แพร่ง
6) โบก !!! Part 5
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความโบก !!!Part 5
รถของมูลนิธิคันดังกล่าวก็เคลื่อนที่ออกจากสถานีด้วยความรวดเร็ว ทิ้งกลุ่มฝุ่นควันไว้เบื้องหลัง ทำให้มองเห็นท้ายรถด้วยความไม่ชัดเจนนัก เวลาตอนนี้แสงตะวันค่อยๆสาดออกมาให้เห็นแล้ว เพราะเป็นเวลารุ่งเช้าของวันใหม่ ทำให้พื้นที่รอบๆค่อยๆมองเห็นได้เจนขึ้น เมื่อเทียบกับความมืดตอนก่อนรุ่ง ถนนที่รถวิ่งผ่านไป ยังมีร่องรอยของแอ่งน้ำเล็ก เป็นหลุมเป็นบ่ออยู่เต็มไปหมด ทำให้รถวิ่งด้วยความลำบาก แกว่งไปมาแต่ก็ไม่มากนัก หญิงสาวที่นั่งมากับเขานั้นก็ผล็อยหลับไปแล้ว ทิ้งให้เก้านั่งขับรถฝ่าความสลัวของยามรุ่งตามลำพัง
เมื่อออกพ้นถนนลูกรังสายที่เข้าสู่สถานีแล้ว ก็เป็นทางยางมะตอยขับสบายไม่มีปัญหา แต่แล้วความรู้สึกที่ว่าเริ่มจะสบายในตอนค่อนรุ่งนั้นต้องเปลี่ยนแปลงไปทันที เมื่อได้กลิ่นแปลกๆ ลอยคละคลุ้งเต็มรถไปหมด แต่เขาทำเป็นไม่สนใจ ค่อยๆเอื้อมมือไปหมุนคันจับของที่เปิดหน้าต่างรับเอาลมข้างนอกเข้ามา แต่!!! กลิ่นยังไม่หมดไป แทนที่จะค่อยๆจางไป กลับทวีความเหม็นขึ้นอีกทำให้เก้าทนไม่ไหวต้องจอดรถแล้วรีบลงตรงไปยังท้ายรถเพราะสงสัยว่ามีอะไรติดมากับรถหรือเปล่า ด้วยความลังเลปนสงสัย
เมื่อเขาเดินมาถึงท้ายรถก็ค่อยๆชะเง้อคอดูที่กระบะว่ามีซากอะไรติดมาหรือเปล่า แต่สิ่งที่เขาพบกลับเป็นร่างที่แหลกเหลวเต็มไปด้วยร่องรอยของคมมีดบนร่างของศพนั้น และที่น่าตกใจยิ่งกว่าคือ ร่างที่อยู่ที่นั่นไม่ใช่ร่างของใครที่ไหน แต่เป็นร่างของหญิงสาวคนที่เขาเคยหลอกแล้วฆ่าข่มขืนเมื่อสัปดาห์ก่อนนั่นเอง ‘หรือว่าไอ้เพื่อนคนที่บรรทุกมาก่อนนั้น มันแอบเอามาไว้ที่หลังรถ เพื่อที่มันจะได้กลับบ้านอย่างสบายไม่ต้องเป็นภาระอีก แต่มันจะเป็นไปได้อย่างไร เมื่อตอนที่เพื่อนคนนั้นขับรถออกไป เขายังเห็นศพนี้ตั้งอยู่ท้ายรถเลย แล้วมันมาได้ไงวะ’ ความคิดสับสนปนเปเกิดขึ้นในสมองของเขา เพราะเขางงต่อเหตุการณที่เกิดขึ้นมาก
