ทอฝันสุดสายรุ้ง
10.0
11) บทที่ ๑๑ ความฝัน... ของทอฝัน
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความบทที่ ๑๑
ความฝัน... ของทอฝัน
หนึ่งเดือนต่อมา...
“เรียบร้อยแล้วนะครับ?”
“ค่ะ... คุณย่า คุณพ่อ คุณแม่ หนูไปก่อนนะคะ”
“พ่อภาวิต เพราะน้ามั่นใจในตัวเธอหรอกนะถึงได้ยอมปล่อยทอฝันไปด้วยง่ายๆ ยังไงก็ฝากดูแลลูกสาวน้าด้วยนะ”
วรดาร้องบอกอย่างเป็นห่วง
“ผมสัญญาครับคุณน้า ว่าผมจะพาทอฝันกลับมาส่งก่อนมืดแน่นอน”
“จ้ะ ถ้าอย่างนั้นก็เดินทางปลอดภัยนะ”
เมื่อล่ำลากันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ภาวิตก็พาทอฝันขึ้นรถและขับออกจากบ้านไป
เขาตั้งใจจะพาเธอไปพบพ่อกับแม่และผู้บริหารทั้งหมดในบริษัท หลังขนมเค้กของเธอเป็นที่กล่าวขานทำยอดถล่มทลายจนทำส่งแทบไม่ทัน ลูกค้าหลายคนชื่นชอบและแวะเวียนมาจนกลายเป็นลูกค้าประจำ ทว่าตู้ขนมเค้กของทอฝัน ดูจะขายดีกว่ากาแฟของภาวิตเสียอีก จนทำให้ผู้ใหญ่เชื่อมั่นอยากจะเห็นหน้าค่าตาของหญิงสาวฝีมือดีเพื่อพูดคุยและตกลงเซ็นสัญญาธุรกิจให้เป็นกิจจะลักษณะเสียที ซึ่งเมื่อทอฝันได้รับทราบจากภาวิตก็รู้สึกดีใจและปลาบปลื้มเป็นอย่างมาก
“คุณพ่อคุณแม่ครับ นี่ทอฝันครับ”
“สวัสดีค่ะ”
ทอฝันในชุดกระโปรงเดรสสีชมพูอ่อนร่วมสมัย ผมเพ้ารวบขึ้นง่ายๆ แต่ดูเรียบร้อย ค่อยๆ ยกมือขึ้นประนมทักทายชายหญิงสูงวัยคู่หนึ่งที่นั่งอยู่ในห้องทำงานติดแอร์เย็นฉ่ำด้วยท่าทางอ่อนน้อม
“แม่หนูคนนี้น่ะหรือ? โอ ตายจริง ฉันไม่อยากจะเชื่อ”
สุภาร้องออกมาด้วยความประหลาดใจ เพราะหล่อนคิดว่าลูกชายจะพาผู้หญิงคราวพี่คราวน้ามาแนะนำเสียอีก
“นี่ล่ะครับทอฝัน เจ้าของขนมเค้กรสเลิศที่สร้างชื่อเสียงให้กับร้านกาแฟของเรา”
“หน้าตาน่ารักจริงเชียว”
ทอฝันยิ้มบางๆ ก้มหน้าลงน้อยๆ ด้วยความขวยเขิน
“นั่งลงก่อนสิ”
ภาวิตพาทอฝันนั่งลงบนโซฟาตรงหน้าพ่อกับแม่ของเขา ทอฝันรู้สึกประหม่าเล็กน้อย แม่ของเขาเป็นผู้หญิงตัวเล็กแต่มีสัดส่วนความเป็นหญิงชัดเจน หากมองย้อนกลับไปในอดีตแล้วก็คงจะเป็นผู้หญิงที่น่ารักน่าเอ็นดูคนหนึ่งเลยทีเดียว ส่วนวิสุทธิพ่อของเขานั้นยังคงนั่งนิ่งไม่มีการพูดจาทักทายใดๆ นอกจากจะสนใจกับหนังสือพิมพ์ในมือของตัวเอง
“อายุเท่าไหร่กันล่ะจ๊ะ?”
“สิบเก้าค่ะ”
“สิบเก้าเท่านั้นเอง ขนมเค้กของหนูน่ะ อร่อยมากเลยรู้มั้ย”
“ขอบคุณค่ะ”
“ฝีมือแบบนี้ คงบินไปร่ำเรียนถึงฝรั่งเศสโน่นเลยสินะ”
“เอ่อ... ไม่ใช่หรอกค่ะ หนูคงไม่มีปัญญาไปไกลถึงขนาดนั้นหรอกค่ะ”
“เอ๊ะ?”
