Dream or Truth
8.7
1) จินตนาการ
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ คนส่วนมากฝันอยากจะมีเรื่องราวรักดังเทพนิยาย พบรักอันหวานซึ้งกินใจเกินคำบรรยายลงบนหน้ากระดาษ แต่ในความเป็นจริงแล้ว ทุกอย่างที่เราสัมผัสได้ตรงข้ามกัน เรื่องราวรักดังเทพนิยายไม่เคยมีจริงสำหรับผม ไม่เคยเกิดขึ้นไม่เคยสัมผัส ไม่เคยรับรู้ถึงการมีอยู่ของมัน หากจะมีใครซักคนถามผมว่าเรื่องราวความรักที่ผมเคยประสบเป็นเช่นไร ผมคงต้องยิ้มพร้อมกับก้มหน้า และบอกว่าผมไม่เคยมีวันนั้น“จอห์น นายทำอะไรอยู่เพื่อน” เสียงชายคนหนึ่งปลุกผมจากการเขียนเรื่องรักพร่ำเพ้อลงบนหน้ากระดาษ“ไงเจต วันหยุดสบายดีไหม” ผมถามกลับด้วยเสียงราบเรียบ“ไม่เลยจอห์น ขาดน่าหล่ออย่างนายไปสาวๆในเมืองแทบไม่มองฉันด้วยซ้ำ” เจตตอบผมด้วยเสียงเสียดสี ผมก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไรเช่นกัน เขาชอบเรียกผมว่าน่าหล่อ อาจเป็นเพราะดวงตาสีฟ้ากับผิวขาวซีดของผม ที่ช่างรับกับทรงผมยุ่งๆและจมูกอันเข้ารูป ที่ทำให้ผมดูดีในสายตาเขา แต่อย่างน้อยผมก็มั่นใจว่าปากของผมมันเรียวเล็กเกินไปที่จะเรียกว่าเข้ารูปส่วนตัวของเจต ใช่ว่าเขาจะดูดีน้อยซักเท่าไร ผมหยักสกสีดำ กับน่าตาลูกครึ่งอินตาเลี่ยนของเขาคงทำสาวๆแถวนี้หวั่นไหว“นายจะไปดูฉันแข่งบอลวันเสาร์นี้ไหมพวก” เจตถามผมอีกที“ดูก่อนแล้วกันเพื่อนช่วงนี้ฉันไม่ค่อยอยากออกไปไหน อยากนอนสบายๆอยู่บ้านอ่านหนังสือไปพลาง” ผมตอบปัดเขาไปก่อนเดินหนีจากร้านกาแฟมุ่งหน้าสู่หอสมุด“นายไม่เข้าเรียนวันนี้หรอเพื่อน” เจตตะโกนถามผม“ใช่ ฉันไม่เข้า” ผมตอบเขาก่อนเดินหนีอย่างรวดเร็ว ในตัวเมืองช่างเงียบสงบเกินจริง รถน้อยกว่าปกติ คนน้อยกว่าปกติ วันนี้มีอะไรแปลกๆเกินขึ้นไปทั่ว ถนนสีขาวที่ทอดยาวสู่หอสมุดก็ปลอดขยะ ทั้งๆที่ปกติมักจะมีขยะกระจายอยู่ทั่วไปบางทีวันนี้ท่านประธานาธิบดีของประเทศเราอาจจะผ่านมาแถวนี้ก็ได้ สองข้างทางของเมืองเปลี่ยนไปจริงๆ ยิ่งผมเดินไปไกลเท่าไรก็ยิ่งพบว่ามันสะอาดเกินไป สวยเกินไป แทบไม่คราบติดตามบ้านเรือนที่ก่อด้วยอิฐ ไม่มีรถเข็นขายของข้างทางแบบปกติ สิ่งต่างๆเหล่านี้ทำให้เมืองดูน่าอยู่น้อยลงไปเป็นกองCLOSE!