แพร่ง
5) โบก !!! Part 4
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความโบก !!!! Part 4
ทั้งหมดนั่งรถคันดังกล่าว ออกมาได้เกือบๆชั่วโมงแล้ว และอย่างที่กล้าคาดไว้ไม่ผิด ยิ่งใกล้สว่าง ฝนก็ยิ่งก่อตัวมากขึ้น ท้องฟ้าแทนที่จะสว่างกลับ ดูมืดมนยิ่งกว่าเดิมอีก คาดว่าอีกไม่นานฝนก็คงจะตกลงมาอย่างแน่แท้ ตอนที่ออกจาก บขส. ได้เกิดเหตุการณ์อย่างหนึ่งที่ทุกคนไม่ได้คาดคิดมาก่อน คือ ขณะที่กล้าขับรถจะเลี้ยวออกจาก บขส. มีรถเก๋งคันหนึ่งขับแซงปาดหน้าไป เฉียดนิดเดียวจึงจะชนกัน แต่ด้วยความสามารถของกล้า และความมีสติ กล้าก็เบลกไว้ได้ทัน ส่วนรถคันดังกล่าว เมื่อขับผ่านไปแล้ว แทนที่จะลงมาขอโทษ ก็ไม่มี รีบบึ่งรถผ่านไปทันทีด้วยความเร็ว เก้า ซึ่งนั่งอยู่ทางที่รถเกือบจะชน ก็สบถออกมาอย่างรุนแรงไล่ตามหลังรถคันดังกล่าวไป..........
“โถ่เว้ย!! มันขับรถประสาอะไรของมันวะ ปาดหน้าแล้วยังไม่ลงมาขอโทษอีก” เก้ายังบ่นเหมือนหมีกินผึ้งอยู่
“โถ่ พี่เก้า ใครเขาจะลงมาขอโทษล่ะครับ อย่าไปเครียดกับมันมากเถอะครับ เดี๋ยวแก่เร็วนา” ต้นเยาะแกมปลอบมา
“จะไม่ให้พี่ด่ามันได้ไงล่ะต้น ถ้าเมื่อกี้ชน พี่นี่แหละเป็นคนแรกที่โดน เพราะมันตรงทางที่พี่นั่งพอดี” เก้าอธิบาย
“นี่ดีนะครับ ที่พี่กล้ายังมีสติดีพอ ยังคุมรถไว้ได้ แล้วเบลกไว้ทัน ไม่งั้นเกิดเรื่องอีกแน่ๆเลยครับ” ต้นกล่าวชมเชยกล้าที่ยังมีสติยับยั้งไว้ทัน
“ไม่เป็นไรหรอกน้อง พี่ก็เกือบๆไปเหมือนกันแหละ ดีที่บังเอิญหันไปเห็นเสียก่อน ไม่งั้น ฮึๆๆๆ” กล้าพูดอย่างมีลับลมคมใน
“ไม่งั้นอะไรวะ???” เก้าสงสัย
“ไม่แกก็ชั้น หรือทั้งหมดนี่แหละ ได้ไปเฝ้ายมทูตกันแน่ๆ” กล้าบอก
“เออว่ะ” เก้าตอบ
“พี่กล้าย้ายมาทำงานอยู่กับพี่เก้านานรึยังครับ คือผมมาเยี่ยมพี่เก้าไม่ค่อยบ่อยนัก และไม่ค่อยได้ติดต่อกันมากเท่าไหร่ จึงไม่ค่อยรู้จะเรื่องของพี่เค้ามากน่ะครับ” ต้นถามกล้า เพื่อเปลี่ยนประเด็น
“พี่เหรอ ก็ไม่นานหรอก เท่าที่พี่ย้ายมานับได้ก็เกือบ 2 ปีแล้ว ว่าแต่น้องล่ะ ไปทำอะไรที่ต่างจังหวัด แล้วมากลับเอาป่านนี้ล่ะ รถก็มีตั้งเยอะแยะ ทำไมมาเลือกเอาคันที่มาถึงที่นี่กลางดึกล่ะ”
