~S.O.M.A~ [Solitaire of The Magician Age]
8.3
เขียนโดย Daimaou_no_Sora
วันที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553 เวลา 22.46 น.
12 Lesson
28 วิจารณ์
21.40K อ่าน
3) ภารกิจที่ไม่คาดฝัน
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ-= ~S.O.M.A~ [Solitaire of The Magician Age] - The Chronicle of Zodas =-
-= ~โซมะ~ [เพชรเม็ดเดียวแห่งยุคจอมเวท] - บทบันทึกแห่งโซดาส =-
-= Lesson 3 : ภารกิจที่ไม่คาดฝัน =-
ในช่วงเช้าคาบเรียนของ คอนสแตนติน ก็ได้เริ่มขึ้นเขานั้นเป็นอาจารย์สอนวิชา ‘การใช้อาวุธเบื้องต้นสำหรับจอมเวท’ สำหรับนักเรียนชั้นปีที่ 4 จนถึงปีที่ 6 ซึ่งวิชาของเขานั้นจะไม่สอนกันในห้องเรียนตามปรกติแต่จะสอน ณ ลานกว้างหลังอาคารเรียนหมายเลข 43 ซึ่งเป็นอาคารเรียนเก่าที่ไม่ได้ใช้แล้ว และห่างไกลจากบรรดาตึกเรียนอีกหลายๆตึก เพื่อป้องกันลูกหลงและเสียงดังเอะอะที่เกิดจากอาวุธหรือพลังเวท และที่สำคัญวันนี้เป็นวันที่อากาศร้อนอบอ้าวมากที่สุดในรอบปีเนื่องจากช่วงเดือน เซนิส [เดือนมีนาคม] ถึงเดือน กัลลิเอส [เดือนพฤษภาคม] จะเป็นฤดูร้อน และช่วงนี้เป็นช่วงมรสุมที่พายุโซนร้อนจะพัดโหมกระหน่ำเข้ามาตามชายฝั่ง ทำให้อากาศในช่วงนี้จะร้อนอบอ้าวเป็นพิเศษ
บรรดานักเรียนทั้งหญิงชายที่นั่งเรียงกันหน้าสลอนบนพื้นหญ้าเขียวชอุ่ม และตั้งอกตั้งใจฟังคำสอนของ คอนสแตนติน นั้นกำลังตั้งหน้าตั้งตาจดคำพูดของ คอนสแตนติน ทุกคำลงบนหน้าจอคอมพิวเตอร์แบบพกพาที่ติดอยู่ตรงท่อนแขน พลางเอาแขนเสื้ออีกข้างของตนปาดเหงื่อบนใบหน้าส่วนนักเรียนบางคนที่หัวไวหน่อย ก็ใช้เวทมนตร์ของตนสร้างเกราะกำบังขึ้นมาเหนือหัวเพื่อใช้บังแดดแทนร่ม ส่วนใครที่ถนัดใช้เวทสายน้ำแข็ง ก็สร้างก้อนน้ำแข็งขึ้นมาไว้ข้างๆกาย เพื่ออาศัยไอเย็นจากก้อนน้ำแข็งนั่น และเมื่อ คอนสแตนติน สังเกตุเห็นกลุ่มนักเรียนของตนที่กำลังนั่งปาดเหงื่อหน้าดำคร่ำเครียดกันอยู่นั้น ก็รีบตัดบทการสอนโดยทันที
“เอาล่ะ! ต่อไปจะเป็นการทดสอบการใช้อาวุธฝึกหัดระดับ 4”
คอนสเตนตินเดินไปที่โต๊ะไม้เก่าๆพุๆพังๆ ที่ยืมมาจากห้องเก็บอุปกรณ์รกร้างที่อยู่ในตึกเรียนเก่าที่อยู่ใกล้ๆ และบนโต๊ะนั่นมีสิ่งของที่มีลักษณะเหมือนกับกล่องสี่เหลี่ยมขนาดกว้าง 2 ซม. ยาว 5 ซม. หนาประมาณ 2 ซม. สีดำอมเทาไม่มีลวดลายประดับประดาอะไรทั้งสิ้นวางกองอยู่หลายอัน ซึ่งน่าจะเท่ากับจำนวนนักเรียนที่มีอยู่ในตอนนี้
“นี่คืออุปกรณ์กักเก็บหรือผนึกอาวุธที่เรียกว่า *Device แต่อันนี้จะมีความพิเศษกว่า Device ทั่วๆไปนิดหน่อยตรงที่มันสามารถตอบสนองกับผู้ใช้ได้ตาม ลักษณะ และ ระดับพลังเวท ของผู้ใช้ เพราะฉนั้นผู้ใช้แต่ละคนจะได้รูปร่างและความสามารถของอาวุธที่แตกต่างกันออกไปขึ้นอยู่กับลักษณะและระดับพลังเวทของคนๆนั้น เอาล่ะ! อธิบายไปก็ไร้ประโยชน์ ลุกขึ้น! เข้าแถว และมาหยิบไปคนละอัน แล้วกลับไปตั้งแถวหน้ากระดาน แบ่งเป็นแถวๆ แถวละ 10 คน โดยเว้นระยะห่างจากกันประมาณ 3 ช่วงตัว ไม่ใกล้ไม่ไกลไปกว่านี้ เข้าใจนะทุกคน”
กลุ่มนักเรียนต่างพากันเข้าแถวเรียงกันที่หน้าโต๊ะนั่น และหยิบแท่งสีดำอมเทานั่นไปคนละชิ้น ก่อนจะกลับไปยินเข้าแถวโดยเว้นระยะห่างจากกันตามที่ คอนสแตนติน บอก
“เอาล่ะทุกคน เมื่อพร้อมกันแล้วให้ทำการอัดพลังเวทของตัวเองเข้าไปใน Device ได้เลย”
คอนสแตนติน อัดพลังเวทของตนเข้าไปใน Device ที่เขาถืออยู่เพื่อแสดงเป็นตัวอย่าง และทันใดนั้น มันก็เปล่งแสงสีแดงขึ้นมาเล็กน้อย ก่อนจะขยายตัวออกและขึ้นเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา และในไม่กี่อึดใจในมือของ คอนสแตนติน ก็มีปืนกระบอกโตสีดำเมี่ยมมีลักษณะเหมือนกับปืน AK-47 ธรรมดาๆ แต่เปลี่ยนตรงช่วงปากกระบอกจะยาวขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย และตรงพันท้ายปืนจะสามารถปรับให้ยาวพอดีกับช่วงแขนและไหล่ของผู้ใช้ได้โดยอัตโนมัติ และตรงส่วนที่เป็นแมกกาซีนจะถูกย้ายขึ้นมาไว้ด้านข้างของตัวกระบอกปืน และตรงจุดที่เคยเป็นแมกกาซีนนั้นจะเป็นคันชักสั้นๆคล้ายกับคันชักของปืนลูกซองที่เอาไว้สำหรับเปลี่ยนรูปแบบของกระสุนที่มีอยู่ในแมกกาซีนเพื่อใช้ในสถานการ์ได้หลายหลากรูปแบบ และด้านบนช่วงเกือบกลางของตัวปืนนั้นจะเป็นหน้าจอขนาดพอเหมาะโผล่ขึ้นมานิดหน่อยพอที่จะเล็งเป้าได้ และในหน้าจอนั้นจะมีจุดสีแดงเล็กๆชี้ไปที่ศูนย์ปืนที่อยู่ที่ปากกระบอกอย่างพอดิบพอดี
เมื่อนักเรียนเห็นปืนในมือของผู้เป็นอาจารย์ ต่างก็พากันประหลาดใจและลองทำตาม คอนสแตนติน กันยกใหญ่ แต่ผลที่ออกมาไม่ได้เป็นเหมือนกับ คอนสแตนติน เลยแม้แต่น้อย มันเป็นไปตามที่เขาบอก อาวุธที่ทุกคนได้จะไม่เหมือนกัน มันขึ้นอยู่กับรูปแบบและระดับพลังเวทของผู้ใช้ ซึ่งนักเรียนบางคนก็ได้อาวุธปืนหรือธนูบ้าง บางคนก็ดาบหรือไม่ก็หอกบ้างปะปนกันไป แต่ที่น่าแปลกใจก็คือนักเรียน 3 ใน 4 ของนักเรียนหญิง จะได้เป็นคฑาเวทมนตร์ที่มีขนาดและรูปร่างที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งเมื่อ คอนสแตนติน เห็นเช่นนั้นก็ได้แต่ยิ้มและหัวเราะหึๆในลำคอเบาๆ
“ในเมื่อทุกคนได้รูปแบบอาวุธของตัวเองเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ครูจะบอกถึงคุณสมบัติหลักๆของ Device ของพวกเธอให้ฟัง อย่างที่กล่าวในข้างต้น Device จะตอบสนองผู้ใช้ตามระดับพลังเวทของผู้ใช้ เพราะฉนั้นมันจะแข็งแกร่งหรือไม่! ก็ขึ้นอยู่กับผู้ใช้เช่นกัน Device จะเป็นแค่อาวุธธรรมดาสามัญไร้พิษสง ตราบใดที่มันยังไร้ประจุพลังเวท ต่อให้มันจะมีความไฮเทคหรือล้ำยุคแค่ไหนก็ตาม”
คอนสแตนติน ล้วงมือลงไปในกระเป๋าเสื้อคลุม พร้อมกับหยิบลูกแก้วที่เหมือนกับครั้งที่เขาเอา อาชาเพลิงเรกิออส ให้ นีน่า ดูไม่มีผิด แต่สีของมันกลับเป็นสีเทาหม่นแทนที่จะเป็นสีแดง เขาควักมันออกมาจากกระเป๋าเสื้อ 2 ลูก แต่คราวนี้ไม่มีบทอัญเชิญหรือร่ายมนตร์ใดๆทั้งสิ้น เขาปามันออกไปให้ห่างจากตัวและกลุ่มนักเรียนให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ และเมื่อลูกแก้วพวกนั้นตกกระทบกับพื้นกลุ่มควันหนาแน่นก็เกิดขึ้น และเมื่อควันนั้นจางลง *โกเลม สีเงินหม่นที่ทั้งตัวของมันถูกห่อหุ้มไปด้วยก้อนเหล็กสีเงิน มีตัวขนาดใหญ่มหึมาสูงเกือบ 6 เมตร ซึ่งพอๆกับขนาดของ *โทรล เกิดขึ้นมาท่ามกลางกลุ่มควันหนาแน่นนั่น แต่พวกมันก็ไม่ได้ออกอาละวาตหรือก่อความวุ่นวายแต่อย่างใด เนื่องจากการเคลื่อนไหวของพวกมันนั้นเชื่องช้ามากขนาดเต่ายังสามารถเดินแซงได้
“นั่นคือ คาบอลสตีลโกเลม เป็นโกเลมที่สร้างมาจากแร่โคลบอลและแร่เหล็ก ซึ่งนำมาหลอมรวมกันในความร้อนสูงหลายพันองศาและตามด้วยความเย็นจัด จริงอยู่ที่พวกมันมีความเชื่องช้ามาก แต่เรื่องพละพลังกำลังนั้นไม่ต้องพูดถึง มันสามารถเอาชนะ โทรล ตัวใหญ่ๆได้อย่างสบายๆ แถมเวทมนตร์ระดับกลางลงไปยังไม่สามารถสร้างรอยขีดข่วนให้พวกมันได้เลยแม้แต่น้อย ซึ่งนั่นเหมาะที่จะใช้พวกมันทดสอบการใช้ Device พวกเธอในวันนี้ ซึ่งครูจะแสดงให้ดูเป็นตัวอย่าง คอยดูให้ดีนะ”
คอนสเตนตินตั้งท่าประทับปืนทันที เขาเล็งปืนไปที่ โกเลม ตัวหนึ่ง ปังๆๆๆ!! เขาลั่นไกอย่างไม่ลังเล เสียงปืนก็ดังสนั่นขึ้นอย่างต่อเนื่องกระสุนแต่ละนัดพุ่งเข้าหาเป้าหมายอย่างแม่นยำเหมือนจับวางไม่มีพลาดสักนัด แต่ โกเลม ที่ถูกยิงอยู่นั้นกลับไม่สะดุ้งสะเทือนเลยแม้แต่น้อย แต่ คอนสแตนติน ก็ยังไม่หยุดเหนี่ยวไกเขายังคงกราดกระสุนต่อไปเรื่อยๆ จนในที่สุดการกราดกระสุนอย่างต่อเนื่องและบ้าคลั่งของ คอนสแตนติน ก็จบลงเพราะกระสุนหมด เขากดปุ่มสีแดงแถวๆไกปืน 1 ครั้ง แมกกาซีนว่างเปล่าถูกปลดออกไปโดยอัตโนมัติ ก่อนจะมีแสงสีแดงที่ถูกบีบอัดให้มีรูปทรงคล้ายกับแมกกาซีนอันเดิมที่ถูกปลดออกไปเกิดขึ้นบริเวณช่องเสียบแมกกาซีนที่ด้านข้างตัวปืน และเมื่อแสงสีแดงจางลงก็มีแมกกาซีนอีกอันโผล่มาแทนที่ เขาหันไปมองกลุ่มนักเรียนที่ตอนนี้ทุกคนพากันเอามืออุดหูกันหมด เนื่องจากเสียงปืนที่ดังสั่นลั่นทุ่ง
“นี่คือการยิงแบบไม่มีประจุพลังเวท เห็นไหมว่า โกเลม ไม่ได้รับความเสียหายอะไรเลยแม้แต่น้อย”
คอนสแตนติน จับคันชักแล้วดึงมันเข้าหาตัวหนึ่งครั้ง เกร็กๆ มีเสียงดังขึ้นก่อนที่แมกกาซีนจะเลื่อนระดับลงมาต่ำกว่าเดิมประมาณ 2 เซ็นติเมตร และพันท้ายของปืนก็เลื่อนลงเล็กน้อย เผยให้เห็นช่องสี่เหลี่ยมที่ด้านในมีผลึกสีเขียวมรกตเล็กๆอยู่ ส่วนนักเรียนก็ทำตามซึ่งวิธีการและจุดที่ผลึกของแต่ละคนอยู่นั้นจะแตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่ประเภทของอาวุธชนิดนั้นๆ แต่ก็พอที่จะสังเกตุเห็นได้ง่าย
“ผลึกสีเขียวนี้คือ แกนกลาง ของ Device ถ้า แกนกลาง นี้ถูกทำลายหรือชำรุด Device จะไม่สามารถใช้งานต่อได้ เพราะฉนั้นจงระวังในจุดนี้ให้ดี ถ้าหากสายอาชีพในอานาคตของพวกเธอมีอาวุธเป็น Device ล่ะก็นะ… แต่ก็ยังมี Device ระดับสูงบางประเภทที่ใช้ *คาร์ทริดจ์ เป็นประจุพลังเวทแทนผลึกนี่ เพราะฉนั้นจึงไม่ต้องกังวลเรื่องความเสียหายที่เกิดขึ้นกับ ตัวผลึก และตัว Device เอาล่ะๆ… มาต่อกันที่ผลึกสีเขียวนี่ดีกว่านะ สิ่งที่พวกเธอต้องทำก็คือ บีบอัดพลังเวทในจำนวนที่ต้องการลงไปที่ผลึกแก้วนี่โดยตรง”
คอนสแตนติน รวบรวมพลังเวทไว้ที่ผ่ามือก่อนจะอัดเข้าไปในช่องที่ผลึกแก้วอยู่ ทันใดนั้นผลึกแก้วก็แสดงตัวเลข ‘4584’ ขึ้นมา
“ตัวเลขที่ปรากฎในผลึกแก้วนี่ คือตัววัดระดับพลังเวทซึ่งมีหน่วยเป็น *รูน จะมีระดับตั้งแต่ 0 – 9999 รูน ของครูคือ 4584 รูน ซึ่งอยู่ในระดับที่เกินระดับกลางมานิดหน่อย… เพราะฉนั้นการโจมตีของครูในคราวนี้จะถือว่าเป็นการโจมตีด้วยเวทมนตร์ ไม่ใช่ทางกายภาพด้วยกระสุนเพียงอย่างเดียว ซึ่งความรุนแรงจะขึ้นอยู่กับระดับพลังเวทที่แสดงอยู่นี่ และจะลดลงเรื่อยๆตามระดับหรือจำนวนครั้งของการโจมตี”
คอนสแตนติน เล็งปืนไปที่ โกเลม ตัวเดิมอีกครั้ง เขาเหนี่ยวไกแต่คราวนี้กระสุนแต่ละนัดที่ถูกยิงออกไปนั้นจะถูกเคลือบด้วยแสงสีเขียวเป็นแสงจากพลังเวทที่เขาอัดเข้าไปนั่นเอง และเมื่อกระสุนกระทบกับ โกเลม ตัวนั้น เคร้ง!! ส่งผลให้ผิวที่ถูกห่อหุ้มด้วยโลหะสีหม่นของมันก็แตกออกในทันที ทำให้มันถึงกับทรุดฮวบลงกับพื้น แต่มันก็ยืนขึ้นมาใหม่ได้อีกครั้งและผิวที่แตกออกนั้นก็ค่อยๆกลับสภาพเป็นเหมือนเดิมเหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“ฮ่ะๆ ลืมไปเลยว่ามันสามารถ ฟื้นฟูตัวเอง ได้ด้วย แต่ก็ดี… จะได้ทำให้พวกเธอสนุกไปกับการทดสอบในครั้งนี้มากยิ่งขึ้น เห็นไหมว่า… การโจมตีด้วย Device ที่อัดประจุพลังเวทเข้าไปมันมีความรุนแรงมากขึ้นกว่าเดิมหลายเท่าตัว เอาล่ะ!! คราวนี้ก็ถึงตาของพวกเธอแล้ว ชั้นจะมอบภารกิจให้พวกเธอทำล่ะนะ ภารกิจก็คือ โค่น โกเลม ทั้ง 2 ตัวนั่นให้ได้ภายในเวลา 30 นาที แต่ระวังการโจมตีของมันหน่อยล่ะ ถ้าโดนเข้าไปทีหนักเอาเรื่องเลยนะ แต่ครูเชื่อว่าระดับอย่างพวกเธอคงจะไม่เป็นอะไรไปง่ายๆจริงไหม?”