และก่อนที่เขาจะทันคิดทำอะไรมากกว่านี้ ร่างที่เห็นตรงหน้าก็ค่อยขยับตัวไปมา ทำให้หนองที่เละอยู่บนร่างกระจัดกระจายเต็มไปหมดทั้งกระบะ แต่มันไม่หยุดแค่นั้น ร่างนั้นก็พุ่งเข้ามาหาเก้าอย่างรวดเร็วปานฟ้าแลบ แต่ด้วยสัญชาติญาณเขาหลบทันก่อนที่ร่างที่เต็มไปด้วยแผลหนองเหวอะหวะถูกตัวเขา “เหวอๆๆๆ อะไรกันเนี่ย” เขาผวาหมอบลงทันที ร่างนั้นลอยละลิ่วข้ามเขาไปยืนทนโท่อยู่บนพื้นถนนเบื้องหลัง และค่อยๆย่างสามขุมเข้ามาช้าๆ เก้าถอยกรูดไปติดอยู่กับท้ายกระบะรถ เขาไม่รู้ว่าศพนั้นเคลื่อนไหวได้อย่างไร แต่ถ้าเขาตั้งสติและสังเกตสักนิด ก็จะพบว่า ร่างของหญิงสาวที่นั่นมาด้วยกันนั้น หายไปตั้งแต่ตอนที่เขาลงจากรถแล้ว
ในเวลาไม่นานนักด้วยระยะห่างเพียงแค่วาเดียว ร่างนั้นก็มาถึงตัวเก้าที่ตอนนี้สั่นเทาเหมือนลูกนกที่ถูกพายุฝนสาดกระหน่ำ เขาไม่สามารถทำอะไรได้อีก เพราะตอนนี้ร่างนั้นยืนคร่อมอยู่บนเขาทั้งตัวแล้ว และก่อนที่อะไรจะเลยเถิดไปมากกว่านี้ เขาได้ยินเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นในกระเป๋าของเขา ร่างที่ขึ้นคร่อมเขาหยุดกึก แล้วนิ่งอยู่อย่างนั้น เขาค่อยๆเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู แล้วก็พบกับใบหน้าของน้องต้นที่เขาใส่เอาไว้เป็นรูปภาพเมื่อโทรเข้า แล้วรีบกดรับทันที
“ฮะ.....ฮัลโหล” เก้ายังเสียงสั่น ด้วยความกลัว เพราะร่างที่ยืนอยู่ยังคร่อมอยู่บนร่างเขา
“พี่เก้า ๆๆ ฟังผมดีๆนะครับ ตั้งใจฟังให้ดี” เสียงของต้นดังมาจากต้นสายด้วยความกระตือรือร้น
“อะไรล่ะ วะ.....ว่ามาสิ”
“คืออย่างนั้นครับพี่เก้า พี่เกล้าต้องเชื่อผมนะครับ เพราะสิ่งที่ผมเห็นนั้นมันเกินที่จะบรรยายจริงๆ และที่สำคัญมันอยู่บนรถคันเดียวกับพี่”
“อะไรเหรอ”
“ก็คนที่พี่รับคำเค้าว่า จะไปส่งนั่นไงล่ะครับ นั่นน่ะไม่ใช่คนนะครับ ผมเห็นเป็นผี ถ้าพี่ไม่เชื่อพี่ลองถามพี่กล้าดูนะครับ เดี๋ยวผมส่งให้พูด” แล้วต้นก็ส่งมือถือไปให้กล้าเพื่อที่จะบอกรายละเอียดอื่นๆอีก
“มึงฟังกูให้ดีๆนะเก้า ฟังให้ดี สิ่งที่กูเห็นกับที่น้องมึงเห็นน่ะ สิ่งเดียวกันเลย กูเห็นเป็นซากศพเดียวกับที่กูกับมึงเคยเห็นตั้งอยู่ท้ายรถไอ้แก้วนั่นไง มันนั่งอยู่ข้างๆมึง และมึงคงไม่รู้ เหตุผลที่มันไม่สามารถเข้าไปในสถานีได้ เพราะในห้องที่เราพักกันอยู่น่ะ มีทั้งพระ ทั้งรูปถ่ายบูชาของผู้ก่อตั้ง มันเป็นผีตายโหงมันจึงเข้ามาพักข้างในไม่ได้ และที่กูกับน้องมึงมาคิดกันดูน่ะ มันคงตั้งใจจะตามมึงมาแน่ๆว่ะ” กล้าอธิบายด้วยความรวดเร็วโดยไม่รู้ว่า สิ่งนั้นตอนนี้ได้ยืนคร่อมร่างเขาอยู่
