~S.O.M.A~ [Solitaire of The Magician Age]
8.3
เขียนโดย Daimaou_no_Sora
วันที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553 เวลา 22.46 น.
12 Lesson
28 วิจารณ์
21.43K อ่าน
1) Prelude + จุุดเริ่มต้นของตำนานบทใหม่
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ -= ~S.O.M.A~ [Solitaire Of The Magician Age] – The Chronicle of Zodas =-
-= ~โซมะ~ [เพชรเม็ดเดียวแห่งยุคจอมเวท] - บทบันทึกแห่งโซดาส =-
-= Prelude =-
เนิ่นนานมาแล้วในจักรวาลอันไกลโพ้นบนผืนพิภพที่มีนามว่า เอโอซิริส มหาสงคราม ระหว่าง สิ่งมีชีวิตมหัศจรรย์ และเหล่า อสูร ได้ปะทุขึ้น อันสืบเนื่องมาจากการแย่งชิง ผลึกแก้วเวทมนตร์ที่ทรงอนุภาพมากที่สุดนามว่า ผลึกแก้วเวทมนตร์โซดาส ซึ่งในมหาสงครามในครั้งนั้นเหล่า สิ่งมีชีวิตมหัศจรรย์ เป็นฝ่ายที่ได้รับชัยชนะ และสามารถแย่งชิง ผลึกแก้วเวทมนตร์โซดาส มาไว้ในครอบครองได้เป็นผลสำเร็จ
และได้รวบรวมเหล่าจอมเวทชั้นแนวหน้า ให้ทำการปิดผนึกเหล่า อสูร ทุกตนเอาไว้บนเกาะอันไกลโพ้นนามว่า ไชน่าดาร์ค แต่ถึงจะได้ ผลึกแก้วเวทมนตร์โซดาส มาไว้ในครอบครอง ก็มิอาจจะมีผู้ใดที่จะสามารถใช้งานพลังอันทรงอนุภาพของมันได้ เนื่องจากพลังเวทของมันมีมากมายมหาศาลเกินกว่าที่บุคคลธรรมดาจะรับมันไหว ซึ่งแม้แต่จอมเวทชั้นแนวหน้าเหล่านั้น ที่มีความสามารถปิดผนึก อสูร ได้ทั้งเกาะก็มิอาจจะใช้งานมันได้เลยแม้แต่น้อย ฉนั้นจึงจำเป็นที่จะต้องสืบเสาะและค้นหา เอดิเรด บุคคลซึ่งตามตำนานได้กล่าวและบันทึกเอาไว้ว่า ในรอบหลาย ทศวรรษ จะถือกำเนิดขึ้นมาเพียงแค่ หนึ่งเดียว เท่านั้น
ซึ่งบุคคลเหล่านั้นจะมีพลังเวทที่เทียบเคียงกับ ผลึกแก้วเวทมนตร์โซดาส หรือ เทพเจ้า และเป็นเพียงผู้เดียวที่จะสามารถใช้พลังของมันได้ แต่ก็ขึ้นอยู่กับว่า เอดิเรด ผู้นั้นจะใช้มันไปทางที่ดีหรือร้าย ซึ่งว่ากันว่าเมื่อนำทั้ง 2 สิ่งนี้มาอยู่กัน อนุภาพของมันนั้นจะมีพลังถึงขั้นเปลี่ยนแปลง ประวัติศาสตร์ของโลก ได้เพียงชั่วข้ามคืนเลยทีเดียว
ซึ่งในระหว่างที่ สิ่งมีชีวิตมหัศจรรย์ กำลังทำการค้นหาตัว เอดิเรด อยู่นั้น ก็ได้นำ ผลึกแก้วเวทมนตร์โซดาส ไปแยกส่วนออกเป็น เศษเสี้ยว ผลึกเล็กๆจำนวน 8 ชิ้น ซึ่ง 7 ใน 8 ชิ้นนั้นถูกนำไปผนึกเอาไว้ใน ศาสตราวุธ และ เครื่องประดับ และได้มอบมันให้กับบุคคลทั้ง 7 ที่ถูกขนานนามว่า เดอะเฮฟเว่นเกท ซึ่งบุคคลเหล่านี้ถือได้ว่าเป็นบุคคลที่มีระดับฝีมือที่เก่งสุดขีดที่สุดบนผืนพิภพ ไม่สิ… อาจจะเป็นในจักรวาลแห่งนี้เลยต่างหาก ซึ่งบุคคลเหล่านั้นได้ถูกเลือกสรรมาอย่างดีจากหลายๆ อาณาจักร โดยผ่าน การประลองศาสตร์และมนตรา ที่จัดขึ้นทุกๆ 10 ปี ใน 7 อาณาจักร คือ อาณาจักรรูนมิกัล, อาณาจักรโซระ, อาณาจักรไลลาริน, อาณาจักรแกรนวิล, อาณาจักรเทียร่า, อาณาจักรมอร์นิ่งไชด์ และ อาณาจักรลูมิน่า
ส่วน เศษเสี้ยว ผลึกแก้วที่เหลืออีก 1 ชิ้น ได้ถูกปิดผนึกและเก็บซ่อนเอาไว้ยังที่ที่ห่างไกลแสนไกล ให้รอดพ้นจากผู้คนที่หวังจะครอบครองมัน รวมไปถึงเหล่า อสูร ที่ยังคงเหลือรอดจากการถูกปิดผนึกจากมหาสงครามครั้งก่อน และยังไม่เลิกล้มความคิดที่จะครอบครอง ผลึกแก้วเวทมนตร์โซดาส และใช้พลังของมันเพื่อที่จะทำลายล้างเหล่า สิ่งมีชีวิตมหัศจรรย์ สิ้นซาก ฉนั้นสงครามย่อยๆจึงได้เกิดขึ้นตามหัวเมืองต่างๆมากมาย และไม่รู้จักจบจักสิ้น
ในขณะที่ทาง อาณาจักรรูนมิกัล เองก็ได้จัดตั้ง สถาบันเวทมนตร์แอนเรียโดรเน่ ขึ้น เพื่อรับสมัครและคัดเลือกบุคลากรเพื่อที่จะทำหน้าที่ปกป้อง เศษเสี้ยวผลึกแก้วเวทมนตร์โซดาส และทำการค้นหา เอดิเรด บุคคลปริศนาเพียงผู้เดียวที่สามารถกุมชะตาของโลกอันกว้างใหญ่ไพศาลแห่งนี้ให้เจอก่อนเหล่า อสูร ให้จงได้ และเมื่อเหล่า อสูร ที่เหลือรอดทราบถึงเรื่องนี้ก็ได้รวบรวมไพร่พลที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วผืนพิภพเพื่อจัดตั้ง กองกำลังทัพอสูร เพื่อกวาดล้างและขัดขวางเหล่า สิ่งมีชีวิตมหัศจรรย์ และค้นหาตัว เอดิเรด ด้วยเช่นกัน
ส่วนทางด้าน อาณาจักรรูนมิกัล เมื่อกองกำลังของตนถูก กองทัพอสูร เข้าขัดขวางอยู่เรื่อยๆ จนทำให้มีเหล่าทหารและผู้คนบริสุทธิ์ต้องบาดเจ็บล้มตายกันอย่างมากมาย จึงติดต่อขอความช่วยเหลือไปยัง อาณาจักร อื่นๆข้างเคียง แต่ก็ถูกปฏิเสธกลับมา เพราะ อาณาจักร อื่นๆก็โดน กองทัพอสูร บุกเข้าเล่นงานตามหัวเมืองต่างๆด้วยเช่นกัน แต่ก็ยังดีที่ยังมี อาณาจักรโซระ และ อาณาจักรไลลาริน สหายศึกจาก มหาสงคราม ในครั้งก่อนที่ส่งกองกำลังของตนส่วนหนึ่งมาช่วย ถึงแม้ว่าสถานการณ์ใน อาณาจักร ของตนเองก็เลวร้ายไม่แพ้กัน
ดังนั้น มหาสงคราม ระหว่าง สิ่งมีชีวิตมหัศจรรย์ และ อสูร จึงปะทุขึ้นอีกครั้ง! ชะตากรรมของผืนพิภพที่มีนามว่า เอโอซิริส อันแสนกว้างใหญ่ไพศาลแห่งนี้และเหล่า สิ่งมีชีวิตมหัศจรรย์ จะเป็นเช่นไร! โชคชะตา และ ความกล้าหาญ ของเหล่า ผู้ถูกเลือก เท่านั้นคือ คำตอบ!!
-= Prelude End =-
-= Lesson 1 : จุดเริ่มของตำนานบทใหม่ =-
ค่ำคืนในวันที่ท้องฟ้าเปิดโล่งจนเผยโฉมของพระจันทร์เสี้ยวสีเลือดสะท้อนกับแอ่งน้ำเบื้องล่าง ในบริเวณนั้นได้มีเงาประหลาดยืนอยู่ท่ามกลางซากศพของทหารจำนวนมาก
“หึหึ... พระจันทร์คืนนี้สวยดีนะว่าไหม? สีเหมือนกับเลือดของพวกแกยังไงล่ะ หึหึ…”
เสียงดังขึ้นจากเงาประหลาดนั่นก่อนที่แสงจันทร์จะค่อยๆสาดส่องมายังทิศทางของมัน จนเผยให้เห็นใบหน้าเสี้ยมแหลมของคนๆหนึ่งซึ่งเป็นใบหน้าของชายหนุ่มที่มีผมสีแดงเหมือนเลือดประกอบกับดวงตาสีเดียวกับผมของเขา ซึ่งบนใบหน้านั่นเต็มไปด้วยคราบเลือดเกรอะกรังของเหล่าทหารผู้โชคร้าย และที่ระหว่างรอยคราบเลือดบนใบหน้านั่น รอยยิ้มที่เปี่ยมไปด้วยความเจ้าเล้ห์ก็ค่อยๆเผยขึ้นมาอย่างช้าๆ
“อย่าขยับนะ! หันหลังมาช้าๆ แล้วอย่าเล่นตุกติกเด็ดขาด!! ไม่งั้นชั้นเป่าสมองของนายแน่!!”
นายทหารหญิงผมยาวสีทอง นัยต์ตาสีฟ้าคราม หน้าตาแลดูสะสวย ซึ่งตามมาด้วยกองทหารร่างใหญ่อีก 10 กว่านาย เธอยกปืนกระบอกยาวในมือขึ้น พร้อมกับเล็งไปที่ชายหนุ่มผู้ลึกลับ แต่ก็ทิ้งระยะห่างเอาไว้พอสมควร และทันทีที่กองทหารหาญเห็นการกระทำของสาวผมทอง ก็พากันชักอาวุธประจำตัวของตนออกมาบ้างก็ใช้เวทมนตร์เรียกออกมา ก่อนจะตั้งท่าเตรียมพร้อมรับมือกับชายลึกลับคนนั้นเอาไว้ แต่ก็ไม่มีนายทหารคนไหนกล้าล้ำเส้นเกินนายทหารหญิงผู้นั้นสักคน
“หึหึ… คิดเหรอว่า…!”
เปรี้ยง!! ก่อนที่ชายหนุ่มจะพูดจบ ลูกกระสุนถูกยิงออกจากปลายกระบอกปืนยาวนั่นอย่างทันควัน ลูกกระสุนพุ่งเข้าที่กลางหัวของชายหนุ่มเต็มๆ แต่ทว่า... ชายหนุ่มผู้นั้นกลับแค่ผงะถอยหลังไป 2-3 ก้าวเพียงเท่านั้น ก่อนที่จะเงยหัวกลับขึ้นมาพร้อมกับลูกกระสุนที่ถูกคาบอยู่ในปากของเขา การกระทำเช่นนั้นสร้างความตื่นตะลึงปนตื่นตระหนกให้กับทั้งนายทหารหญิงและกองทหารเป็นอย่างมาก แต่นายทหารหญิงผู้ที่น่าจะผ่านการศึกมานับไม่ถ้วน ก็ยังสามารถตั้งสติกลับคืนมาได้อย่างรวดเร็วผิดกับนายทหารที่อยู่ข้างหลัง โดยที่ตอนนี้ทุกคนพากันขวัญเสียตัวสั่นเทิ้มกันยกใหญ่
“หึหึ… ใจร้อนเสียจริงนะ สาวน้อย~~”
ชายหนุ่มพ่นลูกกระสุนออกจากปากของตนก่อนที่จะเอาดาบที่เต็มไปด้วยคราบเลือดของเหล่าทหารที่ตนปลิดชีวิตไปขึ้นมาเลียสร้างความหวาดกลัวให้กับเหล่าบรรดาทหารยิ่งขึ้นไปอีก ชายหนุ่มแสยะยิ้มก่อนที่จะตวัดดาบออกไปเป็นวงกว้าง แสงสีขาวรูปพระจัรทร์เสี้ยวสว่างจ้าบาดตาเกิดขึ้น นายทหารหญิงยกแขนขึ้นมาบังแสงสว่างนั่นเอาไว้แต่ก็พยายามไม่ละสายตาจากชายหนุ่มคนนั้นแม้แต่นิดเดียว เมื่อแสงสีขาวที่สว่างราวกับพระอาทิตย์ดับลงสิ่งที่เหลืออยู่ก็คือศพของกองทหารที่เธอพามาด้วยทั้งหมด ที่นอนจมกองเลือดอยู่แทบเท้าของเธอ ซึ่งแต่ละคนนั้นโดนฟันเข้าที่จุดตายอย่างแม่นยำและดูเหมือนว่าจะตายภายในดาบเดียว นายทหารหญิงถึงกับไม่เชื่อสายตาที่ตนเองเห็น ในตอนนี้ตัวเธอเริ่มสั่นขึ้นมากกว่าเดิมเล็กน้อยพลางคิดในใจ ‘นะ…นี่มัน อะ… อะไรกัน!’ พลางมองศพของทหารที่นอนจอมกองเลือดเหล่านั้นด้วยสายตาหวาดๆ
“หมดตัวเกะกะแล้วนะ หึหึ… ตายโดยไม่ร้องสักแอะ เอาล่ะ... คราวนี้เรามาสนุกกันบ้างดีกว่า…”
นายทหารหญิงคิดว่า ‘แบบนี้ไม่ดีแน่’ เธอจึงถอดเสื้อเกราะท่อนบนออกจนหมดเหลือแต่เสื้อกล้ามรัดรูปสีน้ำตาลอ่อนและทิ้งปืนยาวในมือลงกับพื้น
“ด้วยพันธสัญญาแห่งโมดูลย์ จงมาศาตราแห่งข้า!!”
นายทหารหญิงพึมพำเบาๆ ทันใดนั้นแสงสว่างสีเขียวมรกตก็เกิดขึ้นกลางอากาศตรงหน้าเธอ ก่อนที่มันจะกลายเป็นปืนพกลูกโม่กระบอกโตสีเงิน 2 กระบอก เธอรีบคว้ามันเอาไว้อย่างรวดเร็วพร้อมกับตั้งท่าเตรียมรับการต่อสู้ที่กำลังจะเกิดขึ้นในไม่ช้า
“หึหึ! มือปืนมนตรา อย่างงั้นรึ? ชักสนุกขึ้นมาหน่อยแล้วล่ะสิ มาดูสิว่า… เผ่ามาร อย่างชั้นกับ เผ่ามนุษย์ ธรรมดาๆอย่างเธอ ใครมันจะเร็วกว่ากัน…”
“อึก! หนวกหู! อย่าได้ใจไปหน่อยเลย!”
ทันใดนั้นออร่าสีขาวก็ค่อยๆห่อหุ้มร่างของนายทหารหญิงเอาไว้ และเมื่อชายหนุ่มเห็นเช่นนั้นก็ต้องแสยะยิ้มอย่างชั่วร้ายออกมาเหมือนกับว่า ‘นี่แหละใช่เลย’
“โอ้! แรงกดดันมหาศาลนี่ ยอดเยี่ยมๆ แบบนี้ค่อยฆ่าเวลาได้หน่อยจริงไหม?”
