เล่ห์กลรักเงาอสูร
18) บทที่ 3 ดวงตาแห่งความเศร้า_5
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
เล่ห์กลรักเงาอสูร
บทที่ 3 ดวงตาแห่งความเศร้า_5
ธเนศก้าวเดินนำหน้าพร้อมเป็นฝ่ายที่ลากจูง แล้วบีบกระชับฝามืออันเย็นเฉียบของมินตราเอาไว้ด้วย พร้อมกันกับครุ่นคิดระหว่างที่ก้าวเดินเคียงคู่กันไปด้วย เขาต้องการอยากจะรับรู้ถึงสิ่งที่มินตราได้แอบหลบซ่อนเก็บเอาไว้ภายใจจิตใจของเธอเอง มินตราเป็นเสมือนเจ้าหญิงแสนสวยอย่างในเทพนิยายผู้กำลังถูกนางแม่มดใจร้ายร่ายมนต์ตราสะกดเอาไว้ ให้ต้องทนทุกข์ทรมานและพบเจอะเจอแต่กับความเจ็บปวดอยู่ตลอดเวลา ในบางขณะเขาสามารถที่จะจับจ้องมองเห็นได้ว่า มินตราเองก็ต้องการอยากจะมีชีวิตอย่างคนปกติธรรมดาทั่วไป แต่เหมือนว่าเธอจะมีเส้นทางชีวิตให้เลือกไม่มากมายนัก เธอไม่สามารถที่จะคิดหลบหนีจากภาพในอดีต หรือความทรงจำอันแสนเจ็บปวดที่แอบเก็บซ่อนอยู่ภายในจิตใจของเธอไปได้ มันยังคงตามหลอกหลอนเธออยู่ทุกๆ ขณะทุกๆ เวลานาทีที่เธอพยายามจะใช้ชีวิตอย่างคนปกติ สดใสและร่าเริง เมื่อครึ่งชั่วโมงที่แล้วเธอคือนางฟ้าแสนสวยที่ทุกๆ คนต่างต้องพากันอิจฉาริษยา แต่ ณ ขณะนี้เธอคือนางฟ้าที่มีแต่แววตาแห่งความเศร้าโศก ทุกข์ตรมและแสนเจ็บปวดเท่านั้นเอง
“เราหยุดพักกันหน่อยไหม ครับ” เขาไม่สนใจว่ามินตราจะตอบรับหรือปฏิเสธว่าอย่างไร เขาก้าวเดินตรงเข้าไปยังจุดนั่งพักริมทาง มันมีเก้าอี้ตัวเล็กสีขาวขนาดสองคนนั่งได้อย่างสบายไว้รอคอยให้บริการ และไม่ห่างจากจุดนั่งพักริมทางมากมายนัก ก็มีร้านขายเครื่องดื่มไว้รอคอยให้บริการด้วยเช่นเดียวกัน
“คุณนั่งพักตรงนี้ก่อนนะ เดียวผมจะไปซื้อเครื่องดื่มมาให้ ออ..ผมขอกระเป๋าเงินของผมคืนด้วย” มินตรายื่นกระเป๋าเงินส่งคืนให้กับเขาอย่างว่าง่าย เขาก้าวเดินตรงไปและเดินกลับมาที่เดิม ใช้เวลาเพียงไม่นานมากนักก็ได้น้ำปั้นมาสองแก้ว เขาส่งน้ำส้มปั้นให้กับมินตราหนึ่งแก้วเอาไปดูดเพื่อดับกระหาย ส่วนตัวของเขาเองเป็นน้ำกาแฟปั้นรสชาติเข้มข้น