“หนู... เรียนรู้วิธีทำจากคุณแม่น่ะค่ะ ถ้าบอกว่าหนูทำเค้กอร่อย ก็คงต้องยกคำชมตรงส่วนนี้กลับไปให้คุณแม่ค่ะ เพราะท่านถ่ายทอดทุกอย่างที่ร่ำเรียนมาให้กับหนูโดยไม่หวงวิชาเลยแม้แต่น้อย หนูก็ทำได้แค่เพียงปฏิบัติตามทุกขั้นตอนอย่างเคร่งครัดก็เท่านั้นเองค่ะ”
“อย่างนั้นเหรอ? แต่ถึงยังไงหนูก็เป็นผู้เรียนรู้ที่ดีนะจ๊ะ ฉันเชื่อว่าอีกหน่อย มันก็จะพัฒนากลายเป็นรสชาติเฉพาะของหนูเองที่ไม่มีใครสามารถเลียนแบบได้ง่ายๆ แต่ก่อนที่เราจะตกลงเซ็นสัญญาอะไรกันนั้น ฉันอยากให้หนูไปพิสูจน์ความจริงที่ร้านของภาวิตเขาหน่อย ว่าเค้กของหนูน่ะ ขายดีจริงๆ จะได้ใช้เป็นตัวชี้วัดในการตัดสินใจว่าหนูน่ะอยากจะให้ขนมของหนูมาตีตราเป็นแบรนด์เล็กๆ ของเรารึเปล่า”
“โอ อย่าได้พูดอย่างนั้นเลยค่ะ เป็นเกียรติและโอกาสครั้งสำคัญของหนูแล้วล่ะค่ะท่าน”
“ท่านเทิ่นอะไรกัน ห่างเหินจริงเชียว เรียกฉันว่าแม่ก็ได้ ไม่ถือหรอก”
สุภาแนะนำทอฝันด้วยใบหน้าที่ยากเกินจะคาดเดา หากแต่หญิงสาวก็ต้องยอมเปลี่ยนสรรพนามในการเรียกด้วยความลำบากใจ เพราะรู้ตัวเองดีกว่าอยู่ในฐานะและชนชั้นอะไร
ที่ร้านคอฟฟี่ชอปของภาวิต มีลูกค้าและสื่อมวลชนมากมายมารอทำข่าวเปิดตัวเจ้าของขนมเค้กรสเลิศ ซึ่งทอฝันก็ได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก มีการตั้งโต๊ะให้สัมภาษณ์และถ่ายรูปประดุจดารานักแสดงชื่อดัง
“เป็นยังไงบ้าง เหนื่อยรึเปล่า?”
ทอฝันยิ้มตอบพร้อมส่ายหน้า ก่อนจะรับน้ำหวานที่ภาวิตยื่นให้มาจิบน้อยๆ ซึ่งขณะนั้นก็มีชายแปลกหน้าคนหนึ่งตรงเข้ามาแทรกกลางระหว่างเขาสองคน
“เอ่อ คุณทอฝันครับ ผมขอคุยกับคุณเป็นการส่วนตัวสักครู่ได้มั้ยครับ”
“คะ?”
ทอฝันส่งสายตาไปขอความเห็นกับภาวิต เมื่อชายหนุ่มพยักหน้า เธอจึงเดินออกไปที่หน้าร้านกับชายแปลกหน้าคนนั้น
“ผมชื่อวินัยครับ”
“ค่ะ ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ คุณเป็นนักข่าวหรือคะ?”
“ที่จริงก็ไม่ใช่หรอกครับ แต่ผมเคยกินเค้กของคุณแล้วเกิดติดใจ...”
ชายหัวล้านว่าพร้อมกับขยับแว่นตาสีชา
“คืออย่างนี้นะครับคุณทอฝัน เข้าเรื่องเลยก็แล้วกัน... ฝีมือการทำเค้กของคุณน่ะอร่อยมาก ผมก็เลย... อยากจะได้ขนมเค้กของคุณมาติดแบรนด์เป็นชื่อของผมบ้าง ตอนนี้คุณคงยังไม่ได้เซ็นสัญญากับที่นี่ใช่มั้ยครับ ถ้ายังไงก็ลองฟังผมแล้วช่วยตัดสินใจอีกทีเถอะนะครับ ผมน่ะ ตั้งใจจะเปิดร้านกาแฟให้ใหญ่กว่าที่นี่ และมีทุกสิ่งทุกอย่างที่ร้านนี้ยังไม่มี...”