คอนสแตนติน ส่งสายตาพร้อมกับยิ้มให้เล็กน้อยไปยังนักเรียนที่ยืนอึ้งกับคำสั่งของผู้เป็นอาจารย์
“เอ่อ… อาจารย์คะ ถ้าเลยกำหนด 30 นาทีล่ะคะ?”
นักเรียนหญิง *เผ่าดวอว์ฟ ตัวเล็กไว้ผมม้าสีชมพูอ่อนดวงตากลมโตสีเดียวกับผมของเธอ ผู้มีจมูกขนาดพอเหมาะรับกับใบหน้ามนๆของเธอเป็นอย่างดี ผิวพรรณสีขาวนวลผ่อง และมีท่าทางร่าเริงแจ่มใส ในมือของเธอนั้นมีขวาน 2 คมขนาดใหญ่กว่าตัวเธออยู่ ซึ่งเธอสามารถถือมันได้อย่างไม่มีปัญหาอะไรเลยเมื่อเทียบกับรูปร่างของเธอเอง ซึ่งเป็นความพิเศษของชนเผ่านี้อยู่แล้ว ถึงจะตัวเล็กแต่ก็มีพละกำลังมหาศาล คอนสแตนติน ไม่ตอบเขาได้แต่เพียงยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย พลางเดินไปจับบ่าของนักเรียนหญิงตัวน้อยนั่น ก่อนที่จะพูดว่า…
“ในสงครามที่ต้องต่อสู้กับพวก อสูร นั้นชีวิตของเธอมันขึ้นอยู่กับระยะเวลาในการปฏิบัติภารกิจ ถ้าหากทำไม่สำเร็จ… ผลที่ได้ก็คือ ‘ตาย’ ครูว่า… ระยะเวลา 30 นาทีนั้น มันเป็นระยะเวลาที่มากเกินไเสียด้วยซ้ำ ในการโค่น โกเลม แค่ 2 ตัว เชื่อมั่นในตัวเองและเพื่อนๆของเธอสิ ในสมรภูมิเธอไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวหรอกนะ”
คอนสแตนติน ตบบ่าของนักเรียนหญิงนั่นเบาๆ ก่อนที่จะกดปุ่มจับเวลาบนนาฬิกาข้อมือของตน พลางยืนกอดออกแบบวางท่า ทำให้คาเร็คเตอร์เถื่อนๆของเขาค่อยดูเป็นอาจารย์ขึ้นมาหน่อย
“เอ้า! อย่าชักช้า!! ครูเริ่มจับเวลาแล้วนะ! ใครที่ถนัดใช้เวทสนับสนุน ก็คอยอยู่กองหลัง และใช้เวทสนับสนุนเพื่อนๆด้วย ส่วนใครที่ได้อาวุธระยะกลางถึงไกลก็คอยสนับสนุนเพื่อนๆที่ใช้อาวุธระยะประชิดด้วย! เข้าใจไหม!?”
บรรดานักเรียนหลากหลายเผ่าพันธุ์ ต่างพากันกระโจนเข้าหา โกเลม 2 ตัวนั่น ในที่สุดการปะทะระหว่างกลุ่มนักเรียน และ โกเลม สีเงินหม่นก็เกิดขึ้น เสียงอาวุธนานาชนิดกระทบกับผิวโลหะของ โกเลม ทั้ง 2 ดัง เคร้งคร้าง!! ฟังดูเผินๆคล้ายกับเสียงดนตรีที่ใช้อาวุธในการบรรเลงก็มิปาน ส่วนทางด้าน โกเลม ทั้ง 2 ตัวเองก็ทำการโจมตีใส่กลุ่มนักเรียนโดยสันชาตญาณ มันไม่สนใจว่าจะโดนเป้าหมายหรือไม่ แต่ขอให้ได้โจมตีเป็นพอ ซึ่งมีหลายต่อหลายครั้งที่หมัดของมันเกือบที่จะซัดโดนนักเรียนบางคน แต่แม้ว่าหมัดของมันแต่ละหมัดที่ซัดออกมาจะเชื่องช้า แต่พลังทำลายนั้นช่างมหาศาลอย่างเหลือเชื่อ จนทำให้พื้นรอบๆตัวมันเกิดหลุมบ่อขนาดใหญ่หลายต่อหลายจุด
พลั่ก!! ตูม!! นักเรียนชายเผ่าเอลฟ์หน้าตาดีคนหนึ่งกำลังคิดที่จะอ้อมไปโจมตีทางด้านหลังของมัน แต่กลับถูกมันหวดเข้าให้จนกระเด็นไปไกลเลยทีเดียว แต่ก็ไม่บาดเจ็บมากมายนักเพราะเขาได้สร้างเกราะมนตราคุ้มกันตัวเองไว้ก่อน จึงทำให้การโจมตีที่ได้รับไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต
“ตั้งใจหน่อย! อย่าเผลอเด็ดขาด! อเล็กซิส! เธอเป็นคนที่ถนัดมนตรารัศมีกว้างมากที่สุดในห้อง ใช้มันให้เป็นประโยชน์สิ!”
คอนสแตนติน ตะโกนใส่นักเรียนหญิงเผ่ามนุษย์ที่กำลังใช้เวทสนับสนุนเพื่อนๆอย่างสุดกำลัง เธอรวบรวมพลังเวทไว้ที่ผลึกแก้วสีเขียวบนคฑาของเธอ และควงมันไปมารอบตัวอย่างรวดเร็วและวง่างาม ทันใดนั้นก็เกิดวงแหวนเวทขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 5 - 6 เมตรที่ใต้ตัว โกเลม ทั้ง 2 ตัวนั้น ทำให้มันทรุดฮวบลงตัวติดกับพื้นในทันทีเหมือนกับมีอะไรบางอย่างที่หนักกว่าตัวของมันหลายเท่ามาทับพวกมันเอาไว้
‘มนตราควบคุมแรงดึงดูดงั้นเรอะ? ถือว่าเป็นการแก้สถานะการณ์เฉพาะหน้าได้ในระดับหนึ่ง แต่ว่า… แค่นั้นมันยังไม่พอหรอก…’
คอนสแตนติน ยืนคิดในใจพลางเอามือลูบเคราสองสีของตัวเองไปด้วย และก็เป็นอย่างที่เขาคิดจริงๆ เพราะไม่นานนัก โกเลม ทั้ง 2 ก็ยันตัวฝืนพันธการแรงดึงดูดจนข่ายมนตร์ของนักเรียนหญิงคนนั้นแตกสลายทันที มันกลับมาเหวี่ยงกำปั้นของตัวเองไปมาอย่างไร้จุดหมายอีกครั้ง
“สวัสดียามบ่ายครับ อาจารย์คอนสแตนติน ท่าทางจะยุ่งกันน่าดูเลยนะครับ?”
ชายหนุ่มอายุประมาณ 22 ปี ผู้มีดวงตากลมโตสีดำเป็นประกาย หน้าตาละม๊ายคล้ายผู้หญิง ใส่แว่นไร้กรอบ จมูกโด่งแต่ไม่มากเข้ากับใบหน้าเนียนๆของเขาเป็นอย่างดี คิ้วบาง ริมฝีปากเรียบบาง ผมสีดำยักศกยาวถึงไหล่ สวมเสื้อยืดสีดำ และมีเสื้อคลุมสีดำพาดบ่าเอาไว้ กางเกงขายาวทรงกระบอกสีดำ และถุงมือแบบเปิดปลายนิ้วสีดำบริเวณหลังของถุงมือมีสัญลักษณ์เป็นรูปวงแหวนเวทสีขาวสลักเอาไว้ เขาเดินอาดๆเข้ามายืนข้างๆ คอนสแตนติน ในปากคาบแท่งแครอทสีส้มสดเอาไว้ด้วย
“อ้าว! อัคคามิฬ ไม่ได้พบกันซะนานเลยนะ ว่าแต่ว่า… วันนี้ไม่ได้ไปเฝ้าอารักขา องค์กษัตริย์เทนชิ กับ องค์หญิงรุซุนะ รึ?”
“ตอนนี้ผมกำลังอยู่ในช่วงพักน่ะครับ ก็เลยกะว่าจะมาขอคำปรึกษาจากคุณเสียหน่อย…”
“โอ้!! คำปรึกษางั้นรึ? ว่าแต่… เรื่องอะไรล่ะ? ถ้าเรื่องรับมือกับองค์หญิงล่ะก็ชั้นขอผ่านนะ”
“ฮ่ะๆๆ ไม่ใช่เรื่องนั้นหรอกครับ แต่มันเกี่ยวข้องกับคุณและผมโดยตรงเลยล่ะ แต่คุณคงจะไม่สนใจมันหรอก จริงไหมล่ะครับ?”
อัคคามิฬ หัวเราะออกมาเล็กน้อย แต่ คอนสแตนติน กลับตีสีหน้าจริงจังใส่ และไม่เอ่ยปากใดๆต่อทั้งสิ้น เขาหยุดลูบเครา 2 สีของเขาทันที อัคคามิฬ รู้สึกตัวว่า ตนได้พูดในสิ่งที่ไม่สมควรพูดไปเสียแล้่ว โดยเฉพาะกับคนที่ค่อนข้างจริงจังอย่าง คอนแสตนติน เมื่อเขาต้องการจะรู้อะไรเขาก็จะต้องได้รับรู้ โดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวข้องกับตัวเอง
“เอ่อ… เอาเป็นว่าผมขอตัวก่อนดีกว่า… ผมไม่อยากรบกวนเวลาในการสอนของคุณไปมากกว่านี้”
“จะไปแล้วรึ? ไม่รอให้จบคาบของชั้นก่อนล่ะ จะได้ไปนั่งหาอะไรดื่มด้วยกันสักหน่อย…”
“ผมก็แค่จะไปเดินเล่นแถวๆนี้หน่อยน่ะครับ อยากเก็บความทรงจำเก่าๆสมัยที่ยังศึกษาอยู่ที่นี่ แล้วเจอกันตอนเย็นที่ร้านกาแฟอัลมัสต้าบริเวณชานชลาหมายเลข 12 นะครับ”
“ต้องให้รอคำตอบอีกแล้วงั้นรึ? หึหึ ไม่ไหวเลย… ไอ้ลูกศิษย์คนนี้”
หลังจากที่ชายหนุ่มเดินจากไป คอนสแตนติน ดูนาฬิกาข้อมือของตน นี่ผ่านไป 15 นาทีแล้ว แต่บรรดานักเรียนของเขาก็ยังไม่ทีท่าว่าจะโค่น โกเลม ทั้ง 2 ตัวนั้นลงได้เลย แม้แต่รอยขีดข่วนก็ยังทำไม่ได้เลยสักแห่งเดียว แต่เขาก็รู้ดีว่านักเรียนของเขาทุกคนต่างก็มีความมุ่งมั่นและตั้งอกตั้งใจกันอย่างล้นเหลือ ดูได้จากการจัดรูปขบวนในการโจมตีศัตรู ที่ตอนแรกยังดูเหมือนฝูงผึ้งแตกรังอยู่เลย แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นว่านักเรียนแต่ละคนรู้ถึงจังหวะและหน้าที่ของตัวเองเป็นอย่างดี และคอยเข้าโจมตีสลับกับการสนับสนุนจากพวกพ้องอย่างเป็นจังหวะ ไม่มีช่องโหว่เลยแม้แต่น้อย
“เอ้าๆ! เร่งเข้าทุกคน เหลือเวลาอีก 15 นาที โคม่า! ใช้พละกำลังของเธอให้เป็นประโยชน์สิ! คอยป้องกันการโจมตีของมัน แล้วหาโอกาสสวนกลับซะ! ให้สมกับเป็นชน *เผ่าออร์ค ที่แสนจะบ้าบิ่นหน่อย…”
คอนสแตนติน หันไปตวาดกับนักเรียนชาย เผ่าออร์ค ตัวเขียวคล้ำที่พยายามหวดกระบองหนามโลหะในมือของตน สวนกับกำปั้นโลหะของ โกเลม อย่างสุดกำลัง ประกายไฟเกิดขึ้นเป็นระยะ ตามจังหวะการปะทะของทั้ง 2 สิ่ง แต่ดูเหมือนว่า โกเลม จะมีพละกำลังเหนือกว่าเขาอยู่หลายขุม
“เออใช่! ครูลืมไปเสียสนิทเลย โทษทีนะทุกคน… ครูลืมบอกไปว่าจุดอ่อนของโกเลมทั้ง 2 ตัว มันอยู่ที่กลางร่องอก ลึกลงไปใต้เกราะผิวโลหะของมันเล็กน้อย จะมีผลึกแก้วสีม่วงขนาดเท่ากับกำปั้นอยู่ ให้เน้นการโจมตีไปที่ตรงนั้น!! โจมตีจุดอื่นไปก็เสียเวลาเปล่า ฮ่าาาๆๆๆ!”
“โถ่… อาจารย์!”
นักเรียนทุกคนต่างตะโกนออกมาเป็นเสียงเดียวกัน แต่ คอนสแตนติน ได้แต่ยืนหัวเราะในความขี้หลงขี้ลืมของตนเอง กลุ่มนักเรียนกลับมาจัดรูปขบวนใหม่ และพยายามมุ่งโจมตีไปที่กลางอกของ โกเลม จุดเดียวเท่านั้น แต่ โกเลม ทั้ง 2 ก็พยายามปัดป้องจุดยุทธศาสตร์ของมันเอาไว้อย่างเต็มกำลังเช่นกัน จน คอนสแตนติน เริ่มจะทนในความงุ่มง่ามของนักเรียนไม่ไหว เขาจึงอัดพลังเวทใส่ปืนในมืออีกครั้งตัวเลข ‘8932’ ปรากฎขึ้นบนผลึกแก้วสีเขียวมรกตนั่น
ทันใดนั้นเขาก็เล็งศูนย์ปืนไปที่กลางอกของ โกเลม ที่กำลังไล่อัดนักเรียนอยู่ทางขวามือ เปรี้ยง!!! เมื่อได้โอกาสเขาเหนี่ยวไกอย่างไม่รีรอ เสียงปืนดังขึ้นอีกครั้งแต่คราวนี้มันดังกว่าครั้งที่เขาแสดงเป็นตัวอย่างให้กับนักเรียนหลายเท่านัก และตามมาด้วยลำแสงสีเขียวเข้มที่ออกมาจากปากลำกล้องปืนของเขา ลำแสงยาวประมาณ 1 ฟุต พุ่งเข้ากระทบกลางอกของ โกเลม อย่างจัง เกราะโลหะสีเงินหม่นของมันแตกกระจายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ก่อนกระสุนจะทะลุเข้าไปโดนผลึกแก้วทรงสี่เหลี่ยมข้าวหลามตัดสีม่วงขนาดเท่ากำปั้นนั่น
ครืน~~ ตึง!!! โกเลมตัวนั้นล้มหงายหลังตึงลงไปนอนแผ่หรากับพื้นทันที ก่อนที่ร่างค่อยๆแตกออกกลายเป็นก้อนโลหะชิ้นเล็กชิ้นน้อย และสลายกลายเป็นผงฝุ่นลอยไปกับสายลม เหล่านักเรียนที่กำลังต่อตีกับ โกเลม ที่พึ่งตายไปเมื่อครู่หันมามองค อนสแตนติน ด้วยความประหลาดใจและไม่เชื่อในสิ่งที่ตนเองเห็นว่ากระสุนอัดประจุพลังเวทเพียงแค่นัดเดียวและมาจากชายวัยกลางคน จะสามารถล้มโกเลมตัวมหึมาได้ง่ายดายขนาดนี้
“ถือว่าเป็นการไถ่โทษก็แล้วกัน เอ้า! มัวทำอะไรอยู่! ยังเหลือ โกเลม อีกตัวนะ เร็วๆเข้า! เวลาจะไม่เหลือแล้ว ถ้าครูช่วยพวกเธอถึงขนาดนี้แล้ว พวกเธอยังโค่นมันไม่ได้อีกล่ะก็ ครูจะตัดคะแนนพวกเธอให้เหี้ยนเลย…!”
กลุ่มนักเรียนที่ได้รับความช่วยเหลือจาก คอนสแตนติน หันไปสบทบกับกลุ่มที่กำลังซัดอยู่กับ โกเลม อีกตัวที่ตอนนี้ดูเหมือนมันเริ่มจะเกรี๊ยวกราดมากขึ้นกว่าเดิม สังเกตุได้จากความเร็วและความรุนแรงในการหวดกำปั้นของมันที่เพิ่มมากขึ้น แต่นักเรียนเหล่านั้นก็หาได้ย่อท้อไม่ กลับสนับสนุนซึ่งกันและกันได้ดียิ่งขึ้นกว่าเดิมเสียอีก และตอนนี้นักเรียนหญิงและชายจำนวน 5 คน ซึ่งตีตัวออกมาจากจุดเกิดเหตุพอสมควร และดูเหมือนกำลังร่ายมนตร์อะไรบางอย่างอยู่
‘โห่…! ถ้าชั้นเดาไม่ผิด นั่นมัน ‘โซ่ตรวนเทวา กักกันอสุนี 5 ทิศ’ มนตรากักกันขั้นสูงนี่ ไม่เลวๆ มีอะไรให้ประหลาดใจเยอะจริงๆนะเจ้าพวกนี้’
ในระหว่างที่ คอนสแตนติน กำลังประหลาดใจกับเวทมนตร์ของนักเรียนของตนเองอยู่นั้น โซ่ตรวนขนาดใหญ่ที่สร้างขึ้นจากวงแหวนเวทมนตร์ของนักเรียนทั้ง 5 คนก็พุ่งเข้ารัด แขน ขา และคอ ของโกเลมตัวนั้นเอาไว้แน่นมันพยายามขัดขืนแต่ก็ไร้ผล เพราะยิ่งมันพยายามดิ้นเท่าไหร่โซ่ตรวนนั่นก็ยิ่งรัดแน่นมากขึ้นเท่านั้น จนโซ่ตรวนทั้งหมดสามารถฉุดกระชากมันให้ลงไปนอนแผ่หราอยู่กับพื้นได้เป็นผลสำเร็จ และไม่รอช้านักเรียนชายเผ่ามนุษย์คนหนึ่ง ผู้ที่ได้อาวุธเป็นสนับมือโลหะสีเงินวาววับ เขาปีนขึ้นไปยืนอยู่เหนือร่องอกของโกเลมตัวนั้นทันที และทำวิธีเดียวกันกับ คอนสแตนติน นั่นคืออัดประจุพลังเวทเข้าไปในสนับมือของตนเองก่อนที่จะรัวต่อยไปที่เกราะที่เป็นโลหะอันแข็งแกร่งของมันแบบไม่ยั้ง เปรี้ยงๆๆๆๆ! ตูมๆๆๆ!! พลั่กๆๆๆ!!! เพล้ง!! เสียงรัวหมัดดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง และตามมาด้วยเสียงเหมือนกับแก้วแตก เกราะของมันถูกเปิดออก และกำลังจะกลับสู่สภาพเดิม แต่กลุ่มนักเรียนไม่ปล่อยให้เรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ยังมีนักเรียนชายกับหญิงอีกคู่หนึ่งที่กำลังร่ายเวทมนตร์รอยอยู่บนฟ้า ซึ่งระหว่างนั้นท้องฟ้าโดยรอบที่ทั้งคู่อยู่นั้นก็ค่อยๆกลายเป็นสีเทาหม่นก่อนจะเริ่มมีฟ้าผ่าเล็กๆเกิดขึ้น
“แสงอัสนีบาต มหาศาสตราประกายพรึก ระเบิดกัมปนาท! พิฆาตอสุรา!!”