“ขอบคุณค่ะ” มินตรายื่นมือรับน้ำส้มจากเขา พร้อมขอบคุณเขาด้วยน้ำเสียงอันเบาแสนเบา จนแทบจะไม่ได้ยินน้ำเสียงเล็กๆ นั้นเลย เขาไม่คิดจะตอบรับสิ่งใดได้แต่พยักหน้าเป็นคำตอบไปเท่านั้นเอง แล้วก้าวเดินลงไปนั่งอยู่เคียงคู่ด้วยกันกับเธอ อย่างสามารถที่จะสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นจากร่างกายของเธอได้ทั้งหมด และเขายังคงจับจ้องมองดวงตาอันแสนเศร้าของเธอได้อยู่เช่นเดิม มันทำให้เขายิ่งต้องการอยากจะตรงเข้าไปให้ถึงภายในจิตใจของเธอให้ได้เร็วๆ เสียจริงๆ
“ปู๊ดดด....” เสียงดูดน้ำส้มในครั้งเดียวจนเกือบจะถึงครึ่งแก้วพลาสติก ขนาดหนึ่งลิตร มินตราคงจะกระหายน้ำเอามากจริงๆ
“ฟี๊ด...ฟิ..ฟรี๊ปปป” และมันก็คือเสียงดูดกาแฟปั้นรสชาติเข้มข้นของเขาเอง และมันก็หมดไปประมาณครึ่งแก้วด้วยเช่นเดียวกัน
“อร่อยดีไหม”
“อือ” เธอพยักหน้าขณะหลอดน้ำส้มยังคงคาอยู่ในปาก
“เอาเพิ่มอีกไหม เดียวผมจะไปซื้อมาเพิ่มให้”
“อือ”เธอส่ายหน้าขณะหลอดน้ำส้มยังคงคาปากอยู่เช่นเดิม และมันก็เป็นท่าทางที่น่ารักเอามากๆ เสียจริงๆ เลย ท่าทางของเธออย่างกับเด็กๆ ที่ผู้ปกครองพาออกมาเดินเที่ยวเล่นเป็นครั้งแรก
“ปู๊ดดด....อ้า” เสียงดูดน้ำส้มเป็นครั้งที่สองจนหมดแก้วของมินตรา พร้อมคายหลอดดูดกาแฟออกจากปากสีชมพูน่ารักและอ้าปากอย่างหมดเรี่ยวแรง จากการดูดน้ำส้มในสองครั้งจนหมดแก้วพลาสติกขนาดใหญ่ ทำให้แก้มซีดๆ ถึงกับต้องแดงกล่ำทั้งสองข้างแก้ม
“หมดแล้ว อร่อยดีนะค่ะ” ดวงตาสุกใสอย่างนางฟ้าตัวน้อยกลับคืนมาอีกครั้ง รอยยิ้มอันน่ารักของเธอก็กลับคืนมาอีกครั้งด้วยเช่นเดียวกัน
“ขอบคุณอีกครั้งนะค่ะสำหรับน้ำส้ม” ในขณะที่เธอพูดขอบคุณเขา ดวงตาเจือปนความเศร้าของเธอ ไม่ได้จับจ้องมองมาที่เขาอีกแล้ว มันกำลังมุ่งตรงไปยังเบื้องหน้าอันไร้จุดหมายหรือบนท้องฟ้าอันว่างเปล่าเบื้องบน อย่างไม่ต้องการจะให้ใครสามารถจับจ้องมองเห็นแววตาและความรู้สึกอันแท้จริงของเธอได้เลย
“คุณเล่าเรื่องของคุณให้ฉันฟังหน่อยได้ไหมค่ะ” มันเป็นคำขอร้องที่เขาไม่กล้าจะปฏิเสธเพราะระหว่างมินตราและเขา จะต้องมีใครสักคนที่จะต้องเป็นผู้เริ่มต้นเปิดเผยความรู้สึกส่วนตัวหรือเรื่องราวส่วนตัวให้กับอีกฝ่ายได้รับรู้ ได้รับฟังเสียก่อน ไม่อย่างในเขาก็คงไม่มีสิทธิที่จะเข้าไปเค้นเอาสิ่งใดจากมินตราออกมาได้เลยเช่นเดียวกัน
“คุณอยากจะให้ผมเล่าเรื่องอะไรล่ะครับ”
