รักวุ่นวายครั้งสุดท้ายของยัยน่ารัก
6.7
1) 1 ฝันร้าย(อีกแล้ว)
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความฉันเป็นกรรมการนักเรียนที่จะต้องมายืนกับอาจารย์เวรแต่เช้าในทุกวันจันทร์ ในมือฉันถือสมุดสำหรับทำบัญชีแข็งสีน้ำเงิน ภายในแน่นขนัดด้วยรายชื่อของนักเรียนตั้งแต่ทำผิดกฏต่างๆรวมถึงมาสาย นาฬิกาข้อมือของฉันกำลังจะบอกเวลาที่ฉันจะต้องออกปฏิบัติหน้าที่จดชื่อคนมาสาย อาจารย์เวรสั่งให้ภารโรงปิดประตูครึ่งหนึ่ง นักเรียนคนสุดท้ายที่วิ่งฉิวเฉียดผ่านหน้าฉันยกมือไหว้อาจารย์พลางทำหน้าตาตื่นตะหนกสุดขีด เป็นโชคดีของคนนั้นที่รอดไปได้
"โห แม่งเอ๊ย"เสียงสบถอารมณ์เสียดังเบาเบา นักเรียนมาสายหลังแปดโมงเช้าคนแรกของวันนี้คือขาประจำ ฉันยิ้มให้น้อยน้อย มันปาดเหงื่อเดินคอตกมาเข้าแถวข้างข้างฉันอย่างรู้หน้าที่ดี
"อีกนิดเดียวเองช่วยกูหน่อยนะ"มันหันหน้ามาส่งสายตาอ้อนวอนให้ฉัน นอกจากจะเป็นขาประจำรายชื่อมาสายแล้ว มันก็ยังเป็นเพื่อนสนิทของฉันอีกซึ่งทุกวันฉันก็ต้องช่วยมันทุกครั้ง และครั้งนี้คงไม่ต่าง
"มึงน่าจะรีบวิ่ง"ฉันยิ้มมุมปาก แกล้งจดรายชื่อใส่กระดาษยิกยิกไปเรื่อยเรื่อย มันยิ้มล้อล้อกับท่าทางเนียนจดชื่อของฉัน
"มึงก็รู้ว่ากูไม่ชอบวิ่ง ไม่ชอบออกแรง ถ้ากูรู้อนาคตว่าจะมาสาย กูก็คงจะวิ่งมาแต่บ้านแล้ว"
"กูรอว่าจะมีอาทิตย์ไหนไหมที่จะเห็นมึงนั่งรอกูอยู่บนห้อง"ฉันมองหน้ามันที่มีรอยยิ้มขี้เล่นปรากฏฉายชัดอยู่ ซึ่งดวงตาชั้นเดียวของมันในแบบคนจีนก็เข้ากับรอยยิ้มนั้นของมัน
"เฮ้อ ขออะไรยากยาก"น้ำเสียงนั้นบ่งบอกชัดว่าปัดคำขอของฉันอย่างไม่ใยดี ซึ่งฉันก็คิดว่ายากพอการสำหรับมัน
ฉันยืนรอมันที่ชานบันได รอให้ภาคตัวปัญหาเข้าห้องก่อนแม้จะเดินมาด้วยกัน ฉันกะให้ดูว่าอย่างน้อยมันก็มาถึงก่อนกรรมการนักเรียน คะแนนจิตพิสัยของอันน้อยนิดของมันอาจเรียกกลับมาได้สักสามสี่จุด ภาคหันมายิ้มให้ฉันอีกครั้งตอนที่กำลังจะเดินเข้าห้อง ลักยิ้มเล็กเล็กที่เป็นเสน่ห์ของมันบุ๋มลงที่แก้ม และฉันก็อดที่จะยิ้มตอบให้มันไม่ได้ ภาคเข้าห้องไป หน้าที่ของฉันคือมองนาฬิกาให้เวลามันผ่านไปหนึ่งนาทีเพื่อที่จะเข้าห้องตามไป
"ขออนุญาติเข้าห้องคะ"ฉันเดินไปที่ประตูขัดจังหวะระหว่างที่อาจารย์กำลังจะเทศนาไอ้ภาคพอดีเป๊ะ เพื่อนในห้องยิ้มอย่างรู้ทันฉัน ฉันว่าอาจารย์ก็รู้เรื่องที่เดินเข้าห้องไม่พร้อมกันแต่เดินมาด้วยกัน อาจารย์พยักหน้า เปลี่ยนใจจากเทศนาไอ้ภาคเป็นเปิดตำราสอน
"ไม่มีมึงกูก็ไม่รู้จะทำยังไง คงโดนกดเกรดไม่เหลือซาก"ภาคพูดไปเปิดหนังสือไป
"มึงเรียนเก่งอยู่แล้วละ"
"พูดเหมือนมึงโง่จังเลย พลีส"ภาคพูดย้อนเอาปากกามาเคาะข้อมือฉันหนึ่งที ฉันกำลังจะเคาะกลับแต่มันเอาแขนยาวยาวกลับไปก่อน
ฉันเก่งกว่ามันเฉพาะในใบเกรดแต่คนที่เก่งจริงจริงคือภาค มันไม่ต้องอ่านหนังสือก็เข้าใจบทเรียน ฟังไปหลับไปก็เก่งได้ ฉันอิจฉามันในความอิจฉานั้นที่จริงก็แฝงด้วยความเป็นห่วงปีหน้าก็ขึ้น ม.ปลาย โรงเรียนที่เรียนนี่ก็มีแค่ ม.ต้น ไปเรียนต่อมันไม่ได้ง่ายเหมือนสอบเอาเกรด ฉันอยากเรียนสายวิทย์-คณิต ภาคมันบอกว่ายังไม่รู้จะเรียนอะไรแต่ถ้าฉันไปที่ไหนมันก็จะไปด้วย มันสัญญาว่าไม่ว่ายังไงมันก็จะไปอยู่กับฉันให้ได้ ครั้งหนึ่งมันเคยพูดว่า
"ต่อให้มึงแต่งงานมีสามี กูก็จะโผล่ไปเป็นแขกบ้านมึงทุกวันเลย"
ฉันไม่รู้ว่าภาคจะรู้ไหมว่าทำให้ฉันรู้สึกมีความสุขขนาดไหนที่ได้ยินคำพูดนี้ของมัน ไม่ใช่ตื้นตันในความรักของเพื่อน แต่รู้สึกดีที่ได้ยินคำพูดของมันที่เหมือนจะบอกว่ามันจะอยู่เคียงข้างฉัน เหมือนที่ฉันก็อยากจะอยู่เคียงข้างมันตลอดไปเหมือนกันไม่ว่าในความหมายนัยไหนที่ภาคต้องการสื่อ แต่ความหมายที่ฉันคิดนั้นไม่อยากให้ใครมาลบล้างมันออกไป
