[Fic]Dog days : The second wind

1.7

เขียนโดย MrSoulless

วันที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2554 เวลา 01.29 น.

  1 chapter
  5 วิจารณ์
  5,423 อ่าน
แชร์นิยาย Share Share Share

 

1) เพื่อร้านของพวกเรา ! ฉันจะไปเป็นทหาร !

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

ยามเช้านี้เสียงน้ำซุ่ซ่าดังลอดออกมาจากภายในห้องอาบน้ำ บอกให้รู้ว่ามีคนกำลังใช้อยู่

น้ำพุเย็นชื่นใจที่ไหลจากข้างนอกมาตามท่อส่งน้ำ ผ่านแร่หินร้อนเพื่อเพิ่มอุณหภูมิ พุ่งออกมาจากปากซึ่งเต็มไปด้วยกระบอกไม้ไผ่ธรรมดาพร้อมกับเสียงเทน้ำที่กำลังไหลลงอย่างเอื่อยๆ ลงสู่อ่างอาบน้ำที่ทำจากหิน ไอน้ำเลือนรางค่อยๆ ลอยตัวสูงขึ้น ทำให้ในห้องอาบน้ำเหมือนดั่งดินแดนในความฝัน ดูลวงตาและไม่มีอยู่จริง

ท่ามกลางความมัวสลัว ชายคนหนึ่งกำลังอาบน้ำอยู่

เขาหลับตา ใบหน้าคมเข้มผสมปนเปไปด้วยแววเฉื่อยชาและซึมเศร้า บนศรีษะของเขาเต็มไปด้วยฟองจนมองไม่เห็นเส้นผมของศรีษะ หูสีดำและหางสีดำที่กระดิกได้ราวกับว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย แต่กลับสามารถมองเห็นร่างกายเปลือยเปล่าภายใต้น้ำนั้นด้อย่างชัดเจน

รูปร่างของเขาผอมบางเพรียวระหง สายน้ำไหลเรื่อยไปบนผิวกายขับส่วนโค้งเว้าให้ดูเด่นชัดขึ้น กระนั้นก็ยังมีมัดกล้ามอย่างบุรุษ เพียงแต่เป็นบุรุษที่ออกจะสะโอดสะองเกินไปสักหน่อย

เขาดูว่องไวปราดเปรียวดุจเสือดาว สงบนิ่งประดุจเสือโคร่ง เคลื่อนไหวรวดเร็วดุจกระต่ายเปรียว ยามหยุดนิ่งหรือคลเอนไหวดูเรื่อยเฉื่อยและให้ความรู้สึกคุกคามไปพร้อมๆ กันอย่างแยกไม่ออก

เขาทิ้งมือซึ่งเต็มไปด้วยฟองลงหยิบกระบวย แล้วตักน้ำขึ้นมาราดตั้งแต่ศรีษะลงไป

ฟองถูกซัดไหลลงไปตามแรงปะทะของน้ำ เผยให้เห็นสีผมที่ยาวสลวยสีดำขลับประกายเงินตัดสั้นเป็นทรงเรียบร้อยทันที เส้นผมแต่ละเส้นดูเกียจคร้านเหมือนผู้เป็นเจ้าของไม่มีผิด อ่อนนุ่มเรียบลู่ไปกับศรีษะ และแนบติดไปกับหน้าผาก เขาปัดมืออย่างลวกๆ ไล่เอาเส้นผมไปรวมไว้ด้านหลัง เผยให้เห็นหน้าผากเนียนใสจนเป็นเงา และน่าตบ

จากนั้นเขาก็ก้มตัวลงไปหยิบสบู่มาถูไล่ไปตามเรือนร่าง มองเห็นแผ่นหลังเปลือยเปล่าได้อย่างชัดเจน แต่ไม่ว่าใครที่ได้เห็นภาพนี้ต่างต้องตระหนกจนสูดลมหายใจเฮือก

