เล่ห์กลรักเงาอสูร
30) บทที่ 5 ค่ำคืนแห่งรัก_4
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
เล่ห์กลรักเงาอสูร
บทที่ 5 ค่ำคืนแห่งรัก_4
…6 เดือนต่อมา ภายหลังจากงานหมั้น ที่ได้จัดขึ้นมาก่อนล่วงหน้าแล้วเป็นเวลา 3 เดือน จนในสุดท้ายก็ได้ฤกษ์งามยามดีที่คู่เจ้าบ่าวและเจ้าสาว จะต้องได้เข้าสู่ประตูพิธีวิวาห์อันเป็นพิธีมงคลสมรสกัน อย่างถูกต้องตามกฎหมายและตามหลักจารีตประเพณี คุณปู่ของผมท่านมีความสุขใจและดีใจอย่างมากมาย แต่ในช่วงที่คู่เจ้าบ่าวเจ้าสาวกำลังจะเริ่มต้นเข้าสู่พิธีรดน้ำสังข์ เหตุการณ์ที่ไม่ได้คาดฝันและไม่ได้คาดคิดมาก่อนก็ได้เกิดขึ้น หญิงสาวสวยพร้อมลูกชายอายุประมาณ 2 ขวบ ได้ก้าวเดินตรงเข้ามากลางงานพิธีสมรส พร้อมประกาศก้องกังวานต่อหน้าแขกเหรื่อมากหน้าหลายตาในงาน ว่ากานดาได้ไปแย่งชิงเอาสามีของเธอและลูกมา...
“เออ เจ้าคะ เรื่องจริงใช่ไหมค่ะ” รำพันทำสีหน้าและแววตาอย่างไม่อยากจะเชื่อมากมายนัก
“เรื่องจริงครับ” เจ้าหม่อนเมืองตอบคำถามกลับคืนด้วยสีหน้าแววตาตลอดจนน้ำเสียงจริงจังหนักแน่นมั่นคงอยู่เช่นเดิม
“คุณดลข๊า คุณดลน่าจะเอาเรื่องนี้ไปสร้างเป็นละครด้วยนะคะ” รำพันจับท่อนแขนของชายหนุ่ม เขย่าอย่างเสแสร้งแกล้งทำ พร้อมกับออดอ้อนและเอาอกเอาใจ อย่างไม่คิดที่จะให้สายตาของดลได้ชะเง้อมองใครอื่นอีกนอกจากเธอเพียงแค่คนเดียว โดยเฉพาะมินตราที่กำลังนั่งนิ่งรอคอยรับฟังเรื่องเล่าของเจ้าหม่อนเมืองอยู่ฝั่งตรงข้าม เคียงคู่อยู่ด้วยกันกับธเนศ
“คงไม่ได้หรอกครับ คุณรำพัน เรื่องราวชีวิตของคนๆ หนึ่งที่เกิดขึ้นมาจริงๆ ต้องได้รับการอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษร จากเจ้าของเรื่องราวเขาเสียก่อนครับ ถึงจะนำเอาไปสร้างเป็นละครได้”
“คุณดลล่ะก็ รำพันแค่พูดล้อเล่น คุณดลไม่จำเป็นจะต้องมาคอยอธิบายเหตุผลอะไรกับรำพันก็ได้คะ” รำพันคลี่รอยยิ้มอย่างน่ารักร่าเริงสดใส โดยไม่ได้คิดที่จะสนใจในคำพูดที่เพิ่งได้พูดมันออกไปเลยสักนิด ดลเองได้แต่พยักหน้าและคลี่ยิ้มเพียงเล็กน้อยเป็นการตอบรับ อย่างไม่ต้องการอยากที่จะขยายเนื้อความในคำพูดของรำพันออกไปด้วยเช่นกัน
“เจ้าครับ เล่าเรื่องราวต่อไปเถอะครับ ผมอยากจะรับฟังต่อไป” นายยอดชายพูดขอร้องเจ้าหม่อนเมือง อย่างนึกหมั่นไส้ในลักษณะท่าทางเสแสร้งแกล้งทำของรำพัน ที่กำลังแสดงท่าทางการออดอ้อนกัดดล ที่นั่งอยู่ตรงเบื้องหน้าของตนเอง เจ้าหม่อนเมืองพยักหน้าเป็นการตอบรับและเริ่มเล่าเรื่องราวต่อไป