ช่วงเที่ยงฉันเขย่าตัวภาคให้ตื่นไปพักกลางวัน คาบไหนที่อาจารย์ใจดีเป็นต้องหลับทุกที บางทียังนึกเกรงใจอาจารย์แทนมัน อาจารย์ใจดีขนาดไหนก็ไม่น่าจะหลับโจ่งแจ้งน้ำลายไหลยืดขนาดนี้ เฮ้อ
"ขอต่ออีกหน่อยน่า"เสียงงัวเงียของมันทำเอาฉันเซ็งสุดสุด เลยตัดสินใจลากมันมาด้วยแรงทั้งหมดที่มีและการตอบโต้แรงลากของไอ้ภาคคือมันใช้ความได้เปรียบที่มันนั่งอยู่ดึงแขนฉันมาเช็ดน้ำลายแทนผ้าเช็ดหน้าแก้มเนียนชื้นน้ำลายถูกับแขนฉัน ฉันรีบดึงแขนออก อี๋ ขยะแขยง มึงเล่นอะไรเนี่ย
"แหวะ"ฉันถูแขนฉันกับเสื้อมันคืน ไอ้ภาคหัวเราะอารมณ์ดี ตื่นเต็มตาเมื่อได้แกล้งฉัน
"หวงอะไรหนักหนาเพื่อนกันของของมึงก็คือของของกู แขนของมึงก็คือแขนของกูนั่นแหละ"ไอ้ภาคสรุปหน้าด้านด้านมันยิ้มกว้างให้ฉัน รอยยิ้มนั้นอีกแล้วที่ทำให้ฉันต้องสะกดกลั้นความรู้สึกที่กำลังพุ่งขึ้นมาจุกอก ทุกครั้งที่ฉันต้องกลั้นมัน ความรู้สึกนั้นก็จะลงโทษฉัน ด้วยการทำให้ฉันเจ็บที่ใจทุกครั้ง
"เงินมึงก็คือเงินกูอย่างนั้นใช่มะ"ฉันยังถูแขนฉันกับเสื้อนักเรียนที่แขนมันอยู่ มีเพียงเสื้อบางบางที่กั้นผิวขาวขาวนั่นไว้สัมผัสถึงร่างกายที่ผอมร่องแร่งขอมมัน ร่างกายของเด็กที่เล่นแต่เกมของมันน่าจับโยนลงสระว่ายน้ำให้มีกล้ามเนื้อบ้าง ฉันพูดจบได้ไม่นาน ไอ้ภาคก็พูดต่อที่ทำให้ห้องเรียนที่มีแต่เราสองคนอึดอัดขึ้นมาทันใด
"ใจของมึงก็คือใจของกูเหมือนกันใช่ไหม"มันมองตาฉัน ดวงตาสีดำของมันสื่อความหมายบางอย่างเหมือนกับความรู้สึกของฉันที่ต้องซ่อนเร้น เหมือนมันต้องการให้ฉันสื่อออกมา แค่พูดทุกอย่างก็จะกระจ่าง แต่ฉันเลือกที่จะหันมองทางอื่น
"เร็วเร็ว กูหิวข้าว"ฉันเปลี่ยนเรื่องเดินไปรอมันที่ประตูห้อง ไม่รู้ว่าภาคมีหน้าตาแบบไหนแต่ฉันไม่อยากมอง ฉันไม่อยากพูด ฉันไม่อยากทำตัวถลำลึกไปมากกว่านี้ เสียงรองเท้าเดินเข้ามาใกล้ มืออุ่นแตะที่บ่าฉันเบาเบา
"เออ กูรู้ว่ามึงหิว"น้ำเสียงนั้นอ่อนแรงและสะท้อนถึงความน้อยใจ
เหตุการณ์ครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรก และฉันก็ไม่ได้เลี่ยงเป็นครั้งแรกเหมือนกัน ทุกครั้งฉันจะทำเป็นไม่รู้ไม่เข้าใจลืมผ่านไปเหมือนไม่ได้ยิน และทุกครั้งภาคจะเป็นแบบนี้
วันนั้นทั้งวันเราไม่ค่อยได้พูดอะไรเหมือนปกติที่มักจะทำเป็นประจำ ภาคถามคำ ตอบคำ มันไม่ร่าเริงเหมือนปกติฉันรู้สึกผิด แต่ฉันต้องอดทนเอาไว้
เพื่อนาคตของเราทั้งสอง ครอบครัวมันหวังอะไรไว้กับมันสูง เพราะมันเป็นลูกคนสุดท้อง ครอบครัวคนจีนมักจะใส่ใจลูกชายคนสุดท้องเป็นพิเศษ นั่นก็พอพอกับครอบครัวของฉันที่มีเพียงคนเดียว ฉันไม่อยากให้อารมณ์แค่ชั่ววูบ ทำให้เราต้องทิ้งทุกสิ่งทุกอย่าง และเสียทุกอย่าง อีกอย่างหมอนั่นก็มีคู่มั่นแล้วด้วย
จวบจนเวลานี้เลิกเรียน ภาคยังคงซึมและไม่พูด ฉันยอมให้มันโกรธ
"วันนี้มึงซ้อมใช่ไหม"แล้วภาคก็พูดขึ้นมา ฉันเป็นนักกีฬาบาสของโรงเรียนต้องมาซ้อมทุกเย็นจึงต้องอยู่ซ้อมจนถึงทุกหกโมงเย็นยิ่งตอนใกล้ถึงช่วงแข่งยิ่งต้องซ้อมถึงสองทุ่ม
"อืม จะรอกูไหม"ฉันไม่แน่ใจว่ามันจะรอไหม ไม่แน่ใจอะไรเลย
"ถ้ามึงไม่อยากให้กูอยู่กูจะกลับก็ได้ มึงจะได้ไม่เสียสมาธิ”ภาคเก็บกระเป๋า น้ำเสียงมันราบเรียบ ฉันเจ็บที่อกซ้าย
"ไม่ภาค อยู่เป็นเพื่อนกูก่อน แต่บางทีมึงอาจจะ"ก่อนที่ฉันจะพูดจบภาคก็สวนขึ้น
"กูไม่เคยที่จะไม่รอมึง"
ความเคยชินของฉันสร้างเป็นความเคยตัวจากเคยตัวกลายเป็นขาดไม่ได้ ก่อนที่จะไปที่สนามบางทีฉันก็มองไปที่นั่งของภาค รอยยิ้มของภาคคือสิ่งที่สร้างความเคยตัวให้แก่ฉัน เคยชินเสมอที่จะได้รับรอยยิ้มนั้นกลับมา ทำให้ฉันขาดภาคไม่ได้