“อ๋อ เรื่องนั้นมันมีเหตุจำเป็นน่ะครับ มาๆเดี๋ยวผมเล่าให้ฟัง พี่ขับไปพลางฟังไปพลางนะ”
“อืม......ได้ๆ” กล้าตอบ
“ครับ คือเรื่องมันเป็นอย่างนี้ครับ.........” แล้วต้นก็เล่าเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้นกับเขาตลอดเวลาที่เขาอยู่ที่ต่างจังหวัด ได้พบเจออะไรมาบ้าง เขาค่อยๆเล่าอย่างช้าๆ ประกอบกับตอนนี้ข้างนอกบรรยากาศยิ่งน่าเป็นห่วง เพราะฝนที่กำลังทำท่าจะตกเมื่อตอนที่อยู่ที่ บขส. นั้น ตอนนี้ได้เทกระหน่ำลงมาอย่างบ้าคลั่งแล้ว ทำให้ทัศนียภาพภายนอกรถ ไม่สามารถมองเห็นอะไรได้เกิน 10 เมตรเลย ต้นก็เล่าไปเรื่อยๆ จนกระทั่ง ‘ครืนๆๆๆๆ’ เสียงฟ้าคำรามดังสนั่น ทำให้เก้าและกล้าที่กำลังนั่งฟังต้นเล่าเรื่องดังกล่าวอยู่เพลินๆสะดุ้งขึ้น เพราะตกใจ
“เฮ้ยๆๆ ไอ้ต้นน้องพี่ พี่ว่ามึงหยุดเล่าก่อนเถอะว่ะ บรรยากาศแบบนี้ หัวใจจะวายว่ะ” เก้าบ่นขึ้น
“เออๆๆ ฟ้าก็ดันมาร้องได้จังหวะเอาพอดีเลยว่ะ” กล้าบอกสมทบมาอีกคน
“พี่กล้าครับ ผมว่าจอดแวะข้างทางให้ฝนตกซาลงกว่านี้หน่อย ไม่ดีกว่าเหรอครับ เพราะถ้าหากพี่ขับไปเรื่อยๆ ทางข้างหน้าก็มองไม่ค่อยชัด เดี๋ยวก็เกิดอุบัติเหตุขึ้นมาอีกมันจะลำบากนะครับพี่ ผมว่าจอดก่อนจะดีกว่านะครับ” ต้นออกความเห็นเมื่อเล่าจบ แล้วสังเกตเห็นว่าสภาพบรรยากาศทางข้างนอก ยิ่งน่าเป็นห่วงขึ้นกว่าเก่า
“เออว่ะ ไอ้กล้ากูว่ามึงหยุดรถก่อนดีกว่าว่ะ ฝนยิ่งตกหนักขึ้นทุกทีแล้วว่ะ” เก้าสมทบมา
“เออๆๆ หยุดก็หยุด”
กล้าแล่นรถหาจุดจอดอยู่พักหนึ่ง ก็ได้ที่จอดเหมาะๆที่หนึ่ง เป็นจุดจอดรถโดยสารริมถนนใหญ่ มีศาลาคอยรถตั้งอยู่ด้วย เขาค่อยวิ่งเข้าไปช้าๆแล้วจอด จากนั้นจึงดับรถแล้วหันมาถามต้นกับเก้าว่า “พวกมึงจะลงไปนั่งที่ศาลาไหม”
“ไม่ว่ะ กูขี้เกียจลงไปเปียก มึงนี่ถามยังไงวะฝนตกๆอย่างนี้ รึว่ามึงจะลงไปเอง” เก้าตอบและถามมาอย่างกวนๆ
“กูก็ไม่หรอก แกล้งถามพวกมึงไปงั้นแหละๆ” กล้าตอบอย่างยียวน
“เฮ้ยไอกล้ามึงว่าไหมวะ ฝนตกๆอย่างนี้ได้ผู้หญิงมานอนด้วยสักคนคงมีความสุขสุดยอดเลยว่ะ” เก้าเริ่มเปิดประเด็นใหม่ขึ้น
