เล่ห์กลรักเงาอสูร
17) บทที่ 3 ดวงตาแห่งความเศร้า_4
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
เล่ห์กลรักเงาอสูร
บทที่ 3 ดวงตาแห่งความเศร้า_4
“ดูเหมือนว่าคุณจะโกรธ หรือโมโหฉันอีกแล้วนะค่ะ คุณธเนศ” มินตราเริ่มเคยชินกับอารมณ์ความโกรธหรือโมโหง่ายอันขึ้นๆ ลงๆ แบบเปลี่ยนแปลงบ่อยๆ ของธเนศได้เป็นอย่างดีแล้ว
“ใช่ผมกำลังโกรธมาก ผมไม่ชอบให้ใครก็ตามมาเดินหนีผม ในขณะที่ผมกำลังพูดติดพันอยู่ด้วยหรอกนะครับ”
“ฉันเองก็ไม่ชอบ” มินตรายิ้มหวานพร้อมสารภาพความจริงออกมาตามตรง ทำให้ธเนศเปลี่ยนแปลงอารมณ์กลับมาเป็นสุภาพบุรุษผู้อ่อนโยน ดั่งเช่นผู้ชายคนเดิมอีกครั้ง และธเนศก็ไม่ต้องการอยากจะติดตามเอาเรื่อง เอาราวอะไรกับเธออีกต่อไป
“ธเนศมีลักษณะอารมณ์เปลี่ยนแปลงบ่อยอย่างกับจิ้งจกกำลังเปลี่ยนสีเลยทีเดียว” มินตรายิ้มหวานน่ารักและพูดต่อไปในทันที
“ส่งมือคุณมา” เสียงเล็กๆ ออกคำสั่ง ทำให้ธเนศรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย
“ฉันบอกว่าส่งมือคุณมาให้ฉัน” เสียงเล็กๆ น่ารักออกคำสั่งอีกครั้ง ธเนศยื่นฝามือข้างซ้ายส่งให้ตามคำสั่งอย่างว่าง่าย ส่วนมินตราเองก็ยื่นฝามือเล็กๆ ข้างขวาออกมาจับกุมฝามืออันหนาใหญ่ของเขาเอาไว้ พร้อมกระบีบกระชับจนแน่นหนาเป็นกำปั้นก้อนกลมๆ มันทำให้เขารู้สึกอบอุ่นไปทั่วทุกๆ สัดส่วนของร่างกาย มันทำให้ภายในหัวใจของเขาเริ่มที่จะเต้นอย่างรุนแรงอย่างควบคุมไม่อยู่อีกต่อไป และมันทำให้เขาเกิดความรู้สึกอันสับสนอย่างที่ไม่เคยพบปะเจอะเจอมาก่อนเลย หรือมันไม่เคยเกิดขึ้นกับเขามาก่อนเลยในชีวิต แม้แต่กับโรสิลีคู่หมั้นของเขาเองก็ตาม แล้วทำไมความรู้สึกอันสับสนพวกนี้มันถึงได้จำต้องจำเพราะเจาะจงต้องมาเกิดขึ้นกับมินตราผู้หญิงที่เขาไม่ต้องการยากจะเข้าใกล้ด้วยเลยแม้แต่สักนิด
“ต่อไปคุณก็จะได้ไม่ต้องกลัวว่าฉันจะเดินหนีจากคุณไปอีก จับเอาไว้ให้แน่นๆ ด้วยล่ะคุณธเนศ” มินตราไม่ได้มีความรู้สึกกดดันอยู่ภายในหัวใจอย่างเช่นเขาบ้างเลยหรือไงกันนะ ในขณะที่เขาเองทนทุกข์ทรมานภายในจิตใจจนใกล้จะระเบิดออกมาเป็นเสี่ยงๆ อยู่แล้ว