ฉันพุ่งตัวออกไปที่สนามเหมือนถูกตัดขาดจากโลก มีฉันและสนามและเมื่อเล่นไปเรื่อยเรื่อย สมองก็เริ่มคิด ฉันมีความกลัวอยู่อย่างหนึ่ง ที่ตอนนี้มันทำให้ฉันรู้สึกแย่ ฉันกลัวที่จะสูญเสียรอยยิ้มของภาคไป รอยยิ้มที่ภาคให้ฉันคนเดียวแม้ว่าฉันจะไม่เคยทำอะไรให้ภาคเลยแม้แต่ครั้งเดียว ภาคจะรอได้นานแค่ไหน จะรอจริงจริงหรอ รอคนอย่างฉันที่ไม่คิดจะตอบรับความรู้สึกของภาค คนที่หลีกเลี่ยงความรู้สึกของภาค คนที่ทำให้มันรู้สึกไม่ดีตลอด
ภาคจะรอฉันได้นานแค่ไหน นานพอที่ฉันจะแก้นิสัยเสียนี้ได้ไหม ดูเหมือนเห็นแก่ตัวแต่ฉันคิดว่าอย่างนั้นจริงจริง ฉันกลัวตัวเองเจ็บ เพราะแค่คิดฉันก็รู้สึกว่าทนไม่ได้ซะแล้ว
ผ่านมาเกือบอาทิตย์เหตุการณ์ในวันนั้นเหมือนถูกลบล้างออกไปเหมือนกับครั้งก่อนก่อนที่ผ่านมา ฉันเดินกลับบ้านพร้อมภาค เรารอขึ้นรถเมล์พร้อมกันแต่คนละสาย
“พลีสอาทิตย์หน้าวันเกิดมึง”ภาคเป็นคนเริ่มบทสนทนาอีกเช่นเคย
“กูไม่เคยลืมวันเกิดตัวเองหรอก”ฉันลองกวนประสาทมันดู ไอ้ภาคเบ้ปากเซ็งเซ็ง
“เออ มึงอยากได้อะไร”ภาคมันไม่กวนประสาทฉันกลับนับว่าแปลกปกติมันไม่ยอมแพ้จนกว่าจะหมดเรื่องกวนมันนั่นแหละ มันไม่เคยยอมแพ้หรอก
“ไม่รู้ไม่ต้องให้หรอกเปลืองเงินมึงเปล่าเปล่า”ฉันตอบมัน ภาคให้ฉันมาหมดแล้ว ไม่ว่าจะเป็นนาฬิกา หนังสือ ปากกา แม้แต่ตุ๊กตาที่ตอนนี้ตั้งอยู่ที่หัวเตียงฉัน พลาสติกที่ห่อก็ยังไม่แม้แต่จะเคยแกะ ถึงจะแกะก็จะห่อกลับเหมือนเดิม ยกเว้นนาฬิกาที่ภาคบังคับให้ฉันใส่อยู่นี่เอง ราคาไม่ใช่ถูกถูกเลย อาจจะประมาณสองสามแสนฉันเกือบไม่ยอมรับเพราะมันแพงเกินไป
“งั้นกูพลีกายให้มึงเอาไหม ไม่ต้องใช้เงินซักบาท ฮ่าฮ่าฮ่า”มันพูดไปหัวเราะไป
“เก็บไว้เหอะกูกลัววะ”
“กูถามจริงจริงนะโว๊ยพลีส”ภาคมันทำหน้าจริงจัง ตลกดี
“ไม่มาสายซักวัน พรุ่งนี้กูเป็นเวรสารวัตร มึงช่วยมาเช้าหน่อยแล้วกัน”พอพูดจบ ภาคก็ทำตาโต ดูหน้าขำมากเมื่อเวลาคนตาตี่ทำตาโตใส่
“ได้เลย ขอแค่นี้ กูมาให้ทั้งเดือนเลย”มันยืดอกอวดอวด ฉันยิ้มบางบางกับท่าทางของมัน ฉันอยากมีแค่ช่วงเวลานี้ เวลาที่ฉันไม่ต้องสนใจอะไร ไม่ต้องห่วงอนาคต เวลาที่ฉันได้ยิ้มละหัวเราะกับภาค
แต่ตอนนี้ฉันไม่รู้เลยว่าคำตอบนี้จะทำให้เสียมันไปตลอดกาล
เช้าวันศุกร์ฉันมองนาฬิกาตอนนี้กำลังจะปิดประตูแล้วแต่ฉันยังไม่เห็นภาค ฉันเหลือมองนาฬิกาหน้าปัดสีดำเข็มยาวที่กำลังจะชี้เลขสิบสอง ฉันนึกถึงคนให้ สงสัยจะไม่ได้ซะแล้วละมั้ง ฉันยิ้มกับตัวเองอย่างขบขัน ไอ้คุณชายตื่นสาย
“ปิดประตูเลยค่ะ”ฉันเดินไปบอกภารโรง แกพยักหน้าเข้าใจ เหมือนรู้หน้าที่ดีอยู่แล้ว เสียงฝีเท้าวิ่งเต็มเหยียดของนักเรียนที่มาไม่ทันคุ้นชินสำหรับฉันดี ฉันเดินไปประจำที่ยืนนิ่งนิ่งให้ฉันจดชื่อนามสกุล แต่คนที่ยืนนี้ทำหน้าตาขอความช่วยเหลืออย่างมากมาย อยากช่วยอยู่หรอกนะ แต่หน้าที่ก็คือหน้าที่ คนคนเดียวที่ยอมได้คือภาคเท่านั้น น่าแปลกที่ตอนนี้กลับคิดถึงมันอย่างประหลาด ฉันจดชื่อนักเรียนมาสายเสร็จสรรพ ยืนรอจนเคารพธงชาติ ตอนนี้คนที่มาสายกว่านี้จะต้องเข้าห้องปกครองเพื่อขอใบอนุญาติเข้าห้องเรียนฉันหวังว่าภาคมันจะไปเข้าทางอื่นเพื่อให้ฉันแปลกใจเล่นที่เห็นมันนั่งรออยู่หน้าห้องเรียน ฉันเดินไปเก็บสมุดรายชื่ออยู่ที่กล่องเหลือบมองที่ประตูแม้จะรู้ว่ามันไม่โผล่มา
กริ๊งกริ๊ง
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นที่ห้องปกครอง ฉันไม่ใส่ใจแต่ในระหว่างที่กำลังเดินอยู่นั้นเสียงที่รับโทรศัพท์กลับทำให้ฉันชะงักเท้า