“เออว่ะ แต่ตอนนี้กูไม่มีอารมณ์ว่ะ ฝนตกอย่างนี้ถ้าได้นอนกกที่บ้าน ห่มผ้าหนาๆนะมึง โอ้ย...หลับสบายอย่าบอกใครเลยล่ะ” กล้าบอก
“บรรยากาศอย่างนี้น่านอนจริงๆนั่นแหละครับ ถ้าไม่เกี่ยวกับเวลาตอนนี้ เกือบจะตี 4 แล้วนะครับ” ต้นแสดงความเห็นออกมาบ้าง
“เออ จริงของแกว่ะน้องต้น” เก้ากล่าว ขณะก้มลงมองดูนาฬิกา แล้วเห็นว่า เข็มสั้นมันตรงกับเวลาตี 4 แล้ว
“งั้นเรานั่งคุยอะไรกันเพลินๆรอให้ฝนแล้งกันก่อนดีกว่านะ” กล้ากล่าวเสริมมา
“เออๆๆ” เก้าตอบ
ทั้งสามนั่งคุยเรื่องราวต่างๆกันภายในรถอย่างออกรถ ต่างคนต่างไต่ถามสารทุกข์สุกดิบของแต่ละคนกันไป และที่สนิทกันขึ้นกว่าเก่านั่นก็คือ กล้ากับต้น ซึ่งทั้งสองคนไม่เคยรู้จักกันมาก่อน แต่ก็มาสนิทกันได้ในช่วงระยะเวลาหนึ่งที่ไม่นานนั่นเอง โดยที่ทั้งหมดไม่ได้ทันรู้ตัว ที่ท้ายรถของพวกเขา ปรากฏร่างร่างหนึ่ง เนื้อตัวเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือด ตามเสื้อผ้าและร่างกาย ปรากฏร่องรอยบาดแผลเหวอะหวะ หลายแผล ที่ใบหน้าไม่มีเค้าว่าจะเป็นหน้าคนอีกต่อไป มีแต่หนอนเต้นยุบยั่บเต็มใบหน้าไปหมด
“เฮ้ย!!! พวกมึงได้กลิ่นอะไรไหมวะ” เก้าเริ่มอุทานออกมาด้วยความแปลกใจ
“กลิ่นอะไรของมึงวะ กูไม่เห็นได้กลิ่น” กล้าตอบมา
“ใช่ครับ ผมก็ไม่เห็นได้กลิ่นอะไรนี่ครับ พี่จมูกฝาดไปเองรึเปล่า” ต้นถามมาด้วยความสงสัยอีกคน
“ไม่รู้สิ แต่กูได้กลิ่นเหมือนมีอะไรเน่าๆ เหมือนกับมีอะไรตายที่ท้ายรถน่ะ” ต้นกับกล้าเมื่อเก้าบอกอย่างนั้นก็รีบหันไปที่ท้ายรถ แล้วค่อยขยับตัวข้ามเบาะไปแล้วเอาหน้าไปแนบที่กระจกทางด้านหลัง เพื่อสังเกตหาสิ่งผิดปกติ ตามที่เก้าบอก แต่ก็ไม่พบกับอะไรทั้งสิ้น จึงให้ต้นมาดูอีกคน ต้นก็ไม่พบความผิดปกติอะไรเช่นกัน แล้วทั้งสองก็หันไปบอกเก้าว่า “ชั้นว่าแกจมูกฝาดไปเองมากกว่าว่ะ ไม่เห็นมีอะไรเลยนี่หว่า”