สิ้นเสียงของนักเรียนทั้ง 2 หอกเรืองแสงสีทองอร่ามปลายเรียวแหลมขนาดใหญ่มหึมาปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า มวลอากาศเริ่มแปรปรวน แรงกดดันของพลังเวทมหาศาลแผ่ขยายตัวออกไปทั่วทุกสารทิศ ก่อนจะพุ่งลงมาใส่ โกเลม ที่ถูกพันธนาการอย่างน่าสงสารนั่น มันเสียบทะลุผลึกแก้วสีม่วงจนร่างกายมันแหลกเป็นผุยผงหายไปกับสายลม เปรี้ยง!! ครืน~~! เสียงฟ้าผ่าดังขึ้นสนั่นหวั่นไหวพื้นดินสั่นสะเทือนไปทั่วจน คอนสแตนติน ต้องเอามือจับโต๊ะเก่าๆพุๆพังๆนั่น เพื่อพยุงตัวเองไม่ให้ล้ม
“ใช้ได้ๆ ใช้เวลา 30 นาทีพอดี เป็นไง? ความรู้สึกที่ได้ทดลองใช้ Device ครั้งแรก วิเศษไปเลยใช่ไหมล่ะ? ถึงมันจะเป็นแค่รุ่นฝึกหัดก็ตามทีเถอะ ลองนึกถึงในอนาคตดูสิ… ถ้าหากพวกเธอได้เป็นจอมเวทระดับชั้นแนวหน้า และได้ใช้ Device ของจริงแล้วล่ะก็จะวิเศษกว่านี้แค่ไหน ในครั้งหน้าเราจะทำการทดสอบจริงๆกัน เอาล่ะๆ! นี่ก็เลยเวลาของครูมาเยอะแล้ว ขอให้ทุกคนคืนสภาพของมันให้อยู่ในสถานะ Freezing และเอามันมาคืนกับครู แล้วก็… แยกย้ายกันไปเรียนคาบต่อไปได้แล้วล่ะนะ”
นักเรียนทุกคนเอา Device ที่กลับคืนสู่สถานะ Freezing แล้วไปวางไว้บนโต๊ะตัวเดิม และพากันเดินกลับไปยังอาคารเรียนของตัวเองเพื่อเข้าเรียนวิชาต่อไป คอนสแตนติน ค่อยๆหยิบ Device ที่กลับไปอยู่ในรูปของกล่องสีเหลี่ยมผินผ้าดังเดิมใส่ลงไปในถุงผ้าสีเลือดหมูร้อยเชือกสีทองที่เขาเตรียมเอาไว้อย่างระมัดระวัง
“วิชาของอาจารย์น่าสนใจดีนะคะ”
“โอ้! สวัสดียามบ่ายครับ อาจารย์นีน่า"
นีน่า ที่พึ่งสอนชั่วโมงของเธอเสร็จและเดินผ่านมาเห็น คอนสแตนติน เข้าพอดี จึงเดินเข้ามาทักและเมื่อเธอเห็นแท่งสีดำที่อยู่บนโต๊ะนั่น เธอก็แสดงท่าทางสนอกสนใจขึ้นมาทันที
“Device รุ่นฝึกหัด อย่างงั้นเหรอคะ?”
“ครับ ผมลองเอามาให้นักเรียนได้ทดลองใช้กันดูน่ะครับ”
นีน่า หยิบ Device รุ่นฝึกหัดขึ้นมาอันหนึ่ง เพียงแค่เธอสัมผัสมันเท่านั้น มันก็กลายสภาพเป็นปืนสั้นกระบอกโตสีดำเงางามขึ้นมาทันที ถึงมันจะแตกต่างจากอาวุธคู่กายของเธอเล็กน้อย แต่มันก็ให้ความกระชับและเข้ากับมือของเธอเป็นอย่างดีเลยทีเดียว
“เป็นแบบตอบสนองตามผู้ใช้เสียด้วย ถือว่าเป็นอุปกรณ์ฝึกหัดที่เหมาะกับการสอนมากเลยทีเดียว เพราะใช้งานได้ง่าย และมีความปลอดภัยที่สูง อาจารย์นี่… มีของดีๆเก็บเอาไว้เยอะจังเลยนะคะ อาชาเพลิงเรกิออส นั่น… ก็เช่นกัน”
นีน่า ลองเหวี่ยงปืนไปในทิศทางต่างๆเพื่อทดสอบน้ำหนักและความคล่องตัว พร้อมกับลองเล็งศูนย์ปืนไปยังจุดต่างๆที่เธอเหวี่ยงแขนไป แต่เธอก็ไม่รู้สึกว่าแปลกหรือไม่คุ้นเคยเลยแม้แต่น้อย แต่เธอก็ยังวางใจมันไม่ได้เท่ากับได้ลองยิงจริงๆสักครั้ง ดังนั้นเธอจึงวางมันลงที่เดิม ก่อนที่ปืนกระบอกนั้นจะค่อยๆกลับส่สภาพดังเดิมของมันอีกครั้ง
“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกครับ อ่า…ใช่แล้ว! ว่าแต่… เรื่องบ้านของอาจารย์ที่โดน กลุ่มเลนิน บุกเมื่อคืนก่อนละครับ การซ่อมแซมไปถึงขั้นไหนแล้ว? คงลำบากแย่เลยสินะครับ ถ้ายังไงวันอาทิตย์นี้ผมว่าง ให้ผมไปช่วยซ่อมแซมอีกแรงไหมล่ะครับ?”
“มะ… ไม่เป็นไรหรอกค่ะ! รบกวนเวลาของอาจารย์เปล่าๆ”
“เรื่องนั้นไม่ต้องห่วงหรอกครับ เพราะวันอาทิตย์นี้ผมก็ไม่ได้มีธุระอะไรที่ไหนอยู่แล้วด้วย นั่งอ่านหนังสืออยู่ที่ห้อง มันก็น่าเบื่อ… ถ้าได้ออกแรงสักนิดก็คงจะดีมิใช่น้อย”
“จะดีเหรอคะ?”
“ดีสิครับ…”
“งั้นก็… ตกลงค่ะ ตายล่ะ! นี่ใกล้จะถึงชั่วโมงต่อไปที่ดิชั้นจะต้องสอนแล้ว ถ้างั้นดิชั้นขอตัวก่อนนะคะ”
นีน่า ก้มหัวพร้อมกับส่งยิ้มให้ คอนสแตนติน และเดินจากไป ส่วนเขาก็ทำหน้าที่เก็บ Device ต่อไปเรื่อยๆ จนถึงชิ้นที่เธอวางทิ้งเอาไว้ และเมื่อเขาจับมันขึ้นมาปรากฎว่า… เพล้ง!! มันแตกออกเป็นชิ้นๆทันที ผลึกแก้วสีเขียวมรกตที่เป็นแกนหลักของ Device ชิ้นนั้น กลิ้งออกมาจากซากของมัน และมีตัวอักษรแทนที่จะเป็นตัวเลขปรากฎขึ้นว่า ‘System Overload’ สีแดงกระพริกช้าๆก่อนจะค่อยๆดับไป คอนสแตนติน หน้าถอดสีและชายตามองตามหลังของเธอด้วยสายตาที่ดูสนอกสนใจปนฉงนสงสัย แต่เขาก็พยายามคิดในแง่ดีว่าอุปกรณ์มันอาจจะเก่าเกินไป จนทนรับพลังเวทไม่ได้แล้วก็เป็นได้
หลังจากนั้น คอนสแตนติน ยังมีคาบที่ต้องสอนต่ออีกจนใกล้จะถึงเวลานัดหมายกับ อัคคามิฬ เขารีบวิ่งไปยังร้านกาแฟที่ชายหนุ่มนัดเขาเอาไว้อย่างเร่งรีบ จนในที่สุดเขามาถึงชานชลาหมายเลข 12 ของสถานีรถไฟที่อยู่ภายในสถาบัน เขาหันซ้ายหันขวาหาร้านกาแฟที่ว่า… แต่ไม่พบร้านค้าไหนที่ดูคล้ายคลึงกับร้านกาแฟเลยสักนิด ร้านค้าแถวนี้มีแต่ร้านขายของฝากและของกินจุกจิกทั่วๆไป
แต่เมื่อเขาสังเกตุเห็นซอกหลืบเล็กๆที่ดูซอมซ่อสกปรกและบรรยากาศอึมครึมไม่รับแขกเป็นอย่างยิ่ง เขาก็เห็นชายที่มีหนวดสีขาวกำลังนั่งจิบกาแฟที่มีฟองนมลอยฟ่องอยู่เต็มถ้วย ริมฝีปากของเขามีฟองนมเกาะอยู่เต็มไปหมดจนดูเหมือนหนวดขาวเล็กๆที่ยิ่งดูก็ยิ่งตลกนัก แต่เมื่อเขาพยายามเพ่งสายตาให้ดียิ่งขึ้น ชายหนวดขาวคนนั้นก็คือ อัคคามิฬ นั่นเอง
“อ๊ะ! ทางนี้ครับอาจารย์!”
ขณะที่ อัคคามิฬ กำลังยกแก้วขึ้นจิบเป็นครั้งที่ 2 เขาเหลือบไปเห็น คอนสแตนติน เข้าพอดีจึงโบกมือเรียกเพื่อเป็นสัญญาณให้ คอนสแตนติน เห็นตนได้ชัดเจนยิ่งขึ้น เมื่อ คอนสแตนติน เห็นสัญญาณมือก็เดินตรงเข้าไปหา และพยายามกลั้นหัวเราะเล็กน้อย ก่อนที่จะนั่งลงที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามกับ อัคคามิฬ แต่ไม่ทันที่ก้นของ คอนสแตนติน จะสัมผัสกับเก้าอี้ บริกรสาว *เผ่าดาร์คเอลฟ์ ใส่ชุดเมดเก่าๆขาดรุ่ย ตรงส่วนที่เคยเป็นสีขาวตอนนี้ได้กลายเป็นสีน้ำตาลอ่อนๆ อาจจะโดนกาแฟหกใส่หรือในอีกแง่คือไม่ได้ซัก เธอทำหน้าตาบึ้งตึงดูหน่ายโลก ก่อนจะเดินเข้ามารับออร์เดอร์จากเขา
“จะรับอะไรดีคะ…? ชานมร้อนนะคะ…? กรุณารอสักครู่ค่ะ…”
ไม่ทันที่ คอนสแตนติน จะเอ่ยปาก บริกรสาวคนนั้นเหมือนกับจะอ่านใจของเขาได้ เธอรู้ได้ยังไงว่าเขาจะสั่งชานมร้อน ทำให้ คอนสแตนติน อึ้งไปพักหนึ่ง ส่วน อัคคามิฬ ก็ได้แต่กลั้นขำเอาไว้ เพราะถ้าเขาขำออกมาตอนนี้กาแฟที่อยู่ในปากของเขาจะไปอยู่บนใบหน้าของ คอนสแตนติน เป็นแน่แท้ บริกรสาวเดินจากไปและในอีกไม่กี่อึดใจ ชานมร้อนสีขาวขุ่นควันฉุ่ยในถ้วยชาสีขาวหม่นๆก็มาอยู่ตรงหน้า เขายกแก้วชาขึ้นมาลองจิบดู ปรากฎว่ารสดีเกินคาด ความหอมนุ่มละมุนลิ้นแผ่ซ่านไปทั่วทั้งปาก ความกลมกล่อมของมันสุดจะบรรยาย ราวกับถูกรุมเร้าด้วยความอ่อนโยนของนมสดๆ และตามด้วยถูกฉุดกระชากที่คอเสื้อแรงๆด้วยความขมเล็กน้อยของใบชาชั้นเลิศ และด้วยรสชาติอันแสนกลมกล่อมของชาถ้วยนี้ ทำให้ คอนสแตนติน เกือบลืมตัวไปว่าตัวเองมาทำอะไรที่นี่กันแน่ เขาวางถ้วยชาลงทันที และมองชายหนุ่มที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามเป็นเชิงถาม
“นี่ของอาจารย์ครับ”
อัคคามิฬ ควักม้วนกระดาษที่มีริบบิ้นสีแดงคลิบทองผูกเอาไว้เป็นโบว์ และตรงปมของโบว์นั้นมีตรงทองคำหลอมละลายที่ปั้มตราราชวงค์ไลลารินเอาไว้อย่างงดงาม ออกมาจากกระเป๋าเป้เก่าๆสีดำซีดๆของตน และยื่นมันให้ คอนสแตนติน ทันที เขาแกะมันออกด้วยความระมัดระวัง ก่อนจะหยิบแว่นเลนส์กลมขนาดเล็กขึ้นมาสวมใส่ และอ่านมันอย่างละเอียดถี่ถ้วน เวลาผ่านไปประมาณ 10 นาที เมื่อเขาอ่านจบเขาก็วางมันลง ทันใดนั้น… พรึ่บ!! ฟู่ๆๆๆ! ม้วนกระดาษเกิดประกายไฟเล็กๆ ก่อนจะลุกไหม้กลายเป็นเถ่าถ่านไป เขาแสดงสีหน้าไม่สบายใจอย่างเห็นได้ชัด พลางจ้องตาของชายหนุ่มเขม็ง
“กำหนดการเดินทางเมื่อไหร่?”
“คาดว่าหลังเที่ยงคืนของวันเสาร์ที่จะถึงนี้ครับ แต่ องค์กษัตริย์คอสรอฟ เองก็อยากจะให้กลับไปเตรียมการล่วงหน้าที่ไลลารินก่อนการเดินทาง”
“มีชั้นกับเธอแค่ 2 คนเท่านั้นเองเหรอ?”
“คิดว่าคงจะเป็นเช่นนั้นล่ะครับ แต่องค์กษัตริย์ตรัสไว้ว่าอยากให้ผมกับอาจารย์ทำภารกิจนี้”
“จะบ้ารึ! บุกเข้า เกาะอสูร แค่ 2 คนนี่มันไม่ใช่เรื่องเล่นๆเลยนะ!!”
“ผมทราบดีครับ แต่มันเป็นราชโองการที่องค์กษัตริย์ได้กำหนดมาแล้ว ก็มีแต่ต้องทำตามไม่ใช่เหรอครับ?”
“นั่นมันก็จริง แต่มนุษย์แค่ 2 คนจะไปทำอะไรได้!? อย่างน้อยๆ… ก็น่าจะมีตัวช่วยหรืออุปกรณ์เสริมอะไรให้บ้างนะ?”