ชายหนุ่มตั้งท่าเตรียมพร้อมเช่นกันพลางกวักมือท้าทายนายทหารหญิง แต่เธอก็มิได้ทำตามการเชื้อเชิญนั่นแต่อย่างใด เธอยังคงดูเชิงอย่างใจเย็น หยาดเหงื่อเริ่มไหลย้อยลงมาที่ข้างแก้มบ่งบอกถึงความกดดันของเธออย่างเห็นได้ชัด แต่เธอก็ยังพยายามที่จะคุมสติให้สงบที่สุดเหมือนกับสายลมที่นิ่งสงบในตอนนี้ แต่ทางด้านชายหนุ่มนั้นไม่ปล่อยให้เป้าหมายที่ปฏิเสธการเชื้อเชิญของตนให้รอดชีวิตไปได้อย่างแน่แท้ เขาพุ่งตัดระยะเข้าหานายทหารหญิงทันทีด้วยความเร็วเหนือมนุษย์ แต่เธอรอจังหวะที่เขาจะบุกเข้ามาอยู่ก่อนแล้ว เธอจึงลั่นไกใส่ชายหนุ่มอย่างไม่ยั้ง
ปัง!!ๆๆๆๆๆ เสียงรัวปืนของเธอดังกึกก้องไปทั่วบริเวณ แต่ดูเหมือนว่าเขาจะหลบมันได้อย่างฉิ่วเฉียดไปเสียทุกนัด เขาพุ่งเข้ามาใกล้ตัวเธอมากขึ้นๆ และในที่สุด…
“เสร็จชั้นล่ะ!!”
ชายหนุ่มตวัดดาบในมือของตนใส่เป้าหมายทันที ฟุบ!! เสียงผ่าอากาศของคมดาบอันแหลมคมดังขึ้น แต่มันกลับพลาดเป้าไปอย่างน่าเสียดาย นายทหารหญิงใช้ร่างกายอันเพรียวบางของตนหลบการโจมตีนั่นได้ทันอย่างฉิ่วเฉียด ก่อนที่ดาบนั่นจะบั่นหัวของเธอหลุดออกจากบ่า และอาศัยจังหวะที่ชายหนุ่มกำลังเสียจังหวะอยู่นั้น ถีบเขาที่กลางลำตัวอย่างแรง พลั่ก!! ชายหนุ่มกระเด็นออกไปก่อนที่เธอจะยันตัวลุกขึ้นยืนและตั้งสติกับการต่อสู้ให้มากขึ้นกว่าเดิมแต่ทว่า... ชายหนุ่มเป็นฝ่ายตั้งตัวได้ก่อนจึงใช้ความเร็วของตนที่มีอยู่ตัดระยะเข้ามาอยู่ด้านหลังของเธอก่อนจะแสยะยิ้มและตั้งท่าเตรียมที่จะตวัดดาบสังหารเหยื่อผู้เคราะห์ร้าย…
"ลาก่อน... สาวน้อย~~"
เช้าตรู่ของวันหนึ่งภายในห้องสี่เหลี่ยมด้านเท่าขนาด 14x10 เมตร ที่มีกำแพงเป็นสีเหลืองอ่อนคล้ายสีครีมดูสบายตาจากแสงแดดยามเช้าที่สาดส่องลอดผ่านบานหน้าต่างเข้ามากระทบกับแจกันดอก *ซิลเนี่ยม ที่ออกดอกสีเหลืองสดรับกับแสงแดดอันอบอุ่นนั้น บนเตียงนอนขนาดควีนไซส์อันอ่อนนุ่มที่อยู่ด้านข้างๆของชั้นวางแจกันทรงสูงนั่น หญิงสาวผมทองนอนหลับอย่างสบายอยู่บนที่นอนสีขาวบริสุทธิ์ เธอค่อยๆลืมตาตื่นขึ้นจากนิทราอันเวิ้งว้างก่อนจะค่อยๆพยุงตัวเองลุกขึ้นจากที่นอนอย่างช้าๆพลางขยี้ตาทั้ง 2 ข้างให้ตื่นจากอาการง่วงซึม ก่อนที่จะส่งสายตาเหม่อลอยออกไปยังนอกหน้าต่าง สายตาของเธอจับจ้องไปยังทางเดินกว้างๆตรงหน้ารั้วบ้าน ที่ตอนนี้เต็มไปด้วยผู้คนมากมายที่เดินกันอย่างพลุกพล่านไม่ต่างกับฝูงมดตัวน้อยๆพลางคิดในใจ
‘บ้าจริง... ฝันถึงเรื่องนั้นอีกแล้ว ถ้าในตอนนั้น เจ้าหมอนั่น มันไม่หายตัวไปก่อนล่ะก็… ชั้นเองก็คงจะ…’
ก๊อกๆ ทันใดนั้นประตูห้องของเธอก็เปิดออกพร้อมกับหุ่น *Androin สาวผมลอนสีฟ้าสดใสราวกับท้องฟ้า ดวงตากลมโตสีเดียวกัน สวมชุดเมทกระโปรงสั้นสีขาวอมชมพูผ้าระบายสีขาวฟูฟ่อง ซึ่งลักษณะท่าทางของ Androin ตัวนั้นดูเหมือนหญิงสาวที่อยู่ในช่วงอายุประมาณ 24 ปี เธอช่างดูอ้อนแอ้นน่ารักอรชรยิ่งนัก เธอย่างเท้าเข้ามาในห้องด้วยใบหน้ายิ้มแย้มที่แปลกประหลาดกว่า Android ของชาวบ้านชาวช่อง ที่วันๆเอาแต่ทำหน้าตายไม่บ่งบอกถึงความรู้สึกใดๆ ซึ่งในมือถือถาดอลูมิเนียมสีเงินมันวาวพร้อมกับอาหารเช้าชุดใหญ่ที่ หอมกรุ่น ควันฉุ่ย ยั่วน้ำลายเป็นยิ่งนัก
“อรุณสวัสดิ์ค่ะนายหญิง เช้านี้ช่างสดใสเหมาะสำหรับการออกไปเดินเล่นนะคะ… อาหารเช้าวันนี้มี สลัดไข่กับแฮมและขนมปังปิ้งนะคะ จะรับนมสดเพิ่มด้วยไหมคะ?”
Androin สาวกล่าวทักทายหญิงสาวคนนั้นด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใส และดูเหมือนเธอจะไม่รอฟังคำตอบจากผู้เป็นนายทั้งสิ้น เธอเดินเข้ามายืนที่กลางห้องพร้อมกับวางถาดลงบนโต๊ะที่ตั้งอยู่ ก่อนจะจัดเจงชุดอาหารลงบนโต๊ะอย่างบรรจง และหันกลับมายิ้มให้กับหญิงสาวพลางก้มหัวให้เล็กน้อยก่อนที่จะเดินออกจากห้องไป หญิงสาวหันมามองดูนาฬิกาดิจิทัลเรือนโตที่แขวนอยู่บนกำแพงพลางคิดในใจ ‘9 โมงแล้วเหรอเนี่ย อืม… … … ห๋า! 9 โมง!’ หญิงสาวรีบถีบตัวเองจากที่นอนอย่างทันควันก่อนที่จะทำธุระส่วนตัวอะไรต่อมิอะไรเสร็จในเวลาไม่นาน และไม่ลืมที่จะทานอาหารเช้าก่อนจะวิ่งออกจากบ้านอย่างรีบเร่ง
“สายแล้วๆ สายโด่งตั้งแต่วันแรกแบบนี้ไม่ดีแน่ๆ แถมวันนี้มีสอนตอนเช้าด้วย โถ่…”
หญิงสาวรีบวิ่งอย่างสุดชีวิตพลางดูนาฬิกาข้อมือไปด้วย ตอนนี้ 9 โมงครึ่งแล้ว จะไปยืนรอรถบัสที่ป้ายสถานีในตอนนี้ก็ใช่เรื่อง เธอจึงตัดสินใจที่จะใช้วิธีการอะไรบางอย่างเพื่อให้เธอไปยังจุดหมายปลายทางได้รวดเร็วกว่านั่งรถบัสไป
“จวนจะถึงคาบที่เราสอนแล้ว ช่วยไม่ได้แฮะ เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ข้าแต่เทพแห่งกาลเวลาโครโนส จงเบิกห้วงนทีแห่งกาลเวลาให้แด่ข้าด้วยเถิด… มนตราเร่งความเร็วฉับพลัน! โครโนซิส อินทิเมทั่ม!!”
เมื่อเธอร่ายมนตร์ในใจจบ ทันใดนั้นทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่รอบตัวของหญิงสาวก็หยุดการเคลื่อนไหวในทันที แต่ความเป็นจริงสิ่งเหล่านั้นไม่ได้หยุดการเคลื่อนไหวใดๆทั้งสิ้น แต่ตัวของเธอเองต่างหากที่เคลื่อนที่เร็วขึ้นจนทำให้สิ่งรอบข้างดูเหมือนราวกับหยุดนิ่ง ส่วนคนอื่นๆนั้นจะได้ยินแค่เสียงเหมือนกับมีอะไรเคลื่อนที่ผ่านไปพร้อมกับเกิดแรงลมกรรโชกอย่างรุนแรงตามหลังมาก็เท่านั้น จนทำให้กระโปรงของเด็กสาวในชุดกระโปรงเขียวที่กำลังเดินอยู่ถูกกระแสลมถลกขึ้นสูง จนเผยให้เห็นกางเกงในลายทางสีฟ้าอ่อนและสายรัดถุงน่องสีขาวอันสุดแสนจะยั่วยวนนั่น จนเหล่าหนุ่มเล็กหนุ่มใหญ่โดยรอบหันมามองเธอด้วยความแปลกใจและหลงใหลปนๆกันไป
“ยอดเลย! แบบนี้ทันเวลาแน่ๆ อ๊ะ! พวกเธอ 2 คนตรงนั้นน่ะ! หลีกทางให้หน่อยค่ะ!”
เธอโบกมือไล่นักเรียนชายเผ่าสมิงขาว 2 คนที่กำลังเดินอยู่อย่างสบายอารมณ์ แต่พวกเขากลับไม่ได้สังเกตุเห็นเธอเลยแม้แต่น้อย เธอจึงไม่มีทางเลือกมากนักจะหักหลบก็ไม่ทันการ นอกเสียจากพุ่งชนเอาดื้อๆแต่นั่นอาจจะทำให้มีคนได้รับบาดเจ็บ หรือว่า…
“บอกให้หลีกไปไง!! ไอ้พวกเด็กบ้าาา!! ย๊ากกกก!!”
กระโดดข้าม!! เป็นวิธีที่เธอเลือกในที่สุด เธอกระโดดข้ามหัวของนักเรียนชาย 2 คนนั้นอย่างง่ายดายแต่ไม่วายที่จะเอาสันหนังสือที่เธอเหน็บมาด้วยเคาะที่หลังศรีษะของนักเรียนชาย 2 คนนั้นเบาๆ ผลออกมาคือนักเรียนชาย 2 คนนั้นหน้าทิ่มพื้นโดยทันที เนื่องจากความเร็วที่เธอวิ่งมาบวกกับแรงปะทะผสมแรงเฉื่อยหรือแรงบ้าบออะไรก็แล้วแต่ที่ส่งผลให้เป็นแบบนี้ ทำให้นักเรียนชาย 2 คนนั้นถึงกับประหลาดใจและงงกับสิ่งที่เกิดพลางมองซ้ายมองขวาหาต้นตอที่ทำให้พวกเขาหน้ำทิ่มพื้น แต่ทว่าตัวต้นเหตุนั้นวิ่งหนีไปโน่นแล้ว
“เฮ้อ~~ ถึงสักที... ที่นี่สินะ? สถาบันเวทมนตร์แอนเรียโดรเน่ ช่างใหญ่โตสมกับคำล่ำลือจริงๆ...”
สถาบันเวทมนตร์แห่งนี้ขึ้นชื่อว่ามีขนาดพื้นที่ใหญ่ที่สุดใน อาณาจักรรูนมิกัล ซึ่งมีจำนวนบุคลากรอยู่ถึง 128,543 คน และภายในสถาบันยังมีย่านศูนย์การค้าและแหล่งพักผ่อน อีกทั้งยังมีโรงละครและสวนสนุกคอยเปิดบริการให้กับนักเรียนที่กำลังศึกษาอยู่ที่นี่ และยังไม่รวมแหล่งที่พักของบรรดานักเรียนทั้งหญิงและชายที่แยกกันเป็นสัดส่วนอย่างลงตัวในบริเวณพื้นที่อยู่อาศัยของสถาบัน และบริเวณตรงกึ่งกลางของสถาบัน ยังมีหอคอยบาเบลทรงกรวยแหลมสูงเสียดฟ้า และมีผลึกคริสตัลจำนวนมากที่ลอยไปลอยมาอยู่กลางอากาศรอบๆหอคอยนั่น โดยผู้คนที่นี้เรียกผลึกเหล่านั้นว่า ผลึกหยั่งรู้ ซึ่งบรรดานักเรียนหรือแม้แต่บรรด่อาจารย์เองก็เชื่อกันว่ายามใดที่แสงอาทิตย์สาดส่องไปโดนมันแล้วถ้าหากแสงนั่นสะท้อนไปโดนบุคคลไหน ภายใน 1 วันบุคคลคนนั้นจะมีพลังหยั่งรู้ฟ้าดินเฉกเช่น พระเจ้า
“เอ่อ… ขอโทษนะครับ”
"ว้าย!!"
ยังไม่ทันที่หญิงสาวจะทันได้ชื่นชมกับความใหญ่โตและอลังกาลของที่นี้อย่างจุใจ อยู่ๆชายวัยกลางคนก็เข้ามาทักจากข้างหลัง เขาผู้นั้นมีใบหน้าเหลี่ยมเข้มแลดูบึ้งตึงเล็กน้อย และมีรอยย่นตามวัย ไว้ผมเกรียนทรงลานบินสีดำครึ่งหนึ่งเป็นผมหงอก หนวดเคราสั้นหนาสีดำครึ่งหนึ่งหงอก คิ้วโก่งสีดำครึ่งหนึ่งหงอกหนาขมวดเข้าหากันเหมือนคนกำลังหงุดหงิดอะไรมา นัยน์ตาสีเขียวมรกต จมูกโด่งดั้งเป็นสันได้รูป ริมฝีปากหนาพอประมาณ ผู้มาในชุดอาจารย์ชายของสถาบันโดยเป็นเสื้อคลุมสุภาพตัวยาวสีขาวคลิบทองที่บ่าทั้ง 2 ข้างประดับด้วยยศทหารระดับพันเอก และที่หน้าอกขวามีเหรียญกล้าหาญอีกเพียบ
และยังมีสายพาดบ่าที่ดูเหมือนเชือกสีเหลืองอำพันนั่นอีก และยังสวมถุงมือหนังแบบเปิดปลายนิ้วสีขาวทั้ง 2 ข้าง พร้อมกับกางเกงสเลคขายาวทรงกระบอกสีดำ รองเท้าหนังหุ้มส้นที่มีเหล็กสีเงินวาวติดอยู่ที่ส้นเท้าด้านในทั้ง 2 ข้าง คาดว่าน่าจะเป็นอาจาร์ยที่สอนอยู่ที่นี่เหมือนกันเพราะเขาก็มีหนังสือเล่มหนา 2 - 3 เล่มในมือเหมือนกับเธอ
“มะ… มีอะไรกับดิชั้นอย่างงั้นเหรอคะ?”
หญิงสาวประหลาดใจเล็กน้อยเพราะเธอไม่เคยพบผู้ชายคนนี้มาก่อน ชายคนนั้นมองเธอด้วยสายตาดุดันแต่แฝงไปด้วยความสุภาพ ‘มองอะไรของเขา ฉันมีอะไรแปลกตรงไหนเหรอ?’ หญิงสาวคิดในใจพลางมองรอบๆตัวแต่ก็ไม่มีอะไรผิดปรกติทันใดนั้นชายวัยกลางคนก็เอ่ยปากขึ้น
“คุณคือ อาจารย์นีน่า เอฟ ลอสโอรีเทียร์ ที่จะมาสอนวิชา การต่อสู้กับศาสตร์ต้องห้าม แทน อาจาร์ยโรซานช่า ใช่รึเปล่าครับ?”
“เอ่อ… ใช่ค่ะ… ว่าแต่… ทำไมคุณถึงรู้จักชื่อของดิชั้นได้ล่ะคะ? หรือว่าคุณคือ... อาจารย์คอนสแตนติน แมกซาเรทซ์ ที่จะมาเป็นผู้คุมของดิชั้นในการสอนวันแรก?”