แล้วทั้งสองก็ไปนั่งประจำที่ของตนเองทิ้งให้เก้าจมอยู่กับความมึนงงที่ตนได้รับไปเมื่อกี้คนเดียว กล้าเมื่อเห็นว่าตอนนี้ภายในรถเงียบจนผิดปกติแล้ว ก็เอื้อมมือไปหยิบเอาตลับใส่แผ่นซีดีเพลงขึ้นมาเลือกเพลงอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงเอาแผ่นนั้นใส่ในเครื่องอ่านแผ่น รออยู่ครู่หนึ่งเพลงก็เริ่มบรรเลง แล้วกล้าก็เปิดเสียงให้ดังขึ้น เพื่อแข่งกับสายฝนที่กระหน่ำลงมาอย่างไม่ชาดสายราวกับฟ้ารั่ว เพลงแต่ละเพลงที่กล้าเลือกนั้น เป็นเพลงเกี่ยวกับการรักๆใคร่ของหนุ่มสาวทั้งนั้น เก้าที่ตอนนี้กำลังจมปลักอยู่กับความคิดของตนเอง เรื่องราวในอดีตของเขาที่เคยทำอะที่ไม่ดีไม่ร้ายกับใครเอาไว้ ค่อยๆผุดขึ้นมาช้าๆ จนตอนนี้ในสมองของเขานึกขึ้นมาได้ตอนหนึ่งนั่นก็คือ ตอนที่เขาเคยหลอกเด็กสาวอนาคตดีไปข่มขืน แล้วฆ่าหมกไว้ที่ข้างป่า เมื่อเขานำเหตุการณ์เมื่อตอนนั้นมาผูกกับเหตุการณตอนนี้ เขาก็ต้องขนลุกเกรียว เพราะว่า สิ่งที่เขาได้กระทำไปนั้นมันสยดสยองเพียงไร และตอนนี้สิ่งที่เขาเคยทำร้าย กำลังย่างกลาย หมายเอาชีวิตของเขาอยู่รอมร่อแล้ว................
และแล้วฝนที่ตกอย่างหนักก็ผ่านไปในเวลาเกือบ 2 ชั่วโมง ทั้งสามคนตอนนี้กำลังหลับ เพราะคอยนานมากจนเผลอหลับไป เสียงเพลงก็ยังดังอยู่อย่างต่อเนื่อง ตอนนี้เกือบๆ จะตี 4 ครึ่งแล้ว และคนที่รู้สึกตัวก่อนใครอื่นก็คือ ต้น เพราะเขาเป็นคนที่มีสัญชาตญาณในเรื่องต่างๆดีกว่าคนอื่นๆในกลุ่มนี้ เมื่อเขาตื่นขึ้นมาก็รีบปลุกทุกคนที่กำลังหลับกันอยู่ เพื่อที่จะได้ออกรถกลับบ้าน
แล้วรถของมูลนิธิคันนี้ก็ออกเคลื่อนที่อีกครั้ง ท่ามกลางถนนที่เปียกแฉะ เพราะหมู่เมฆฝนเพิ่งจะตกผ่านไปเมื่อกี้ ตอนนี้เปลี่ยนคนขับแล้ว จากกล้าซึ่งขับอยู่ก่อนมากลายเป็นเก้า แลละตอนนี้กำลังตั้งใจกับการขับเป็นอย่างดี เพราะเขานึกถึงเหตุการณ์ที่เกือบจะเกิดขึ้นเมื่อตอนออกจาก บขส. อยู่ตลอด รถค่อยเคลื่อนที่ออกไปช้าๆด้วยความระมัดระวัง ตอนนี้กล้าและต้น กำลังคุยกันอย่างออกรสอีกครั้ง เมื่อรถออกมาไม่นาน
และแล้วเหตุการณ์ที่ทั้งหมดไม่เคยได้คาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่อเก้าขับผ่านสถานที่ซึ่งเคยกระทำกรรมอันโหดร้ายที่ไม่น่าให้อภัยเอาไว้ เกือบจะถึงทางเข้าสถานีแล้ว ก็ปรากฏร่างของคนๆหนึ่งเดินออกมาจากมุมๆนั้นช้าๆๆ แล้วค่อยๆยกมือขึ้นโบกเหมือนจะขอความช่วยเหลือ กล้ากับต้นตอนนี้หยุดคุยกันแล้ว และบรรยากาศในรถเงียบลงถนัดหู ไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมาจากปากของทุกคนเลยในวินาทีนี้ ทุกคนต่างจ้องมอไปที่ร่างๆนั้น ด้วยความคิดที่แตกต่างกัน
