ทอฝันสุดสายรุ้ง
10.0
6) ความพลัดพรากและความเกลียดชัง
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความบทที่ ๖
ความพลัดพรากและความเกลียดชัง
เมื่อได้พูดคุยกันขณะขับรถกลับบ้านก็ยิ่งถูกคอ สุนทรีรู้สึกชื่นชอบในตัวของทอฝันมากขึ้นทีละน้อย
ทอฝันถูกสุนทรีสั่งให้เรียกตัวเองว่า ‘ย่า’ และก็เรียกสิทธิกรว่า ‘พ่อ’ เช่นกัน แม้จะรู้สึกแปลกๆ ไปบ้างที่ต้องมาเรียกคนอื่นว่าพ่อนอกจากคุณพ่อบรรพตแล้ว แต่ก็ยังดีกว่านั่งอยู่บนหลังรถกระบะคันนั้นเป็นไหนๆ
“ที่บ้านน่ะ จะมีแม่ที่ชื่อวรดากับน้องวรรณอยู่ด้วยนะ ทอฝันอาจจะต้องทำตัวให้น่ารักเป็นพิเศษหน่อย พวกเธอถึงจะชอบใจ”
“ค่ะ คุณย่า”
ทอฝันรับรู้ไปอย่างนั้นเอง ไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นหรือดีใจที่จะได้ไปอยู่บ้านหลังใหม่เลยสักนิด กลับกัน... ในใจมัวแต่เฝ้าพะวงถึงแต่ทอป่าน พี่สาวสุดที่รักที่หายตัวไป โดยไม่มีแม้คำล่ำลาฝากฝัง ป่านนี้ไม่รู้ว่าจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร จะมีคนใจดีมาช่วยเหลืออย่างที่ทอฝันได้รับจากสิทธิกรและสุนทรีรึเปล่า...
เมื่อเลี้ยวเข้าซอยทางซ้ายมือไปเพียงนิดเดียวรถก็หยุด พร้อมกันกับที่สิทธิกรร้องบอกว่า...
“เอาล่ะ ถึงบ้านแล้ว...”
เขาเปิดประตูลงจากรถแล้วเดินอ้อมมาเปิดประตูให้กับแม่ ก่อนจะเดินต่อไปทางด้านหลังเพื่อไปหยิบหิ้วของที่ซื้อมาจากตลาด
ทอฝันเกาะขอบหน้าต่างรถแล้วมองไปด้านนอกอย่างตื่นเต้น ลืมเรื่องของพี่สาวไปชั่วขณะ
“เป็นยังไงบ้าง บ้านน่าอยู่มั้ย?”
สุนทรีถาม ทอฝันพยักหน้าแรงๆ
“ถ้าอย่างนั้นก็เข้าไปในบ้านกันเถอะ”
ว่าแล้วหญิงชราก็จูงมือเด็กน้อยลงมาจากรถ เธอมองไปรอบๆ บ้านชั้นเดียวแต่มีบริเวณบ้ายกว้างขวางแบบบ้านสวนที่น่าอยู่อย่างตื่นตาตื่นใจ มันไม่ได้ดูหรูหราใหญ่โตเหมือนกับตอนที่อยู่กับคุณพ่อบรรพต แต่ที่นี่กลับให้ความรู้สึกอบอุ่นและมั่นคงทางใจให้กับเด็กน้อยอย่างน่าประหลาด
ทอฝันหันไปเห็นสิทธิกรถือของพะรุงพะรังก็ร้องบอกว่าตนจะช่วย เขายิ้มตอบแล้วจึงเลือกถุงขนมซึ่งเบาที่สุดไปให้
“ดูซิ ตัวแค่นี้ก็รู้จักช่วยเหลือแล้ว”
เขาเอ่ยชม ก่อนจะเดินนำเข้าบ้านไป ขณะที่วรดาก็เดินออกมาพอดี
“อ้าว กลับมากันแล้วหรือคะคุณ”
“ใช่ ผมซื้อแป้งสาลี เกลือแล้วก็... น้ำตาลมาให้คุณด้วย”
“ดีค่ะ ของที่ร้านก็หมดพอดี จะได้ทำทันออร์เดอร์ที่สั่งกันมา”
หล่อนว่าพร้อมกับเอื้อมมือไปรับของมาจากสามี
ครอบครัวของสิทธิกร ยึดอาชีพทำเบเกอรี่ขนมฝรั่งเป็นกิจการและธุรกิจหลักของครอบครัวซึ่งได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก มีลูกค้าประจำอยู่เกือบทุกจังหวัดในประเทศ นับว่าฐานะทางบ้านของเขาก็ไม่เลวเลยทีเดียว ขนมทุกชิ้น ล้วนมากจากฝีมือของวรดาซึ่งหล่อนก็เรียนจบโดยตรงมาจากยุโรป ได้สิทธิกรเป็นฝ่ายจัดสถานที่และดูแลองค์ประกอบการนำเสนอหน้าร้านทั้งหมดรวมทั้งการประชาสัมพันธ์ที่จริงจัง ทำให้ลูกค้าติดใจและชื่นชอบที่จะอุดหนุนอยู่บ่อยๆ
“เป็นยังไงบ้างคะคุณแม่ ที่วัดคนเยอะมั้ย”
วรดาเยี่ยมหน้าไปถามแม่สามี
“ก็ไม่ค่อยเท่าไหร่หรอก มีแต่คนคุ้นหน้าคุ้นตากันทั้งนั้น”
“เอ๊ะแล้วนั่น... ไปเอาเด็กที่ไหนติดมาด้วยคะ?”