“เรื่องนั้นไม่ต้องเป็นห่วงครับ ฝ่ายวิจัยและพัฒนา ได้สร้าง ชุดเกราะไซเบอร์เนติก รุ่นใหม่ออกมาเพื่อภารกิจนี้โดยเฉพาะเลยละครับ... แล้วก็... นี่ครับ…! ชุดของอาจารย์”
อัคคามิฬ หยิบนาฬิกาข้อมือดิจิทัลรูปทรงทันสมัยสีดำอมเทาอันหนึ่งออกมาวางไว้ตรงหน้า รูปร่างของมันเหมือนกับนาฬิกาดิจิทัลสมัยใหม่ทั่วๆไป แต่มีขนาดที่ใหญ่กว่าเล็กน้อย แต่ที่ คอนสแตนติน สังเกตุอยู่ก็คือ ปุ่มสีแดงเล็กๆที่ติดอยู่บริเวณด้านล่างกลางตัวเรือน และเมื่อเขากำลังจะลองกดมันดู อัคคามิฬ ก็รั้งแจนเขาไว้ทันทีพลางส่ายหน้าเล็กน้อย
“ความลับทางการทหารนะครับอาจารย์ อย่าให้ผู้อื่นล่วงรู้โดยไม่จำเป็น”
“อ่า… ขอโทษที ฉันลืมตัวไปหน่อยน่ะ”
“ถ้าอย่างนั้น…วันเสาร์ เวลาประมาณ 23.30 น. มาเจอกันที่ท่าจอดยานขนส่งระหว่างสหราชอาณาจักรนะครับ แล้วพบกันนะครับอาจารย์”
อัคคามิฬ ลุกจากเก้าอี้พร้อมกับหยิบเสื้อคลุมสีดำของตนมาใส่พร้อมกับสะพายเป้สีดำเก่าๆของตน ก่อนจะเดินจากไป และก่อนที่ คอนสแตนติน จะทันสังเกตุ อัคคามิฬ ก็หายตัวไปกับกลุ่มผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาเสียแล้ว
และเมื่อเขากลับมาถึงห้องพักในตึกที่พักสำหรับอาจารย์ หลังจากที่เขาทำธุระส่วนตัวเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เขาก็หยิบนาฬิกาดิจิทัลที่ อัคคามิฬ ให้ไว้ออกมาดูอย่างถี่ถ้วนและลองใส่มันดูเสียง ‘ปิ๊บๆ’ สั้นๆดังออกมาจากนาฬิกานั่น ก่อนจะฉายภาพออกมาเป็นรูปผู้ชายใส่แว่นที่เรารู้จักกันแล้วนั่นคือ วิกเตอร์ นั่นเอง
“สวัสดีครับ! ผู้พัน คอนสแตนติน ถ้าข้อความนี้ปรากฎขึ้นมาแสดงว่าคุณได้รับนาฬิกาข้อมือเรือนนี้เป็นที่เรียบร้อยแล้วสินะ? แนะนำตัวกันก่อน… ผมมีนามว่า วิกเตอร์ โนว่า ผมเป็นผู้คิดค้นและพัฒนาระบบของ Cybernatic Armor Supporter – Nova Operative Prototype หรือเรียกสั้นๆว่า CAS-NOP [คาสนอพ] ก็ได้ เอาล่ะเข้าเรื่องกันเลยดีกว่า… ขั้นตอนแรกขอให้คุณกดปุ่มสีแดงที่อยู่บนตัวเรือนซะก่อนนะครับ…”
คอนสแตนติน รีบทำตามทันที เขากดปุ่มสีแดงนั่น ทันใดนั้นใต้ตัวเรือนของมันก็ค่อยๆแผ่ขยายแผ่นโลหะเล็กๆออกมา ก่อนจะค่อยๆหลามไปทั่วทั้งตัว จนทั้งร่างของ คอนสแตนติน ถูกห่อหุ้มไปด้วยแผ่นโลหะสีดำเล็กๆเต็มไปหมด และเมื่อมันเรียงเข้าที่เรียบร้อย แผ่นโลหะเหล่านั้นก็ทำการเชื่อมตัวติดกันและเข้ารูปเป็นทรงตามจุดที่มันอยู่ และบริเวณส่วนหัวจะมีช่องว่างเป็นแถบและกลายสภาพเป็นเลนส์กระจกสีเขียวอ่อนทึบ เพื่อให้ผู้ใช้มองเห็นได้สะดวก ส่วนตัวเกราะนั้นเมื่อมันเชื่อมกันเป็นกันเสร็จ ชิ้นส่วนต่างๆที่เป็นคาดว่าน่าจะเป็นอุปกรณ์ของมันก็ค่อยๆโผล่ขึ่นมา เช่น ตรงช่วงรอบข้อมือด้านขวาจะมีกระบอกสั้นๆสีเงินยาวประมาณ 10 ซม. ที่ดูคล้ายกับลำกล้องของปืนโผล่ขึ้นมาในนอนนอนขนานไปกับข้อมือ และขยายตัวออกไปทั้งซ้ายและขวาจนกลายเป็นโครงกระบอกปืนสีเงินที่เรียงรายอยู่รอบท่อนแขน เป็นปืนกลลำกล้องหมุนขนาดย่อม ส่วนแขนทางด้านซ้ายจะมีกระบอกทรงกลมๆขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 3 ซม. วางเรียงกันอยู่ 3 กระบอกเป็นอุปกรณ์เอาไว้ยิงมิสไซต์ติดครีบขนาดย่อมนั่นเอง
‘สะ… สุดยอด!’
เขาคิดพร้อมกับยกปืนที่มือขวาและซ้ายขึ้นมาดู พลางเดินไปส่องกระจกบานใหญ่เท่าตัวที่อยู่ตรงหน้า ปรากฎว่าตอนนี้เขาได้กลายเป็นชายวัยกลางคนในชุดเกราะโลหะสีดำ ที่มีอาวุธครบมือไปเสียแล้ว คราวนี้ภาพของ วิกเตอร์ มาปรากฎภายในหมวกโลหะของเขาพอดี ทำให้เขาได้เห็นผิวซีดๆของ วิกเตอร์ ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
“เอาล่ะเมื่อคุณทำการซิงโครกับ คาสนอพ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ผมจะอธิบายถึงคุณสมบัติคร่าวๆของมันให้ฟังนะครับ คาสนอพ นั้นจะเพิ่มสมรรถนะทางร่างกายให้กับคุณหลายเท่าตัวทั้งความคล่องตัว ความเร็ว พละกำลัง รวมไปถึงระดับพลังเวท และด้านอื่นๆอีกมากมาย และที่สำคัญมันจะตอบสนองตามความคิดของคุณ คุณคิดมันตอบสนองให้ดั่งใจ หวังว่าคงจะเข้าใจนะครับ? และอาวุธของชุดนี้่หลักๆจะมีด้วยกัน 2 อย่าง คือ Mini Gatling Gun ปืนกลลำกล้องหมุนขนาด 12.7 มม. อัตตราการยิง 3500 นัด/นาที บรรจุไม่จำกัด ต่อมา Mini Homing Missile มิสไซต์ติดคลีบขนาดย่อมสามารถยิงได้ครั้งละ 3 ลูก ระยะหวังผลคือ 750 เมตร ไม่จำกัดเช่นกัน และมีอุปกรณ์เสริมคือ Jump Jet Units ชื่อก็บอกตรงตัวอยู่แล้วว่า… มันสามารถทำให้คุณสามารถกระโดดได้ไกลขึ้น อันนี้ขึ้นอยู่กับการใช้งาน ส่วนรายละเอียดปลีกย่อยอื่นๆอ่านคู่มือเอาเองละกันนะครับ อ่อ… แล้วขอเตือนไว้ก่อนนะว่า คาสนอพ ยังเป็นแค่รุ่นต้นแบบ เพราะฉนั้นใช้อย่างระมัดระวังหน่อยละ ถ้าจะเอาไปชนกับเวทมนตร์หรือการโจมตีที่มีพลังทำลายสูงมากๆ คาสนอพ จะทนได้แค่ 30 วินาทีเท่านั้น! ส่วนระบบ Bootscud ห้ามใช้เด็ดขาดเพราะมันจะทำให้ระบบของ คาสนอพ เกิดการ Overload และเสียหายได้ ขอย้ำนะครับว่า... ห้ามใช้เด็ดขาด!”
ข้อความของ วิกเตอร์ หายไป คอนสแตนติน เปิดแผงเกราะที่แขนซ้ายของเขาขึ้นมา ก่อนจะใช้นิ้วสัมผัสหน้าจอที่อยู่ในนั้น เสียง เกร็ก! และตามมาด้วยเสียง ฟู่ๆ! ดังออกมาตามช่องว่างของชุดเกราะ และทันใดนั้นเกราะสีดำก็กลายสภาพเป็นแผ่นเหล็กเล็กๆเหมือนกับตารางหมากรุก ก่อนจะค่อยๆหดกลับเข้าไปยังใต้ตัวเรือนนั่นดังเดิม คอนสแตนติน กลับมาอยู่ในร่างคนธรรมดาอีกครั้ง เขาถอดนาฬิกานั่นออกและวางมันเอาไว้บนโต๊ะอ่านหนังสือที่อยู่ข้างหน้าต่าง และเดินไปที่เตียงก่อนจะเอนตัวลงนอนพลางเอามือก่ายหน้าผากคิดถึงเรื่องที่ผ่านมาในวันนี้ทั้งหมด และคำขอโทษที่ตนจะต้องพูดกับ นีน่า เนื่องจากไม่สามารถทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับเธอเมื่อช่วงบ่ายนี้ได้ ก่อนที่เขาจะผล่อยหลับไป
-= Lesson 3 End =-
-= To Be Continue Lesson 4 =-
-= เกร็ดความรู้ท้ายบท =-
ดีไวซ์ [Device]
- Device คือ อุปกรณ์ที่ใช้กักเก็บหรือผนึกอาวุธแต่ละชนิดให้อยู่ในรูปแบบต่างๆ โดยส่วนมากจะอยู่ในรูปแบบของ ‘เครื่องประดับ’ โดยสถานะนี้จะถูกเรียกว่า ‘Freezing’ เพื่อไม่ให้สะดุดตาผู้อื่นมากนัก และจำเป็นต้องใช้พลังเวทของผู้ใช้ส่วนหนึ่งในการปลดผนึก Device นั้นๆให้กลับมาอยู่ในรูปร่างดังเดิมของอาวุธนั้นๆ โดยสถานะนี้จะถูกเรียกว่า ‘Reincarnate’ และ Device นั้นจะมีข้อแตกต่างจากอาวุธประเภทอื่นๆ ตรงที่มันไม่มีพลังเวทเป็นของตัวเอง จึงจำเป็นที่จะต้องใช้พลังเวทจากตัวของผู้ใช้และ ‘คาร์ทริดจ์’ ในการเพิ่มระดับพลังเวท แต่ Device นั้นก็มีข้อดีอยู่หลายอย่าง เช่น เมื่ออยู่ในสถานะ ‘Freezing’ จะสามารถพกพาไปไหนต่อไหนได้อย่างสะดวก ไม่เหมือนกับอาวุธปรกติ อย่างเช่น พวกอัศวินที่ชอบแบกดาบใหญ่ๆหนักๆเอาไว้บนหลัง แต่ Device นั้นสามารถแปลงสภาพให้มันอยู่ในรูปแบบของอุปกรณ์ขนาดเล็กกระทัดรัดได้ และ Device บางชนิดถ้ามันสามารถตอบสนองตามรูปแบบของพลังเวทของผู้ใช้ในขณะนั้นได้ มันก็สามารถที่จะเปลี่ยนรูปแบบจากอาวุธชนิดหนึ่งไปยังอาวุธอีกชนิดหนึ่งได้ในพริบตาเลยทีเดียว ทำให้ผู้ใช้สามารถพลิกแพลงการใช้อาวุธได้ตามสถานะการณ์ที่เป็นอยู่
คาร์ทริดจ์ [Cartridge]
- อุปกรณ์ที่ใช้เพิ่มระดับพลังเวทในช่วงเวลาหนึ่งให้กับ Device อยู่ในรูปของ ‘กระสุนปืน’ ไม่สามารถนำไปใช้แทนกระสุนปืนได้ มีข้อดีคือในการใช้งาน ‘คาร์ทริดจ์’ แต่ละครั้งสามารถใช้ครั้งละหลายๆนัดได้อย่างไม่มีข้อจำกัด [ถ้ารวยพอที่จะซื้อเก็บไว้เยอะๆได้อ่ะนะ -.-] โดยที่ระดับพลังเวทจะเพิ่มขึ้นมากน้อยแค่ไหน ก็ขึ้นอยู่กับจำนวนและขนาดของ ‘คาร์ทริดจ์’ นั้นๆ และราคาของ ‘คาร์ทริดจ์’ แต่ละนัดนั้นจะขึ้นอยู่กับขนาดของมันอีกด้วย โดยแบ่งได้ตามขนาดดังนี้
[10 MM.] ให้พลังงานเวท 500 - 1000 รูน
[12.7 MM.] ให้พลังงานเวท 1500 - 2000 รูน
[12.7 MM. Special] ให้พลังงานเวท 2500 - 3000 รูน
[14.5 MM.] ให้พลังงานเวท 3500 - 4000 รูน
[14.5 MM. Full Custom] ให้พลังงานเวท 4500 - 5000 รูน
[17.62 MM.] ให้พลังงานเวท 5500 - 6000 รูน
[17.62 MM. Ultima] ให้พลังงานเวท 6500 - 7000 รูน
[17.62 MM. Full Gate] ให้พลังงานเวท 7500 - 8000 รูน
[20 MM.] ให้พลังงานเวท 8500 - 9000 รูน
[20 MM. Super Phoenix] ให้พลังงานเวท 9500 - 9999 รูน
*หมายเหตุ : ขนาดของ ‘คาร์ทริดจ์’ ที่กล่าวไว้ข้างต้นอย่านำไปเปรียบเทียบกับขนาดของกระสุนที่มีอยู่จริงนะครับ เพราะผมเองก็เอามาเมคเองอีกทีเหมือนกัน
โกเลม [Golem]
- สัตว์อสูรที่มีพื้นฐานมาจากธาตุหลักทั้ง 4 ดิน, น้ำ. ลม และไฟ มีขนาดตัวที่ใหญ่มหึมาและมีรูปร่างที่ไม่แน่นอน แต่มีพละกำลังอันมหาศาล แต่ทว่าไม่มีความคล่องตัวเลยแม้แต่น้อย ถึงกระนั้นมันก็มีความอดทนต่อการโจมตีแทบทุกชนิดเข้ามาทดแทน แถมยังสามารถหักล้างเวทมนตร์ที่มีสังกัดธาตุตรงกับมันได้อีก เป็นสัตว์อสูรที่นิยมใช้กันในหมู่ หมอผี [Necromancer] เสียส่วนใหญ่ แต่ก็มีบางชนิดที่อยู่นอกเหนือสังกัดธาตุทั้ง 4 คือ น้ำแข็ง, สายฟ้า. โลหะ. ไม้. แสงสว่าง. ความมืด และสุดท้ายที่ถือว่าเป็น โกเลม ที่แข็งแกร่งที่สุดในสังกัดธาตุใดๆ นั่นคือ ‘ทองคำ’
โทรล [Troll]
- เผ่าพันธ์ุที่มีขนาดร่างกายที่ใหญ่โตพร้อมด้วยพละกำลังมหาศาล แต่มีพัฒนาการทางสมองต่ำแทบจะติดดินที่สุดในบรรดาชนทุกเผ่า ดังนั้นทำให้พวกมันไม่สามารถที่จะเรียนรู้เวทมนตร์ได้เลยแม้แต่บทเดียว แต่ด้วยพละกำลังที่มากมายมหาศาลและความอดทนต่อพลังเวทและการโจมตีนั้น ทำให้มันเป็นหนึ่งในชนเผ่าที่น่าสะพรึงกลัวสำหรับเหล่านักรบและจอมเวทมิใช่น้อย และด้วยความโง่เคลาของพวกมันทำให้เหล่า ‘อสูร’ มักจะนำพวกมันมาใช้งานในด้านต่างๆและยังเป็นกองบุกทะลวงฟันให้กับ กองทัพอสูร อีกด้วย มีอายุขัยที่ไม่แน่ชัดและแหล่งอาศัยที่ไม่แน่นอน
ดวอร์ฟ [Dwarf]
- เผ่าพันธ์ุที่รูปร่างคล้ายมนุษย์ที่สุดแต่ตัวเล็กกว่าจนมักถูกเรียกว่า ‘คนแคระ’ พวกเขามีรูปร่างหน้าตาคล้ายคลึงกับมนุษย์เพียงแต่ส่วนสูงนั้นมักจะไม่เกิน 150 cm เสียส่วนใหญ่ แต่กลับมีความอดทนและพละกำลังที่ดียิ่งกว่ามนุษย์ อายุขัยอยู่ที่ราวๆ 200 ปี เพศชายจะมีหนวดเคราที่ดกดำตั้งแต่ช่วงอายุประมาน 20 – 30 ปีขึ้นไป ส่วนเพศหญิงนั้นจะมีรูปร่างหน้าตาละม้ายคล้ายเด็กสาวชาวมนุษย์อายุไม่เกิน 15 ปี ไปจนอายุร่วมร้อยเลยทีเดียว พวกเขามีสติปัญญาและความใฝ่หาในเทคโนโลยีไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าเผ่าใดๆ รวมถึงการคิดคำนวนอันรวดเร็ว แต่ความสามารถทางเวทมนตร์ต่ำกว่ามนุษย์ ทำให้ส่วนใหญ่มักจะเหมาะที่จะเป็น ‘นักประดิษฐ์’ หรือไม่ก็ ‘พ่อ/แม่ค้า’ หรือจะเป็น ‘นักวิทยาศาสตร์’ ก็ไม่เลวซะทีเดียว
ออร์ค [Orc]
- เผ่าพันธ์ุที่มีความแข็งแกร่งทั้งพละกำลังและความทนทานทรหดอดทนมาแต่กำเนิด มีรูปร่างสูงใหญ่ได้ถึง 2 เมตร หรืออาจจะมากกว่า ผิวกายสีเขียวคล้ำไปจนถึงดำ มีนิสัยเกรี้ยวกราดและดุร้าย เมื่อรวมกับพละกำลังที่มหาศาลและความสามารถที่ทนทานต่อความเจ็บปวดหรือแม้แต่ยาพิษได้เป็นอย่างดีนั้น ทำให้เป็นนักรบที่น่าเกรงกลัวไม่ใช่น้อย แต่ทว่า… ความสามารถในการเรียนรู้เวทมนตร์นั้นค่อนข้างต่ำ พลังเวทอาจจะถึงขั้นติดดิน ทำให้หากจะเดินในสายเวทนั้นนอกจาก ‘นักรบ’ หรือไม่ก็ ‘นักรบเวทมนตร์’ แล้ว คงเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเป็นสายอาชีพอื่นใดได้อีก