“อย่ามัวแต่ยืนจับจ้องมองหน้าฉันอยู่เลยค่ะ รีบเดินต่อไปกันเถอะ” ในขณะนี้ เขาและมินตราพวกเราสองคนก็ไม่แตกต่างอะไรจากคู่รัก ที่กำลังเดินเที่ยวเล่นพลอดรักกันตามที่สาธารณะ ตามท้องถนนเลยแม้แต่น้อย ถึงเขาจะเคยชินกับการเป็นจุดเด่น จุดสนใจของใครหลายๆ คน อาจจะเป็นเพราะคู่หมั้นของเขาเธอเป็นดารานางแบบที่ต้องออกสื่อต่างๆ อยู่บ่อยๆ ครั้ง ชีวิตส่วนตัวของเขาจึงต้องกลับกลายเป็นจุดเด่น จุดสนใจตามไปด้วย แต่ในวันนี้มีบางอย่างแตกต่างกันออกไป มินตราเป็นเพียงแค่ผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่ง เธอไม่ได้มีชื่อเสียงโด่งดังอย่างเช่นคู่หมั้นของเขาเลยแม้แต่น้อย ความรู้สึกของเขากลับไม่ได้แตกต่างอะไรจากการได้ยืนอยู่กับคู่หมั้นของเขาเลยแม้แต่น้อยเช่นกัน เขากำลังตกเป็นจุดเด่น จุดสนใจ ตกเป็นที่อิจฉาริษยาของชายหนุ่มมากมายรอบข้าง ทุกคนต่างกำลังพากันจับจ้องมองมินตรา อย่างเป็นจุดเดียวกัน ทุกๆ สายตาต่างส่งประกายแววตาชื่นชมในความสะสวยงดงามของมินตราหญิงสาวสวยคนที่เขาเองกำลังก้าวเดินเคียงคู่อยู่ด้วยในขณะนี้
“เรากำลังจะไปไหนกันครับ” เส้นทางที่มินตรากำลังจับจูงมือของเขาก้าวเดินตรงออกไปคือถนนด้านนอกของโรงพยาบาล ในยามเช้าตามท้องถนนทุกสายจะเต็มไปด้วยรถยนต์หลากหลายยี่ห้อวิ่งวนเวียนสวนกันไปมา เต็มท้องถนนแทบจะทุกๆ สายในตัวเมืองใหญ่ สองข้ามฝากฝั่งของถนนจะเต็มไปด้วยร้านค้า ทั้งร้านอาหารการกิน และร้านของใช้ต่างๆ อันมากมาย พ่อค้าแม่ค้า นักเรียนนักศึกษาและบุคคลในอาชีพต่างๆ เริ่มต้นพากันก้าวเดินทยอยกันออกมาใช้ชีวิตตามวิถีทางของตนเอง รวมถึงเขาเองและมินตราด้วยเช่นกัน
“เดินเล่นไปเรื่อยๆ ค่ะ” ดวงตาสุกใสตอบคำถามของเขาด้วยใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มน่ารักอยู่เช่นเดิม และหัวใจของเขาก็เริ่มจะเต้นรุนแรงแทบจะทุกครั้งเมื่อได้จับจ้องมองเห็นรอยยิ้มอันน่ารักของมินตรา
“ไหนคุณบอกว่าจะออกมาหาอะไรทาน คุณไม่หิวแล้วหรือครับ”
“มันยังเช้าอยู่เลยนะค่ะ ฉันหานมสักกล่อง หรือน้ำส้มสักกล่องแถวๆ ข้างทางดื่มเอาก็ได้ ฉันเพียงแค่อยากจะออกมาเดินเที่ยวเล่นก็เท่านั้นเอง” มินตราและภูผาต่างก็มีลักษณะนิสัยคล้ายๆ กัน การต้องถูกกักขังเอาไว้ให้นอนเป็นผู้ป่วยอยู่บนเตียงคนไข้นานๆ ย่อมจะต้องการอยากจะออกมาเดินเที่ยวเล่นเปิดหูเปิดตาเป็นเรื่องธรรมดา
“แล้วเราจะเดินไปถึงไหนกันครับนี้”
“คุณกลัวว่าฉันจะหลอกพาคุณไปขายหรือไงกันค่ะ คุณธเนศ” มินตราบีบมือของเขาจนแน่นขึ้น เป็นท่าทางในทำนองฉุดลากประกอบคำพูดล้อเล่นพร้อมส่งเสียงหัวเราะอันสุกใสขณะจับจูงมือของเขาลากและก้าวเดินต่อไปข้างหน้า
