เล่นตามน้ำ...แบบหมาๆ
9.0
1)
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ "เอาเป็นว่า.. ตกลงนะป้า" เสี่ยหนุ่ม หุ่นดี หน้างาม อวบผ่องผิวพรรณสะอาดหมดจด แถม"เงินหนา" พูดพลาง ล้วงปึกเงินสดใบละพันบาทออกมานับจาก"เหน็บเงิน"ที่เป็นเนื้อเงินแท้ๆ เงาวามตามด้วยสายตาของผู้จ้องแทบไม่กระพริบแถมมีตราเล็กๆว่า JP.(ญองปอนด์เกยติเญย์) อันเป็นแนมดังระบือลือโลก .
จากที่เห็น เป็นเงินปึกหนาทีเดียวเชียว แต่ที่นับส่งมาแทบไม่พร่องเลย กับจำนวนที่เหลืออยู่ แล้วเขาก็ซุกปึกหนานั่นไว้ใต้แผงอกที่เป็นเสื้อสูทแบบสากลนิยม มองดูแล้วช่างเป็นที่น่าครั้นคร้ามนัก ยิ่งเปรียบกับ เสื้อเซิ้ตมือสองตัวละ20บาทที่ทิดสาซื้อมาจากตลาดนัดกลางบ้านเมื่อวันก่อนเพื่อสวมใส่เวลาพบเจอ"ท่าน" โดยเฉพาะ. ยิ่งดูห่างไกลกันราวฟ้ากับดิน.
เมื่อก่อนหน้านี้ไม่นานนัก หากจะเอ่ยถึงคำว่า.."นายทุน" และในนามผู้สนับสนุนต่างๆ ท้องที่นี้ก็มีเช่นกันเหมือนตำบลอื่นๆ ... จากคำบอกเล่าของอบต (อดบ่ตาย).... "..นายทุน...มาออกเงินให้ก่อน ใครอยากทำอะไร? อยากปลูกอะไร? ก้อมาบอกท่านได้ ท่านให้เงินมาลงทุนแบบไม่คิดดอกเบี้ยขั้นแรก แต่หากขายพืชผลได้แล้ว ท่านถึงจะกำหนดดอก "
..ซึ่งฟังแล้ว เป็นที่น่าพอใจแก่ทุกฝ่าย..??? .. .".ใครอยากมีกำไรจากการปลูกหว่านดำไถ โดยไม่ต้องรอนาน.. มาลงชื่อเพื่อกู้ยืมได้..."
...แค่คำนี้คำเดียว ทำให้ เหล่าฝูงผึ้งที่ปรารถนาน้ำหวาน....ต่างเร่งรีบมาลงชื่อเพื่อ ให้นายทุนเห็นใจและเพิ่มเงินสนับสนุนในหน้าที่การงานการไร่ของตน
...ก่อนหน้าที่ทิดสาจะมาร่วมวงไพบูรณ์นี้ เมียแกส่งคำสรรเสริญ..เชิงประชดแว่วๆว่า..."ไปเชื่อมัน..พอกู้มาได้ก็ต้องไปเป็นทาสมันอีก ไม่รู้มันจะคิดดอกเท่าไหร่ ไม่บอกก่อน เดี๋ยวพอมันคิดดอกแพงๆ ก็ต้องก้มหน้าใช้มัน".
แต่ทิดสาไม่สนใจ เพราะคิดเสมอว่าตัวเป็นใหญ่ในการงานของบ้าน และในการตัดสินใจ แถมเป็นผู้หาเงินมาจุนเจือครอบครัว ทำให้ความขัดแย้งทุกอย่างเป็นอันตกไป......
เมียอยู่ส่วนเมีย(โว้ย..!)...ทิดสาคิดเช่นนั้น................................