“ใช่ครับ… แต่กรุณาอย่างเรียกว่าผู้คุมเลยนะครับ เรียกว่าที่ปรึกษานำจะเหมาะกว่า แล้วก็เรียกผมว่า คอนสแตนติน เฉยๆก็ได้ครับ”
กิ๊ง~ ก๊อง~ ก๊าง~ ก๊อง~ ยังไม่ทันได้ทำความรู้จักมักจี่กันมากไปกว่านี้เสียงกริ่งก็ดังขึ้นซึ่งนั่นหมายถึงคาบที่อาจารย์สาวหน้าใหม่ของเราต้องเข้าสอนมาถึงเสียแล้ว ไม่รอช้าทั้งคู่พากันเดินเข้าไปในอาคารเรียนที่อยู่ตรงหน้า และในระหว่างทางทั้งคู่ก็ได้พูดคุยแลกเปลี่ยนทัษะณคติเกี่ยวกับนักเรียนของที่นี่และเรื่องราวต่างๆอีกนิดๆหน่อยๆ ก่อนที่จะถึงหน้าห้องเรียนที่เธอจะต้องเข้าไปสอนเป็นครั้งแรก ‘ทะ… ทำไงดีเนี่ย!? ตื่นเต้นชะมัดเลย~’ คอนสแตนติน เห็นว่า นีน่า ตัวสั่นจึงเอามือวางบนบ่าของเธอเบาๆพลางพยักหน้าพร้อมกับรอยยิ้มที่ไม่เข้ากับใบหน้าดุๆของเขาให้กับเธอเล็กน้อยเป็นเชิงบอกว่า ‘ไม่เป็นไรครับ ลุยเลย!’ ซึ่งเธอเองก็ยิ้มกลับให้เขา ก่อนจะหลับตารวมรวบสมาธิและสะกดกลั้นความตื่นเต้นไว้ภายในจิตใต้สำนึก หวืด~~ บานประตูเลื่อนออกเองโดยอัติโนมัติ ซึ่งภาพที่เธอเห็นหลังจากที่ย่างก้าวเข้าไปในห้องนั้นก็คือ บรรดานักเรียนทั้งหญิงชายหลากหลายเผ่าพันธุ์ที่พากันนั่งบนอัฒจันทร์รูปครึ่งวงกลมที่ทอดยาวขึ้นไปด้านบนอย่างเรียบร้อย ต่างจากภาพที่เธอจินตนาการเอาไว้มากมายนัก ซึ่งภายในห้องเรียนแห่งนี้จะมีลักษณะคล้ายกับห้องโถงขนาดใหญ่ที่มีอัฒจันทร์เป็นรูปครึ่งวงกลมพร้อมกับโต๊ะไว้สำหรับนักเรียน และหน้าห้องจะมีเวทีรูปครึ่งวงกลมเช่นกันและที่ผนังด้านหลังจะมีไวด์สกรีนขนาดใหญ่ประมาณ 7x2 เมตร ติดตั้งอยู่ซึ่งสามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบการใช้งานได้หลายหลายเอาไว้สำหรับให้อาจารย์เอาไว้เปิดวิดีทัศน์ให้นักเรียนได้ศึกษาและใช้แทนกระดานไวท์บอร์ดที่ใช้เสียงสั่งงานแทนการใช้ปากกาไวท์บอร์ดในการเขียน
“เอ่อ… สวัสดีค่ะ… ดะ…ดะ…ดิชั้นชื่อ นีน่า เอฟ ลอสโอรีเทีย จะมาสอนวิชา การต่อสู้กับศาสตร์ต้องห้าม แทน อาจารย์โรซานช่า ที่ลาคลอดไป ฝะ…ฝะ… ฝากตัวด้วยนะคะ”
ไม่มีเสียงตอบรับจากบรรดานักเรียนในห้องเพราะทุกคนต่างตะลึงกับความงดงามของอาจารย์ใหม่ผู้นี้ เพราะเธอนั้นไม่ใช่แค่สวยอย่างเดียว ทรวดทรงองเอวก็ยังเพรียวบางได้สัดส่วนแต่ที่เห็นได้เด่นชัด เห็นจะเป็นหน้าอกหน้าใจที่อวบอุ๋นล้ำหน้ากว่าใครๆ อีกทั้งยังไว้ผมยาวสีทองอร่ามที่รวบเอาไว้เป็นหางม้า บวกกับดวงตากลมโตกำลังดีที่แฝงไปด้วยความเอาจริงเอาจังกับชีวิตสีฟ้าครามคู่นั้น อีกทั้งยังมีริมฝีปากที่อวบอิ่มน่าประทับรอยจูบลงไปยิ่งนัก แถมผิวพรรณของเธอยังมีสีขาวนวลเนียนราวกับไข่มุก ซึ่งเข้ากับชุดอาจาร์ยหญิงของสถาบันแห่งนี้ยิ่งนัก ‘อะ… อะไรน่ะ ชั้น ทะ… ทำอะไรผิดงั้นเหรอ?’ นีน่า คิดในใจมือเริ่มสั่นเหงื่อเริ่มซึมออกมาทางฝ่ามือเธอกำลังประหม่าอย่างรุนแรงเพราะไม่เคยโดนสายตากว่า 300 คู่จับจ้องมาที่เธอเพียงคนเดียวมาก่อนในชีวิต
“เจ้าพวกบ้าา! ยังไม่ทำความเคารพอาจารย์กันอีกเรอะ!?”
เสียงคำรามดังขึ้นไม่ใช่ใครที่ไหน อาจารย์คอนสแตนติน ที่ยืนอยู่ข้างๆนั่นเอง เสียงคำรามของเขานั้นทำให้ทั้งห้องถึงกับสะดุ้งเฮือกรวมถึงตัว นีน่า เองด้วย แต่แล้วอยู่ๆนักเรียนหญิง *เผ่าเอลฟ์ ผิวขาวเป็นประกาย หน้าตาเอาจริงเอาจังกับชีวิต ผู้ไว้ผมยาวสีเงินทรงทวินเทลผู้หนึ่ง ที่อยู่บริเวณกลางอัฒจันทร์ก็ยืนขึ้นก่อนจะตามด้วยนักเรียนทั้งห้องและพากันก้มหัวลงเล็กน้อยพลางเอ่ยเป็นเสียงเดียวกันว่า ‘สวัสดีครับ/ค่ะ’ ก่อนจะพากันนั่งปนะจำที่ตามเดิม
“เชิญสอนได้ครับ อาจารย์นีน่า”
“ขอบคุณค่ะ อาจารย์คอนสแตนติน”
นีน่า เริ่มทำการสอนนักเรียนเป็นครั้งแรกอย่างกล้าๆกลัวๆ แต่เธอก็สามารถเข้ากับนักเรียนได้อย่างรวดเร็วซึ่ง คอนสแตนติน เองก็ประหลาดใจกับเรื่องนี้มาก เพราะนักเรียนในห้องนี้ขึ้นชื่อว่ารับมือยากมากที่สุดในชั้นปีแล้ว ‘โฮ้~~ ไม่เลวเลย’ คอนสแตนติน คิดในใจพลางยืนกอดอกพิงกำแพงเอามือลูบหนวดเคราสองสีของตัวเองช้าไปซ้ำมาจนในที่สุดคาบเรียนแรกของนีน่าก็ผ่านพ้นไปอย่างเชื่องช้า ตอนนี้เป็นเวลาเที่ยงตรงพอดี ซึ่งก็ได้เวลาอาหารกลางวัน คอนสแตนติน จึงรับอาสาพา นีน่า ไปเลี้ยงมื้อกลางวันที่โรงอาหารของอาจารย์โดยเฉพาะที่ตั้งอยู่ในอาคารส่วนกลางซึ่งต้องเดินจากอาคารเรียนที่เธออยู่เมื่อครู่ไปไกลมากเลยทีเดียวแต่คนอย่าง คอนสแตนติน รึจะปล่อยให้หญิงสาวที่น่าหลงไหลคนนี้เดินเท้า เขาจึงหยิบลูกแก้วสีแดงออกมาจากกระเป๋าเสื้อแล้วบ่นพึมพำอะไรบางอย่างในลำคอ
“ข้าแต่วิญญาณศักดิ์สิทธิ์แห่งเปลวเพลิง จงมอบชีวิตและลมหายใจให้กับ ผนึกแห่งเรกิออสด้วยเถิด… จงออกมาอาชาแห่งเปลวเพลิงเรกิออส!”
คอนสแตนติน โยนลูกแก้วสีแดงในมือออกไปแล้วทันใดนั้นมันก็เปล่งแสงสีแดงสว่างจ้าและมีเปลวเพลิงลุกโชติช่วงขึ้นมา ก่อนจะปรากฎเป็นอาชาที่มีร่างกายสีขาวนวลและมีขนคอและหางเป็นเปลวเพลิงลมหายใจของมันที่พ่นออกมาแต่ละครั้งจะมีเปลวเพลิงลูกเล็กๆถูกพ่นออกมาด้วยดวงตาของมันเป็นสีแดงฉานดูดุดันและร้อนแรงยิ่งนัก
“*อาชาเพลิงเรกิออส!! ดิชั้นเพิ่งเคยเห็นตัวเป็นๆครั้งแรก มันช่างงดงามสมคำร่ำลืออะไรอย่างนี้ ไม่ทราบว่าอาจารย์ได้มันมายังไงคะ?”
“เอ่อ… เรื่องมันยาวน่ะครับ เอ... จะว่ายังไงดีล่ะ? เอาเป็นว่ามันเป็นของเพื่อนสนิทของผมน่ะครับ ถ้าจะให้เล่าให้ฟังสงสัยเย็นนี้คงไม่จบ ถ้าอย่างนั้นเอาไว้วันหลังก็แล้วกันนะครับ”
"อย่างนั้นเหรอคะ? ถ้างั้นก็ไม่เป็นไรค่ะ..."
คอนสแตนติน ลูบแผงคอที่เป็นเปลวเพลิงของมันด้วยความนุ่มนวลและทะนุทะนอมทำให้ นีน่า ถึงกับตาค้างพลางสงสัยว่าทำไมมือของคอนสแตนตินถึงไม่โดนเปลวเพลิงอันร้อนแรงนั่นเผาเอา
“ถ้าเราทำความคุ้นเคยและผสานใจเป็นหนึ่งเดียวกับมันแล้ว เปลวเพลิงของมันก็จะทำอะไรเราไม่ได้หรอกครับ”
คอนสแตนติน เหมือนกันอ่านใจ นีน่า ได้เขาส่งรอยยิ้มอันอ่อนโยนให้กับเธอ ทำให้ใจเธอเริ่มเต้นโครมครามเธอรีบกุมหน้าอกไว้ทันทีแล้วหันหลังให้กับเขาพลางคิดในใจ ‘นั่นรุ่นพ่อเราเลยนะ อย่าหวั่นไหวกับรอยยิ้มนั่นสินีน่า’ เธอพยายามสะกัดกั้นใจที่เต้นโครมครามของเธอจนในที่สุดมันก็สงบลง
“มาสิครับ ลองสัมผัสมันดู”
นีน่า ค่อยๆเดินเข้าหาอาชาตัวนั้นอย่างกล้าๆกลัวๆพลางคิดในใจ ‘นี่ฉันกำลังทำอะไรอยู่เนี่ย ให้ไปสู้กับพวกอสูรยังจะง่ายซะกว่า’ เมื่อถึงตัวอาชาเพลิง เธอก็ค่อยๆเอื้อมมือไปลูบตรงสีข้างของมันตรงส่วนที่ไม่มีเปลวเพลิงแต่ก็ยังรู้สึกร้อนมืออยู่ดี แต่ไม่ทันไรมือของเธอก็เริ่มเย็นขึ้นและไม่รู้สึกถึงความร้อนอะไรอีก และในจังหวะนี้เอง คอนสแตนติน ตบที่ข้างแผงคอของมันเล็กน้อยอาชาเพลิงค่อยๆย่อตัวลงอย่างเชื่อฟังจนอยู่ในระดับที่เธอสามารถปีนขึ้นไปขี่มันได้
“เชิญเลยครับ ไม่ต้องกลัว”
เธอทำตาม คอนสแตนติน อย่างว่าง่ายเธอปีนขึ้นไปบนหลังของอาชาเพลิงอย่างนิ่มนวล แต่เมื่อหว่างขาของเธอสัมผัสกับอานหลังของมัน เธอก็ต้องเผลอตัวร้องครางเสียงกระเส่าออกมาเบาๆ เนื่องจากความอุ่นจากขุมพลังแห่งเปลวเพลิง ที่ไหลผ่านเข้าสู่ร่างกายของเธอ เธอหันไปมอง คอนสแตนติน ว่าเขาได้ยินเสียงที่เธอครางเมื่อกี้หรือไม่ แต่เขาก็ยังคงนิ่งเฉยอยู่เหมือนเดิม
“เราไปกันเถอะครับ”
คอนสแตนติน ตบข้างแผงคอของอาชาเพลิงเบาๆอีกครั้ง มันค่อยๆยันขาตัวเองขึ้นอย่างช้าๆ ก่อนจะออกเดินตามหลัง คอนสแตนติน ไป หลังจากนีน่าและคอนสแตนตินทานอาหารกลางวันเสร็จ ทั้งคู่ที่ไม่มีคาบเรียนที่จะสอนในช่วงบ่ายต่อก็มานั่งพักทีใต้เงาของร่มไม้ในสวนสาธารณะแห่งหนึ่งภายในสถาบัน ซึ่งในระหว่างนั้นทั้งคู่ก็ได้พูดคุยแลกเปลี่ยนเรื่องสัพเพเหระต่างๆนาๆทั้งเรื่องที่เธอเคยอยู่สังกัดหน่วยทหารคุ้มกันเมืองและเคยสู้กับคนเก่งๆมามากมายและยังเป็นคนจาก อาณาจักรไลลาริน เหมือนกับเขา ส่วน คอนสแตนติน เองก็เล่าประสบการ์ณเมื่อครั้งยังหนุ่มให้เธอฟัง ทั้งเรื่องการต่อสู้กับอสูรที่ทำให้เขากับเพื่อนสนิทเกือบตายและอีกหลายต่อหลายเรื่อง จนกระทั่งพระอาทิตย์ตกดินทั้งคู่จึงร่ำลากันก่อนจะแยกย้ายกันกลับที่พักของตน
คืนนั้นที่บ้านของเธอ ในห้องอาบน้ำขนาดพอเหมาะ ซึ่งตอนนี้มีไอร้อนจากน้ำในอ่างลอยตลบอบอวนไปทั่วทั้งห้อง ปรากฎร่างเปลือยของหญิงสาวที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวเล็ก เธอกำลังทำความสะอาดร่างกายที่สุดแสนจะเย้ายวนของเธอทุกซอกทุกมุม ก่อนจะค่อยๆหย่อนตัวลงในอ่างที่มีน้ำอุ่นใส่อยู่เต็ม
“ฮ๊าา… สุดยอดเลยวันนี้”
นีน่า ลงแช่ในอ่างน้ำอย่างสบายอารมณ์พลางคิดถึงเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นในวันนี้
“เฮ้อ~~ เหนื่อยจังเลย~~ ตอนแรกนึกว่าจะแย่ซะแล้วสิ... ทั้งเรื่องสอนนักเรียนบ้างล่ะ... เรื่องเกือบจะไปไม่ทันสอนบ้างล่ะ... เฮ้อ~~”
ในระหว่างที่เธอกำลังคิดอะไรเพลินๆอยู่นั้น อยู่ๆใบหน้าของ คอนสแตนติน ก็แว๊บขึ้นมาดิ้อๆ ทำให้เธออมยิ้มหน้าแดงเล็กน้อยก่อนจะค่อยๆเอาหัวหมุดลงไปในน้ำ ในเวลาต่อมาเมื่อเธอทำธุระส่วนตัวเสร็จเป็นที่เรียบร้อยและกำลังจะเข้านอน ปึง!ๆๆๆๆ อยู่ๆก็มีเสียงคนมาทุบประตูหน้าบ้าน และเมื่อเธอเดินลงไปเปิดประตูก็ต้องพบกับ…
“ชะ... ช่วยชั้นด้วยค่ะ...”