“เรื่องอะไรก็ได้ ฉันอยากจะรู้ทุกเรื่อง” ขณะที่เธอกำลังพูดสายตาและนิ้วมือเล็กๆ ของเธอก็ชี้ตรงไปเบื้องหน้า
“อย่างนั้นเอาเรื่องของเธอ ก่อนก็แล้วกัน” มันคือโรสิลีคู่หมั้นของเขาอย่างไม่ผิดตัว โรสิลีมักจะปรากฏตัวออกมาในแทบจะทุกๆ ที ทุกๆ เวลาที่เขาเดินทางไปไหนก็ตาม และแทบจะทุกจุดที่เขาไปอาศัยอยู่ ในรูปแบบของละครทีวี ในรูปแบบของการโฆษณาขายสินค้าอันหลากหลายยี่ห้อ แม้แต่โทรศัพท์มือถือของบริษัทของเขาเองโรสิลีก็ได้มีโอกาส เข้าไปร่วมงานโฆษณากับบริษัทของเขาด้วย ดังนั้นโรสิลีจึงมีรูปภาพ หรือโปสเตอร์ติดไว้เกือบจะทั่วทุกหนแห่งทั้งในตัวเมืองใหญ่ๆ และตลอดจนท้องถิ่นทุรกันดารโดยทั่วไป และในตอนนี้ สิ่งที่เขากำลังจับจ้องมองตามนิ้วมือเรียวเล็กๆ ของมินตราที่ชี้ตรงไปเบื้องหน้า โรสิลีกำลังอยู่ในรูปแบบของงานโฆษณาขายสินค้าอันเป็นมือถือยี่ห้อใหม่ล่าสุดจากบริษัทของเขาเอง ภาพเคลื่อนไหวของโรสิลีกำลังปรากฏผ่านทางจอมอนิเตอร์ขนาดใหญ่ ของห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งใจกลางเมืองกรุง ที่ผู้คนมากมายต่างกำลังพากันเดินพลุกพล่านวุ่นวายกันไปหมด
“โรสิลีเป็นคู่หมั้นของผม คุณคงรับรู้มาบ้างแล้ว” เธอพยักหน้าเป็นคำตอบ
“แล้วคุณยังอยากจะรับรู้เรื่องอะไรอีกล่ะครับ”
“พวกคุณเจอะเจอกันได้อย่างไร อะไรคือสิ่งที่ทำให้พวกคุณต้องหมั้นหมายกัน คุณเล่าให้ฉันฟังหน่อยได้ไหมค่ะ” เขานึกลำดับเรื่องราวอยู่ภายในจิตใจอย่างเงียบๆ แล้วเริ่มต้นเล่ามันออกมา
“ผมกับโรสิลี พวกเราเจอะเจอหน้ากันครั้งแรกที่ประเทศอังกฤษ ขณะนั้นผมยังคงเป็นนักศึกษาอยู่ที่นั้น ครอบครัวของผมกับครอบครัวของโรสิลีในขณะนั้นต่างต้องพึ่งพาซึ่งกันและกันในธุรกิจของครอบครัว โรสิลีเธอต้องติดตามบิดาไปท่องเที่ยวเล่นสนุกในวันหยุด ณ สถานที่ที่ผมกำลังศึกษาอยู่ พวกเราสองคนจึงได้พบปะเจอะเจอหน้ากัน และได้ทำความรู้จักลักษณะนิสัยใจคอของกันและกัน จากการสนับสนุนจากบิดาของผมและบิดาของโรสิลี ไม่นานพวกเราก็ถูกให้ต้องหมั้นหมายกัน”
“จบแล้วครับ”
