อิสราออนไลน์
-
1) โลกออนไลน์
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความบทนำ
สำเภาลำยักษ์แล่นฝ่าระลอกคลื่นลูกแล้วลูกเล่าไปอย่างบ้าระห่ำ ผิวน้ำแตกเป็นฟองยามปะทะเข้ากับโครงเรืออันแข็งแกร่ง หัวเรือรูปพญาราชสีห์แยกเขี้ยวคำรามอย่างน่าเกรงขามเหนือท้องนที เสากระโดงเรือขนาดสามคนโอบสี่ต้นแลเห็นเป็นเงาตะคุ่มอยู่ท่ามกลางพายุฝนที่โหมกระหน่ำ ที่ดาดฟ้าเรือลูกเรือหลายร้อยคนต่างตะโกนเอ็ดอึงกันวุ่นไป บ้างสาละวนอยู่กับการเก็บใบเรือที่เป็นอุปสรรคต่อการฝ่าไปเบื้องหน้า บ้างก็มันตรึงปืนใหญ่กว่าครึ่งร้อยให้ติดตรึงอยู่กับที่ไม่ร่วงหล่นลงทะเลไป หลายคนวิ่งลงไปใต้ท้องเรือต่างคนต่างประจำที่พร้อมทำหน้าที่ฝีพายทุกเมื่อ รอเพียงคำสั่งเท่านั้น
"พลังเวทย์จะหมดแล้ว!" ชายคนหนึ่งตะโกนแข่งกับเสียงพายุ นัยน์ตาสีนิลจับจ้องไปยังแสงสีเทาในลูกแก้วที่กำลังอ่อนแสงลงทุกขณะ เขาขบริมฝีปากแน่น รวบรวมพลังเฮือกสุดท้ายส่งพลังเวทย์ที่เหลืออยู่อีกเพียงน้อยนิดเข้าไป แสงสีเทาเรืองสว่างขึ้นชั่วขณะก่อนจะกลับจางลงเหมือนเดิม
"ใช้ฝีพายเดี๋ยวนี้! พลังเวทย์หมดแล้ว" นักเวทย์หนุ่มซึ่งบัดนี้พลังเวทย์ในกายหมดเกลี้ยงตะโกนซ้ำอีกครั้งก่อนจะยืนหอบหายใจอยู่ตรงนั้น ขวดน้ำยาเพิ่มพลังเวทย์หลายขวดกลิ้งกระทบกันไปมาอยู่บนพื้นดังแสบแก้วหูไปหมด แต่ชายหนุ่มก็หาได้สนใจไม่ สมองครุ่นคิดอยู่แต่เพียงว่า หากปราการแรกยังยากลำบากถึงเพียงนี้ ปราการต่อไปจะเป็นเช่นไร
ใบพายขนาดประมาณเรือบดแหวกผิวน้ำส่งสำเภาลำงามให้แล่นไปเบื้องหน้า เรือยักษ์ฝ่ากระแสคลื่นลมออกไปได้ไม่เท่าไหร่ก็โดนกระแสคลื่นพัดถอยหลังกลับมาอีก ลูกเรือร่วมร้อยคนช่วยกันทำหน้าที่ฝีพายอย่างพร้อมเพรียง ไม่มีใครปริปากบ่น ไม่มีใครชะลอมือเพราะต่างก็ต้องการจะไปให้ถึงจุดหมาย
"ให้ตายเถอะ ทำไมคลื่นลมมันแรงอย่างนี้?" นักเวทย์คนหนึ่งเอ่ยขึ้นลอยๆขณะนั่งพักเพื่อฟื้นฟูพลังเวทย์อยู่ในห้องอาหาร ที่มุมหนึ่งนักปรุงยากับลูกมือรวมสามคนช่วยกันปรุงยาเพิ่มพลังเวทย์กันอย่างชุลมุน ไม่น่าเชื่อว่าเพียงแค่การฝ่าด่านพายุเพียงด่านเดียวก็ทำให้น้ำยาเพิ่มพลังเวทย์ที่สำรองมาเกือบสองพันขวดอันตรธานหายไปหมดในเวลาเพียงสามสิบนาที และตอนนี้น้ำยาเพิ่มพลังชีวิตก็เหลือไม่ถึงพันขวดแล้ว นับว่าเป็นสถานการณ์ขั้นวิกฤติเลยทีเดียว
"ถ้าไม่แรงอย่างนี้เห็นทีคงจะไม่ใช่เควสแห่งตำนาน" นักเวทย์อีกคนกล่าว กระดกขวดน้ำยาเพิ่มพลังเวทย์รวดเดียวหมดขวด รสเฝื่อนของยาค้างอยู่ในปากจนหน้าเบ้ พลังเวทย์เพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งพันหน่วย แต่นั่นก็ยังไม่พอสำหรับการคุมเรือ
"แต่สามสิบนาทีล่อพลังเวทย์ของพวกเรายี่สิบหกคนหมดเกลี้ยงเลยเนี่ยนะ? มันจะเกินไปหน่อยแล้ว" อีกเสียงร้องบอกมาอย่างสับสน นักเวทย์ทั้งยี่สิบหกคนในคณะต่างก็ระดับสูงเกินสี่สิบกันแล้วทั้งนั้น ค่าพลังเวทย์รวมกันก็ร่วมสามหมื่น แต่เพียงชั่วระยะเวลาไม่นานพลังเวทย์ก็หมดเกลี้ยงไม่มีเหลือ
"อย่าบ่นอยู่เลย ใครพอฟื้นตัวบ้างแล้วก็ไปชาร์ตพลังใส่เครื่องไว้ พอครบหน่วยจะได้เดินเครื่องช่วยอีกแรง" ใครสักคนที่ดูเหมือนจะเป็นหัวหน้าพูดตัดบทอย่างรำคาญเต็มที
สามชั่วโมงต่อมาสำเภายักษ์ก็แล่นฝ่าเขตพายุออกมาได้สำเร็จ แต่ยังไม่ทันที่เหล่านักผจญภัยจะได้พักหายใจ แนวหินโสโครกก็ปรากฏเป็นแนวดำขวางอยู่เบื้องหน้าก้อนหินสีดำมะเมื่อมรูปร่างน่าเกลียดโผล่พ้นผิวน้ำขึ้นมาเป็นแนวยาวราวกับกำแพงที่มีใครบรรจงสร้างขึ้นมาฉะนั้น
สำเภายักษ์พุ่งตรงไปยังโขดหินใหญ่ด้วยแรงส่งมหาศาลที่ใช้ต่อสู้กับลมพายุ กับตันสาวพวงมาลัยสุดตัวจนเกือบจะล้มกลิ้ง เรือยักษ์เองก็เอียงเสียนพวกลูกเรือใจหายใจคว่ำ เสียงต้นหนตะโกนบอกทางดังแข่งกับเสียงพายุฟังแทบไม่ได้ศัพท์
สำเภาใหญ่แล่นผ่านช่องว่างระหว่างหินยักษ์องก้อนหลุดออกไปยังเวิ้งน้ำเบื้องน้อกได้สำเร็จ แม้ว่าใบพายจะกระแทกกับหินแหลกไปเสียหลายใบ
เวิ้งน้ำเบื้องนอกแลดูสงบนิ่งอย่างน่าประหลาด มองไปทางใดก็เห็นแต่ท้องฟ้าสีครามกับปุยเมฆสีขาวเท่านั้น สายลมโกรกจากด้านหลังเรือไปข้างหน้ากัปตันจึงสั่งให้ชักใบเรือเพื่อแล่นไปตามกระแสลม เหล่านักผจญภัยทั้งหลายลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก ต่างพากันพักผ่อนเพื่อผ่อนคลายความเมื่อยล้าของร่างกาย กับความตึงเครียดของปนะสาทจากเหตุการณ์ที่ผ่านมา
นานเท่าใดไม่อาจทราบ รอบกายมีแต่ความเงียบสงบจนอดประหลาดใจเสียไม่ได้ แต่แล้วกระแสน้ำที่เคยไหลเอื่อยก็ไหลแรงขึ้น พร้อมกับเสียงของระบบที่ประกาศก้องขึ้นให้ได้ยินทั่วกันทั้งคณะ
"ทะเลฉากชายขอบชมพูทวีป ไม่สามารถใช้คาถาสำหรับเคลื่อนย้ายได้ เปอร์เซนต์การรอดจากอุบัติเหตุ ๐.๐๒ เปอร์เซนต์ กรณีผู้เล่นเสียชีวิตจะถูกลดระดับลงสามในสี่ส่วน และใช้เวลาเกิดใหม่นานเป็นสามเท่าของปกติ" สิ้นเสียงประกาศต่างคนต่างก็มองหน้ากันเลิกลั่กด้วยไม่เข้าใจว่าต่อไปจะพบกับอะไร
แต่ไม่ทันที่ใครจะได้พูดอะไรต่อไป สำเภายักษ์ก็ถูกกระแสน้ำพัดตกลงไปยังท้องน้ำเบื้องล่างที่อยู่ไกลออกไปเสียจนไม่รู้ว่าจะไปถึงมื่อไหร่
"ห่าเอ๊ย! นี่มันขอบโลกหรือไงวะ?" เสียงใครบางคนสบถออกมา แล้วรอบกายก็มีเพี้ยงเสียลมกับละอองน้ำที่กลายเป็นไอหมอกไปด้วยความสูงสุดหยั่งนั้นเอง
๐๐๐๐๐๐๐
"หัวหน้าครับ ชวดไปอีกกลุ่มแล้วครับ" เสียงใครคนหนึ่งรายงานหัวหน้าแผนกอย่างหน่ายๆ สายตาจับจ้องอยู่ที่จอภาพของตน ในจอนั้นกำลังแสดงภาพสำเภายักษ์ที่แตกเป็นเสี่ยงๆด้วยแรงกระแทกมหาศาลจากการตกลงมาจากขอบทวีป นอกจากวากเรือแล้วยังมีร่างของผู้เล่นลอยเกลื่อนกลาด แถบแสดงสถานะบ่งบอวกว่าทุกคนไม่เหลือพลังอะไรเลยแม้แต่ค่าเดียว ไม่ว่าจะเป็นพลังชีวิต พลังจิต หรือพลังเวทย์
"อีแบบนี้ก็ไม่ได้เห็นจของในตำนานสักทีสิ น่าเบื่อชะมัด" เพื่อนพนักงานอีกคนกล่าว
"อย่าเพิ่งพูดถึงของในตำนานเลยคนจะพาลเบื่อเลิกเล่นไปเสียก่อนน่ะสิไม่ว่า" อีกคนกล่าว
"แค่ ๗,๗๗๗ ภารกิจยังไม่มากพอให้เล่นในทวีปแรกอีกหรือ?" เสียงหัวหน้าแผนกกล่าวขึ้นลอยๆ แล้วว่าต่อไป "ถ้ายังว่างกันอยู่ก็ไปคุมภารกิจของตัวเองให้ดีเถอะ ไอ้ภารกิจตำนานนั่นน่ะยังมีเวลาอีกนาน ช่วงนี้ก็จดๆไว้ด้วยก็แล้วกันว่าใครได้ของอะไรไปบ้าง แล้วก็อย่าออกของแรร์ไปให้มากนักเดี๋ยวจะหาว่าไม่เตือน"
"เอ๊ะ ทำไมหรือครับหัวหน้า?" ลูกน้องคนหนึ่งถามอย่างแปลกใจ
"หรือว่าบริษัทจะหักโบนัสถ้าเราปล่อยของแรร์มากไปหรือครับ?" อีกคนโพล่งขึ้นสีหน้าตื่นๆ หัวหน้าแผนกได้แต่หัวเราะเบาๆพูดว่า
"เปล่า แค่ไม่จดไว้ประเดี๋ยวจะดูไม่สนุก"
"ดูอะไรครับ?"