วรดาจ้องมองทอฝันที่ยืนก้มหน้างุดอยู่ข้างๆ แม่สามีด้วยความประหลาดใจ
“เด็กตกยากน่ะ ว่าจะให้เธอช่วยเลี้ยง ไว้เป็นเพื่อนหนูวรรณ”
“อะไรนะคะคุณแม่!”
“ช่วยเหลือลูกนกลูกกาน่ะ มันได้บุญนะ”
“แล้วมันเรื่องอะไรกันคะ ที่จะต้องเก็บลูกของใครก็ไม่รู้มาเลี้ยงน่ะ”
“เอ่อ... ผมว่าเราเข้าไปคุยเรื่องนี้ข้างในเถอะนะ”
สิทธิกรเอ่ยแทรก เมื่อเห็นว่าเรื่องนี้ไม่จบลงง่ายๆ แน่
“เข้ามาเร็ว ทอฝัน”
เขาบอกเด็กน้อยพร้อมจูงมือเข้าบ้าน ยิ่งสร้างความไม่พอใจให้แก่วรดาเป็นทวีคูณ
“ดาไม่ยอมหรอกค่ะ!”
“แต่เด็กคนนี้น่าสงสารมาก แกไม่มีที่ไป”
สิทธิกรพยายามใจเย็นเพื่อโน้มน้าวภรรยา ที่จริงเขาก็ไม่ค่อยเห็นด้วยนักกับการที่จะเก็บทอฝันมาเลี้ยง หากแต่ก็ไม่อยากขัดใจแม่บังเกิดเกล้า เพราะท่านคงเห็นอะไรบางอย่างในตัวของเด็กคนนี้
“ก็แล้วยังไงล่ะคะ ไม่มีที่ไป แล้วจำเป็นต้องมาอยู่บ้านเรางั้นเหรอ?”
“แค่เด็กคนเดียวเองนะแม่วรดา”
“เด็กคนเดียว? เลี้ยงคนหนึ่งคนน่ะ มันไม่ง่ายอย่างที่คุณแม่คิดหรอกนะคะ อีกอย่างเป็นลูกเต้าเหล่าใครก็ไม่รู้ นี่ถ้าเป็นลูกโจรลูกป่า ไม่ติดนิสัยลักเล็กขโมยน้อยของในบ้านเราไปจนหมดรึไง!”
หล่อนคิดหาเหตุผลมาค้านหัวชนฝาที่จะไม่ให้รับเด็กแปลกหน้าคนนี้เข้ามาอยู่ร่วมในบ้าน
“แล้วจะให้ทำยังไง พาไปปล่อยทิ้งข้างถนนเร๊อะ!”
สุนทรีเองก็เริ่มจะหมดความอดทนกับลูกสะใภ้แล้วเช่นกัน
“ให้คนทั่วทั้งบางได้มาเห็นว่าคนบ้านนี้มันใจจืดใจดำ แม้แต่เด็กตัวเล็กๆ ที่หิวโหยซมซานมาถึงหน้าบ้านก็ไม่คิดจะช่วยเหลือ หนำซ้ำยังไปปล่อยทิ้งให้ตะเข้ตะโขงมันคาบไปกินซะอีก!”
“คุณแม่...”
“ตากร แกเอาแม่หนูทอฝันไปปล่อยไว้ที่เดิม ในเมื่อคนบ้านนี้เขาไม่ยินดีเห็นด้วย ฉันก็ไม่อยากขัดใจ ประเดี๋ยวจะหาว่าเป็นคนแก่ที่ชอบสร้างปัญหาอีก”
“คุณแม่ครับ...”
“ไม่ต้องทำถึงขนาดนั้นหรอกค่ะคุณแม่ แต่ไหนแต่ไรมาดาไม่เคยต้องมานั่งทะเลาะหรือเถียงกับคุณแม่เลย ถ้าอะไรที่จะทำให้คุณแม่สบายใจ ก็เชิญเถอะค่ะ ดาไม่อยากจะขัดใจ เพราะดาก็ไม่ใช่สะใภ้ที่เลือกมาก มากความเหมือนกัน”
โต้ตอบกลับไปจบแล้ว หล่อนก็ผลุนผลันเดินกลับเข้าห้องของตัวเองไปอย่างไม่พอใจนัก สิทธิกรได้แต่ส่ายหน้าด้วยความอ่อนใจ เขาเป็นคนเดียวที่เข้าใจทั้งสองฝ่าย
สำหรับวรดาเองแล้ว หล่อนไม่อยากได้ภาระจากการเลี้ยงเด็กที่มาจากไหนก็ไม่รู้เพิ่มอีกคน เพราะลำพังลูกสาวของเธอเองนั้นก็วุ่นวายพอดูกับชีวิตของคนหนึ่งคน หล่อนไม่ใช่คนใจไม่ไส้ระกำ แต่ก็เป็นคนไม่ชอบสร้างเรื่องสร้างราวให้ตัวเองต้องเหนื่อยหน่ายเช่นกัน ยิ่งได้ยินว่าตั้งใจจะเลี้ยงให้เหมือนลูกเหมือนหลานคนหนึ่งในครอบครัว หล่อนก็ยิ่งขัดใจ เพราะยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่านิสัยสันดานจะเป็นอย่างไร จะดื้อด้าน ขี้ขโมย หรือขี้เกียจสันหลังยาวอย่างไร
แต่หากจะว่าไปตามตรงแล้ว ในเสี้ยวหนึ่งของความรู้สึก หล่อนเองก็กลัวว่าเด็กแปลกหน้าคนนี้จะมาแย่งความรักของทุกคนไปจากลูกสาวตัวเอง...