ดาร์คเอลฟ์ [Dark Elf]
- เผ่าพันธ์ุซึ่งเดิมทีเคยเป็นส่วนหนึ่งของเผ่าเอลฟ์ แต่ต้องคำสาปจากมนตร์ดำต้องห้ามที่ตนเองฝึกฝน จนมีสีผิวแปรเปลี่ยนเป็นสีออกเทาไปจนถึงดำ สีผมเป็นสีเงินเป็นประกาย อายุขัยอยู่ที่ราวๆ 600 - 800 ปี ซึ่งสั้นลงกว่าเผ่าเอลฟ์พอสมควร พวกเขามีความคล่องตัวน้อยลงกว่าเผ่าเอลฟ์ แต่มีความแข็งแรงของร่างกายและพลังทำลายของเวทที่มากกว่ามาทดแทน เชี่ยวชาญด้านเวทแห่งความมืด, น้ำแข็ง, คำสาบ และเปลวเพลิง แต่พวกเขาจะไม่สามารถใช้เวทมนตร์ในสังกัดธาตุแสงสว่าง หรือ ศักดิ์สิทธิ์ ได้เลย ถึงแม้ว่าพื้นภูมิหลังของพวกเขาจะสืบทอดมาจากผู้ที่ใช้มนตราสังกัดธาคุแสงสว่าง หรือ ศักดิ์สิทธิ์ ก็ตามทีเถอะ
-= ~โซมะ~ [เพชรเม็ดเดียวแห่งยุคจอมเวท] - บทบันทึกแห่งโซดาส =-
-= Lesson 3 : ภารกิจที่ไม่คาดฝัน =-
ในช่วงเช้าคาบเรียนของ คอนสแตนติน ก็ได้เริ่มขึ้นเขานั้นเป็นอาจารย์สอนวิชา ‘การใช้อาวุธเบื้องต้นสำหรับจอมเวท’ สำหรับนักเรียนชั้นปีที่ 4 จนถึงปีที่ 6 ซึ่งวิชาของเขานั้นจะไม่สอนกันในห้องเรียนตามปรกติแต่จะสอน ณ ลานกว้างหลังอาคารเรียนหมายเลข 43 ซึ่งเป็นอาคารเรียนเก่าที่ไม่ได้ใช้แล้ว และห่างไกลจากบรรดาตึกเรียนอีกหลายๆตึก เพื่อป้องกันลูกหลงและเสียงดังเอะอะที่เกิดจากอาวุธหรือพลังเวท และที่สำคัญวันนี้เป็นวันที่อากาศร้อนอบอ้าวมากที่สุดในรอบปีเนื่องจากช่วงเดือน เซนิส [เดือนมีนาคม] ถึงเดือน กัลลิเอส [เดือนพฤษภาคม] จะเป็นฤดูร้อน และช่วงนี้เป็นช่วงมรสุมที่พายุโซนร้อนจะพัดโหมกระหน่ำเข้ามาตามชายฝั่ง ทำให้อากาศในช่วงนี้จะร้อนอบอ้าวเป็นพิเศษ
บรรดานักเรียนทั้งหญิงชายที่นั่งเรียงกันหน้าสลอนบนพื้นหญ้าเขียวชอุ่ม และตั้งอกตั้งใจฟังคำสอนของ คอนสแตนติน นั้นกำลังตั้งหน้าตั้งตาจดคำพูดของ คอนสแตนติน ทุกคำลงบนหน้าจอคอมพิวเตอร์แบบพกพาที่ติดอยู่ตรงท่อนแขน พลางเอาแขนเสื้ออีกข้างของตนปาดเหงื่อบนใบหน้าส่วนนักเรียนบางคนที่หัวไวหน่อย ก็ใช้เวทมนตร์ของตนสร้างเกราะกำบังขึ้นมาเหนือหัวเพื่อใช้บังแดดแทนร่ม ส่วนใครที่ถนัดใช้เวทสายน้ำแข็ง ก็สร้างก้อนน้ำแข็งขึ้นมาไว้ข้างๆกาย เพื่ออาศัยไอเย็นจากก้อนน้ำแข็งนั่น และเมื่อ คอนสแตนติน สังเกตุเห็นกลุ่มนักเรียนของตนที่กำลังนั่งปาดเหงื่อหน้าดำคร่ำเครียดกันอยู่นั้น ก็รีบตัดบทการสอนโดยทันที
“เอาล่ะ! ต่อไปจะเป็นการทดสอบการใช้อาวุธฝึกหัดระดับ 4”
คอนสเตนตินเดินไปที่โต๊ะไม้เก่าๆพุๆพังๆ ที่ยืมมาจากห้องเก็บอุปกรณ์รกร้างที่อยู่ในตึกเรียนเก่าที่อยู่ใกล้ๆ และบนโต๊ะนั่นมีสิ่งของที่มีลักษณะเหมือนกับกล่องสี่เหลี่ยมขนาดกว้าง 2 ซม. ยาว 5 ซม. หนาประมาณ 2 ซม. สีดำอมเทาไม่มีลวดลายประดับประดาอะไรทั้งสิ้นวางกองอยู่หลายอัน ซึ่งน่าจะเท่ากับจำนวนนักเรียนที่มีอยู่ในตอนนี้
“นี่คืออุปกรณ์กักเก็บหรือผนึกอาวุธที่เรียกว่า *Device แต่อันนี้จะมีความพิเศษกว่า Device ทั่วๆไปนิดหน่อยตรงที่มันสามารถตอบสนองกับผู้ใช้ได้ตาม ลักษณะ และ ระดับพลังเวท ของผู้ใช้ เพราะฉนั้นผู้ใช้แต่ละคนจะได้รูปร่างและความสามารถของอาวุธที่แตกต่างกันออกไปขึ้นอยู่กับลักษณะและระดับพลังเวทของคนๆนั้น เอาล่ะ! อธิบายไปก็ไร้ประโยชน์ ลุกขึ้น! เข้าแถว และมาหยิบไปคนละอัน แล้วกลับไปตั้งแถวหน้ากระดาน แบ่งเป็นแถวๆ แถวละ 10 คน โดยเว้นระยะห่างจากกันประมาณ 3 ช่วงตัว ไม่ใกล้ไม่ไกลไปกว่านี้ เข้าใจนะทุกคน”
กลุ่มนักเรียนต่างพากันเข้าแถวเรียงกันที่หน้าโต๊ะนั่น และหยิบแท่งสีดำอมเทานั่นไปคนละชิ้น ก่อนจะกลับไปยินเข้าแถวโดยเว้นระยะห่างจากกันตามที่ คอนสแตนติน บอก
“เอาล่ะทุกคน เมื่อพร้อมกันแล้วให้ทำการอัดพลังเวทของตัวเองเข้าไปใน Device ได้เลย”
คอนสแตนติน อัดพลังเวทของตนเข้าไปใน Device ที่เขาถืออยู่เพื่อแสดงเป็นตัวอย่าง และทันใดนั้น มันก็เปล่งแสงสีแดงขึ้นมาเล็กน้อย ก่อนจะขยายตัวออกและขึ้นเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา และในไม่กี่อึดใจในมือของ คอนสแตนติน ก็มีปืนกระบอกโตสีดำเมี่ยมมีลักษณะเหมือนกับปืน AK-47 ธรรมดาๆ แต่เปลี่ยนตรงช่วงปากกระบอกจะยาวขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย และตรงพันท้ายปืนจะสามารถปรับให้ยาวพอดีกับช่วงแขนและไหล่ของผู้ใช้ได้โดยอัตโนมัติ และตรงส่วนที่เป็นแมกกาซีนจะถูกย้ายขึ้นมาไว้ด้านข้างของตัวกระบอกปืน และตรงจุดที่เคยเป็นแมกกาซีนนั้นจะเป็นคันชักสั้นๆคล้ายกับคันชักของปืนลูกซองที่เอาไว้สำหรับเปลี่ยนรูปแบบของกระสุนที่มีอยู่ในแมกกาซีนเพื่อใช้ในสถานการ์ได้หลายหลากรูปแบบ และด้านบนช่วงเกือบกลางของตัวปืนนั้นจะเป็นหน้าจอขนาดพอเหมาะโผล่ขึ้นมานิดหน่อยพอที่จะเล็งเป้าได้ และในหน้าจอนั้นจะมีจุดสีแดงเล็กๆชี้ไปที่ศูนย์ปืนที่อยู่ที่ปากกระบอกอย่างพอดิบพอดี
เมื่อนักเรียนเห็นปืนในมือของผู้เป็นอาจารย์ ต่างก็พากันประหลาดใจและลองทำตาม คอนสแตนติน กันยกใหญ่ แต่ผลที่ออกมาไม่ได้เป็นเหมือนกับ คอนสแตนติน เลยแม้แต่น้อย มันเป็นไปตามที่เขาบอก อาวุธที่ทุกคนได้จะไม่เหมือนกัน มันขึ้นอยู่กับรูปแบบและระดับพลังเวทของผู้ใช้ ซึ่งนักเรียนบางคนก็ได้อาวุธปืนหรือธนูบ้าง บางคนก็ดาบหรือไม่ก็หอกบ้างปะปนกันไป แต่ที่น่าแปลกใจก็คือนักเรียน 3 ใน 4 ของนักเรียนหญิง จะได้เป็นคฑาเวทมนตร์ที่มีขนาดและรูปร่างที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งเมื่อ คอนสแตนติน เห็นเช่นนั้นก็ได้แต่ยิ้มและหัวเราะหึๆในลำคอเบาๆ
“ในเมื่อทุกคนได้รูปแบบอาวุธของตัวเองเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ครูจะบอกถึงคุณสมบัติหลักๆของ Device ของพวกเธอให้ฟัง อย่างที่กล่าวในข้างต้น Device จะตอบสนองผู้ใช้ตามระดับพลังเวทของผู้ใช้ เพราะฉนั้นมันจะแข็งแกร่งหรือไม่! ก็ขึ้นอยู่กับผู้ใช้เช่นกัน Device จะเป็นแค่อาวุธธรรมดาสามัญไร้พิษสง ตราบใดที่มันยังไร้ประจุพลังเวท ต่อให้มันจะมีความไฮเทคหรือล้ำยุคแค่ไหนก็ตาม”
คอนสแตนติน ล้วงมือลงไปในกระเป๋าเสื้อคลุม พร้อมกับหยิบลูกแก้วที่เหมือนกับครั้งที่เขาเอา อาชาเพลิงเรกิออส ให้ นีน่า ดูไม่มีผิด แต่สีของมันกลับเป็นสีเทาหม่นแทนที่จะเป็นสีแดง เขาควักมันออกมาจากกระเป๋าเสื้อ 2 ลูก แต่คราวนี้ไม่มีบทอัญเชิญหรือร่ายมนตร์ใดๆทั้งสิ้น เขาปามันออกไปให้ห่างจากตัวและกลุ่มนักเรียนให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ และเมื่อลูกแก้วพวกนั้นตกกระทบกับพื้นกลุ่มควันหนาแน่นก็เกิดขึ้น และเมื่อควันนั้นจางลง *โกเลม สีเงินหม่นที่ทั้งตัวของมันถูกห่อหุ้มไปด้วยก้อนเหล็กสีเงิน มีตัวขนาดใหญ่มหึมาสูงเกือบ 6 เมตร ซึ่งพอๆกับขนาดของ *โทรล เกิดขึ้นมาท่ามกลางกลุ่มควันหนาแน่นนั่น แต่พวกมันก็ไม่ได้ออกอาละวาตหรือก่อความวุ่นวายแต่อย่างใด เนื่องจากการเคลื่อนไหวของพวกมันนั้นเชื่องช้ามากขนาดเต่ายังสามารถเดินแซงได้
“นั่นคือ คาบอลสตีลโกเลม เป็นโกเลมที่สร้างมาจากแร่โคลบอลและแร่เหล็ก ซึ่งนำมาหลอมรวมกันในความร้อนสูงหลายพันองศาและตามด้วยความเย็นจัด จริงอยู่ที่พวกมันมีความเชื่องช้ามาก แต่เรื่องพละพลังกำลังนั้นไม่ต้องพูดถึง มันสามารถเอาชนะ โทรล ตัวใหญ่ๆได้อย่างสบายๆ แถมเวทมนตร์ระดับกลางลงไปยังไม่สามารถสร้างรอยขีดข่วนให้พวกมันได้เลยแม้แต่น้อย ซึ่งนั่นเหมาะที่จะใช้พวกมันทดสอบการใช้ Device พวกเธอในวันนี้ ซึ่งครูจะแสดงให้ดูเป็นตัวอย่าง คอยดูให้ดีนะ”
คอนสเตนตินตั้งท่าประทับปืนทันที เขาเล็งปืนไปที่ โกเลม ตัวหนึ่ง ปังๆๆๆ!! เขาลั่นไกอย่างไม่ลังเล เสียงปืนก็ดังสนั่นขึ้นอย่างต่อเนื่องกระสุนแต่ละนัดพุ่งเข้าหาเป้าหมายอย่างแม่นยำเหมือนจับวางไม่มีพลาดสักนัด แต่ โกเลม ที่ถูกยิงอยู่นั้นกลับไม่สะดุ้งสะเทือนเลยแม้แต่น้อย แต่ คอนสแตนติน ก็ยังไม่หยุดเหนี่ยวไกเขายังคงกราดกระสุนต่อไปเรื่อยๆ จนในที่สุดการกราดกระสุนอย่างต่อเนื่องและบ้าคลั่งของ คอนสแตนติน ก็จบลงเพราะกระสุนหมด เขากดปุ่มสีแดงแถวๆไกปืน 1 ครั้ง แมกกาซีนว่างเปล่าถูกปลดออกไปโดยอัตโนมัติ ก่อนจะมีแสงสีแดงที่ถูกบีบอัดให้มีรูปทรงคล้ายกับแมกกาซีนอันเดิมที่ถูกปลดออกไปเกิดขึ้นบริเวณช่องเสียบแมกกาซีนที่ด้านข้างตัวปืน และเมื่อแสงสีแดงจางลงก็มีแมกกาซีนอีกอันโผล่มาแทนที่ เขาหันไปมองกลุ่มนักเรียนที่ตอนนี้ทุกคนพากันเอามืออุดหูกันหมด เนื่องจากเสียงปืนที่ดังสั่นลั่นทุ่ง
“นี่คือการยิงแบบไม่มีประจุพลังเวท เห็นไหมว่า โกเลม ไม่ได้รับความเสียหายอะไรเลยแม้แต่น้อย”
คอนสแตนติน จับคันชักแล้วดึงมันเข้าหาตัวหนึ่งครั้ง เกร็กๆ มีเสียงดังขึ้นก่อนที่แมกกาซีนจะเลื่อนระดับลงมาต่ำกว่าเดิมประมาณ 2 เซ็นติเมตร และพันท้ายของปืนก็เลื่อนลงเล็กน้อย เผยให้เห็นช่องสี่เหลี่ยมที่ด้านในมีผลึกสีเขียวมรกตเล็กๆอยู่ ส่วนนักเรียนก็ทำตามซึ่งวิธีการและจุดที่ผลึกของแต่ละคนอยู่นั้นจะแตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่ประเภทของอาวุธชนิดนั้นๆ แต่ก็พอที่จะสังเกตุเห็นได้ง่าย
“ผลึกสีเขียวนี้คือ แกนกลาง ของ Device ถ้า แกนกลาง นี้ถูกทำลายหรือชำรุด Device จะไม่สามารถใช้งานต่อได้ เพราะฉนั้นจงระวังในจุดนี้ให้ดี ถ้าหากสายอาชีพในอานาคตของพวกเธอมีอาวุธเป็น Device ล่ะก็นะ… แต่ก็ยังมี Device ระดับสูงบางประเภทที่ใช้ *คาร์ทริดจ์ เป็นประจุพลังเวทแทนผลึกนี่ เพราะฉนั้นจึงไม่ต้องกังวลเรื่องความเสียหายที่เกิดขึ้นกับ ตัวผลึก และตัว Device เอาล่ะๆ… มาต่อกันที่ผลึกสีเขียวนี่ดีกว่านะ สิ่งที่พวกเธอต้องทำก็คือ บีบอัดพลังเวทในจำนวนที่ต้องการลงไปที่ผลึกแก้วนี่โดยตรง”
คอนสแตนติน รวบรวมพลังเวทไว้ที่ผ่ามือก่อนจะอัดเข้าไปในช่องที่ผลึกแก้วอยู่ ทันใดนั้นผลึกแก้วก็แสดงตัวเลข ‘4584’ ขึ้นมา
“ตัวเลขที่ปรากฎในผลึกแก้วนี่ คือตัววัดระดับพลังเวทซึ่งมีหน่วยเป็น *รูน จะมีระดับตั้งแต่ 0 – 9999 รูน ของครูคือ 4584 รูน ซึ่งอยู่ในระดับที่เกินระดับกลางมานิดหน่อย… เพราะฉนั้นการโจมตีของครูในคราวนี้จะถือว่าเป็นการโจมตีด้วยเวทมนตร์ ไม่ใช่ทางกายภาพด้วยกระสุนเพียงอย่างเดียว ซึ่งความรุนแรงจะขึ้นอยู่กับระดับพลังเวทที่แสดงอยู่นี่ และจะลดลงเรื่อยๆตามระดับหรือจำนวนครั้งของการโจมตี”
คอนสแตนติน เล็งปืนไปที่ โกเลม ตัวเดิมอีกครั้ง เขาเหนี่ยวไกแต่คราวนี้กระสุนแต่ละนัดที่ถูกยิงออกไปนั้นจะถูกเคลือบด้วยแสงสีเขียวเป็นแสงจากพลังเวทที่เขาอัดเข้าไปนั่นเอง และเมื่อกระสุนกระทบกับ โกเลม ตัวนั้น เคร้ง!! ส่งผลให้ผิวที่ถูกห่อหุ้มด้วยโลหะสีหม่นของมันก็แตกออกในทันที ทำให้มันถึงกับทรุดฮวบลงกับพื้น แต่มันก็ยืนขึ้นมาใหม่ได้อีกครั้งและผิวที่แตกออกนั้นก็ค่อยๆกลับสภาพเป็นเหมือนเดิมเหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“ฮ่ะๆ ลืมไปเลยว่ามันสามารถ ฟื้นฟูตัวเอง ได้ด้วย แต่ก็ดี… จะได้ทำให้พวกเธอสนุกไปกับการทดสอบในครั้งนี้มากยิ่งขึ้น เห็นไหมว่า… การโจมตีด้วย Device ที่อัดประจุพลังเวทเข้าไปมันมีความรุนแรงมากขึ้นกว่าเดิมหลายเท่าตัว เอาล่ะ!! คราวนี้ก็ถึงตาของพวกเธอแล้ว ชั้นจะมอบภารกิจให้พวกเธอทำล่ะนะ ภารกิจก็คือ โค่น โกเลม ทั้ง 2 ตัวนั่นให้ได้ภายในเวลา 30 นาที แต่ระวังการโจมตีของมันหน่อยล่ะ ถ้าโดนเข้าไปทีหนักเอาเรื่องเลยนะ แต่ครูเชื่อว่าระดับอย่างพวกเธอคงจะไม่เป็นอะไรไปง่ายๆจริงไหม?”