"ก็สงครามนะสิ" ทิ้งท้ายไว้เท่านั้นก็กลับไปทำงานต่อ ปล่อยให้ลูกน้องมองหน้ากันเลิกลั่กอย่างไม่เข้าใจ
๐๐๐๐๐๐๐
ณ ทุ่งกว้างที่มีสายลมเย็นพัดโกรกตลอดเวลา หญิงสาววัยสิบเก้าปีคนหนึ่งกำลังอ่านจดหมายจากเพื่อนรักอยู่ด้วยดวงตาเป็นประกายแจ่มใส
-คิดถึงจังเลยแก เป็นไงบ้าง หายหน้าหายตาไปเลยนะ นี่นี่มาเล่นเกมด้วยกันเถอะ จะได้เจอกันไง อีกอย่างเกมเสมือนจริงเดี๋ยวนี้เขาพัฒนาไปมากเลยนะยะ แต่ไม่ใช่คอเกมอย่างเธอคงไม่รู้หรอก แต่มันให้ความรู้สึกเหมือนตัวเราไปอยู่อีกโลกหนึ่งเลยล่ะ ตอนนี้เค้าเล่นเกมค่ายอิสระออนไลน์อยู่ ถ้าไงมาเล่นด้วยกันนะเพิ่งออกมาเกมแรกก็ฮิตติดตลาดเลยสนุกโคตร
ปล.ในเกมเค้าเล่นตัวผู้ชายชื่อ อคิลลิส นะ ไว้เข้าเกมแล้วส่งข้อความมานะจะแอดเฟรนด์ไป
(เชื่อว่าแกทำไม่เป็นแหงๆ เพราะงั้นฉันแอดไปเอง โอเคนะ)
คิดถึงโคตรๆ(สาลินี) –
อ่านเสร็จหญิงสาวก็นิ่งไป ดวงตาสีดำคู่สวยจ้องหน้าจอไม่กระพริบ ก่อนที่มุมปากจะขยับยกขึ้นเล็กน้อย ความตื่นเต้นเล็กๆบังเกิดขึ้นในใจ หญิงสาวรีบหาข้อมูลของเกมที่ว่าโดยเร็ว
หลังจากอ่านไปได้สักพัก รอยยิ้มกว้างก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของหญิงสาว ประตูแห่งอิสระภาพเปิดขึ้นต่อหน้าเธอแล้ว เหลือเพียงแต่ว่าเธอจะสามารถก้าวผ่านเข้าไปได้หรือไม่เท่านั้น
"พี่หมอจะให้เล่นไหมนะ?" เธอพึมพำกับตัวเอง พลันเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น หญิงสาวปิดเครื่องฉายภาพสามมิติตามมารยาท สมองคิดหาคำพูดเหมาะๆที่จะพูดกับคนที่กำลังจะเข้ามาโดยเร็ว
๐๐๐๐๐๐๐
ตอนที่๑ โลกออนไลน์
"ยินดีต้อนรับเข้าสู่อิสราออนไลน์ค่ะ" เสียงเจ้าหน้าที่ประจำห้องเริ่มเกมกล่าวช้าๆ อย่างชัดถ้อยชัดคำ เมื่อการเชื่อมต่อเข้าสู่ระบบเกมของหญิงสาวเสร็จสมบูรณ์
หญิงสาวผู้มีเรือนผมสีชมพูเงางามดุจแพรไหมตรงหน้าสร้างความประหลาดใจให้แก่ผู้เล่นใหม่ไม่น้อย เครื่องแต่งกายของพนักงานสาวแลดูต่างไปจากเกมออนไลน์อื่นๆมาก สไบสีบานเย็นพาดเฉียงไปทางซ้ายพาดทับด้วยผ้าสีขาวโปร่งที่ถักทอขึ้นด้วยด้ายเส้นเล็กเป็นลวดลายวิจิตรงามตา หล่อนนุ่งผ้าจับจีบเป็นระบายพลื้วสวย บุพชาตินานาพันธุ์ถูกนำมากรองร้อยประดับเรือนร่างตั้งแต่เรือนผมเรื่อยไปจนถึงเท้า ดูงามอย่างประหลาดและลึกลับอยู่ในที
หญิงสาวผู้เล่นใหม่ได้แต่จ้องภาพตรงหน้าอย่างตกตะลึง แทบจะไม่ได้ยินเสียงของเธอที่กำลังพูดอยู่เลย
"โปรดตรวจสอบความเรียบร้อยของการเชื่อมต่อด้วยค่ะ" เจ้าหน้าที่สาวกล่าวช้าๆ แต่เมื่อเห็นอากัปกิริยาของหญิงสาวตรงหน้าที่ดูจะไม่เข้าใจ หล่อนจึงช่วยบอกให้ผู้เล่นลองขยับแขนขา และทดสอบการทรงตัวอย่างง่ายๆ ผลก็คือผู้เล่นใหม่ในความดูแลของเธอล้มก้นจ้ำเบ้าตั้งแต่ก้าวแรกที่ทดลองเดิน
"ต่อไปคือขั้นตอนการสร้างตัวละครขอให้ผู้เล่นปฏิบัติตามคำแนะนำด้วยค่ะ" เธอกล่าวขึ้นในที่สุด หลังจากช่วยผู้เล่นใหม่หัดเดินจนคล่องแล้ว พร้อมๆกันนั้นเองหน้าต่างสร้างตัวละครก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า
หญิงสาวกวาดสายตามองหน้าต่างสร้างตัวละครอย่างพยายามทำความเข้าใจ ตัวอักษรสีทองเรียงเป็นระเบียบอยู่ทางด้านซ้าย จากการอ่านผ่านๆก็พอเข้าใจว่าใช้สำหรับปรับแต่งรายละเอียดของตัวละคร ทางขวาเป็นภาพจำลองตัวผู้เล่นที่ตอนนี้เป็นเพียงหุ่นไร้หน้าสีขาวเท่านั้น
"สำหรับการกรอกข้อมูลและปรับเปลี่ยนลักษณะของตัวละคร สามารถทำได้โดยการใช้มือสัมผัสค่ะ" เสียงพนักงานผู้ช่วยแว่วมา ช่วยให้ผู้เล่นใหม่ที่กำลังทำอะไรไม่ถูกเริ่มต้นสร้างตัวละครของตนเองได้
หญิงสาวใช้ความพยายามในการชื่ออยู่นานพอสมควรกว่าระบบจะทำการแปลลายมือของเธอเป็นตัวอักษรได้ถูกต้อง 'ทำไมไม่ให้พิมพ์แทนนะ' เธอนึกบ่นอยู่ในใจ มองดูอักขระสี่ตัวที่เธอพยายามเขียนอยู่ร่วมสิบนาทีอย่างหงุดหงิดก่อนจะกดปุ่มยืนยันชื่อตัวละคร
"ชื่อ วาตา สามารถใช้ได้ค่ะ" พนักงานสาวกล่าวหลังจากระบบทำการตรวจสอบเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
หญิงสาวเลือกตัวเลือกการจำลองร่างจริงในแถบตัวเลือก พลันหุ่นสีขาวก็กลายเป็นภาพจำลองสามมิติของตัวเธอที่ดูคล้ายกันมากจนน่าขนลุก จะผิดกันก็ตรงที่ที่ภาพจำลองนั้นมีผิวพรรณที่เรียบเนียนแลดูมีน้ำมีนวลมากกว่าเจ้าตัว หญิงสาวทำการปรับสีผิวกับสีตาอีกนิดหน่อยก่อนจะกดยืนยันตัวละคร โดยไม่เปลี่ยนรูปร่าง เพศ อายุ หรือเผ่าพันธุ์ ระบบทำการยืนยันตัวละคร จากนั้นแสงสีชมพูก็อาบไปทั่วเรือนร่างของหญิงสาวเปลี่ยนรูปลักษณ์ของเธอให้กลายเป็นตัวละครวาตา
"โปรดตรวจสอบความเรียบร้อยและทำการยืนยันอีกครั้งค่ะ หากท่านทำการยืนยันแล้วจะไม่สามารถแก้ไขตัวละครได้อีก ดังนั้นกรุณาตรวจสอบให้ถี่ถ้วนก่อนกดยืนยันค่ะ"
วาตาสำรวจดูตัวเองในกระจกที่จู่ๆก็ปรากฏขึ้นกลางอากาศ นึกโล่งใจที่ไม่ต้องนุ่งผ้าให้เดินสะดุดเล่นเหมือนเจ้าหน้าที่สาว ท่อนบนเป็นเสื้อยืดสีครามหม่นสวมทับด้วยเสื้อกั๊กสีน้ำเงิน ส่วนท่อนล่างเป็นกางเลสีน้ำตาลอ่อนยาวคลุมเข่า ส่วนรองเท้าเป็นรองเท้าเชือกสานสีน้ำตาล หลังจากสำรวจตัวเองจนเป็นที่พอใจแล้วเธอก็กดยืนยันครั้งสุดท้าย
"ผู้เล่นวาตา ทำการยืนยันตัวละคร" เสียงประกาศจากระบบดังขึ้น กระจกบานใหญ่หายไปและเจ้าหน้าที่สาวก็กล่าวนำวาตาเข้าสู่ขั้นตอนสุดท้าย พร้อมกับหน้าต่างทางเลือกที่ปรากฏขึ้นอีกครั้ง
"กรุณาเลือกจุดกำเนิดตัวละครค่ะ"
-คำอธิบาย: จุดกำเนิดตัวละครคือจุดเกิดจุดแรกในเกมของตัวละคร เมื่อตัวละครตายจะเกิดใหม่ที่จุดเกิดนี้
ตัวเลือกจุดกำเนิดตัวละคร
๑.หอนาฬิกาแห่งการเริ่มต้น (ค่าเริ่มต้นของเกม)
คำอธิบาย: ตั้งอยู่ใจกลางเมืองเริ่มต้นปทุมมา
๒.จุดกำเนิดตัวละครแบบสุ่ม
คำอธิบาย: ระบบจะทำการสุ่มจุดกำเนิดของตัวละครจากจุดพัก ๗๐๐ จุดในทวีปเริ่มต้น-
วาตาเลือกทางเลือกที่สองอย่างไม่ลังเลเท่าไหร่ ด้วยเหตุผลง่ายๆที่ว่า 'น่าสนใจ'
๐๐๐๐๐๐๐
ทวีปชมพู เมืองปทุมมา