“ทะ....ทำไม มึงไม่บอกกูก่อนที่กูจะออกมาจกสถานีวะ” เก้าถามกลับไป
“ก็พวกกูบอกมึงแล้วว่า ให้น้องเค้าพักที่สถานีนี่ก็ได้ แต่มึงก็ไม่ฟัง รั้นแต่จะพาน้องเค้าไปนอนโรงแรมให้ได้ พวกกูก็เลยไม่พูดอะไร”
“ละ....แล้วพวกมึงรู้แล้วยังว่า กะ....กูตอนนี้เป็นไง” เก้าถามกลับด้วยเสียงสั่น เพราะร่างที่เคยนิ่งกึก ตอนนี้เริ่มขยับตัวอีกแล้ว
“จะไปรู้มึงเรอะ แล้วมึงเป็นไงล่ะ” กล้าถามกลับมาด้วยความฉงน
“อ้าก!!!ไอ้กล้า!!! ไอ้กล้าช่วยกูด้วย ชะ......ช่วยกูด้วย” เสียงจากปลายสายดังมา ด้วยความเจ็บปวด ทั้งสองนิ่งงัน นิ่งฟังด้วยความตกใจ โดยไม่รู้ว่าทางเก้าเป็นอย่างไร เพราะเมื่อได้ยินเท่านั้นสัญญาณก็ตัดไป ทิ้งให้ความงงงวยปนสังหรใจแปลกๆ เกิดขึ้นกับต้นและกล้า
ตอนนี้ร่างที่ค่อยๆขยับช้าๆ ซึ่งยืนคร่อมร่างกล้าอยู่ มันไม่ขยับเฉยๆแล้ว มืออันเรียวยาวที่เต็มไปด้วยหนองและเลือดสกปรก แทงฉัวะ!! เข้าไปในร่างของเก้าด้วยความรวดเร็ว และไม่รอช้าก็แทงอีกครั้ง อีกครั้ง และอีกครั้ง จนเจ้าของร่างที่ถูกกระทำนั้น สิ้นลมหายใจลงตรงนั้น ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผลเหวอะหวะน่ากลัวยิ่งกว่าแผลของหญิงสาว หลายเท่านัก และร่างที่เป็นผู้กระทำนั้นก็ค่อยๆจางหายไปกับสายลมที่พัดมา เพราะความแค้นที่ก่อตัวสะสมอยู่ในจิตของเธอนั้น ตอนนี้ได้รับการชำระแล้ว...................
หลายวันต่อมา ณ บ้านจัดสรรย่านเทเวศวร์
ร่างสองร่างที่กำลังนอนหลับอยู่บนเตียงอันนุ่ม ด้วยความเหนื่อยล้าที่ทั้งสองได้ตรากตรำงานหนักมาตลอดวัน จึงรีบเข้านอนกันตั้งหัวค่ำ ลูกสาวสุดที่รักของพวกเขาได้หายสาบสูญไปหลายสัปดาห์แล้ว โดยที่ทั้งสองไม่รู้ว่าเธอจะมีชะตากรรมเป็นอย่างไร พวกเขาได้ประกาศหาเธอเป็นบุคคลที่สูญหายกับสถานีตำรวจใกล้บ้านแล้ว และก่อนที่อรุณรุ่งกำลังจะมาเยือน ทั้งสองก็ฝันเหมือนกันว่า พวกเขากำลังเดินอยู่ในที่ๆหนึ่งที่ดูรกร้าง ห่างไกลจากผู้คน รอบๆตัวนั้น ไม่มีวี่แววของชีวิตให้เห็นเลยแม้แต่น้อย พวกเขาเดินไปเรื่อยๆ จนกระทั่งไปพบกับคนๆหนึ่งซึ่งนั่งร้องให้อยู่ริมทางที่พวกเขากำลังเดินอยู่ ทั้งสองจึงจะเข้าไปทักและปลอบโยน แต่เมื่อเข้าไปถึงกลับเป็นฝ่ายที่ทั้งสองปล่อยน้ำตาออกมาอย่างพรั่งพรู เพราะร่างที่อยู่ตรงหน้านั้น เป็นลูกสาวที่หายตัวไปของพวกเขานั่นเอง