...งานพิธีที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มและความสุขของแขกเหรื่ออย่างมากหน้าหลายตา รวมถึงรอยยิ้มอันแสนจะสุขใจของคุณปู่ของผมด้วย และก็มันได้อันตรธานจืดจางหายไปในทันทีด้วยเช่นเดียวกัน เจ้าบ่าวที่คุณปู่ของผม จัดหาหรือคัดเลือกมาด้วยมือของท่านเองอย่างหมายหมั้นปั้นมือ ว่าคือสุภาพบุรุษที่ท่านสามารถที่จะเชื่อถือ เชื่อใจและไว้วางใจได้ แต่สุดท้ายกับสนองคุณของท่านได้อย่างเลือดเย็น อย่างที่คุณปู่ของผมไม่คิดที่จะให้อภัยกันได้เลย ภายหลังจากงานพิธีวิวาห์ล้มสลายลง ความบาดหมางระหว่างคุณปู่ของผม กับคนของตระกูลเกียรติภูมินต์ก็เริ่มก่อตัวขึ้น คุณปู่ของผมทั้งโกรธและโมโห ทั้งสั่งห้ามนักหนาห้ามไม่ให้ใครก็ตามไปยุ่งเกี่ยวกับคนของตระกูลเกียรติภูมินต์อีกเป็นโดยเด็ดขาด...
“ร่วมถึงเจ้าด้วยหรือเปล่าค่ะ” รำพันตั้งคำถามแทรกขึ้น
“ครับ รวมถึงผมด้วย ผมในฐานะหลานชายคนโต ผมจึงจำเป็นที่จะต้องยินยอมที่จะต้องเชื่อฟังคำสั่งของคุณปู่ของผมและของคุณพ่อของผมเป็นอย่างดี ดังนั้นผมและคนของตระกูลเกียรติภูมินต์จึงไม่คอยจะได้มีโอกาสได้ร่วมงานใกล้ชิดกันบ่อยครั้งมากนัก ตรงกันข้ามกับน้องชายของผม เจ้าหม่อนฟ้าที่สนิทสนมกันเป็นอย่างดี กับลูกชายคนโตของตระกูลเกียรติภูมินต์ แม้คุณปู่และคุณพ่อของผมจะสั่งห้ามนักห้ามหนาก็ตาม”
“เข้าใจแล้วค่ะ อย่างนั้นเจ้ารีบเล่าเรื่องราวต่อไปให้จบเร็วๆ เถอะค่ะ” เจ้าหม่อนเมืองพยักหน้าเป็นการตอบรับแล้วเริ่มเล่าเรื่องราวต่อไปอีกครั้ง
...ภายหลังจากงานแต่งงานล้มสลายลงอย่างไม่เป็นท่า กานดา ก็กลับคืนมามีชีวิตเป็นอิสระใหม่อีกครั้ง เธอเริ่มใช้ชีวิตอย่างเช่นที่เคยทำมาเป็นประจำอย่างปกติ จนในที่สุดโชคชะตาก็ได้ชักนำพาให้กานดาได้มาพบปะเจอะเจอกับชายหนุ่มสองคน คนแรกก็คือ นายมาวิณ ตรีเตชะมร ส่วนคนที่สองก็คือ นายสรยุทธ เกียรติภูมินต์ เท่าที่คุณย่าของผมได้เล่าให้ฟังระหว่างผู้ชายทั้งสองคน กานดา ต่างก็ตกหลุมรักกับบุรุษทั้งสองคนในเวลาเดียวกัน รักพี่เสียดายน้อง หรือ จับปลาสองมือ แล้วแต่จะพากันคิด แต่เนื่องจากกานดาสามารถเลือกได้เพียงแค่หนึ่งเดียวเท่านั้น สุดท้ายแล้วเธอก็ต้องจำใจตัดสินใจที่จะเลือก นายมาวิณ ตรีเตชะมร ผู้เป็นหนุ่มโสดไร้พันธะติดตัวใดๆ ทั้งสิ้นซึ่งตรงกันข้ามกันกับ นายสรยุทธ เกียรติภูมินต์ ผู้แต่งงานมีลูกชายอายุ 3 ขวบแล้ว...