จตุรัสกลางเมืองเนืองแน่นไปด้วยผู้คน พ่อค้าแม่ขายตั้งแผงลอยอยู่เรื่อยไปบนถนนจนผู้คนที่สันจรไปมาต้องเดินเรียงแถวกันอย่างเลี่ยงไม่ได้ บรรยากาศการซื้อขายแลกเปลี่ยนเป็นไปอย่างคึกคัก ทำให้บรรยากาศในเกมไม่น่าเบื่อจนเกินไปนัก เพราะผู้เล่นหลายคนก็เริ่มขยาดกับการออกไปเก็บค่าประสบการณ์คนเดียวกันแล้ว
"ของแปลกๆเพียบเลยแฮะ ไม่รู้ไปขนมาจากไหน" ชายหนุ่มในชุดเกราะเบาแบบยุโรปเปรยขึ้นกับพรรคพวกที่มาด้วยกัน พลางกวาดสายตาไปยังแผงลอยรอบๆอย่างนึกฉงน ข้าวของบางอย่างเห็นได้ชัดเลยว่าไม่ได้ตกมาจากสัตว์แถวนี้
"นั่นสิ ของบางชิ้นไม่ได้ตกจากสัตว์ทั่วไปสักหน่อย แต่เอามาขายกันเกลื่อนอย่างกับตีหนูได้อย่างนั้นแหละ" หญิงสาวอีกคนเสริมอย่างเห็นด้วยขณะที่สายตาจับจ้องไปยังคทาเวทย์ชั้นดี หากไม่ติดที่ว่าเธอมีตะพดไม้ตะเคียนอยู่ในมือแล้วล่ะก็คทานั่นต้องอยู่ในมือของเธอเดี๋ยวนั้น
"บริษัทเกมคงแอบปล่อยออกมาล่ะมั้ง ไม่อย่างนั้นคนคงหนีหมด เพราะทนเห็นสีชมพูกวนประสาทนี่ไม่ไหว" อีกคนในกลุ่มเปรย น้ำเสียงส่อเค้าความหงุดหงิดจนรู้สึกได้
"เอาน่าไซนาย เขาไม่ทำป่าเป็นสีชมพูก็บุญแค่ไหนแล้ว?" หนุ่มในชุดเกราะกล่าวปลอบใจเพื่อนผู้เกลียดชังสีชมพูเป็นที่สุด หรืออันที่จริงอาจจะแค่ทนดูเมืองสีชมพูไม่ไหวก็เป็นได้
"คิล! นายไม่เห็นรึไงขนาดจวนผู้ว่ายังเป็นสีชมพูเลยนะ แบบนี้มันไม่เกินไปหน่อยรึไง?" ไซนายโอดครวญชี้ไปทางจวนผู้ว่าที่เป็นอาคารไม้ทรงคล้ายตึกยุโรป มุงหลังคาแบบเรือนไทยโบราณดูสวยลงตัวได้กลิ่นอายของเมืองเก่าในอดีต แต่จุดที่เจ้าไซนายเห็นว่าเป็นปัญหาและกำลังโวยวายอยู่ก็คือสี
กระเบื้องมุงหลังคาสีบานเย็นเข้ม หน้าจั่วสีชมพูอ่อนเหมือนกลีบบัว หน้าต่างบานคู่ทางสีชมพูแก่ เช่นเดียวกันกับไม้ฉลุที่ประดับตามขอบชายคา แม้แต่ป้ายชื่ออาคารก็เป็นสีชมพูจะมีก็แต่ตัวหนังสือเท่านั้นที่ทาสีทอง เมื่อดูโดยผาดๆก็จะเห็นว่าสีที่ใช้ทาไม่ได้น่าเกลียดอะไรมากมาย หากไม่ใช่เพราะอาคารโดยรอบก็มีสีที่ไม่ต่างกันมากนัก
อคิลลิสถอนหายใจอย่างระอา หันไปสบตาเพื่อนอีกสองคนที่ต่างก็พยักหน้าเป็นนัยให้รีบจัดการ ลำแขนแข็งแกร่งตามแบบนักรบรวบคอเพื่อนที่กำลังโวยให้ลอยลิ่วติดไปกับตัว อคิลลิสสาวเท้าเดินตามสองสาวที่เดินล่วงหน้าไปแล้วโดยไม่สนใจว่าปลอกแขนของตนจะรัดแน่นเสียจนเพื่อนหายใจไม่ออกก็ตาม
สาวงามสองคนที่ก้าวเข้ามาในร้านอาหาร เรียกความสนใจจากบรรดาลูกค้าหนุ่มๆได้เป็นอย่างดี คนหนึ่งรูปร่างสูงหุ่นดีเหมือนนางแบบ ดวงตาคม จมูกโด่งเป็นสัน ริมฝีปากแดงอิ่มรับกับดวงหน้ารูปไข่ เรือนผมสีเขียวใบมะกรูดทิ้งตัวลงล้อมกรอบใบหน้าให้แลดูเด่นขึ้น อีกคนหนึ่งเป็นสาวงามผมสีน้ำตาลอ่อน รูปร่างเล็กเหมือนเด็กๆ ซึ่งก็สมแล้วกับใบหน้ารูปหัวใจและดวงตากลมโตน่ารักของเธอ
สองสาวรู้สึกได้ถึงสายตาหลายคู่ที่จับจ้องมาแต่ก็ไม่แสดงท่าทีใดๆ อินทิราแจ้งจำนวนที่นั่งที่ต้องการกับพนักงานก่อนจะเดินไปยังโต๊ะที่พนักงานจัดให้ โดยมีฟลอร่า กับอคิลลิสที่ลากคอไซนายเดินตามไปติดๆ
พอเห็นว่าสองสาวไม่ได้มาเพียงลำพัง ผู้เล่นบางคนก็เบือนสายตาไปทางอื่นอย่างนึกเสียดาย แต่บางคนก็ยังไม่ละสายตาไปจากสองสาว พยายามพิเคราะห์ดูอากัปกิริยาของทั้งสี่ว่าเป็นแค่เพื่อนกันหรือมากกว่านั้น
"ทำบ้าอะไรเนี่ย? ดูซิเลือดลดเลยเห็นมั้ย" หย่อนก้นลงนั่งปุ้บก็โวยวายขึ้นปั๊บ นี่แหละไซนายหัวขโมยที่(เสียง)ดังที่สุดในทุ่งสุนัขร้อง อคิลลิสไม่พูดอะไรหันไปสั่งอาหารจากพนักงาน โดยไม่ลืมที่จะสั่งเผื่อเพื่อนที่อีกเดี๋ยวคงปะทะคารมให้หายเหงาปากกันอีกเหมือนเคย
"นายจะหยุดโวยวายบ้างไม่ได้เลยหรือไงไซนาย?" ฟลอร่าโวยขึ้นอย่างเหลืออด นัยน์ตาสีน้ำตาลแก่ฉายประกายแห่งความโกรธเกรี้ยวจนไซนายอดขนลุกไม่ได้ มือบางกำไม้ตะพดแน่นนึกอยากจะฟากปากเจ้าตัวกวนประสาทสักทีสองที โทษฐานที่ชอบทำให้หงุดหงิดอยู่เรื่อย
"ใจเย็นๆสิจ๊ะฟลอร่า ก็รู้ๆกันอยู่ว่าไซนายเขาเป็นแบบนี้อย่าไปถือเขาเลยนะ" อินทิราปรามก่อนที่จะเกิดสงครามย่อมๆขึ้นในร้านอาหารแห่งนี้
"ก็มันน่าไหมเล่า?" นักเวทย์สาวยังไม่หายหงุดหงิด จ้องไซนายราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ
"ผู้หญิงอาไร้ดุอย่างกะเสือ สู้อินทิราก็ไม่ได้ใจดีเหมือนนางฟ้า" ไซนายพูดลากเสียงหมายยั่วอีกฝ่าย ขณะที่อคิลลิสสำลักน้ำจนอินทิราหันมามองตาเขียวพร้อมกับเตะแรงๆที่หน้าแข้ง ชายหนุ่มสะดุ้งแต่ก็ขบฟันไม่ส่งเสียงใดใดออกมา ได้แต่มองแม่สาวผมเขียวตาปริบๆราวกับจะถามว่าเรื่องแค่นี้ต้องเตะกันแรงขนาดนี้หรือ
"กับคนอย่างนายใจดีด้วยไหวเหรอ?" นักเวทย์สาวว่าพยายามสลัดมือที่ถูกอินทิรายึดไว้หมายจะฟาดปากคนตรงข้ามสักทีสองที แต่ก่อนที่ใครจะได้โต้คารมกันต่อ หรือสงครามย่อยๆจะบังเกิด อคิลลิสก็จุดประเด็นขึ้นมาเสียก่อน
"เรามาช่วยกันคิดดีกว่าว่าจะไปอัพเวลกันที่ไหน"
ประเด็นนี้เรียกความสนใจจากทั้งกลุ่มได้เป็นอย่างดี เพราะแต่ละคนก็ระดับสูงเกินสี่สิบกันแล้ว การจะเก็บค่าประสบการณ์เพื่อเลื่อนระดับในทวีปเริ่มต้นนั้นเป็นเรื่องลำบากยิ่ง ต่างคนก็ต่างเปลี่ยนช่องสนทนาเป็นช่องสนทนาเฉพาะกลุ่มอย่างรู้หน้าที่
"ได้ข่าวว่าป่าละเมาะทางทิศใต้สัตว์ธาตุระดับสูงๆโผล่มาบ่อยๆนะ" ฟลอร่าเอ่ยขึ้นในที่สุดหลังจากทบทวนข้อมูลอยู่นาน
"สัตว์ธาตุสำหรับนักเวทย์อย่างเธอก็ดีอยู่หรอก แต่สำหรับสายต่อสู้มันให้ค่าประสบการณ์ไม่คุ้มเลย ถ้าเป็นสัตว์อสูรค่อยว่าไปอย่าง" ไซนายแย้ง ยังจำครั้งแรกที่เผชิยหน้ากับสัตว์ธาตุได้ไม่ลืม
ตอนนั้นเขาเพิ่งจะเลื่อนเป็นระดับสิบได้ไม่นานกำลังตีสัตว์เก็บค่าประสบการณ์รอพรรคพวกอยู่ที่ทุ่งหญ้านอกเมือง สัตว์แถวนั้นระดับต่ำและไม่เข้าโจมตีผู้เล่นก่อน ส่วนมากจะเป็นพวกแกะ กระต่าย และหนู ตอนแรกเขาก็ไล่สังหารสัตวืเหล่านั้นไปตามปกติ แต่ด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์จึงเผลอไปโจมตีแกะสีชมพูเข้าให้ และนั่นทำให้เขาเกือบเอาชีวิตไม่รอด