เพราะผิวกายด้านหน้าเกลี้ยงเกลาเทียบไม่ได้สักนิดกับรอยแผลบนแผ่นหลัง อาการบาดเจ็บที่หลังของเขาร้ายแรงน่าตกใจจริงๆ

แผลฉีกขาดเป็นทางยาวสองแห่งไขว่กัน คล้ายกับรูปกากบาทบนแผ่นหลังขนาดเต็มหลัง บาดแผลเว้านูนขรุขระไม่เรียบเสมอกัน มองดูเพียงแวบเดียวก็รู้ได้ว่าเป็นแผลที่เกิดจากการถูกอาวุธมีคมฟันที่ด้านหลังอย่างรุนแรง

ยิ่งปกว่านั้น บาดแผลทั้งสองแห่งไม่มีทีท่าว่าจะหายสนิท แม้ว่าเลือดจะหยุดไหลแล้ว แต่ว่าเนื้ออ่อนๆ แดงสดที่บิดม้วนให้เห็นอยู่ด้านนอกยังคงขยับสั่นไหวเล็กน้อยตามการเคลื่อนไหวของร่างกาย ราวกับจะบอกเป็นนับถึงโศกนาฏกรรมที่ผู้เป็นนายของพวกมันได้เคยประสบมา

รอยแผลนี้ คนที่ได้มาเห็นเองชัดๆ ต่างก็รู้สึกเจ็บปวดไปด้วย จนถึงกับอดไม่ได้ที่จะร้องด้วยความเจ็บปวดแทนเขา
ว่าสีหน้าของเจ้าตัวกลับไม่เปลี่ยนแปลงเลยสักนิด มีหรือที่เจ้าตัวจะกลัวน้ำอุ่นๆ ที่รินไหลผ่านปากแผลครั้งแล้วครั้งเล่า... ราวกับว่าร่างกายของเขาไม่รับรู้ถึงความเจ็บปวดใดๆ

หากมีคนถามว่า 'บาดแผลสาหัสขนาดนี้ เข้าไม่รู้สึกอะไรบ้างเลยหรือไง'

ก็คงได้รับคำตอบแบบเนือยๆ กลับมาประโยคหนึ่งว่า 'ไม่นิ' อย่างแน่นอน

ไม่ใช่ว่าไม่เจ็บ แต่เจ็บจนชาชิน เมื่อชาชินแล้วก็ไม่รู้สึกอะไรอีก

"เชย์ว้อย ทำอะไรอยู่ !!! ได้เวลาออกมาขายบะหมี่แล้วนะ ! " มีเสียงถามดังลอยมาจากนอกห้องอาบน้ำ น้ำเสียงดูแก่และฟังดูร้อนรนเล็กน้อย
"เกือบแล้วลุง..." ชายหนุ่มตอบเฉื่อยชา เช่นเดียวกับมือเท้าที่ยังคงเชื่อช้ายิดยาด

เขาค่อยๆบรรจงด้าวขึ้นจากอ่างน้ำ ค่อยๆบรรจงหยิบผ้ามาเช็ดตามร่างกายๆ ค่อยๆ บรรจงใช้ผ้าผืนนั้นพันร่างกายท่อนล่างไว้ แล้วค่อยๆ บรรจงๆ เปิดประตูเดินออกมา

ที่ด้านนอก ชายหน่มหน้าตาหล่อเหลาเปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวาคอยอยู่ตรงนั้น นานแล้ว รีบใส่เสื้อผ้าทันใด

เด็กหนุ่มเขาสวมชุดเสื้อคลุมสีม่วงขลับขาว ที่เอวคาดสายรัดเอวสีขาว และสีม่วง กางเกงสีดำสนิท สวมรองเท้าบูตยาวสีขาวขอบม่วง ข้างเอวมีสายห้องสีม่วงทั้งสองข้าง สวมถุงมือสีดำทั้งสองมือ รวมผมที่ยาวถึงกลางหลังด้วยสายมัดผม ไว้สองข้างจากด้านหลัง 