“ไม่นานพวกเราก็ถูกให้ต้องหมั้นหมายกัน” มันคือคำพูดสุดท้ายที่ธเนศพูดมันออกมาที่ทำให้มินตรารู้สึกจะแปลกใจเล็กน้อย การหมั้นหมายควรที่จะเกิดขึ้นจากคนสองคนตกลงใจอยากที่จะแต่งงานกัน จึงต้องหมั้นหมายกันมันถึงจะถูกต้อง ไม่ใช่ครอบครัวเป็นคนตัดสินใจและตกลงใจให้หมั้นหมายกัน มันเป็นอย่างไรกันแน่ ตกลงว่าธเนศหมั้นหมายกับโรสิลีเพราะความรักจริงๆ หรือเปล่า
“คุณรักเธอหรือเปล่าค่ะ” เขาแอบตื่นตกใจเล็กน้อยที่มินตราถามคำถามนี้ กับเขาออกมาตรงๆ เพราะตามจริงแล้วเขาเองก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าความรักมีตัวตนเป็นอย่างไร แต่หากจะบอกว่าเขากับโรสิลีเราต่างมีความสุขกันดีไหม เมื่อต่างอยู่ใกล้ชิดกัน แน่นอนว่าเขามีความสุขดีแต่ก็ไม่ได้กระหายอยากที่จะอยู่ใกล้ๆ กับโรสิลีตลอดทุกเวลานาที อย่างเช่นเขาจับจ้องมองตรงไปยังมินตราผู้หญิงอันมีลักษณะแววตาอันซับซ้อน
“ครับ ถึงแม้ครอบครัวของผมกับโรสิลีจะเป็นฝ่ายตกลงให้เราต้องหมั้นหมายกัน แต่ผมกับโรสิลีเราต่างก็มีความสุขกันดี”
“แล้วพวกคุณทั้งสองคนทำไม ยังไม่คิดจะแต่งงานกันอีกล่ะค่ะ” เธอตั้งคำถามกับเขาโดยไม่คิดจะมองหน้าเขาแม้แต่น้อย
“โรสิลีเธอยังไม่พร้อมครับ เธอยังคงชื่นชอบงานนักแสดงของเธออยู่”ความเป็นจริงแล้วทั้งเขาและโรสิลี เราต่างก็ไม่เคยพูดถึงเรื่องการแต่งงานกันเลย ภายหลังจากที่เราสองคนได้หมั้นหมายกันเอาไว้แล้ว เวลาว่างเว้นจากงานที่ทำอยู่เป็นประจำเขาและโรสิลี พวกเราสองคนจะออกไปดูหนัง ฟังเพลง ทานอาหารอร่อยๆ และจะไปจบลงที่โรงแรมอันหรูหราสักแห่งเพื่อหาความสุขอย่างชายหนุ่มและหญิงสาว ที่ต่างก็มีความต้องการที่จะเสพความสุขเสน่หาของเรือนร่างของกันและกัน และเมื่อพึ่งพอใจในกิจกรรมที่ทำร่วมกันทำแล้ว เขาและโรสิลีเราต่างแยกย้ายกันกลับบ้านของใครของมัน เพื่อพักผ่อนและทำงานกันต่อไปในวันรุ่งขึ้น ดังนั้นเขาและโรสิลีจึงไม่เคยพูดคุยกันถึงเรื่องงานแต่งงานกันอย่างจริงๆ จังๆ เลยแม้แต่สักครั้งเดียว
“คุณอายุมากแล้วนะค่ะ ควรที่จะแต่งงานมีลูกได้แล้ว” มินตรายิ้มแย้มเมื่อพูดจบประโยค
“ผมเพิ่งจะสามสิบเองนะครับ ส่วนโรสิลีเองก็แค่ยี่สิบแปดปีเอง ผมคิดว่าจะรอคอยให้โรสิลีอีกสักสองปี เมื่อผมสามสิบสอง โรสิลีก็สามสิบ ในเวลานั้นโรสิลีก็คงเริ่มที่จะเบื่อหน่ายอาชีพนักแสดงของเธอบ้างแล้วเช่นกัน”