"กลัวโดนย่างสดอีกสิท่า" ฟลอร่ายิ้มเยาะ เธอยังจำภาพที่เจ้าเพื่อนตัวดีของเธอกระโดดเต้นแร้งเต้นกาอยู่ในทะเลเพลิงสีแดงฉานที่ลุกลามไปทั้งท้องทุ่งได้ไม่ลืม
"พอได้แล้วน่าทั้งสองคน" อินทิราปรามเมื่อเห็นว่าเพื่อนทั้งสองตั้งท่าจะทะเลาะกันอีกรอบ สีหน้าของเธอแลดูอ่อนโยน แต่อคิลลิสเดาว่าภายในคงตีหน้ายักษ์อยู่เป็นแน่
"เอ่อ...ใครพอจะมีข่าวเกี่ยวกับเควสดีๆบ้างไหม?" อคิลลิสถามปูทาง เขาเองก็ไม่นิยมการล่าสัตว์ธาตุเหมือนกับไซนายและผู้เล่นสายต่อสู้สติดีทั้งหลาย เพราะเป็นที่รู้กันดีแล้วว่าสัตว์ธาตุนั้นเหมาะกับการฝึกทักษะการควบคุมพลังธาตุของสายอาชีพนักเวทย์
"เควสงามๆใครเขาจะบอกข่าวกันเล่า?" ไซนายว่าพลางถอนหายใจหนักๆครั้งหนึ่ง สำหรับเขาเควสก็คือของขวัญจากสวรรค์ที่ให้ค่าประสบการณ์สองชั้นซ้อนแถมดีไม่ดีอาจจะได้ของหรือความสามารถพิเศษเพิ่มมาด้วยก็ได้เรียกว่าคุ้มเกินคุ้ม
"คิล" อินทิราเรียกเพื่อนชายพร้อมกับส่งสมุดเล่มเล็กข้ามโต๊ะมา "ทั้งหมดที่มีอยู่ตอนนี้ ดูๆกันไปก่อนนะขอเวลาหาข่าวแป๊บ" พูดจบสายตาคมดุจเหยี่ยวของเธอก็กวาดมองออกไปรอบตัว ไม่สนใจต่อเหตุการณ์บนโต๊ะอีกต่อไป
สามคนที่เหลือไม่ปริปากพูดอะไร ต่างรู้ดีว่าตอนนี้สมาธิของเพื่อนสาวหายไปจากโต๊ะตัวนี้แล้ว อคิลลิสอ่านข้อความในสมุดให้อีกสองคนที่เหลือฟังผ่านช่องสนทนาลับของกลุ่ม แล้วหารือกันว่าภารกิจใดบ้างที่ให้ค่าประสบการณ์และของรางวัลคุ้มกับแรงที่ลงไป
ขณะที่เพื่อนๆของเธอกำลังพิจารณาเงื่อนไขและรางวัลของภารกิจจากสมุดที่เธอให้ไป สาวงามผมสีใบมะกรูดก็ทอดสายตาเหม่อลอยออกไปอย่างไร้จุดหมายอาการคล้ายกับเบื่อบทสนทนาระหว่างเพื่อนนี้เต็มที แต่ความจริงแล้วนัยน์ตาสีดำคมดุจเหยี่ยวคู่นั้นกำลังลอบอ่านปากเพื่อเข้าถึงข้อมูลในบทสนทนาของคนในร้านอย่างตั้งอกตั้งใจ ตัวเลขค่าความชำนาญของความสามารถพิเศษเพิ่มขึ้นเรื่อยๆอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุด
"ผู้เล่นอินทิรา ความสามารถพิเศษอ่านโอษฐ์เป็นระดับ ๗" เสียงของระบบประกาศขึ้นให้ผู้เล่นสาวได้ยินเพียงคนเดียว ริมฝีปากสีแดงสดขยับยิ้มอย่างพอใจ เธอหลงรักเกมนี้ชนิดที่ไม่คิดจะไปเล่นเกมอื่นก็เพราะระบบทักษะของเกมนี่แหละ
อิสราออนไลน์จะแบ่งทักษะของผู้เล่นออกเป็น ทักษะทั่วไป กับ ทักษะพิเศษ ซึ่งความสามารถทั้งสองประเภทนี้แตกต่างกันที่ผลลัพ์ของความชำนาญ โดยค่าความชำนาญของทักษะทั่วไปจะส่งผลต่ออาชีพของผู้เล่น ในขณะที่ค่าความชำนาญของทักษะพิเศษจะส่งผลต่อสถานะของผู้เล่น
สถานะของผู้เล่นมีลักษณะคล้ายอาชีพ แต่จะไม่มีการประกาศชื่อในกระดานข่าวอาชีพของระบบ ตามปกติแล้วสถานะจะไม่มีระดับมีเพียงชื่อสถานะ กับความสามารถพิเศษของสถานะนั้นๆเท่านั้น มีสถานะไม่กี่สถานะที่มีระดับและเงื่อนไขการเลื่อนระดับเหมือนอาชีพ แต่ในปัจจุบันไม่มีผู้เล่นคนใดยอมเปิดเผยชื่อสถานะเหล่านั้นออกมาเลย จะมีก็แต่ข้อมูลเบื้องต้นในเว็บหลักของเกม กับข่าวลือที่พูดกันเป็นครั้งคราวเท่านั้น
สำหรับอินทิราเธอได้รับทักษะพิเศษ "อ่านโอษฐ์" มาโดยบังเอิญจากการอ่านปากผู้เล่นสองคนที่กำลังคุยกันอยู่ในช่องสนทนาเฉพาะกลุ่มโดยไม่ได้ตั้งใจ ใครจะรู้เล่าว่าคำด่าสองสามคำจะทำให้เธอได้รับทักษะพิเศษที่เป็นประโยชน์มาไว้ใช้งาน(แน่นอนว่าเธอไม่ได้บอกใครถึงทักษะพิเศษอันนี้) และเมื่อนำทักษะพิเสานี้มารวมกับทักษะพิเศษอื่นๆที่มีทำให้อินทิร้เป็นผู้เล่นคนแรกที่ได้รับสถานะ "นักจารกรรมข้อมูล
อินทิรากัดฟันแน่นอย่างขัดใจเมื่อบทสนทนาในร้านเป็นเรื่องของเธอกับฟลอร่าไปเสียสามในสี่ส่วน อีกหนึ่งส่วนที่เหลือก็ไม่มีข้อมูลที่น่าสนใจ ส่วนใหญ่จะเพี้ยนไปจากข้อมูลจริง(ที่เธอมี)เสียด้วยซ้ำ หญิงสาวถอนหายใจอย่างผิดหวังที่ไม่ได้ข้อมูลอะไรเลย นึกปลอกใจตัวเองว่าอย่างน้อยระดับทักษะก็เพิ่มขึ้น
"มีอะไรน่าสนใจไหม?" อคิลลิสกระซิบถามผ่านช่องสนทนาลับ เมื่อเห็นว่าอินทิราเลิกให้ความสนใจกับโต๊ะอื่นๆแล้ว
"มี" อินทิราตอบพลางคลี่ยิ้ม
คำตอบนั้นทำให้หนุ่มผมดำขยับจะยิ้มแต่แล้วก็ต้องชะงักหุบยิ้มลงทันทีกับประโยคที่ตามมา"ที่โต๊ะเจ็ดกำลังเถียงกันว่าระหว่างชั้นกับช้องนางใครสวยกว่ากัน"
ชายหนุ่มพ่นลมออกทางจมูกอย่างมิรู้จะกล่าวคำใดกับท่าทางของสหายคนสวย "ช้องนางไหน? ป้าที่ขายก๋วยเตี๋ยวอยู่หน้าปากซอยนั่น-โอ๊ย!"
ยังไม่ทันจะพูดจบบู๊ทแข็งๆก็กระแทกลงบนหลังเท้าเต็มแรก "บ้า!" อินทิราตวาดแหว "ช้องนางที่เป็นนางแบบต่างหากล่ะยะ"
"อินทิรามาช่วยเลือกหน่อยสิว่าจะทำเควสไหนก่อนหลังดี คุยกับอีตานี่มีแต่จะอารมณ์เสียเปล่าๆ" ฟลอร่าพูดแทรกขึ้นมา ก่อนจะหันไปส่งสายตาจิกกัดชายหนุ่มผมแดงที่ตั้งท่าเตรียมจะโต้คารมอีกรอบ
อคิลลิสกดไหล่ไซนายไม่ให้ลุกขึ้นโวยวาย บีบแรงๆพอเจ็บเพื่อเตือนว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลามาทะเลาะกัน แต่ก่อนที่พวกเขาจะได้ปรึกษาหารือกันต่อ ชายคนหนึ่งก็พรวดพราดเข้ามาในร้านอาหาร เรียกความสนใจจากคนในร้านและอินทิราได้เป็นอย่างดี
ชายคนนั้นวิ่งไปยังโต๊ะตรงมุมห้องที่มีผู้เล่นกลุ่มหนึ่งนั่งอยู่ก่อนแล้ว เมื่อชายคนนั้นวิ่งไปถึงก็ถูกฉุดให้นั่งลง แล้วทั้กลุ่มก็ซักถามกันในช่องสนทนาเฉพาะกลุ่ม แต่กระนั้นท่าทางของพวกเขาก็บอกให้รู้ว่ากำลังกระซิบกระซาบกันราวกับกลัวจะมีคนแอบฟังช่องสนทนาของพวกตน
แต่พวกเขาคิดผิดไปถนัด อคิลลิสได้แต่นึกสงสารคนกลุ่มนั้นที่ตกเป็ฯเหยื่อของนักจารกรรมข้อมูลเข้าให้แล้ว
"เรื่องจริงหรอวะ?" ข้อความจากบทสนทนาปรากฏขึ้นในหน้าต่างข้อความของอินทิรา หญิงสาวขมวดคิ้วสงสัยก่อนจะพอเข้าใจว่าเป็นเพราะการเลื่อนระดับของทักษะ
"จริงพี่ พรรคสิงหาที่ยกพวกออกทะเลไปตายเรียบ แม้แต่เรือก็ไม่เหลือ"
"จะบ้าเรอะ? ใครๆก็รู้ว่าพรรคนี้เก่งที่สุดในเกมแล้ว เลเวลแต่ละคนสูงๆทั้งนั้น นี่ถ้าพวกนั้นยังออกไปไม่ได้พวกเราไม่ต้องแช่อยู่ที่ทวีปนี้ไปตลอดรึไง?"