ส่วนคนรอหน้าประตูนั้นผมสีข้าวฟางอ่อนๆแกมขาวคล้ายคนชรา หน้าตาเหี่ยวย่นและมีริ้วร่อยตามอายุขัย นัยต์ตาสีทองแต่ดูช่างมัวหมองยิ่งนัก สวมแว่นกรอบสี่เหลี่ยมสีดำหนาเตอะอยู่ ไม่มีหูและหางที่เป็นสัตว์ ทว่าในยามนี้นัยน์ตาคู่นั้นมีแววตำหนิติเตียนแฝงอยู่

"นี่มันกี่โมงกี่ยามแล้วห๊ะ ? เจ้าเด็กบ้า ! " ถ้อยคำต่อว่านั้นฟังดูแล้วไม่ให้ความรู้สึกถูกต่อว่าเลยสักนิด เสียงกังวานใสกลับทำให้คนฟังรู้สึกมีความสุขสบายอกสบายใจด้วยซ้ำ
"ก็ผมกำลังสบายกับการอาบน้ำอยู่เลยนิลุง" เชย์ยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ

จะว่าไปแล้วใครใช้ให้เด็กหนุ่มร้านบะหมี่ราเมงครองอ่างอาบน้ำร้อนตอนสาย แถมนิสัยของเขาถ้าหากไม่ดื่มด่ำกับมันให้เต็มที่ก็ออกจะผิดต่อตัวเองไปสักหน่อย

"เอางี้นะลุง ครั้งหน้า ผมจะอาบน้ำภายในสามนาที แต่ขอค่าแรงเพิ่มนะลุง"

พอได้ฟังอย่างนี้ ชาร์รี่ก็แทบจะลมใส่

"พวกเราเป็นพ่อครัวราเมงมือฉมังและมีที่เดียวบนโลกใบนี้ แล้วแกยังจะอู้อีกเหรอ นี่มันเลยเวลาเปิดร้านมา1ชั่วโมงแล้ว"พอเขาเปิดปากก็เริ่มร่ายยาวไม่หยุด "พวกเรา พ่อครัวอันโด่งดัง จะต้องไม่อู้งานและบริการเต็มที่ เพื่อความอร่อยของลูกค้า" การกล่าวสุนทรพจน์อย่างองอาจดำเนินไปอย่างต่อเนื่องไม่การหยุดพักเป็นเวลาห้านาทีเต็ม

ถ้ายังฟังต่อไปเชย์คงจะเป็นลม เขาใช้มือข้างหนึ่งกุมขมับ ทำท่าทางโงนแงนเหมือนจะล้มลงพร้อมกับพูดแกมภาษาโบราณว่า..."พอ ! พอเลย ! ลุงชาร์รี่ที่รักของข้า ลุงเป็นพ่อครัวบะหมี่ที่เก่งที่สุดในโลก แต่ขอที ข้าขอวิงวอนต่อเจ้าจากใจจริง ช่วยหยุดร่ายยาวกฎของพ่อครัวฉบับของท่านลุงซะทีเถอะ ข้าทรมานเหลือเกิน อา... พลังการโจมตีจากเสียงของท่านลุงแข็งแกร่งขึ้นอีกแล้ว..."
"อ...อยากตายใช่ไหม ! " ชาร์รี่น้ำโหขึ้นมาจริงๆ เสียแล้ว น้ำเสียงนุ่มนวลของเขาเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด
"โอ๊ะโอ๋ เหมือนจะได้ยินว่าสายแล้ว" เชย์เสมองไปทางซ้ายทางขวาและพูดกับเขา จากนั้นก็หันไปแสร้งพลิกหาของในตู้เก็บของสำคัญของเชย์ "แปลกจริง สร้องแห่งคำมั่นสัญญาของผมล่ะ" แต่กลับทำเป็นมองสร้องทรงกลม ซึ่งข้างในเปิดออกได้ เป็นรูปคนสองคน มีเชย์ และผู้หญิงตัวเล็กๆ มีหูและหางเหมือนกัน ผมยาวสีส้ม ทำท่าชู้สองนิ้วและยิ้มกว้างๆด้วยกัน ไว้สำหรับใส่คล้องคอที่วางอยู่บนโต๊ะ