“อบอุ่นในหัวใจดีเหลือเกิน ทำไมผู้หญิงคนนี้ถึงได้มอบความรู้สึกอันอบอุ่นเช่นนี้ให้แก่หัวใจของเขาได้กันนะ” ธเนศเอาฝามือข้างขวาวางทาบลงบนหัวใจขณะกำลังถูกลากจูงก้าวเดินต่อไปข้างหน้า อย่างไม่ต้องการจะให้มันระเบิดออกมาสู่ภายนอกได้ การลากจูงหยุดลงที่ร้านขายแว่นตากันแดดแบบแบกันกับดินข้างทางเท้าหรือฟุตบาท คนขายเป็นเด็กหญิงตัวเล็กๆในวัยที่จะต้องไปโรงเรียนเพื่อเรียนหนังสือ มินตราจับจ้องมองเด็กหญิงด้วยแววตาที่มีรอยเศร้าเจือปนอยู่ด้วย แววตาอันซับซ้อนที่ไม่น่าจะหลงเหลืออยู่อีก มันกลับคืนมาอีกครั้งจนได้ มินตราย่อเข่าแล้วดึงมือของเขาให้ย่อเข่าตามลงไป ให้นั่งอยู่เคียงคู่ด้วยกันกับเธอด้วย
“ขายอันละเท่าไรจ๊ะ” มินตราถามราคาเด็กหญิงตัวน้อย
“ สี่สิบเก้าบาทค่ะ” มีแว่นตาวางแบอยู่บนพื้น บนผืนผ้าเก่าๆ เบื้องหน้าของเขาและมินตราประมาณ 30 อัน เมื่อนำเอามาคูณเข้าด้วยกันแล้วก็จะเป็นเงินประมาณ 1470 บาท ส่วนกำไรเขาไม่รับรู้จริงๆ ว่าเด็กหญิงตัวน้อยจะได้กำไรอันละสักเท่าไรเมื่อขายมันจนหมดครบทุกอันแล้ว มินตราจับจ้องมองใบหน้าอันเกลี้ยงเกลาของเขาอย่างตรงๆ พร้อมเอาฝามือเล็กๆข้างซ้ายยื่นมาจับกุมแก้มอุ่นๆ ของเขาทั้งสองข้างให้หันไป หันมาตามที่เธอต้องการอย่างไม่คิดจะขออนุญาตเขาก่อนล่วงหน้าเลยแม้แต่น้อย เพราะคนที่จะสามารถทำกับเขาได้อย่างสนิทสนมเหมือนกับเห็นเขาเป็นลูกแมวเชื่องๆ น่ารักๆ เช่นนี้ได้มีไม่มากนัก นอกจากโรสิลีคู่หมั้นของเขาแล้ว เขาเองก็นึกถึงใครอื่นอีกไม่ออกอีกเลย จนกระทั้งถึงวันนี้ก็มีแต่มินตราผู้หญิงที่มีความรู้สึกอันซับซ้อนคนนี้เพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งคน
“ฉันว่าอันนี้น่าจะเหมาะสมกับคุณดีนะค่ะ” มินตราสวมแว่นกันแดดสีน้ำตาลให้กับเขาอย่างไม่คิดจะขออนุญาตเขาอยู่อีกเช่นเคย เขาไม่รู้ว่ามันจะเหมาะสมกับเขาจริงๆ หรือไม่ เขารับรู้แต่เพียงว่าหัวใจของเขาเริ่มจะตอบรับสิ่งใดก็ตามที่มินตราพร้อมจะหยิบยื่นส่งมาให้กับเขาอย่างไม่คิดจะต่อต้าน ความตั้งใจจริงของมินตราเลยแม้แต่น้อย
“เห็นไหมคุณดูดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเลยละค่ะ” มีคนเคยบอกกับเขาว่าแววตาของเขาหากจับจ้องมองตรงจะดูดุร้าย มินตราคงคาดคิดว่าหากเขาสวมแว่นกันแดดเอาไว้ มันคงดีกว่าที่เธอจะต้องจับจ้องมอง เห็นแววตาดุร้ายของเขาอยู่ตลอดเวลาอย่างแน่นอนเลยทีเดียว