“ภาคภูมิ สุรธนาการค่ะ ค่ะ ทราบค่ะ อยู่ชั้นม.5 ค่ะ จะติดต่อให้ค่ะ ขอบคุณค่ะ”ชื่อของไอ้ภาค ในตอนนั้นใจของฉันตกไปอยู่ที่ใต้เท้า กลัว คล้ายจะหมดแรง เกิดอะไรขึ้นกับไอ้ภาคและไม่ต้องรอนานนัก
“พารินี ภาคภูมิอยู่ห้องเดียวกับเธอใช่ไหม”เสียงนั้นสั่นพร่า ฉันกลัว
“ค่ะ มีอะไรหรอค่ะ”เสียงฉันสั่นฉันรู้มือเย็นเฉียบ
“ภาคภูมิโดนรถชนอาการหนัก”
ตึง มือฉันปัดกล่องใส่สมุดรายชื่อล้ม ขาหมดแรงทรุดลงกับพื้น ดวงตาเบิกโต มือไม้สั่น หัวใจเต้นระรัวแทบจะหลุดออกมา ภาคโดนรถชน ฉันกลัว ฉันอยากไปดูมัน ฉันอยากไป อาจารย์เข้ามาหาฉันถามว่าเป็นอะไรมากไหม ฉันส่ายหน้าเหมือนถูกกระชากเสียงออกไป พูดอะไรไม่ออก ทุกอย่างจุกอยู่ที่อก หัวใจเจ็บแปล๊บ ฉันเสียภาคไปไม่ได้ฉันชินชะแล้วกับการมีภาคอยู่ ฉันมีมันจนชินแล้ว
อาจารย์พาฉันมาด้วย ฉันแทบรีบวิ่งถลาเข้าไปหาภาค วันนี้ฉันรับรู้ถึงความเอื่อยเฉื่อยของขาตัวเอง รับรู้ถึงรสเค็มเค็มของน้ำตาที่ต้องคอยปาดออก ความทรมานที่ต้องอดกลั้น การรอคอยก่อนที่จะมาถึงโรงพยาบาล ฉันกลัวว่าภาคจะไม่รอฉันอีกแล้วและตลอดไป
ก่อนที่ฉันจะได้คิดอะไรมากมาย ฉันก็ถูกพามาที่เตียงของภาคสายมากมายระโยงรยางค์ หัวใจมันเต้นอ่อนมาก ทีตัวมีผ้าพันแผลเต็มไปหมด ใบหน้าถลอกแทบจะดูไม่ได้ ตานั้นปรือแทบปิด สภาพในตอนนั้นทำให้ฉันปล่อยน้ำตาให้ไหลออกมา ช่วยไว้ไม่ได้ คำตอบของฉันดังขึ้นในหัว ฉันมองหมอที่ยืนห่างห่าง ม่านน้ำตาทำให้ภาพพร่ามัวไปหมด ฉันแสบตาไปหมด
“ภาค ทำไมหมอไม่ช่วยต่อละคะ”เสียงฉันสั่นและแหบพร่า คำตอบที่ฉันได้รับนั้น แทบจะไม่ทำให้ความรู้สึกเลวร้ายนี้ รู้สึกในทางบวกขึ้นเลย ภาคถูกรถชนในตอนเจ็ดโมงเช้า ที่สี่แยกทางมาโรงเรียน เวลาที่ภาคในปกติกำลังลุกออกจากเตียงภาคถูกช่วยสุดความสามารถแล้ว ต้องดูต่อไปว่าเขาจะอยู่ด้วยตัวเองได้นานแค่ไหน และที่สำคัญภาคของพูดกับครอบครับ ภาคตื่นตลอดเวลา ตั้งแต่ถูกรถชนจนถึงตอนนี้ ภาคไม่ยอมนอนหลับเพราะกลัวว่าจะไม่ได้ตื่นอีกเลย น้ำตาฉันออกมาเรื่อยเรื่อย ฉันไม่คิดว่าจะมีน้ำตาเยอะขนาดนี้ คำแต่ละคำที่ภาคพูดออกมาต้องใช้ความพยายามมากเท่าไหร่ฉันรู้ ภาคมันเข้มแข็งจริงจริงและตอนนั้นเองที่ฉันถูกเรียกเข้าไปหาภาค ขาฉันแทบไม่มีแรงเดิน ฉันกลัวว่าจะทำให้ภาคทรมาน ทำให้ภาคเจ็บ ฉันไม่อยากให้มันเจ็บ ฉันเป็นห่วง ฉันยอมเจ็บแทน เอาความเจ็บปวดนั้นมา ฉันขอเจ็บแทน เมื่อถึงข้างเตียงฉันปล่อยโฮออกมา ฉันไม่อาย ภาคมันยิ้มให้ฉัน แม้ยิ้มนั้นจะอ่อนแรง ถึงแม้จะมองจากดวงตาที่พร่ามัวของฉันก็ตาม ฉันจับมือมันที่เย็นเฉียบ ลองกดนิ้วมัน มันแดงแต่กลับไม่จางหาย ฉันแทบอยากตะโกน ฉันเกลียดที่ตัวเองเป็นแบบนี้ในตอนนั้นฉันเกลียดความรู้ของตัวเอง ฉันไม่น่าทดสอบ ไม่น่าเลย มันยังยิ้ม
“ระ รอไม่ได้”ฉันพูดอะไรไม่ออกยังคงร้องไห้ต่อไป มันคงหมายถึง มันรอฉันไม่ได้แล้ว
มึงอยู่รอกูไม่ได้แล้ว
“ภาคอย่าทิ้งกู กูขอร้อง กูยอมทุกอย่าง”ฉันโวยวาย ร้องไห้หนักกว่าเดิม ไม่มีอีกแล้ว ชีวิตที่คุ้นชินแต่มันจะไม่มีอีกแล้ว
“ขอ ทะ โทษ”ผมแทบฟังไม่รู้เรื่อง เสียงมันแหบมาก และในตอนนั้นเองที่มันพูดประโยคสุดท้าย
“พลีส”
“พอเถอะ”
“กู ระ รัก มึงมาก”คำนั้นทำให้ฉันหมดแรงไม่มีเหลืออยู่เลย เสียงบอกของเครื่องที่บอกว่าไม่มีอยู่แล้ว ฉันยังไม่ได้บอกมัน บอกมันว่า รักมัน ยังไม่ได้บอก
รักมาก รักมากจริงจริง รักจริงจริง
อยากย้อนเวลา อยากมีปาฏิหาริย์ อยากได้อีกสักวินาที ที่จะได้พูด ให้มันได้ยินว่ารักภาคมากแค่ไหน รักมานานแค่ไหน แต่มันสายไปแล้ว สายเกินกว่าจะเรียกอะไรคืนมาได้ ฉันทำผิดพลาดทั้งหมด ถ้าไม่ขอเรื่องบ้าบ้านั่น ถ้าจะปล่อยให้มันเป็นแบบนั้น ยอมพูดออกไป ยอมรับว่าฉันรักภาคมากแค่ไหน ถ้าตอนนี้ภาคได้ยิน