“นอกจากโรสิลีคู่หมั้นของคุณแล้ว คุณเคยนึกชื่นชอบผู้หญิงคนอื่นอีกบ้างไหมค่ะ” มินตรายังคงยิ้มแย้มอย่างอยากจะรับรู้ถึงความในใจของเขาจริงๆ และคำถามของมินตราที่กำลังถามเขาอยู่ในขณะนี้ แม้แต่ภูผาน้องชายของเขาเองก็เคยตั้งคำถามกับเขามาก่อนแล้วเช่นกัน และเมื่อเขานึกถึงสิ่งที่ภูผาเคยตั้งคำถาม เขาก็จะนึกย้อนอดีตกลับคืนไปยังเมื่อตอนเขาอายุได้ 8 หรือ 9 ปี เขาจะมองเห็นใบหน้าของบิดาเปรอะเปื้อนไปด้วยความเศร้าโศกเสียใจ และเขาจะมองเห็นใบหน้าของคุณกานดา ภรรยาของเพื่อนสนิทของบิดากำลังนั่งร้องไห้ด้วยความเศร้าโศกเสียใจไม่ได้แตกต่างกัน รวมถึงเพื่อนสนิทของบิดาที่ต้องกลับกลายเป็นเสมือนเจ้าชายนิทรา อันไร้ซึ้งความรักและความรู้สึกนึกคิดและกักขังตัวเองเอาไว้ภายในห้องปิดตายตลอดระยะเวลาถึงหนึ่งปีเต็ม ก่อนที่จะตัดสินใจฆ่าตัวตายในเวลาต่อมา มันคือภาพที่เขาไม่สามารถจะลบเลือนลืมเลือนมันออกไปจากภายในจิตใจได้เลยจนถึง ณ เวลาปัจจุบัน ดังนั้นคำถามที่มินตรากำลังตั้งคำถามกับเขา มันจึงไม่สามารถที่จะเกิดขึ้นกับเขาและกับโรสิลีคู่หมั้นของเขาได้เลย เพราะเขายังไม่ต้องการอยากจะเห็นใครต้องมาพบปะเจอะเจอกับภาพเหตุการณ์อย่างเดียวกับเขา
“ไม่ครับ ผมซื่อสัตย์ต่อคู่หมั้นของผมตลอดเวลา ระหว่างที่ผมยังคงคบหาอยู่กับโรสิลีคู่หมั้นของผม และผมก็ไม่คิดอยากจะนอกใจคู่หมั้นของผมเลย”
“แล้วก่อนที่คุณจะรู้จักกับโรสิลีคู่หมั้นของคุณ คุณก็ไม่เคยนึกรัก นึกชอบพอกับใคร มาก่อนเลยหรือค่ะ”
“ผมก็เคยคบหาดูใจกับผู้หญิงหลายคน แต่มันก็เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งของชีวิตในวัยหนุ่มของผมเท่านั้น ไม่ได้จริงจังขนาดต้องคิดวางแผนที่จะแต่งงานกันในอนาคต แต่ก่อนที่จะหมั้นหมายกับโรสิลี ผมก็เคยถูกให้หมั้นหมายไว้กับคนอื่นมาก่อนแล้วเหมือนกัน” มินตราจับจ้องมองเขาอย่างสงสัย
“ต้องบอกว่าผมเคยถูกหมั้นหมายไว้กับเด็กหญิง ตัวน้อยคนหนึ่งถึงจะถูก มันเป็นการตกลงกันระหว่างปู่ของผมกับปู่ของเด็กหญิงตัวน้อยนั้น แต่ก็ต้องถูกยกเลิกกันไปในที่สุดเพราะ...” ธเนศหยุดไว้เพียงเท่านั้นไม่คิดอยากที่จะอธิบายเหตุผลต่อไป
“เด็กหญิงตัวน้อยนั้น เธอมีชื่อว่าอะไรค่ะ”