ทอฝันที่ถูกปล่อยให้อยู่ด้านนอกขณะที่ผู้ใหญ่กำลังถกกันด้วยเรื่องของเธอ เด็กน้อยเดินชมหน้าบ้านไปรอบๆ มีต้นไม้มากมาย ทั้งที่แดดเปรี้ยง แต่บริเวณบ้านกลับร่มรื่นและมีลมเย็นพัดเอื่อยๆ
ที่ใต้ต้นไม้ต้นหนึ่งไม่ไกลจากตัวบ้านนัก ทอฝันเห็นเด็กผู้หญิงคนหนึ่งกำลังนั่งเล่นหม้อข้าวหม้อแกงอยู่บนแคร่ไม้คนเดียว จึงค่อยๆ เดินย่องไปเข้าไปด้ำๆ มองๆ ในใจก็ซุกซนอยากจะเล่นด้วย
“เธอเป็นเด็กบ้านนี้เหรอ?”
ทอฝันเอ่ยถาม
เด็กหญิงที่ถูกถามไม่ยอมตอบแต่กลับเชิดหน้าหนี
“ถ้าใช่... งั้นเธอก็ต้องชื่อหนูวรรณสินะ คุณย่าบอกว่าที่บ้านมีเด็กชื่อหนูวรรณ”
“เราไม่ใช่เด็กแล้วนะ เราอยู่ที่นี่มาก่อน เราก็ต้องเป็นพี่เธอ เธอมาทีหลัง เธอนั่นแหละเป็นเด็ก”
“เธออายุเท่าไหร่?”
“คุณแม่บอกว่าเราห้าขวบแล้ว”
“แต่เราหกขวบ... เราเป็นพี่เธอนะ”
“เชอะ!”
หนูวรรณเชิดใส่ทอฝันอีกรอบ
“ให้เราเล่นด้วยได้มั้ย?”
“ไม่ให้ ไปไกลๆ”
“แต่ว่าเราอยากเล่นด้วย เธอก็ไม่มีเพื่อนเล่นไม่ใช่เหรอ”
“ก็เราไม่ให้เล่น เราจะเล่นคนเดียว!”
หนูวรรณรวบของเล่นเข้ามาหากลัว ด้วยกลัวว่าทอฝันจะแย่งไป แต่เพราะไม่ทันระวังจึงทำหม้อดินใบหนึ่งหล่นแตก หนูวรรณเห็นเข้าก็คิดว่าทอฝันเป็นคนทำจึงร้องไห้เสียงดัง
“เราไม่ได้ทำนะ มันหล่นแตกเอง”
“แง้... เธอทำของเราแตก ฮือๆ คุณแม่!”
ทางฝ่ายวรดา เมื่อได้ยินเสียงลูกสาวร้องไห้ก็รีบวิ่งออกไปด้วยความตกใจ กลัวว่าจะได้รับอุบัติเหตุ แต่เมื่อเห็นว่าทอฝันยืนอยู่ตรงนั้นด้วยก็ตีโพยตีพายไปทันทีที่ว่าลูกสาวตัวต้องโดนเด็กแปลกหน้าจอมเกเรแกล้งแน่ๆ
“ไม่ทันไรก็แผลงฤทธิ์ซะแล้วนะ!”
ทอฝันสะดุ้งก้มหน้างุด
“เป็นอะไรลูก มันทำอะไรหนูวรรณ”
“มันทำหม้อข้าวหนูวรรณแตกค่ะคุณแม่”
“ไม่ใช่นะคะ มันหล่นลงมาแตกเอง”
“อย่ามาเถียงนะ!”