“เฮ้ย มึงว่าใครวะนั่นน่ะ” กล้าเริ่มพูดขึ้นทำลายความเงียบ ด้วยความสงสัย
“คงจะเป็นแค่คนที่ไม่มีรถกลับน่ะครับ เห็นกำลังโบกมือ เหมือนจะให้รถจอดอยู่นั่น” ต้นเสนอความคิด
“อืม.....น่าจะใช่ แต่เอ ทำไมตอนเราออกมาเราไม่เห็นเขาล่ะ” กล้าถามมาอีกครั้ง
“ไม่รู้สิครับ เพราะตอนที่พวกพี่เค้าออกมา ผมไม่ได้นั่งมาด้วยนี่ครับ”
“เออใช่ แล้วเอ็งคิดว่าไงวะเก้า” กล้าตอบ แล้วหันไปทางเก้าซึ่งตอนนี้เอาแต่เงียบไม่ยอมพูดอะไรออกมา
“ไม่รู้สิ แล้วพวกเอ็งคิดว่าไง” เก้าตอบแบบขอไปที
“งั้นผมว่าจอดรับเค้าจะดีกว่าไหมครับ รถเราก็เป็นรถของมูลนิธิร่วมกตัญญู ต้องช่วยเหลือคนที่กำลังประสบความลำบากสิครับ ใช่ไหม” ต้นออกความเห็น
“เป็นความคิดที่ดี แล้วเอ็งว่าไงวะเก้า” กล้าหันไปถามเก้าอีกครั้ง
“ก็แล้วพวกเอ็งก็แล้วกัน”
“งั้นเป็นอันตกลงนะครับพี่เก้า งั้นเลี้ยวเข้าไปจอดรับเค้าเลยสิครับ” ต้นกล่าวมา
“ได้ๆ งั้นไป”
แล้วเก้าก็ค่อยๆเลี้ยวเข้าเทียบจอดใกล้กับที่คนๆนั้นยืนอยู่ ขณะที่เก้ากำลังเลี้ยวเข้าไปใกล้ขึ้นนั้น ต้นกับกล้าก็จ้องไปยังเป้าหมายตาไม่กระพริบ เพราะร่างที่เห็นเป็นหญิงสาวอายุราวๆ 18-19 ปี อยู่ในชุดนักศึกษาน่าตาสะสวยเกินคำบรรยาย เมื่อรถเข้าเทียบจอดแล้วเก้าก็เปิดกระจก แล้วชะเง้อคออกไปทักทายว่า “เป็นไงครับ ไม่มีรถกลับหรือครับ”
“ใช่ค่ะ หนูมายืนอยู่ที่นี่ตั้งนานแล้ว แต่ยังไม่เห็นมีรถคันไหนจอดรับหนูเลยค่ะ” เธอตอบ
“อืม.....งั้นไปกับพวกพี่รึเปล่าละ” เก้าเสนอความเห็น
“ก็คงต้องอย่างนั้นแหละค่ะ เพราะถ้าไม่งั้นหนูคงต้องอยู่ที่นี่ไปอีกนานค่ะ”
“เฮ้ยๆ ต้น เอ็งว่าบรรยากาศมันแปลกๆรึเปล่าวะ” กล้าหันมากระซิบกระซาบกับต้น
“ใช่ครับพี่ ผมว่ามันเย็นๆเยือกๆยังไงไม่รู้ครับ” ต้นตอบ พลางถูแขนไปมา เพราะขนลุกซู่
“งั้นเชิญครับ” เก้ากล่าวเชิญชวน