“เป็นรำพัน รำพันเองก็จะเลือกหนุ่มโสดเหมือนกันล่ะคะ เรื่องอะไรจะต้องไปเลือกผู้ชายที่แต่งงานมีลูกแล้ว จริงไหมจ๊ะคุณเมล์ คุณนิด” เธอพยักหน้าเป็นคำตอบ แต่หญิงสาวที่นั่งเคียงข้างกันกับเธอทั้งพยักหน้าและส่งรอยยิ้มให้ไปด้วย
“รำพันนึกอยู่แล้วทุกคนจะต้องพากันเห็นด้วย อย่างนั้นเจ้ารีบเล่าเรื่องราวต่อไปเถอะคะ รำพันอยากจะรู้ตอนจบเร็วๆ” เจ้าหม่อนเมืองยกแก้วน้ำขึ้นจิบอีกครั้งแล้วเริ่มเล่าเรื่องราวต่อไป
...ภายหลังจากการคบหาดูใจกันมานานกว่าหนึ่งเดือน มาวิณก็ขอกานดาแต่งงาน โดยมาวิณได้ทำการยกที่ดินอันเป็นมรดกตกทอดของบิดามารดาของกานดาเป็นสินสอดในการสมรสให้กับคุณปู่ของผม...
“สุดท้ายก็รับรู้ที่มาที่ไปของที่ดินพื้นนั้นจนได้ ที่แท้ก็ยกคืนให้เป็นสินสอดนั้นเอง แล้วเป็นอย่างไรต่อไปคะเจ้า ทำไมที่ดินพื้นนั้นมันถึงกลับคืนมาตกเป็นของพ่อเลี้ยงเกียงไกร อีกครั้งล่ะคะ” รำพันยังทำสีหน้าแววตาต้องสงสัยอยู่เช่นเดิม
...มันไม่ยากนักหรอกครับ ถึงแม้ว่ามันจะเป็นสินสอดที่มาวิณยกให้กับคุณปู่ของผม แต่เนื่องจากมันเป็นมรดกตกทอดมาจากบิดามารดาของกานดาอยู่แต่เดิมแล้ว ท่านจึงยกมันคืนให้เป็นกรรมสิทธิ์ของกานดาตามเดิม แต่เมื่อยี่สิบปีที่แล้วที่ดินพื้นนั้นก็มีอันต้องเปลี่ยนมือกันอีกครั้ง สาเหตุเป็นเพราะกานดาต้องการจะนำเงินเอาไปลงทุน เธอจึงยกกรรมสิทธิ์ที่ดินให้กับคุณปู่ของผมเพื่อแลกกับเงินลงทุนก้อนโต แต่ดูเหมือนว่าธุรกิจของเธอจะไปไม่รอด เหตุการณ์ในครั้งนั้นจึงนำพาเรื่องน่าเศร้าโศกมาให้กับกานดาหลายเรื่อง เริ่มจากเธอสูญเสียที่ดินอันเป็นมรดกตกทอดของครอบครัวไปอีกครั้ง เรื่องที่สองเธอสูญเสียสามีอันเป็นที่รักไปอย่างไม่มีทางให้หวนคืนกลับมาได้ สืบเนื่องมาจากความผิดหวังในการกระทำของเธอเอง ส่วนเรื่องสุดท้ายเธอถูกกล่าวหาว่าร่วมมือกันกับเพื่อนสนิทของสามีขโมยเงินทองเอาไปเล่นหุ้นจนหมดเนื้อหมดตัว...