ฉันรักภาค
เฮือก
“อ๊ะ ฝันอีกแล้ว ทำไม ถึงต้องเกิดเรื่องแบบนี้ด้วยนะ” ขอโทษนะ ภาค
"โห แม่งเอ๊ย"เสียงสบถอารมณ์เสียดังเบาเบา นักเรียนมาสายหลังแปดโมงเช้าคนแรกของวันนี้คือขาประจำ ฉันยิ้มให้น้อยน้อย มันปาดเหงื่อเดินคอตกมาเข้าแถวข้างข้างฉันอย่างรู้หน้าที่ดี
"อีกนิดเดียวเองช่วยกูหน่อยนะ"มันหันหน้ามาส่งสายตาอ้อนวอนให้ฉัน นอกจากจะเป็นขาประจำรายชื่อมาสายแล้ว มันก็ยังเป็นเพื่อนสนิทของฉันอีกซึ่งทุกวันฉันก็ต้องช่วยมันทุกครั้ง และครั้งนี้คงไม่ต่าง
"มึงน่าจะรีบวิ่ง"ฉันยิ้มมุมปาก แกล้งจดรายชื่อใส่กระดาษยิกยิกไปเรื่อยเรื่อย มันยิ้มล้อล้อกับท่าทางเนียนจดชื่อของฉัน
"มึงก็รู้ว่ากูไม่ชอบวิ่ง ไม่ชอบออกแรง ถ้ากูรู้อนาคตว่าจะมาสาย กูก็คงจะวิ่งมาแต่บ้านแล้ว"
"กูรอว่าจะมีอาทิตย์ไหนไหมที่จะเห็นมึงนั่งรอกูอยู่บนห้อง"ฉันมองหน้ามันที่มีรอยยิ้มขี้เล่นปรากฏฉายชัดอยู่ ซึ่งดวงตาชั้นเดียวของมันในแบบคนจีนก็เข้ากับรอยยิ้มนั้นของมัน
"เฮ้อ ขออะไรยากยาก"น้ำเสียงนั้นบ่งบอกชัดว่าปัดคำขอของฉันอย่างไม่ใยดี ซึ่งฉันก็คิดว่ายากพอการสำหรับมัน
ฉันยืนรอมันที่ชานบันได รอให้ภาคตัวปัญหาเข้าห้องก่อนแม้จะเดินมาด้วยกัน ฉันกะให้ดูว่าอย่างน้อยมันก็มาถึงก่อนกรรมการนักเรียน คะแนนจิตพิสัยของอันน้อยนิดของมันอาจเรียกกลับมาได้สักสามสี่จุด ภาคหันมายิ้มให้ฉันอีกครั้งตอนที่กำลังจะเดินเข้าห้อง ลักยิ้มเล็กเล็กที่เป็นเสน่ห์ของมันบุ๋มลงที่แก้ม และฉันก็อดที่จะยิ้มตอบให้มันไม่ได้ ภาคเข้าห้องไป หน้าที่ของฉันคือมองนาฬิกาให้เวลามันผ่านไปหนึ่งนาทีเพื่อที่จะเข้าห้องตามไป
"ขออนุญาติเข้าห้องคะ"ฉันเดินไปที่ประตูขัดจังหวะระหว่างที่อาจารย์กำลังจะเทศนาไอ้ภาคพอดีเป๊ะ เพื่อนในห้องยิ้มอย่างรู้ทันฉัน ฉันว่าอาจารย์ก็รู้เรื่องที่เดินเข้าห้องไม่พร้อมกันแต่เดินมาด้วยกัน อาจารย์พยักหน้า เปลี่ยนใจจากเทศนาไอ้ภาคเป็นเปิดตำราสอน
"ไม่มีมึงกูก็ไม่รู้จะทำยังไง คงโดนกดเกรดไม่เหลือซาก"ภาคพูดไปเปิดหนังสือไป
"มึงเรียนเก่งอยู่แล้วละ"
"พูดเหมือนมึงโง่จังเลย พลีส"ภาคพูดย้อนเอาปากกามาเคาะข้อมือฉันหนึ่งที ฉันกำลังจะเคาะกลับแต่มันเอาแขนยาวยาวกลับไปก่อน
ฉันเก่งกว่ามันเฉพาะในใบเกรดแต่คนที่เก่งจริงจริงคือภาค มันไม่ต้องอ่านหนังสือก็เข้าใจบทเรียน ฟังไปหลับไปก็เก่งได้ ฉันอิจฉามันในความอิจฉานั้นที่จริงก็แฝงด้วยความเป็นห่วงปีหน้าก็ขึ้น ม.ปลาย โรงเรียนที่เรียนนี่ก็มีแค่ ม.ต้น ไปเรียนต่อมันไม่ได้ง่ายเหมือนสอบเอาเกรด ฉันอยากเรียนสายวิทย์-คณิต ภาคมันบอกว่ายังไม่รู้จะเรียนอะไรแต่ถ้าฉันไปที่ไหนมันก็จะไปด้วย มันสัญญาว่าไม่ว่ายังไงมันก็จะไปอยู่กับฉันให้ได้ ครั้งหนึ่งมันเคยพูดว่า
"ต่อให้มึงแต่งงานมีสามี กูก็จะโผล่ไปเป็นแขกบ้านมึงทุกวันเลย"
ฉันไม่รู้ว่าภาคจะรู้ไหมว่าทำให้ฉันรู้สึกมีความสุขขนาดไหนที่ได้ยินคำพูดนี้ของมัน ไม่ใช่ตื้นตันในความรักของเพื่อน แต่รู้สึกดีที่ได้ยินคำพูดของมันที่เหมือนจะบอกว่ามันจะอยู่เคียงข้างฉัน เหมือนที่ฉันก็อยากจะอยู่เคียงข้างมันตลอดไปเหมือนกันไม่ว่าในความหมายนัยไหนที่ภาคต้องการสื่อ แต่ความหมายที่ฉันคิดนั้นไม่อยากให้ใครมาลบล้างมันออกไป
ช่วงเที่ยงฉันเขย่าตัวภาคให้ตื่นไปพักกลางวัน คาบไหนที่อาจารย์ใจดีเป็นต้องหลับทุกที บางทียังนึกเกรงใจอาจารย์แทนมัน อาจารย์ใจดีขนาดไหนก็ไม่น่าจะหลับโจ่งแจ้งน้ำลายไหลยืดขนาดนี้ เฮ้อ