คอนสแตนติน ส่งสายตาพร้อมกับยิ้มให้เล็กน้อยไปยังนักเรียนที่ยืนอึ้งกับคำสั่งของผู้เป็นอาจารย์
“เอ่อ… อาจารย์คะ ถ้าเลยกำหนด 30 นาทีล่ะคะ?”
นักเรียนหญิง *เผ่าดวอว์ฟ ตัวเล็กไว้ผมม้าสีชมพูอ่อนดวงตากลมโตสีเดียวกับผมของเธอ ผู้มีจมูกขนาดพอเหมาะรับกับใบหน้ามนๆของเธอเป็นอย่างดี ผิวพรรณสีขาวนวลผ่อง และมีท่าทางร่าเริงแจ่มใส ในมือของเธอนั้นมีขวาน 2 คมขนาดใหญ่กว่าตัวเธออยู่ ซึ่งเธอสามารถถือมันได้อย่างไม่มีปัญหาอะไรเลยเมื่อเทียบกับรูปร่างของเธอเอง ซึ่งเป็นความพิเศษของชนเผ่านี้อยู่แล้ว ถึงจะตัวเล็กแต่ก็มีพละกำลังมหาศาล คอนสแตนติน ไม่ตอบเขาได้แต่เพียงยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย พลางเดินไปจับบ่าของนักเรียนหญิงตัวน้อยนั่น ก่อนที่จะพูดว่า…
“ในสงครามที่ต้องต่อสู้กับพวก อสูร นั้นชีวิตของเธอมันขึ้นอยู่กับระยะเวลาในการปฏิบัติภารกิจ ถ้าหากทำไม่สำเร็จ… ผลที่ได้ก็คือ ‘ตาย’ ครูว่า… ระยะเวลา 30 นาทีนั้น มันเป็นระยะเวลาที่มากเกินไเสียด้วยซ้ำ ในการโค่น โกเลม แค่ 2 ตัว เชื่อมั่นในตัวเองและเพื่อนๆของเธอสิ ในสมรภูมิเธอไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวหรอกนะ”
คอนสแตนติน ตบบ่าของนักเรียนหญิงนั่นเบาๆ ก่อนที่จะกดปุ่มจับเวลาบนนาฬิกาข้อมือของตน พลางยืนกอดออกแบบวางท่า ทำให้คาเร็คเตอร์เถื่อนๆของเขาค่อยดูเป็นอาจารย์ขึ้นมาหน่อย
“เอ้า! อย่าชักช้า!! ครูเริ่มจับเวลาแล้วนะ! ใครที่ถนัดใช้เวทสนับสนุน ก็คอยอยู่กองหลัง และใช้เวทสนับสนุนเพื่อนๆด้วย ส่วนใครที่ได้อาวุธระยะกลางถึงไกลก็คอยสนับสนุนเพื่อนๆที่ใช้อาวุธระยะประชิดด้วย! เข้าใจไหม!?”
บรรดานักเรียนหลากหลายเผ่าพันธุ์ ต่างพากันกระโจนเข้าหา โกเลม 2 ตัวนั่น ในที่สุดการปะทะระหว่างกลุ่มนักเรียน และ โกเลม สีเงินหม่นก็เกิดขึ้น เสียงอาวุธนานาชนิดกระทบกับผิวโลหะของ โกเลม ทั้ง 2 ดัง เคร้งคร้าง!! ฟังดูเผินๆคล้ายกับเสียงดนตรีที่ใช้อาวุธในการบรรเลงก็มิปาน ส่วนทางด้าน โกเลม ทั้ง 2 ตัวเองก็ทำการโจมตีใส่กลุ่มนักเรียนโดยสันชาตญาณ มันไม่สนใจว่าจะโดนเป้าหมายหรือไม่ แต่ขอให้ได้โจมตีเป็นพอ ซึ่งมีหลายต่อหลายครั้งที่หมัดของมันเกือบที่จะซัดโดนนักเรียนบางคน แต่แม้ว่าหมัดของมันแต่ละหมัดที่ซัดออกมาจะเชื่องช้า แต่พลังทำลายนั้นช่างมหาศาลอย่างเหลือเชื่อ จนทำให้พื้นรอบๆตัวมันเกิดหลุมบ่อขนาดใหญ่หลายต่อหลายจุด
พลั่ก!! ตูม!! นักเรียนชายเผ่าเอลฟ์หน้าตาดีคนหนึ่งกำลังคิดที่จะอ้อมไปโจมตีทางด้านหลังของมัน แต่กลับถูกมันหวดเข้าให้จนกระเด็นไปไกลเลยทีเดียว แต่ก็ไม่บาดเจ็บมากมายนักเพราะเขาได้สร้างเกราะมนตราคุ้มกันตัวเองไว้ก่อน จึงทำให้การโจมตีที่ได้รับไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต
“ตั้งใจหน่อย! อย่าเผลอเด็ดขาด! อเล็กซิส! เธอเป็นคนที่ถนัดมนตรารัศมีกว้างมากที่สุดในห้อง ใช้มันให้เป็นประโยชน์สิ!”
คอนสแตนติน ตะโกนใส่นักเรียนหญิงเผ่ามนุษย์ที่กำลังใช้เวทสนับสนุนเพื่อนๆอย่างสุดกำลัง เธอรวบรวมพลังเวทไว้ที่ผลึกแก้วสีเขียวบนคฑาของเธอ และควงมันไปมารอบตัวอย่างรวดเร็วและวง่างาม ทันใดนั้นก็เกิดวงแหวนเวทขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 5 - 6 เมตรที่ใต้ตัว โกเลม ทั้ง 2 ตัวนั้น ทำให้มันทรุดฮวบลงตัวติดกับพื้นในทันทีเหมือนกับมีอะไรบางอย่างที่หนักกว่าตัวของมันหลายเท่ามาทับพวกมันเอาไว้
‘มนตราควบคุมแรงดึงดูดงั้นเรอะ? ถือว่าเป็นการแก้สถานะการณ์เฉพาะหน้าได้ในระดับหนึ่ง แต่ว่า… แค่นั้นมันยังไม่พอหรอก…’
คอนสแตนติน ยืนคิดในใจพลางเอามือลูบเคราสองสีของตัวเองไปด้วย และก็เป็นอย่างที่เขาคิดจริงๆ เพราะไม่นานนัก โกเลม ทั้ง 2 ก็ยันตัวฝืนพันธการแรงดึงดูดจนข่ายมนตร์ของนักเรียนหญิงคนนั้นแตกสลายทันที มันกลับมาเหวี่ยงกำปั้นของตัวเองไปมาอย่างไร้จุดหมายอีกครั้ง
“สวัสดียามบ่ายครับ อาจารย์คอนสแตนติน ท่าทางจะยุ่งกันน่าดูเลยนะครับ?”
ชายหนุ่มอายุประมาณ 22 ปี ผู้มีดวงตากลมโตสีดำเป็นประกาย หน้าตาละม๊ายคล้ายผู้หญิง ใส่แว่นไร้กรอบ จมูกโด่งแต่ไม่มากเข้ากับใบหน้าเนียนๆของเขาเป็นอย่างดี คิ้วบาง ริมฝีปากเรียบบาง ผมสีดำยักศกยาวถึงไหล่ สวมเสื้อยืดสีดำ และมีเสื้อคลุมสีดำพาดบ่าเอาไว้ กางเกงขายาวทรงกระบอกสีดำ และถุงมือแบบเปิดปลายนิ้วสีดำบริเวณหลังของถุงมือมีสัญลักษณ์เป็นรูปวงแหวนเวทสีขาวสลักเอาไว้ เขาเดินอาดๆเข้ามายืนข้างๆ คอนสแตนติน ในปากคาบแท่งแครอทสีส้มสดเอาไว้ด้วย
“อ้าว! อัคคามิฬ ไม่ได้พบกันซะนานเลยนะ ว่าแต่ว่า… วันนี้ไม่ได้ไปเฝ้าอารักขา องค์กษัตริย์เทนชิ กับ องค์หญิงรุซุนะ รึ?”
“ตอนนี้ผมกำลังอยู่ในช่วงพักน่ะครับ ก็เลยกะว่าจะมาขอคำปรึกษาจากคุณเสียหน่อย…”
“โอ้!! คำปรึกษางั้นรึ? ว่าแต่… เรื่องอะไรล่ะ? ถ้าเรื่องรับมือกับองค์หญิงล่ะก็ชั้นขอผ่านนะ”
“ฮ่ะๆๆ ไม่ใช่เรื่องนั้นหรอกครับ แต่มันเกี่ยวข้องกับคุณและผมโดยตรงเลยล่ะ แต่คุณคงจะไม่สนใจมันหรอก จริงไหมล่ะครับ?”
อัคคามิฬ หัวเราะออกมาเล็กน้อย แต่ คอนสแตนติน กลับตีสีหน้าจริงจังใส่ และไม่เอ่ยปากใดๆต่อทั้งสิ้น เขาหยุดลูบเครา 2 สีของเขาทันที อัคคามิฬ รู้สึกตัวว่า ตนได้พูดในสิ่งที่ไม่สมควรพูดไปเสียแล้่ว โดยเฉพาะกับคนที่ค่อนข้างจริงจังอย่าง คอนแสตนติน เมื่อเขาต้องการจะรู้อะไรเขาก็จะต้องได้รับรู้ โดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวข้องกับตัวเอง
“เอ่อ… เอาเป็นว่าผมขอตัวก่อนดีกว่า… ผมไม่อยากรบกวนเวลาในการสอนของคุณไปมากกว่านี้”
“จะไปแล้วรึ? ไม่รอให้จบคาบของชั้นก่อนล่ะ จะได้ไปนั่งหาอะไรดื่มด้วยกันสักหน่อย…”
“ผมก็แค่จะไปเดินเล่นแถวๆนี้หน่อยน่ะครับ อยากเก็บความทรงจำเก่าๆสมัยที่ยังศึกษาอยู่ที่นี่ แล้วเจอกันตอนเย็นที่ร้านกาแฟอัลมัสต้าบริเวณชานชลาหมายเลข 12 นะครับ”
“ต้องให้รอคำตอบอีกแล้วงั้นรึ? หึหึ ไม่ไหวเลย… ไอ้ลูกศิษย์คนนี้”
หลังจากที่ชายหนุ่มเดินจากไป คอนสแตนติน ดูนาฬิกาข้อมือของตน นี่ผ่านไป 15 นาทีแล้ว แต่บรรดานักเรียนของเขาก็ยังไม่ทีท่าว่าจะโค่น โกเลม ทั้ง 2 ตัวนั้นลงได้เลย แม้แต่รอยขีดข่วนก็ยังทำไม่ได้เลยสักแห่งเดียว แต่เขาก็รู้ดีว่านักเรียนของเขาทุกคนต่างก็มีความมุ่งมั่นและตั้งอกตั้งใจกันอย่างล้นเหลือ ดูได้จากการจัดรูปขบวนในการโจมตีศัตรู ที่ตอนแรกยังดูเหมือนฝูงผึ้งแตกรังอยู่เลย แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นว่านักเรียนแต่ละคนรู้ถึงจังหวะและหน้าที่ของตัวเองเป็นอย่างดี และคอยเข้าโจมตีสลับกับการสนับสนุนจากพวกพ้องอย่างเป็นจังหวะ ไม่มีช่องโหว่เลยแม้แต่น้อย
“เอ้าๆ! เร่งเข้าทุกคน เหลือเวลาอีก 15 นาที โคม่า! ใช้พละกำลังของเธอให้เป็นประโยชน์สิ! คอยป้องกันการโจมตีของมัน แล้วหาโอกาสสวนกลับซะ! ให้สมกับเป็นชน *เผ่าออร์ค ที่แสนจะบ้าบิ่นหน่อย…”
คอนสแตนติน หันไปตวาดกับนักเรียนชาย เผ่าออร์ค ตัวเขียวคล้ำที่พยายามหวดกระบองหนามโลหะในมือของตน สวนกับกำปั้นโลหะของ โกเลม อย่างสุดกำลัง ประกายไฟเกิดขึ้นเป็นระยะ ตามจังหวะการปะทะของทั้ง 2 สิ่ง แต่ดูเหมือนว่า โกเลม จะมีพละกำลังเหนือกว่าเขาอยู่หลายขุม
“เออใช่! ครูลืมไปเสียสนิทเลย โทษทีนะทุกคน… ครูลืมบอกไปว่าจุดอ่อนของโกเลมทั้ง 2 ตัว มันอยู่ที่กลางร่องอก ลึกลงไปใต้เกราะผิวโลหะของมันเล็กน้อย จะมีผลึกแก้วสีม่วงขนาดเท่ากับกำปั้นอยู่ ให้เน้นการโจมตีไปที่ตรงนั้น!! โจมตีจุดอื่นไปก็เสียเวลาเปล่า ฮ่าาาๆๆๆ!”
“โถ่… อาจารย์!”
นักเรียนทุกคนต่างตะโกนออกมาเป็นเสียงเดียวกัน แต่ คอนสแตนติน ได้แต่ยืนหัวเราะในความขี้หลงขี้ลืมของตนเอง กลุ่มนักเรียนกลับมาจัดรูปขบวนใหม่ และพยายามมุ่งโจมตีไปที่กลางอกของ โกเลม จุดเดียวเท่านั้น แต่ โกเลม ทั้ง 2 ก็พยายามปัดป้องจุดยุทธศาสตร์ของมันเอาไว้อย่างเต็มกำลังเช่นกัน จน คอนสแตนติน เริ่มจะทนในความงุ่มง่ามของนักเรียนไม่ไหว เขาจึงอัดพลังเวทใส่ปืนในมืออีกครั้งตัวเลข ‘8932’ ปรากฎขึ้นบนผลึกแก้วสีเขียวมรกตนั่น
ทันใดนั้นเขาก็เล็งศูนย์ปืนไปที่กลางอกของ โกเลม ที่กำลังไล่อัดนักเรียนอยู่ทางขวามือ เปรี้ยง!!! เมื่อได้โอกาสเขาเหนี่ยวไกอย่างไม่รีรอ เสียงปืนดังขึ้นอีกครั้งแต่คราวนี้มันดังกว่าครั้งที่เขาแสดงเป็นตัวอย่างให้กับนักเรียนหลายเท่านัก และตามมาด้วยลำแสงสีเขียวเข้มที่ออกมาจากปากลำกล้องปืนของเขา ลำแสงยาวประมาณ 1 ฟุต พุ่งเข้ากระทบกลางอกของ โกเลม อย่างจัง เกราะโลหะสีเงินหม่นของมันแตกกระจายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ก่อนกระสุนจะทะลุเข้าไปโดนผลึกแก้วทรงสี่เหลี่ยมข้าวหลามตัดสีม่วงขนาดเท่ากำปั้นนั่น
ครืน~~ ตึง!!! โกเลมตัวนั้นล้มหงายหลังตึงลงไปนอนแผ่หรากับพื้นทันที ก่อนที่ร่างค่อยๆแตกออกกลายเป็นก้อนโลหะชิ้นเล็กชิ้นน้อย และสลายกลายเป็นผงฝุ่นลอยไปกับสายลม เหล่านักเรียนที่กำลังต่อตีกับ โกเลม ที่พึ่งตายไปเมื่อครู่หันมามองค อนสแตนติน ด้วยความประหลาดใจและไม่เชื่อในสิ่งที่ตนเองเห็นว่ากระสุนอัดประจุพลังเวทเพียงแค่นัดเดียวและมาจากชายวัยกลางคน จะสามารถล้มโกเลมตัวมหึมาได้ง่ายดายขนาดนี้
“ถือว่าเป็นการไถ่โทษก็แล้วกัน เอ้า! มัวทำอะไรอยู่! ยังเหลือ โกเลม อีกตัวนะ เร็วๆเข้า! เวลาจะไม่เหลือแล้ว ถ้าครูช่วยพวกเธอถึงขนาดนี้แล้ว พวกเธอยังโค่นมันไม่ได้อีกล่ะก็ ครูจะตัดคะแนนพวกเธอให้เหี้ยนเลย…!”
กลุ่มนักเรียนที่ได้รับความช่วยเหลือจาก คอนสแตนติน หันไปสบทบกับกลุ่มที่กำลังซัดอยู่กับ โกเลม อีกตัวที่ตอนนี้ดูเหมือนมันเริ่มจะเกรี๊ยวกราดมากขึ้นกว่าเดิม สังเกตุได้จากความเร็วและความรุนแรงในการหวดกำปั้นของมันที่เพิ่มมากขึ้น แต่นักเรียนเหล่านั้นก็หาได้ย่อท้อไม่ กลับสนับสนุนซึ่งกันและกันได้ดียิ่งขึ้นกว่าเดิมเสียอีก และตอนนี้นักเรียนหญิงและชายจำนวน 5 คน ซึ่งตีตัวออกมาจากจุดเกิดเหตุพอสมควร และดูเหมือนกำลังร่ายมนตร์อะไรบางอย่างอยู่
‘โห่…! ถ้าชั้นเดาไม่ผิด นั่นมัน ‘โซ่ตรวนเทวา กักกันอสุนี 5 ทิศ’ มนตรากักกันขั้นสูงนี่ ไม่เลวๆ มีอะไรให้ประหลาดใจเยอะจริงๆนะเจ้าพวกนี้’
ในระหว่างที่ คอนสแตนติน กำลังประหลาดใจกับเวทมนตร์ของนักเรียนของตนเองอยู่นั้น โซ่ตรวนขนาดใหญ่ที่สร้างขึ้นจากวงแหวนเวทมนตร์ของนักเรียนทั้ง 5 คนก็พุ่งเข้ารัด แขน ขา และคอ ของโกเลมตัวนั้นเอาไว้แน่นมันพยายามขัดขืนแต่ก็ไร้ผล เพราะยิ่งมันพยายามดิ้นเท่าไหร่โซ่ตรวนนั่นก็ยิ่งรัดแน่นมากขึ้นเท่านั้น จนโซ่ตรวนทั้งหมดสามารถฉุดกระชากมันให้ลงไปนอนแผ่หราอยู่กับพื้นได้เป็นผลสำเร็จ และไม่รอช้านักเรียนชายเผ่ามนุษย์คนหนึ่ง ผู้ที่ได้อาวุธเป็นสนับมือโลหะสีเงินวาววับ เขาปีนขึ้นไปยืนอยู่เหนือร่องอกของโกเลมตัวนั้นทันที และทำวิธีเดียวกันกับ คอนสแตนติน นั่นคืออัดประจุพลังเวทเข้าไปในสนับมือของตนเองก่อนที่จะรัวต่อยไปที่เกราะที่เป็นโลหะอันแข็งแกร่งของมันแบบไม่ยั้ง เปรี้ยงๆๆๆๆ! ตูมๆๆๆ!! พลั่กๆๆๆ!!! เพล้ง!! เสียงรัวหมัดดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง และตามมาด้วยเสียงเหมือนกับแก้วแตก เกราะของมันถูกเปิดออก และกำลังจะกลับสู่สภาพเดิม แต่กลุ่มนักเรียนไม่ปล่อยให้เรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ยังมีนักเรียนชายกับหญิงอีกคู่หนึ่งที่กำลังร่ายเวทมนตร์รอยอยู่บนฟ้า ซึ่งระหว่างนั้นท้องฟ้าโดยรอบที่ทั้งคู่อยู่นั้นก็ค่อยๆกลายเป็นสีเทาหม่นก่อนจะเริ่มมีฟ้าผ่าเล็กๆเกิดขึ้น
“แสงอัสนีบาต มหาศาสตราประกายพรึก ระเบิดกัมปนาท! พิฆาตอสุรา!!”