“เจ้าข๊า เจ้าคงจะไม่บอกพวกเราหรอกนะคะว่า นายสรยุทธ กับคุณกานดาเป็นสาเหตุการตายของ ลูกชายของพ่อเลี้ยงเกียงไกร” ทุกคนต่างจับจ้องมองและนึกสงสัยอยู่ด้วยเช่นกัน
“หากมันเป็นอย่างที่คุณย่าของผมเล่าให้ฟังมา มันก็น่าจะเป็นอย่างนั้น แต่จะจริงเท็จแค่ไหนก็ไม่น่าที่จะมีใครกล้าออกมายืนยันกันหรอกครับ โดยเฉพาะเหตุการณ์ในครั้งนั้น ทำให้มีคนต้องตายด้วย เวลาก็ผ่านเลยมาแล้วกว่ายี่สิบปีหลัก ฐานต่างๆ ก็ไม่มีความแน่ชัดอีกต่อไปแล้วครับ คนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างก็หายสาบสูญ บ้างต่างก็หลบลี้หนีหน้าออกจากแวดวงสังคม โดยเฉพาะพ่อเลี้ยงเกียงไกร ท่านกักขังตัวเองและตัดขาดจากโลกภายนอกกว่ายี่สิบกว่าปีด้วยเช่นเดียวกัน พวกคุณคงพอจะรับรู้กันมาบ้างแล้ว จริงไหมครับ”
“จริงค่ะเจ้า รำพันขอรับรองได้ เพราะรำพันเห็นพ่อเลี้ยงอาศัยอยู่ในป่าในเขามานานพอๆ กันกับอายุของรำพันเลยล่ะคะ” ทุกคนต่างพากันแย้มยิ้มในคำพูดอันติดตลกของรำพัน แม้แต่เจ้าหม่อนเมืองเองก็ตาม
“เจ้าครับตอนนี้ที่ดินพื้นนั้น ตกลงแล้วมันเป็นกรรมสิทธิ์ของใครกันแน่ครับ ของคุณปู่ของเจ้า หรือของพ่อเลี้ยงเกียงไกร” ยอดชายตั้งคำถามขึ้นมาอย่างนึกสงสัยเช่นเดียวกันกับทุกๆ คน
“คุณปู่ของผมท่านทำพินัยกรรมยกคืนให้กับหลานสาว หรือจะพูดให้ถูกน่าจะบอกว่าเธอเป็นลูกสาวคนเดียวของ มาวิณ และ กานดา ถึงจะถูกต้อง”
“เจ้าค่ะ รำพันเกิดจะสับสนนิดหน่อย ถ้าหากเป็นอย่างนั้นจริงก็จะถือได้ว่าพ่อเลี้ยงเกียงไกรก็น่าที่จะต้องมีหลานสาวด้วยเหมือนกันซิคะเจ้า”
“ถูกต้องแล้วครับ คุณปู่ของผม และ พ่อเลี้ยงเกียงไกร ต่างก็มีหลานสาวคนเดียวกัน และนี้ล่ะครับ ที่มันยังคงเป็นขอพิพาทกันระหว่างผมเองกับพ่อเลี้ยงเกียงไกรอยู่นะเวลานี้” การเล่าเรื่องก็จบลงจนได้ แต่รำพันและยอดชายก็ยังมีข้อสงสัยอยู่อีก รวมถึงตัวเธอเองเช่นกัน
“เจ้าข๊า ยังจะหลงเหลือข้อพิพาทอะไรกันอยู่อีกหรือค่ะ ก็รับรู้กันแล้วว่าที่ดินพื้นนั้นเป็นของหลานสาวของคุณปู่ของเจ้าเองและของพ่อเลี้ยงด้วย” ทุกคนพากันจับจ้องมองเจ้าหม่อนเมืองอีกครั้งอย่างนึกสงสัย