ตัวหนังสือสีดำที่ปิดอยู่บนประตูทำให้ผมแทบคลั่ง หอสมุดปิดได้ยังไงกันแล้วจะไปหาที่งีบกลางวันที่ไหนละทีนี้ ผมตัดสินใจเดินวนไปวนมารอบหอสมุดอยู่2-3รอบ จนเจอหน้าต่างบานหนึ่งที่เปิดทิ้งไว้ ผมปีนเข้าไปด้านในอย่างช้าๆเพื่อระวังไม่ให้ใครเห็น ด้านในหอสมุดไม่มีสิ่งใดไหวติ่ง ชั้นหนังสือต่างถูกจัดอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยอย่างที่สุด ผมรีบตรงไปยังชั้นสามของหอสมุด ซึ่งปกติแล้วเป็นชั้นที่เงียบสงบที่สุด ผมเอนตัวลงนอนและหลับตาลงบนโซฟาสีขาวในห้องกลางสำหรับนั่งอ่านหนังสือ เหมือนทุกอย่างเงียบสงบไป ภาพต่างๆค่อยๆมืดลง....ที่นี่ที่ไหน ความคิดแรกที่เข้าสู่หัวผมเมื่อตระนักว่าตัวเองไม่ได้อยู่ในหอสมุด พื้นที่สีขาวอันว่างเปล่าไม่มีที่สิ้นสุดปรากฏต่อสายตาผม พื้นหญ้าสีขวาที่ตัดกับเส้นขอบฟ้าสีเดียวกันทำให้ที่นี่ดูแปลกตา“ใครกันนะ เธอใช่ไหม” เสียงหญิงสาวคนหนึ่งฉุดผมให้หันไป ทันใดนั้นเองเหมือนผมตกอยู่ในภวังค์ ผมสีดำยาว นัยน์ตาสีน้ำตาลแสนดึงดูดและเรือนร่างที่เข้ารูปใต้ผ้าคลุมสีขาว สิ่งที่กล่าวมาทั้งหมดคงยากยิ่งที่ใครจะต้านทานเธอ“คุณเป็นไรกัน” ผมสบตาเธอพร้อมเอ่ยถามเบาๆอย่างล่องลอยเธอยิ้มและตอบผมเพียงเบาๆว่า “เธอก็รู้ว่าฉันคือใคร” เพียงประโยคที่สองที่ได้ฟังน้ำเสียงอันไพเราะของเธอ ทำให้ผมแทบยอมแรกทุกสิ่งในโลกนี้เพื่อให้ได้เคียงข้างเธอ“หากไม่เป็นการรบกวนจนเกินไป ผมขอทราบชื่อคุณได้ไหม” ผมเอ่ยถามเธออีกครั้ง“อีวา ชื่อของฉันคืออีวา” เธอพูดเบาๆพร้อมกับกุมมือผมไว้ “ยังไม่ถึงเวลา ที่เราจะได้อยู่ด้วยกัน” เธอเอ่ยอีกประโยคอย่างเบาๆ ขณะนี้เองที่เหมือนทุกอย่างเปลี่ยนไป ภาพต่างหยุดนิ่งและผมขยับตัวไม่ได้ ทุกสิ่งต่างมืดลงผมลืมตาขึ้นอีกครั้งและพบว่าตัวเองอยู่บนโซฟาในห้องสมุด ผมลุกขึ้นบิดตัวไปมาอย่างเชื่องช้าพร้อมกับมองไปรอบๆ และผมก็ต้องประหลาดใจเมื่อพบว่าชั้นหนังสือกับพื้นห้องสมุดเปลี่ยนไปราวกับจะเป็นสีขาว ผมเดินออกจากห้องโถงผ่านบันไดสู่ชั้นหนึ่ง ปีนออกจากหน้าต่างอย่างระมัดระวังเพื่อไม่ให้คนสังเกตเห็น และแอบขึ้นรถบัสโดยเงียบ รถบัสคันนี้มุ่งน่าสู่บ้านของผม ป้ายรถบัสอยู่ห่างจากบ้านของผม50เมตรเห็นจะได้ ขณะที่เวลาผ่านไปอย่างเรื่อยเปื่อย บนรถบัสช่างสงบราวกับมีเพียงผมและคนขับ สองข้างทางตลอดจากหอสมุดมาถึงบ้านผมเองก็เช่นกัน เงียบสงบกว่าปกติอย่างบอกไม่ถูก บนถนนที่ ปกติมีรถวิ่งพลุกพล่านกับเงียบสงบ ทางเท้าที่เคยมีคนเดินแออัดกลับว่างเปล่า แม้แต่ร้านค้าเองก็เช่นกัน เจ้าของร้านคงจะแต่งงานกับกระจกได้เพราะนั่นเป็นคนเดียวที่เขาสามารถเห็นหน้าได้ รถบัสจอดที่ป้ายแถวบ้านผม ผมเดินไปอย่างไม่เร่งรีบบนถนนที่ปลอดคน โดยหวังว่าแม่ของผมเธอคงลืมใส่ผ้ากันเปื้อนแบบทุกที เพราะหากวันไหนเธอไม่ลืมผูก ผมคงสอบได้Aห้าตัว ผมเปิดประตูบ้านและเดินเข้าไปพร้อมกับถอดรองเท้า “กลับมาแล้วครับแม่” นั่นคือประโยคแรกที่ผมเอ่ยรู้สึกตัวอีกทีตอนนี้ผมก็ยืนอยู่ในห้องนอนของตัวเองเสียแล้ว บ้านของผมมีสองชั้นหากไม่รวมห้องใต้หลังคาซึ่งเป็นที่นอนของผมเอง ผมล้มตัวนอนลงอย่างช้าๆ หลับตาลงอย่างเคลิบเคลิ้ม แต่ก็สะดุ้งตื่นเมื่อพบว่าหน้าของผมสัมผัสวัตถุบางอย่างผมหยิบมันขึ้นมาดูพร้อมกับลุกขึ้นหนังบนเตียง จาหน้าซองถึงผม ผมเปิดมันออกอย่างเชื่องช้าระมัดระวังและเริ่มอ่าน“DEAR JOHN เราเคยเจอกันครั้งที่หอสมุดเมื่อกลางวัน และหากเป็นไปได้ฉันอย่างจะพบคุณอีกสักครั้ง หากไม่เป็นการรบกวนจนเกินไปหวังว่าคุณจะออกมาพบฉันวันนี้ ตอนเที่ยงคืนตรงที่เดิม WITH LOVEE-WA”จดหมายฉบับนี้ทำให้ผมแปลกใจ เพราะผมอยากเจอเธอใจจะขาดแต่กลับไม่รู้ว่าควรทำอย่างไร ผมคิดอะไรไม่ออกเลยสักนิดขณะที่เข็มนาฬิกาเดินเข้าใกล้เที่ยงคืนไปทุกที“ให้ตายเถอะคุณมารอฉัน” เสียงหนึ่งเรียกผมให้หันกลับไป และผมเห็นเธอ อีวา ผู้หญิงที่สวยที่สุดเท่าที่ผมเคยพบเจอมาในชีวิต ผมหยิกแก้มตัวเองเบาๆเพื่อเป็นการถามตัวเองว่าฝันไปรึเปล่า แต่ผมกลับรู้สึกเจ็บเกินจริง“ให้ตายเถอะจอห์น คุณไม่จำเป็นต้องทำแบบนนั้นเลย” เธอพูดพร้อมกับจ้องมองผมด้วยดวงตาที่สุกสกาว“ทำไมผมจึงไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้นหละ” ผมยิ้มและตอบกลับด้วยความเขินอาย“เพราะฉันไม่อยากให้แก้มขาวๆของเธอต้องมีรอยช้ำนะ” เธอตอบพร้อมกับจับแก้มผมเบาๆ เพียงแค่สัมผัสแรกของเธอได้เปลี่ยนให้ผมตกอยู่ในภวังค์เช่นเคย ทุกอย่างรอบตัวผมกลายเป็นสีขาวอีกครั้ง ผมรู้สึกเบากว่าปกติ คล้ายกับว่าตัวจะลอยขึ้นไปสู่ท้องฟ้ายามวิกาล“พระเจ้า!” นั่นไม่ใช่ความรู้สึกแต่คือความจริง