“เอ่อ... ยังไงซะ ก่อนอื่นฉันก็ขอขอบคุณล่วงหน้านะคะ สำหรับคำชมและความประทับใจที่คุณมีต่อขนมของฉัน แต่ว่าฉันขอพูดตรงนี้เลยนะคะ ร้านนี้เล็งเห็นความสามารถของฉันก่อนใคร และให้โอกาสฉันก่อนใคร พวกเขามีบุญคุณต่อฉันมากค่ะ อีกอย่าง คุณมาในฐานะคู่แข่ง ซึ่งฉันไม่มีวันยอมรับแน่”
“นั่นเพราะคุณยังฟังผมไม่จบน่ะสิคุณทอฝัน”
“...?”
“ที่นี่ให้คุณเท่าไหร่ ผมจะให้คุณอีกสองเท่า”
เมื่อได้ฟังดังนั้นทอฝันก็เผยยิ้มออกมาทันที
“ถ้าอย่างนั้นคุณคงต้องให้ฉันหลายล้านร้อยบาทเลยนะคะ”
“อะ อะไรนะครับ?”
“เอาเป็นว่าเก็บเงินของคุณไว้เถอะค่ะ ฉันต้องขอโทษจริงๆ จะให้ฉันเพิ่มอีก ร้อยเท่า พันเท่า ฉันก็ไม่เปลี่ยนใจ ขอบพระคุณสำหรับความหวังดีนะคะ”
พูดจบแล้ว ทอฝันก็ยกมือประนมขึ้นไหว้อย่างน้อมนอบ เพราะถึงอย่างไรเขาก็อาวุโสมากกว่าเธอนัก แม้จุดประสงค์ของเขาจะไม่ค่อยดี แต่อย่างน้อยเขาก็เป็นอีกคนที่เชื่อมั่นในฝีมือของเธอ
ซึ่งในขณะที่ทอฝันกำลังสนทนากับวินัยอยู่นั้น เธอก็ไม่ได้รู้ตัวเลยว่า มีใครเข้ามาได้ยินโดยบังเอิญ และพึงพอใจกับคำตอบนั้นอย่างที่สุด
สุภาและวิสุทธิยิ้มออกมาอย่างนึกเอ็นดูในความคิดของหญิงสาวที่ลูกชายพามา เธอช่างเป็นผู้หญิงที่งดงามและซื่อสัตย์เสียจริง
“แกเป็นผู้หญิงที่น่าสนใจและน่ารักนะคุณว่ามั้ย?”
“ค่ะ ฉันก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน”
ทอฝันเดินกลับเข้ามาในร้านเพื่อมองหาภาวิต เธอต้องการจะพูดคุยกับเขาเรื่องสัญญาธุรกิจที่จะเกิดขึ้น หากเพราะในใจของเธอนั้นได้ตัดสินใจทุกอย่างเอาไว้แล้ว แต่เมื่อเข้าไปถึงก็พบว่าภาวิตกำลังสนทนากับกลุ่มเพื่อนๆ อยู่ ซึ่งในนั้นมีหนูวรรณในชุดนักศึกษาที่เพิ่งเลิกเรียนอยู่ด้วย
“ทอฝัน!”
หนูวรรณตะโกนเรียก พร้อมปรี่เข้ามาจับไม้จับมือ
“ยินดีด้วยนะ”
“ขอบใจจ้ะ แต่จะยินดีกับเราคนเดียวได้ทีไหน นี่คือความสำเร็จของทุกคนในบ้านนะ”
หนูวรรณยิ้ม แล้วบอกว่า...
“ขอบคุณนะ พี่สาว”
“ด้วยความยินดีจ้ะน้องรัก”
ขณะนั้นที่ทอฝันเหลือบไปเห็นสายตาคู่หนึ่งกำลังจับจ้องเธออยู่ เป็นลูกพีชนั่นเอง หล่อนยืนควงแขนภาวิตราวกับเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ ก่อนจะแสยะยิ้มที่มุมปากเป็นการทักทาย ใช่ หล่อนทักทายทอฝันด้วยวิธีนี้
“อ้าว ทอฝัน เป็นยังไง เรียบร้อยดีมั้ย?”
ภาวิตหันกลับมาเห็นเข้าจึงร้องทัก พร้อมทั้งแกะมือของลูกพีชออก หล่อนทำท่าฮึดฮัดตึงตังด้วยความขัดใจ
“ค่ะ ทุกอย่างเรียบร้อยดีค่ะ”
“แล้วตัดสินใจได้รึยังล่ะ?”