ทอฝันตกใจที่โดนตะคอกจนหน้าซีดเผือด อยากจะร้องไห้ด้วยความกลัว แต่ก็ไม่กล้าแม้แต่จะเบะปากเช่นกัน
“ไป หนูวรรณ กลับเข้าบ้านลูก อย่าไปยุ่งกับมัน”
วรดาอุ้มลูกเข้าบ้านพร้อมกับจิกตาค้อนควักทอฝันอย่างเกลียดชัง เด็กน้อยได้แต่มองตามตาระห้อย ด้วยไม่รู้ว่าตัวเองทำผิดอะไร
หลังจากมื้อเที่ยงอันแสนอร่อยจากที่หิวโหยมาเป็นวันๆ ท่ามกลางโต๊ะด้วยบรรยากาศมาคุเต็มไปด้วยความอึดอัด ทอฝันเห็นว่าไม่มีใครพูดจาใดๆ กันเลย คุณพ่อกับคุณย่ากินข้าวกันอย่างเงียบๆ และเรียบร้อย ส่วนคุณป้าก็มีสีหน้าบึ้งตึงและแอบชำเลืองเหลือบค้อนมาทางเธอเป็นระยะ
เมื่อแยกย้ายกันแล้ว คุณย่าก็อนุญาตให้ออกไปเล่นนอกบ้านได้แต่กำชับว่าห้ามซุกซน ทอฝันจึงไปนั่งอยู่ใต้ต้นไม้ริมบึงมองดูเป็ดว่ายน้ำตามกันไปเป็นขบวน ขณะที่ความคิดถึงพี่สาวก็แวบเข้ามาอีกครั้ง
ทอฝันสะอึกสะอื้นออกมาเบาๆ เมื่อสุดจะอดกลั้น หนูน้อยไม่เคยกลัวเลยถ้าจะต้องไปตกระกำลำบากที่ใด ขอเพียงให้อยู่ข้างกายพี่สาวเท่านั้นก็รู้สึกอุ่นใจและปลอดภัย แต่ว่าตอนนี้... พี่ทอป่านไปอยู่ที่ไหนเสียแล้ว... ทอฝันคิดถึงจังเลย... ได้แต่มองตุ๊กตามอมแมมไว้ดูต่างหน้า แต่ทว่ายิ่งดู... ก็ยิ่งคิดถึง ยิ่งเห็น... ก็ยิ่งถวิลหา
และระหว่างที่กำลังปาดน้ำตาอยู่นั้น จู่ๆ ลูกบอลใบหนึ่งก็กลิ้งตกลงไปในน้ำ ทอฝันมองตามด้วยความสนใจ ก่อนจะเห็นร่างของหนูวรรณวิ่งตามมันมา เธอชะเง้อชะแง้มองหาลูกบอลของตัวเอง ก่อนจะวิ่งไปคว้ากิ่งไม้มาเขี่ยๆ ทอฝันมองดูแล้วก็นึกขำกับท่าทางตลกๆ ของเธอ แต่ทว่าก็ต้องหุบยิ้มในทันทีเมื่อหนูวรรณเสียหลักแล้วพลัดตกลงไปในน้ำ “ช่วยด้วย! คุณแม่! ช่วยหนูด้วย! คุณพ่อ!”
หนูวรรณร้องตะโกน รอบข้างนั้นไม่มีใครนอกจากทอฝัน
เมื่อเห็นเพื่อนกำลังได้รับอันตราย ทอฝันก็ลุกขึ้นแล้วกระโดดลงน้ำตามไปอย่างไม่รีรอ ด้วยคิดว่าจะช่วยให้หนูวรรณขึ้นมาจากน้ำนั่นให้ได้ แต่กลับลืมไปว่าตัวเองก็ยังว่ายน้ำไม่เป็นเหมือนกัน
เด็กน้อยทั้งคู่กำลังดำผุดดำว่ายอยู่ในบึงน้ำพร้อมตะโกนร้องขอความช่วยเหลือ โชคดีที่นายทองคนสวนเห็นเหตุการณ์ตั้งแต่ต้นวิ่งเข้ามาช่วยเหลือได้ทัน
เหตุการณ์นี้สร้างความแตกตื่นตกใจให้กับทั้งสุนทรี สิทธิกรและวรดาเป็นอย่างมาก ส่วนเด็กทั้งสองเมื่อขึ้นมาได้แล้วก็ตกใจกลัว พากันนั่งร้องไห้งอแง วรดารีบเข้าไปโอบโอ๋ลูกสาวเป็นการใหญ่ พร้อมกับต่อว่าทอฝันตามความนึกคิดของตัวเอง
“นังสารเลว! แกนี่มันเป็นเด็กอะไรนะ ทำไมถึงได้ร้ายกาจขนาดนี้ รู้จักเจ้าคิดเจ้าแค้น ผลักลูกฉันตกน้ำ นี่คงเพราะบาปกรรม ถึงทำให้แกตกลงไปด้วยสินะ!”
“อะไรกันแม่วรดา คิดได้เป็นตุเป็นตะ”
“ก็ตั้งแต่เกิดมา หนูวรรณเคยวิ่งเล่นซุกซนตกลงไปในบึงน้ำนั่นบ้างมั้ยล่ะคะ ถ้าไม่ใช่เพราะนังเด็กนี่แล้วจะเป็นใคร”
“เอ่อ คุณผู้หญิงครับ ที่จริงเด็กคนนี้จะลงไปช่วยคุณหนูวรรณต่างหากล่ะครับ”
“เอ๊ะ?”
“พูดต่อสิทอง”
สุนทรีสั่ง นายทองจึงเล่าความจริงตามที่ตนเห็นพร้อมทั้งกล่าวชื่นชมทอฝันว่าเป็นเด็กกล้าหาญและมีน้ำใจ
“แกพูดจริงๆ เหรอ”
วรดาถามย้ำ
“ครับ ผมขอยืนยัน เด็กคนนี้ไม่ได้ผลักคุณหนูวรรณตกน้ำอย่างแน่นอน”
เมื่อได้รับทราบความจริงจากนายทองแล้ว ความรู้สึกของวรดาที่มีต่อทอฝันก็เริ่มเปลี่ยนไป จะเรียกว่ารู้สึกผิดก็คงจะไม่ต่างนัก หากแต่ความเกลียดชังก็ลดลงเรื่อยๆ อย่างรวดเร็ว
“เห็นมั้ยล่ะแม่วรดา ทอฝันน่ะ เกือบจะจมน้ำตายเพราะช่วยเหลือลูกของเธอนะ”
“ทอฝัน...”
