่มีความจำเป็นจะต้องเลี้ยงมันอีกต่อไป มันอยากบ้าบอจะเป็นผู้หญิง ก็ให้มันเลี้ยงดูตัวเอง ข้าเคยมีลูกชาย... และมันก็ได้ตายจากข้าไปแล้ว... ต่อไปนี้เอ็งอย่ามาเรียกข้าว่าพ่ออีก จำไว้!”
เมื่อลับหลังผัวไปแล้ว สุดาก็ปรี่เข้าหาลูกชายโดยไว ทั้งกอดทั้งหอมปลอบประโลมกันทั้งน้ำตา
“แม่จ๋า...”
“ไม่ต้องกลัวนะลูก ยังมีแม่อยู่ ขอให้เป็นคนดีเถอะ จะเป็นอะไรแม่ไม่ว่าทั้งนั้น มรยังอยู่กับแม่ ยังเป็นลูกแม่อยู่เสมอนะ”
//////////
ที่โลงศพประดับดอกไม้ตบแต่งไฟสีระยิบระยับ จรรย์อมรเอื้อมมือไปปักธูปหนึ่งดอกลงบนกระถาง ควันสีเทาลอยจางๆ พลิ้วไหวเหนือรูปถ่ายของผู้ตาย รอยยิ้มที่ปรากฏอยู่บนนั้นช่างสดใสเหลือเกิน หล่อนคลี่ยิ้มบางๆ ด้วยเช่นกันเพื่อเป็นการทักทายพี่สาวทั้งน้ำตาก็ไหลต่อเนื่องไม่ขาดสาย
“ทำไมล่ะมล... ทำไมถึงคิดสั้นแบบนี้ ทำไมต้องทิ้งทุกคนไปด้วย ทำไมต้องทิ้งลูกในท้อง...” จรรย์อมรเอ่ยเสียงสั่นที่หน้ารูปถ่าย มองคนที่มีใบหน้าเหมือนตัวเองด้วยความหดหู่
ได้ทราบทุกเรื่องจากโทรศัพท์ทางไกลตั้งแต่อยู่อังกฤษ ภาพเดียวที่แวบเข้ามาคือผู้ชายที่ชื่อ ‘กฤตพจน์’ หล่อนเคยพบตอนไปเยี่ยมจรรย์อมลที่กรุงเทพฯ ผู้ชายที่พี่สาวบอกรักนักรักหนาพร้อมจะทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อเขาแต่เพียงผู้เดียว คงเป็นเพราะเขา... จรรย์อมลถึงคิดสั้นแบบนี้
“เพราะมันใช่มั้ย? มล... เพราะผู้ชายคนนั้นใช่มั้ย”
ความเจ็บแค้นค่อยๆ ซึมลึกเข้าไปช้าๆ ดวงตาคมสวยเคยหมองเศร้าถูกแทนที่ด้วยความแข็งกร้าวทีละน้อย หยาดน้ำตาเหือดแห้งด้วยไฟแห่งความโกรธที่ลุกโชน
แต่ไหนแต่ไรมาก็มีกันเพียงสองคนพี่น้องเท่านั้น จรรย์อมลจะคอยปกป้องหล่อนหากเจอเด็กเกเรเข้ามาล้อเลียนหรือรังแก ราวกับมีลูกสาวสองเนื้อสองหน่อ ทั้งที่เกิดมาเป็นแฝดเทียม หญิงหนึ่งชายหนึ่ง แต่ก็เหมือนกันมากดุจแฝดคู่หญิงแท้ๆ สองพี่น้องเกาะติดอยู่ด้วยกันมาตลอด ต่างคนต่างเป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน... เข้าใจในความต้องการของกันและกันประหนึ่งเป็นสิ่งที่ตัวเองนึกคิดเสียเอง
กระทั่งเรียนจบและแยกย้ายกันไปตามอนาคตของตัวเอง จรรย์อมรเดินทางไปต่างประเทศเพื่อศึกษาเพิ่มเติมในสาขาวิชาที่หล่อนร่ำเรียนมา ขณะที่จรรย์อมลยอมทิ้งอนาคตเพื่อมาอยู่กินกับกฤตพจน์คนรักของเธอ
และตอนนี้ส่วนหนึ่งของหล่อนก็ได้ขาดหายไปแล้ว...