ผมลอยตัวอยู่เหนือเมืองอันสวยงามที่มีไฟโอบล้อมยามราตรี แต่เมืองทั้งเมืองกลับกลายเป็นสีขาว“คุณเข้าใจเหตุผลของการมีอยู่ไหม” เธอถามผมเบาๆ“ผมไม่เข้าใจว่าคุณกำลังพูดอะไร” ผมตอบกลับด้วยความงวยงง แต่ให้ตายเถอะผมไม่เข้าใจอะไรเกี่ยวกับที่เธอถามเลย“จอห์น คุณชอบสีอะไร” เธอถามผมแน่นอนใจผมนึกในทันทีว่าเป็นสีขาว “สีขาวใช่ไหม” เธอตอบคำถามของตัวเองก่อนที่ผมจะทันพูดเสียอีก เธอยิ้มและล่องลอยไปรอบตัวผมก่อนเอ่ยต่อว่า “จอห์น ทุกสิ่งที่คุณเห็น ที่คุณสัมผัส มันเกิดขึ้นจากจินตนาการของคุณทั้งนั้น ไม่ได้มีอะไรเป็นจริงเลย ที่เมืองเป็นสีขาวเพราะคุณชอบสีขาว ที่เมืองปลอดคนเพราะคุณรักความสงบ อันที่จริงคุณควรจะพบแม่คุณใส่เสื้อกันเปื้อน แต่เนื่องจากคุณไม่เข้าไปในครัวคุณเลยไม่พบเธอ”“คุณจะบอกทั้งหมดที่ผมเห็นเป็นเพียงแค่จินตนาการเท่านั้นหรอ” ผมเอ่ยถามเธอด้วยความผิดหวัง“ไม่จอห์น ฉันนะมีจริง” เธอพูดพร้อมยิ้มเหมือนเข้าใจในสิ่งที่ผมคิด“ถ้าแบบนั้นทำไมคุณถึงอยู่ในจินตนาการของผมหละ” ผมถามเธอด้วยเสียงดีใจแบบเก็บอาการไม่อยู่“นั่นเป็นเพราะคุณนึกถึงฉันไง ผู้คนที่คุณเห็นตามท้องถนนต่างอยู่ในรูปลักษณ์ที่คุณอยากให้เป็น และเค้าจะตอบเสนองในรูปแบบที่คุณอยากให้เขากระทำ คิดเองไม่ได้”“แล้วทำไมคุณถึงแตกต่าง” ผมถามเธอ“นั่นเป็นเพราะฉันมีตัวตนจอห์น ฉันมีตัวตนในจินตนาการแต่ไม่มีตัวตนอยู่ในความเป็นจริง ” เธอตอบผมด้วยเสียงเศร้าจนสัมผัสได้ เธอสีน่าดูล่องลอยเปลี่ยนไปจากเดิม“แล้วเธอมีตัวตนอยู่ในจินตนาการของทุกคนไหม” ผมถามเธอด้วยเสียงดูสนอกสนใจเพื่อให้เธอหายเศร้า“ไม่ใช่ทุกคนหรอก แต่คุณก็ไม่ใช่คนแรกที่เห็นฉัน คุณจะดีกว่าคนอื่นหน่อยตรงที่ไม่ได้อยากเห็นฉันใส่ชุดวันเกิด” เธอกล่าวพร้อมหัวเพราะเบาๆ ซึ่งนั่นทำให้ผมเขินและได้แต่ยิ้มตาม“ปกติใครที่เห็นฉันเพียงครั้งเดียวแล้วจะไม่ได้เห็นฉันอีกเลย” เธอพูดต่อ“ทำไมหละ” ผมถามด้วยความอยากรู้“เพราะทุกคนที่เห็นฉัน ส่วนมากจะจินตนาการถึงแต่เรื่องไม่ดีและนั่นไม่ใช่คุณจอห์น” เธอกล่าวพร้อมกับโน้มตัวมาใกล้ผมริมฝีปากที่อ่อนนุ่มและเรียวยาวของเธอประทับลงที่แก้มข้างขวาของผม ทุกอย่างหยุดนิ่งไปหมด นกบินค้างอยู่ในอากาศดวงดาวหยุดกระพริบแสง