ร่างของหญิงสาวเผ่าเอลฟ์โผเข้าสู่อ้อมกอดของนีน่าทันที เอลฟ์สาวคนนั้นมีผมสีทองเป็นมันวาวและเป็นประกายยาวถึงกลางหลัง ซึ่งตอนนี้มันกระเซอะกระเซิงดูยุ่งเหยิงเป็นอย่างมาก แต่ก็ยังหลงเหลือม้วนเปียที่ถักมัดรอบๆหัวเอาไว้ เธอผู้นี้สวมชุดวันพีชกึ่งซีทรูที่เคยเป็นสีขาวมาก่อน แต่ตอนนี้มันขาดหลุดรุ่ย แถมสกปรกเหมือนกับเจออะไรบางอย่างรุมทำร้ายมาก็มิปาน
“นี่เธอ… ทำใจดีๆเอาไว้! เฮ้! นี่มันอะไรกันเนี่ย!”
นีน่ามองซ้ายมองขวาเพื่อหาคนช่วยแต่ก็ไม่มีสักคนเดียว เนื่องจากดึกขนาดนี้ชาวบ้านชาวช่องต่างก็พากันอยู่แต่ในบ้านของตน และไม่มีใครกล้าที่จะออกมาข้างนอกตอนกลางดึก เพราะมีข่าวลือหนาหูว่า มีกลุ่มคนที่ตั้งตนเป็นกองกำลังเล็กๆ ที่คอยออกปล้น ฆ่า และข่มขืนเหล่านักเดินทางทั้งหลาย ซึ่งกลุ่มคนเหล่านั้นพากันเรียกตัวเองว่า กลุ่มเลนิน เธอจึงตัดสินใจพาเธอเข้ามาในบ้านทันที โดยหารู้ไม่ว่า เธอนั้นกำลังจะเจอกับสิ่งที่ไม่คาดคิดที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่ช้า…
-= Lesson 1 End =-
-= To Be Continue Lesson 2 =-
-= เกร็ดความรู้ท้ายบท =-
มนุษย์ [Human]
- เผ่าพันธ์ุที่มีจำนวนมากที่สุดบนผืนพิภพโดยเฉพาะใน อาณาจักรไลลาริน มีสมรรถภาพทางร่างกายและเวทมนตร์ปานกลาง แต่มีวิวัฒนาการทางสมองและความสามารถในการเรียนรู้ที่สูง อายุขัยสั้นราวๆ 60 – 110 ปี
มาร [Demon]
- เผ่าพันธ์ุที่เป็นพันธมิตรของ เผ่าอสูร ที่น่าสะพรึงกลัวอีกชนเผ่าหนึ่งนั่นคือ เผ่ามาร พวกมันมีรูปร่างลักษณะภายนอกที่แตกต่างกันออกไปและไม่แน่นอน บ้างก็คล้ายมนุษย์ บ้างก็คล้ายอสูร หรือบ้างก็อาจจะทั้ง 2 อย่างรวมกัน เป็นต้น และเป็นชนเผ่าที่เชี่ยวชาญเวทมนตร์และศาสตร์มืดมากที่สุดในบรรดาชนเผ่าทั้งหมด และมีระดับสมองและพลังเวทที่สูงกว่าระดับ แม่ทัพ ของ กองทัพอสูร เสียอีกแต่ก็ยังต่ำกว่า 4 จุตรเทพอสูร อยู่ดีดังนั้น 4 จตุรเทพอสูร บางตนอาจจะเอาชน เผ่ามาร มาเป็นสมุนมือขวาและมือซ้ายก็เป็นไปได้ แต่ก็ใช่ว่า เผ่ามาร ทุกตนจะเข้าร่วมเป็นพันธมิตรกับ อสูร ซะทุกตนไป ยังมี เผ่ามาร ในบางส่วนที่ตั้งตนเป็นปรปักษ์กับ กองทัพอสูร และร่วมมือกับกองทัพของ สิ่งมีชีวิตมหัศจรรย์ เสียด้วยซ้ำไป
สัตว์มนุษย์ [Homo Sapiens]
- เผ่าที่กำเนิดมาจากการกลายพันธ์ุด้วยอำนาจเวทมนตร์ของสัตว์หลากหลายชนิดแตกต่างกันออกไป ซึ่งมีสัดส่วนและองค์ประกอบทางร่างกายที่มีความเป็นสัตว์เหล่านั้นเอาไว้ แม้ว่าจะมีขาและสามารถยืนได้เหมือนมนุษย์แต่องค์ประกอบทางร่างกายนั้นยังคงมีเค้าโครงของสัตว์เหล่านั้นอยู่ อย่างเช่นถ้ากลายพันธ์ุมาจากเสือ ก็จะมีส่วนหัวและใบหน้าเป็นเสือและมีกรงเล็บมือและเท้าและขนกับหางเหมือนกับเสืออยู่นั่นเอง ซึ่งเผ่า สัตว์มนุษย์ ยังสามารถแบ่งเผ่าย่อยๆออกไปได้อีกหลายเผ่า เช่น เผ่าสมิง [เสือ], เผ่าวิหค [นก] เป็นต้น แต่ชนเผ่านี้จะไม่ถูกนับรวมกับ เผ่าครึ่งสัตว์ เนื่องจากเผ่านี้ไม่สามารถจำแลงร่างให้คล้ายคลึงหรือใกล้เคียงกับมนุษย์ได้เหมือนกับพวก เผ่าครึ่งสัตว์ แต่สามารถจำแลงร่างให้กลับเป็นร่างของสัตว์ที่ตนเป็นอยู่ได้ และยังมีพละกำลังและความแข็งแกร่งทางร่ายกายนั้นเหนือกว่าพวก เผ่าครึ่งสัตว์ มากมายนัก ส่วนอายุขัยนั้นพอๆกันกับ เผ่าครึ่งสัตว์
เอลฟ์ [Elf]
- เผ่าพันธ์ุที่มีอายุยืนยาวร่วมพันปีและมีพลังเวทมนตร์ที่สูงติดมาแต่กำเนิด โดยส่วนใหญ่มีรูปร่างที่เพรียวบางคล่องแคล่ว มีใบหูที่เรียวยาวขึ้นมากกว่ามนุษย์ ผิวกายสีขาวนวล และเส้นผมสีทองอร่าม ส่วนใหญ่อาศัยอยู่กับธรรมชาติ มีความชำนาญทางด้านเวทมนตร์ที่นำพลังธรรมชาติมาใช้ เช่น แสง , ลม , สายฟ้า , ไม้ และดิน เป็นพิเศษ แต่ไม่สามารถเรียนรู้หรือใช้งานเวทมนตร์สายความมืดหรือคำสาบได้ ส่วนสรรถภาพทางร่างกายนั้นมีความคล่องตัวและความแม่นยำสูงด้วยสายตาที่เฉียบคม
เครื่องจักรรูปของมนุษย์ [Android, Humanoid]
- เครื่องมือสำหรับ นักเชิดหุ่น ยุดใหม่ซึ่งมีบทบาทหน้าที่ในการ Support นักเชิดหุ่น ในด้านต่างๆ มี ความคิด และ การตัดสินใจ เป็นของตัวเอง มีรูปร่างและขนาดแตกต่างกันไปแต่ก็ยังคงความคล้ายคลึงกับ มนุษย์ อยู่ อายุขัย [อายุการใช้งาน] นั้นเรียกได้ว่าแทบจะไม่มี ที่สิ้นสุด แถมสมรรถนะยังเหนือกว่าหรือเทียบเท่าบางชนเผ่าในหลายๆด้านๆ ถึงแม้กระนั้น Android หรือ Humanoid ก็ยังขึ้นชื่อว่าเป็น อาวุธ หรือ เครื่องมือ ของ นักเชิดหุ่น อยู่ดี แม้ว่าจะเป็นอย่างนั้นแต่เหล่า Android หรือ Humnoid ก็ได้รับการพิจารณาให้เข้าประจำการในกองทัพของ อาณาจักรไลลาริน” อีกด้วย
ดอกซิลเนี่ยม [Zilnium Magical Flower]
- ดอกไม้ที่มีดอกเป็นรูปดาว 6 แฉกสีเหลืองและมีกลิ่มหอมแตกต่างกันตามเวลา ในเวลาเช้าจะส่งกลิ่นหอมทำให้รู้สึกกระฉับกระเฉงมีเรี่ยวแรง ส่วนตอนกลางคืนจะส่งกลิ่นหอมที่ชวนเคลิ้มฝันทำให้หลับง่าย มักพบเห็นตามทุ่งหญ้าแถบชานเมือง คาเพนทาเรีย เสียส่วนใหญ่ โดยที่คนส่วนมากมักจะนำไปปลูกในน้ำเพราะจะทำให้ส่งกลิ่นหอมเพิ่มมากขึ้น และยังสามารถนำมาปรุงยาได้หลากหลายอีกด้วย
อาชาเพลิงเรกิออส [Regios Flame Mustang]
- รูปร่างลักษณะเหมือนกับม้าทั่วๆไป โดยส่วนใหญ่ที่พบมักจะมีตัวเป็นสีขาวนวลอมครีม และบริเวณ แผงคอ, หาง และข้อเท้าทั้ง 4 จะเป็นเปลวเพลิงสีแดงฉานลุกโชนอยู่ อุปนิสัยค่อนข้างเป็นสัตว์ที่รักสงบ เมื่อมีเจ้าของก็จะสื่อสัตย์ต่อเจ้าของของตนจนกว่าขีวิตจะหาไม่เลยทีเดียว ซึ่งนั่นจึงทำให้มันเป็นสัตว์ป่าที่ผู้คนส่วนใหญ่มักจะนิยมนำมาเลี้ยงเพื่อใช้เป็นพาหนะ หรือใช้ประกอบอาชีพในบางอาชีพ รวมไปถึงใช้เป็นม้าแข่งได้อีกด้วย ความเร็วสูงสุดประมาณ 60 กม./ชั่วโมง
อาณาจักร “รูนมิกัล” [Runemigal]
- ถ้าพูดถึงอาณาจักรเวทมนตร์ที่มีความยิ่งใหญ่และมีชื่อเสียงในด้านเวทมนตร์และเทคโนโลยีแล้ว อาณาจักรรูนมิกัล เป็นอะไรที่ขึ้นชื่อในเรื่องนี้มากที่สุด เพราะเป็นสถานที่ตั้งของ สถาบันเวทมนตร์แอนเรียโดรเน่ ซึ่งเป็นสถาบันเวทมนตร์ที่ยิ่งใหญ่และมีชื่อเสียงมากที่สุด และสิ่งที่ขึ้นชื่อของอาณาจักรแห่งนี้ไม่ได้มีแค่สถาบันเวทมนตร์เพียงอย่างเดียว อาณาจักรแห่งนี้ยังขึ้นชื่อในด้านยุทโธปกรณ์และเทคโนโลยีต่างๆที่ล้ำสมัยกว่าอาณาจักรอื่นๆอีกด้วย และหัวเมืองสำคัญๆของ อาณาจักรรูนมิกัล มีดังนี้
- เมือง “คาเพนทาเรีย” [Capentaria]
เมืองหลวงของ อาณาจักรรูนมิกัล ซึ่งมีประชาชนอาศัยอยู่มากที่สุด และยังเป็นที่ตั้งของ สถาบันเวทมนตร์แอนเรียโดรเน่ กับ พระมหาราชวัง ที่ จอมกษัตริย์คริสโคร ประทับอยู่ และยังมี ป้อมปราการ 8 ทิศโครโนส อันร้ายกาจจึงทำให้ไม่มีอาณาจักรอื่นๆอาจหาญที่จะรุกราน และประกอบไปด้วยกำแพงขนาดสูงใหญ่ที่ล้อมรอบทั้ง 8 ทิศของเมือง จึงเป็นเรื่องยากมากๆที่จะบุกทะลวงเมืองแห่งนี้ได้ง่ายๆ และนอกจาก จอมกษัตริย์คริสโตร ก็ยังมี 10 นักรบสวรรค์ คุ้มครองอยู่
- เมือง “บาบิโลน” [Babilone]
เมืองท่าและเมืองท่องเที่ยวแห่ง อาณาจักรรูนมิกัล เป็นเมืองที่เต็มไปด้วยการค้าขาย ไม่ว่าจะเป็น ผลผลิตต่างๆจากเมืองต่างๆ, อาวุธยุปโธปกรต่างๆ, ผู้หญิง [โสเภนี] และอื่นๆอีกมากมาย ซึ่งในแต่ละวันจะมีพ่อค้าแม่ค้ามากหน้าหลายตาจากเมืองและอาณาจักรต่างๆผลัดเปลี่ยนกันมาจับจ่ายซื้อของที่ตัวเองต้องการ และเมืองนี้ยังมีสินค้าที่มีชื่อเสียงอยู่อีกอย่างนั่นคือสินค้าประเภทแร่และอัญมณี ต่างๆ ซึ่งถ้าใครต้องการที่จะครอบครองเหล่าผลึกแร่อันล้ำค่าพวกนี้ละก็ ต้องร่ำรวยเป็นอย่างมากถึงจะหาซื้อมันมาครอบครองได้ และเรายังสามารถพบเห็นพวกชน เผ่าครึ่งสัตว์ อาศัยกันอยู่อย่างมากมายได้ที่นี่
- เมือง “โลฮานน่า” [Lohannar]
เมืองเกษตรกรรมที่ขึ้นชื่อด้านการเพาะปลูกและผลิตภัณท์ทางการเกษตร อาทิเช่น ข้าวโพด, ข้าวสาลี, สมุนไพรต่างๆ, ผลไม้ต่าง ฯลฯ โดยเมืองนี้เปรียบเสมือนกับอู่ข้าวอู่น้ำของชาว รูนมิกัล เลยก็ว่าได้ และชาวเมืองจะมีผิวสีแทนเสียเป็นส่วนใหญ่ โดยจะพบคนผิวขาวยากมากๆสำหรับเมืองนี้ ซึ่งถ้าเมืองนี้มีชื่อเสียงด้านการเพาะปลูกแล้ว จึงไม่แปลกที่จะมีจอมเวทที่เก่งในด้านการปรุงยา หรือ ใช้มนตราสายธรรมชาติอาศัยอยู่ และยังเป็นศูนย์รวมของชาว เอลฟ์, ออร์ค, กอปลิน, ฮอปบิท รวมไปถึง ดวอร์ฟ
- เมือง “มอดอร์” [Mordor]
เป็นเมืองที่ไม่น่าจะเรียกว่าเมืองได้เพราะเป็นเมืองที่เล็ก แถมยังเป็นศูนย์รวมของแหล่งค้ากาม, ยาเสพติด และพวกที่เห็นว่ากฎหมายนั้น ไร้ค่า ฉนั้นผู้คนที่อาศัยอยู่ในเมืองแห่งนี้มักจะเป็นจอมเวทที่ใช้พลังสายมืดหรือไม่ก็ทำงานประเภทผิดกฎหมายเสียเป็นส่วนใหญ่ เช่น นักฆ่ารับจ้าง, ค้าขายจองผิดกฎหมาย เป็นต้น แต่ก็ใช่ว่าชาวเมืองที่อาศัยอยู่นั้นจะไม่ดีไปซะทั้งหมด ยังมีจอมเวทที่ใช้พลังธาตุแสงและธาตุอื่นๆปะปนอยู่ด้วย และยังเป็นสถานที่ตั้งของ โบสถ์เซนต์อุรุกาย ที่มี แม่ชีอิเล็กต้า และ บาทหลวงเซนต์ปีเตอร์ ดูแลอยู่ และยังมีชนเผ่าที่ต้องสาปอย่าง ดาร์คเอลฟ์ อาศัยอยู่ในเมืองแห่งนี้อยู่มากเช่นกัน
- เมือง “แมกก้าโรเซ็มเบรีย” [Megarosembria]