“มันจะไม่เกิดข้อพิพาทกันขึ้นหรอกครับ หากว่าหลานสาวของพ่อเลี้ยงจะยังคงมีชีวิตอยู่”
“เจ้าหมายถึงเธอเสียชีวิตไปแล้วหรือค่ะ”
“เธอกับมารดาประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตไปเมื่อหลายปีมาแล้วครับ” มินตราหน้าตาซีดเผือด หากว่าเธอได้เสียชีวิตไปแล้ว จะยังมานั่งอยู่ที่นี่ได้อย่างไรกัน เธอหันหน้าไปจับจ้องมองธเนศเพื่อต้องการคำตอบ แต่ธเนศกับเพียงแค่ส่ายหน้าและบีบฝามือเธอเอาไว้เท่านั้น
“อย่างนั้นคุณปู่ของเจ้าจะยังคงทำพินัยกรรมยกที่ดินให้กับคนตายกันทำไมกันละคะเจ้าข๊า”
...พวกคุณคงรับรู้กันมาแล้วว่า ระหว่างคุณปู่ของผมกับพ่อเลี้ยงมีความลับต่างเก็บซ่อนเอาไว้ นั้นคือสาเหตุการตายของมารดาของ กานดาเมื่อในครั้งอดีต ในครั้งนั้นจนมาถึงปัจจุบันก็ยังไม่มีใครรับรู้ความจริงได้เลยว่าใครเป็นคนฆ่าเธอตาย หรือเธอตายเองด้วยอุบัติเหตุ และพ่อเลี้ยงเกียงไกรก็ใช้สาเหตุการตายในครั้งนั้น มาคอยแบล็กเมล์ เอาที่ดินพื้นนั้นกลับคืนไป...
“เป็นนิทานที่ฟังดูจะสมจริงสมจังมากเลยนะคะเจ้า ตอนแรกๆ ก็น่าที่จะพอเชื่อถือได้อยู่หรอก แต่พอมาถึงตอนจบนี้มันไร้เหตุผลมากเสียจริงๆ ถ้ามันเป็นเรื่องจริงทั้งเจ้าหม่อนผาและพ่อเลี้ยงเกียงไกร ต่างก็ปัญญาอ่อนพอๆ กัน” ธเนศบีบฝามือเธอจนแน่นเมื่อเธอพูดจนจบประโยค
“คุณเมล์ คงกำลังคิดว่าผมกำลังพูดกล่าวหาพ่อเลี้ยงเกียงไกรอยู่สินะครับ ถ้าอย่างนั้นทำไมพ่อเลี้ยงเกียงไกรถึงไม่ยอมพิสูจน์ล่ะครับว่า หลานสาวยังมีชีวิตอยู่จริงๆ ไม่ได้ที่จะคิดแบล็กเมล์คุณปู่ของผมเพื่อหวังที่จะได้ที่ดินผืนนั้นกลับคืนมา” หากเธอไม่คิดที่จะหลบลี้หนีการติดตามไล่ล่าเอาชีวิตจากไอ้เสือเดช อยู่ในเวลานี้แล้วล่ะก็ เธอก็คงจะยินยอมบอกเล่าความจริงออกไปแล้วเช่นกัน แต่ในเวลานี้เธอกำลังอยู่ในช่วงเวลาของการหลบซ่อนตัวจากภัยอันตราย จนกว่าไอ้เสือเดชมันจะถูกจับตัวหรือถูกฆ่าตายไปแล้วเสียก่อน เรื่องของเธอในเวลานี้จึงยังคงจะต้องเป็นความลับอยู่ต่อไป