“โธ่....ลูกแม่มาทำอะไรอยู่ที่นี่ล่ะลูก รู้ไหมพ่อกับแม่กำลังตามหาลูกกันอยู่ ทำไมไม่กลับบ้านล่ะ” เสียงผู้เป็นแม่เริ่มดังออกมาก่อนด้วยความตะกุกตะกัก
“ใช่แล้วลูก ทำไมไม่กลับบ้าน” ผู้พ่อก็เริ่มส่งเสียงออกมา
“ขอโทษค่ะพ่อแม่ หนูกลับไม่ได้แล้ว” ร่างดังกล่าวส่งเสียงปนสะอื้นมา
“ทำไมเหรอลูก ทำไมกลับไม่ได้” ทั้งพ่อและแม่กล่าวออกมาพร้อมกัน
“พ่อคะ หนูถูกฆ่าตายเมื่อหลายสัปดาห์ก่อน หนูตั้งใจว่าจะมาเข้าฝันบอกพ่อกับแม่ วันนี้หนูก็ทำแล้ว หนูอยากบอกพ่อกับแม่ว่าหนูรักพ่อกับแม่มากนะคะ หนูขอโทษที่มีบ้างบางครั้ง หนูทำอะไรที่ไม่ดีกับพ่อและแม่ ขอให้พ่อและแม่อโหสิกรรมให้ด้วยนะคะ หนูลาก่อน ชาติหน้าถ้าบุญหนูมี ขอเกิดเป็นลูกพ่อแม่อีกครั้งนะคะ ลาก่อนค่ะ” แล้วร่างที่อยู่ตรงหน้าก็พลันหายไปราวกับไม่เคยมีร่างใครปรากฏอยู่ตรงนี้เลย ทิ้งให้ทั้งสองสามีภรรยาที่สูญเสียลูกสาวไปน้ำตานองหน้า
เสียงโทรศัพท์ดังระงมในห้องนอนห้องนั้น จนทำให้ฝ่ายภรรยาต้องรีบลุกขึ้นมา แล้วเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์ที่หัวเตียงด้วยอาการที่เพลีย พร้อมน้ำตาที่เปียกหน้า เมื่อเห็นเบอร์โทรที่ปรากฏอยู่เป็นเบอร์ของนายตำรวจที่ได้ไปแจ้งความว่าลูกสาวหายไปนั้น ก็รีบกดรับทันที พร้อมเช็ดน้ำตาบนใบหน้าไปด้วย
“ฮัลโหล สวัสดีค่ะ บ้านกาญทวีค่ะ” เธอรับโทรศัพท์ด้วยความสุภาพ
“เอ่อ.......ขอโทษที่รบกวนตั้งแต่เช้านะครับ ไม่ทราบว่าจะสะดวกคุยรึเปล่าครับ” เสียงจากนายตำรวจดังมา
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ มีเรื่องอะไรเหรอคะ ถึงโทรมาแต่เช้าอย่างนี้ หรือว่าจะเป็นเรื่องลูกสาวของฉันที่ได้แจ้งความไว้คะ” เธอถามด้วยความสงสัย
“ใช่ครับ เราเพิ่งจะได้เบาะแสจากโรงพยาบาล ว่ามีหญิงสาวคนหนึ่งถูกฆ่าแล้วหมกศพไว้ที่ข้างทางปากทางเข้าสถานีมูลนิธิร่วมกตัญญู ซึ่งเป็นป่ารกทึบน่ะครับ สภาพศพไม่สามารถมองออกได้ว่าเป็นใคร เพราะตอนนี้ร่างเริ่มจะเละแล้ว แต่ที่สำคัญก็คือ ร่างดังกล่าวอยู่ในชุดนักศึกษาของวิทยาลัยแห่งหนึ่งครับ ส่วนเรื่องอื่นๆเกี่ยวกับตัวฆาตกรนั้น ผมและทีมงานกำลังติดตามอยู่ครับ คุณนายไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ”