แขนข้างซ้ายของหล่อนกำลังโอบกอดลูกสาวของตัวเอง ขณะที่มือข้างขวาก็ค่อยๆ เอื้อมไปลูบหัวของเด็กน้อยด้วยความซาบซึ้ง
ความพลัดพรากและความเกลียดชัง
เมื่อได้พูดคุยกันขณะขับรถกลับบ้านก็ยิ่งถูกคอ สุนทรีรู้สึกชื่นชอบในตัวของทอฝันมากขึ้นทีละน้อย
ทอฝันถูกสุนทรีสั่งให้เรียกตัวเองว่า ‘ย่า’ และก็เรียกสิทธิกรว่า ‘พ่อ’ เช่นกัน แม้จะรู้สึกแปลกๆ ไปบ้างที่ต้องมาเรียกคนอื่นว่าพ่อนอกจากคุณพ่อบรรพตแล้ว แต่ก็ยังดีกว่านั่งอยู่บนหลังรถกระบะคันนั้นเป็นไหนๆ
“ที่บ้านน่ะ จะมีแม่ที่ชื่อวรดากับน้องวรรณอยู่ด้วยนะ ทอฝันอาจจะต้องทำตัวให้น่ารักเป็นพิเศษหน่อย พวกเธอถึงจะชอบใจ”
“ค่ะ คุณย่า”
ทอฝันรับรู้ไปอย่างนั้นเอง ไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นหรือดีใจที่จะได้ไปอยู่บ้านหลังใหม่เลยสักนิด กลับกัน... ในใจมัวแต่เฝ้าพะวงถึงแต่ทอป่าน พี่สาวสุดที่รักที่หายตัวไป โดยไม่มีแม้คำล่ำลาฝากฝัง ป่านนี้ไม่รู้ว่าจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร จะมีคนใจดีมาช่วยเหลืออย่างที่ทอฝันได้รับจากสิทธิกรและสุนทรีรึเปล่า...
เมื่อเลี้ยวเข้าซอยทางซ้ายมือไปเพียงนิดเดียวรถก็หยุด พร้อมกันกับที่สิทธิกรร้องบอกว่า...
“เอาล่ะ ถึงบ้านแล้ว...”
เขาเปิดประตูลงจากรถแล้วเดินอ้อมมาเปิดประตูให้กับแม่ ก่อนจะเดินต่อไปทางด้านหลังเพื่อไปหยิบหิ้วของที่ซื้อมาจากตลาด
ทอฝันเกาะขอบหน้าต่างรถแล้วมองไปด้านนอกอย่างตื่นเต้น ลืมเรื่องของพี่สาวไปชั่วขณะ
“เป็นยังไงบ้าง บ้านน่าอยู่มั้ย?”
สุนทรีถาม ทอฝันพยักหน้าแรงๆ
“ถ้าอย่างนั้นก็เข้าไปในบ้านกันเถอะ”
ว่าแล้วหญิงชราก็จูงมือเด็กน้อยลงมาจากรถ เธอมองไปรอบๆ บ้านชั้นเดียวแต่มีบริเวณบ้ายกว้างขวางแบบบ้านสวนที่น่าอยู่อย่างตื่นตาตื่นใจ มันไม่ได้ดูหรูหราใหญ่โตเหมือนกับตอนที่อยู่กับคุณพ่อบรรพต แต่ที่นี่กลับให้ความรู้สึกอบอุ่นและมั่นคงทางใจให้กับเด็กน้อยอย่างน่าประหลาด
ทอฝันหันไปเห็นสิทธิกรถือของพะรุงพะรังก็ร้องบอกว่าตนจะช่วย เขายิ้มตอบแล้วจึงเลือกถุงขนมซึ่งเบาที่สุดไปให้
“ดูซิ ตัวแค่นี้ก็รู้จักช่วยเหลือแล้ว”
เขาเอ่ยชม ก่อนจะเดินนำเข้าบ้านไป ขณะที่วรดาก็เดินออกมาพอดี
“อ้าว กลับมากันแล้วหรือคะคุณ”
“ใช่ ผมซื้อแป้งสาลี เกลือแล้วก็... น้ำตาลมาให้คุณด้วย”
“ดีค่ะ ของที่ร้านก็หมดพอดี จะได้ทำทันออร์เดอร์ที่สั่งกันมา”
หล่อนว่าพร้อมกับเอื้อมมือไปรับของมาจากสามี
ครอบครัวของสิทธิกร ยึดอาชีพทำเบเกอรี่ขนมฝรั่งเป็นกิจการและธุรกิจหลักของครอบครัวซึ่งได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก มีลูกค้าประจำอยู่เกือบทุกจังหวัดในประเทศ นับว่าฐานะทางบ้านของเขาก็ไม่เลวเลยทีเดียว ขนมทุกชิ้น ล้วนมากจากฝีมือของวรดาซึ่งหล่อนก็เรียนจบโดยตรงมาจากยุโรป ได้สิทธิกรเป็นฝ่ายจัดสถานที่และดูแลองค์ประกอบการนำเสนอหน้าร้านทั้งหมดรวมทั้งการประชาสัมพันธ์ที่จริงจัง ทำให้ลูกค้าติดใจและชื่นชอบที่จะอุดหนุนอยู่บ่อยๆ
“เป็นยังไงบ้างคะคุณแม่ ที่วัดคนเยอะมั้ย”
วรดาเยี่ยมหน้าไปถามแม่สามี
“ก็ไม่ค่อยเท่าไหร่หรอก มีแต่คนคุ้นหน้าคุ้นตากันทั้งนั้น”
“เอ๊ะแล้วนั่น... ไปเอาเด็กที่ไหนติดมาด้วยคะ?”