"ว้าว....อีแบบนี้เห็นทีพวกเราจะยังมีลุ้นอยู่แฮะ" อินทิรากระซิบบอกอคิลลิส
"มีลุ้นอะไร? แล้วพวกนั้นคุยอะไรกันหรืออินท์" อคิลลิสถาม
"อย่าเรียกชั้นแบบนั้นได้ไหม บอกกี่ทีแล้ว" หญิงสาวเอ็ด ก่อนจะตอบคำถามของชายหนุ่ม "พรรคสิงหาที่ออกเรือไปเมื่อเดือนก่อนตายยกลำ"
"เฮ้ย! กลุ่มนั้นเก่งที่สุดในเกมแล้วไม่ใช่หรือ?" อคิลลิสไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่อินทิราบอก แต่ก็ยั้งปากไว้ได้ทันก่อนจะเผลอพูดอะไรที่ไม่ดีต่อชีวิตของตนออกไป
"แทนที่จะตกใจจนคนอื่นสงสัย ฉันว่าเราวางแผนอัพเลเวลกับหาพรรคพวกกันดีกว่า อ้อต้องไม่ลืมหาคนที่มีทักษะเข้าท่าๆด้วย เวลาไปทำภารกิจนั่นจะได้ไม่ลำบาก" อินทิราสรุป แล้วการหารือเรื่องลำดับภารกิจก็ดำเนินต่อไป
๐๐๐๐๐๐๐
สำเภาลำยักษ์แล่นฝ่าระลอกคลื่นลูกแล้วลูกเล่าไปอย่างบ้าระห่ำ ผิวน้ำแตกเป็นฟองยามปะทะเข้ากับโครงเรืออันแข็งแกร่ง หัวเรือรูปพญาราชสีห์แยกเขี้ยวคำรามอย่างน่าเกรงขามเหนือท้องนที เสากระโดงเรือขนาดสามคนโอบสี่ต้นแลเห็นเป็นเงาตะคุ่มอยู่ท่ามกลางพายุฝนที่โหมกระหน่ำ ที่ดาดฟ้าเรือลูกเรือหลายร้อยคนต่างตะโกนเอ็ดอึงกันวุ่นไป บ้างสาละวนอยู่กับการเก็บใบเรือที่เป็นอุปสรรคต่อการฝ่าไปเบื้องหน้า บ้างก็มันตรึงปืนใหญ่กว่าครึ่งร้อยให้ติดตรึงอยู่กับที่ไม่ร่วงหล่นลงทะเลไป หลายคนวิ่งลงไปใต้ท้องเรือต่างคนต่างประจำที่พร้อมทำหน้าที่ฝีพายทุกเมื่อ รอเพียงคำสั่งเท่านั้น
"พลังเวทย์จะหมดแล้ว!" ชายคนหนึ่งตะโกนแข่งกับเสียงพายุ นัยน์ตาสีนิลจับจ้องไปยังแสงสีเทาในลูกแก้วที่กำลังอ่อนแสงลงทุกขณะ เขาขบริมฝีปากแน่น รวบรวมพลังเฮือกสุดท้ายส่งพลังเวทย์ที่เหลืออยู่อีกเพียงน้อยนิดเข้าไป แสงสีเทาเรืองสว่างขึ้นชั่วขณะก่อนจะกลับจางลงเหมือนเดิม
"ใช้ฝีพายเดี๋ยวนี้! พลังเวทย์หมดแล้ว" นักเวทย์หนุ่มซึ่งบัดนี้พลังเวทย์ในกายหมดเกลี้ยงตะโกนซ้ำอีกครั้งก่อนจะยืนหอบหายใจอยู่ตรงนั้น ขวดน้ำยาเพิ่มพลังเวทย์หลายขวดกลิ้งกระทบกันไปมาอยู่บนพื้นดังแสบแก้วหูไปหมด แต่ชายหนุ่มก็หาได้สนใจไม่ สมองครุ่นคิดอยู่แต่เพียงว่า หากปราการแรกยังยากลำบากถึงเพียงนี้ ปราการต่อไปจะเป็นเช่นไร
ใบพายขนาดประมาณเรือบดแหวกผิวน้ำส่งสำเภาลำงามให้แล่นไปเบื้องหน้า เรือยักษ์ฝ่ากระแสคลื่นลมออกไปได้ไม่เท่าไหร่ก็โดนกระแสคลื่นพัดถอยหลังกลับมาอีก ลูกเรือร่วมร้อยคนช่วยกันทำหน้าที่ฝีพายอย่างพร้อมเพรียง ไม่มีใครปริปากบ่น ไม่มีใครชะลอมือเพราะต่างก็ต้องการจะไปให้ถึงจุดหมาย
"ให้ตายเถอะ ทำไมคลื่นลมมันแรงอย่างนี้?" นักเวทย์คนหนึ่งเอ่ยขึ้นลอยๆขณะนั่งพักเพื่อฟื้นฟูพลังเวทย์อยู่ในห้องอาหาร ที่มุมหนึ่งนักปรุงยากับลูกมือรวมสามคนช่วยกันปรุงยาเพิ่มพลังเวทย์กันอย่างชุลมุน ไม่น่าเชื่อว่าเพียงแค่การฝ่าด่านพายุเพียงด่านเดียวก็ทำให้น้ำยาเพิ่มพลังเวทย์ที่สำรองมาเกือบสองพันขวดอันตรธานหายไปหมดในเวลาเพียงสามสิบนาที และตอนนี้น้ำยาเพิ่มพลังชีวิตก็เหลือไม่ถึงพันขวดแล้ว นับว่าเป็นสถานการณ์ขั้นวิกฤติเลยทีเดียว
"ถ้าไม่แรงอย่างนี้เห็นทีคงจะไม่ใช่เควสแห่งตำนาน" นักเวทย์อีกคนกล่าว กระดกขวดน้ำยาเพิ่มพลังเวทย์รวดเดียวหมดขวด รสเฝื่อนของยาค้างอยู่ในปากจนหน้าเบ้ พลังเวทย์เพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งพันหน่วย แต่นั่นก็ยังไม่พอสำหรับการคุมเรือ
"แต่สามสิบนาทีล่อพลังเวทย์ของพวกเรายี่สิบหกคนหมดเกลี้ยงเลยเนี่ยนะ? มันจะเกินไปหน่อยแล้ว" อีกเสียงร้องบอกมาอย่างสับสน นักเวทย์ทั้งยี่สิบหกคนในคณะต่างก็ระดับสูงเกินสี่สิบกันแล้วทั้งนั้น ค่าพลังเวทย์รวมกันก็ร่วมสามหมื่น แต่เพียงชั่วระยะเวลาไม่นานพลังเวทย์ก็หมดเกลี้ยงไม่มีเหลือ
"อย่าบ่นอยู่เลย ใครพอฟื้นตัวบ้างแล้วก็ไปชาร์ตพลังใส่เครื่องไว้ พอครบหน่วยจะได้เดินเครื่องช่วยอีกแรง" ใครสักคนที่ดูเหมือนจะเป็นหัวหน้าพูดตัดบทอย่างรำคาญเต็มที
สามชั่วโมงต่อมาสำเภายักษ์ก็แล่นฝ่าเขตพายุออกมาได้สำเร็จ แต่ยังไม่ทันที่เหล่านักผจญภัยจะได้พักหายใจ แนวหินโสโครกก็ปรากฏเป็นแนวดำขวางอยู่เบื้องหน้าก้อนหินสีดำมะเมื่อมรูปร่างน่าเกลียดโผล่พ้นผิวน้ำขึ้นมาเป็นแนวยาวราวกับกำแพงที่มีใครบรรจงสร้างขึ้นมาฉะนั้น
สำเภายักษ์พุ่งตรงไปยังโขดหินใหญ่ด้วยแรงส่งมหาศาลที่ใช้ต่อสู้กับลมพายุ กับตันสาวพวงมาลัยสุดตัวจนเกือบจะล้มกลิ้ง เรือยักษ์เองก็เอียงเสียนพวกลูกเรือใจหายใจคว่ำ เสียงต้นหนตะโกนบอกทางดังแข่งกับเสียงพายุฟังแทบไม่ได้ศัพท์
สำเภาใหญ่แล่นผ่านช่องว่างระหว่างหินยักษ์องก้อนหลุดออกไปยังเวิ้งน้ำเบื้องน้อกได้สำเร็จ แม้ว่าใบพายจะกระแทกกับหินแหลกไปเสียหลายใบ
เวิ้งน้ำเบื้องนอกแลดูสงบนิ่งอย่างน่าประหลาด มองไปทางใดก็เห็นแต่ท้องฟ้าสีครามกับปุยเมฆสีขาวเท่านั้น สายลมโกรกจากด้านหลังเรือไปข้างหน้ากัปตันจึงสั่งให้ชักใบเรือเพื่อแล่นไปตามกระแสลม เหล่านักผจญภัยทั้งหลายลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก ต่างพากันพักผ่อนเพื่อผ่อนคลายความเมื่อยล้าของร่างกาย กับความตึงเครียดของปนะสาทจากเหตุการณ์ที่ผ่านมา
นานเท่าใดไม่อาจทราบ รอบกายมีแต่ความเงียบสงบจนอดประหลาดใจเสียไม่ได้ แต่แล้วกระแสน้ำที่เคยไหลเอื่อยก็ไหลแรงขึ้น พร้อมกับเสียงของระบบที่ประกาศก้องขึ้นให้ได้ยินทั่วกันทั้งคณะ
"ทะเลฉากชายขอบชมพูทวีป ไม่สามารถใช้คาถาสำหรับเคลื่อนย้ายได้ เปอร์เซนต์การรอดจากอุบัติเหตุ ๐.๐๒ เปอร์เซนต์ กรณีผู้เล่นเสียชีวิตจะถูกลดระดับลงสามในสี่ส่วน และใช้เวลาเกิดใหม่นานเป็นสามเท่าของปกติ" สิ้นเสียงประกาศต่างคนต่างก็มองหน้ากันเลิกลั่กด้วยไม่เข้าใจว่าต่อไปจะพบกับอะไร
แต่ไม่ทันที่ใครจะได้พูดอะไรต่อไป สำเภายักษ์ก็ถูกกระแสน้ำพัดตกลงไปยังท้องน้ำเบื้องล่างที่อยู่ไกลออกไปเสียจนไม่รู้ว่าจะไปถึงมื่อไหร่
"ห่าเอ๊ย! นี่มันขอบโลกหรือไงวะ?" เสียงใครบางคนสบถออกมา แล้วรอบกายก็มีเพี้ยงเสียลมกับละอองน้ำที่กลายเป็นไอหมอกไปด้วยความสูงสุดหยั่งนั้นเอง
๐๐๐๐๐๐๐
"หัวหน้าครับ ชวดไปอีกกลุ่มแล้วครับ" เสียงใครคนหนึ่งรายงานหัวหน้าแผนกอย่างหน่ายๆ สายตาจับจ้องอยู่ที่จอภาพของตน ในจอนั้นกำลังแสดงภาพสำเภายักษ์ที่แตกเป็นเสี่ยงๆด้วยแรงกระแทกมหาศาลจากการตกลงมาจากขอบทวีป นอกจากวากเรือแล้วยังมีร่างของผู้เล่นลอยเกลื่อนกลาด แถบแสดงสถานะบ่งบอวกว่าทุกคนไม่เหลือพลังอะไรเลยแม้แต่ค่าเดียว ไม่ว่าจะเป็นพลังชีวิต พลังจิต หรือพลังเวทย์
"อีแบบนี้ก็ไม่ได้เห็นจของในตำนานสักทีสิ น่าเบื่อชะมัด" เพื่อนพนักงานอีกคนกล่าว
"อย่าเพิ่งพูดถึงของในตำนานเลยคนจะพาลเบื่อเลิกเล่นไปเสียก่อนน่ะสิไม่ว่า" อีกคนกล่าว
"แค่ ๗,๗๗๗ ภารกิจยังไม่มากพอให้เล่นในทวีปแรกอีกหรือ?" เสียงหัวหน้าแผนกกล่าวขึ้นลอยๆ แล้วว่าต่อไป "ถ้ายังว่างกันอยู่ก็ไปคุมภารกิจของตัวเองให้ดีเถอะ ไอ้ภารกิจตำนานนั่นน่ะยังมีเวลาอีกนาน ช่วงนี้ก็จดๆไว้ด้วยก็แล้วกันว่าใครได้ของอะไรไปบ้าง แล้วก็อย่าออกของแรร์ไปให้มากนักเดี๋ยวจะหาว่าไม่เตือน"
"เอ๊ะ ทำไมหรือครับหัวหน้า?" ลูกน้องคนหนึ่งถามอย่างแปลกใจ
"หรือว่าบริษัทจะหักโบนัสถ้าเราปล่อยของแรร์มากไปหรือครับ?" อีกคนโพล่งขึ้นสีหน้าตื่นๆ หัวหน้าแผนกได้แต่หัวเราะเบาๆพูดว่า
"เปล่า แค่ไม่จดไว้ประเดี๋ยวจะดูไม่สนุก"
"ดูอะไรครับ?"