"ขอต่ออีกหน่อยน่า"เสียงงัวเงียของมันทำเอาฉันเซ็งสุดสุด เลยตัดสินใจลากมันมาด้วยแรงทั้งหมดที่มีและการตอบโต้แรงลากของไอ้ภาคคือมันใช้ความได้เปรียบที่มันนั่งอยู่ดึงแขนฉันมาเช็ดน้ำลายแทนผ้าเช็ดหน้าแก้มเนียนชื้นน้ำลายถูกับแขนฉัน ฉันรีบดึงแขนออก อี๋ ขยะแขยง มึงเล่นอะไรเนี่ย
"แหวะ"ฉันถูแขนฉันกับเสื้อมันคืน ไอ้ภาคหัวเราะอารมณ์ดี ตื่นเต็มตาเมื่อได้แกล้งฉัน
"หวงอะไรหนักหนาเพื่อนกันของของมึงก็คือของของกู แขนของมึงก็คือแขนของกูนั่นแหละ"ไอ้ภาคสรุปหน้าด้านด้านมันยิ้มกว้างให้ฉัน รอยยิ้มนั้นอีกแล้วที่ทำให้ฉันต้องสะกดกลั้นความรู้สึกที่กำลังพุ่งขึ้นมาจุกอก ทุกครั้งที่ฉันต้องกลั้นมัน ความรู้สึกนั้นก็จะลงโทษฉัน ด้วยการทำให้ฉันเจ็บที่ใจทุกครั้ง
"เงินมึงก็คือเงินกูอย่างนั้นใช่มะ"ฉันยังถูแขนฉันกับเสื้อนักเรียนที่แขนมันอยู่ มีเพียงเสื้อบางบางที่กั้นผิวขาวขาวนั่นไว้สัมผัสถึงร่างกายที่ผอมร่องแร่งขอมมัน ร่างกายของเด็กที่เล่นแต่เกมของมันน่าจับโยนลงสระว่ายน้ำให้มีกล้ามเนื้อบ้าง ฉันพูดจบได้ไม่นาน ไอ้ภาคก็พูดต่อที่ทำให้ห้องเรียนที่มีแต่เราสองคนอึดอัดขึ้นมาทันใด
"ใจของมึงก็คือใจของกูเหมือนกันใช่ไหม"มันมองตาฉัน ดวงตาสีดำของมันสื่อความหมายบางอย่างเหมือนกับความรู้สึกของฉันที่ต้องซ่อนเร้น เหมือนมันต้องการให้ฉันสื่อออกมา แค่พูดทุกอย่างก็จะกระจ่าง แต่ฉันเลือกที่จะหันมองทางอื่น
"เร็วเร็ว กูหิวข้าว"ฉันเปลี่ยนเรื่องเดินไปรอมันที่ประตูห้อง ไม่รู้ว่าภาคมีหน้าตาแบบไหนแต่ฉันไม่อยากมอง ฉันไม่อยากพูด ฉันไม่อยากทำตัวถลำลึกไปมากกว่านี้ เสียงรองเท้าเดินเข้ามาใกล้ มืออุ่นแตะที่บ่าฉันเบาเบา
"เออ กูรู้ว่ามึงหิว"น้ำเสียงนั้นอ่อนแรงและสะท้อนถึงความน้อยใจ
เหตุการณ์ครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรก และฉันก็ไม่ได้เลี่ยงเป็นครั้งแรกเหมือนกัน ทุกครั้งฉันจะทำเป็นไม่รู้ไม่เข้าใจลืมผ่านไปเหมือนไม่ได้ยิน และทุกครั้งภาคจะเป็นแบบนี้
วันนั้นทั้งวันเราไม่ค่อยได้พูดอะไรเหมือนปกติที่มักจะทำเป็นประจำ ภาคถามคำ ตอบคำ มันไม่ร่าเริงเหมือนปกติฉันรู้สึกผิด แต่ฉันต้องอดทนเอาไว้
เพื่อนาคตของเราทั้งสอง ครอบครัวมันหวังอะไรไว้กับมันสูง เพราะมันเป็นลูกคนสุดท้อง ครอบครัวคนจีนมักจะใส่ใจลูกชายคนสุดท้องเป็นพิเศษ นั่นก็พอพอกับครอบครัวของฉันที่มีเพียงคนเดียว ฉันไม่อยากให้อารมณ์แค่ชั่ววูบ ทำให้เราต้องทิ้งทุกสิ่งทุกอย่าง และเสียทุกอย่าง อีกอย่างหมอนั่นก็มีคู่มั่นแล้วด้วย
จวบจนเวลานี้เลิกเรียน ภาคยังคงซึมและไม่พูด ฉันยอมให้มันโกรธ
"วันนี้มึงซ้อมใช่ไหม"แล้วภาคก็พูดขึ้นมา ฉันเป็นนักกีฬาบาสของโรงเรียนต้องมาซ้อมทุกเย็นจึงต้องอยู่ซ้อมจนถึงทุกหกโมงเย็นยิ่งตอนใกล้ถึงช่วงแข่งยิ่งต้องซ้อมถึงสองทุ่ม
"อืม จะรอกูไหม"ฉันไม่แน่ใจว่ามันจะรอไหม ไม่แน่ใจอะไรเลย
"ถ้ามึงไม่อยากให้กูอยู่กูจะกลับก็ได้ มึงจะได้ไม่เสียสมาธิ”ภาคเก็บกระเป๋า น้ำเสียงมันราบเรียบ ฉันเจ็บที่อกซ้าย
"ไม่ภาค อยู่เป็นเพื่อนกูก่อน แต่บางทีมึงอาจจะ"ก่อนที่ฉันจะพูดจบภาคก็สวนขึ้น
"กูไม่เคยที่จะไม่รอมึง"
ความเคยชินของฉันสร้างเป็นความเคยตัวจากเคยตัวกลายเป็นขาดไม่ได้ ก่อนที่จะไปที่สนามบางทีฉันก็มองไปที่นั่งของภาค รอยยิ้มของภาคคือสิ่งที่สร้างความเคยตัวให้แก่ฉัน เคยชินเสมอที่จะได้รับรอยยิ้มนั้นกลับมา ทำให้ฉันขาดภาคไม่ได้
ฉันพุ่งตัวออกไปที่สนามเหมือนถูกตัดขาดจากโลก มีฉันและสนามและเมื่อเล่นไปเรื่อยเรื่อย สมองก็เริ่มคิด ฉันมีความกลัวอยู่อย่างหนึ่ง ที่ตอนนี้มันทำให้ฉันรู้สึกแย่ ฉันกลัวที่จะสูญเสียรอยยิ้มของภาคไป รอยยิ้มที่ภาคให้ฉันคนเดียวแม้ว่าฉันจะไม่เคยทำอะไรให้ภาคเลยแม้แต่ครั้งเดียว ภาคจะรอได้นานแค่ไหน จะรอจริงจริงหรอ รอคนอย่างฉันที่ไม่คิดจะตอบรับความรู้สึกของภาค คนที่หลีกเลี่ยงความรู้สึกของภาค คนที่ทำให้มันรู้สึกไม่ดีตลอด