“ค่ะ” แล้วเธอก็ขึ้นรถ โดยที่ทั้งสามไม่รู้เลยว่าสิ่งที่พวกเขากำลังพบอยู่ตอนนี้คืออะไร เพราะต่างคนต่างตะลึงในความสะสวยของเธอ แต่น่าแปลก ที่เก้าก็จำเธอไม่ได้ เพราะตอนนี้เธอคนนั้นสวยยิ่งกว่าเมื่อหลายวันก่อนมากนัก รถยนต์เคลื่อนที่อีกครั้ง เวลาตอนนี้จวนจะตี 5 แล้ว ในรถเงียบลงอีกครั้งเพราะต่างคนต่างขวยเขินซึ่งกันและกัน ขับไปได้สักพัก ต้นก็ได้กลิ่นอะไรแปลกลอยผ่านมาแตะจมูกบ้าง แล้วเขาก็แอบหันไปกระซิบทางกล้าว่าได้กลิ่นอะไรรึเปล่า และก็ได้คำตอบมาว่า ได้กลิ่น และต้นก็ถามต่อไปว่า กลิ่นน่าจะมาจากที่ไหน กล้าก็ตอบมาอีกว่า น่าจะมาจากตัวผู้หญิงคนนี้แหละ เมื่อต้นได้ยินดังนั้น ก็ค่อยแอบเอาจมูกหันไปสูดกลิ่นทางที่ผู้หญิงคนนั้นนั่ง เขาแทบผงะ เพราะกลิ่นที่ได้ ไม่ใช่กลิ่นของความหอม หรือกลิ่นกายของเธอ แต่เป็นกลิ่นเหมือนกับซากอะไรบางอย่างที่ตายมาแล้ว ไม่เกินสัปดาห์ ต้นค่อยๆหันมาทางกล้าซึ่งหลังจากเปลี่ยนหน้าที่ขับกับเก้าแล้วก็มานั่งอยู่ไกล้ๆต้น ด้วยใบหน้าแหยๆ เหมือนจะส่งสัญญาณว่า นั้นน่ะ ไม่ใช่คนแล้วแหละ แต่เป็นผี!!!!
เท่านั้น กล้าที่นั่งคอยฟังผลของการชันสูตรกลิ่นจากจมูกของต้น ก็หน้าซีดเผือด ขนทุกอณูในร่างกายเขาชูชัน เพราะความกลัว เนื่องจากสิ่งที่อยู่ร่วมด้วยในรถคันนี้ เป็นสิ่งที่ทั้งชีวิตของพวกเขาไม่เคยเจอมาก่อน กล้ากับต้นขยับร่างกายอันสั่นเทามาอยู่ติดกันโดยอัตโนมัติ แต่ที่น่าแปลกก็คือเก้า ซึ่งนั่งติดอยู่กับสิ่งดังกล่าว ไม่พบกับความผิดปกติที่เกิดขึ้นนี้ อีกครั้งที่ต้นกับกล้าแอบกระซิบกันอยู่ข้างหลัง
“เฮ้ย ไอ้น้องต้น เอ็งว่าทำไมไอ้เก้ามันไม่ได้กลิ่นวะ” กล้าเริ่มถามขึ้นก่อน หลังจากสะกิดต้นให้อิงหูมาแนบ
“ไม่รู้สิครับพี่ ผมก็สงสัยอยู่เหมือนกันว่าทำไม” ต้นตอบออกมาด้วยความงง
“กลิ่นเหม็นตายชัก มันยังนั่งคุยสบายเฉิบ ดูสิ” กล้ากล่าว
“อืม ใช่ครับ พี่กล้าครับ ตอนนี้ผมรู้สึกว่าไม่ไหวแล้วอ่ะครับ อยากจะอ้วก”
“ทนเอาหน่อยนะ เดี๋ยวอีกสักพักคงถึงแหละ”
“ครับ” ต้นกล่าว พลางเอามือป้องปาก