"ก็สงครามนะสิ" ทิ้งท้ายไว้เท่านั้นก็กลับไปทำงานต่อ ปล่อยให้ลูกน้องมองหน้ากันเลิกลั่กอย่างไม่เข้าใจ
๐๐๐๐๐๐๐
ณ ทุ่งกว้างที่มีสายลมเย็นพัดโกรกตลอดเวลา หญิงสาววัยสิบเก้าปีคนหนึ่งกำลังอ่านจดหมายจากเพื่อนรักอยู่ด้วยดวงตาเป็นประกายแจ่มใส
-คิดถึงจังเลยแก เป็นไงบ้าง หายหน้าหายตาไปเลยนะ นี่นี่มาเล่นเกมด้วยกันเถอะ จะได้เจอกันไง อีกอย่างเกมเสมือนจริงเดี๋ยวนี้เขาพัฒนาไปมากเลยนะยะ แต่ไม่ใช่คอเกมอย่างเธอคงไม่รู้หรอก แต่มันให้ความรู้สึกเหมือนตัวเราไปอยู่อีกโลกหนึ่งเลยล่ะ ตอนนี้เค้าเล่นเกมค่ายอิสระออนไลน์อยู่ ถ้าไงมาเล่นด้วยกันนะเพิ่งออกมาเกมแรกก็ฮิตติดตลาดเลยสนุกโคตร
ปล.ในเกมเค้าเล่นตัวผู้ชายชื่อ อคิลลิส นะ ไว้เข้าเกมแล้วส่งข้อความมานะจะแอดเฟรนด์ไป
(เชื่อว่าแกทำไม่เป็นแหงๆ เพราะงั้นฉันแอดไปเอง โอเคนะ)
คิดถึงโคตรๆ(สาลินี) –
อ่านเสร็จหญิงสาวก็นิ่งไป ดวงตาสีดำคู่สวยจ้องหน้าจอไม่กระพริบ ก่อนที่มุมปากจะขยับยกขึ้นเล็กน้อย ความตื่นเต้นเล็กๆบังเกิดขึ้นในใจ หญิงสาวรีบหาข้อมูลของเกมที่ว่าโดยเร็ว
หลังจากอ่านไปได้สักพัก รอยยิ้มกว้างก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของหญิงสาว ประตูแห่งอิสระภาพเปิดขึ้นต่อหน้าเธอแล้ว เหลือเพียงแต่ว่าเธอจะสามารถก้าวผ่านเข้าไปได้หรือไม่เท่านั้น
"พี่หมอจะให้เล่นไหมนะ?" เธอพึมพำกับตัวเอง พลันเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น หญิงสาวปิดเครื่องฉายภาพสามมิติตามมารยาท สมองคิดหาคำพูดเหมาะๆที่จะพูดกับคนที่กำลังจะเข้ามาโดยเร็ว
๐๐๐๐๐๐๐
ตอนที่๑ โลกออนไลน์
"ยินดีต้อนรับเข้าสู่อิสราออนไลน์ค่ะ" เสียงเจ้าหน้าที่ประจำห้องเริ่มเกมกล่าวช้าๆ อย่างชัดถ้อยชัดคำ เมื่อการเชื่อมต่อเข้าสู่ระบบเกมของหญิงสาวเสร็จสมบูรณ์
หญิงสาวผู้มีเรือนผมสีชมพูเงางามดุจแพรไหมตรงหน้าสร้างความประหลาดใจให้แก่ผู้เล่นใหม่ไม่น้อย เครื่องแต่งกายของพนักงานสาวแลดูต่างไปจากเกมออนไลน์อื่นๆมาก สไบสีบานเย็นพาดเฉียงไปทางซ้ายพาดทับด้วยผ้าสีขาวโปร่งที่ถักทอขึ้นด้วยด้ายเส้นเล็กเป็นลวดลายวิจิตรงามตา หล่อนนุ่งผ้าจับจีบเป็นระบายพลื้วสวย บุพชาตินานาพันธุ์ถูกนำมากรองร้อยประดับเรือนร่างตั้งแต่เรือนผมเรื่อยไปจนถึงเท้า ดูงามอย่างประหลาดและลึกลับอยู่ในที
หญิงสาวผู้เล่นใหม่ได้แต่จ้องภาพตรงหน้าอย่างตกตะลึง แทบจะไม่ได้ยินเสียงของเธอที่กำลังพูดอยู่เลย
"โปรดตรวจสอบความเรียบร้อยของการเชื่อมต่อด้วยค่ะ" เจ้าหน้าที่สาวกล่าวช้าๆ แต่เมื่อเห็นอากัปกิริยาของหญิงสาวตรงหน้าที่ดูจะไม่เข้าใจ หล่อนจึงช่วยบอกให้ผู้เล่นลองขยับแขนขา และทดสอบการทรงตัวอย่างง่ายๆ ผลก็คือผู้เล่นใหม่ในความดูแลของเธอล้มก้นจ้ำเบ้าตั้งแต่ก้าวแรกที่ทดลองเดิน
"ต่อไปคือขั้นตอนการสร้างตัวละครขอให้ผู้เล่นปฏิบัติตามคำแนะนำด้วยค่ะ" เธอกล่าวขึ้นในที่สุด หลังจากช่วยผู้เล่นใหม่หัดเดินจนคล่องแล้ว พร้อมๆกันนั้นเองหน้าต่างสร้างตัวละครก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า
หญิงสาวกวาดสายตามองหน้าต่างสร้างตัวละครอย่างพยายามทำความเข้าใจ ตัวอักษรสีทองเรียงเป็นระเบียบอยู่ทางด้านซ้าย จากการอ่านผ่านๆก็พอเข้าใจว่าใช้สำหรับปรับแต่งรายละเอียดของตัวละคร ทางขวาเป็นภาพจำลองตัวผู้เล่นที่ตอนนี้เป็นเพียงหุ่นไร้หน้าสีขาวเท่านั้น
"สำหรับการกรอกข้อมูลและปรับเปลี่ยนลักษณะของตัวละคร สามารถทำได้โดยการใช้มือสัมผัสค่ะ" เสียงพนักงานผู้ช่วยแว่วมา ช่วยให้ผู้เล่นใหม่ที่กำลังทำอะไรไม่ถูกเริ่มต้นสร้างตัวละครของตนเองได้
หญิงสาวใช้ความพยายามในการชื่ออยู่นานพอสมควรกว่าระบบจะทำการแปลลายมือของเธอเป็นตัวอักษรได้ถูกต้อง 'ทำไมไม่ให้พิมพ์แทนนะ' เธอนึกบ่นอยู่ในใจ มองดูอักขระสี่ตัวที่เธอพยายามเขียนอยู่ร่วมสิบนาทีอย่างหงุดหงิดก่อนจะกดปุ่มยืนยันชื่อตัวละคร
"ชื่อ วาตา สามารถใช้ได้ค่ะ" พนักงานสาวกล่าวหลังจากระบบทำการตรวจสอบเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
หญิงสาวเลือกตัวเลือกการจำลองร่างจริงในแถบตัวเลือก พลันหุ่นสีขาวก็กลายเป็นภาพจำลองสามมิติของตัวเธอที่ดูคล้ายกันมากจนน่าขนลุก จะผิดกันก็ตรงที่ที่ภาพจำลองนั้นมีผิวพรรณที่เรียบเนียนแลดูมีน้ำมีนวลมากกว่าเจ้าตัว หญิงสาวทำการปรับสีผิวกับสีตาอีกนิดหน่อยก่อนจะกดยืนยันตัวละคร โดยไม่เปลี่ยนรูปร่าง เพศ อายุ หรือเผ่าพันธุ์ ระบบทำการยืนยันตัวละคร จากนั้นแสงสีชมพูก็อาบไปทั่วเรือนร่างของหญิงสาวเปลี่ยนรูปลักษณ์ของเธอให้กลายเป็นตัวละครวาตา
"โปรดตรวจสอบความเรียบร้อยและทำการยืนยันอีกครั้งค่ะ หากท่านทำการยืนยันแล้วจะไม่สามารถแก้ไขตัวละครได้อีก ดังนั้นกรุณาตรวจสอบให้ถี่ถ้วนก่อนกดยืนยันค่ะ"
วาตาสำรวจดูตัวเองในกระจกที่จู่ๆก็ปรากฏขึ้นกลางอากาศ นึกโล่งใจที่ไม่ต้องนุ่งผ้าให้เดินสะดุดเล่นเหมือนเจ้าหน้าที่สาว ท่อนบนเป็นเสื้อยืดสีครามหม่นสวมทับด้วยเสื้อกั๊กสีน้ำเงิน ส่วนท่อนล่างเป็นกางเลสีน้ำตาลอ่อนยาวคลุมเข่า ส่วนรองเท้าเป็นรองเท้าเชือกสานสีน้ำตาล หลังจากสำรวจตัวเองจนเป็นที่พอใจแล้วเธอก็กดยืนยันครั้งสุดท้าย
"ผู้เล่นวาตา ทำการยืนยันตัวละคร" เสียงประกาศจากระบบดังขึ้น กระจกบานใหญ่หายไปและเจ้าหน้าที่สาวก็กล่าวนำวาตาเข้าสู่ขั้นตอนสุดท้าย พร้อมกับหน้าต่างทางเลือกที่ปรากฏขึ้นอีกครั้ง
"กรุณาเลือกจุดกำเนิดตัวละครค่ะ"
-คำอธิบาย: จุดกำเนิดตัวละครคือจุดเกิดจุดแรกในเกมของตัวละคร เมื่อตัวละครตายจะเกิดใหม่ที่จุดเกิดนี้
ตัวเลือกจุดกำเนิดตัวละคร
๑.หอนาฬิกาแห่งการเริ่มต้น (ค่าเริ่มต้นของเกม)
คำอธิบาย: ตั้งอยู่ใจกลางเมืองเริ่มต้นปทุมมา
๒.จุดกำเนิดตัวละครแบบสุ่ม
คำอธิบาย: ระบบจะทำการสุ่มจุดกำเนิดของตัวละครจากจุดพัก ๗๐๐ จุดในทวีปเริ่มต้น-
วาตาเลือกทางเลือกที่สองอย่างไม่ลังเลเท่าไหร่ ด้วยเหตุผลง่ายๆที่ว่า 'น่าสนใจ'
๐๐๐๐๐๐๐
ทวีปชมพู เมืองปทุมมา
จตุรัสกลางเมืองเนืองแน่นไปด้วยผู้คน พ่อค้าแม่ขายตั้งแผงลอยอยู่เรื่อยไปบนถนนจนผู้คนที่สันจรไปมาต้องเดินเรียงแถวกันอย่างเลี่ยงไม่ได้ บรรยากาศการซื้อขายแลกเปลี่ยนเป็นไปอย่างคึกคัก ทำให้บรรยากาศในเกมไม่น่าเบื่อจนเกินไปนัก เพราะผู้เล่นหลายคนก็เริ่มขยาดกับการออกไปเก็บค่าประสบการณ์คนเดียวกันแล้ว