วรดาจ้องมองทอฝันที่ยืนก้มหน้างุดอยู่ข้างๆ แม่สามีด้วยความประหลาดใจ
“เด็กตกยากน่ะ ว่าจะให้เธอช่วยเลี้ยง ไว้เป็นเพื่อนหนูวรรณ”
“อะไรนะคะคุณแม่!”
“ช่วยเหลือลูกนกลูกกาน่ะ มันได้บุญนะ”
“แล้วมันเรื่องอะไรกันคะ ที่จะต้องเก็บลูกของใครก็ไม่รู้มาเลี้ยงน่ะ”
“เอ่อ... ผมว่าเราเข้าไปคุยเรื่องนี้ข้างในเถอะนะ”
สิทธิกรเอ่ยแทรก เมื่อเห็นว่าเรื่องนี้ไม่จบลงง่ายๆ แน่
“เข้ามาเร็ว ทอฝัน”
เขาบอกเด็กน้อยพร้อมจูงมือเข้าบ้าน ยิ่งสร้างความไม่พอใจให้แก่วรดาเป็นทวีคูณ
“ดาไม่ยอมหรอกค่ะ!”
“แต่เด็กคนนี้น่าสงสารมาก แกไม่มีที่ไป”
สิทธิกรพยายามใจเย็นเพื่อโน้มน้าวภรรยา ที่จริงเขาก็ไม่ค่อยเห็นด้วยนักกับการที่จะเก็บทอฝันมาเลี้ยง หากแต่ก็ไม่อยากขัดใจแม่บังเกิดเกล้า เพราะท่านคงเห็นอะไรบางอย่างในตัวของเด็กคนนี้
“ก็แล้วยังไงล่ะคะ ไม่มีที่ไป แล้วจำเป็นต้องมาอยู่บ้านเรางั้นเหรอ?”
“แค่เด็กคนเดียวเองนะแม่วรดา”
“เด็กคนเดียว? เลี้ยงคนหนึ่งคนน่ะ มันไม่ง่ายอย่างที่คุณแม่คิดหรอกนะคะ อีกอย่างเป็นลูกเต้าเหล่าใครก็ไม่รู้ นี่ถ้าเป็นลูกโจรลูกป่า ไม่ติดนิสัยลักเล็กขโมยน้อยของในบ้านเราไปจนหมดรึไง!”
หล่อนคิดหาเหตุผลมาค้านหัวชนฝาที่จะไม่ให้รับเด็กแปลกหน้าคนนี้เข้ามาอยู่ร่วมในบ้าน
“แล้วจะให้ทำยังไง พาไปปล่อยทิ้งข้างถนนเร๊อะ!”
สุนทรีเองก็เริ่มจะหมดความอดทนกับลูกสะใภ้แล้วเช่นกัน
“ให้คนทั่วทั้งบางได้มาเห็นว่าคนบ้านนี้มันใจจืดใจดำ แม้แต่เด็กตัวเล็กๆ ที่หิวโหยซมซานมาถึงหน้าบ้านก็ไม่คิดจะช่วยเหลือ หนำซ้ำยังไปปล่อยทิ้งให้ตะเข้ตะโขงมันคาบไปกินซะอีก!”
“คุณแม่...”
“ตากร แกเอาแม่หนูทอฝันไปปล่อยไว้ที่เดิม ในเมื่อคนบ้านนี้เขาไม่ยินดีเห็นด้วย ฉันก็ไม่อยากขัดใจ ประเดี๋ยวจะหาว่าเป็นคนแก่ที่ชอบสร้างปัญหาอีก”
“คุณแม่ครับ...”
“ไม่ต้องทำถึงขนาดนั้นหรอกค่ะคุณแม่ แต่ไหนแต่ไรมาดาไม่เคยต้องมานั่งทะเลาะหรือเถียงกับคุณแม่เลย ถ้าอะไรที่จะทำให้คุณแม่สบายใจ ก็เชิญเถอะค่ะ ดาไม่อยากจะขัดใจ เพราะดาก็ไม่ใช่สะใภ้ที่เลือกมาก มากความเหมือนกัน”
โต้ตอบกลับไปจบแล้ว หล่อนก็ผลุนผลันเดินกลับเข้าห้องของตัวเองไปอย่างไม่พอใจนัก สิทธิกรได้แต่ส่ายหน้าด้วยความอ่อนใจ เขาเป็นคนเดียวที่เข้าใจทั้งสองฝ่าย
สำหรับวรดาเองแล้ว หล่อนไม่อยากได้ภาระจากการเลี้ยงเด็กที่มาจากไหนก็ไม่รู้เพิ่มอีกคน เพราะลำพังลูกสาวของเธอเองนั้นก็วุ่นวายพอดูกับชีวิตของคนหนึ่งคน หล่อนไม่ใช่คนใจไม่ไส้ระกำ แต่ก็เป็นคนไม่ชอบสร้างเรื่องสร้างราวให้ตัวเองต้องเหนื่อยหน่ายเช่นกัน ยิ่งได้ยินว่าตั้งใจจะเลี้ยงให้เหมือนลูกเหมือนหลานคนหนึ่งในครอบครัว หล่อนก็ยิ่งขัดใจ เพราะยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่านิสัยสันดานจะเป็นอย่างไร จะดื้อด้าน ขี้ขโมย หรือขี้เกียจสันหลังยาวอย่างไร
แต่หากจะว่าไปตามตรงแล้ว ในเสี้ยวหนึ่งของความรู้สึก หล่อนเองก็กลัวว่าเด็กแปลกหน้าคนนี้จะมาแย่งความรักของทุกคนไปจากลูกสาวตัวเอง...