ความคิดน่ากลัวผุดขึ้นอย่างรวดเร็ว ดวงหน้ามาดมั่นเชิดขึ้นเล็กน้อย ริมฝีปากอวบอิ่มสีแดงสดเหยียดโค้งที่มุมปาก ภาพของผู้ชายที่เป็นต้นเหตุในการตายของพี่สาวประเดประดังถาโถมเข้ามาไม่ยั้ง
ร่างสะโอดสะองที่นั่งคุกเข่ายืนขึ้นช้าๆ ก่อนจะก้าวเข้าไปยกมือขึ้นเคาะที่ข้างโลงไม้เป็นจังหวะสามที แล้วจึงกระซิบเอ่ยเบาๆ ออกไป
“การตายของเธอต้องไม่จบเพียงเท่านี้ ปล่อยเป็นหน้าที่ฉัน... ที่จะทำให้พวกมันพินาศเอง...”
หลักฐานชิ้นสำคัญคือหมายเลขเรียกออกนับร้อยครั้งในโทรศัพท์ของจรรย์อมล ชื่อที่บันทึกไว้คือ ‘ที่รัก’ อย่างไรก็คงไม่พ้นเขาแน่... รู้มาว่าในชีวิตของเธอมีผู้ชายคนนี้เพียงคนเดียวเท่านั้น และยิ่งไปกว่านั้นข้อความล่าสุดยังเป็น ‘ที่รัก’ ที่ส่งเข้ามา เวลาราวตีหนึ่งของเมื่อคืนนี้ ก่อนที่หญิงสาวจะตัดสินใจปลิดชีวิตตัวเองกลางห้องนอน
จรรย์อมรเปิดอ่านข้อความในโทรศัพท์มือถือของพี่สาว สนใจเป็นพิเศษกับข้อความล่าสุด หญิงสาวกลืนน้ำลายผ่านลำคอแห้งผากก่อนข้อความจะปรากฏขึ้นที่หน้าจอ
...ยังบ้าไม่เลิก ไม่รับแล้วยังจะโทรมาอยู่ได้ จะไปตายห่าที่ไหนก็ไป...
ไม่ผิดนักหากจะบอกว่าสิ่งนี้คือชนวนสำคัญ คำตัดพ้ออันร้ายกาจ ขนาดแค่หล่อนได้อ่าน ยังไม่นึกถึงน้ำเสียงก็ขนลุกเกลียว
ไม่พิรี้พิไร หล่อนเก็บของสำคัญทั้งหมดของพี่สาวลงกระเป๋าเดินทางที่นำมาด้วย ตั้งใจดำเนินการตามแผนที่คิดไว้ หล่อนจะต้องไปกรุงเทพฯ ไปหาเขา กฤตพจน์...
หากทว่าเมื่อรูดซิปกระเป๋าเดินทางใบเขื่องเปิดออกแล้วก็ต้องตกใจ สัมภาระที่อยู่ภายในไม่ใช่ของหล่อน หญิงสาวใจหล่นวูบก่อนจะตั้งสติขึ้นใหม่ เจ้าของคงเป็นผู้ชายเพราะสำรวจจากเครื่องแต่งกาย เสื้อผ้าหลายชุดเป็นแบรนด์เนมราคาแพงบ่งบอกรสนิยมการแต่งตัวขั้นเยี่ยมทีเดียว คงจะเป็นคนที่ใช้กระเป๋ารุ่นและสีเดียวกัน พลัดสลับที่สนามบิน เพราะความเร่งรีบหล่อนเองจึงไม่ได้ตรวจดูให้ถี่ถ้วนเสียก่อน กลับกันก็ต้องเฝ้าปลอบใจตัวเองว่าทรัพย์สินมีค่าของหล่อนคงจะยังอยู่ดีครบทุกชิ้น ฝ่ายโน้นดูท่าจะรวย คงไม่คิดละโมบฉกชิงอะไรไปหรอก
จรรย์อมรค้นหาข้อมูลการติดต่อในกระเป๋านั้นอย่างเสียไม่ได้ที่จะละลาบละล้วงถือวิสาสะสำรวจดู จึงได้พบกับกล่องนามบัตรที่อิงแอบแนบซุกอยู่ที่ด้านข้าง ทราบชื่อและหมายเลขโทรศัพท์ติดต่อของเจ้าของกระเป๋าแล้ว...