เมื่อเชย์หันหลัง ชาร์รี่ถึงกับลืมตวาดสั่งสอนไปเสียสนิท สายตาของเขาจับจ้องไปที่แผลฉกรรจ์ของอีกฝ่าย ทำท่าเหมือนอยากจะพูดอะไรแต่ก็หยุดเอาไว้ สุดท้ายก็เอ่ยออกมาว่า... "บาดแผลของแก...ไม่มีทางรักษาให้หายสนิทได้เลยจริงๆ หรือ"

พอได้ยิน ร่างของเชย์ก็สั่นไหว เขาเลิกทำเป็นค้นหาเรื่อยเปื่อย แล้วหยิบเอาสร้อง'แห่งคำมั่นสัญญา'ใส่ทันที จากนั้นก็หยิบชุดอัศวินสีดำขลับขลิบริมสีม่วงอ่อนมาคลุมอีกชั้นหนึ่ง บงบังบาดแผลที่หลังทั้งหมดเอาไว้

เมื่อเห็นเขาตอบสนองเช่นนี้ มิราจก็เข้าใจได้ทันทีว่าเขาไม่ต้องการเอ่ยถึงเรื่องนี้ จึงไม่ถามต่อให้มากความอีกด้วยความที่รู้สถานการณ์ดี

ถึงอย่างไรตั้งแต่วันนั้น เมื่อ 13 ปีก่อนที่เขาพบเชรย์ในสภาพ สาหัสปางตายมา เขาก็ปิดปากสนิทเรื่องเกี่ยวกับบาดแผลที่หลังและเบื่องหลังที่แท้จริงของเขามาตลอด นิ่งเงียบอย่างกับรูปสลักหิน เว้นเสียแต่ว่าเขาจะเปลี่ยนเรื่องพูด ไม่อย่างนั้นเชย์ก็จะเงียบอย่างนี้ต่อไปเรื่องๆ กระทั่วเอาเงินทองของมีค่าที่เขาชอบที่สุดมาล่อก็ยังไร้ผล

แต่ดูเหมือนว่าวันนี้จะต่างออกไป

"วิธีทั่วไปใช่ว่าจะรักษาแผลของผมให้หายได้..." เชย์ ค่อยๆ หันกลับมามองที่ชาร์รี่ ลุงบุญธรรมของเขา "จะถึงจะรู้ว่ามีวิธีรักษาแต่ก็ยากจริงๆนั้นแหละ ลุง"

 


"ถ้าอย่างนั้นตอนนี้แก..." ชาร์รี่พูดออกมาได้ครึ่งประโยคก็ยั้งปากไว้เพราะลำบากใจที่จะพูดต่อ

เขารู้สึกไม่สบายใจที่ต้องละลาบละล้วง ถึงแม้อยากจะถามข้อสงสัยว่า 'ตอนนี้แผลของแกเป็นอย่างไรแล้ว และยังจะรักษาบาดแผลได้หรือเปล่า' ก็ตาม เพราะดูจากท่าทีที่แสดงออกของเชย์ในช่วงไม่กี่ที่ผ่านมานี้ก็รู้ว่าเขาคงยังจะมีความคิดที่จะรักษาให้หายอย่างยากลำบาก


เชย์ในอดีตนั้นที่แท้จริงเป็นเพียงเด็กกำพร้าที่จำความได้ เขาเติบโตอยู่ใน สาธารณรัฐบิสค็อตติ ถึงแม้จะอย่างนั้น แต่ก็อยากรู้ว่าที่แท้จริงใครทำร้ายเจ้าจนสาหัสกันแน่ทำได้แม้กระทั้งเด็กตัวเล็กๆในสมัยนั้น ชาร์รี่อยากรู้มาตลอด แต่เขาก็เคารพในความเป็นส่วนตัวของเชย์ จึงไม่เคยเอ่ยถาม ทว่าเขารู้สึกได้โดยสัญชาตญาณว่านิสัยในอดีตของเชย์กับนิสัยตอนนี้ต้องแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงอย่างแน่นอน ในอดีตเขาจะต้องผ่านประสบการณ์บางอย่างร้ายแรงมากถึงขนาดทำให้นิสัยใจคอเปลี่ยงแปลงไปเป็นแน่