รถยังวิ่งต่อไปเรื่อยๆ ข้างหน้าทั้งสองคนกำลังคุยกันอย่างออกรส เหมือนกับสนิทสนมกันมานานปี จนกระทั่งรถวิ่งมาถึงทางเข้าที่หน้าสถานี แล้วค่อยๆเลี้ยวเข้าไป กล้ากับต้นที่นั่งกุมมือกันตลอดเพราะความกลัว ก็ถอนหายใจออกมาพร้อมกันด้วยความโล่งอก และแล้วรถก็จอดลงอย่างสนิทที่ลานจอดรถหน้าประตูทางเข้าไปยังห้องพัก
“เอาล่ะถึงแล้ว ทุกคนลงได้” เก้ากล่าว
“จะให้น้องนอนที่นี่เหรอคะ” ผู้หญิงคนนั้นกล่าว
“อืม ทำไมเหรอครับ” เก้าพูดเสียงหวาน
“คือ.......น้องไม่อยากอยู่ที่นี่น่ะค่ะ น้องกลัว”
“กลัวอะไรเหรอครับ”
“ก็ที่นี่เป็นมูลนิธิร่วมกตัญญูใช่ไหมคะ ก็ต้องมีการเก็บศพมาที่นี่ น้องจึงไม่อยากอยู่ค่ะ”
“อ๋อ ที่แท้ก็กลัวผีนี่เอง ฮ่าๆๆ ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวพี่พาไปหาโรงแรมพักก็ได้ครับ”
“พี่ใจดีที่สุดเลย” เธอกล่าวด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม แต่สิ่งที่กล้ากับต้นเห็นนั้น มันไม่ใช่ สิ่งที่พวกเขาเห็นอยู่ตอนนี้ คือ ใบหน้าที่อ้วนพอง มีน้ำหนองค่อยๆไหลย้อยออกมา แล้วที่ตาก็ปูดโปน ดูน่ากลัวยิ่งนัก และต้นก็ไม่รอช้ารีบขัดขวางเพื่อไม่ให้พี่ชายไปกับเธอ
“พี่เก้า ผมว่าอย่าไปไหนเลยจะดีกว่านะครับ ให้เขานอนที่นี่แหละ ผมว่าปลอดภัยดี” ต้นกล่าวขึ้น เก้าหันขวับมาทางต้นสียงด้วยใบหน้าบึ้งตึง
“เอ็งจะขัดพี่ทำไมวะ ไอ้น้องรัก เอ็งอยู่กับไอ้กล้าที่นี่แหละ เดี๋ยวพี่ก็กลับแล้ว พี่แค่พาน้องเค้าไปหาที่พักเฉยๆไม่ได้จะไปอยู่กินกับเขาสักหน่อย”
“เออน่า เอ็งอยู่กับพวกชั้นที่นี่เถอะเดี๋ยวกูจัดหาที่นอนให้นะนะ” กล้ากล่าวมาอีกคนแกมขอร้อง
“ไม่ว่ะ กูจะไปกับน้องเค้า มึงไม่ต้องงมาเป็นห่วงกูหรอกเดี๋ยวกูก็กลับมาแล้วน่า” เก้าตั้งท่าแข็งขัน แล้วก็หันหลังกลับไปโอบร่างดังกล่าวขึ้นรถ แล้วขับออกไปจากที่นั่นทันที
กล้าและต้นได้แต่หันมามองตากันปริบๆ เพราะสิ่งที่ทั้งสองเห็นมันน่าสยดสยองยิ่งกว่าอะไรเสียอีก แต่เมื่อห้ามแล้วไม่ฟัง พวกเขาก็ไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากปล่อยไปตามเวรตามกรรม ทั้งสองยืนมองรถค่อยๆแล่นออกไปจดสุดตาแล้ว ก็ค่อยๆชวนกันเดินเข้าไปข้างใน.....................
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