“กฤตกร โชติอนันต์...” หญิงสาวอ่านอักษรสลักนูนบนกระดาษสีทองอย่างครุ่นคิด
...โชติอนันต์... นามสกุลนี้รู้สึกคุ้นเหลือเกิน...
ไม่เก็บความสงสัยไว้นาน จรรย์อมรกางเปิดหน้าจอคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก พิมพ์ชื่อและนามสกุลนั้นลงในช่องค้นหาที่หน้าเว็บเสิร์จเอ็นจิ้นโดยพลัน
ปรากฏข้อมูลมากมายในหน้าผลการค้นหา ลิ้งก์เพจหนึ่งสามารถให้ข้อมูลกับหล่อนได้ดีทั้งยังมีภาพประกอบชัดเจน เขาเป็นผู้ชายที่หน้าตาดีมากอย่างที่หล่อนคิดไว้ รูปถ่ายเต็มตัวบอกกำกับไว้ว่าเขาสูงกว่าร้อยแปดสิบห้าเซนติเมตร ในชุดสูทนั้นเขาดูภูมิฐานมากทีเดียว กางเกงสแล็คสีดำรัดต้นขาอวบเต่งแน่นเปรี๊ยะ ให้จำกัดความว่าเขาต้องเป็นคนที่ดูแลรูปร่างตัวเองเป็นอย่างดีแน่นอน จรรย์อมรเผลอกลืนน้ำลายลงคอขณะเลื่อนแถบสกอล์บาร์ลงเรื่อยๆ
กฤตกรเป็นลูกชายคนที่สองของคุณหญิงวริสาและท่านประธานปรีดา โชติอนันต์เจ้าของห้างเพชรและอัญมณีอันดับหนึ่งของประเทศไทย เขามีพี่ชายชื่อ กฤตพจน์ โชติอนันต์ พร้อมรูปถ่ายยืนยันตัวตน
ตอนนี้เองที่ดวงตาพราวระยับจับจ้องภาพนั้นไม่กระพริบ จรรย์อมลอ้าปากค้างด้วยคิดไม่ถึงว่าโลกกลวงๆ จะกลมกลึงได้ถึงเพียงนี้ ก่อนจะหุบลงแล้วแปรเปลี่ยนเป็นเผยอยิ้มกว้างขึ้นมาแทนที่อย่างช้าๆ ความคิดชั่วร้ายถาโถมเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ทอประกายรัศมีแห่งชัยชนะปรากฏขึ้นบนดวงตาคู่สวยสีน้ำตาลอ่อน ไม่มีอะไรจะหยุดหล่อนได้อีกต่อไปแล้ว
...เรื่องมันง่ายกว่าที่คิดเสียอีก...
กฤตกรโผเข้ากอดพี่ชายที่รอต้อนรับอยู่หน้าบ้านด้วยความคิดถึง รอยยิ้มพิมพ์กว้างบนใบหน้าของชายทั้งคู่ กฤตพจน์ตบหลังน้องชายก่อนจะเลื่อนไปโอบคอแล้วพากันเข้าบ้าน
“เดี๋ยวดิฉันยกกระเป๋าคุณหนูไปเก็บบนห้องเลยนะคะ” สาวรับใช้หน้าเก่าคนคุ้ยเคยเอ่ยแทรกขึ้นระหว่างทาง
“คุณหนู?” กฤตกรทวนถามแล้วหัวเราะร่าอย่างชอบใจ “เธอดูฉันให้ดีๆ ซิกระต่าย ว่าฉันยังเหมือนคุณหนูน้อยตัวจ้อยของเธออีกรึเปล่า” ร่างสูงว่าพร้อมกับเดินอาดๆ เข้าไปประชิดตัวสาวรับใช้คนสนิทที่อายุมากกว่าเขาเพียงสามปีเท่านั้น