“ค่ะ ฉันคิดว่าฉันมั่นใจแล้ว”
“ดีจริงๆ รับรองว่าผมจะไม่เอาเปรียบคุณอย่างแน่นอน”
การพูดกันระหว่างภาวิตและทอฝัน ทำให้ลูกพีชไม่พอใจเป็นอย่างมาก เพราะตอนนี้หล่อนควรจะเป็นผู้หญิงเพียงคนเดียวที่จะได้รับการปรนนิบัติที่ดีจากเขา นั่นเพราะศักดิ์ศรีความเป็นคู่หมั้นของหล่อนย่อมไม่ยอมให้ว่าที่เจ้าบ่าวในอนาคตปันใจให้หญิงอื่นง่ายๆ แน่ ดูจากสายตาของภาวิตที่ได้พบเจอทอฝันในครั้งนั้นแล้ว ย่อมเดาได้ไม่ยากว่าเขารู้สึกกับเธออย่างไร ถึงแม้จะบอกว่าผู้ชายคนนี้ไม่เคยรักหล่อนเลยก็เถอะ แต่ยังไงซะ หล่อนก็จะไม่ยอมเสียเขาไปเด็ดขาด
“ทำไมคุณจะต้องร่วมทำธุรกิจกับแม่นี่ด้วยคะภาวิต”
หล่อนโพล่งออกมาในที่สุด ด้วยนิสัยที่ไม่สามารถเก็บความรู้สึกได้นาน
“ก็ผมต้องการให้ความสามารถของทอฝันเป็นรู้จักนี่”
“ลูกพีชว่า ปาติสซิเยร์เก่งๆ ในเมืองไทยก็ยังมีอีกมากมาย หนำซ้ำพวกเขายังจบจากเมืองนอก หลักสูตรที่ได้รับการการันตีจากต้นตำรับของยุโรปแท้ๆ มันไม่น่าเชื่อถือกว่าหรือคะ นี่อะไรกัน ครูพักลักจำ ฟลุกที่มันอร่อยล่ะสิ ที่จริงรสชาติก็งั้นๆ นั่นแหละ”
ทุกคนที่ได้ยินพากันอึ้งกับคำพูดของลูกพีชสาวสวยไฮโซ
“น่าขายหน้าออกนะคะ ถ้ารู้ว่าปาติสซิเยร์ที่ร้านนี้เป็นเพียงเด็กคนหนึ่งที่ถูกเก็บมาจากข้างถนน อย่างนี้ลูกค้าคงหมดศรัทธาและความเชื่อมั่นไปเยอะ”
“ป้าว่า... หนูกินเค้กไม่เป็นรึเปล่า?”
“คะ คุณแม่...”
หล่อนหน้าเสียไปทันทีที่เห็นผู้มาใหม่แทรกเข้ามา
“พวกเรากินขนมเค้กนะจ๊ะ ไม่ได้กินวุฒิการศึกษา... ขนมเค้กของหนูทอฝันน่ะ แม้ไม่ได้จบจากนอกมา แต่ข้อดีคือ มีรสชาติและเนื้อสัมผัสเฉพาะที่ไม่เหมือนใคร ทำไมจะต้องเอาของฝรั่งมาเป๊ะๆ ทุกกระเบียดด้วยเล่า ไม่จำเป็นเลย อย่าลืมนะ ว่าเราคือคนไทย...”
“...!”
“ป้าน่ะ ชอบแต่คนที่คิดดี พูดดี ทำดี และมองเห็นคุณค่าของเพื่อนมนุษย์ เราไม่เคยมองคนที่ฐานะหรือชาติตระกูล เพราะสิ่งเหล่านั้นมันกลวงและหลอกลวงเหลือเกิน... ผลงานและจิตใจที่ดี... นั่นล่ะคือสิ่งที่ป้าชื่นชม”
“คุณแม่คะ...”
“เดี๋ยวป้าจะเข้าไปพบคุณแม่ของหนูลูกพีชอีกครั้งนะคะ เพื่อเจรจายกเลิกสัญญาอะไรบางอย่าง...”
ได้ยินย่างนี้แล้ว ลูกพีชก็พูดอะไรไม่ออก ได้แต่ยืนอ้าแกค้าง
“หนูทอฝันจ๊ะ”
“คะ?”
“เสร็จจากตรงนี้แล้ว ช่วยแวะไปที่บ้านแม่ต่อจะได้มั้ย หวังว่าหนูคงจะไม่เหนื่อยเกินไปใช่มั้ย”
“เอ่อ ค่ะ...”
“ไม่ต้องห่วง แม่จะโทรศัพท์ไปบอกที่บ้านหนูเอง”
ทอฝันรู้สึกสับสนขึ้นมาอย่างที่สุด นี่มันอะไรกัน ท่ามกลางความวุ่นวายนั้น กลับทำให้หัวใจของเธอพองโตขึ้นมาได้อย่างน่าประหลาด
รอยยิ้มของภาวิตและความอบอุ่นจากสุภาที่มอบให้ช่างเหมือนกับความฝันเสียจริง...