เข็มนาฬิกาหยุดเดิน หรือแม้แต่เมฆเองก็เช่นกัน“จอห์น ยามคุณหลับใหลหรือยามคุณตื่น ฉันเฝ้ามองคุณอยู่ ผ่านคิมหันต์หรือเหมันต์ ฉันจะเคียงคุณไม่ห่างกลาย”ผมลืมตาขึ้นบนเตียงนอนทุกๆอย่างดูเปลี่ยนไป เพราะมันได้กลับเข้าสู่สภาวะปกติแล้ว“จอห์น ลูกจะนอนไปถึงไหน ไปอาบน้ำได้แล้ว” แม่ของผมปรากฏตัวที่ประตูห้อง พร้อมกับผ้ากันเปื้อนที่หายไปเช่นเคย ผมยิ้มเบาๆ ก่อนจะลงไปอาบน้ำ เมื่อน้ำเย็นๆประลงบนผิวหน้าของผม ขนของผมลุกชันขึ้นปลุกให้ตื่นจากภวังค์ในฝันเมื่อคืนผมสะพายกระเป๋าขึ้นบ่า ปากคาบขนมปังแผ่นและมือถือไส้กรอกวิ่งออกจากบ้าน ส่งเสียงอู้อี้ให้แม่รู้ว่าไปแล้วนะครับตลอดทางมีเพียงชื่อเธอคนเดียวที่ไม่อาจลบเลือนไปจากสมองของผม อีวา รถบัสดูเป็นใจกับผมมากเพราะมันวิ่งช้ากว่าปกติ เสียงต้นไม้ปลิวเบาๆทำให้ผมเคลิบเคลิ้มไปกับธรรมชาติจนลืมไปแล้วว่าขณะนี้ผมนั่งอยู่ในห้องเรียน“นักเรียน เมื่อเราฝันถึงใครแล้วนั่นเป็นเรื่องของจิต คนที่เราสร้างขึ้นมากจากจิตนาการแล้วแท้จริงไม่มี หากเราไม่เรียนรู้ที่จะสัมผัสถึงตัวตนของบุคคลแล้ว เราก็ไม่อาจสร้างคนในจินตนาการได้เช่นกัน” อาจารย์บรรยายหน้าชั้นเรียนอย่างต่อเนื่องแต่มีเพียงประโยคเดียวเท่านั้นที่ผมจำได้ เมื่อจบคาบเรียนแล้วผมนำตัวเองไปที่ห้องสมุดค้นเรื่องราวต่างๆเกี่ยวกับคำว่าจิตผลลัพธ์ที่ได้ก็ซ้ำๆ เพราะเมื่อคุณค้นหาเรื่องจิตกับจินตนาการแล้วหนังสือหลายเล่มก็ไม่อาจให้รายจะเอียดได้เท่าที่ควร“ทำอะไรอยู่นะจอห์น” เสียงหนึ่งเรียกผมให้หันกลับไป“ว่าไง เฮเลน ฉันกำลังหาหนังสือดีๆสักเล่มอ่านอยู่” ผมตอบอย่างไม่ใส่ใจเท่าไรเนื่องจากผมคิดว่าเธอเป็นคนน่าเบื่อ หากจะให้บรรยายเธอให้ฟังคงจะเป็นเรื่องง่ายนิดเดียว คุณเพียงแค่คิดถึงสาวผมทองหุ่นดินระเบิด ใส่ชุดบรรณลักษณ์เท่านั้น“ในฐานะเจ้าหน้าที่ห้องสมุดฉันคงต้องขอบอกคุณว่า คุณคงต้องมาหาต่อพรุ่งนี้” เธอตอบผมด้วยเสียงเรียบร้อย“ทำไมหละคุณเจ้าหน้าที่ ห้องสมุดของมหาลัยเขามีกำหนดเวลาเข้าออกด้วยหรอ” ผมถามเธอกลับ“กำหนดคะ ถ้าคุณอ่านคู่มือก่อนเข้าเรียนบ้างก็คงรู้ว่าเสาร์อาทิตย์ห้องสมุดของเราปิดตอนสิบแปดนาฬิกา” เธอพูดพร้อมมองนาฬิกาที่ปรากฏเวลาสิบเจ็ดนาฬิกาห้าสิบห้านาที“ได้เลย