“จริงเหรอคะ ที่ว่าเป็นชุดนักศึกษา ลูกชั้นที่หายตัวไปนั้นก็อยู่ในชุดนั้นเหมือนกันค่ะ คือเธอยังไม่ได้กลับบ้านบ้านเลยตั้งแต่วันนั้นนั่นแหละค่ะ” เธอกล่าว พร้อมน้ำตามที่เริ่มจะไหลออกมาอีกแล้ว
“ผมว่าคุณผู้หญิงอย่าเพิ่งเสียใจเลยนะครับ เพราะผลชันสูตรยังไม่ออกมา ทำใจให้สบายดีกว่านะครับ อีกประมาณ 2 วันผลชันสูตรก็จะออกมาแล้วล่ะครับ”
“ค่ะ ขอบคุณคุณมากนะคะที่ช่วยติดตามเรื่องนี้ให้”
“หามิได้ครับคุณผู้หญิง นี่เป็นหน้าที่ของตำรวจอยู่แล้วครับ สบายใจได้เลย คาดว่าคงจะได้ตัวฆาตกรในเร็ววันนี้แหละครับ”
“ค่ะๆ ขอบคุณอีกครั้งค่ะ”
“ครับ งั้นแค่นี้นะครับ สวัสดีครับ”
“ค่ะๆๆ สวัสดีค่ะ” เมื่อวางสายจากตำรวจเธอก็ก้มหน้าก้มตาร้องอีกครั้ง จนผู้เป็นสามีที่เพิ่งจะตื่นขึ้นมา เพราะได้ยินเสียงสนทนา ต้องเข้ามาปลอบโยนเธอ
“เป็นอะไรไปเหรอ” เสียงจากทางฝ่ายสามีดังขึ้น
“คุณคะ ตำรวจโทรมาบอกว่า ได้เบาะแสบางอย่างที่อาจเกี่ยวพันกับลูกสาวเราน่ะค่ะ”
“ยังไงเหรอ”
“เค้าบอกว่า พบศพศพหนึ่งถูกทิ้งไว้ที่ป่าทึบข้างทางเข้าสถานีมูลนิธิร่วมกตัญญูน่ะค่ะ แถมศพนั้นยังเป็นชุดนักศึกษาอีก ลูกเราก็หายตัวไปเพราะไม่ได้กลับจากโรงเรียน ชั้นกลัวเหลือเกินค่ะคุณ ฉันกลัวว่าศพนั้น อาจจะเป็นลูกเราก็ได้” เธอกล่าวพร้อมสะอื้น
“โธ่....คุณอย่างเพิ่งคิดอย่างนั้นสิ ผลชันสูตรยังไม่ออกมาเลย เราจะไปสรุปมันไม่ได้หรอก”
“ชั้นขอถามคุณสักอย่างได้ไหม”
“อะไร”
“คุณฝันเหมือนฉันรึเปล่า”
“ฝันยังไงล่ะ” ผู้เป็นสามีถามกลับมาด้วยความสงสัย พร้อมกับภาวนาอยู่ในใจว่า อย่าให้ฝันตรงกับที่ตัวเองฝันเลย
“ฉันฝันเห็นลูก นั่งร้องให้อยู่ เราถามเค้าว่า ทำไมไม่กลับบ้าน ก็ได้คำตอบว่า เค้าถูกฆ่าตายกลับไม่ได้ แล้วก็หายไปเลย เหมือนเค้าจะมาบอกเราในฝันยังไงยังงั้นแหละคุณ” เธอเล่า
“จริงหรือ ชั้นก็ฝันอย่างนั้นเช่นกัน ไม่น่าเชื่อ แต่ก็อย่างเพิ่งด่วนสรุปดีกว่า รอผลการชันสูตรก่อน แล้วค่อยคิดแก้ปัญหาต่อไป” ฝ่ายสามีปลอบ
2 วันต่อมา
“สวัสดีครับ ผมโทรมาจากสถานีตำรวจครับ” เสียงจากปลายสายดังมา เมื่อฝ่ายภรรยาเป็นคนรับสาย