เมืองที่อยู่ทางตอนเหนือสุดของ อาณาจักรรูนมิกัล มีฤดูหนาวตลอดทั้งปีและถูกปกคลุมไปด้วยหิมะสีขาวโพลน และประชากรที่นี่ส่วนใหญ่จะเป็นจอมเวทที่ใช้สายน้ำแข็ง และมักจะเป็น ดาร์คเอลฟ์, ออรค์ และยังมี ดวอรฟ์ ปะปนอยู่บ้างเล็กน้อย แถมยังมีลานสกีซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมจากคนหมู่มากด้วย จึงทำให้เมืองนี้ไม่เคยเงียบเหงาลงเลยแม้แต่น้อย
-= ~โซมะ~ [เพชรเม็ดเดียวแห่งยุคจอมเวท] - บทบันทึกแห่งโซดาส =-
-= Prelude =-
เนิ่นนานมาแล้วในจักรวาลอันไกลโพ้นบนผืนพิภพที่มีนามว่า เอโอซิริส มหาสงคราม ระหว่าง สิ่งมีชีวิตมหัศจรรย์ และเหล่า อสูร ได้ปะทุขึ้น อันสืบเนื่องมาจากการแย่งชิง ผลึกแก้วเวทมนตร์ที่ทรงอนุภาพมากที่สุดนามว่า ผลึกแก้วเวทมนตร์โซดาส ซึ่งในมหาสงครามในครั้งนั้นเหล่า สิ่งมีชีวิตมหัศจรรย์ เป็นฝ่ายที่ได้รับชัยชนะ และสามารถแย่งชิง ผลึกแก้วเวทมนตร์โซดาส มาไว้ในครอบครองได้เป็นผลสำเร็จ
และได้รวบรวมเหล่าจอมเวทชั้นแนวหน้า ให้ทำการปิดผนึกเหล่า อสูร ทุกตนเอาไว้บนเกาะอันไกลโพ้นนามว่า ไชน่าดาร์ค แต่ถึงจะได้ ผลึกแก้วเวทมนตร์โซดาส มาไว้ในครอบครอง ก็มิอาจจะมีผู้ใดที่จะสามารถใช้งานพลังอันทรงอนุภาพของมันได้ เนื่องจากพลังเวทของมันมีมากมายมหาศาลเกินกว่าที่บุคคลธรรมดาจะรับมันไหว ซึ่งแม้แต่จอมเวทชั้นแนวหน้าเหล่านั้น ที่มีความสามารถปิดผนึก อสูร ได้ทั้งเกาะก็มิอาจจะใช้งานมันได้เลยแม้แต่น้อย ฉนั้นจึงจำเป็นที่จะต้องสืบเสาะและค้นหา เอดิเรด บุคคลซึ่งตามตำนานได้กล่าวและบันทึกเอาไว้ว่า ในรอบหลาย ทศวรรษ จะถือกำเนิดขึ้นมาเพียงแค่ หนึ่งเดียว เท่านั้น
ซึ่งบุคคลเหล่านั้นจะมีพลังเวทที่เทียบเคียงกับ ผลึกแก้วเวทมนตร์โซดาส หรือ เทพเจ้า และเป็นเพียงผู้เดียวที่จะสามารถใช้พลังของมันได้ แต่ก็ขึ้นอยู่กับว่า เอดิเรด ผู้นั้นจะใช้มันไปทางที่ดีหรือร้าย ซึ่งว่ากันว่าเมื่อนำทั้ง 2 สิ่งนี้มาอยู่กัน อนุภาพของมันนั้นจะมีพลังถึงขั้นเปลี่ยนแปลง ประวัติศาสตร์ของโลก ได้เพียงชั่วข้ามคืนเลยทีเดียว
ซึ่งในระหว่างที่ สิ่งมีชีวิตมหัศจรรย์ กำลังทำการค้นหาตัว เอดิเรด อยู่นั้น ก็ได้นำ ผลึกแก้วเวทมนตร์โซดาส ไปแยกส่วนออกเป็น เศษเสี้ยว ผลึกเล็กๆจำนวน 8 ชิ้น ซึ่ง 7 ใน 8 ชิ้นนั้นถูกนำไปผนึกเอาไว้ใน ศาสตราวุธ และ เครื่องประดับ และได้มอบมันให้กับบุคคลทั้ง 7 ที่ถูกขนานนามว่า เดอะเฮฟเว่นเกท ซึ่งบุคคลเหล่านี้ถือได้ว่าเป็นบุคคลที่มีระดับฝีมือที่เก่งสุดขีดที่สุดบนผืนพิภพ ไม่สิ… อาจจะเป็นในจักรวาลแห่งนี้เลยต่างหาก ซึ่งบุคคลเหล่านั้นได้ถูกเลือกสรรมาอย่างดีจากหลายๆ อาณาจักร โดยผ่าน การประลองศาสตร์และมนตรา ที่จัดขึ้นทุกๆ 10 ปี ใน 7 อาณาจักร คือ อาณาจักรรูนมิกัล, อาณาจักรโซระ, อาณาจักรไลลาริน, อาณาจักรแกรนวิล, อาณาจักรเทียร่า, อาณาจักรมอร์นิ่งไชด์ และ อาณาจักรลูมิน่า
ส่วน เศษเสี้ยว ผลึกแก้วที่เหลืออีก 1 ชิ้น ได้ถูกปิดผนึกและเก็บซ่อนเอาไว้ยังที่ที่ห่างไกลแสนไกล ให้รอดพ้นจากผู้คนที่หวังจะครอบครองมัน รวมไปถึงเหล่า อสูร ที่ยังคงเหลือรอดจากการถูกปิดผนึกจากมหาสงครามครั้งก่อน และยังไม่เลิกล้มความคิดที่จะครอบครอง ผลึกแก้วเวทมนตร์โซดาส และใช้พลังของมันเพื่อที่จะทำลายล้างเหล่า สิ่งมีชีวิตมหัศจรรย์ สิ้นซาก ฉนั้นสงครามย่อยๆจึงได้เกิดขึ้นตามหัวเมืองต่างๆมากมาย และไม่รู้จักจบจักสิ้น
ในขณะที่ทาง อาณาจักรรูนมิกัล เองก็ได้จัดตั้ง สถาบันเวทมนตร์แอนเรียโดรเน่ ขึ้น เพื่อรับสมัครและคัดเลือกบุคลากรเพื่อที่จะทำหน้าที่ปกป้อง เศษเสี้ยวผลึกแก้วเวทมนตร์โซดาส และทำการค้นหา เอดิเรด บุคคลปริศนาเพียงผู้เดียวที่สามารถกุมชะตาของโลกอันกว้างใหญ่ไพศาลแห่งนี้ให้เจอก่อนเหล่า อสูร ให้จงได้ และเมื่อเหล่า อสูร ที่เหลือรอดทราบถึงเรื่องนี้ก็ได้รวบรวมไพร่พลที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วผืนพิภพเพื่อจัดตั้ง กองกำลังทัพอสูร เพื่อกวาดล้างและขัดขวางเหล่า สิ่งมีชีวิตมหัศจรรย์ และค้นหาตัว เอดิเรด ด้วยเช่นกัน
ส่วนทางด้าน อาณาจักรรูนมิกัล เมื่อกองกำลังของตนถูก กองทัพอสูร เข้าขัดขวางอยู่เรื่อยๆ จนทำให้มีเหล่าทหารและผู้คนบริสุทธิ์ต้องบาดเจ็บล้มตายกันอย่างมากมาย จึงติดต่อขอความช่วยเหลือไปยัง อาณาจักร อื่นๆข้างเคียง แต่ก็ถูกปฏิเสธกลับมา เพราะ อาณาจักร อื่นๆก็โดน กองทัพอสูร บุกเข้าเล่นงานตามหัวเมืองต่างๆด้วยเช่นกัน แต่ก็ยังดีที่ยังมี อาณาจักรโซระ และ อาณาจักรไลลาริน สหายศึกจาก มหาสงคราม ในครั้งก่อนที่ส่งกองกำลังของตนส่วนหนึ่งมาช่วย ถึงแม้ว่าสถานการณ์ใน อาณาจักร ของตนเองก็เลวร้ายไม่แพ้กัน
ดังนั้น มหาสงคราม ระหว่าง สิ่งมีชีวิตมหัศจรรย์ และ อสูร จึงปะทุขึ้นอีกครั้ง! ชะตากรรมของผืนพิภพที่มีนามว่า เอโอซิริส อันแสนกว้างใหญ่ไพศาลแห่งนี้และเหล่า สิ่งมีชีวิตมหัศจรรย์ จะเป็นเช่นไร! โชคชะตา และ ความกล้าหาญ ของเหล่า ผู้ถูกเลือก เท่านั้นคือ คำตอบ!!
-= Prelude End =-
-= Lesson 1 : จุดเริ่มของตำนานบทใหม่ =-
ค่ำคืนในวันที่ท้องฟ้าเปิดโล่งจนเผยโฉมของพระจันทร์เสี้ยวสีเลือดสะท้อนกับแอ่งน้ำเบื้องล่าง ในบริเวณนั้นได้มีเงาประหลาดยืนอยู่ท่ามกลางซากศพของทหารจำนวนมาก
“หึหึ... พระจันทร์คืนนี้สวยดีนะว่าไหม? สีเหมือนกับเลือดของพวกแกยังไงล่ะ หึหึ…”
เสียงดังขึ้นจากเงาประหลาดนั่นก่อนที่แสงจันทร์จะค่อยๆสาดส่องมายังทิศทางของมัน จนเผยให้เห็นใบหน้าเสี้ยมแหลมของคนๆหนึ่งซึ่งเป็นใบหน้าของชายหนุ่มที่มีผมสีแดงเหมือนเลือดประกอบกับดวงตาสีเดียวกับผมของเขา ซึ่งบนใบหน้านั่นเต็มไปด้วยคราบเลือดเกรอะกรังของเหล่าทหารผู้โชคร้าย และที่ระหว่างรอยคราบเลือดบนใบหน้านั่น รอยยิ้มที่เปี่ยมไปด้วยความเจ้าเล้ห์ก็ค่อยๆเผยขึ้นมาอย่างช้าๆ
“อย่าขยับนะ! หันหลังมาช้าๆ แล้วอย่าเล่นตุกติกเด็ดขาด!! ไม่งั้นชั้นเป่าสมองของนายแน่!!”
นายทหารหญิงผมยาวสีทอง นัยต์ตาสีฟ้าคราม หน้าตาแลดูสะสวย ซึ่งตามมาด้วยกองทหารร่างใหญ่อีก 10 กว่านาย เธอยกปืนกระบอกยาวในมือขึ้น พร้อมกับเล็งไปที่ชายหนุ่มผู้ลึกลับ แต่ก็ทิ้งระยะห่างเอาไว้พอสมควร และทันทีที่กองทหารหาญเห็นการกระทำของสาวผมทอง ก็พากันชักอาวุธประจำตัวของตนออกมาบ้างก็ใช้เวทมนตร์เรียกออกมา ก่อนจะตั้งท่าเตรียมพร้อมรับมือกับชายลึกลับคนนั้นเอาไว้ แต่ก็ไม่มีนายทหารคนไหนกล้าล้ำเส้นเกินนายทหารหญิงผู้นั้นสักคน
“หึหึ… คิดเหรอว่า…!”
เปรี้ยง!! ก่อนที่ชายหนุ่มจะพูดจบ ลูกกระสุนถูกยิงออกจากปลายกระบอกปืนยาวนั่นอย่างทันควัน ลูกกระสุนพุ่งเข้าที่กลางหัวของชายหนุ่มเต็มๆ แต่ทว่า... ชายหนุ่มผู้นั้นกลับแค่ผงะถอยหลังไป 2-3 ก้าวเพียงเท่านั้น ก่อนที่จะเงยหัวกลับขึ้นมาพร้อมกับลูกกระสุนที่ถูกคาบอยู่ในปากของเขา การกระทำเช่นนั้นสร้างความตื่นตะลึงปนตื่นตระหนกให้กับทั้งนายทหารหญิงและกองทหารเป็นอย่างมาก แต่นายทหารหญิงผู้ที่น่าจะผ่านการศึกมานับไม่ถ้วน ก็ยังสามารถตั้งสติกลับคืนมาได้อย่างรวดเร็วผิดกับนายทหารที่อยู่ข้างหลัง โดยที่ตอนนี้ทุกคนพากันขวัญเสียตัวสั่นเทิ้มกันยกใหญ่
“หึหึ… ใจร้อนเสียจริงนะ สาวน้อย~~”
ชายหนุ่มพ่นลูกกระสุนออกจากปากของตนก่อนที่จะเอาดาบที่เต็มไปด้วยคราบเลือดของเหล่าทหารที่ตนปลิดชีวิตไปขึ้นมาเลียสร้างความหวาดกลัวให้กับเหล่าบรรดาทหารยิ่งขึ้นไปอีก ชายหนุ่มแสยะยิ้มก่อนที่จะตวัดดาบออกไปเป็นวงกว้าง แสงสีขาวรูปพระจัรทร์เสี้ยวสว่างจ้าบาดตาเกิดขึ้น นายทหารหญิงยกแขนขึ้นมาบังแสงสว่างนั่นเอาไว้แต่ก็พยายามไม่ละสายตาจากชายหนุ่มคนนั้นแม้แต่นิดเดียว เมื่อแสงสีขาวที่สว่างราวกับพระอาทิตย์ดับลงสิ่งที่เหลืออยู่ก็คือศพของกองทหารที่เธอพามาด้วยทั้งหมด ที่นอนจมกองเลือดอยู่แทบเท้าของเธอ ซึ่งแต่ละคนนั้นโดนฟันเข้าที่จุดตายอย่างแม่นยำและดูเหมือนว่าจะตายภายในดาบเดียว นายทหารหญิงถึงกับไม่เชื่อสายตาที่ตนเองเห็น ในตอนนี้ตัวเธอเริ่มสั่นขึ้นมากกว่าเดิมเล็กน้อยพลางคิดในใจ ‘นะ…นี่มัน อะ… อะไรกัน!’ พลางมองศพของทหารที่นอนจอมกองเลือดเหล่านั้นด้วยสายตาหวาดๆ
“หมดตัวเกะกะแล้วนะ หึหึ… ตายโดยไม่ร้องสักแอะ เอาล่ะ... คราวนี้เรามาสนุกกันบ้างดีกว่า…”
นายทหารหญิงคิดว่า ‘แบบนี้ไม่ดีแน่’ เธอจึงถอดเสื้อเกราะท่อนบนออกจนหมดเหลือแต่เสื้อกล้ามรัดรูปสีน้ำตาลอ่อนและทิ้งปืนยาวในมือลงกับพื้น
“ด้วยพันธสัญญาแห่งโมดูลย์ จงมาศาตราแห่งข้า!!”
นายทหารหญิงพึมพำเบาๆ ทันใดนั้นแสงสว่างสีเขียวมรกตก็เกิดขึ้นกลางอากาศตรงหน้าเธอ ก่อนที่มันจะกลายเป็นปืนพกลูกโม่กระบอกโตสีเงิน 2 กระบอก เธอรีบคว้ามันเอาไว้อย่างรวดเร็วพร้อมกับตั้งท่าเตรียมรับการต่อสู้ที่กำลังจะเกิดขึ้นในไม่ช้า
“หึหึ! มือปืนมนตรา อย่างงั้นรึ? ชักสนุกขึ้นมาหน่อยแล้วล่ะสิ มาดูสิว่า… เผ่ามาร อย่างชั้นกับ เผ่ามนุษย์ ธรรมดาๆอย่างเธอ ใครมันจะเร็วกว่ากัน…”
“อึก! หนวกหู! อย่าได้ใจไปหน่อยเลย!”
ทันใดนั้นออร่าสีขาวก็ค่อยๆห่อหุ้มร่างของนายทหารหญิงเอาไว้ และเมื่อชายหนุ่มเห็นเช่นนั้นก็ต้องแสยะยิ้มอย่างชั่วร้ายออกมาเหมือนกับว่า ‘นี่แหละใช่เลย’
“โอ้! แรงกดดันมหาศาลนี่ ยอดเยี่ยมๆ แบบนี้ค่อยฆ่าเวลาได้หน่อยจริงไหม?”