"ของแปลกๆเพียบเลยแฮะ ไม่รู้ไปขนมาจากไหน" ชายหนุ่มในชุดเกราะเบาแบบยุโรปเปรยขึ้นกับพรรคพวกที่มาด้วยกัน พลางกวาดสายตาไปยังแผงลอยรอบๆอย่างนึกฉงน ข้าวของบางอย่างเห็นได้ชัดเลยว่าไม่ได้ตกมาจากสัตว์แถวนี้
"นั่นสิ ของบางชิ้นไม่ได้ตกจากสัตว์ทั่วไปสักหน่อย แต่เอามาขายกันเกลื่อนอย่างกับตีหนูได้อย่างนั้นแหละ" หญิงสาวอีกคนเสริมอย่างเห็นด้วยขณะที่สายตาจับจ้องไปยังคทาเวทย์ชั้นดี หากไม่ติดที่ว่าเธอมีตะพดไม้ตะเคียนอยู่ในมือแล้วล่ะก็คทานั่นต้องอยู่ในมือของเธอเดี๋ยวนั้น
"บริษัทเกมคงแอบปล่อยออกมาล่ะมั้ง ไม่อย่างนั้นคนคงหนีหมด เพราะทนเห็นสีชมพูกวนประสาทนี่ไม่ไหว" อีกคนในกลุ่มเปรย น้ำเสียงส่อเค้าความหงุดหงิดจนรู้สึกได้
"เอาน่าไซนาย เขาไม่ทำป่าเป็นสีชมพูก็บุญแค่ไหนแล้ว?" หนุ่มในชุดเกราะกล่าวปลอบใจเพื่อนผู้เกลียดชังสีชมพูเป็นที่สุด หรืออันที่จริงอาจจะแค่ทนดูเมืองสีชมพูไม่ไหวก็เป็นได้
"คิล! นายไม่เห็นรึไงขนาดจวนผู้ว่ายังเป็นสีชมพูเลยนะ แบบนี้มันไม่เกินไปหน่อยรึไง?" ไซนายโอดครวญชี้ไปทางจวนผู้ว่าที่เป็นอาคารไม้ทรงคล้ายตึกยุโรป มุงหลังคาแบบเรือนไทยโบราณดูสวยลงตัวได้กลิ่นอายของเมืองเก่าในอดีต แต่จุดที่เจ้าไซนายเห็นว่าเป็นปัญหาและกำลังโวยวายอยู่ก็คือสี
กระเบื้องมุงหลังคาสีบานเย็นเข้ม หน้าจั่วสีชมพูอ่อนเหมือนกลีบบัว หน้าต่างบานคู่ทางสีชมพูแก่ เช่นเดียวกันกับไม้ฉลุที่ประดับตามขอบชายคา แม้แต่ป้ายชื่ออาคารก็เป็นสีชมพูจะมีก็แต่ตัวหนังสือเท่านั้นที่ทาสีทอง เมื่อดูโดยผาดๆก็จะเห็นว่าสีที่ใช้ทาไม่ได้น่าเกลียดอะไรมากมาย หากไม่ใช่เพราะอาคารโดยรอบก็มีสีที่ไม่ต่างกันมากนัก
อคิลลิสถอนหายใจอย่างระอา หันไปสบตาเพื่อนอีกสองคนที่ต่างก็พยักหน้าเป็นนัยให้รีบจัดการ ลำแขนแข็งแกร่งตามแบบนักรบรวบคอเพื่อนที่กำลังโวยให้ลอยลิ่วติดไปกับตัว อคิลลิสสาวเท้าเดินตามสองสาวที่เดินล่วงหน้าไปแล้วโดยไม่สนใจว่าปลอกแขนของตนจะรัดแน่นเสียจนเพื่อนหายใจไม่ออกก็ตาม
สาวงามสองคนที่ก้าวเข้ามาในร้านอาหาร เรียกความสนใจจากบรรดาลูกค้าหนุ่มๆได้เป็นอย่างดี คนหนึ่งรูปร่างสูงหุ่นดีเหมือนนางแบบ ดวงตาคม จมูกโด่งเป็นสัน ริมฝีปากแดงอิ่มรับกับดวงหน้ารูปไข่ เรือนผมสีเขียวใบมะกรูดทิ้งตัวลงล้อมกรอบใบหน้าให้แลดูเด่นขึ้น อีกคนหนึ่งเป็นสาวงามผมสีน้ำตาลอ่อน รูปร่างเล็กเหมือนเด็กๆ ซึ่งก็สมแล้วกับใบหน้ารูปหัวใจและดวงตากลมโตน่ารักของเธอ
สองสาวรู้สึกได้ถึงสายตาหลายคู่ที่จับจ้องมาแต่ก็ไม่แสดงท่าทีใดๆ อินทิราแจ้งจำนวนที่นั่งที่ต้องการกับพนักงานก่อนจะเดินไปยังโต๊ะที่พนักงานจัดให้ โดยมีฟลอร่า กับอคิลลิสที่ลากคอไซนายเดินตามไปติดๆ
พอเห็นว่าสองสาวไม่ได้มาเพียงลำพัง ผู้เล่นบางคนก็เบือนสายตาไปทางอื่นอย่างนึกเสียดาย แต่บางคนก็ยังไม่ละสายตาไปจากสองสาว พยายามพิเคราะห์ดูอากัปกิริยาของทั้งสี่ว่าเป็นแค่เพื่อนกันหรือมากกว่านั้น
"ทำบ้าอะไรเนี่ย? ดูซิเลือดลดเลยเห็นมั้ย" หย่อนก้นลงนั่งปุ้บก็โวยวายขึ้นปั๊บ นี่แหละไซนายหัวขโมยที่(เสียง)ดังที่สุดในทุ่งสุนัขร้อง อคิลลิสไม่พูดอะไรหันไปสั่งอาหารจากพนักงาน โดยไม่ลืมที่จะสั่งเผื่อเพื่อนที่อีกเดี๋ยวคงปะทะคารมให้หายเหงาปากกันอีกเหมือนเคย
"นายจะหยุดโวยวายบ้างไม่ได้เลยหรือไงไซนาย?" ฟลอร่าโวยขึ้นอย่างเหลืออด นัยน์ตาสีน้ำตาลแก่ฉายประกายแห่งความโกรธเกรี้ยวจนไซนายอดขนลุกไม่ได้ มือบางกำไม้ตะพดแน่นนึกอยากจะฟากปากเจ้าตัวกวนประสาทสักทีสองที โทษฐานที่ชอบทำให้หงุดหงิดอยู่เรื่อย
"ใจเย็นๆสิจ๊ะฟลอร่า ก็รู้ๆกันอยู่ว่าไซนายเขาเป็นแบบนี้อย่าไปถือเขาเลยนะ" อินทิราปรามก่อนที่จะเกิดสงครามย่อมๆขึ้นในร้านอาหารแห่งนี้
"ก็มันน่าไหมเล่า?" นักเวทย์สาวยังไม่หายหงุดหงิด จ้องไซนายราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ
"ผู้หญิงอาไร้ดุอย่างกะเสือ สู้อินทิราก็ไม่ได้ใจดีเหมือนนางฟ้า" ไซนายพูดลากเสียงหมายยั่วอีกฝ่าย ขณะที่อคิลลิสสำลักน้ำจนอินทิราหันมามองตาเขียวพร้อมกับเตะแรงๆที่หน้าแข้ง ชายหนุ่มสะดุ้งแต่ก็ขบฟันไม่ส่งเสียงใดใดออกมา ได้แต่มองแม่สาวผมเขียวตาปริบๆราวกับจะถามว่าเรื่องแค่นี้ต้องเตะกันแรงขนาดนี้หรือ
"กับคนอย่างนายใจดีด้วยไหวเหรอ?" นักเวทย์สาวว่าพยายามสลัดมือที่ถูกอินทิรายึดไว้หมายจะฟาดปากคนตรงข้ามสักทีสองที แต่ก่อนที่ใครจะได้โต้คารมกันต่อ หรือสงครามย่อยๆจะบังเกิด อคิลลิสก็จุดประเด็นขึ้นมาเสียก่อน
"เรามาช่วยกันคิดดีกว่าว่าจะไปอัพเวลกันที่ไหน"
ประเด็นนี้เรียกความสนใจจากทั้งกลุ่มได้เป็นอย่างดี เพราะแต่ละคนก็ระดับสูงเกินสี่สิบกันแล้ว การจะเก็บค่าประสบการณ์เพื่อเลื่อนระดับในทวีปเริ่มต้นนั้นเป็นเรื่องลำบากยิ่ง ต่างคนก็ต่างเปลี่ยนช่องสนทนาเป็นช่องสนทนาเฉพาะกลุ่มอย่างรู้หน้าที่
"ได้ข่าวว่าป่าละเมาะทางทิศใต้สัตว์ธาตุระดับสูงๆโผล่มาบ่อยๆนะ" ฟลอร่าเอ่ยขึ้นในที่สุดหลังจากทบทวนข้อมูลอยู่นาน
"สัตว์ธาตุสำหรับนักเวทย์อย่างเธอก็ดีอยู่หรอก แต่สำหรับสายต่อสู้มันให้ค่าประสบการณ์ไม่คุ้มเลย ถ้าเป็นสัตว์อสูรค่อยว่าไปอย่าง" ไซนายแย้ง ยังจำครั้งแรกที่เผชิยหน้ากับสัตว์ธาตุได้ไม่ลืม
ตอนนั้นเขาเพิ่งจะเลื่อนเป็นระดับสิบได้ไม่นานกำลังตีสัตว์เก็บค่าประสบการณ์รอพรรคพวกอยู่ที่ทุ่งหญ้านอกเมือง สัตว์แถวนั้นระดับต่ำและไม่เข้าโจมตีผู้เล่นก่อน ส่วนมากจะเป็นพวกแกะ กระต่าย และหนู ตอนแรกเขาก็ไล่สังหารสัตวืเหล่านั้นไปตามปกติ แต่ด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์จึงเผลอไปโจมตีแกะสีชมพูเข้าให้ และนั่นทำให้เขาเกือบเอาชีวิตไม่รอด
"กลัวโดนย่างสดอีกสิท่า" ฟลอร่ายิ้มเยาะ เธอยังจำภาพที่เจ้าเพื่อนตัวดีของเธอกระโดดเต้นแร้งเต้นกาอยู่ในทะเลเพลิงสีแดงฉานที่ลุกลามไปทั้งท้องทุ่งได้ไม่ลืม
"พอได้แล้วน่าทั้งสองคน" อินทิราปรามเมื่อเห็นว่าเพื่อนทั้งสองตั้งท่าจะทะเลาะกันอีกรอบ สีหน้าของเธอแลดูอ่อนโยน แต่อคิลลิสเดาว่าภายในคงตีหน้ายักษ์อยู่เป็นแน่
"เอ่อ...ใครพอจะมีข่าวเกี่ยวกับเควสดีๆบ้างไหม?" อคิลลิสถามปูทาง เขาเองก็ไม่นิยมการล่าสัตว์ธาตุเหมือนกับไซนายและผู้เล่นสายต่อสู้สติดีทั้งหลาย เพราะเป็นที่รู้กันดีแล้วว่าสัตว์ธาตุนั้นเหมาะกับการฝึกทักษะการควบคุมพลังธาตุของสายอาชีพนักเวทย์
