Lemon Sherbet รักเปรี้ยวจี๊ดสุดขีดหัวใจ
4) โป๊ะเช๊ะ โช๊ะเด๊ะ
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
3
โป๊ะเช๊ะ โช๊ะเด๊ะ
เอ่อ... ใครก็ได้บอกฉันทีว่านี่คือบ้านคนไม่ใช่ศาลเจ้า =O=
ฉันกับซูซี่ที่วันนี้มาในมาดผู้ดีอังกฤษที่แมนและแฮนด์ซั่มเป็นพิเศษหันมามองหน้าพร้อมกับกระพริบตาปริบๆ ใส่กัน ฉันว่ายัยนี่คงจะมีความคิดเหมือนกับฉันนี่แหละ แล้วดูยัยนี่แต่งตัวสิเสื้อเชิ้ตสีขาวจาก Armani และกางเกงยีนส์สุดเท่ของ Evisu ตัวละเป็นหมื่น พร้อมกับรองเท้าไนกี้สีสันแสบตาสุดเท่ ทุกอย่างพร้อมหมดแต่มาติดตรงกระเป๋าของชาแนลสีสันคัลเลอร์ฟูลที่หนีบอยู่ตรงรักแร้นั่น
“ยัยซูซี่ วันนี้แกแต่งแมนมานะลืมหรือไง เอากระเป๋าไปเก็บเดี๋ยวนี้”
“ว้าย! จริงด้วย ซูซี่ลืม”
แล้วยัยนั่นก็จัดการเอากระเป๋านั่นไปเก็บในรถและกลับมายืนเก๊กหล่อข้างๆ ฉันเหมือนเดิม
“ซูซี่วันนี้แกหล่อมากเลยอ่า สะแมนแตนที่สุดในสามโลก”
“ถ้าแกชมว่าสวยฉันจะดีใจกว่านะ -_-;;”
“ถ้าแกเป็นผู้ชายแท้ๆ นี่ฉันลากแกเข้าห้องไปแล้วนะเนี่ย แกหล่อกว่าพี่โชนอีกอ้ะ อ๊าย~ อยากจะกรี๊ดดังๆ เป็นภาษาไนจีเรีย >O<”
“นังบ้า อย่ามาทำสายตาหื่นๆ แบบนั้นใส่ฉันนะ แกทำฉันขนลุก”
ยัยซูซี่เท้าเอวชี้หน้าและตะโกนใส่ด้วยท่าทางฉุนจัดที่ฉันคิดอยากจะจับกดเพื่อนตัวเอง อิอิ แต่ฉันก็คิดอย่างนั้นจริงๆ นะ ยัยนี่หล่อจะตาย แต่ยังไม่ทันที่จะได้พูดคุยอะไรกันต่อคุณนายเหมยฮัวแม่ของหลิงลี่ก็เดินออกมาพอดีจนทำให้ยัยซูซี่รีบเก็บมือเปลี่ยนหน้ากากแทบไม่ทัน
“เชอร์เบท สมศักดิ์ มาถึงแล้วทำไมไม่เข้าไปข้างในล่ะลูก”
“คิก ^O^”
“-__-++”
ฉันแทบกลั้นหัวเราะไม่อยู่เมื่อคุณนายเหมวยฮัวเรียกชื่อจริงตามบัตรประชาชนของยัยซูซี่ ทำเอายัยนั่นหันมาส่งสายอำมหิตใส่ทันที คิกๆ แต่ตอนนี้แกยังทำอะไรฉันไม่ได้หรอกย่ะ ถ้าไม่อยากจะสาวแตกตอนนี้ก็สำรวมหน่อยนะหนุ่มหล่อของฉัน
“สวัสดีครับคุณแม่”
“จ้าๆ เข้าไปข้างในก่อนเนอะ หลิงลี่กำลังไหว้เจ้ากับอาม่าอยู่น่ะ”
คุณนายเหมยฮัวเดินนำเข้าไปใน เอ่อ... ศาลเจ้ามั้ง ที่ประตูหน้ามีรูปปั้นมังกรสองตัวเบิ้มๆ พร้อมกับต้นไผ่วางขนาบข้างอยู่และข้างๆ ประตูนั่นก็เป็นแผ่นป้ายตัวอักษรภาษาจีนสีทองเขียนไว้ซึ่งแน่นอนว่าฉันอ่านไม่ออก ไหนจะยังโคมไฟกระดาษแบบสมัยก่อนนั่นและบ่อเลี้ยงปลาทองที่นำเข้าจากประเทศจีนทำมาจากหยกแท้ๆ ราคาหลายล้านเพื่อมาเสริมโหวงเฮ้งของบ้านตามความเชื่อของอาม่า และรอบๆ บ้านก็เต็มไปด้วยศาลเจ้าที่ทั้งหลาย คงไม่ต้องสงสัยว่ายัยหลิงลี่เคร่งขนาดนั้นได้ยังไง
พอเดินเข้ามาในตัวบ้านฉันก็ได้กลิ่นธูปกระจายทั่วไปหมดพร้อมกับเสียงสวดมนต์เป็นภาษาจีนงึมงัมๆ จนฟังไม่ได้ศัพท์ เมื่อหันไปทางต้นเสียงก็เห็นหลิงลี่กำลังนั่งอยู่ข้างๆ อาม่านั่นเอง ฉันกับยัยซูซี่ลอบมองหน้ากันแวบหนึ่งอย่างเข้าใจกันดีก่อนจะพากันไปนั่งรออยู่อีกมุมหนึ่งของบ้านที่เป็นสวนหย่อมปราศจากเสียงสวดมนต์และกลิ่นธูป ถึงแม้ว่าจะเคยมาที่นี่หลายครั้งแล้วก็ไม่ยักจะคุ้นชินแฮะ หรืออีกนัยหนึ่งคือฉันไม่อยากจะชินกับมันเท่านั้นเอง +O+
ผ่านไปแป๊บเดียวหลิงลี่ก็เดินขยับแว่นออกมาพร้อมกับหนังสือตั้งใหญ่ก่อนจะวางลงบนโต๊ะและทำหน้าเมื่อยๆ ส่งมาให้ทั้งที่มันไม่ใช่เลย ปกติหลิงลี่ไม่มีอารมณ์กับใครเลยซะมากกว่านะ แต่นี่ฉันว่ามันคงผิดปกติจริงๆ
“นี่เธอขนหนังสือมาทำไมเนี่ย ฉันอยากได้ของกินย่ะ”
“อ้าว เราจะมาทำรายงานกันไม่ใช่เหรอซูซี่”
“โอ๊ย เรื่องนั้นเอาไว้ก่อนเถอะ วันนี้ฉันก็แค่เปลี่ยนบรรยากาศอยากจะมานั่งคุยแบบชิลๆ กันในศาลเจ้า เอ้ย ที่บ้านเธอต่างหากล่ะหลิงลี่”
“=_=;;”
“เป็นอะไรหรือไง ถึงทำหน้าแบบนั้น”
ฉันถามออกไปหลังจากให้ยัยซูซี่แย่งซีนมาตั้งนาน ส่วนหลิงลี่ก็ถอนหายใจออกมาเสียงดังก่อนจะอ้าปากตอบ แต่ก็โดนเสียงหนึ่งขัดขึ้นซะก่อน พวกเราเลยต้องเงียบและยัยซูซี่เองหลังจากเมื่อกี้ออกอาการจีบปากจีบคอมากไปหน่อยก็รีบเก็บและนั่งตัวตรงเก๊กหล่อทันที
“อาสงศักดิ์ อาเชอร์เบ็ก นี่พวกลื้อมากังนานรึยัง”
“สวัสดีค่าอาม่า แหะๆ”
ยัยซูซี่ถึงกับกระแอมไอออกมาและเสยผมด้วยท่าทางสุดแมนจนฉันแทบจะกรี๊ดออกมา อ้อ.. นี่ฉันลืมบอกไปหรือเปล่าว่าทำไมวันนี้ซูซี่ถึงต้องแอ๊บแมนด้วย เป็นเพราะยัยนี่กลัวที่บ้านของหลิงลี่ที่เป็นครอบครัวคนจีนหัวโบราณจะรู้ว่าตัวเองเป็นกระเทยแล้วจะถูกรังเกียจ ทั้งๆ ที่ทางบ้านหลิงลี่ก็ไม่ได้อะไรมากมายกับเรื่องอย่างนี้ ยัยซูซี่ก็กลัวไปซะได้ นี่ขนาดพ่อแม่ตัวเองก็ยังไม่รู้เลยนะว่าลูกชายสุดหล่อเป็นกระเทยน่ะ ฉันล่ะสงสารยัยนี่จริงๆ เลยที่จะต้องมาทนอึดอัดปิดบังตัวตนไว้อย่างนี้ ทั้งที่ไม่ได้ไปฆ่าใครตายสักหน่อย
เฮ้อ... โลกนี้ช่างไม่มีความยุติธรรมเอาซะเลย
“ซะหวัดลีๆ พวกลื้อสองคงนี่น่ารักจริงๆ เลยน้า มาอยู่เป็งเพื่องอาหลิงลี่ด้วย”
อาม่าที่มีผมขาวเกือบทั้งหัวฉีกยิ้มจนทำให้เห็นรอยตีนกาและรอยย่นที่หน้าผากชัดเจนขึ้นเอื้อมมามาตบไหล่ฉันที่นั่งตัวเกร็งเบาๆ
นี่ตอนแก่ฉันจะเป็นแบบนี้หรือเปล่านะ TOT
“อาม่านี่ก็ยังใจดีเหมือนเดิมเลยนะครับ เอ๊ะ นี่อาม่าไปดึงหน้ามาหรือเปล่าครับเนี่ย”
“ไอหยา ซี้ซั้วต่าน่าอาสงศักดิ์ อั๊วน่ะแก่เลี้ยวมีแต่รอยเหี่ยวนี่แหละ”
“จริงเหรอครับ แต่นี่ผมคิดว่าอาม่าไปดึงหน้ามาซะอีก”
อาม่าเอามือปิดปากหัวเราะเหมือนกับเด็กสาววัยรุ่นที่กำลังแตกเนื้อสาวดังเปรี๊ยะๆ ถูกผู้ชายจีบ ส่วนยัยซูซี่ก็หันมากลอกตาไปมาใส่ฉันก่อนจะรีบหันไปฉีกยิ้มหวานทันทีที่อาม่าหันมาพูดด้วย
นี่แกโกหกคนแก่นี่หว่า =_=;;
“เอ้อนี่ พวกลื้อรู้จักอาจั่นเจาบ้างมั้ย”
“อาม่า!!”
ยัยหลิงลี่ตะโกนเรียกอาม่าเสียงดังจนฉันกับซูซี่หันไปมองอย่างตกใจ เกิดอะไรขึ้นกับเพื่อนฉันเนี่ย
“อาม่าหมายถึงองครักษ์ของเปาบุ้นจิ้นเหรอครับ”
“ไม่ใช่ๆ อั๊วหมายถึงอาจั่นเจาคนหล่อๆ เรียนอยู่ที่เดียวกับพวกลื้อน่ะ รู้จักมั้ย”
“ใช่เพื่อนของโปเซียร์ป่ะยัยเชอร์เบท”
ซูซี่หันมากระซิบข้างหู ซึ่งเท่าที่ฉันนึกออกตอนนี้ก็มีอยู่คนเดียวนะ
“อ้อ คนที่สูงๆ ขาวๆ ตาตี่ๆ เป็นอาตี๋ขายเต้าฮวยใช่ไหมคะอาม่า”
“ใช่ๆๆ คนนั้นแหละ แต่อีไม่ได้ขายเต้าฮวยนะ”
หนูพูดเล่นเฉยๆ ได้มั้ยคะ =O=
“อาม่าพอได้แล้วน่า หลิงลี่จะได้ทำงานนะ”
“เดี๋ยวสิ อั๊วยังพูกไม่จบเลย อ้อ อาเชอร์เบ็กลื้อว่าอาจั่นเจาอีเป็นคงยังไงฮะ”
“หือ? ก็คงเป็นคนดีมั้งคะ อาม่าถามทำไมเหรอ”
อย่าบอกนะว่าอาม่าชอบหมอนั่น ฉันจะกรีดร้องเป็นภาษาบังคลาเทศเลยคอยดู T^T
“ก็อั๊วอยากได้อีมาเป็งหลานเขยน่ะซี่”
“หา!!!”
“TOT”
“พวกลื้อไม่ต้องหา ไม่มีอะไรหาย”
อาม่าปล่อยมุกตามอายุออกมา เอิ่ม... ฉันควรจะช่วยฮาดีหน่อยดีมั้ยคะ =O= เฮอะๆ
ฉันกับซูซี่ประสานเสียงร้องออกมาโดยไม่ได้นัดหมายและพร้อมใจกันหันไปมองหน้าหลิงลี่ทันที ท่าทางจะมีอะไรๆ มากกว่า
ที่คิดแล้วมั้งเนี่ย
“วันก่อนอั๊วไปเจออีมาที่ศาลเจ้า อาจั่นเจานี่หล่อนะพวกลื้อว่ามั้ย เรียนก็เก่ง รวยก็รวย แถมโหงวเฮ้งนี่ดีไม่มีที่ติเลยนา อั๊วชอบๆ”
เอ่อ... อาม่าชอบเองหรือว่าอยากจะได้หลานเขยเนี่ย ชักจะกลัวแทนนายจั่นเจาเข้าแล้วนะ
“ถ้าได้ยินอย่างนี้อั๊วก็สบายใจที่รู้ว่าอาจั่นเจาอีเป็งคนลี เดี๋ยวอั๊วไปไหว้เจ้าต่อนะพวกลื้อตามสบายเลย”
พวกเราได้แต่มองตามหลังอาม่าที่เดินเข้าบ้านไปอย่างงงๆ ก่อนจะหันมากดดันยัยหมวยน้อยที่นั่งทำหน้าเบะเหมือนจะร้องไห้อยู่
“นี่ยัยหลิงลี่มันหมายความว่าไงเนี่ย”
“จะอะไรซะอีกล่ะซูซี่ ก็อาม่าน่ะสิรู้จักกับแม่ของนายจั่นเจานั่นก็เลยอยากจะให้ครอบครัวเราดองกัน จะได้ยิ่งรวยๆๆ ตามที่ซินแสบอกนั่นแหละ แต่ฉันว่ามันจะกลายเป็นซวยๆๆ มากกว่านะ”
“อุ๊ย อย่างนี้ก็ดีน่ะสิ แล้วอาม่าอยากให้เป็นหลานเขยกับคนไหนล่ะ กับเธอหรือว่าผิงอัน”
ผิงอันที่ว่าก็คือน้องสาวสุดเริดของหลิงลี่นั่นเอง สองพี่น้องนี่ขอบอกว่าต่างกันลิบลับ ในขณะที่คนพี่เป็นผู้หญิงเรียบๆ ธรรมดาและคงแก่เรียน แต่คนน้องนี่สิขนาดว่าฉันแรงแล้วยังต้องขอยกมือขึ้นคาราวะ เมื่อยัยผิงอันเนี่ยทั้งสวย เริด และเชิดได้ตลอดเวลา อ้อ... แล้วก็มีต้าเหว่ยน้องชายสุดแสบอีกคนด้วยนะ
“T^T”
“เธอสินะ”
ฉันพูดออกมาแล้วก็หันไปยิ้มให้กับซูซี่ที่ถอนหายใจออกมาเสียงดังและมองยัยหลิงลี่ด้วยสายตาแบบไม่น่าเชื่อ
“ฉันว่าจั่นเจาก็ดีนะแต่ถ้าจะให้มาเป็นแฟนกับ...”
นี่แกจะทำร้ายจิตใจเพื่อนไปถึงไหนน่ะยัยซูซี่
“โถ่ ฉันก็ไม่ได้ชอบหมอนั่นสักหน่อยพวกเธอก็รู้ อีกอย่างนะ... มันจะเป็นไปได้ยังไงหมอนั่นไม่มีทางมาสนใจผู้หญิงจืดๆ หน้าตาหมวยๆ แบบฉันหรอก”
“นี่เธอกำลังน้อยใจอยู่หรือเปล่าเนี่ย”
“เปล่าซะหน่อย ฉันคิดอะไรก็พูดอย่างนั้น พระพุทธเจ้าบอกว่าให้ซื่อสัตย์กับความรู้สึกของตัวเองและไม่ควรจะพูดโกหกเพราะมันจะผิดศีลข้อ...”
“พอๆๆๆ ฉันรู้แล้วว่าเธอพูดจริง -_-;;”
นี่ฉันกำลังนั่งฟังแม่ชีเทศน์อยู่สินะ
แต่ก็อย่างว่าแหละ ฉันยังนึกถึงความเป็นไปไม่ได้เลยว่าสองคนนี้จะมาชอบกันได้ ไม่ใช่ว่าเพื่อนฉันไม่ดีหรอกนะ แต่นายจั่นเจานั่นต่างหากล่ะที่ไม่เหมาะกับเพื่อนฉันเลยสักนิด ทั้งขี้หงุดหงิด เฉยชา และชอบด่าคนอื่นด้วยสายตา แถมประหยัดคำพูดช่วยชาติลดโลกร้อนเอามากๆ ขนาดตอนที่ฉันเคยคบกับโปเซียร์ยังแทบนับครั้งที่คุยกับหมอนี่ได้เลยนะ
~¯~
และยังไม่ทันจะคุยอะไรกันต่อเสียงโทรศัพท์จังหวะสามช่าของฉันก็แผดเสียงดังลั่นขัดจังหวะการคุยเป็นที่สุด ฉันขมวดคิ้วอย่าหงุดหงิดที่ใครมันโทรมาไม่รู้จักเวลาเอาซะเลย แต่พอคว้าขึ้นมาดูว่าเป็นใครก็ทำเอาฉันเนื้อเต้นอีกครั้ง
“แก๊ พี่โชนโทรมา >O<”
“หา! จริงเหรอ กรี๊ดๆๆ”
ยัยซูซี่กรี๊ดตลาดแตกแต่ก็ต้องรีบเอามืออุดปากและมองซ้ายมองขวาว่ามีใครได้ยินหรือเปล่าก่อนจะหันมาระริกระรี้ใส่ฉันเหมือนว่าพี่โชนกำลังกอดนางอยู่งั้นแหละ
“แกรีบรับสิ เร็วๆ เข้า”
ฉันเหลือบตาไปมองยัยนี่แวบหนึ่งก่อนจะกดรับสายกรอกเสียงพูดลงไปเสียงหวานอย่างแอ๊บๆ โดยมีแอ๊บตัวแม่อย่างซูซี่แนบหูฟังอยู่ด้วย
“สวัสดีค่ะ~ ^O^”
เสียงหวานขนาดนี้ถ้ามีมดอยู่มันคงกัดปากฉันไปแล้วแน่ๆ
(ครับเชอร์เบท นี่พี่โชนเองนะครับจำได้มั้ยเอ่ย)
“จะ... จำได้ค่ะ”
ไม่มีวันลืมเลยด้วย อ๊าก... เสียงหล่อมากกก (ลาก ก.ไก่ ยาวไปถึงเบตง) อยากจะลงไปดิ้นตายกับพื้นจริงๆ
(พี่โทรมารบกวนหรือเปล่าครับ)
“ไม่ค่ะ ไม่ๆๆ ไม่เลยสักนิด พี่โชนมีธุระอะไรสำคัญหรือเปล่าคะ”
พี่จะสุภาพไปไหนคะ หนูจะละลาย อ๊างง >O<
(มันอาจจะไม่สำคัญเท่าไรนะ คือพี่ได้ตั๋วหนังมาสองใบเลยอยากจะชวนเชอร์เบทไปด้วย แล้วเชอร์...)
“แป๊ปนึงนะคะพี่โชน”
ฉันรีบบอกพลางเอาโทรศัพท์ออกห่างแล้วหันไปหาซูซี่ก่อนที่เราสองคนจะจับมือกันแล้วกรี๊ดออกมาเบาๆ อย่างตื่นเต้น กรี๊ดดๆๆๆ พี่โชนกำลังจะชวนฉันไปเดทใช่ไหม ใช่ม้ายๆๆๆ ใครก็ได้ช่วยตบหน้าฉันทีว่ามันไม่ใช่ความฝัน
หลังจากที่สงบสติเรียบร้อยแล้วฉันก็กระแอมไอ้เบาๆ ก่อนจะเปล่งเสียงหวานลงไปอีกครั้ง
“ฮัลโหล มาแล้วค่ะพี่โชน”
(เอ่อ... ถ้าเชอร์เบทไม่ว่างก็ไม่เป็นไรนะครับ พี่ว่า...)
“ว่างค่ะว่าง เชอร์เบทว่างตลอดเลยช่วงนี้”
สแตนด์บายพร้อมยี่สิบสี่ชั่วโมงเลยค่ะ โฮะๆ
“ดีจังเลย เอาเป็นว่าวันเสาร์นี้ตอนสิบโมงเจอกันที่ ห้าง The M นะ เอ๊ะ! หรือว่าจะให้พี่ไปรับที่บ้านดี”
“อุ๊ย! ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวเชอร์เบทไปเองดีกว่า”
“เอางั้นเหรอครับ ถ้าอย่างนั้นไว้เจอกันนะ”
“โอเคค่ะ”
“งั้นพี่ไม่กวนเชอร์เบทแล้วนะคะ สวัสดีค่ะ”
กรี๊ดดด พูดจาคะขาด้วย ผู้ชายอะไรอ่อนโยนที่สุดเลย นี่แหละที่ฉันตามหามานาน
พอวางสายไปปุ๊บยัยซูซี่ที่รอมีบทมาตั้งนานแล้วโผเข้ามากอดฉันทันที แกช่วยอย่ามากอดตอนที่แกกำลังแต่งแมนแบบนี้ได้ไหมเนี่ย ฉันใจเต้นนะ –O-
“โป๊ะเช๊ะ! เห็นมั้ยยัยเชอร์เบท ฉันบอกว่าแล้วว่าพี่โชนเค้าต้องสนใจแกแน่ๆ ไม่งั้นมาชวนไปเดทแบบนี้หรอก”
“ฉันก็ไม่อยากจะคิดเข้าข้างตัวเองหรอกนะ แต่หลักฐานมันก็เห็นๆ กันอยู่”
“.....”
“.....”
“กรี๊ดดดด”
ประสานเสียงกรี๊ดกันอย่างพร้อมเพรียงจนทำให้หลิงลี่ที่นั่งฟังอยู่นานถึงกับเอามือปิดหูทันที แต่ใครสนกันล่ะ ตอนนี้ในหัวฉันมีแต่ใบหน้าหล่อๆ ของพี่โชนเต็มไปหมด
“บางทีพี่โชนเค้าไม่รู้จะชวนใครไปเลยโทรมาหาเธอก็ได้นะเชอร์เบท”
“ยัยหลิงลี่!”
“ง่า~ อย่าเสียงดังสิ ฉันก็แค่เตือนเธอเอาไว้เผื่อว่ามันไม่ใช่เธอจะได้ไม่ต้องเสียใจไง”
“ฉันไม่มีทางเสียใจหรอกย่ะ คนที่จะเสียใจคือยัยแป้งเปียกกับโปเซียร์นั่นต่างหากล่ะ”
“นี่พวกเธอยังไม่เลิกล้างแค้นกันอีกเหรอ ฉันบอกเธอแล้วไงว่าให้ต่างคนต่างอยู่ อย่าอาฆาตจองเวรกันเลย มัวแต่แก้แค้นกันไปมาแบบนี้เมื่อไรมันจะจบสิ้นกันล่ะ คนเรามันต้องสามัคคีกันไว้สิ ฟอดแฟดๆๆ @&)@^!_*&_@&%$_!Q)”
ไปสู่สุขติเถิด... อาเมน
ไม่อยากจะคิดว่าฉันจะมีวันนี้ >O<
วันที่ฉันได้มายืนเฉิดฉายเคียงข้างกับพี่โชนสุดหล่อในวันที่แสนจะพิเศษขนาดนี้ กรี๊ดด (ยังคงแหกปากอยู่ได้เรื่อยๆ) เราสองคนนัดกันมาเจอกันที่หน้าโรงหนังตอนสิบโมง รู้อะไรมั้ยว่าฉันตื่นเต้นมากเหมือนกับว่ามันเป็นเดทแรกและตื่นนอนตั้งแต่ตีสี่ครึ่งเพื่อลุกขึ้นมาแต่งตัวให้สวยเริ่ดเพื่อพี่โชน จนกว่าจะออกจากบ้านก็สายมากแล้วกลัวว่าจะไม่ทัน แต่พอมาถึงกลับมาเห็นพี่โชนนั่งรออยู่ก่อนแล้ว นี่ขนาดฉันว่าฉันมาถึงตรงเวลาเป๊ะๆ นะแต่พี่เค้ามาก่อนฉันซะอีก คงจะตื่นเต้นล่ะสิที่ได้มาเดทกับฉันน่ะหนุ่มน้อย อ๊ายย
“วันนี้แต่งตัวน่ารักจังเลยนะครับ”
“>.<//”
ตื่นมาตอนตีสี่เพื่อประโยคนี้แหละค่ะ
และแน่นอนว่างานนี้ฉันไม่ได้มาคนเดียวแน่นอน ยังหนีบยัยหลิงลี่และซูซี่ที่ใส่หมวกและแว่นตาดำพร้อมเหมือนพวกสตอลเกอร์ยืนแอบอยู่ตรงมุมเสาอีกด้านหนึ่ง อันที่จริงฉันก็ไม่ได้อยากจะให้ยัยสองคนนี้มาด้วยเลยสักนิด ลำพังแค่หลิงลี่น่ะไม่เท่าไรหรอกเพราะว่ารายนั้นก็ไม่อยากจะยุ่งกับเรื่องของฉันมากเท่าไรอยู่แล้ว แต่คุณซูซี่เหรอจะยอม เลยดั้นด้นดึงดันจะตามมาด้วยให้ได้ ฉันจึงต้องปล่อยเลยตามเลยแต่มีข้อแม้ว่าให้คอยสอดแนมอยู่ห่างๆ เท่านั้นห้ามเข้าใกล้และให้พี่โชนรู้ตัวเป็นอันขาด เพราะเค้าอยากจะมีเวลาสวีทวิ้ดวิ้วกับหวานใจ ^O^
“เราจะดูเรื่องนี้กันเหรอคะ”
ฉันมองหน้าพี่โชนก่อนจะชี้ไปที่โปสเตอร์หนังรักโรแมนติกเรื่องดังแห่งปีที่ไม่ควรพลาดเด็ดขาด ความจริงแล้วฉันก็อยากดูเรื่องนี้มากๆ เลยนะ ถ้าไม่ได้มากับพี่โชนก่อนฉันก็กะว่าจะนัดเพื่อนสาวทั้งสองมาดูด้วยกันแทน แต่หนังรักแบบนี้ฉันว่าทำไมมันไม่ค่อยเหมาะกับพี่โชนเลยแฮะ
“ทำไมเหรอ เชอร์เบทไม่อยากดูหรือเปล่า งั้นเดี๋ยวเราเปลี่ยนเรื่องดูกันมั้ย”
“ปะ... เปล่าค่ะพี่โชน เชอร์เบทอยากดูเรื่องนี้ แต่ว่าคือเชอร์เบทกลัวพี่โชนจะเบื่อน่ะค่ะ”
เพราะลุคแมนๆ อย่างพี่โชนน่าจะชอบแนวฆาตรกรรมบู๊ล้างผลาญมากกว่านะ
“ไม่หรอกครับ ปกติพี่ชอบดูหนังแนวนี้”
กรี๊ดด (อีกแล้ว) โรแมนติกที่ซู้ดด หลงรักผู้ชายคนนี้หมดใจ อิอิ
และก็ได้เวลาหนังฉายพอดีฉันหันไปขยิบตาใส่เพื่อนสาวที่กระทืบเท้าเต้นเร่าๆ สิงอยู่ข้างต้นเสาพร้อมกับเดินเคียงข้างพี่โชนเข้าไปในโรงหนัง ท่ามกลางสายตาอิจฉาของผู้หญิงหลายนางที่มองมาทางพี่โชนอย่างออกหน้าออกตา ชิ พวกหล่อนก็ได้แค่มองเท่านั้นล่ะย่ะ ส่วนฉันได้ทั้งมอง ทั้งจับ ทั้งสัมผัส โฮะๆๆ (หื่นมากไปละ -O-)
สองชั่วโมงผ่านไป...
ฉันเดินออกมาจากโรงหนังอย่างล่องลอย ฮ้า~ มันช่างเป็นการเดทที่แสนวิเศษอะไรเช่นนี้ บางคนอาจจะคิดว่าก็แค่มาดูหนังธรรมดาไม่เห็นจะมีอะไรน่าตื่นเต้นตรงไหน หึๆ มันน่าตื่นเต้นตรงที่คนที่เดทด้วยเป็นพี่โชนน่ะสิ กรี๊ด ต่อให้วันนี้ถ้าไม่ได้มาดูหนังแต่ไปปลูกป่าแทน ฉันก็ตื่นเต้นอยู่ดีถ้าข้างๆ ยังคงเป็นพี่โชน
“หนังสนุกมั้ยครับ”
“สนุกมากเลยค่ะ ยิ่งตอนพระเอกบอกรักนางเอกนะซึ้งมากๆ เลย”
พี่โชนหันมายิ้มน้อยๆ ก่อนจะเอ่ยเสียงเรียบๆ เหมือนไม่ได้คิดอะไรแต่ทำเอาคนฟังคิดไปไกลจนกู่ไม่กลับแล้ว
“แล้วถ้าพี่ทำอย่างนั้นบ้างเชอร์เบทจะรับรักพี่หรือเปล่าน้า”
รับค่ะ รับๆๆ รับโดยไม่มีข้อแม้เลยแม้แต่นิดเดียว
อกแฟบๆ ของอีแป้นจะแตกตาย กรี๊ด พี่โชนกำลังจะบอกรักฉันทางอ้อมหรือเปล่านะ ฉันเอามือไขว้กันไปมาแล้วก็ม้วนตัวอย่างอายๆ ที่พี่โชนเล่นจ้องไม่วางตาขนาดนั้น คนบ้า... เค้าเขินนะ >///<
ปิ๊บๆ ~
อุ๊ย เสียงข้อความเข้า ฉันหันไปยิ้มน้อยๆ ให้พี่โชนก่อนจะควานหาโทรศัพท์ขึ้นมาดู เอ๊ะ... นี่มันเบอร์ของยัยซูซี่นี่ ก็เดินตามฉันมาอยู่ไม่ใช่หรือไง ทำไมจะต้องส่งอะไรมาให้มันดูวุ่นวายด้วยเนี่ย ฉันหันไปมองทิศทางที่ยัยซูซี่ยืนอยู่ก็เห็นยัยนั่นชี้มือไปอีกทางนึงซึ่งฉันไม่เข้าใจว่ามันคืออะไร เลยกดเปิดข้อความอ่านดีกว่า
‘หันไปทางแปดนาฬิกา แล้วลุย!!’
ฮะ! แกจะให้ฉันไปออกรบที่ไหนน่ะถึงได้มาบอกรหัสลับอะไรกันแบบนี้ แต่ฉันก็บ้าจี้หันไปตามที่ซูซี่บอกนะแต่ก็ไม่เห็นมีอะไรเลยแฮะ มีแต่ร้านอาหารอยู่ทางนั้น เอ๊ะๆๆ เดี๋ยวก่อนนะ... ฉันว่าฉันเห็นอะไรดีๆ อยู่ในนั้นด้วยล่ะ หึๆ เพราะฉะนั้นฉันก็เลยหันไปมองซูซี่พลางส่งสัญญาณว่ารับทราบ
“หิวหรือเปล่าครับเชอร์เบท เห็นมองร้านนั้นตั้งนาน”
เอิ่ม... หนูไม่ได้เห็นแก่กินขนาดนั้นนะคะ TOT
“ก็หิวค่ะ งั้นเราไปทานอาหารร้านนั้นกันดีกว่าเนอะ”
และไม่รอให้พี่โชนปฏิเสธฉันก็จัดการแอบแต๊ะอั๋งจับมือพี่โชนไปทางร้านนั้นทันที กรี๊ด ผู้ชายอะไรมือนิ่มกว่าหน้าฉันอีกนะเนี่ย (เอ๊ะ ยังไงกัน) คอยดูเถอะฉันจะไม่ล้างมือไปสามอาทิตย์
ส่วนเวลานี้น่ะเหรอ.... ได้เวลาออกรบตามที่ซูซี่บอกแล้ว หึๆ
โช๊ะเด๊ะ!!
_______________________________________________________________________________________________________
แอบกระซิบ ตอนหน้าห้ามพลาดนะจ๊ะ เพราะถึงเวลาที่นางเอกของเราได้ออกโรงดับเครื่องชนกับแฟนเก่าเเล้ว โฮะๆๆ
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