เชย์ถอนหายใจ

เขาอยากรู้ว่าลุงบุญธรรมตัวเองอยากจะถามอะไร ส่วนคำตอบนั้นเขาก็ไม่ได้อยากจะหวงไว้ จึงเอ่ยว่า... "ในตอนนี้ตัวข้าก็เหมือนกับถังไม้ที่แตก ถึงแม้ความจุจะไม่เปลี่ยนไป แต่รอยแตกที่ถังก็จำกัดปริมาณน้ำที่จะใส่ลงไป ซึ่งมันใส่ได้เพียงนิดเดียวเท่านั้น ต่อให้มีทางรักษาแต่ก็ยังเป็นเหมือนเดิมไม่ได้เลย"

พูดจบเขาก็หยิบ'แหวน'ตรงกลางเป็นสีม่วงธรรมดาๆ แต่เวลาที่สวมใส่ เชย์มักรู้สึกพลังอ่อนๆอยุภายในนี้

ตอนนี้เอง หอนาฬิกาเพียงหนึ่งเดียวในหมู่บ้านของพวกเขากำลังส่งเสียงกังวาลใสต่อเนื่องติดกันสิบครั้งไปทั่วทั้งหมู่บ้าน...


"โว้ว ! ได้เวลารวมพลแล้ว ! เราจะมีการต่อสู้ระหว่างหมู่บ้านอีกฝั่งหนึ่ง ! ใครชนะจะได้รางวัลอย่างงาม  "อารมณ์เบื่อเซ็งของเชย์พลังเปลี่ยนเป็นฮึกเหิมทันที เขาเงยหน้ายิ้มด้วยความสะใจ "อย่างนี้สิ ค่อยมีอะไรทำขึ้นมาหน่อย"เขาหันมาพูดกับชาร์รี่

 เมื่อเห็นการเปลี่ยนท่าทีที่ดูเป็นธรรมชาติ ไม่ดูฝืนใจเลยสักนิดของเชย์ คนที่ไม่รู้จักเขาดีย่อมต้องคิดว่าท่าทางเซื่องซึมของเขาเมื่อก่อนหน้านี้เป็นการเล่นละคร

ยังไม่ทันที่ชาร์รี่จะเปิดปากพูดกับเฟรย์ว่าไม่ต้องฝืนทำเป็นยิ้มแย้ม ก็ได้ยินเชย์พูดด้วยความดีใจว่า "คราวนี้แหละ ฉันจะเอาเงินมาสร้างร้านบะหมี่ให้ยิ่งใหญ่ไปอีกนะลุง ! ด้วยวิทยายุทธเพี้ยนๆทั้งหมดของลุงนี้แหละ "

เพียงประโยคเดียวที่ผิดจากความคิดของตัวเองไปคนละทิศละทางนั้น ทำให้ชาร์รี่ลืมว่าจริงๆ แล้วตัวเองจะพูดอะไรในทันที เขาด้าวยาวๆจนทันแล้วกล่าวตักเตือนอย่างจริงจังว่า..."เชย์ ลุงขอเตือนอะไรบางอย่างนะ ศิลปะการต่อสู้ทั้งหมดที่ฉันสอน มันสามารถฆ่าคนได้ด้วยมือเปล่า ฉะนั้น จงใช้เพื่อประโยชน์ ไม่ใช่โทษ"
"พูดอย่างนี้ก็ไม่ถูก ลุงก็รู้ว่าผมเป็นคนยังไง"  พอฟังคำเทศนาของมิราจด้วยความอดทนจบ เชย์ผู้ซึ่งไม่สามารถจะทนรับฟังคำเทศนาได้อีกแม้แต่นิดเดียวก็แก้ตัวทันที ปฏิเสธความรับผิดชอบได้อย่างสะอาดหมดจดเรียบร้อยและรวดเร็ว
"แก..."
"ลุง..."