ชายหนุ่มตั้งท่าเตรียมพร้อมเช่นกันพลางกวักมือท้าทายนายทหารหญิง แต่เธอก็มิได้ทำตามการเชื้อเชิญนั่นแต่อย่างใด เธอยังคงดูเชิงอย่างใจเย็น หยาดเหงื่อเริ่มไหลย้อยลงมาที่ข้างแก้มบ่งบอกถึงความกดดันของเธออย่างเห็นได้ชัด แต่เธอก็ยังพยายามที่จะคุมสติให้สงบที่สุดเหมือนกับสายลมที่นิ่งสงบในตอนนี้ แต่ทางด้านชายหนุ่มนั้นไม่ปล่อยให้เป้าหมายที่ปฏิเสธการเชื้อเชิญของตนให้รอดชีวิตไปได้อย่างแน่แท้ เขาพุ่งตัดระยะเข้าหานายทหารหญิงทันทีด้วยความเร็วเหนือมนุษย์ แต่เธอรอจังหวะที่เขาจะบุกเข้ามาอยู่ก่อนแล้ว เธอจึงลั่นไกใส่ชายหนุ่มอย่างไม่ยั้ง
ปัง!!ๆๆๆๆๆ เสียงรัวปืนของเธอดังกึกก้องไปทั่วบริเวณ แต่ดูเหมือนว่าเขาจะหลบมันได้อย่างฉิ่วเฉียดไปเสียทุกนัด เขาพุ่งเข้ามาใกล้ตัวเธอมากขึ้นๆ และในที่สุด…
“เสร็จชั้นล่ะ!!”
ชายหนุ่มตวัดดาบในมือของตนใส่เป้าหมายทันที ฟุบ!! เสียงผ่าอากาศของคมดาบอันแหลมคมดังขึ้น แต่มันกลับพลาดเป้าไปอย่างน่าเสียดาย นายทหารหญิงใช้ร่างกายอันเพรียวบางของตนหลบการโจมตีนั่นได้ทันอย่างฉิ่วเฉียด ก่อนที่ดาบนั่นจะบั่นหัวของเธอหลุดออกจากบ่า และอาศัยจังหวะที่ชายหนุ่มกำลังเสียจังหวะอยู่นั้น ถีบเขาที่กลางลำตัวอย่างแรง พลั่ก!! ชายหนุ่มกระเด็นออกไปก่อนที่เธอจะยันตัวลุกขึ้นยืนและตั้งสติกับการต่อสู้ให้มากขึ้นกว่าเดิมแต่ทว่า... ชายหนุ่มเป็นฝ่ายตั้งตัวได้ก่อนจึงใช้ความเร็วของตนที่มีอยู่ตัดระยะเข้ามาอยู่ด้านหลังของเธอก่อนจะแสยะยิ้มและตั้งท่าเตรียมที่จะตวัดดาบสังหารเหยื่อผู้เคราะห์ร้าย…
"ลาก่อน... สาวน้อย~~"
เช้าตรู่ของวันหนึ่งภายในห้องสี่เหลี่ยมด้านเท่าขนาด 14x10 เมตร ที่มีกำแพงเป็นสีเหลืองอ่อนคล้ายสีครีมดูสบายตาจากแสงแดดยามเช้าที่สาดส่องลอดผ่านบานหน้าต่างเข้ามากระทบกับแจกันดอก *ซิลเนี่ยม ที่ออกดอกสีเหลืองสดรับกับแสงแดดอันอบอุ่นนั้น บนเตียงนอนขนาดควีนไซส์อันอ่อนนุ่มที่อยู่ด้านข้างๆของชั้นวางแจกันทรงสูงนั่น หญิงสาวผมทองนอนหลับอย่างสบายอยู่บนที่นอนสีขาวบริสุทธิ์ เธอค่อยๆลืมตาตื่นขึ้นจากนิทราอันเวิ้งว้างก่อนจะค่อยๆพยุงตัวเองลุกขึ้นจากที่นอนอย่างช้าๆพลางขยี้ตาทั้ง 2 ข้างให้ตื่นจากอาการง่วงซึม ก่อนที่จะส่งสายตาเหม่อลอยออกไปยังนอกหน้าต่าง สายตาของเธอจับจ้องไปยังทางเดินกว้างๆตรงหน้ารั้วบ้าน ที่ตอนนี้เต็มไปด้วยผู้คนมากมายที่เดินกันอย่างพลุกพล่านไม่ต่างกับฝูงมดตัวน้อยๆพลางคิดในใจ
‘บ้าจริง... ฝันถึงเรื่องนั้นอีกแล้ว ถ้าในตอนนั้น เจ้าหมอนั่น มันไม่หายตัวไปก่อนล่ะก็… ชั้นเองก็คงจะ…’
ก๊อกๆ ทันใดนั้นประตูห้องของเธอก็เปิดออกพร้อมกับหุ่น *Androin สาวผมลอนสีฟ้าสดใสราวกับท้องฟ้า ดวงตากลมโตสีเดียวกัน สวมชุดเมทกระโปรงสั้นสีขาวอมชมพูผ้าระบายสีขาวฟูฟ่อง ซึ่งลักษณะท่าทางของ Androin ตัวนั้นดูเหมือนหญิงสาวที่อยู่ในช่วงอายุประมาณ 24 ปี เธอช่างดูอ้อนแอ้นน่ารักอรชรยิ่งนัก เธอย่างเท้าเข้ามาในห้องด้วยใบหน้ายิ้มแย้มที่แปลกประหลาดกว่า Android ของชาวบ้านชาวช่อง ที่วันๆเอาแต่ทำหน้าตายไม่บ่งบอกถึงความรู้สึกใดๆ ซึ่งในมือถือถาดอลูมิเนียมสีเงินมันวาวพร้อมกับอาหารเช้าชุดใหญ่ที่ หอมกรุ่น ควันฉุ่ย ยั่วน้ำลายเป็นยิ่งนัก
“อรุณสวัสดิ์ค่ะนายหญิง เช้านี้ช่างสดใสเหมาะสำหรับการออกไปเดินเล่นนะคะ… อาหารเช้าวันนี้มี สลัดไข่กับแฮมและขนมปังปิ้งนะคะ จะรับนมสดเพิ่มด้วยไหมคะ?”
Androin สาวกล่าวทักทายหญิงสาวคนนั้นด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใส และดูเหมือนเธอจะไม่รอฟังคำตอบจากผู้เป็นนายทั้งสิ้น เธอเดินเข้ามายืนที่กลางห้องพร้อมกับวางถาดลงบนโต๊ะที่ตั้งอยู่ ก่อนจะจัดเจงชุดอาหารลงบนโต๊ะอย่างบรรจง และหันกลับมายิ้มให้กับหญิงสาวพลางก้มหัวให้เล็กน้อยก่อนที่จะเดินออกจากห้องไป หญิงสาวหันมามองดูนาฬิกาดิจิทัลเรือนโตที่แขวนอยู่บนกำแพงพลางคิดในใจ ‘9 โมงแล้วเหรอเนี่ย อืม… … … ห๋า! 9 โมง!’ หญิงสาวรีบถีบตัวเองจากที่นอนอย่างทันควันก่อนที่จะทำธุระส่วนตัวอะไรต่อมิอะไรเสร็จในเวลาไม่นาน และไม่ลืมที่จะทานอาหารเช้าก่อนจะวิ่งออกจากบ้านอย่างรีบเร่ง
“สายแล้วๆ สายโด่งตั้งแต่วันแรกแบบนี้ไม่ดีแน่ๆ แถมวันนี้มีสอนตอนเช้าด้วย โถ่…”
หญิงสาวรีบวิ่งอย่างสุดชีวิตพลางดูนาฬิกาข้อมือไปด้วย ตอนนี้ 9 โมงครึ่งแล้ว จะไปยืนรอรถบัสที่ป้ายสถานีในตอนนี้ก็ใช่เรื่อง เธอจึงตัดสินใจที่จะใช้วิธีการอะไรบางอย่างเพื่อให้เธอไปยังจุดหมายปลายทางได้รวดเร็วกว่านั่งรถบัสไป
“จวนจะถึงคาบที่เราสอนแล้ว ช่วยไม่ได้แฮะ เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ข้าแต่เทพแห่งกาลเวลาโครโนส จงเบิกห้วงนทีแห่งกาลเวลาให้แด่ข้าด้วยเถิด… มนตราเร่งความเร็วฉับพลัน! โครโนซิส อินทิเมทั่ม!!”
เมื่อเธอร่ายมนตร์ในใจจบ ทันใดนั้นทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่รอบตัวของหญิงสาวก็หยุดการเคลื่อนไหวในทันที แต่ความเป็นจริงสิ่งเหล่านั้นไม่ได้หยุดการเคลื่อนไหวใดๆทั้งสิ้น แต่ตัวของเธอเองต่างหากที่เคลื่อนที่เร็วขึ้นจนทำให้สิ่งรอบข้างดูเหมือนราวกับหยุดนิ่ง ส่วนคนอื่นๆนั้นจะได้ยินแค่เสียงเหมือนกับมีอะไรเคลื่อนที่ผ่านไปพร้อมกับเกิดแรงลมกรรโชกอย่างรุนแรงตามหลังมาก็เท่านั้น จนทำให้กระโปรงของเด็กสาวในชุดกระโปรงเขียวที่กำลังเดินอยู่ถูกกระแสลมถลกขึ้นสูง จนเผยให้เห็นกางเกงในลายทางสีฟ้าอ่อนและสายรัดถุงน่องสีขาวอันสุดแสนจะยั่วยวนนั่น จนเหล่าหนุ่มเล็กหนุ่มใหญ่โดยรอบหันมามองเธอด้วยความแปลกใจและหลงใหลปนๆกันไป
“ยอดเลย! แบบนี้ทันเวลาแน่ๆ อ๊ะ! พวกเธอ 2 คนตรงนั้นน่ะ! หลีกทางให้หน่อยค่ะ!”
เธอโบกมือไล่นักเรียนชายเผ่าสมิงขาว 2 คนที่กำลังเดินอยู่อย่างสบายอารมณ์ แต่พวกเขากลับไม่ได้สังเกตุเห็นเธอเลยแม้แต่น้อย เธอจึงไม่มีทางเลือกมากนักจะหักหลบก็ไม่ทันการ นอกเสียจากพุ่งชนเอาดื้อๆแต่นั่นอาจจะทำให้มีคนได้รับบาดเจ็บ หรือว่า…
“บอกให้หลีกไปไง!! ไอ้พวกเด็กบ้าาา!! ย๊ากกกก!!”
กระโดดข้าม!! เป็นวิธีที่เธอเลือกในที่สุด เธอกระโดดข้ามหัวของนักเรียนชาย 2 คนนั้นอย่างง่ายดายแต่ไม่วายที่จะเอาสันหนังสือที่เธอเหน็บมาด้วยเคาะที่หลังศรีษะของนักเรียนชาย 2 คนนั้นเบาๆ ผลออกมาคือนักเรียนชาย 2 คนนั้นหน้าทิ่มพื้นโดยทันที เนื่องจากความเร็วที่เธอวิ่งมาบวกกับแรงปะทะผสมแรงเฉื่อยหรือแรงบ้าบออะไรก็แล้วแต่ที่ส่งผลให้เป็นแบบนี้ ทำให้นักเรียนชาย 2 คนนั้นถึงกับประหลาดใจและงงกับสิ่งที่เกิดพลางมองซ้ายมองขวาหาต้นตอที่ทำให้พวกเขาหน้ำทิ่มพื้น แต่ทว่าตัวต้นเหตุนั้นวิ่งหนีไปโน่นแล้ว
“เฮ้อ~~ ถึงสักที... ที่นี่สินะ? สถาบันเวทมนตร์แอนเรียโดรเน่ ช่างใหญ่โตสมกับคำล่ำลือจริงๆ...”
สถาบันเวทมนตร์แห่งนี้ขึ้นชื่อว่ามีขนาดพื้นที่ใหญ่ที่สุดใน อาณาจักรรูนมิกัล ซึ่งมีจำนวนบุคลากรอยู่ถึง 128,543 คน และภายในสถาบันยังมีย่านศูนย์การค้าและแหล่งพักผ่อน อีกทั้งยังมีโรงละครและสวนสนุกคอยเปิดบริการให้กับนักเรียนที่กำลังศึกษาอยู่ที่นี่ และยังไม่รวมแหล่งที่พักของบรรดานักเรียนทั้งหญิงและชายที่แยกกันเป็นสัดส่วนอย่างลงตัวในบริเวณพื้นที่อยู่อาศัยของสถาบัน และบริเวณตรงกึ่งกลางของสถาบัน ยังมีหอคอยบาเบลทรงกรวยแหลมสูงเสียดฟ้า และมีผลึกคริสตัลจำนวนมากที่ลอยไปลอยมาอยู่กลางอากาศรอบๆหอคอยนั่น โดยผู้คนที่นี้เรียกผลึกเหล่านั้นว่า ผลึกหยั่งรู้ ซึ่งบรรดานักเรียนหรือแม้แต่บรรด่อาจารย์เองก็เชื่อกันว่ายามใดที่แสงอาทิตย์สาดส่องไปโดนมันแล้วถ้าหากแสงนั่นสะท้อนไปโดนบุคคลไหน ภายใน 1 วันบุคคลคนนั้นจะมีพลังหยั่งรู้ฟ้าดินเฉกเช่น พระเจ้า
“เอ่อ… ขอโทษนะครับ”
"ว้าย!!"
ยังไม่ทันที่หญิงสาวจะทันได้ชื่นชมกับความใหญ่โตและอลังกาลของที่นี้อย่างจุใจ อยู่ๆชายวัยกลางคนก็เข้ามาทักจากข้างหลัง เขาผู้นั้นมีใบหน้าเหลี่ยมเข้มแลดูบึ้งตึงเล็กน้อย และมีรอยย่นตามวัย ไว้ผมเกรียนทรงลานบินสีดำครึ่งหนึ่งเป็นผมหงอก หนวดเคราสั้นหนาสีดำครึ่งหนึ่งหงอก คิ้วโก่งสีดำครึ่งหนึ่งหงอกหนาขมวดเข้าหากันเหมือนคนกำลังหงุดหงิดอะไรมา นัยน์ตาสีเขียวมรกต จมูกโด่งดั้งเป็นสันได้รูป ริมฝีปากหนาพอประมาณ ผู้มาในชุดอาจารย์ชายของสถาบันโดยเป็นเสื้อคลุมสุภาพตัวยาวสีขาวคลิบทองที่บ่าทั้ง 2 ข้างประดับด้วยยศทหารระดับพันเอก และที่หน้าอกขวามีเหรียญกล้าหาญอีกเพียบ
และยังมีสายพาดบ่าที่ดูเหมือนเชือกสีเหลืองอำพันนั่นอีก และยังสวมถุงมือหนังแบบเปิดปลายนิ้วสีขาวทั้ง 2 ข้าง พร้อมกับกางเกงสเลคขายาวทรงกระบอกสีดำ รองเท้าหนังหุ้มส้นที่มีเหล็กสีเงินวาวติดอยู่ที่ส้นเท้าด้านในทั้ง 2 ข้าง คาดว่าน่าจะเป็นอาจาร์ยที่สอนอยู่ที่นี่เหมือนกันเพราะเขาก็มีหนังสือเล่มหนา 2 - 3 เล่มในมือเหมือนกับเธอ
“มะ… มีอะไรกับดิชั้นอย่างงั้นเหรอคะ?”
หญิงสาวประหลาดใจเล็กน้อยเพราะเธอไม่เคยพบผู้ชายคนนี้มาก่อน ชายคนนั้นมองเธอด้วยสายตาดุดันแต่แฝงไปด้วยความสุภาพ ‘มองอะไรของเขา ฉันมีอะไรแปลกตรงไหนเหรอ?’ หญิงสาวคิดในใจพลางมองรอบๆตัวแต่ก็ไม่มีอะไรผิดปรกติทันใดนั้นชายวัยกลางคนก็เอ่ยปากขึ้น
“คุณคือ อาจารย์นีน่า เอฟ ลอสโอรีเทียร์ ที่จะมาสอนวิชา การต่อสู้กับศาสตร์ต้องห้าม แทน อาจาร์ยโรซานช่า ใช่รึเปล่าครับ?”
“เอ่อ… ใช่ค่ะ… ว่าแต่… ทำไมคุณถึงรู้จักชื่อของดิชั้นได้ล่ะคะ? หรือว่าคุณคือ... อาจารย์คอนสแตนติน แมกซาเรทซ์ ที่จะมาเป็นผู้คุมของดิชั้นในการสอนวันแรก?”