“ค่ะ มีอะไรคะ หรือว่าจะเป็นเรื่องผลชันสูตรคะ” เธอยิงคำถามทันทีที่รับสาย โดยไม่ไต่ถามเรื่องราวอะไรอื่นเลย
“ใช่ครับคุณผู้หญิง เรื่องผลชันสูตรออกมาแล้วครับ คุณผู้หญิงตั้งใจฟัง และตั้งสติดีๆนะครับ ผลมีออกมาว่า ร่างดังกล่าวเป็นหญิงสาวประมาณ 19 ปีบริบูรณ์ เป็นนักศึกษาอยู่ที่วิทยาลัย เอ่อ....ในที่นี้ผมขอให้เป็นความลับระหว่างเราสองคนนะครับ” แล้วเขาก็บอกชื่อวิทยาลัยไป “บาดแผลตามร่างกายมีจำนวน 15 แผลจากของมีคม คาดว่าน่าจะเป็นมีดสั้นขนาดพกพาครับ และที่อวัยวะเพศมีคราบอสุจิอยู่ด้วย ซึ่งน่าจะเป็นการข่มขืนก่อน แล้วจึงฆ่าครับและผลการตรวจDNAนั้น ปรากฏออกมาว่าเป็นลูกสาวของคุณนายครับ” สิ้นประดังกล่าวคุณนายก็ล้มลงเป็นลมทันที ฝ่ายทางตำรวจก็ได้ยินเสียงดังโครม!! เหมือนกับการวางสายอย่างแรง แต่เมื่อฟังแล้วมันดังกว่ามากจึงวางสายไปด้วยอาการเป็นห่วง...............
ฝ่ายสามี ที่นั่งอยู่ที่ห้องรับแขก ได้ยินเสียงโครมดังกล่าวก็รีบวิ่งมาที่เกิดเหตุทันที เห็นภรรยาล้มนอนอยู่จึงรีบประคองแล้วอุ้มพาไปที่โซฟา เพื่อจะปฐมพยาบาลต่อไป
หลังจากเหตุการณ์วันนั้นประมาณ 2 วัน ทั้งสองก็ไปรับศพลูกสาวที่ตอนนี้ร่างกายเน่าเละหมดแล้ว มาบำเพ็ญกุศลอย่างเงียบๆ ภายใต้ความเศร้าสร้อยเหลือคณานับ เพราะเธอเป็นลูกสาวเพียงคนเดียวของตระกูลและตอนนี้ทั้งสองสามีภรรยาก็แก่กันแล้ว จึงไม่สามารถจะมีลูกได้อีกจึงเป็นที่เศร้าใจอย่างหนัก
ฝ่ายต้นและกล้า เมื่อเห็นว่า เวลาผ่านมาหลายวันแล้ว เก้ายังไม่กลับ ก็เลยชวนกันออกตามหา ว่าไปอยู่กันที่ไหนด้วยสังหรณ์แปลกๆ ทั้งสองออกรถมาตามทางที่เก้าเคยออกมา และเมื่อออกมายังถนนได้ไม่เกิน 30 นาที ทั้งสองถึงกับต้องตะลึง เพราะเห็นร่างๆหนึ่งนอนกองอยู่ท้ายรถของมูลนิธิร่วมกตัญญู เมื่อเข้าไปใกล้ยิ่งตกใจหนักเข้าไปอีก เมื่อร่างดังกล่าวนั่นคือ เก้า ที่สภาพศพแหลกเหลว เหลือแต่โครงกระดูก แห้งติดอยู่กับพื้นริมถนน เป็นที่น่าสังเวชนัก และก็ต้องเป็นหน้าที่ของทั้งสอง ที่ต้องขนย้ายโครงกระดูกไปทำตามประเพณี โดยที่ไม่รู้ต้นสายปลายเหตุว่า เรื่องราวมันเกิดขึ้นได้อย่างไร แต่ที่แน่ๆเก้าซึ่งเป็นพี่ชายของต้นนั้น ถึงแก่ความตายไปแล้ว..............
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