“ฉันขอเลือกอันนี้แล้วกัน” มันเป็นแว่นกันแดดสีชมพูอันน่ารัก มินตราหยิบมันมาลองสวมดูแล้วยิ้มแย้มอย่างน่ารัก แล้วมินตราก็จับมันใช้เป็นที่คาดเส้นผมสีดำดั่งเส้นไหมอันอ่อนนุ่มของเธอ อย่างใช้ผิดวัตถุประสงค์ที่มันควรจะเป็น มันถูกสร้างและออกแบบมาเพื่อใช้เป็นแว่นกันแดดไม่ใช่ใช้เป็นที่คาดผมเลยสักนิด แต่เมื่อมันอยู่บนศีรษะของมินตราแว่นสายตามันก็กลับกลายเป็นที่คาดผมที่สวยที่สุดได้เช่นกัน
“คุณมีเงินให้ฉันยืมบางไหม คุณธเนศ”
“ให้มันได้อย่างนี้สิ ไม่ใช้เมีย ไม่ใช้คู่หมั้นของเขาเสียหน่อย มาขอยืมเงินเขาใช้เฉยเลย” แน่นอนเขาต้องมีเงินอยู่แล้วอย่างแน่นอน แต่เรื่องอะไรเขาจะให้หยิบยืมกันได้ง่ายๆ เงินทองเป็นของหายาก ยิ่งเวลานี้บริษัทของเขากำลังจะล้มละลายอยู่ด้วย เขาต้องประหยัดเท่าที่จะพอประหยัดได้
“แล้วกระเป๋าเงินของคุณอยู่ไหนเสียล่ะครับ”
“ฉันไม่เห็นมัน ตั้งแต่ฉันเข้านอนป่วยอยู่ในโรงพยาบาลแล้วล่ะค่ะ สงสัยว่าตำรวจจะเก็บมันเอาไว้เป็นหลักฐานหรือเปล่าค่ะคุณธเนศ” ระหว่างที่ภูผาและมินตรานอนป่วยอยู่ในโรงพยาบาล ธเนศคือคนที่ต้องคอยติดต่อประสานงานสืบหาข่าวคราวต่างๆ จากเจ้าหน้าที่ตำรวจอยู่อย่างสม่ำเสมอ จนสามารถรับรู้ได้ว่ากลุ่มโจรที่ภูผา มินตราและโรสิลีคู่หมั้นของเขาไปมีเรื่องเกี่ยวข้องด้วย เป็นกลุ่มมือปืนรับจ้างฆ่า มีหัวหน้ากลุ่มชื่อว่าเสือเดช และกำลังถูกหมายจับอยู่แทบจะทุกทีของประเทศไทย จนในเวลานี้ตำรวจก็ยังคงพยายามช่วยกันติดตามไล่ล่าเสือเดช อย่างต้องการจับเป็นหรือจับตายก็ได้ แต่สำหรับเรื่องกระเป๋าเงินหรือกระเป๋าสะพายของมินตราเขาพลาดมันไปได้อย่างไรกัน ธเนศล้วงมือลงไปหยิบเอากระเป๋าสตางค์จากกระเป๋ากางเกงด้านหลังของเขาออกมาแล้วยื่นส่งให้กับมินตราด้วยความรู้สึกที่กำลังจมดิ่งอยู่ในความรู้สึกอันเจ็บปวดของอะไรบางอย่าง ที่ผู้หญิงเช่นมินตราทำให้มันเกิดขึ้นกับจิตใจของเขา ได้ทุกเมื่อ ทุกเวลานาที ที่เขาได้เขามาอยู่ใกล้ๆ กับเธอ
“เอาไปใช้ได้ตามสบายเลยครับ ผมยกกระเป๋าเงินให้กับคุณทั้งหมดเลย” มินตราแย้มยิ้มน่ารักแล้วยื่นมือออกมารับกระเป๋าเงินจากมือของเขาไปอย่างง่ายๆ
“แล้วฉันจะใช้คืนให้กับคุณค่ะ” ใบหน้ามินตรายังคงเปื้อนรอยยิ้มอยู่เช่นเดิมแต่แววตากลับบอกความหมายอย่างตรงกันข้ามกับความรู้สึกอันแท้จริง ทำไมมันถึงได้ดูแสนเศร้าสร้อยมากมายนักนะ แววตาแสนเศร้าอันยากจะหาคำตอบของมินตรามันเรียกความรู้สึกเจ็บปวดจากภายใจจิตใจของเขาได้เสมอเมื่อเขาได้จับจ้องมองเห็นมันใกล้ๆ