“ผมจดจำชื่อเธอไม่ได้แล้ว ตอนนั้นผมอายุแค่ 8 หรือ 9 ปีเองนะครับ” เขาแย้มยิ้มเมื่อสารภาพกับมินตราออกมาตรงๆ
“จดจำอะไรไม่ได้เลยหรือค่ะ”
“ผมเรียกเธอว่า กระต่าย เธอมีนามสกุลว่า ตรีเตชะมร” มินตราหน้าซีดเมื่อนึกถึงสิ่งที่มารดาของเธอเหลือทิ้งเอาไว้ให้ ภายหลังจากที่มารดาของเธอได้ตายจากไป สิ่งที่เหลือทิ้งเอาไว้ให้กับเธอก็คือสมุดไดอารี่เล่มเล็กๆ เพียงเล่มเดียว เธอเปิดมันอ่านไปได้เพียงแค่หน้าแรกที่มารดาเธอได้บันทึกเรื่องราวต่างๆ เก็บเอาไว้ให้
“ถึงมินตราลูกรัก เรื่องทั้งหมดที่แม่ได้บันทึกเก็บเอาไว้ในสมุดเล่มเล็กนี้ ล้วนแต่เป็นเรื่องจริงทั้งสิ้น เมื่อลูกได้อ่านมันจนจบลงแล้วได้โปรดทำตามสิ่งที่แม่ได้ขอร้องเอาไว้ด้วย” เมื่อเธอได้อ่านมันไปเพียงประโยคเดียวสั้นๆ เธอก็ไม่มีความกล้าหาญพอที่จะอ่านมันต่อให้จบทั้งเล่มได้ เพราะเธอเกรงกลัวสิ่งที่มารดาของเธอต้องการอยากจะให้เธอไปทำให้ ในวันนี้เธอเพียงต้องการที่จะทำตามคำมั่นสัญญาที่ได้ให้ไว้กับมารดาของเธอเท่านั้น โดยไม่ได้คิดอยากจะทำตามคำสั่งเสียที่มารดาของเธอที่ได้บันทึกเก็บเอาไว้ภายในสมุดไดอารี่เล่มเล็กๆนั้น ไปพร้อมๆ กัน เพราะมันคงจะต้องเป็นเรื่องราวที่น่าหวาดกลัวจนเกินกว่าไปที่เธอจะรับมันได้ไหวไปอย่างพร้อมๆ กันได้อีกต่อไปแล้ว
“บิดาของลูกมีชื่อว่า มาวิณ ตรีเตชะมร ปู่ของลูกมีชื่อว่า เกียงไกร ตรีเตชะมร ลูกจงจดจำเอาไว้ และตัวของลูกเองมีชื่อว่า มินตรา ตรีเตชะมร” ภายหลังจากที่อ่านข้อความของมารดาได้เพียงสั้นๆ เธอก็ปิดสมุดไดอารี่แล้วแอบเก็บซ่อนมันเอาไว้อย่างเสแสร้งแกล้งทำเป็นว่าไม่เคยได้พบเจอะเจอกับมันมาก่อนเลยในชีวิต อาจจะเป็นเพราะการยอมรับความจริงมันเจ็บปวดมากจนเกินไปสำหรับเธอเองก็ได้
“คุณมีอะไรจะถามผมอีกไหมครับ”
“ตอนนี้ไม่มีแล้วค่ะ ขอนึกคำถามต่อไปอีกสักครู่ก่อนแล้วกันนะค่ะ ฉันรู้สึกหิวน้ำอีกแล้วคุณช่วยไปซื้อน้ำมาเพิ่มให้ฉันหน่อยได้ไหม”
“ตกลงครับ” ธเนศลุกขึ้นยืนตัวตรงแล้วก้าวเดินตรงไปเบื้องหน้า เพื่อทำตามในสิ่งที่มินตราได้ขอร้องเอาไว้ในทันที
...........................................
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