“ใช่ครับ… แต่กรุณาอย่างเรียกว่าผู้คุมเลยนะครับ เรียกว่าที่ปรึกษานำจะเหมาะกว่า แล้วก็เรียกผมว่า คอนสแตนติน เฉยๆก็ได้ครับ”
กิ๊ง~ ก๊อง~ ก๊าง~ ก๊อง~ ยังไม่ทันได้ทำความรู้จักมักจี่กันมากไปกว่านี้เสียงกริ่งก็ดังขึ้นซึ่งนั่นหมายถึงคาบที่อาจารย์สาวหน้าใหม่ของเราต้องเข้าสอนมาถึงเสียแล้ว ไม่รอช้าทั้งคู่พากันเดินเข้าไปในอาคารเรียนที่อยู่ตรงหน้า และในระหว่างทางทั้งคู่ก็ได้พูดคุยแลกเปลี่ยนทัษะณคติเกี่ยวกับนักเรียนของที่นี่และเรื่องราวต่างๆอีกนิดๆหน่อยๆ ก่อนที่จะถึงหน้าห้องเรียนที่เธอจะต้องเข้าไปสอนเป็นครั้งแรก ‘ทะ… ทำไงดีเนี่ย!? ตื่นเต้นชะมัดเลย~’ คอนสแตนติน เห็นว่า นีน่า ตัวสั่นจึงเอามือวางบนบ่าของเธอเบาๆพลางพยักหน้าพร้อมกับรอยยิ้มที่ไม่เข้ากับใบหน้าดุๆของเขาให้กับเธอเล็กน้อยเป็นเชิงบอกว่า ‘ไม่เป็นไรครับ ลุยเลย!’ ซึ่งเธอเองก็ยิ้มกลับให้เขา ก่อนจะหลับตารวมรวบสมาธิและสะกดกลั้นความตื่นเต้นไว้ภายในจิตใต้สำนึก หวืด~~ บานประตูเลื่อนออกเองโดยอัติโนมัติ ซึ่งภาพที่เธอเห็นหลังจากที่ย่างก้าวเข้าไปในห้องนั้นก็คือ บรรดานักเรียนทั้งหญิงชายหลากหลายเผ่าพันธุ์ที่พากันนั่งบนอัฒจันทร์รูปครึ่งวงกลมที่ทอดยาวขึ้นไปด้านบนอย่างเรียบร้อย ต่างจากภาพที่เธอจินตนาการเอาไว้มากมายนัก ซึ่งภายในห้องเรียนแห่งนี้จะมีลักษณะคล้ายกับห้องโถงขนาดใหญ่ที่มีอัฒจันทร์เป็นรูปครึ่งวงกลมพร้อมกับโต๊ะไว้สำหรับนักเรียน และหน้าห้องจะมีเวทีรูปครึ่งวงกลมเช่นกันและที่ผนังด้านหลังจะมีไวด์สกรีนขนาดใหญ่ประมาณ 7x2 เมตร ติดตั้งอยู่ซึ่งสามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบการใช้งานได้หลายหลายเอาไว้สำหรับให้อาจารย์เอาไว้เปิดวิดีทัศน์ให้นักเรียนได้ศึกษาและใช้แทนกระดานไวท์บอร์ดที่ใช้เสียงสั่งงานแทนการใช้ปากกาไวท์บอร์ดในการเขียน
“เอ่อ… สวัสดีค่ะ… ดะ…ดะ…ดิชั้นชื่อ นีน่า เอฟ ลอสโอรีเทีย จะมาสอนวิชา การต่อสู้กับศาสตร์ต้องห้าม แทน อาจารย์โรซานช่า ที่ลาคลอดไป ฝะ…ฝะ… ฝากตัวด้วยนะคะ”
ไม่มีเสียงตอบรับจากบรรดานักเรียนในห้องเพราะทุกคนต่างตะลึงกับความงดงามของอาจารย์ใหม่ผู้นี้ เพราะเธอนั้นไม่ใช่แค่สวยอย่างเดียว ทรวดทรงองเอวก็ยังเพรียวบางได้สัดส่วนแต่ที่เห็นได้เด่นชัด เห็นจะเป็นหน้าอกหน้าใจที่อวบอุ๋นล้ำหน้ากว่าใครๆ อีกทั้งยังไว้ผมยาวสีทองอร่ามที่รวบเอาไว้เป็นหางม้า บวกกับดวงตากลมโตกำลังดีที่แฝงไปด้วยความเอาจริงเอาจังกับชีวิตสีฟ้าครามคู่นั้น อีกทั้งยังมีริมฝีปากที่อวบอิ่มน่าประทับรอยจูบลงไปยิ่งนัก แถมผิวพรรณของเธอยังมีสีขาวนวลเนียนราวกับไข่มุก ซึ่งเข้ากับชุดอาจาร์ยหญิงของสถาบันแห่งนี้ยิ่งนัก ‘อะ… อะไรน่ะ ชั้น ทะ… ทำอะไรผิดงั้นเหรอ?’ นีน่า คิดในใจมือเริ่มสั่นเหงื่อเริ่มซึมออกมาทางฝ่ามือเธอกำลังประหม่าอย่างรุนแรงเพราะไม่เคยโดนสายตากว่า 300 คู่จับจ้องมาที่เธอเพียงคนเดียวมาก่อนในชีวิต
“เจ้าพวกบ้าา! ยังไม่ทำความเคารพอาจารย์กันอีกเรอะ!?”
เสียงคำรามดังขึ้นไม่ใช่ใครที่ไหน อาจารย์คอนสแตนติน ที่ยืนอยู่ข้างๆนั่นเอง เสียงคำรามของเขานั้นทำให้ทั้งห้องถึงกับสะดุ้งเฮือกรวมถึงตัว นีน่า เองด้วย แต่แล้วอยู่ๆนักเรียนหญิง *เผ่าเอลฟ์ ผิวขาวเป็นประกาย หน้าตาเอาจริงเอาจังกับชีวิต ผู้ไว้ผมยาวสีเงินทรงทวินเทลผู้หนึ่ง ที่อยู่บริเวณกลางอัฒจันทร์ก็ยืนขึ้นก่อนจะตามด้วยนักเรียนทั้งห้องและพากันก้มหัวลงเล็กน้อยพลางเอ่ยเป็นเสียงเดียวกันว่า ‘สวัสดีครับ/ค่ะ’ ก่อนจะพากันนั่งปนะจำที่ตามเดิม
“เชิญสอนได้ครับ อาจารย์นีน่า”
“ขอบคุณค่ะ อาจารย์คอนสแตนติน”
นีน่า เริ่มทำการสอนนักเรียนเป็นครั้งแรกอย่างกล้าๆกลัวๆ แต่เธอก็สามารถเข้ากับนักเรียนได้อย่างรวดเร็วซึ่ง คอนสแตนติน เองก็ประหลาดใจกับเรื่องนี้มาก เพราะนักเรียนในห้องนี้ขึ้นชื่อว่ารับมือยากมากที่สุดในชั้นปีแล้ว ‘โฮ้~~ ไม่เลวเลย’ คอนสแตนติน คิดในใจพลางยืนกอดอกพิงกำแพงเอามือลูบหนวดเคราสองสีของตัวเองช้าไปซ้ำมาจนในที่สุดคาบเรียนแรกของนีน่าก็ผ่านพ้นไปอย่างเชื่องช้า ตอนนี้เป็นเวลาเที่ยงตรงพอดี ซึ่งก็ได้เวลาอาหารกลางวัน คอนสแตนติน จึงรับอาสาพา นีน่า ไปเลี้ยงมื้อกลางวันที่โรงอาหารของอาจารย์โดยเฉพาะที่ตั้งอยู่ในอาคารส่วนกลางซึ่งต้องเดินจากอาคารเรียนที่เธออยู่เมื่อครู่ไปไกลมากเลยทีเดียวแต่คนอย่าง คอนสแตนติน รึจะปล่อยให้หญิงสาวที่น่าหลงไหลคนนี้เดินเท้า เขาจึงหยิบลูกแก้วสีแดงออกมาจากกระเป๋าเสื้อแล้วบ่นพึมพำอะไรบางอย่างในลำคอ
“ข้าแต่วิญญาณศักดิ์สิทธิ์แห่งเปลวเพลิง จงมอบชีวิตและลมหายใจให้กับ ผนึกแห่งเรกิออสด้วยเถิด… จงออกมาอาชาแห่งเปลวเพลิงเรกิออส!”
คอนสแตนติน โยนลูกแก้วสีแดงในมือออกไปแล้วทันใดนั้นมันก็เปล่งแสงสีแดงสว่างจ้าและมีเปลวเพลิงลุกโชติช่วงขึ้นมา ก่อนจะปรากฎเป็นอาชาที่มีร่างกายสีขาวนวลและมีขนคอและหางเป็นเปลวเพลิงลมหายใจของมันที่พ่นออกมาแต่ละครั้งจะมีเปลวเพลิงลูกเล็กๆถูกพ่นออกมาด้วยดวงตาของมันเป็นสีแดงฉานดูดุดันและร้อนแรงยิ่งนัก
“*อาชาเพลิงเรกิออส!! ดิชั้นเพิ่งเคยเห็นตัวเป็นๆครั้งแรก มันช่างงดงามสมคำร่ำลืออะไรอย่างนี้ ไม่ทราบว่าอาจารย์ได้มันมายังไงคะ?”
“เอ่อ… เรื่องมันยาวน่ะครับ เอ... จะว่ายังไงดีล่ะ? เอาเป็นว่ามันเป็นของเพื่อนสนิทของผมน่ะครับ ถ้าจะให้เล่าให้ฟังสงสัยเย็นนี้คงไม่จบ ถ้าอย่างนั้นเอาไว้วันหลังก็แล้วกันนะครับ”
"อย่างนั้นเหรอคะ? ถ้างั้นก็ไม่เป็นไรค่ะ..."
คอนสแตนติน ลูบแผงคอที่เป็นเปลวเพลิงของมันด้วยความนุ่มนวลและทะนุทะนอมทำให้ นีน่า ถึงกับตาค้างพลางสงสัยว่าทำไมมือของคอนสแตนตินถึงไม่โดนเปลวเพลิงอันร้อนแรงนั่นเผาเอา
“ถ้าเราทำความคุ้นเคยและผสานใจเป็นหนึ่งเดียวกับมันแล้ว เปลวเพลิงของมันก็จะทำอะไรเราไม่ได้หรอกครับ”
คอนสแตนติน เหมือนกันอ่านใจ นีน่า ได้เขาส่งรอยยิ้มอันอ่อนโยนให้กับเธอ ทำให้ใจเธอเริ่มเต้นโครมครามเธอรีบกุมหน้าอกไว้ทันทีแล้วหันหลังให้กับเขาพลางคิดในใจ ‘นั่นรุ่นพ่อเราเลยนะ อย่าหวั่นไหวกับรอยยิ้มนั่นสินีน่า’ เธอพยายามสะกัดกั้นใจที่เต้นโครมครามของเธอจนในที่สุดมันก็สงบลง
“มาสิครับ ลองสัมผัสมันดู”
นีน่า ค่อยๆเดินเข้าหาอาชาตัวนั้นอย่างกล้าๆกลัวๆพลางคิดในใจ ‘นี่ฉันกำลังทำอะไรอยู่เนี่ย ให้ไปสู้กับพวกอสูรยังจะง่ายซะกว่า’ เมื่อถึงตัวอาชาเพลิง เธอก็ค่อยๆเอื้อมมือไปลูบตรงสีข้างของมันตรงส่วนที่ไม่มีเปลวเพลิงแต่ก็ยังรู้สึกร้อนมืออยู่ดี แต่ไม่ทันไรมือของเธอก็เริ่มเย็นขึ้นและไม่รู้สึกถึงความร้อนอะไรอีก และในจังหวะนี้เอง คอนสแตนติน ตบที่ข้างแผงคอของมันเล็กน้อยอาชาเพลิงค่อยๆย่อตัวลงอย่างเชื่อฟังจนอยู่ในระดับที่เธอสามารถปีนขึ้นไปขี่มันได้
“เชิญเลยครับ ไม่ต้องกลัว”
เธอทำตาม คอนสแตนติน อย่างว่าง่ายเธอปีนขึ้นไปบนหลังของอาชาเพลิงอย่างนิ่มนวล แต่เมื่อหว่างขาของเธอสัมผัสกับอานหลังของมัน เธอก็ต้องเผลอตัวร้องครางเสียงกระเส่าออกมาเบาๆ เนื่องจากความอุ่นจากขุมพลังแห่งเปลวเพลิง ที่ไหลผ่านเข้าสู่ร่างกายของเธอ เธอหันไปมอง คอนสแตนติน ว่าเขาได้ยินเสียงที่เธอครางเมื่อกี้หรือไม่ แต่เขาก็ยังคงนิ่งเฉยอยู่เหมือนเดิม
“เราไปกันเถอะครับ”
คอนสแตนติน ตบข้างแผงคอของอาชาเพลิงเบาๆอีกครั้ง มันค่อยๆยันขาตัวเองขึ้นอย่างช้าๆ ก่อนจะออกเดินตามหลัง คอนสแตนติน ไป หลังจากนีน่าและคอนสแตนตินทานอาหารกลางวันเสร็จ ทั้งคู่ที่ไม่มีคาบเรียนที่จะสอนในช่วงบ่ายต่อก็มานั่งพักทีใต้เงาของร่มไม้ในสวนสาธารณะแห่งหนึ่งภายในสถาบัน ซึ่งในระหว่างนั้นทั้งคู่ก็ได้พูดคุยแลกเปลี่ยนเรื่องสัพเพเหระต่างๆนาๆทั้งเรื่องที่เธอเคยอยู่สังกัดหน่วยทหารคุ้มกันเมืองและเคยสู้กับคนเก่งๆมามากมายและยังเป็นคนจาก อาณาจักรไลลาริน เหมือนกับเขา ส่วน คอนสแตนติน เองก็เล่าประสบการ์ณเมื่อครั้งยังหนุ่มให้เธอฟัง ทั้งเรื่องการต่อสู้กับอสูรที่ทำให้เขากับเพื่อนสนิทเกือบตายและอีกหลายต่อหลายเรื่อง จนกระทั่งพระอาทิตย์ตกดินทั้งคู่จึงร่ำลากันก่อนจะแยกย้ายกันกลับที่พักของตน
คืนนั้นที่บ้านของเธอ ในห้องอาบน้ำขนาดพอเหมาะ ซึ่งตอนนี้มีไอร้อนจากน้ำในอ่างลอยตลบอบอวนไปทั่วทั้งห้อง ปรากฎร่างเปลือยของหญิงสาวที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวเล็ก เธอกำลังทำความสะอาดร่างกายที่สุดแสนจะเย้ายวนของเธอทุกซอกทุกมุม ก่อนจะค่อยๆหย่อนตัวลงในอ่างที่มีน้ำอุ่นใส่อยู่เต็ม
“ฮ๊าา… สุดยอดเลยวันนี้”
นีน่า ลงแช่ในอ่างน้ำอย่างสบายอารมณ์พลางคิดถึงเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นในวันนี้
“เฮ้อ~~ เหนื่อยจังเลย~~ ตอนแรกนึกว่าจะแย่ซะแล้วสิ... ทั้งเรื่องสอนนักเรียนบ้างล่ะ... เรื่องเกือบจะไปไม่ทันสอนบ้างล่ะ... เฮ้อ~~”
ในระหว่างที่เธอกำลังคิดอะไรเพลินๆอยู่นั้น อยู่ๆใบหน้าของ คอนสแตนติน ก็แว๊บขึ้นมาดิ้อๆ ทำให้เธออมยิ้มหน้าแดงเล็กน้อยก่อนจะค่อยๆเอาหัวหมุดลงไปในน้ำ ในเวลาต่อมาเมื่อเธอทำธุระส่วนตัวเสร็จเป็นที่เรียบร้อยและกำลังจะเข้านอน ปึง!ๆๆๆๆ อยู่ๆก็มีเสียงคนมาทุบประตูหน้าบ้าน และเมื่อเธอเดินลงไปเปิดประตูก็ต้องพบกับ…
“ชะ... ช่วยชั้นด้วยค่ะ...”