“อย่างนั้น เวลานี้เจ้าเองจึงจำเป็นที่จะต้องทำหน้าที่เป็นตัวแทนการถือครองที่ดินผืนนั้นเอาไว้เองหรือคะ” เธอเสแสร้งแกล้งตั้งคำถามออกไป
“ถูกต้องครับ หากว่าเจ้าของตายพินัยกรรมได้ตายไปนานแล้ว ที่ดินผืนนั้นก็น่าที่จะต้องตกมาเป็นกรรมสิทธิ์ของตระกูลเวียงผาหมอกตามเดิม ไม่ใช่พ่อเลี้ยงเกียงไกรจะยึดถือเอาโฉนดที่ดินผืนนั้นไปเก็บซ่อนเอาไว้เป็นของตัวเอง พวกคุณว่าจริงใช่ไหมล่ะครับ” เธอเสแสร้งแกล้งพยักหน้าเห็นด้วย แต่ภายในจิตใจกำลังนึกกรนด่าความเห็นแก่ได้เจ้าหม่อนเมือง
“รำพันเห็นด้วยกับเจ้าคะ” เจ้าหม่อนเมืองแย้มยิ้มอย่างนึกดีใจ
“เจ้าคะ ฉันมีคำถามสุดท้าย” เจ้าหม่อนเมืองหันวงหน้าอันเปรอะเปื้อนรอยยิ้มตรงมามองหน้าเธอตรงๆ อีกครั้ง
“เชิญถามมาได้เลยครับ”
“ฉันอยากจะรู้ว่าทำไมเจ้าถึงมั่นใจนักว่า คุณกานดาและลูกสาวของเธอได้ตายไปแล้วจริงๆ” เจ้าหม่อนเมืองรีบหุบรอยยิ้มลงชั่วคราว แล้วเริ่มต้นตอบคำถามของเธอ
“คุณปู่ของผม ท่านเป็นคนบอกเล่าเรื่องนี้ให้กับคุณย่าของผมได้รับรู้ด้วยตัวของท่านเอง ดังนั้นเมื่อท่านทำพินัยกรรมยกที่ดินผืนนั้นให้กับหลานสาวที่ได้ตายจากไปแล้ว คุณย่าของผมท่านจึงคิดว่าพ่อเลี้ยงเกียงไกร จะต้องมีส่วนรู้เห็นเกี่ยวกับเรื่องพินัยกรรมฉบับนั้นด้วย หรือจะพูดให้ถูกต้องก็คือ คุณปู่ของผมท่านถูกบังคับให้เขียนพินัยกรรมฉบับนั้นขึ้นมานั้นเองแหละครับ คุณเมล์” เธอพยักหน้าและแย้มยิ้มอย่างเห็นด้วย แต่ภายใจจิตใจกับกำลังคิดถึงเรื่องราวการโกหกที่ต่างตกทอดต่อกันมาเรื่อยๆ จากปู่ จากย่า จากพ่อ จากแม่ จนมาถึงรุ่นลูก รุ่นหลาน รวมถึงเจ้าหม่อนเมืองเองด้วยเช่นกัน ที่ต่างก็กำลังตกอยู่ท่ามกลางการโกหกหลอกลวงของบุคคลรุ่นก่อนๆ เช่นเดียวกันกับเธอเองด้วยกระมั่งที่กำลังตกอยู่ท่ามกลางการโกหกของมารดาของเธอเองด้วย
“ฉันหมดเรื่องที่จะสอบถามเจ้าแล้วล่ะคะ อย่างนั้นพรุ่งนี้ฉันขอเชิญเจ้าไปเป็นแขกที่คุ้มด้วยก็แล้วกัน” เจ้าหม่อนเมืองส่งแววตาต้องสงสัยมาให้กับเธอ เช่นเดียวกันกับทุกๆ คน ที่ต่างกำลังนึกสงสัยอยู่ด้วยเช่นกัน
“จะเป็นการเสียมารยาทไหม ถ้าผมจะขอถามว่าคุณเมล์เป็นอะไรกับพ่อเลี้ยงเกียงไกร” เจ้าหม่อนเมืองตั้งคำถามถึงอย่างนึกสงสัย