สิ้นเสียงของนักเรียนทั้ง 2 หอกเรืองแสงสีทองอร่ามปลายเรียวแหลมขนาดใหญ่มหึมาปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า มวลอากาศเริ่มแปรปรวน แรงกดดันของพลังเวทมหาศาลแผ่ขยายตัวออกไปทั่วทุกสารทิศ ก่อนจะพุ่งลงมาใส่ โกเลม ที่ถูกพันธนาการอย่างน่าสงสารนั่น มันเสียบทะลุผลึกแก้วสีม่วงจนร่างกายมันแหลกเป็นผุยผงหายไปกับสายลม เปรี้ยง!! ครืน~~! เสียงฟ้าผ่าดังขึ้นสนั่นหวั่นไหวพื้นดินสั่นสะเทือนไปทั่วจน คอนสแตนติน ต้องเอามือจับโต๊ะเก่าๆพุๆพังๆนั่น เพื่อพยุงตัวเองไม่ให้ล้ม
“ใช้ได้ๆ ใช้เวลา 30 นาทีพอดี เป็นไง? ความรู้สึกที่ได้ทดลองใช้ Device ครั้งแรก วิเศษไปเลยใช่ไหมล่ะ? ถึงมันจะเป็นแค่รุ่นฝึกหัดก็ตามทีเถอะ ลองนึกถึงในอนาคตดูสิ… ถ้าหากพวกเธอได้เป็นจอมเวทระดับชั้นแนวหน้า และได้ใช้ Device ของจริงแล้วล่ะก็จะวิเศษกว่านี้แค่ไหน ในครั้งหน้าเราจะทำการทดสอบจริงๆกัน เอาล่ะๆ! นี่ก็เลยเวลาของครูมาเยอะแล้ว ขอให้ทุกคนคืนสภาพของมันให้อยู่ในสถานะ Freezing และเอามันมาคืนกับครู แล้วก็… แยกย้ายกันไปเรียนคาบต่อไปได้แล้วล่ะนะ”
นักเรียนทุกคนเอา Device ที่กลับคืนสู่สถานะ Freezing แล้วไปวางไว้บนโต๊ะตัวเดิม และพากันเดินกลับไปยังอาคารเรียนของตัวเองเพื่อเข้าเรียนวิชาต่อไป คอนสแตนติน ค่อยๆหยิบ Device ที่กลับไปอยู่ในรูปของกล่องสีเหลี่ยมผินผ้าดังเดิมใส่ลงไปในถุงผ้าสีเลือดหมูร้อยเชือกสีทองที่เขาเตรียมเอาไว้อย่างระมัดระวัง
“วิชาของอาจารย์น่าสนใจดีนะคะ”
“โอ้! สวัสดียามบ่ายครับ อาจารย์นีน่า"
นีน่า ที่พึ่งสอนชั่วโมงของเธอเสร็จและเดินผ่านมาเห็น คอนสแตนติน เข้าพอดี จึงเดินเข้ามาทักและเมื่อเธอเห็นแท่งสีดำที่อยู่บนโต๊ะนั่น เธอก็แสดงท่าทางสนอกสนใจขึ้นมาทันที
“Device รุ่นฝึกหัด อย่างงั้นเหรอคะ?”
“ครับ ผมลองเอามาให้นักเรียนได้ทดลองใช้กันดูน่ะครับ”
นีน่า หยิบ Device รุ่นฝึกหัดขึ้นมาอันหนึ่ง เพียงแค่เธอสัมผัสมันเท่านั้น มันก็กลายสภาพเป็นปืนสั้นกระบอกโตสีดำเงางามขึ้นมาทันที ถึงมันจะแตกต่างจากอาวุธคู่กายของเธอเล็กน้อย แต่มันก็ให้ความกระชับและเข้ากับมือของเธอเป็นอย่างดีเลยทีเดียว
“เป็นแบบตอบสนองตามผู้ใช้เสียด้วย ถือว่าเป็นอุปกรณ์ฝึกหัดที่เหมาะกับการสอนมากเลยทีเดียว เพราะใช้งานได้ง่าย และมีความปลอดภัยที่สูง อาจารย์นี่… มีของดีๆเก็บเอาไว้เยอะจังเลยนะคะ อาชาเพลิงเรกิออส นั่น… ก็เช่นกัน”
นีน่า ลองเหวี่ยงปืนไปในทิศทางต่างๆเพื่อทดสอบน้ำหนักและความคล่องตัว พร้อมกับลองเล็งศูนย์ปืนไปยังจุดต่างๆที่เธอเหวี่ยงแขนไป แต่เธอก็ไม่รู้สึกว่าแปลกหรือไม่คุ้นเคยเลยแม้แต่น้อย แต่เธอก็ยังวางใจมันไม่ได้เท่ากับได้ลองยิงจริงๆสักครั้ง ดังนั้นเธอจึงวางมันลงที่เดิม ก่อนที่ปืนกระบอกนั้นจะค่อยๆกลับส่สภาพดังเดิมของมันอีกครั้ง
“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกครับ อ่า…ใช่แล้ว! ว่าแต่… เรื่องบ้านของอาจารย์ที่โดน กลุ่มเลนิน บุกเมื่อคืนก่อนละครับ การซ่อมแซมไปถึงขั้นไหนแล้ว? คงลำบากแย่เลยสินะครับ ถ้ายังไงวันอาทิตย์นี้ผมว่าง ให้ผมไปช่วยซ่อมแซมอีกแรงไหมล่ะครับ?”
“มะ… ไม่เป็นไรหรอกค่ะ! รบกวนเวลาของอาจารย์เปล่าๆ”
“เรื่องนั้นไม่ต้องห่วงหรอกครับ เพราะวันอาทิตย์นี้ผมก็ไม่ได้มีธุระอะไรที่ไหนอยู่แล้วด้วย นั่งอ่านหนังสืออยู่ที่ห้อง มันก็น่าเบื่อ… ถ้าได้ออกแรงสักนิดก็คงจะดีมิใช่น้อย”
“จะดีเหรอคะ?”
“ดีสิครับ…”
“งั้นก็… ตกลงค่ะ ตายล่ะ! นี่ใกล้จะถึงชั่วโมงต่อไปที่ดิชั้นจะต้องสอนแล้ว ถ้างั้นดิชั้นขอตัวก่อนนะคะ”
นีน่า ก้มหัวพร้อมกับส่งยิ้มให้ คอนสแตนติน และเดินจากไป ส่วนเขาก็ทำหน้าที่เก็บ Device ต่อไปเรื่อยๆ จนถึงชิ้นที่เธอวางทิ้งเอาไว้ และเมื่อเขาจับมันขึ้นมาปรากฎว่า… เพล้ง!! มันแตกออกเป็นชิ้นๆทันที ผลึกแก้วสีเขียวมรกตที่เป็นแกนหลักของ Device ชิ้นนั้น กลิ้งออกมาจากซากของมัน และมีตัวอักษรแทนที่จะเป็นตัวเลขปรากฎขึ้นว่า ‘System Overload’ สีแดงกระพริกช้าๆก่อนจะค่อยๆดับไป คอนสแตนติน หน้าถอดสีและชายตามองตามหลังของเธอด้วยสายตาที่ดูสนอกสนใจปนฉงนสงสัย แต่เขาก็พยายามคิดในแง่ดีว่าอุปกรณ์มันอาจจะเก่าเกินไป จนทนรับพลังเวทไม่ได้แล้วก็เป็นได้
หลังจากนั้น คอนสแตนติน ยังมีคาบที่ต้องสอนต่ออีกจนใกล้จะถึงเวลานัดหมายกับ อัคคามิฬ เขารีบวิ่งไปยังร้านกาแฟที่ชายหนุ่มนัดเขาเอาไว้อย่างเร่งรีบ จนในที่สุดเขามาถึงชานชลาหมายเลข 12 ของสถานีรถไฟที่อยู่ภายในสถาบัน เขาหันซ้ายหันขวาหาร้านกาแฟที่ว่า… แต่ไม่พบร้านค้าไหนที่ดูคล้ายคลึงกับร้านกาแฟเลยสักนิด ร้านค้าแถวนี้มีแต่ร้านขายของฝากและของกินจุกจิกทั่วๆไป
แต่เมื่อเขาสังเกตุเห็นซอกหลืบเล็กๆที่ดูซอมซ่อสกปรกและบรรยากาศอึมครึมไม่รับแขกเป็นอย่างยิ่ง เขาก็เห็นชายที่มีหนวดสีขาวกำลังนั่งจิบกาแฟที่มีฟองนมลอยฟ่องอยู่เต็มถ้วย ริมฝีปากของเขามีฟองนมเกาะอยู่เต็มไปหมดจนดูเหมือนหนวดขาวเล็กๆที่ยิ่งดูก็ยิ่งตลกนัก แต่เมื่อเขาพยายามเพ่งสายตาให้ดียิ่งขึ้น ชายหนวดขาวคนนั้นก็คือ อัคคามิฬ นั่นเอง
“อ๊ะ! ทางนี้ครับอาจารย์!”
ขณะที่ อัคคามิฬ กำลังยกแก้วขึ้นจิบเป็นครั้งที่ 2 เขาเหลือบไปเห็น คอนสแตนติน เข้าพอดีจึงโบกมือเรียกเพื่อเป็นสัญญาณให้ คอนสแตนติน เห็นตนได้ชัดเจนยิ่งขึ้น เมื่อ คอนสแตนติน เห็นสัญญาณมือก็เดินตรงเข้าไปหา และพยายามกลั้นหัวเราะเล็กน้อย ก่อนที่จะนั่งลงที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามกับ อัคคามิฬ แต่ไม่ทันที่ก้นของ คอนสแตนติน จะสัมผัสกับเก้าอี้ บริกรสาว *เผ่าดาร์คเอลฟ์ ใส่ชุดเมดเก่าๆขาดรุ่ย ตรงส่วนที่เคยเป็นสีขาวตอนนี้ได้กลายเป็นสีน้ำตาลอ่อนๆ อาจจะโดนกาแฟหกใส่หรือในอีกแง่คือไม่ได้ซัก เธอทำหน้าตาบึ้งตึงดูหน่ายโลก ก่อนจะเดินเข้ามารับออร์เดอร์จากเขา
“จะรับอะไรดีคะ…? ชานมร้อนนะคะ…? กรุณารอสักครู่ค่ะ…”
ไม่ทันที่ คอนสแตนติน จะเอ่ยปาก บริกรสาวคนนั้นเหมือนกับจะอ่านใจของเขาได้ เธอรู้ได้ยังไงว่าเขาจะสั่งชานมร้อน ทำให้ คอนสแตนติน อึ้งไปพักหนึ่ง ส่วน อัคคามิฬ ก็ได้แต่กลั้นขำเอาไว้ เพราะถ้าเขาขำออกมาตอนนี้กาแฟที่อยู่ในปากของเขาจะไปอยู่บนใบหน้าของ คอนสแตนติน เป็นแน่แท้ บริกรสาวเดินจากไปและในอีกไม่กี่อึดใจ ชานมร้อนสีขาวขุ่นควันฉุ่ยในถ้วยชาสีขาวหม่นๆก็มาอยู่ตรงหน้า เขายกแก้วชาขึ้นมาลองจิบดู ปรากฎว่ารสดีเกินคาด ความหอมนุ่มละมุนลิ้นแผ่ซ่านไปทั่วทั้งปาก ความกลมกล่อมของมันสุดจะบรรยาย ราวกับถูกรุมเร้าด้วยความอ่อนโยนของนมสดๆ และตามด้วยถูกฉุดกระชากที่คอเสื้อแรงๆด้วยความขมเล็กน้อยของใบชาชั้นเลิศ และด้วยรสชาติอันแสนกลมกล่อมของชาถ้วยนี้ ทำให้ คอนสแตนติน เกือบลืมตัวไปว่าตัวเองมาทำอะไรที่นี่กันแน่ เขาวางถ้วยชาลงทันที และมองชายหนุ่มที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามเป็นเชิงถาม
“นี่ของอาจารย์ครับ”
อัคคามิฬ ควักม้วนกระดาษที่มีริบบิ้นสีแดงคลิบทองผูกเอาไว้เป็นโบว์ และตรงปมของโบว์นั้นมีตรงทองคำหลอมละลายที่ปั้มตราราชวงค์ไลลารินเอาไว้อย่างงดงาม ออกมาจากกระเป๋าเป้เก่าๆสีดำซีดๆของตน และยื่นมันให้ คอนสแตนติน ทันที เขาแกะมันออกด้วยความระมัดระวัง ก่อนจะหยิบแว่นเลนส์กลมขนาดเล็กขึ้นมาสวมใส่ และอ่านมันอย่างละเอียดถี่ถ้วน เวลาผ่านไปประมาณ 10 นาที เมื่อเขาอ่านจบเขาก็วางมันลง ทันใดนั้น… พรึ่บ!! ฟู่ๆๆๆ! ม้วนกระดาษเกิดประกายไฟเล็กๆ ก่อนจะลุกไหม้กลายเป็นเถ่าถ่านไป เขาแสดงสีหน้าไม่สบายใจอย่างเห็นได้ชัด พลางจ้องตาของชายหนุ่มเขม็ง
“กำหนดการเดินทางเมื่อไหร่?”
“คาดว่าหลังเที่ยงคืนของวันเสาร์ที่จะถึงนี้ครับ แต่ องค์กษัตริย์คอสรอฟ เองก็อยากจะให้กลับไปเตรียมการล่วงหน้าที่ไลลารินก่อนการเดินทาง”
“มีชั้นกับเธอแค่ 2 คนเท่านั้นเองเหรอ?”
“คิดว่าคงจะเป็นเช่นนั้นล่ะครับ แต่องค์กษัตริย์ตรัสไว้ว่าอยากให้ผมกับอาจารย์ทำภารกิจนี้”
“จะบ้ารึ! บุกเข้า เกาะอสูร แค่ 2 คนนี่มันไม่ใช่เรื่องเล่นๆเลยนะ!!”
“ผมทราบดีครับ แต่มันเป็นราชโองการที่องค์กษัตริย์ได้กำหนดมาแล้ว ก็มีแต่ต้องทำตามไม่ใช่เหรอครับ?”
“นั่นมันก็จริง แต่มนุษย์แค่ 2 คนจะไปทำอะไรได้!? อย่างน้อยๆ… ก็น่าจะมีตัวช่วยหรืออุปกรณ์เสริมอะไรให้บ้างนะ?”