ภาคจะรอฉันได้นานแค่ไหน นานพอที่ฉันจะแก้นิสัยเสียนี้ได้ไหม ดูเหมือนเห็นแก่ตัวแต่ฉันคิดว่าอย่างนั้นจริงจริง ฉันกลัวตัวเองเจ็บ เพราะแค่คิดฉันก็รู้สึกว่าทนไม่ได้ซะแล้ว
ผ่านมาเกือบอาทิตย์เหตุการณ์ในวันนั้นเหมือนถูกลบล้างออกไปเหมือนกับครั้งก่อนก่อนที่ผ่านมา ฉันเดินกลับบ้านพร้อมภาค เรารอขึ้นรถเมล์พร้อมกันแต่คนละสาย
“พลีสอาทิตย์หน้าวันเกิดมึง”ภาคเป็นคนเริ่มบทสนทนาอีกเช่นเคย
“กูไม่เคยลืมวันเกิดตัวเองหรอก”ฉันลองกวนประสาทมันดู ไอ้ภาคเบ้ปากเซ็งเซ็ง
“เออ มึงอยากได้อะไร”ภาคมันไม่กวนประสาทฉันกลับนับว่าแปลกปกติมันไม่ยอมแพ้จนกว่าจะหมดเรื่องกวนมันนั่นแหละ มันไม่เคยยอมแพ้หรอก
“ไม่รู้ไม่ต้องให้หรอกเปลืองเงินมึงเปล่าเปล่า”ฉันตอบมัน ภาคให้ฉันมาหมดแล้ว ไม่ว่าจะเป็นนาฬิกา หนังสือ ปากกา แม้แต่ตุ๊กตาที่ตอนนี้ตั้งอยู่ที่หัวเตียงฉัน พลาสติกที่ห่อก็ยังไม่แม้แต่จะเคยแกะ ถึงจะแกะก็จะห่อกลับเหมือนเดิม ยกเว้นนาฬิกาที่ภาคบังคับให้ฉันใส่อยู่นี่เอง ราคาไม่ใช่ถูกถูกเลย อาจจะประมาณสองสามแสนฉันเกือบไม่ยอมรับเพราะมันแพงเกินไป
“งั้นกูพลีกายให้มึงเอาไหม ไม่ต้องใช้เงินซักบาท ฮ่าฮ่าฮ่า”มันพูดไปหัวเราะไป
“เก็บไว้เหอะกูกลัววะ”
“กูถามจริงจริงนะโว๊ยพลีส”ภาคมันทำหน้าจริงจัง ตลกดี
“ไม่มาสายซักวัน พรุ่งนี้กูเป็นเวรสารวัตร มึงช่วยมาเช้าหน่อยแล้วกัน”พอพูดจบ ภาคก็ทำตาโต ดูหน้าขำมากเมื่อเวลาคนตาตี่ทำตาโตใส่
“ได้เลย ขอแค่นี้ กูมาให้ทั้งเดือนเลย”มันยืดอกอวดอวด ฉันยิ้มบางบางกับท่าทางของมัน ฉันอยากมีแค่ช่วงเวลานี้ เวลาที่ฉันไม่ต้องสนใจอะไร ไม่ต้องห่วงอนาคต เวลาที่ฉันได้ยิ้มละหัวเราะกับภาค
แต่ตอนนี้ฉันไม่รู้เลยว่าคำตอบนี้จะทำให้เสียมันไปตลอดกาล
เช้าวันศุกร์ฉันมองนาฬิกาตอนนี้กำลังจะปิดประตูแล้วแต่ฉันยังไม่เห็นภาค ฉันเหลือมองนาฬิกาหน้าปัดสีดำเข็มยาวที่กำลังจะชี้เลขสิบสอง ฉันนึกถึงคนให้ สงสัยจะไม่ได้ซะแล้วละมั้ง ฉันยิ้มกับตัวเองอย่างขบขัน ไอ้คุณชายตื่นสาย
“ปิดประตูเลยค่ะ”ฉันเดินไปบอกภารโรง แกพยักหน้าเข้าใจ เหมือนรู้หน้าที่ดีอยู่แล้ว เสียงฝีเท้าวิ่งเต็มเหยียดของนักเรียนที่มาไม่ทันคุ้นชินสำหรับฉันดี ฉันเดินไปประจำที่ยืนนิ่งนิ่งให้ฉันจดชื่อนามสกุล แต่คนที่ยืนนี้ทำหน้าตาขอความช่วยเหลืออย่างมากมาย อยากช่วยอยู่หรอกนะ แต่หน้าที่ก็คือหน้าที่ คนคนเดียวที่ยอมได้คือภาคเท่านั้น น่าแปลกที่ตอนนี้กลับคิดถึงมันอย่างประหลาด ฉันจดชื่อนักเรียนมาสายเสร็จสรรพ ยืนรอจนเคารพธงชาติ ตอนนี้คนที่มาสายกว่านี้จะต้องเข้าห้องปกครองเพื่อขอใบอนุญาติเข้าห้องเรียนฉันหวังว่าภาคมันจะไปเข้าทางอื่นเพื่อให้ฉันแปลกใจเล่นที่เห็นมันนั่งรออยู่หน้าห้องเรียน ฉันเดินไปเก็บสมุดรายชื่ออยู่ที่กล่องเหลือบมองที่ประตูแม้จะรู้ว่ามันไม่โผล่มา
กริ๊งกริ๊ง
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นที่ห้องปกครอง ฉันไม่ใส่ใจแต่ในระหว่างที่กำลังเดินอยู่นั้นเสียงที่รับโทรศัพท์กลับทำให้ฉันชะงักเท้า
“ภาคภูมิ สุรธนาการค่ะ ค่ะ ทราบค่ะ อยู่ชั้นม.5 ค่ะ จะติดต่อให้ค่ะ ขอบคุณค่ะ”ชื่อของไอ้ภาค ในตอนนั้นใจของฉันตกไปอยู่ที่ใต้เท้า กลัว คล้ายจะหมดแรง เกิดอะไรขึ้นกับไอ้ภาคและไม่ต้องรอนานนัก
“พารินี ภาคภูมิอยู่ห้องเดียวกับเธอใช่ไหม”เสียงนั้นสั่นพร่า ฉันกลัว
“ค่ะ มีอะไรหรอค่ะ”เสียงฉันสั่นฉันรู้มือเย็นเฉียบ
“ภาคภูมิโดนรถชนอาการหนัก”