เฮเลนฉันกลับก็ได้ ไว้เจอกันพรุ่งนี้” ผมหยิบกระเป๋าและลุกขึ้นเดินออกจากโต๊ะ มุ่งหน้าผ่านระเบียงห้องสมุดไปสู่ประตูใหญ่เพื่อกลับบ้าน ระหว่างทางเดินผมสัมผัสได้ถึงเรื่องราวของเมื่อวาน คล้ายกับว่าเพิ่งเกิดขึ้นความรู้สึกเย็นวาบแพร่ไปทั่วใบหน้าของผมทันทีที่ก้าวพ้นประตูห้องสมุด หิมะนั่นเอง หิมะตกลงมาสู่ใบหน้าของผม หิมะที่ร่วงโรยสู่พื้น ช่างดูคล้ายกับความรักในวันที่จบลง อ่อนบาง เย็นเยือก และสลายตัวอย่างรวดเร็ว หิมะที่ตกลงมาอย่างช้าๆเป็นสัญลักษณ์บ่งบอกว่า อีกกว่าสองชั่วโมงผมจึงจะได้กลับบ้าน
“หิมะตก แย่จริงเชียว” เสียงที่คุ้นหูดังขึ้นข้างๆผม เฮเลนนั่นเอง เธอปรากฏตัวพร้อมสีหน้าที่เต็มไปด้วยความผิดหวัง“เธอไม่ชอบหิมะตกหรอ” ผมถามเธอเพื่อทำลายบรรยากาศเงียบๆ“ไม่เลย เมื่อไรที่หิมะตกฉันจะรู้สึกเหงาแปลกๆ” เฮเลนตอบผมกลับ“นั่นสิ เมื่อไรที่หิมะตกฉันก็คงรู้สึกเหมือนกับเธอ” ผมตอบเธอก่อนที่เรื่องราวเก่าๆระหว่างเราจะพลั่งพลูสู่ความคิดผม“จอห์น จะเป็นไปได้ไหมที่เราจะกลับมาคบกันอีกครั้ง” เธอถามผมพร้อมสบตา เธอช่างดูอ่อนโยน เกินกว่าคำบรรยายใดเธอกุมมือของผมอย่างอ่อนโยนพร้อมความอบอุ่นมากมายถูกส่งผ่านจากมือของเธอสู่มือของผม ผมรู้สึกราวกับติดอยู่ในห้วงเวลาที่ไม่อาจถอนตัวได้“เธอไม่ต้องรีบตอบฉันหรอก คิดให้จงหนักนะจอห์น” เธอพูดพร้อมกับซบลงที่อกของผม เราทั้งสองยื่นอยู่ท่ามกลางหิมะที่โปรยปรายกลางแสงจันทร์อ่อนๆยามพลบค่ำ แม้จะไม่มีเสียงนกร้องใดๆ แต่ผมกลับรู้สึกว่าเวลาไม่เดินอีกต่อไป ห้วงเวลานี้เปรียบได้กับเวลาเมื่อคืนที่ผมได้อยู่กับอีวา เพียงแต่คราวนี้ผมกลับรู้สึกว่านี่คือเรื่องจริง“เธอยังรักฉันอยู่ใช่ไหมจอห์น” เฮเลนถามผม “ไม่เลยเฮเลน ผมไม่เคยรู้เลยว่าจริงๆแล้วผมรู้สึกยังไง เพียงแต่ตอนนี้ผมคิดว่าผมอยากจะอยู่อย่างนี้ตลอดไป” ผมตอบเธอ“เธอหมายความว่าเธออยากจะเป็นปติมกรรมคู่รักกับฉันกลางหิมะแบบนี้หรอ” เธอถามผมแบบติดตลกผมยิ้ม ก่อนที่จะเอ่ยว่า “หากการเป็นปติมกรรมคู่จะทำให้เราหยุดเวลานี้ไว้ได้ ฉันก็พร้อมที่จะเป็นปติมกรรมคู่ตลอดกาล”เธอนิ่งเงียบและมองตาผม เธอนำมือข้างขวาของเธอแนบลงตรงหัวใจทั้งสองดวงของเรา“เธอได้ยินไหมจอห์น หัวใจของเราเต้นเป็นจังหวะเดียวกัน” เธอเอ่ยขึ้นพร้อมกับเงยหน้า ผมโน้มตัวลงอย่างรู้หน้าที่ มือขวาของผมต้องกับริมฝีปากเธอ ผมจุมพิตเธออย่างช้าๆ ราวกับว่าเราเป็นแรงดึงดูดของกันและกัน ความรู้สึกเร่าร้อนเกินขึ้นกับเราสองคน เป็นพันธะผูกเราไว้ในเวลานี้