ความฝัน... ของทอฝัน
หนึ่งเดือนต่อมา...
“เรียบร้อยแล้วนะครับ?”
“ค่ะ... คุณย่า คุณพ่อ คุณแม่ หนูไปก่อนนะคะ”
“พ่อภาวิต เพราะน้ามั่นใจในตัวเธอหรอกนะถึงได้ยอมปล่อยทอฝันไปด้วยง่ายๆ ยังไงก็ฝากดูแลลูกสาวน้าด้วยนะ”
วรดาร้องบอกอย่างเป็นห่วง
“ผมสัญญาครับคุณน้า ว่าผมจะพาทอฝันกลับมาส่งก่อนมืดแน่นอน”
“จ้ะ ถ้าอย่างนั้นก็เดินทางปลอดภัยนะ”
เมื่อล่ำลากันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ภาวิตก็พาทอฝันขึ้นรถและขับออกจากบ้านไป
เขาตั้งใจจะพาเธอไปพบพ่อกับแม่และผู้บริหารทั้งหมดในบริษัท หลังขนมเค้กของเธอเป็นที่กล่าวขานทำยอดถล่มทลายจนทำส่งแทบไม่ทัน ลูกค้าหลายคนชื่นชอบและแวะเวียนมาจนกลายเป็นลูกค้าประจำ ทว่าตู้ขนมเค้กของทอฝัน ดูจะขายดีกว่ากาแฟของภาวิตเสียอีก จนทำให้ผู้ใหญ่เชื่อมั่นอยากจะเห็นหน้าค่าตาของหญิงสาวฝีมือดีเพื่อพูดคุยและตกลงเซ็นสัญญาธุรกิจให้เป็นกิจจะลักษณะเสียที ซึ่งเมื่อทอฝันได้รับทราบจากภาวิตก็รู้สึกดีใจและปลาบปลื้มเป็นอย่างมาก
“คุณพ่อคุณแม่ครับ นี่ทอฝันครับ”
“สวัสดีค่ะ”
ทอฝันในชุดกระโปรงเดรสสีชมพูอ่อนร่วมสมัย ผมเพ้ารวบขึ้นง่ายๆ แต่ดูเรียบร้อย ค่อยๆ ยกมือขึ้นประนมทักทายชายหญิงสูงวัยคู่หนึ่งที่นั่งอยู่ในห้องทำงานติดแอร์เย็นฉ่ำด้วยท่าทางอ่อนน้อม
“แม่หนูคนนี้น่ะหรือ? โอ ตายจริง ฉันไม่อยากจะเชื่อ”
สุภาร้องออกมาด้วยความประหลาดใจ เพราะหล่อนคิดว่าลูกชายจะพาผู้หญิงคราวพี่คราวน้ามาแนะนำเสียอีก
“นี่ล่ะครับทอฝัน เจ้าของขนมเค้กรสเลิศที่สร้างชื่อเสียงให้กับร้านกาแฟของเรา”
“หน้าตาน่ารักจริงเชียว”
ทอฝันยิ้มบางๆ ก้มหน้าลงน้อยๆ ด้วยความขวยเขิน
“นั่งลงก่อนสิ”
ภาวิตพาทอฝันนั่งลงบนโซฟาตรงหน้าพ่อกับแม่ของเขา ทอฝันรู้สึกประหม่าเล็กน้อย แม่ของเขาเป็นผู้หญิงตัวเล็กแต่มีสัดส่วนความเป็นหญิงชัดเจน หากมองย้อนกลับไปในอดีตแล้วก็คงจะเป็นผู้หญิงที่น่ารักน่าเอ็นดูคนหนึ่งเลยทีเดียว ส่วนวิสุทธิพ่อของเขานั้นยังคงนั่งนิ่งไม่มีการพูดจาทักทายใดๆ นอกจากจะสนใจกับหนังสือพิมพ์ในมือของตัวเอง
“อายุเท่าไหร่กันล่ะจ๊ะ?”
“สิบเก้าค่ะ”
“สิบเก้าเท่านั้นเอง ขนมเค้กของหนูน่ะ อร่อยมากเลยรู้มั้ย”
“ขอบคุณค่ะ”
“ฝีมือแบบนี้ คงบินไปร่ำเรียนถึงฝรั่งเศสโน่นเลยสินะ”
“เอ่อ... ไม่ใช่หรอกค่ะ หนูคงไม่มีปัญญาไปไกลถึงขนาดนั้นหรอกค่ะ”
“เอ๊ะ?”