“พ่อเลี้ยงเกียงไกรเป็นผู้อุปการะ หรือเป็นคุณพ่อขายาวของฉันเองล่ะคะ” เจ้าหม่อนเมืองยังคงทำสีหน้าต้องสงสัยอยู่เช่นเดิม จนธเนศต้องคอยบีบฝามือของเธอกำเอาไว้และให้เลิกการล้อเล่นกับเจ้าหม่อนเมืองเสียที
“เอาเป็นว่าในเวลานี้ ฉันเป็นเลขาส่วนตัวของพ่อเกียงไกร เจ้าคงจะพอที่จะเข้าใจกว่าจริงไหมคะ” เจ้าหม่อนเมืองแสดงสีหน้าและแววตาอย่างเข้าอกเข้าใจมากขึ้นจนได้
“ออ...คุณเมล์ ทำงานเป็นเลขาของพ่อเลี้ยงนั้นเอง ผมไม่รู้ว่าพ่อเลี้ยงใช้วิธีอะไรถึงจ้างคุณเมล์มาทำงานเป็นเลขาให้ได้ เพราะผมเองก็อยากที่จะลองว่าจ้างเลขาอย่างเช่นคุณเมล์ดูบ้างเหมือนกัน” เจ้าหม่อนเมืองทำแววตาหยาดเยิ้ม เมื่อกำลังพูดล้อเล่นด้วยกันกับเธอ
“เจ้าหม่อนเมืองก็พอจะรู้มาบ้างแล้วว่าพ่อเลี้ยงเกียงไกร เป็นชายชราอยู่ตัวคนเดียว มรดกตลอดจนทรัพย์สินเงินทองก็มีอยู่มากมายจนเหลือเฟือ การทำงานให้กับพ่อเลี้ยงบางทีอาจจะได้อะไรติดไม้ติดมือกลับไปบ้าง จริงใช้ไหมล่ะคะเจ้า”
“อุ๊ย คุณเมล์พูดถูก รำพันเองก็ยังเคยคิดเลยคะ แต่พ่อเลี้ยงท่านก็เอาอกเอาใจแสนจะยากเย็นเหลือเกิน จนรำพันเลิกที่จะสิ้นหวังแล้วล่ะค่ะ หากคุณพี่เมล์คิดจะลองดูบ้างก็ตามใจเถอะนะคะ” คำพูดล้อกันเล่นของเธอกับเจ้าหม่อนเมือง รำพันเองกับนำมันเอามาพูดอย่างเป็นเรื่องจริงจัง
“คุณเมล์กำลังพูดล้อผมเล่นอยู่สินะครับ”
“เจ้าไม่ชอบให้ฉันพูดล้อเล่นด้วยหรือค่ะ” เจ้าหม่อนเมืองแย้มยิ้มอย่างรู้สึกดีใจ จนเธอสามารถที่จะคาดเดาคำตอบได้ก่อนล่วงหน้าเลยที่เดียว
“ใครว่าล่ะครับ ผมชอบมากเลยต่างหาก ผมชอบความเป็นกันเองแบบนี้จริงๆ ครับ” ดังนั้นการพูดคุยกันด้วยเรื่องราวอันไร้สาระอย่างเป็นกันเอง อย่างไม่คิดจะถือเนื้อถือตัวระหว่างเธอกับเจ้าหม่อนเมือง และทุกๆ คน ก็จึงได้เริ่มต้นขึ้นมาภายใต้แสงดวงดาวในค่ำคืนที่ดวงจันทร์กำลังส่องแสงสว่างไสวเต็มฝากฟ้าเบื้องบน
- จบบทที่ 5-
ต่อบทที่ 6 เร็วนี้ๆ -สองเราใต้เงาแห่งดาว-
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