"เควสงามๆใครเขาจะบอกข่าวกันเล่า?" ไซนายว่าพลางถอนหายใจหนักๆครั้งหนึ่ง สำหรับเขาเควสก็คือของขวัญจากสวรรค์ที่ให้ค่าประสบการณ์สองชั้นซ้อนแถมดีไม่ดีอาจจะได้ของหรือความสามารถพิเศษเพิ่มมาด้วยก็ได้เรียกว่าคุ้มเกินคุ้ม
"คิล" อินทิราเรียกเพื่อนชายพร้อมกับส่งสมุดเล่มเล็กข้ามโต๊ะมา "ทั้งหมดที่มีอยู่ตอนนี้ ดูๆกันไปก่อนนะขอเวลาหาข่าวแป๊บ" พูดจบสายตาคมดุจเหยี่ยวของเธอก็กวาดมองออกไปรอบตัว ไม่สนใจต่อเหตุการณ์บนโต๊ะอีกต่อไป
สามคนที่เหลือไม่ปริปากพูดอะไร ต่างรู้ดีว่าตอนนี้สมาธิของเพื่อนสาวหายไปจากโต๊ะตัวนี้แล้ว อคิลลิสอ่านข้อความในสมุดให้อีกสองคนที่เหลือฟังผ่านช่องสนทนาลับของกลุ่ม แล้วหารือกันว่าภารกิจใดบ้างที่ให้ค่าประสบการณ์และของรางวัลคุ้มกับแรงที่ลงไป
ขณะที่เพื่อนๆของเธอกำลังพิจารณาเงื่อนไขและรางวัลของภารกิจจากสมุดที่เธอให้ไป สาวงามผมสีใบมะกรูดก็ทอดสายตาเหม่อลอยออกไปอย่างไร้จุดหมายอาการคล้ายกับเบื่อบทสนทนาระหว่างเพื่อนนี้เต็มที แต่ความจริงแล้วนัยน์ตาสีดำคมดุจเหยี่ยวคู่นั้นกำลังลอบอ่านปากเพื่อเข้าถึงข้อมูลในบทสนทนาของคนในร้านอย่างตั้งอกตั้งใจ ตัวเลขค่าความชำนาญของความสามารถพิเศษเพิ่มขึ้นเรื่อยๆอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุด
"ผู้เล่นอินทิรา ความสามารถพิเศษอ่านโอษฐ์เป็นระดับ ๗" เสียงของระบบประกาศขึ้นให้ผู้เล่นสาวได้ยินเพียงคนเดียว ริมฝีปากสีแดงสดขยับยิ้มอย่างพอใจ เธอหลงรักเกมนี้ชนิดที่ไม่คิดจะไปเล่นเกมอื่นก็เพราะระบบทักษะของเกมนี่แหละ
อิสราออนไลน์จะแบ่งทักษะของผู้เล่นออกเป็น ทักษะทั่วไป กับ ทักษะพิเศษ ซึ่งความสามารถทั้งสองประเภทนี้แตกต่างกันที่ผลลัพ์ของความชำนาญ โดยค่าความชำนาญของทักษะทั่วไปจะส่งผลต่ออาชีพของผู้เล่น ในขณะที่ค่าความชำนาญของทักษะพิเศษจะส่งผลต่อสถานะของผู้เล่น
สถานะของผู้เล่นมีลักษณะคล้ายอาชีพ แต่จะไม่มีการประกาศชื่อในกระดานข่าวอาชีพของระบบ ตามปกติแล้วสถานะจะไม่มีระดับมีเพียงชื่อสถานะ กับความสามารถพิเศษของสถานะนั้นๆเท่านั้น มีสถานะไม่กี่สถานะที่มีระดับและเงื่อนไขการเลื่อนระดับเหมือนอาชีพ แต่ในปัจจุบันไม่มีผู้เล่นคนใดยอมเปิดเผยชื่อสถานะเหล่านั้นออกมาเลย จะมีก็แต่ข้อมูลเบื้องต้นในเว็บหลักของเกม กับข่าวลือที่พูดกันเป็นครั้งคราวเท่านั้น
สำหรับอินทิราเธอได้รับทักษะพิเศษ "อ่านโอษฐ์" มาโดยบังเอิญจากการอ่านปากผู้เล่นสองคนที่กำลังคุยกันอยู่ในช่องสนทนาเฉพาะกลุ่มโดยไม่ได้ตั้งใจ ใครจะรู้เล่าว่าคำด่าสองสามคำจะทำให้เธอได้รับทักษะพิเศษที่เป็นประโยชน์มาไว้ใช้งาน(แน่นอนว่าเธอไม่ได้บอกใครถึงทักษะพิเศษอันนี้) และเมื่อนำทักษะพิเสานี้มารวมกับทักษะพิเศษอื่นๆที่มีทำให้อินทิร้เป็นผู้เล่นคนแรกที่ได้รับสถานะ "นักจารกรรมข้อมูล
อินทิรากัดฟันแน่นอย่างขัดใจเมื่อบทสนทนาในร้านเป็นเรื่องของเธอกับฟลอร่าไปเสียสามในสี่ส่วน อีกหนึ่งส่วนที่เหลือก็ไม่มีข้อมูลที่น่าสนใจ ส่วนใหญ่จะเพี้ยนไปจากข้อมูลจริง(ที่เธอมี)เสียด้วยซ้ำ หญิงสาวถอนหายใจอย่างผิดหวังที่ไม่ได้ข้อมูลอะไรเลย นึกปลอกใจตัวเองว่าอย่างน้อยระดับทักษะก็เพิ่มขึ้น
"มีอะไรน่าสนใจไหม?" อคิลลิสกระซิบถามผ่านช่องสนทนาลับ เมื่อเห็นว่าอินทิราเลิกให้ความสนใจกับโต๊ะอื่นๆแล้ว
"มี" อินทิราตอบพลางคลี่ยิ้ม
คำตอบนั้นทำให้หนุ่มผมดำขยับจะยิ้มแต่แล้วก็ต้องชะงักหุบยิ้มลงทันทีกับประโยคที่ตามมา"ที่โต๊ะเจ็ดกำลังเถียงกันว่าระหว่างชั้นกับช้องนางใครสวยกว่ากัน"
ชายหนุ่มพ่นลมออกทางจมูกอย่างมิรู้จะกล่าวคำใดกับท่าทางของสหายคนสวย "ช้องนางไหน? ป้าที่ขายก๋วยเตี๋ยวอยู่หน้าปากซอยนั่น-โอ๊ย!"
ยังไม่ทันจะพูดจบบู๊ทแข็งๆก็กระแทกลงบนหลังเท้าเต็มแรก "บ้า!" อินทิราตวาดแหว "ช้องนางที่เป็นนางแบบต่างหากล่ะยะ"
"อินทิรามาช่วยเลือกหน่อยสิว่าจะทำเควสไหนก่อนหลังดี คุยกับอีตานี่มีแต่จะอารมณ์เสียเปล่าๆ" ฟลอร่าพูดแทรกขึ้นมา ก่อนจะหันไปส่งสายตาจิกกัดชายหนุ่มผมแดงที่ตั้งท่าเตรียมจะโต้คารมอีกรอบ
อคิลลิสกดไหล่ไซนายไม่ให้ลุกขึ้นโวยวาย บีบแรงๆพอเจ็บเพื่อเตือนว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลามาทะเลาะกัน แต่ก่อนที่พวกเขาจะได้ปรึกษาหารือกันต่อ ชายคนหนึ่งก็พรวดพราดเข้ามาในร้านอาหาร เรียกความสนใจจากคนในร้านและอินทิราได้เป็นอย่างดี
ชายคนนั้นวิ่งไปยังโต๊ะตรงมุมห้องที่มีผู้เล่นกลุ่มหนึ่งนั่งอยู่ก่อนแล้ว เมื่อชายคนนั้นวิ่งไปถึงก็ถูกฉุดให้นั่งลง แล้วทั้กลุ่มก็ซักถามกันในช่องสนทนาเฉพาะกลุ่ม แต่กระนั้นท่าทางของพวกเขาก็บอกให้รู้ว่ากำลังกระซิบกระซาบกันราวกับกลัวจะมีคนแอบฟังช่องสนทนาของพวกตน
แต่พวกเขาคิดผิดไปถนัด อคิลลิสได้แต่นึกสงสารคนกลุ่มนั้นที่ตกเป็ฯเหยื่อของนักจารกรรมข้อมูลเข้าให้แล้ว
"เรื่องจริงหรอวะ?" ข้อความจากบทสนทนาปรากฏขึ้นในหน้าต่างข้อความของอินทิรา หญิงสาวขมวดคิ้วสงสัยก่อนจะพอเข้าใจว่าเป็นเพราะการเลื่อนระดับของทักษะ
"จริงพี่ พรรคสิงหาที่ยกพวกออกทะเลไปตายเรียบ แม้แต่เรือก็ไม่เหลือ"
"จะบ้าเรอะ? ใครๆก็รู้ว่าพรรคนี้เก่งที่สุดในเกมแล้ว เลเวลแต่ละคนสูงๆทั้งนั้น นี่ถ้าพวกนั้นยังออกไปไม่ได้พวกเราไม่ต้องแช่อยู่ที่ทวีปนี้ไปตลอดรึไง?"
"ว้าว....อีแบบนี้เห็นทีพวกเราจะยังมีลุ้นอยู่แฮะ" อินทิรากระซิบบอกอคิลลิส
"มีลุ้นอะไร? แล้วพวกนั้นคุยอะไรกันหรืออินท์" อคิลลิสถาม
"อย่าเรียกชั้นแบบนั้นได้ไหม บอกกี่ทีแล้ว" หญิงสาวเอ็ด ก่อนจะตอบคำถามของชายหนุ่ม "พรรคสิงหาที่ออกเรือไปเมื่อเดือนก่อนตายยกลำ"
"เฮ้ย! กลุ่มนั้นเก่งที่สุดในเกมแล้วไม่ใช่หรือ?" อคิลลิสไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่อินทิราบอก แต่ก็ยั้งปากไว้ได้ทันก่อนจะเผลอพูดอะไรที่ไม่ดีต่อชีวิตของตนออกไป
"แทนที่จะตกใจจนคนอื่นสงสัย ฉันว่าเราวางแผนอัพเลเวลกับหาพรรคพวกกันดีกว่า อ้อต้องไม่ลืมหาคนที่มีทักษะเข้าท่าๆด้วย เวลาไปทำภารกิจนั่นจะได้ไม่ลำบาก" อินทิราสรุป แล้วการหารือเรื่องลำดับภารกิจก็ดำเนินต่อไป
๐๐๐๐๐๐๐
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