ทอฝันที่ถูกปล่อยให้อยู่ด้านนอกขณะที่ผู้ใหญ่กำลังถกกันด้วยเรื่องของเธอ เด็กน้อยเดินชมหน้าบ้านไปรอบๆ มีต้นไม้มากมาย ทั้งที่แดดเปรี้ยง แต่บริเวณบ้านกลับร่มรื่นและมีลมเย็นพัดเอื่อยๆ
ที่ใต้ต้นไม้ต้นหนึ่งไม่ไกลจากตัวบ้านนัก ทอฝันเห็นเด็กผู้หญิงคนหนึ่งกำลังนั่งเล่นหม้อข้าวหม้อแกงอยู่บนแคร่ไม้คนเดียว จึงค่อยๆ เดินย่องไปเข้าไปด้ำๆ มองๆ ในใจก็ซุกซนอยากจะเล่นด้วย
“เธอเป็นเด็กบ้านนี้เหรอ?”
ทอฝันเอ่ยถาม
เด็กหญิงที่ถูกถามไม่ยอมตอบแต่กลับเชิดหน้าหนี
“ถ้าใช่... งั้นเธอก็ต้องชื่อหนูวรรณสินะ คุณย่าบอกว่าที่บ้านมีเด็กชื่อหนูวรรณ”
“เราไม่ใช่เด็กแล้วนะ เราอยู่ที่นี่มาก่อน เราก็ต้องเป็นพี่เธอ เธอมาทีหลัง เธอนั่นแหละเป็นเด็ก”
“เธออายุเท่าไหร่?”
“คุณแม่บอกว่าเราห้าขวบแล้ว”
“แต่เราหกขวบ... เราเป็นพี่เธอนะ”
“เชอะ!”
หนูวรรณเชิดใส่ทอฝันอีกรอบ
“ให้เราเล่นด้วยได้มั้ย?”
“ไม่ให้ ไปไกลๆ”
“แต่ว่าเราอยากเล่นด้วย เธอก็ไม่มีเพื่อนเล่นไม่ใช่เหรอ”
“ก็เราไม่ให้เล่น เราจะเล่นคนเดียว!”
หนูวรรณรวบของเล่นเข้ามาหากลัว ด้วยกลัวว่าทอฝันจะแย่งไป แต่เพราะไม่ทันระวังจึงทำหม้อดินใบหนึ่งหล่นแตก หนูวรรณเห็นเข้าก็คิดว่าทอฝันเป็นคนทำจึงร้องไห้เสียงดัง
“เราไม่ได้ทำนะ มันหล่นแตกเอง”
“แง้... เธอทำของเราแตก ฮือๆ คุณแม่!”
ทางฝ่ายวรดา เมื่อได้ยินเสียงลูกสาวร้องไห้ก็รีบวิ่งออกไปด้วยความตกใจ กลัวว่าจะได้รับอุบัติเหตุ แต่เมื่อเห็นว่าทอฝันยืนอยู่ตรงนั้นด้วยก็ตีโพยตีพายไปทันทีที่ว่าลูกสาวตัวต้องโดนเด็กแปลกหน้าจอมเกเรแกล้งแน่ๆ
“ไม่ทันไรก็แผลงฤทธิ์ซะแล้วนะ!”
ทอฝันสะดุ้งก้มหน้างุด
“เป็นอะไรลูก มันทำอะไรหนูวรรณ”
“มันทำหม้อข้าวหนูวรรณแตกค่ะคุณแม่”
“ไม่ใช่นะคะ มันหล่นลงมาแตกเอง”
“อย่ามาเถียงนะ!”