หล่อนเบิกตากว้างแล้วกระเถิบเท้าถอยห่างอย่างหวาดๆ ในใจก็เต้นโครมครามเมื่อใบหน้าหล่อเหลานั้นเคลื่อนเข้ามาใกล้ขึ้นทีละน้อย เขาเปลี่ยนไปแล้วจริงๆ ไม่ใช่คุณหนูกรอย่างเมื่อก่อนอีกแล้ว บัดนี้เขาคือหนุ่มหล่อร่างกายสูงใหญ่กำยำ ดูจากราวไหล่กว้างก็ประจักษ์แก่สายตาได้เป็นอย่างดี
เหงื่อเม็ดโตที่ผุดขึ้นบนใบหน้าของพี่เลี้ยงสาวทำให้กฤตกรพ่นหัวเราะออกมาด้วยความชอบใจอีกครั้ง
“กลับมาก็แกล้งเขาไปทั่วเลยนะ” กฤตพจน์ดุน้องชายแกมหยอก ก่อนจะดึงร่างนั้นกลับมาอีกครั้ง สองพี่น้องมีส่วนสูงเท่ากันพ่อดีทีเดียว “ไม่ได้พาแหม่มอังกฤษมาด้วยเหรอ?” คนเป็นพี่เอ่ยถามเริ่มประเด็นใหม่ด้วยน้ำเสียงกระเซ้า
น้องชายสั่นหน้ารัวแล้วยิ้มแหยๆ อย่างนึกแขยง
“นายไม่ยอมกลับมาตั้งสองปี พี่ก็คิดว่าไปติดใจแหม่มที่โน่นจนโงหัวไม่ขึ้นซะอีก”
สองพี่น้องแยกกันนั่งลงบนโซฟาบุนวมคนละฝั่ง ประจันหน้ากันเพื่อความสะดวกในการสนทนา กฤตกรหงายหลังผึ่งแผ่กายเหยียดตัวเต็มอย่างผ่อนคลาย เดินทางตั้งหลายชั่วโมง ปวดเมื่อยไปหมด
“พวกผู้หญิงฝรั่งไม่มีใครโดนใจผมซักคน ถึงจะสวยราวนางฟ้าก็เถอะ แต่มันไม่คลิกเลย ถึงผมจะชอบผู้หญิงมั่นใจ กล้าแสดงออกแบบตรงไปตรงมาก็ตาม แต่ภายนอกขอลุคแบบสาวเอเชียจะยอมถวายหัวให้ ส่วนแหม่มพวกนั้นน่ะให้เป็นเพื่อนร่วมเตียงน่ะพอได้ แต่ให้เป็นเพื่อนคู่ชีวิตคงยาก” ว่าพร้อมกับเหยียดโค้งที่ริมฝีปาก ใบหน้าเบื่อหน่ายของเขาทำให้พี่ชายกระตุกยิ้มขัน “แล้วพ่อแม่ไปไหนกันหมดล่ะครับ” เขาถามต่อ
“ไปรำลึกวันวานครั้งยังหวานที่เกาลูนน่ะ”
“ไม่มีพ่อแม่คู่ไหนสวีตหวานรักไม่จางเท่าพ่อแม่เราอีกแล้วล่ะมั้ง” กฤตกรแซวยิ้มๆ นึกภาพของพ่อและแม่ที่ยังคงรักกันดีอยู่เหมือนเมื่อสมัยหนุ่มสาวก็ให้ชื่นใจ “แล้วนี่... บ้านเงียบไปรึเปล่าครับ ไม่เห็นมีสาวๆ เหมือนอย่างทุกทีแฮะ” ดวงตาคมกวาดตามองไปรอบบ้านอย่างสำรวจ นัยที่พูดแฝงการขบแขวะเบาๆ กับนิสัยของพี่ชายด้วยความรู้ดี
กฤตพจน์ยกมือขึ้นเกาจมูกแล้วเบือนหน้าไปอีกทางอย่างเซ็งๆ “เบื่อ...” เขาเปรยต่อ สีหน้ารับกับสิ่งที่พูด
“เบื่อผู้หญิง?” กฤตกรเลิกคิ้วถามอย่างสงสัย มันเป็นไปได้ด้วยหรือเรื่องแบบนี้
คนถูกถามพยักหน้าส่งๆ
“อย่าบอกนะว่าพี่เริ่มจะสนใจผู้ชายแทน?” กฤตกรร้องถามต่อเสียงดัง ใบหน้าทะเล้นของเขาเร้าให้อีกฝ่ายต้องหน้านิ่ว