“เรื่องนั้นไม่ต้องเป็นห่วงครับ ฝ่ายวิจัยและพัฒนา ได้สร้าง ชุดเกราะไซเบอร์เนติก รุ่นใหม่ออกมาเพื่อภารกิจนี้โดยเฉพาะเลยละครับ... แล้วก็... นี่ครับ…! ชุดของอาจารย์”
อัคคามิฬ หยิบนาฬิกาข้อมือดิจิทัลรูปทรงทันสมัยสีดำอมเทาอันหนึ่งออกมาวางไว้ตรงหน้า รูปร่างของมันเหมือนกับนาฬิกาดิจิทัลสมัยใหม่ทั่วๆไป แต่มีขนาดที่ใหญ่กว่าเล็กน้อย แต่ที่ คอนสแตนติน สังเกตุอยู่ก็คือ ปุ่มสีแดงเล็กๆที่ติดอยู่บริเวณด้านล่างกลางตัวเรือน และเมื่อเขากำลังจะลองกดมันดู อัคคามิฬ ก็รั้งแจนเขาไว้ทันทีพลางส่ายหน้าเล็กน้อย
“ความลับทางการทหารนะครับอาจารย์ อย่าให้ผู้อื่นล่วงรู้โดยไม่จำเป็น”
“อ่า… ขอโทษที ฉันลืมตัวไปหน่อยน่ะ”
“ถ้าอย่างนั้น…วันเสาร์ เวลาประมาณ 23.30 น. มาเจอกันที่ท่าจอดยานขนส่งระหว่างสหราชอาณาจักรนะครับ แล้วพบกันนะครับอาจารย์”
อัคคามิฬ ลุกจากเก้าอี้พร้อมกับหยิบเสื้อคลุมสีดำของตนมาใส่พร้อมกับสะพายเป้สีดำเก่าๆของตน ก่อนจะเดินจากไป และก่อนที่ คอนสแตนติน จะทันสังเกตุ อัคคามิฬ ก็หายตัวไปกับกลุ่มผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาเสียแล้ว
และเมื่อเขากลับมาถึงห้องพักในตึกที่พักสำหรับอาจารย์ หลังจากที่เขาทำธุระส่วนตัวเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เขาก็หยิบนาฬิกาดิจิทัลที่ อัคคามิฬ ให้ไว้ออกมาดูอย่างถี่ถ้วนและลองใส่มันดูเสียง ‘ปิ๊บๆ’ สั้นๆดังออกมาจากนาฬิกานั่น ก่อนจะฉายภาพออกมาเป็นรูปผู้ชายใส่แว่นที่เรารู้จักกันแล้วนั่นคือ วิกเตอร์ นั่นเอง
“สวัสดีครับ! ผู้พัน คอนสแตนติน ถ้าข้อความนี้ปรากฎขึ้นมาแสดงว่าคุณได้รับนาฬิกาข้อมือเรือนนี้เป็นที่เรียบร้อยแล้วสินะ? แนะนำตัวกันก่อน… ผมมีนามว่า วิกเตอร์ โนว่า ผมเป็นผู้คิดค้นและพัฒนาระบบของ Cybernatic Armor Supporter – Nova Operative Prototype หรือเรียกสั้นๆว่า CAS-NOP [คาสนอพ] ก็ได้ เอาล่ะเข้าเรื่องกันเลยดีกว่า… ขั้นตอนแรกขอให้คุณกดปุ่มสีแดงที่อยู่บนตัวเรือนซะก่อนนะครับ…”
คอนสแตนติน รีบทำตามทันที เขากดปุ่มสีแดงนั่น ทันใดนั้นใต้ตัวเรือนของมันก็ค่อยๆแผ่ขยายแผ่นโลหะเล็กๆออกมา ก่อนจะค่อยๆหลามไปทั่วทั้งตัว จนทั้งร่างของ คอนสแตนติน ถูกห่อหุ้มไปด้วยแผ่นโลหะสีดำเล็กๆเต็มไปหมด และเมื่อมันเรียงเข้าที่เรียบร้อย แผ่นโลหะเหล่านั้นก็ทำการเชื่อมตัวติดกันและเข้ารูปเป็นทรงตามจุดที่มันอยู่ และบริเวณส่วนหัวจะมีช่องว่างเป็นแถบและกลายสภาพเป็นเลนส์กระจกสีเขียวอ่อนทึบ เพื่อให้ผู้ใช้มองเห็นได้สะดวก ส่วนตัวเกราะนั้นเมื่อมันเชื่อมกันเป็นกันเสร็จ ชิ้นส่วนต่างๆที่เป็นคาดว่าน่าจะเป็นอุปกรณ์ของมันก็ค่อยๆโผล่ขึ่นมา เช่น ตรงช่วงรอบข้อมือด้านขวาจะมีกระบอกสั้นๆสีเงินยาวประมาณ 10 ซม. ที่ดูคล้ายกับลำกล้องของปืนโผล่ขึ้นมาในนอนนอนขนานไปกับข้อมือ และขยายตัวออกไปทั้งซ้ายและขวาจนกลายเป็นโครงกระบอกปืนสีเงินที่เรียงรายอยู่รอบท่อนแขน เป็นปืนกลลำกล้องหมุนขนาดย่อม ส่วนแขนทางด้านซ้ายจะมีกระบอกทรงกลมๆขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 3 ซม. วางเรียงกันอยู่ 3 กระบอกเป็นอุปกรณ์เอาไว้ยิงมิสไซต์ติดครีบขนาดย่อมนั่นเอง
‘สะ… สุดยอด!’
เขาคิดพร้อมกับยกปืนที่มือขวาและซ้ายขึ้นมาดู พลางเดินไปส่องกระจกบานใหญ่เท่าตัวที่อยู่ตรงหน้า ปรากฎว่าตอนนี้เขาได้กลายเป็นชายวัยกลางคนในชุดเกราะโลหะสีดำ ที่มีอาวุธครบมือไปเสียแล้ว คราวนี้ภาพของ วิกเตอร์ มาปรากฎภายในหมวกโลหะของเขาพอดี ทำให้เขาได้เห็นผิวซีดๆของ วิกเตอร์ ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
“เอาล่ะเมื่อคุณทำการซิงโครกับ คาสนอพ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ผมจะอธิบายถึงคุณสมบัติคร่าวๆของมันให้ฟังนะครับ คาสนอพ นั้นจะเพิ่มสมรรถนะทางร่างกายให้กับคุณหลายเท่าตัวทั้งความคล่องตัว ความเร็ว พละกำลัง รวมไปถึงระดับพลังเวท และด้านอื่นๆอีกมากมาย และที่สำคัญมันจะตอบสนองตามความคิดของคุณ คุณคิดมันตอบสนองให้ดั่งใจ หวังว่าคงจะเข้าใจนะครับ? และอาวุธของชุดนี้่หลักๆจะมีด้วยกัน 2 อย่าง คือ Mini Gatling Gun ปืนกลลำกล้องหมุนขนาด 12.7 มม. อัตตราการยิง 3500 นัด/นาที บรรจุไม่จำกัด ต่อมา Mini Homing Missile มิสไซต์ติดคลีบขนาดย่อมสามารถยิงได้ครั้งละ 3 ลูก ระยะหวังผลคือ 750 เมตร ไม่จำกัดเช่นกัน และมีอุปกรณ์เสริมคือ Jump Jet Units ชื่อก็บอกตรงตัวอยู่แล้วว่า… มันสามารถทำให้คุณสามารถกระโดดได้ไกลขึ้น อันนี้ขึ้นอยู่กับการใช้งาน ส่วนรายละเอียดปลีกย่อยอื่นๆอ่านคู่มือเอาเองละกันนะครับ อ่อ… แล้วขอเตือนไว้ก่อนนะว่า คาสนอพ ยังเป็นแค่รุ่นต้นแบบ เพราะฉนั้นใช้อย่างระมัดระวังหน่อยละ ถ้าจะเอาไปชนกับเวทมนตร์หรือการโจมตีที่มีพลังทำลายสูงมากๆ คาสนอพ จะทนได้แค่ 30 วินาทีเท่านั้น! ส่วนระบบ Bootscud ห้ามใช้เด็ดขาดเพราะมันจะทำให้ระบบของ คาสนอพ เกิดการ Overload และเสียหายได้ ขอย้ำนะครับว่า... ห้ามใช้เด็ดขาด!”
ข้อความของ วิกเตอร์ หายไป คอนสแตนติน เปิดแผงเกราะที่แขนซ้ายของเขาขึ้นมา ก่อนจะใช้นิ้วสัมผัสหน้าจอที่อยู่ในนั้น เสียง เกร็ก! และตามมาด้วยเสียง ฟู่ๆ! ดังออกมาตามช่องว่างของชุดเกราะ และทันใดนั้นเกราะสีดำก็กลายสภาพเป็นแผ่นเหล็กเล็กๆเหมือนกับตารางหมากรุก ก่อนจะค่อยๆหดกลับเข้าไปยังใต้ตัวเรือนนั่นดังเดิม คอนสแตนติน กลับมาอยู่ในร่างคนธรรมดาอีกครั้ง เขาถอดนาฬิกานั่นออกและวางมันเอาไว้บนโต๊ะอ่านหนังสือที่อยู่ข้างหน้าต่าง และเดินไปที่เตียงก่อนจะเอนตัวลงนอนพลางเอามือก่ายหน้าผากคิดถึงเรื่องที่ผ่านมาในวันนี้ทั้งหมด และคำขอโทษที่ตนจะต้องพูดกับ นีน่า เนื่องจากไม่สามารถทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับเธอเมื่อช่วงบ่ายนี้ได้ ก่อนที่เขาจะผล่อยหลับไป
-= Lesson 3 End =-
-= To Be Continue Lesson 4 =-
-= เกร็ดความรู้ท้ายบท =-
ดีไวซ์ [Device]
- Device คือ อุปกรณ์ที่ใช้กักเก็บหรือผนึกอาวุธแต่ละชนิดให้อยู่ในรูปแบบต่างๆ โดยส่วนมากจะอยู่ในรูปแบบของ ‘เครื่องประดับ’ โดยสถานะนี้จะถูกเรียกว่า ‘Freezing’ เพื่อไม่ให้สะดุดตาผู้อื่นมากนัก และจำเป็นต้องใช้พลังเวทของผู้ใช้ส่วนหนึ่งในการปลดผนึก Device นั้นๆให้กลับมาอยู่ในรูปร่างดังเดิมของอาวุธนั้นๆ โดยสถานะนี้จะถูกเรียกว่า ‘Reincarnate’ และ Device นั้นจะมีข้อแตกต่างจากอาวุธประเภทอื่นๆ ตรงที่มันไม่มีพลังเวทเป็นของตัวเอง จึงจำเป็นที่จะต้องใช้พลังเวทจากตัวของผู้ใช้และ ‘คาร์ทริดจ์’ ในการเพิ่มระดับพลังเวท แต่ Device นั้นก็มีข้อดีอยู่หลายอย่าง เช่น เมื่ออยู่ในสถานะ ‘Freezing’ จะสามารถพกพาไปไหนต่อไหนได้อย่างสะดวก ไม่เหมือนกับอาวุธปรกติ อย่างเช่น พวกอัศวินที่ชอบแบกดาบใหญ่ๆหนักๆเอาไว้บนหลัง แต่ Device นั้นสามารถแปลงสภาพให้มันอยู่ในรูปแบบของอุปกรณ์ขนาดเล็กกระทัดรัดได้ และ Device บางชนิดถ้ามันสามารถตอบสนองตามรูปแบบของพลังเวทของผู้ใช้ในขณะนั้นได้ มันก็สามารถที่จะเปลี่ยนรูปแบบจากอาวุธชนิดหนึ่งไปยังอาวุธอีกชนิดหนึ่งได้ในพริบตาเลยทีเดียว ทำให้ผู้ใช้สามารถพลิกแพลงการใช้อาวุธได้ตามสถานะการณ์ที่เป็นอยู่
คาร์ทริดจ์ [Cartridge]
- อุปกรณ์ที่ใช้เพิ่มระดับพลังเวทในช่วงเวลาหนึ่งให้กับ Device อยู่ในรูปของ ‘กระสุนปืน’ ไม่สามารถนำไปใช้แทนกระสุนปืนได้ มีข้อดีคือในการใช้งาน ‘คาร์ทริดจ์’ แต่ละครั้งสามารถใช้ครั้งละหลายๆนัดได้อย่างไม่มีข้อจำกัด [ถ้ารวยพอที่จะซื้อเก็บไว้เยอะๆได้อ่ะนะ -.-] โดยที่ระดับพลังเวทจะเพิ่มขึ้นมากน้อยแค่ไหน ก็ขึ้นอยู่กับจำนวนและขนาดของ ‘คาร์ทริดจ์’ นั้นๆ และราคาของ ‘คาร์ทริดจ์’ แต่ละนัดนั้นจะขึ้นอยู่กับขนาดของมันอีกด้วย โดยแบ่งได้ตามขนาดดังนี้
[10 MM.] ให้พลังงานเวท 500 - 1000 รูน
[12.7 MM.] ให้พลังงานเวท 1500 - 2000 รูน
[12.7 MM. Special] ให้พลังงานเวท 2500 - 3000 รูน
[14.5 MM.] ให้พลังงานเวท 3500 - 4000 รูน
[14.5 MM. Full Custom] ให้พลังงานเวท 4500 - 5000 รูน
[17.62 MM.] ให้พลังงานเวท 5500 - 6000 รูน
[17.62 MM. Ultima] ให้พลังงานเวท 6500 - 7000 รูน
[17.62 MM. Full Gate] ให้พลังงานเวท 7500 - 8000 รูน
[20 MM.] ให้พลังงานเวท 8500 - 9000 รูน
[20 MM. Super Phoenix] ให้พลังงานเวท 9500 - 9999 รูน
*หมายเหตุ : ขนาดของ ‘คาร์ทริดจ์’ ที่กล่าวไว้ข้างต้นอย่านำไปเปรียบเทียบกับขนาดของกระสุนที่มีอยู่จริงนะครับ เพราะผมเองก็เอามาเมคเองอีกทีเหมือนกัน
โกเลม [Golem]
- สัตว์อสูรที่มีพื้นฐานมาจากธาตุหลักทั้ง 4 ดิน, น้ำ. ลม และไฟ มีขนาดตัวที่ใหญ่มหึมาและมีรูปร่างที่ไม่แน่นอน แต่มีพละกำลังอันมหาศาล แต่ทว่าไม่มีความคล่องตัวเลยแม้แต่น้อย ถึงกระนั้นมันก็มีความอดทนต่อการโจมตีแทบทุกชนิดเข้ามาทดแทน แถมยังสามารถหักล้างเวทมนตร์ที่มีสังกัดธาตุตรงกับมันได้อีก เป็นสัตว์อสูรที่นิยมใช้กันในหมู่ หมอผี [Necromancer] เสียส่วนใหญ่ แต่ก็มีบางชนิดที่อยู่นอกเหนือสังกัดธาตุทั้ง 4 คือ น้ำแข็ง, สายฟ้า. โลหะ. ไม้. แสงสว่าง. ความมืด และสุดท้ายที่ถือว่าเป็น โกเลม ที่แข็งแกร่งที่สุดในสังกัดธาตุใดๆ นั่นคือ ‘ทองคำ’
โทรล [Troll]
- เผ่าพันธ์ุที่มีขนาดร่างกายที่ใหญ่โตพร้อมด้วยพละกำลังมหาศาล แต่มีพัฒนาการทางสมองต่ำแทบจะติดดินที่สุดในบรรดาชนทุกเผ่า ดังนั้นทำให้พวกมันไม่สามารถที่จะเรียนรู้เวทมนตร์ได้เลยแม้แต่บทเดียว แต่ด้วยพละกำลังที่มากมายมหาศาลและความอดทนต่อพลังเวทและการโจมตีนั้น ทำให้มันเป็นหนึ่งในชนเผ่าที่น่าสะพรึงกลัวสำหรับเหล่านักรบและจอมเวทมิใช่น้อย และด้วยความโง่เคลาของพวกมันทำให้เหล่า ‘อสูร’ มักจะนำพวกมันมาใช้งานในด้านต่างๆและยังเป็นกองบุกทะลวงฟันให้กับ กองทัพอสูร อีกด้วย มีอายุขัยที่ไม่แน่ชัดและแหล่งอาศัยที่ไม่แน่นอน
ดวอร์ฟ [Dwarf]
- เผ่าพันธ์ุที่รูปร่างคล้ายมนุษย์ที่สุดแต่ตัวเล็กกว่าจนมักถูกเรียกว่า ‘คนแคระ’ พวกเขามีรูปร่างหน้าตาคล้ายคลึงกับมนุษย์เพียงแต่ส่วนสูงนั้นมักจะไม่เกิน 150 cm เสียส่วนใหญ่ แต่กลับมีความอดทนและพละกำลังที่ดียิ่งกว่ามนุษย์ อายุขัยอยู่ที่ราวๆ 200 ปี เพศชายจะมีหนวดเคราที่ดกดำตั้งแต่ช่วงอายุประมาน 20 – 30 ปีขึ้นไป ส่วนเพศหญิงนั้นจะมีรูปร่างหน้าตาละม้ายคล้ายเด็กสาวชาวมนุษย์อายุไม่เกิน 15 ปี ไปจนอายุร่วมร้อยเลยทีเดียว พวกเขามีสติปัญญาและความใฝ่หาในเทคโนโลยีไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าเผ่าใดๆ รวมถึงการคิดคำนวนอันรวดเร็ว แต่ความสามารถทางเวทมนตร์ต่ำกว่ามนุษย์ ทำให้ส่วนใหญ่มักจะเหมาะที่จะเป็น ‘นักประดิษฐ์’ หรือไม่ก็ ‘พ่อ/แม่ค้า’ หรือจะเป็น ‘นักวิทยาศาสตร์’ ก็ไม่เลวซะทีเดียว
ออร์ค [Orc]
- เผ่าพันธ์ุที่มีความแข็งแกร่งทั้งพละกำลังและความทนทานทรหดอดทนมาแต่กำเนิด มีรูปร่างสูงใหญ่ได้ถึง 2 เมตร หรืออาจจะมากกว่า ผิวกายสีเขียวคล้ำไปจนถึงดำ มีนิสัยเกรี้ยวกราดและดุร้าย เมื่อรวมกับพละกำลังที่มหาศาลและความสามารถที่ทนทานต่อความเจ็บปวดหรือแม้แต่ยาพิษได้เป็นอย่างดีนั้น ทำให้เป็นนักรบที่น่าเกรงกลัวไม่ใช่น้อย แต่ทว่า… ความสามารถในการเรียนรู้เวทมนตร์นั้นค่อนข้างต่ำ พลังเวทอาจจะถึงขั้นติดดิน ทำให้หากจะเดินในสายเวทนั้นนอกจาก ‘นักรบ’ หรือไม่ก็ ‘นักรบเวทมนตร์’ แล้ว คงเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเป็นสายอาชีพอื่นใดได้อีก
ดาร์คเอลฟ์ [Dark Elf]
- เผ่าพันธ์ุซึ่งเดิมทีเคยเป็นส่วนหนึ่งของเผ่าเอลฟ์ แต่ต้องคำสาปจากมนตร์ดำต้องห้ามที่ตนเองฝึกฝน จนมีสีผิวแปรเปลี่ยนเป็นสีออกเทาไปจนถึงดำ สีผมเป็นสีเงินเป็นประกาย อายุขัยอยู่ที่ราวๆ 600 - 800 ปี ซึ่งสั้นลงกว่าเผ่าเอลฟ์พอสมควร พวกเขามีความคล่องตัวน้อยลงกว่าเผ่าเอลฟ์ แต่มีความแข็งแรงของร่างกายและพลังทำลายของเวทที่มากกว่ามาทดแทน เชี่ยวชาญด้านเวทแห่งความมืด, น้ำแข็ง, คำสาบ และเปลวเพลิง แต่พวกเขาจะไม่สามารถใช้เวทมนตร์ในสังกัดธาตุแสงสว่าง หรือ ศักดิ์สิทธิ์ ได้เลย ถึงแม้ว่าพื้นภูมิหลังของพวกเขาจะสืบทอดมาจากผู้ที่ใช้มนตราสังกัดธาคุแสงสว่าง หรือ ศักดิ์สิทธิ์ ก็ตามทีเถอะ
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7.9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8.4 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8.4 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