การมีเทศการ การสู้รบระหว่างหมู่บ้าน เรื่องเงินทองโยงมาถึงอารมณ์ความรู้สึกและความซื่อสัตย์ของเหล่าผู้โหยหาและเป็นเกียติยศอย่างหนึ่ง แม้จะง่วงกับการต่อปากต่อคำ แต่ความเร็วในการเดินของทั้งสองมีแต่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทั้งคู่เดินอย่างรวดเร็วไปที่ลานรวมพลกลางหมู่บ้าน

เทศการสู้รบนั้น จะไม่มีการเสียเลือดเสียเนื้อ ตามกฎสัญญาระหว่างทวีป โดยจะมีเกราะพลังคุ้มกัน คลุมให้ในพื้นที่การสู้รบ โดยผู้คนจะสู้รบกันระหว่างสองฝ่าย ผู้ที่พลาดท่า ถูกอาวุธโจมตี จะกลายเป็น บอลลูกสัตว์ไปทันที ต่อให้โดนของมีคมก็ไม่ตาย แต่ก็จะมีผลแค่ช่วงระยะหนึ่งก็จะกลับคืนสู่สภาพปกติ แต่ถ้ามีการสู้รบระดับสูงๆ เช่น ระดับประเทศหรือระดับทวีป ก็อาจจะกินเวลานาน และมีชุดเกราะครบครัน สามารถปกป้องร่างกายจากการโดนโจมตีได้ แต่ถ้าโดนโดยมีชุดเกราะป้องกัน ชุดเกราะจะแตกทันที หรือเราสามารถใช้ร่างกายส่วนใดส่วนหนึ่ง แตะที่หัวหรือหลังของศัตรูได้ ก็จะกลายเป็นบอลลูกสัตว์ทันทีและได้รับคะแนนพิเศษ แต่โอกาสทำได้ก็ยากเช่นกัน ฝ่ายใดผู้ที่มีคะแนนมากที่สุดก็เป็นฝ่ายชนะ และได้รับเงินจากการแข่งที่ซึ่งได้จากการรวมค่าสมัครของทุกคน ทั้งสองฝ่าย เอาไป 60% ผู้แพ้เอาไป 40% 

ดังนั้นเรื่องอะไรก็แล้วแต่เขาขี้เกียจหมด เว้นแต่การต่อสู้ระหว่างหมู่บ้านเขาไม่พลาด เพราะคนที่พลาดการสู้รบนี้ ก็จะไม่ได้รับเงินก้อนโตนั้นแหละ

ทันใดนั้น มีลำแสงพลังเวทย์พุ่งเข้ามา จากฟากฟ้า แล้วตกลงที่หมู่บ้านจุดหนึ่งแล้วเกิดระเบิดขึ้น

ดูจากสภาพมันน่าจะเสียหายเล็กน้อยแต่...

"เฮ้ย ! ร้านขายบะหมี่ของเราพวกเรา !!! " เชย์ และชาร์รี่ ร้องเสียงหลง เพราะจุดตกตรงนั้นคือบ้านของพวกเขาและเป็นที่ทำมาหากินของอาชีพทำร้านบะหมี่ด้วย

ไม่รู้ว่าใครเป้นคนยิงตราประทับออกไป แต่ที่แน่ๆคือ บรรดาโทสะทั้งสองกำลังพลุ่งพล่าน

ทั้งสองอ้าปากค้างไปพักหนึ่ง.....แล้วพูดว่า "ให้บทเรียนมันซะหน่อยเป็นไง สอนให้มันรู้ว่าการโจมตีใส่ที่ทำมาหากินของฉันมันไม่ดีเลย....หึหึหึ"พวกเขาไม่เศร้า มีแต่ความแค้นและกระหายเพื่อชัยชนะเท่านั้น



(50%)

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
5 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา