เล่ห์กลรักเงาอสูร
4) บทที่ 1 แรงแค้น_3
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
-ต่อจากบทก่อนหน้า-
บทที่ 1 แรงแค้น_3
หนึ่งปีหลังจาก มาวิณ ตรีเตชะมร ผู้อาภัพความรักจากภรรยาและมิตรสหาย จากไปได้ไม่นาน โดยที่ไม่มีวันได้หวนกลับคืนมาใหม่ได้อีก ภรรยาของมาวิณและลูกสาววัยเพียงสี่ขวบก็จากไปด้วยเช่นเดียวกัน เธอพาลูกสาวจากไปโดยไม่ได้บอกลาใครแม้แต่กับบิดาของเขา เธอหลบหนีจากสังคมเมืองไทย หลบหนีจากผู้คนที่รู้จัก เช่น บิดาของเขา หลบหนีจากความผิดในหัวใจของเธอ แต่อย่างไรเสียเธอก็ไม่มีทางจะหลบหนีจากความเป็นจริงไปได้เช่นเดียวกันกับบิดาของเขาเอง ต่างก็ไม่มีวันจะหลบหนีจากความผิดภายในจิตใจไปได้เช่นเดียวกัน ทุกๆ คนจะต้องได้รับการชดใช้ในความผิดไม่วันใดก็วันหนึ่ง แล้วมันจะเป็นวันไหนกันแน่ ที่บิดาของเขาจะต้องติดตามชดใช้ในความผิด หรือว่าบิดาของเขาจะได้รับการยกเว้นเป็นกรณีพิเศษไม่ต้องได้รับโทษในความผิดที่ได้ก่อขึ้น เขาเองก็ไม่สามารถจะค้นหาคำตอบได้อีกเช่นกัน
บิดาของเขาหลอกลวงหญิงสาวที่มีลูกมีสามีอยู่ก่อนแล้ว บิดาของเขาหลอกเอาเงินจากภรรยาเพื่อนรักมาเล่นหุ้น จนทำให้ครอบครัวของเพื่อนรักต้องบ้านแตกสาแหรกขาด บิดาของเด็กหญิงตัวน้อยๆ ต้องจบชีวิตลงก่อนที่เด็กหญิงจะได้สัมผัสถึงความรักความอบอุ่นจากอ้อมกอดของบิดาผู้ให้กำเนิด ทรัพย์สินเงินทองที่ครอบครัวดีๆ ครอบครัวหนึ่งหามาด้วยน้ำพักน้ำแรงทุกหยาดเหงื่อทุกหยาดหยดอย่างยากลำบากนานหลายปี บิดาของเขากับใช้จ่ายมันไปจนหมดสิ้นเพียงในระยะเวลาสั้นๆ เพียงแค่การสูดลมหายใจเข้าออกไม่กี่ครั้งเท่านั้น
พอกันเสียที่สำหรับความคิดที่วิ่งวนเวียนไปมา ภายในหัวสมองของเขาในวันนี้ เขาเหนื่อยล้าเต็มทีแล้ว หากสิ่งใดมันจะเกิดก็ปล่อยให้มันเกิดขึ้นได้เลยแล้วกัน มันสมควรแล้วไม่ใช่หรือสำหรับสิ่งเลวร้ายที่บิดาของเขาเคยได้ก่อทิ้งเอาไว้ บริษัทนี้มันจะล้มสะลายก็ปล่อยให้มันล้มสลายไป มันคือผลกรรมที่บิดาของเขาสมควรจะได้รับสำหรับสิ่งที่ได้กระทำมันลงไปกับเพื่อนรักเมื่อครั้งในอดีต แต่สำหรับตัวเขาเองเล่าสมควรที่จะต้องได้รับผลแห่งกรรมนั้นด้วยหรือ ลูกของมหาโจรหากไม่ได้กระทำความผิดอย่างพ่อแม่ที่เป็นโจร ก็ไม่สมควรจะต้องได้รับโทษหรือผลแห่งกรรมนั้นตามบิดามารดา ที่เป็นมหาโจรไปด้วย ตัวของเขาเองก็เช่นเดียวกันไม่สมควรจะต้องได้รับโทษหรือผลกรรมที่บิดาของเขาได้เป็นผู้ก่อทิ้งเอาไว้เลย บริษัทอันเป็นมรดกตกทอดของตระกูลจากปู่ยาตายายมาหลายรุ่น มันไม่ใช่เป็นของบิดาของเขาเพียงคนเดียว เขาเองก็สมควรจะเก็บรักษามันเอาไว้ให้ตกเป็นมรดกตกทอดแก่ลูกชายและลูกสาวของเขาในอนาคตในภายภาคหน้า เขาไม่มีทางให้มันล่มสลายไปอย่างง่ายๆ ตามผลแห่งเวรผลกรรมที่บิดาของเขาเป็นผู้ได้ก่อขึ้นมาอย่างแน่นอน
“โรส” หรือโรสิลี พฤษาพันธ์ คือคู่หมั้นของเขา อีกไม่นานเธอจะเป็นมารดาผู้ให้กำเนิดลูกชายและลูกสาวน่ารักๆ ของเขาในอนาคตข้างหน้า เธอสวย น่ารัก เรียบร้อยและเป็นคนดี เธอยืนอยู่เคียงข้างกับเขา ด้วยความรักภักดีมาตลอดหลายปี เธอคอยอยู่เป็นกำลังใจให้กับเขาในยามที่เขาอ่อนล้า เธอคือความรักทั้งหมดในหัวใจของเขา ในยามเหนื่อยล้า ท้อแท้เขาจะเฝ้าครุ่นคิดถึงแต่โรสิลีอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะแต่ในเวลานี้เขาต้องการอยากจะพบเจอะเจอหน้าสวยๆ ของโรสิลีเสียจริงๆ เขาอยากจะพาโรสิลีออกไปเที่ยวเดินเล่น ไปทานข้าว ไปดูหนัง หรือฟังเพลงเพราะๆ สักเพลง แต่ก่อนอื่นเขาจะต้องรับรู้ให้ได้เสียก่อนว่าขณะนี้ โรสิลีคู่หมั้นของเขากำลังทำอะไรอยู่ที่ไหน หรือเธอคงกำลังนอนครุ่นคิดถึงเขาอยู่เช่นเดียวกันกับที่เขากำลังนอนครุ่นคิดถึงเธออยู่ หรือว่าเธอกำลังนอนหลับตาแล้วเปิดเพลงคลอดนตรีเพราะๆ แล้วเฝ้าฝันเพ้อละเมอถึงเขาอยู่กันแน่ เขาอยากจะส่งกระแสจิตแห่งความรักให้ล่องลอยไปสัมผัสถึงหัวใจของหญิงสาวคนรักให้ได้เสียจริงๆ
........................................
ผับใหญ่ใจกลางเมืองกรุง อันหนาแน่นไปด้วยผู้คนมากมายในจำนวนนั้นมีหญิงสาวสวยทรงเสน่ห์รวมอยู่ด้วยหนึ่งคน เธอคือคู่หมั้นของธเนศ เกียรติภูมินต์ เสียงเพลง เสียงดนตรี เสียงโห่ร้อง ที่ไม่สามารถจะจับน้ำเสียงร้อง จับเสียงจังหวะหรือท่วงทำนองของเครื่องดนตรีได้ มันดังสนั่นหวั่นไหว กึกก้องไปทั่วอาณาบริเวณของสถานที่แคบๆ การดื่ม การเต้น การโยกย้ายส่ายสะโพกอย่างเมามันคือกิจกรรมของผู้คนในผับแห่งนี้ รวมถึงหญิงสาวทรงเสน่ห์อย่างเช่นโรสิลีด้วยเช่นเดียวกัน เธอมาร่วมสนุกกับกลุ่มเพื่อนในวงการดารานางแบบกลุ่มใหญ่ทั้งชายและหญิง เธอกำลังเต้น โยกย้าย ส่ายสะโพก สะบัดผมที่ยาวเคลียไหล่อย่างเมามันจนลืมคืนลืมวันและ ลืมแม้กระทั้งคู่หมั้นหนุ่มอันเป็นทีรักที่กำลังครุ่นคิดถึงเธออยู่ในขณะนี้
“โยก โยก โยก โยกให้มันหลุดโลก” มันคือเสียงเพลงภาษาวัยรุ่นมันๆ หรือภาษาบ้าๆ สำหรับใครบางคน มันดังซ้ำไปซ้ำมาพอๆ กันกับลีลาการเต้นของโรสิลี ดารานางแบบสาวสวยสุดฮอดผู้กำลังร้อนแรงดังไฟทะลุองศาเดือดซึ่งกำลังร้อนแรงอย่างได้ทีพอดี
“โยก โยก กัน เข้าไป๊ พี่น้อง ดิ้นกันให้ตายกันไปข้างหนึ่งเล๊ย” เสียงตะโกนของดีเจผู้บ้าเลือดและบ้าคลั่งตะโกนผ่านไมโครโฟนเสียงดังซ้ำไปซ้ำมาพอๆ กันกับเสียงเพลงบ้าๆ และจังหวะมันๆ ที่ดังไม่เป็นภาษาอันขาดๆ หายๆ ไปเป็นระยะๆ เป็นบางช่วงบางจังหวะ แต่ทุกคนก็ยังสนุกและดิ้นกันจนแทบหัวหรือศีรษะหลุดออกจากลำคอเล็กๆ ได้อย่างไม่รู้สึกเบื่อหน่ายเลยทีเดียว
“โรส...โรส...โรสเก็บอาการหน่อยก็ได้นะ” เพื่อนๆ ในกลุ่มนักเต้นต่างร้องตะโกนเรียกเธอเสียงดังซ้ำๆ กันหลายครั้งแต่โรสิลีนักเต้นเท้าไฟหัวใจติดกระแสไฟฟ้าแรงสูงก็ยังคงแสดงอาการเต้นอย่างหลุดโลกอยู่เช่นเดิน เหมือนว่าโรสิลีจะหูดับตับไหม้ไปอย่างถาวรเสียแล้ว เธอเต้นโยกย้ายส่ายสะโพก สะบัดเส้นผมไปมาจนเป็นที่กวนบาทาของใครหลายๆ คนโดยเฉพาะกับผู้คนรอบข้างเธอ หากโรสิลีไม่ใช่หญิงสาวแสนสวยจนใครหลายๆ คนต่างจับจ้องมองอย่างชื่นชม โรสิลีอาจจะถูกใครๆ หลายๆ คนเหล่านั้นรุมเหยียบหรือกระทืบจนบี้แบนติดพื้นกลางฟลอร์เต้นรำไปนานแล้ว
“อ๊ะ อ๊าย....โหว่..มันสุดยอดเลยโหว่...โฮ๊..” มันคือเสียงตอบรับจากโรสิลี หญิงสาวที่กำลังเมามันติดลมบนอย่างบ้าเลือด อย่างกับกำลังถึงจุดสุดยอดเธอเต้นไปด้วยโห่ร้องตะโกนเสียงดังไปด้วย อันไม่เป็นภาษาของมนุษย์โลกพอๆ กันกับเสียงเพลง เสียงดนตรีและเสียงดีเจ ตลอดจนผู้คนรอบข้าง
“เต้นเข้าไปเลยพวกเรา” โรสิลีตะโกนบอกเพื่อนๆ ในกลุ่มอย่างเสียงดังฟังชัด
“ตามใจเธอแล้วกัน คงจะเก็บกดอาการบ้าเลือดมานาน” เพื่อนๆ ที่จับจ้องมองลักษณะการเต้นของโรสิลีอยู่เริ่มยอมรับในลักษณะการเต้นกวนบาทาอย่างหลุดโลกของโรสิลีได้ แม้อยากจะร้องตะโกนเตือนให้โรสิลีเก็บกักอาการและอารมณ์ไว้บ้างก็ตาม
“อ๊าย...!!!” เสียงตะโกนลากยาวอันดังจนสุดขีด หรือลิมิตที่จะสามารถกรี๊ดได้ จนลำตัวของโรสิลีงอขนาดกับพื้น เธอกำลังตะโกนส่งท้ายปิดเสียงเพลงและจังหวะมันๆ ก่อนจะจบเพลงแล้วเริ่มเพลงใหม่ ทุกคนตบมือแสดงความหน้าดานหน้าทนของเธออย่างนับถือ เธอยิ้มรับอย่างภาคภูมิใจและโค้งคำนับหลายครั้งหลายรอบ
“สุดยอดเลยนะ พวกเราว่าไหม สนุกจริงๆ” โรสิลีพูดไปด้วยหอบหายใจเหนื่อยล้าไปด้วย ทุกๆ คนในกลุ่มต่างพยักหน้าเห็นด้วย อย่างกำลังจับจ้องมองเห็นสิ่งมหัศจรรย์อันแปลกประหลาดอีกอย่างหนึ่งของโลก
“ใช่เธอนะ สนุกสุดยอด แต่พวกเรากลัวจะโดน กระตื้บตาย” เพื่อนในกลุ่มหลุดปากพูดออกมา
“ว่าอะไรนะ” โรสิลีแสดงสีหน้าและแววตาสงสัย
“ออ..ไม่มีอะไรหรอก อย่าสนใจนักเลย” ทุกคนต่างไม่อยากจะให้มันเป็นเรื่องราวใหญ่โตต่อไป
“โอ้วันนี้ โรสสนุกสุดยอดจังเลย ว่าไหมพวกเรา วันหลังพวกเรามากันอีกนะ” โรสิลีจับจ้องมองเพื่อนๆ ในกลุ่ม ทุกคนต่างพยักหน้าอย่างเห็นด้วย แต่
“เธอมาคนเดียวเถอะจ๊ะ วันนี้เอาชีวิตรอดกลับไปได้ก็บุญเท่าไรแล้ว” เสียงความคิดของทุกคนแสดงออกมาทางแววตาที่ต่างจับจ้องมองเข้าหากันอย่างเห็นพ้องต้องกัน แล้วพยักหน้าให้แก่กันอย่างกำลังสื่อสารกันด้วยพลังจิตที่ก่อเกิดขึ้นมาในยามคับขันหรือในยามกำลังตกอยู่ในห่วงของอันตรายอย่างใหญ่หลวงอย่างเช่นในหนังเรื่องไอ้แมงมุม หรือ สไปเดอร์แมน
“ทุกคนวันนี้พวกเราไปดูหนังกันต่อนะ เดียวโรสเลี้ยงเอง” ทุกคนแสดงสีหน้าตื่นตกใจ เพราะกลัวว่าโรสิลีจะสามารถเจอะเกาะเข้ามาสู่ม่านพลังจิตของทุกๆ ได้ แต่ก็เบาใจเมื่อจับจ้องมองไปที่ใบหน้าอันเหม่อลอยอย่างมีความสุขของโรสิลี เธอไม่มีความคิดระแวงสงสัยอะไรเลย
“จ๊ะ ตกลงพวกเราไปดูหนังต่อกันเถอะ” ทุกคนจับแขน จับมือพากันจูงออกไปจากผับใหญ่ใจกลางเมืองกรุงแล้วเดินตรงเข้าสู่โรงหนังที่โรสิลีไม่สามารถจะใช่เสียงอันบ้าเลือดได้อีกต่อไป
ทุกๆ การกระทำ ทุกๆ อิริยาบถของโรสิลีกำลังตกอยู่ในสายตาของบุคคลสองคน คนแรกได้แก่ภูผา เกียรติภูมินต์ คนที่สองก็คือมินตรา เจ.คลาส ทั้งสองคนต่างเข้ามาในผับใจกลางเมืองกรุงต่างก็มีจุดประสงค์อันแตกต่างกัน ภูผา คือนักท่องเที่ยวยามราตรี สถานเริงรมย์หรือผับจึงเป็นที่หมายประจำของภูผา แต่สำหรับมินตราเธอเข้ามาก็เพราะต้องการจะทำความรู้จักกับคู่หมั้นของธเนศ เพื่อเรียนรู้ลักษณะนิสัย ของทุกๆ คนที่เกี่ยวข้องกับธเนศ รวมถึงภูผาด้วย ความบังเอิญทับซ่อนความบังเอิญ มันทับซ่อนกันสองชั้นสำหรับมินตรา เธอบังเอิญได้เห็นนิสัยอันหลุดโลกของโรสิลี และบังเอิญได้พบปะเจอะเจอกับภูผา อย่างไม่ได้คาดฝันมาก่อน เธอทำบุญด้วยอะไรกันถึงได้โชคดีเช่นนี้
................
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