ร่างของหญิงสาวเผ่าเอลฟ์โผเข้าสู่อ้อมกอดของนีน่าทันที เอลฟ์สาวคนนั้นมีผมสีทองเป็นมันวาวและเป็นประกายยาวถึงกลางหลัง ซึ่งตอนนี้มันกระเซอะกระเซิงดูยุ่งเหยิงเป็นอย่างมาก แต่ก็ยังหลงเหลือม้วนเปียที่ถักมัดรอบๆหัวเอาไว้ เธอผู้นี้สวมชุดวันพีชกึ่งซีทรูที่เคยเป็นสีขาวมาก่อน แต่ตอนนี้มันขาดหลุดรุ่ย แถมสกปรกเหมือนกับเจออะไรบางอย่างรุมทำร้ายมาก็มิปาน
“นี่เธอ… ทำใจดีๆเอาไว้! เฮ้! นี่มันอะไรกันเนี่ย!”
นีน่ามองซ้ายมองขวาเพื่อหาคนช่วยแต่ก็ไม่มีสักคนเดียว เนื่องจากดึกขนาดนี้ชาวบ้านชาวช่องต่างก็พากันอยู่แต่ในบ้านของตน และไม่มีใครกล้าที่จะออกมาข้างนอกตอนกลางดึก เพราะมีข่าวลือหนาหูว่า มีกลุ่มคนที่ตั้งตนเป็นกองกำลังเล็กๆ ที่คอยออกปล้น ฆ่า และข่มขืนเหล่านักเดินทางทั้งหลาย ซึ่งกลุ่มคนเหล่านั้นพากันเรียกตัวเองว่า กลุ่มเลนิน เธอจึงตัดสินใจพาเธอเข้ามาในบ้านทันที โดยหารู้ไม่ว่า เธอนั้นกำลังจะเจอกับสิ่งที่ไม่คาดคิดที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่ช้า…
-= Lesson 1 End =-
-= To Be Continue Lesson 2 =-
-= เกร็ดความรู้ท้ายบท =-
มนุษย์ [Human]
- เผ่าพันธ์ุที่มีจำนวนมากที่สุดบนผืนพิภพโดยเฉพาะใน อาณาจักรไลลาริน มีสมรรถภาพทางร่างกายและเวทมนตร์ปานกลาง แต่มีวิวัฒนาการทางสมองและความสามารถในการเรียนรู้ที่สูง อายุขัยสั้นราวๆ 60 – 110 ปี
มาร [Demon]
- เผ่าพันธ์ุที่เป็นพันธมิตรของ เผ่าอสูร ที่น่าสะพรึงกลัวอีกชนเผ่าหนึ่งนั่นคือ เผ่ามาร พวกมันมีรูปร่างลักษณะภายนอกที่แตกต่างกันออกไปและไม่แน่นอน บ้างก็คล้ายมนุษย์ บ้างก็คล้ายอสูร หรือบ้างก็อาจจะทั้ง 2 อย่างรวมกัน เป็นต้น และเป็นชนเผ่าที่เชี่ยวชาญเวทมนตร์และศาสตร์มืดมากที่สุดในบรรดาชนเผ่าทั้งหมด และมีระดับสมองและพลังเวทที่สูงกว่าระดับ แม่ทัพ ของ กองทัพอสูร เสียอีกแต่ก็ยังต่ำกว่า 4 จุตรเทพอสูร อยู่ดีดังนั้น 4 จตุรเทพอสูร บางตนอาจจะเอาชน เผ่ามาร มาเป็นสมุนมือขวาและมือซ้ายก็เป็นไปได้ แต่ก็ใช่ว่า เผ่ามาร ทุกตนจะเข้าร่วมเป็นพันธมิตรกับ อสูร ซะทุกตนไป ยังมี เผ่ามาร ในบางส่วนที่ตั้งตนเป็นปรปักษ์กับ กองทัพอสูร และร่วมมือกับกองทัพของ สิ่งมีชีวิตมหัศจรรย์ เสียด้วยซ้ำไป
สัตว์มนุษย์ [Homo Sapiens]
- เผ่าที่กำเนิดมาจากการกลายพันธ์ุด้วยอำนาจเวทมนตร์ของสัตว์หลากหลายชนิดแตกต่างกันออกไป ซึ่งมีสัดส่วนและองค์ประกอบทางร่างกายที่มีความเป็นสัตว์เหล่านั้นเอาไว้ แม้ว่าจะมีขาและสามารถยืนได้เหมือนมนุษย์แต่องค์ประกอบทางร่างกายนั้นยังคงมีเค้าโครงของสัตว์เหล่านั้นอยู่ อย่างเช่นถ้ากลายพันธ์ุมาจากเสือ ก็จะมีส่วนหัวและใบหน้าเป็นเสือและมีกรงเล็บมือและเท้าและขนกับหางเหมือนกับเสืออยู่นั่นเอง ซึ่งเผ่า สัตว์มนุษย์ ยังสามารถแบ่งเผ่าย่อยๆออกไปได้อีกหลายเผ่า เช่น เผ่าสมิง [เสือ], เผ่าวิหค [นก] เป็นต้น แต่ชนเผ่านี้จะไม่ถูกนับรวมกับ เผ่าครึ่งสัตว์ เนื่องจากเผ่านี้ไม่สามารถจำแลงร่างให้คล้ายคลึงหรือใกล้เคียงกับมนุษย์ได้เหมือนกับพวก เผ่าครึ่งสัตว์ แต่สามารถจำแลงร่างให้กลับเป็นร่างของสัตว์ที่ตนเป็นอยู่ได้ และยังมีพละกำลังและความแข็งแกร่งทางร่ายกายนั้นเหนือกว่าพวก เผ่าครึ่งสัตว์ มากมายนัก ส่วนอายุขัยนั้นพอๆกันกับ เผ่าครึ่งสัตว์
เอลฟ์ [Elf]
- เผ่าพันธ์ุที่มีอายุยืนยาวร่วมพันปีและมีพลังเวทมนตร์ที่สูงติดมาแต่กำเนิด โดยส่วนใหญ่มีรูปร่างที่เพรียวบางคล่องแคล่ว มีใบหูที่เรียวยาวขึ้นมากกว่ามนุษย์ ผิวกายสีขาวนวล และเส้นผมสีทองอร่าม ส่วนใหญ่อาศัยอยู่กับธรรมชาติ มีความชำนาญทางด้านเวทมนตร์ที่นำพลังธรรมชาติมาใช้ เช่น แสง , ลม , สายฟ้า , ไม้ และดิน เป็นพิเศษ แต่ไม่สามารถเรียนรู้หรือใช้งานเวทมนตร์สายความมืดหรือคำสาบได้ ส่วนสรรถภาพทางร่างกายนั้นมีความคล่องตัวและความแม่นยำสูงด้วยสายตาที่เฉียบคม
เครื่องจักรรูปของมนุษย์ [Android, Humanoid]
- เครื่องมือสำหรับ นักเชิดหุ่น ยุดใหม่ซึ่งมีบทบาทหน้าที่ในการ Support นักเชิดหุ่น ในด้านต่างๆ มี ความคิด และ การตัดสินใจ เป็นของตัวเอง มีรูปร่างและขนาดแตกต่างกันไปแต่ก็ยังคงความคล้ายคลึงกับ มนุษย์ อยู่ อายุขัย [อายุการใช้งาน] นั้นเรียกได้ว่าแทบจะไม่มี ที่สิ้นสุด แถมสมรรถนะยังเหนือกว่าหรือเทียบเท่าบางชนเผ่าในหลายๆด้านๆ ถึงแม้กระนั้น Android หรือ Humanoid ก็ยังขึ้นชื่อว่าเป็น อาวุธ หรือ เครื่องมือ ของ นักเชิดหุ่น อยู่ดี แม้ว่าจะเป็นอย่างนั้นแต่เหล่า Android หรือ Humnoid ก็ได้รับการพิจารณาให้เข้าประจำการในกองทัพของ อาณาจักรไลลาริน” อีกด้วย
ดอกซิลเนี่ยม [Zilnium Magical Flower]
- ดอกไม้ที่มีดอกเป็นรูปดาว 6 แฉกสีเหลืองและมีกลิ่มหอมแตกต่างกันตามเวลา ในเวลาเช้าจะส่งกลิ่นหอมทำให้รู้สึกกระฉับกระเฉงมีเรี่ยวแรง ส่วนตอนกลางคืนจะส่งกลิ่นหอมที่ชวนเคลิ้มฝันทำให้หลับง่าย มักพบเห็นตามทุ่งหญ้าแถบชานเมือง คาเพนทาเรีย เสียส่วนใหญ่ โดยที่คนส่วนมากมักจะนำไปปลูกในน้ำเพราะจะทำให้ส่งกลิ่นหอมเพิ่มมากขึ้น และยังสามารถนำมาปรุงยาได้หลากหลายอีกด้วย
อาชาเพลิงเรกิออส [Regios Flame Mustang]
- รูปร่างลักษณะเหมือนกับม้าทั่วๆไป โดยส่วนใหญ่ที่พบมักจะมีตัวเป็นสีขาวนวลอมครีม และบริเวณ แผงคอ, หาง และข้อเท้าทั้ง 4 จะเป็นเปลวเพลิงสีแดงฉานลุกโชนอยู่ อุปนิสัยค่อนข้างเป็นสัตว์ที่รักสงบ เมื่อมีเจ้าของก็จะสื่อสัตย์ต่อเจ้าของของตนจนกว่าขีวิตจะหาไม่เลยทีเดียว ซึ่งนั่นจึงทำให้มันเป็นสัตว์ป่าที่ผู้คนส่วนใหญ่มักจะนิยมนำมาเลี้ยงเพื่อใช้เป็นพาหนะ หรือใช้ประกอบอาชีพในบางอาชีพ รวมไปถึงใช้เป็นม้าแข่งได้อีกด้วย ความเร็วสูงสุดประมาณ 60 กม./ชั่วโมง
อาณาจักร “รูนมิกัล” [Runemigal]
- ถ้าพูดถึงอาณาจักรเวทมนตร์ที่มีความยิ่งใหญ่และมีชื่อเสียงในด้านเวทมนตร์และเทคโนโลยีแล้ว อาณาจักรรูนมิกัล เป็นอะไรที่ขึ้นชื่อในเรื่องนี้มากที่สุด เพราะเป็นสถานที่ตั้งของ สถาบันเวทมนตร์แอนเรียโดรเน่ ซึ่งเป็นสถาบันเวทมนตร์ที่ยิ่งใหญ่และมีชื่อเสียงมากที่สุด และสิ่งที่ขึ้นชื่อของอาณาจักรแห่งนี้ไม่ได้มีแค่สถาบันเวทมนตร์เพียงอย่างเดียว อาณาจักรแห่งนี้ยังขึ้นชื่อในด้านยุทโธปกรณ์และเทคโนโลยีต่างๆที่ล้ำสมัยกว่าอาณาจักรอื่นๆอีกด้วย และหัวเมืองสำคัญๆของ อาณาจักรรูนมิกัล มีดังนี้
- เมือง “คาเพนทาเรีย” [Capentaria]
เมืองหลวงของ อาณาจักรรูนมิกัล ซึ่งมีประชาชนอาศัยอยู่มากที่สุด และยังเป็นที่ตั้งของ สถาบันเวทมนตร์แอนเรียโดรเน่ กับ พระมหาราชวัง ที่ จอมกษัตริย์คริสโคร ประทับอยู่ และยังมี ป้อมปราการ 8 ทิศโครโนส อันร้ายกาจจึงทำให้ไม่มีอาณาจักรอื่นๆอาจหาญที่จะรุกราน และประกอบไปด้วยกำแพงขนาดสูงใหญ่ที่ล้อมรอบทั้ง 8 ทิศของเมือง จึงเป็นเรื่องยากมากๆที่จะบุกทะลวงเมืองแห่งนี้ได้ง่ายๆ และนอกจาก จอมกษัตริย์คริสโตร ก็ยังมี 10 นักรบสวรรค์ คุ้มครองอยู่
- เมือง “บาบิโลน” [Babilone]
เมืองท่าและเมืองท่องเที่ยวแห่ง อาณาจักรรูนมิกัล เป็นเมืองที่เต็มไปด้วยการค้าขาย ไม่ว่าจะเป็น ผลผลิตต่างๆจากเมืองต่างๆ, อาวุธยุปโธปกรต่างๆ, ผู้หญิง [โสเภนี] และอื่นๆอีกมากมาย ซึ่งในแต่ละวันจะมีพ่อค้าแม่ค้ามากหน้าหลายตาจากเมืองและอาณาจักรต่างๆผลัดเปลี่ยนกันมาจับจ่ายซื้อของที่ตัวเองต้องการ และเมืองนี้ยังมีสินค้าที่มีชื่อเสียงอยู่อีกอย่างนั่นคือสินค้าประเภทแร่และอัญมณี ต่างๆ ซึ่งถ้าใครต้องการที่จะครอบครองเหล่าผลึกแร่อันล้ำค่าพวกนี้ละก็ ต้องร่ำรวยเป็นอย่างมากถึงจะหาซื้อมันมาครอบครองได้ และเรายังสามารถพบเห็นพวกชน เผ่าครึ่งสัตว์ อาศัยกันอยู่อย่างมากมายได้ที่นี่
- เมือง “โลฮานน่า” [Lohannar]
เมืองเกษตรกรรมที่ขึ้นชื่อด้านการเพาะปลูกและผลิตภัณท์ทางการเกษตร อาทิเช่น ข้าวโพด, ข้าวสาลี, สมุนไพรต่างๆ, ผลไม้ต่าง ฯลฯ โดยเมืองนี้เปรียบเสมือนกับอู่ข้าวอู่น้ำของชาว รูนมิกัล เลยก็ว่าได้ และชาวเมืองจะมีผิวสีแทนเสียเป็นส่วนใหญ่ โดยจะพบคนผิวขาวยากมากๆสำหรับเมืองนี้ ซึ่งถ้าเมืองนี้มีชื่อเสียงด้านการเพาะปลูกแล้ว จึงไม่แปลกที่จะมีจอมเวทที่เก่งในด้านการปรุงยา หรือ ใช้มนตราสายธรรมชาติอาศัยอยู่ และยังเป็นศูนย์รวมของชาว เอลฟ์, ออร์ค, กอปลิน, ฮอปบิท รวมไปถึง ดวอร์ฟ
- เมือง “มอดอร์” [Mordor]
เป็นเมืองที่ไม่น่าจะเรียกว่าเมืองได้เพราะเป็นเมืองที่เล็ก แถมยังเป็นศูนย์รวมของแหล่งค้ากาม, ยาเสพติด และพวกที่เห็นว่ากฎหมายนั้น ไร้ค่า ฉนั้นผู้คนที่อาศัยอยู่ในเมืองแห่งนี้มักจะเป็นจอมเวทที่ใช้พลังสายมืดหรือไม่ก็ทำงานประเภทผิดกฎหมายเสียเป็นส่วนใหญ่ เช่น นักฆ่ารับจ้าง, ค้าขายจองผิดกฎหมาย เป็นต้น แต่ก็ใช่ว่าชาวเมืองที่อาศัยอยู่นั้นจะไม่ดีไปซะทั้งหมด ยังมีจอมเวทที่ใช้พลังธาตุแสงและธาตุอื่นๆปะปนอยู่ด้วย และยังเป็นสถานที่ตั้งของ โบสถ์เซนต์อุรุกาย ที่มี แม่ชีอิเล็กต้า และ บาทหลวงเซนต์ปีเตอร์ ดูแลอยู่ และยังมีชนเผ่าที่ต้องสาปอย่าง ดาร์คเอลฟ์ อาศัยอยู่ในเมืองแห่งนี้อยู่มากเช่นกัน
- เมือง “แมกก้าโรเซ็มเบรีย” [Megarosembria]
เมืองที่อยู่ทางตอนเหนือสุดของ อาณาจักรรูนมิกัล มีฤดูหนาวตลอดทั้งปีและถูกปกคลุมไปด้วยหิมะสีขาวโพลน และประชากรที่นี่ส่วนใหญ่จะเป็นจอมเวทที่ใช้สายน้ำแข็ง และมักจะเป็น ดาร์คเอลฟ์, ออรค์ และยังมี ดวอรฟ์ ปะปนอยู่บ้างเล็กน้อย แถมยังมีลานสกีซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมจากคนหมู่มากด้วย จึงทำให้เมืองนี้ไม่เคยเงียบเหงาลงเลยแม้แต่น้อย
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7.9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8.4 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8.4 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