ทอฝันตกใจที่โดนตะคอกจนหน้าซีดเผือด อยากจะร้องไห้ด้วยความกลัว แต่ก็ไม่กล้าแม้แต่จะเบะปากเช่นกัน
“ไป หนูวรรณ กลับเข้าบ้านลูก อย่าไปยุ่งกับมัน”
วรดาอุ้มลูกเข้าบ้านพร้อมกับจิกตาค้อนควักทอฝันอย่างเกลียดชัง เด็กน้อยได้แต่มองตามตาระห้อย ด้วยไม่รู้ว่าตัวเองทำผิดอะไร
หลังจากมื้อเที่ยงอันแสนอร่อยจากที่หิวโหยมาเป็นวันๆ ท่ามกลางโต๊ะด้วยบรรยากาศมาคุเต็มไปด้วยความอึดอัด ทอฝันเห็นว่าไม่มีใครพูดจาใดๆ กันเลย คุณพ่อกับคุณย่ากินข้าวกันอย่างเงียบๆ และเรียบร้อย ส่วนคุณป้าก็มีสีหน้าบึ้งตึงและแอบชำเลืองเหลือบค้อนมาทางเธอเป็นระยะ
เมื่อแยกย้ายกันแล้ว คุณย่าก็อนุญาตให้ออกไปเล่นนอกบ้านได้แต่กำชับว่าห้ามซุกซน ทอฝันจึงไปนั่งอยู่ใต้ต้นไม้ริมบึงมองดูเป็ดว่ายน้ำตามกันไปเป็นขบวน ขณะที่ความคิดถึงพี่สาวก็แวบเข้ามาอีกครั้ง
ทอฝันสะอึกสะอื้นออกมาเบาๆ เมื่อสุดจะอดกลั้น หนูน้อยไม่เคยกลัวเลยถ้าจะต้องไปตกระกำลำบากที่ใด ขอเพียงให้อยู่ข้างกายพี่สาวเท่านั้นก็รู้สึกอุ่นใจและปลอดภัย แต่ว่าตอนนี้... พี่ทอป่านไปอยู่ที่ไหนเสียแล้ว... ทอฝันคิดถึงจังเลย... ได้แต่มองตุ๊กตามอมแมมไว้ดูต่างหน้า แต่ทว่ายิ่งดู... ก็ยิ่งคิดถึง ยิ่งเห็น... ก็ยิ่งถวิลหา
และระหว่างที่กำลังปาดน้ำตาอยู่นั้น จู่ๆ ลูกบอลใบหนึ่งก็กลิ้งตกลงไปในน้ำ ทอฝันมองตามด้วยความสนใจ ก่อนจะเห็นร่างของหนูวรรณวิ่งตามมันมา เธอชะเง้อชะแง้มองหาลูกบอลของตัวเอง ก่อนจะวิ่งไปคว้ากิ่งไม้มาเขี่ยๆ ทอฝันมองดูแล้วก็นึกขำกับท่าทางตลกๆ ของเธอ แต่ทว่าก็ต้องหุบยิ้มในทันทีเมื่อหนูวรรณเสียหลักแล้วพลัดตกลงไปในน้ำ “ช่วยด้วย! คุณแม่! ช่วยหนูด้วย! คุณพ่อ!”
หนูวรรณร้องตะโกน รอบข้างนั้นไม่มีใครนอกจากทอฝัน
เมื่อเห็นเพื่อนกำลังได้รับอันตราย ทอฝันก็ลุกขึ้นแล้วกระโดดลงน้ำตามไปอย่างไม่รีรอ ด้วยคิดว่าจะช่วยให้หนูวรรณขึ้นมาจากน้ำนั่นให้ได้ แต่กลับลืมไปว่าตัวเองก็ยังว่ายน้ำไม่เป็นเหมือนกัน
เด็กน้อยทั้งคู่กำลังดำผุดดำว่ายอยู่ในบึงน้ำพร้อมตะโกนร้องขอความช่วยเหลือ โชคดีที่นายทองคนสวนเห็นเหตุการณ์ตั้งแต่ต้นวิ่งเข้ามาช่วยเหลือได้ทัน
เหตุการณ์นี้สร้างความแตกตื่นตกใจให้กับทั้งสุนทรี สิทธิกรและวรดาเป็นอย่างมาก ส่วนเด็กทั้งสองเมื่อขึ้นมาได้แล้วก็ตกใจกลัว พากันนั่งร้องไห้งอแง วรดารีบเข้าไปโอบโอ๋ลูกสาวเป็นการใหญ่ พร้อมกับต่อว่าทอฝันตามความนึกคิดของตัวเอง
“นังสารเลว! แกนี่มันเป็นเด็กอะไรนะ ทำไมถึงได้ร้ายกาจขนาดนี้ รู้จักเจ้าคิดเจ้าแค้น ผลักลูกฉันตกน้ำ นี่คงเพราะบาปกรรม ถึงทำให้แกตกลงไปด้วยสินะ!”
“อะไรกันแม่วรดา คิดได้เป็นตุเป็นตะ”
“ก็ตั้งแต่เกิดมา หนูวรรณเคยวิ่งเล่นซุกซนตกลงไปในบึงน้ำนั่นบ้างมั้ยล่ะคะ ถ้าไม่ใช่เพราะนังเด็กนี่แล้วจะเป็นใคร”
“เอ่อ คุณผู้หญิงครับ ที่จริงเด็กคนนี้จะลงไปช่วยคุณหนูวรรณต่างหากล่ะครับ”
“เอ๊ะ?”
“พูดต่อสิทอง”
สุนทรีสั่ง นายทองจึงเล่าความจริงตามที่ตนเห็นพร้อมทั้งกล่าวชื่นชมทอฝันว่าเป็นเด็กกล้าหาญและมีน้ำใจ
“แกพูดจริงๆ เหรอ”
วรดาถามย้ำ
“ครับ ผมขอยืนยัน เด็กคนนี้ไม่ได้ผลักคุณหนูวรรณตกน้ำอย่างแน่นอน”
เมื่อได้รับทราบความจริงจากนายทองแล้ว ความรู้สึกของวรดาที่มีต่อทอฝันก็เริ่มเปลี่ยนไป จะเรียกว่ารู้สึกผิดก็คงจะไม่ต่างนัก หากแต่ความเกลียดชังก็ลดลงเรื่อยๆ อย่างรวดเร็ว
“เห็นมั้ยล่ะแม่วรดา ทอฝันน่ะ เกือบจะจมน้ำตายเพราะช่วยเหลือลูกของเธอนะ”
“ทอฝัน...”
แขนข้างซ้ายของหล่อนกำลังโอบกอดลูกสาวของตัวเอง ขณะที่มือข้างขวาก็ค่อยๆ เอื้อมไปลูบหัวของเด็กน้อยด้วยความซาบซึ้ง
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