ตึง มือฉันปัดกล่องใส่สมุดรายชื่อล้ม ขาหมดแรงทรุดลงกับพื้น ดวงตาเบิกโต มือไม้สั่น หัวใจเต้นระรัวแทบจะหลุดออกมา ภาคโดนรถชน ฉันกลัว ฉันอยากไปดูมัน ฉันอยากไป อาจารย์เข้ามาหาฉันถามว่าเป็นอะไรมากไหม ฉันส่ายหน้าเหมือนถูกกระชากเสียงออกไป พูดอะไรไม่ออก ทุกอย่างจุกอยู่ที่อก หัวใจเจ็บแปล๊บ ฉันเสียภาคไปไม่ได้ฉันชินชะแล้วกับการมีภาคอยู่ ฉันมีมันจนชินแล้ว
อาจารย์พาฉันมาด้วย ฉันแทบรีบวิ่งถลาเข้าไปหาภาค วันนี้ฉันรับรู้ถึงความเอื่อยเฉื่อยของขาตัวเอง รับรู้ถึงรสเค็มเค็มของน้ำตาที่ต้องคอยปาดออก ความทรมานที่ต้องอดกลั้น การรอคอยก่อนที่จะมาถึงโรงพยาบาล ฉันกลัวว่าภาคจะไม่รอฉันอีกแล้วและตลอดไป
ก่อนที่ฉันจะได้คิดอะไรมากมาย ฉันก็ถูกพามาที่เตียงของภาคสายมากมายระโยงรยางค์ หัวใจมันเต้นอ่อนมาก ทีตัวมีผ้าพันแผลเต็มไปหมด ใบหน้าถลอกแทบจะดูไม่ได้ ตานั้นปรือแทบปิด สภาพในตอนนั้นทำให้ฉันปล่อยน้ำตาให้ไหลออกมา ช่วยไว้ไม่ได้ คำตอบของฉันดังขึ้นในหัว ฉันมองหมอที่ยืนห่างห่าง ม่านน้ำตาทำให้ภาพพร่ามัวไปหมด ฉันแสบตาไปหมด
“ภาค ทำไมหมอไม่ช่วยต่อละคะ”เสียงฉันสั่นและแหบพร่า คำตอบที่ฉันได้รับนั้น แทบจะไม่ทำให้ความรู้สึกเลวร้ายนี้ รู้สึกในทางบวกขึ้นเลย ภาคถูกรถชนในตอนเจ็ดโมงเช้า ที่สี่แยกทางมาโรงเรียน เวลาที่ภาคในปกติกำลังลุกออกจากเตียงภาคถูกช่วยสุดความสามารถแล้ว ต้องดูต่อไปว่าเขาจะอยู่ด้วยตัวเองได้นานแค่ไหน และที่สำคัญภาคของพูดกับครอบครับ ภาคตื่นตลอดเวลา ตั้งแต่ถูกรถชนจนถึงตอนนี้ ภาคไม่ยอมนอนหลับเพราะกลัวว่าจะไม่ได้ตื่นอีกเลย น้ำตาฉันออกมาเรื่อยเรื่อย ฉันไม่คิดว่าจะมีน้ำตาเยอะขนาดนี้ คำแต่ละคำที่ภาคพูดออกมาต้องใช้ความพยายามมากเท่าไหร่ฉันรู้ ภาคมันเข้มแข็งจริงจริงและตอนนั้นเองที่ฉันถูกเรียกเข้าไปหาภาค ขาฉันแทบไม่มีแรงเดิน ฉันกลัวว่าจะทำให้ภาคทรมาน ทำให้ภาคเจ็บ ฉันไม่อยากให้มันเจ็บ ฉันเป็นห่วง ฉันยอมเจ็บแทน เอาความเจ็บปวดนั้นมา ฉันขอเจ็บแทน เมื่อถึงข้างเตียงฉันปล่อยโฮออกมา ฉันไม่อาย ภาคมันยิ้มให้ฉัน แม้ยิ้มนั้นจะอ่อนแรง ถึงแม้จะมองจากดวงตาที่พร่ามัวของฉันก็ตาม ฉันจับมือมันที่เย็นเฉียบ ลองกดนิ้วมัน มันแดงแต่กลับไม่จางหาย ฉันแทบอยากตะโกน ฉันเกลียดที่ตัวเองเป็นแบบนี้ในตอนนั้นฉันเกลียดความรู้ของตัวเอง ฉันไม่น่าทดสอบ ไม่น่าเลย มันยังยิ้ม
“ระ รอไม่ได้”ฉันพูดอะไรไม่ออกยังคงร้องไห้ต่อไป มันคงหมายถึง มันรอฉันไม่ได้แล้ว
มึงอยู่รอกูไม่ได้แล้ว
“ภาคอย่าทิ้งกู กูขอร้อง กูยอมทุกอย่าง”ฉันโวยวาย ร้องไห้หนักกว่าเดิม ไม่มีอีกแล้ว ชีวิตที่คุ้นชินแต่มันจะไม่มีอีกแล้ว
“ขอ ทะ โทษ”ผมแทบฟังไม่รู้เรื่อง เสียงมันแหบมาก และในตอนนั้นเองที่มันพูดประโยคสุดท้าย
“พลีส”
“พอเถอะ”
“กู ระ รัก มึงมาก”คำนั้นทำให้ฉันหมดแรงไม่มีเหลืออยู่เลย เสียงบอกของเครื่องที่บอกว่าไม่มีอยู่แล้ว ฉันยังไม่ได้บอกมัน บอกมันว่า รักมัน ยังไม่ได้บอก
รักมาก รักมากจริงจริง รักจริงจริง
อยากย้อนเวลา อยากมีปาฏิหาริย์ อยากได้อีกสักวินาที ที่จะได้พูด ให้มันได้ยินว่ารักภาคมากแค่ไหน รักมานานแค่ไหน แต่มันสายไปแล้ว สายเกินกว่าจะเรียกอะไรคืนมาได้ ฉันทำผิดพลาดทั้งหมด ถ้าไม่ขอเรื่องบ้าบ้านั่น ถ้าจะปล่อยให้มันเป็นแบบนั้น ยอมพูดออกไป ยอมรับว่าฉันรักภาคมากแค่ไหน ถ้าตอนนี้ภาคได้ยิน
ฉันรักภาค
เฮือก
“อ๊ะ ฝันอีกแล้ว ทำไม ถึงต้องเกิดเรื่องแบบนี้ด้วยนะ” ขอโทษนะ ภาค
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
6 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7.5 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
6.5 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