“หนู... เรียนรู้วิธีทำจากคุณแม่น่ะค่ะ ถ้าบอกว่าหนูทำเค้กอร่อย ก็คงต้องยกคำชมตรงส่วนนี้กลับไปให้คุณแม่ค่ะ เพราะท่านถ่ายทอดทุกอย่างที่ร่ำเรียนมาให้กับหนูโดยไม่หวงวิชาเลยแม้แต่น้อย หนูก็ทำได้แค่เพียงปฏิบัติตามทุกขั้นตอนอย่างเคร่งครัดก็เท่านั้นเองค่ะ”
“อย่างนั้นเหรอ? แต่ถึงยังไงหนูก็เป็นผู้เรียนรู้ที่ดีนะจ๊ะ ฉันเชื่อว่าอีกหน่อย มันก็จะพัฒนากลายเป็นรสชาติเฉพาะของหนูเองที่ไม่มีใครสามารถเลียนแบบได้ง่ายๆ แต่ก่อนที่เราจะตกลงเซ็นสัญญาอะไรกันนั้น ฉันอยากให้หนูไปพิสูจน์ความจริงที่ร้านของภาวิตเขาหน่อย ว่าเค้กของหนูน่ะ ขายดีจริงๆ จะได้ใช้เป็นตัวชี้วัดในการตัดสินใจว่าหนูน่ะอยากจะให้ขนมของหนูมาตีตราเป็นแบรนด์เล็กๆ ของเรารึเปล่า”
“โอ อย่าได้พูดอย่างนั้นเลยค่ะ เป็นเกียรติและโอกาสครั้งสำคัญของหนูแล้วล่ะค่ะท่าน”
“ท่านเทิ่นอะไรกัน ห่างเหินจริงเชียว เรียกฉันว่าแม่ก็ได้ ไม่ถือหรอก”
สุภาแนะนำทอฝันด้วยใบหน้าที่ยากเกินจะคาดเดา หากแต่หญิงสาวก็ต้องยอมเปลี่ยนสรรพนามในการเรียกด้วยความลำบากใจ เพราะรู้ตัวเองดีกว่าอยู่ในฐานะและชนชั้นอะไร
ที่ร้านคอฟฟี่ชอปของภาวิต มีลูกค้าและสื่อมวลชนมากมายมารอทำข่าวเปิดตัวเจ้าของขนมเค้กรสเลิศ ซึ่งทอฝันก็ได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก มีการตั้งโต๊ะให้สัมภาษณ์และถ่ายรูปประดุจดารานักแสดงชื่อดัง
“เป็นยังไงบ้าง เหนื่อยรึเปล่า?”
ทอฝันยิ้มตอบพร้อมส่ายหน้า ก่อนจะรับน้ำหวานที่ภาวิตยื่นให้มาจิบน้อยๆ ซึ่งขณะนั้นก็มีชายแปลกหน้าคนหนึ่งตรงเข้ามาแทรกกลางระหว่างเขาสองคน
“เอ่อ คุณทอฝันครับ ผมขอคุยกับคุณเป็นการส่วนตัวสักครู่ได้มั้ยครับ”
“คะ?”
ทอฝันส่งสายตาไปขอความเห็นกับภาวิต เมื่อชายหนุ่มพยักหน้า เธอจึงเดินออกไปที่หน้าร้านกับชายแปลกหน้าคนนั้น
“ผมชื่อวินัยครับ”
“ค่ะ ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ คุณเป็นนักข่าวหรือคะ?”
“ที่จริงก็ไม่ใช่หรอกครับ แต่ผมเคยกินเค้กของคุณแล้วเกิดติดใจ...”
ชายหัวล้านว่าพร้อมกับขยับแว่นตาสีชา
“คืออย่างนี้นะครับคุณทอฝัน เข้าเรื่องเลยก็แล้วกัน... ฝีมือการทำเค้กของคุณน่ะอร่อยมาก ผมก็เลย... อยากจะได้ขนมเค้กของคุณมาติดแบรนด์เป็นชื่อของผมบ้าง ตอนนี้คุณคงยังไม่ได้เซ็นสัญญากับที่นี่ใช่มั้ยครับ ถ้ายังไงก็ลองฟังผมแล้วช่วยตัดสินใจอีกทีเถอะนะครับ ผมน่ะ ตั้งใจจะเปิดร้านกาแฟให้ใหญ่กว่าที่นี่ และมีทุกสิ่งทุกอย่างที่ร้านนี้ยังไม่มี...”