“พ่อแม่หนูไปไหนเสียล่ะจ๊ะ” มินตราสอบถามเด็กหญิงตัวน้อยอีกครั้ง
“วันนี้แม่หนูไม่สบาย พ่อหนูเสียแล้วค่ะ” มินตราตัวแข็งเป็นก้อนหิน มือที่เคยบีบฝามือของเขาเอาไว้แน่นๆ เริ่มคลายออกและมันเริ่มเย็บเฉียบและสั่นอย่างคนกำลังเป็นไข้
“แล้วไปหาหมอหรือยังจ๊ะ”
“กินยานอนพักเดียวก็จะหายดีแล้วค่ะ”
“เดียวแม่กินยานอนพักสักครู่ก็จะหายดีแล้ว ลูกไปเรียนหนังสือเถอะ” มันคือสิ่งที่มารดาของเธอเคยพูดเมื่อกำลังไม่สบาย อย่างเช่นเดียวกันกับที่เด็กหญิงตัวน้อยเบื้องหน้าของเธอ ที่กำลังพูดเช่นเดียวกันกับที่มารดาของเธอเคยพูดมาก่อน แต่สุดท้ายแล้วมารดาของเธอก็จำต้องตายจากไปด้วยโรคร้ายเข้าคุกคราม มารดาของเธอเหลือทิ้งเอาไว้แต่รอยบาดแผลแห่งความเครียดแค้นชิงชังจน ตลอดจนความรู้สึกอันทนทุกข์ทรมาน ที่มันได้ส่งต่อเข้ามาสู่จิตใจของเธอด้วย
“เอานี้ พี่ให้” มินตรายื่นแบงก์หนึ่งพันสองใบส่งให้กับเด็กหญิงตัวน้อย เป็นค่าแว่นตากันแดดสองอัน เด็กหญิงรับไหว้ขอบคุณมินตราอย่างใบหน้าเปื้อนรอยยิ้ม กับแววตาอันแสนเศร้าอย่างเช่นเดียวกันกับแววตาของมินตรา แต่แววตาของมินตราดูจะซับซ้อนยิ่งกว่าของเด็กหญิงตัวน้อยอยู่มากมายหลายเท่าเลยที่เดียว
“ขอบคุณค่ะพี่คนสวย ขอบคุณค่ะคุณพี่รูปหล่อ”
“เอากลับไปซื้อยาให้แม่หนูนะจ๊ะ” เด็กหญิงพยักหน้าอย่างรู้ความ ด้วยวัยที่อายุยังน้อย อยู่ มินตราลุกขึ้นยืนตัวตรงอีกครั้งและพร้อมที่จะก้าวเดินหนีจากเขาไป อย่างเช่นที่เธอเคยทำจนสำเร็จมาครั้งหนึ่งแล้ว ในยามที่เขาและเธอก้าวเดินออกจากลิฟต์ด้วยกัน แต่ในครั้งนี้เขาไม่คิดที่ปล่อยให้เธอก้าวเดินหนีจากเขาไปได้อีกอย่างแน่นอน หรือเหมือนอย่างครั้งที่แล้ว เขายื่นฝามืออันหนาใหญ่ของเขาตรงไปจับฝามือเล็กๆ ของมินตราเอาไว้ ก่อนที่เธอจะเริ่มต้นก้าวเดินหนีจากเขาไปเป็นผลสำเร็จอีกครั้ง เมื่อเขาจับฝามือของเธอได้เขาเริ่มบีบกระชับมันเอาไว้จนแนบแน่น แล้วเริ่มก้าวเดินออกเคียงข้างกับเธอต่อไปอย่างเงียบๆ ต่อไปอีก เขาอยากจะค้นหาความซับซ้อนอันหลบซ่อนอยู่ภายในหัวใจของมินตราให้ได้เร็วๆ เสียจริงๆ
“เจ็บปวดหัวใจเหลือเกิน เขาจะทำอย่างไรต่อไปดี”
....................
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