“หิมะตก แย่จริงเชียว” เสียงที่คุ้นหูดังขึ้นข้างๆผม เฮเลนนั่นเอง เธอปรากฏตัวพร้อมสีหน้าที่เต็มไปด้วยความผิดหวัง“เธอไม่ชอบหิมะตกหรอ” ผมถามเธอเพื่อทำลายบรรยากาศเงียบๆ“ไม่เลย เมื่อไรที่หิมะตกฉันจะรู้สึกเหงาแปลกๆ” เฮเลนตอบผมกลับ“นั่นสิ เมื่อไรที่หิมะตกฉันก็คงรู้สึกเหมือนกับเธอ” ผมตอบเธอก่อนที่เรื่องราวเก่าๆระหว่างเราจะพลั่งพลูสู่ความคิดผม“จอห์น จะเป็นไปได้ไหมที่เราจะกลับมาคบกันอีกครั้ง” เธอถามผมพร้อมสบตา เธอช่างดูอ่อนโยน เกินกว่าคำบรรยายใดเธอกุมมือของผมอย่างอ่อนโยนพร้อมความอบอุ่นมากมายถูกส่งผ่านจากมือของเธอสู่มือของผม ผมรู้สึกราวกับติดอยู่ในห้วงเวลาที่ไม่อาจถอนตัวได้“เธอไม่ต้องรีบตอบฉันหรอก คิดให้จงหนักนะจอห์น” เธอพูดพร้อมกับซบลงที่อกของผม เราทั้งสองยื่นอยู่ท่ามกลางหิมะที่โปรยปรายกลางแสงจันทร์อ่อนๆยามพลบค่ำ แม้จะไม่มีเสียงนกร้องใดๆ แต่ผมกลับรู้สึกว่าเวลาไม่เดินอีกต่อไป ห้วงเวลานี้เปรียบได้กับเวลาเมื่อคืนที่ผมได้อยู่กับอีวา เพียงแต่คราวนี้ผมกลับรู้สึกว่านี่คือเรื่องจริง“เธอยังรักฉันอยู่ใช่ไหมจอห์น” เฮเลนถามผม “ไม่เลยเฮเลน ผมไม่เคยรู้เลยว่าจริงๆแล้วผมรู้สึกยังไง เพียงแต่ตอนนี้ผมคิดว่าผมอยากจะอยู่อย่างนี้ตลอดไป” ผมตอบเธอ“เธอหมายความว่าเธออยากจะเป็นปติมกรรมคู่รักกับฉันกลางหิมะแบบนี้หรอ” เธอถามผมแบบติดตลกผมยิ้ม ก่อนที่จะเอ่ยว่า “หากการเป็นปติมกรรมคู่จะทำให้เราหยุดเวลานี้ไว้ได้ ฉันก็พร้อมที่จะเป็นปติมกรรมคู่ตลอดกาล”เธอนิ่งเงียบและมองตาผม เธอนำมือข้างขวาของเธอแนบลงตรงหัวใจทั้งสองดวงของเรา“เธอได้ยินไหมจอห์น หัวใจของเราเต้นเป็นจังหวะเดียวกัน” เธอเอ่ยขึ้นพร้อมกับเงยหน้า ผมโน้มตัวลงอย่างรู้หน้าที่ มือขวาของผมต้องกับริมฝีปากเธอ ผมจุมพิตเธออย่างช้าๆ ราวกับว่าเราเป็นแรงดึงดูดของกันและกัน ความรู้สึกเร่าร้อนเกินขึ้นกับเราสองคน เป็นพันธะผูกเราไว้ในเวลานี้
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