“เอ่อ... ยังไงซะ ก่อนอื่นฉันก็ขอขอบคุณล่วงหน้านะคะ สำหรับคำชมและความประทับใจที่คุณมีต่อขนมของฉัน แต่ว่าฉันขอพูดตรงนี้เลยนะคะ ร้านนี้เล็งเห็นความสามารถของฉันก่อนใคร และให้โอกาสฉันก่อนใคร พวกเขามีบุญคุณต่อฉันมากค่ะ อีกอย่าง คุณมาในฐานะคู่แข่ง ซึ่งฉันไม่มีวันยอมรับแน่”
“นั่นเพราะคุณยังฟังผมไม่จบน่ะสิคุณทอฝัน”
“...?”
“ที่นี่ให้คุณเท่าไหร่ ผมจะให้คุณอีกสองเท่า”
เมื่อได้ฟังดังนั้นทอฝันก็เผยยิ้มออกมาทันที
“ถ้าอย่างนั้นคุณคงต้องให้ฉันหลายล้านร้อยบาทเลยนะคะ”
“อะ อะไรนะครับ?”
“เอาเป็นว่าเก็บเงินของคุณไว้เถอะค่ะ ฉันต้องขอโทษจริงๆ จะให้ฉันเพิ่มอีก ร้อยเท่า พันเท่า ฉันก็ไม่เปลี่ยนใจ ขอบพระคุณสำหรับความหวังดีนะคะ”
พูดจบแล้ว ทอฝันก็ยกมือประนมขึ้นไหว้อย่างน้อมนอบ เพราะถึงอย่างไรเขาก็อาวุโสมากกว่าเธอนัก แม้จุดประสงค์ของเขาจะไม่ค่อยดี แต่อย่างน้อยเขาก็เป็นอีกคนที่เชื่อมั่นในฝีมือของเธอ
ซึ่งในขณะที่ทอฝันกำลังสนทนากับวินัยอยู่นั้น เธอก็ไม่ได้รู้ตัวเลยว่า มีใครเข้ามาได้ยินโดยบังเอิญ และพึงพอใจกับคำตอบนั้นอย่างที่สุด
สุภาและวิสุทธิยิ้มออกมาอย่างนึกเอ็นดูในความคิดของหญิงสาวที่ลูกชายพามา เธอช่างเป็นผู้หญิงที่งดงามและซื่อสัตย์เสียจริง
“แกเป็นผู้หญิงที่น่าสนใจและน่ารักนะคุณว่ามั้ย?”
“ค่ะ ฉันก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน”
ทอฝันเดินกลับเข้ามาในร้านเพื่อมองหาภาวิต เธอต้องการจะพูดคุยกับเขาเรื่องสัญญาธุรกิจที่จะเกิดขึ้น หากเพราะในใจของเธอนั้นได้ตัดสินใจทุกอย่างเอาไว้แล้ว แต่เมื่อเข้าไปถึงก็พบว่าภาวิตกำลังสนทนากับกลุ่มเพื่อนๆ อยู่ ซึ่งในนั้นมีหนูวรรณในชุดนักศึกษาที่เพิ่งเลิกเรียนอยู่ด้วย
“ทอฝัน!”
หนูวรรณตะโกนเรียก พร้อมปรี่เข้ามาจับไม้จับมือ
“ยินดีด้วยนะ”
“ขอบใจจ้ะ แต่จะยินดีกับเราคนเดียวได้ทีไหน นี่คือความสำเร็จของทุกคนในบ้านนะ”
หนูวรรณยิ้ม แล้วบอกว่า...
“ขอบคุณนะ พี่สาว”
“ด้วยความยินดีจ้ะน้องรัก”
ขณะนั้นที่ทอฝันเหลือบไปเห็นสายตาคู่หนึ่งกำลังจับจ้องเธออยู่ เป็นลูกพีชนั่นเอง หล่อนยืนควงแขนภาวิตราวกับเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ ก่อนจะแสยะยิ้มที่มุมปากเป็นการทักทาย ใช่ หล่อนทักทายทอฝันด้วยวิธีนี้
“อ้าว ทอฝัน เป็นยังไง เรียบร้อยดีมั้ย?”
ภาวิตหันกลับมาเห็นเข้าจึงร้องทัก พร้อมทั้งแกะมือของลูกพีชออก หล่อนทำท่าฮึดฮัดตึงตังด้วยความขัดใจ
“ค่ะ ทุกอย่างเรียบร้อยดีค่ะ”
“แล้วตัดสินใจได้รึยังล่ะ?”