“เลอะเทอะละ ไปกันใหญ่แล้ว” กฤตพจน์เอ็ดเสียงต่ำ ไม่นำพากับคำหยอกเย้าของน้องชาย “ก็แค่ช่วงนี้แหละ อยู่กับผู้หญิงมาเกือบทั้งชีวิตแล้ว ขอพักบ้างจะเป็นไร”
“ผมโล่งใจกับคำตอบของพี่นะ” ยังไม่วายปั้นหน้าทะเล้นต่อ ปลุกให้ฝ่ายตรงข้ามต้องขยับเนื้อขยับตัวเป็นการข่มขวัญ “เพลียมากเลยพี่ ผมยังอยู่ที่นี่ต่ออีกหลายวัน ไว้เดี๋ยวเราค่อยสนทนากันใหม่” พูดจบก็ลุกขึ้นเดินหาวหวอดขึ้นบันไดไป เอาตัวรอดจากพี่ชายที่ตั้งท่าจะจู่โจมได้อย่างฉิวเฉียด
เสียงสัญญาณรอสายดังขึ้นชั่วอึดใจ ก็ปรากฏเสียงตอบรับดังงัวเงียมาจากปลายสาย
“หวัดดีครับ?” กฤตกรกล่าวทักทายโดยไม่ทันได้รู้ว่าปลายสายคือใคร เขาหรี่ตามองนาฬิกาดิจิตอลไฟฟ้าที่ปลายเตียง บอกเวลาห้าทุ่มกว่าแล้ว ตระหนักรู้ว่าตัวเองงีบนานเกินกว่าที่ตั้งใจไว้ แล้วใครกันนะที่โทรมาป่านนี้
“สวัสดีค่ะคุณกฤตกร” จรรย์อมรกล่าวทักทายตอบ เสียงของหล่อนทำให้ชายหนุ่มแปลกใจ “ฉันชื่อจรรย์อมรค่ะ” หล่อนแนะนำตัว ขณะมองรูปภาพของเขาที่หน้าจอคอมพิวเตอร์
“ครับ? เอ่อ... คิดว่าผมคงไม่รู้จักคุณ มีธุระอะไรรึเปล่าครับ”
“มีค่ะ ไม่ทราบว่าคุณได้สำรวจกระเป๋าเดินทางของคุณรึยังคะ”
ปลายสายเงียบ ชายหนุ่มลุกขึ้นชะเง้อมองกระเป๋าเดินทางที่กระต่ายยกมาแอบไว้ที่มุมห้อง
“ฉันเดาว่ายัง” จรรย์อมรสรุปแทนอย่างเข้าใจ “ฉันไม่แน่ใจว่ากระเป๋าของฉันอยู่กับคุณรึเปล่า แต่ตอนนี้กระเป๋าของคุณอยู่ที่ฉันค่ะ”
“อย่างนั้นหรือครับ?” ชายหนุ่มร้องอุทานเสียงดังอย่างตกใจ ก่อนจะรีบลุกไปเปิดสวิตซ์ไฟแล้วลากกระเป๋าเจ้าปัญหามาสำรวจดูให้แน่ใจ สรุปจบเป็นอย่างที่ได้รับแจ้งมาจริงๆ สัมภาระในกระเป๋าเป็นของใช้ของผู้หญิง ทั้งเสื้อผ้าเครื่องสำอางมากมายหลากหลายชนิด “แล้วยังไงครับ ตอนนี้ผมสับสนไปหมดแล้ว” ร้องรนรานอย่างคนเซ่อนอนพร้อมกับยกมือเกาผมเผ้าจนยุ่งเหยิง
“ใจเย็นค่ะ ปัญหานี้ง่ายนิดเดียว” หล่อนแนะพร้อมยิ้มกริ่ม “แค่เราเจอกันพร้อมกับกระเป๋าที่น่าจะสลับกันเท่านั้นค่ะ”
“ที่ไหนและกี่โมงดีครับ?”
“ที่...”
มันกำลังจะเกิดขึ้น แผนของหล่อน... การแก้แค้นให้กับพี่สาวสุดที่รักกำลังเริ่มต้นขึ้นจากการพบกันในครั้งนี้...
**********
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