“ค่ะ ฉันคิดว่าฉันมั่นใจแล้ว”
“ดีจริงๆ รับรองว่าผมจะไม่เอาเปรียบคุณอย่างแน่นอน”
การพูดกันระหว่างภาวิตและทอฝัน ทำให้ลูกพีชไม่พอใจเป็นอย่างมาก เพราะตอนนี้หล่อนควรจะเป็นผู้หญิงเพียงคนเดียวที่จะได้รับการปรนนิบัติที่ดีจากเขา นั่นเพราะศักดิ์ศรีความเป็นคู่หมั้นของหล่อนย่อมไม่ยอมให้ว่าที่เจ้าบ่าวในอนาคตปันใจให้หญิงอื่นง่ายๆ แน่ ดูจากสายตาของภาวิตที่ได้พบเจอทอฝันในครั้งนั้นแล้ว ย่อมเดาได้ไม่ยากว่าเขารู้สึกกับเธออย่างไร ถึงแม้จะบอกว่าผู้ชายคนนี้ไม่เคยรักหล่อนเลยก็เถอะ แต่ยังไงซะ หล่อนก็จะไม่ยอมเสียเขาไปเด็ดขาด
“ทำไมคุณจะต้องร่วมทำธุรกิจกับแม่นี่ด้วยคะภาวิต”
หล่อนโพล่งออกมาในที่สุด ด้วยนิสัยที่ไม่สามารถเก็บความรู้สึกได้นาน
“ก็ผมต้องการให้ความสามารถของทอฝันเป็นรู้จักนี่”
“ลูกพีชว่า ปาติสซิเยร์เก่งๆ ในเมืองไทยก็ยังมีอีกมากมาย หนำซ้ำพวกเขายังจบจากเมืองนอก หลักสูตรที่ได้รับการการันตีจากต้นตำรับของยุโรปแท้ๆ มันไม่น่าเชื่อถือกว่าหรือคะ นี่อะไรกัน ครูพักลักจำ ฟลุกที่มันอร่อยล่ะสิ ที่จริงรสชาติก็งั้นๆ นั่นแหละ”
ทุกคนที่ได้ยินพากันอึ้งกับคำพูดของลูกพีชสาวสวยไฮโซ
“น่าขายหน้าออกนะคะ ถ้ารู้ว่าปาติสซิเยร์ที่ร้านนี้เป็นเพียงเด็กคนหนึ่งที่ถูกเก็บมาจากข้างถนน อย่างนี้ลูกค้าคงหมดศรัทธาและความเชื่อมั่นไปเยอะ”
“ป้าว่า... หนูกินเค้กไม่เป็นรึเปล่า?”
“คะ คุณแม่...”
หล่อนหน้าเสียไปทันทีที่เห็นผู้มาใหม่แทรกเข้ามา
“พวกเรากินขนมเค้กนะจ๊ะ ไม่ได้กินวุฒิการศึกษา... ขนมเค้กของหนูทอฝันน่ะ แม้ไม่ได้จบจากนอกมา แต่ข้อดีคือ มีรสชาติและเนื้อสัมผัสเฉพาะที่ไม่เหมือนใคร ทำไมจะต้องเอาของฝรั่งมาเป๊ะๆ ทุกกระเบียดด้วยเล่า ไม่จำเป็นเลย อย่าลืมนะ ว่าเราคือคนไทย...”
“...!”
“ป้าน่ะ ชอบแต่คนที่คิดดี พูดดี ทำดี และมองเห็นคุณค่าของเพื่อนมนุษย์ เราไม่เคยมองคนที่ฐานะหรือชาติตระกูล เพราะสิ่งเหล่านั้นมันกลวงและหลอกลวงเหลือเกิน... ผลงานและจิตใจที่ดี... นั่นล่ะคือสิ่งที่ป้าชื่นชม”
“คุณแม่คะ...”
“เดี๋ยวป้าจะเข้าไปพบคุณแม่ของหนูลูกพีชอีกครั้งนะคะ เพื่อเจรจายกเลิกสัญญาอะไรบางอย่าง...”
ได้ยินย่างนี้แล้ว ลูกพีชก็พูดอะไรไม่ออก ได้แต่ยืนอ้าแกค้าง
“หนูทอฝันจ๊ะ”
“คะ?”
“เสร็จจากตรงนี้แล้ว ช่วยแวะไปที่บ้านแม่ต่อจะได้มั้ย หวังว่าหนูคงจะไม่เหนื่อยเกินไปใช่มั้ย”
“เอ่อ ค่ะ...”
“ไม่ต้องห่วง แม่จะโทรศัพท์ไปบอกที่บ้านหนูเอง”
ทอฝันรู้สึกสับสนขึ้นมาอย่างที่สุด นี่มันอะไรกัน ท่ามกลางความวุ่นวายนั้น กลับทำให้หัวใจของเธอพองโตขึ้นมาได้อย่างน่าประหลาด
รอยยิ้มของภาวิตและความอบอุ่นจากสุภาที่มอบให้ช่างเหมือนกับความฝันเสียจริง...
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