เดือน9แล้ว อันที่จริงต้องเรียกว่าเดือน11ด้วยซ้ำ..ฝนหนีหมด กล้าข้าวในนาแห้งตาย ปุ๋ยที่ซื้อมาแพงๆจากนายทุนในราคาที่"ทุกคน"ในหมู่บ้านคิดเอาเองว่าแสนถูก แต่ช่างไม่ก่อเกิดผลอันใดเลยกับต้นกล้าในนา .. คนในหมู่บ้านเริ่มจับกลุ่มคุยกัน ..ตามกองไฟกองฟืนเพื่อไล่หนาวที่มีมาตามลม เมื่อฝนห่างๆ และบางคราวก็มีลมหนาวตามมาด้วยเม็ดฝนเป็นบางครั้ง พอให้คนเฒ่าคนแก่ได้สุมไฟคุยกันตามประสาชาวไร่ชาวนา..... แล้วในค่ำวันหนึ่งขณะที่ผิงไฟบ้าง เหมือนรวมตัวกันกลายๆ ....ท่านพ่อผู้ใหญ่บ้านก็ได้พูดออกมา......ฟังดูน้ำเสียงแสนน่าอึดอัดใจ ."มันแย่แล้วพวกเรา...คงจะหาเงินไปส่งดอก"ท่าน"ไม่ไหว" ทุกคนต่างนั่งนิ่ง บางคนชันเข่าเอาคางตัวเองค้างเติ่งอยู่อย่างนั้น... บางคนเขี่ยไม้ฟืนให้ไฟลุกแต่สายตาทอดไปไกลไร้จุดหมาย... มีแต่ ไอ้เคน คนหัวดีหน่อยแต่ไม่เป็นกระบวนท่านัก. เอ่ยปากออกมาว่า..."เอ๊า!..ผู้ใหญ่เก๊าะหางานมาลงซี..นี่นะใกล้ออกพรรษาแล้ว พากันหางานมาจัด ขายตั๋ว และช่วยกันรวมเงินไปให้เพิ่นก่อน" ผู้ใหญ่คิดได้ เห็นดีเห็นงาม และเริ่มรวบรวมคนที่ "คิดเหมือนกัน" ประชุมวางแผนงาน การต่างๆ ทั้งตั้งงบจัดหาคณะหมอลำ ...มีแต่คนๆหนึ่งที่เดินเลี่ยงหนีกลับมาบ้านแบบเงียบๆ.......
เมื่อใกล้ถึงบ้านทิดสามองเห็น... แสงไฟจากตะเกียงน้ำมันก๊าด ส่องแสงวอมแวมท่ามกลางความมืดเพียงนิดหน่อย แต่ด้วยความชำนาญในพื้นที่ แกไม่กลัวแล้ว และที่สำคัญ แกอยากขอบใจเมียแกเหลือเกิน ที่ใช้คำพูดบางคำ ช่วยให้แก เกิดความคิด อยากตลบหลังพวกนายทุนหน้าเลือด...
....
... แล้วทิดสาก็จำได้ว่า..ตัวเองได้เขียนคำๆหนึ่งในสัญญาฉบับนั้น ในวันกู้ยืม คนอ่านที่เสี่ยหนุ่มจ้างมาจัดการเอกสารต่างๆ มองหน้าแกนิดหนึ่ง ก่อนจะเก็บเอกสาร ที่ทางเสี่ยก็ไม่รอบครอบนัก
การกู้ยืมในหมู่บ้านเล็กๆ โดยมีแต่ชาวไร่ชาวนาจนๆ ไม่มีความรู้เสี่ยจึงไม่สนใจที่จะดูอะไรมากมาย เพราะความมั่นใจและทนงในอำนาจเงิน. แถมคิดเอาเองว่า พวกนี้มันถือสัญญาที่ปากที่คำพูด ไม่ใช่ตัวหนังสือ!... แกยิ้มละไมทั่วใบหน้า สาวเท้าก้าวฉับๆไปทางบ้านที่เป็นอะไรไม่ต่างจากกระท่อมนัก แกต้องขอบใจเมียแกแล้ว...แกคิดเช่นนั้น ขณะขึ้นบันไดบ้าน
..ก่อนจะเอ่ยปากถามเมียรัก ทิดสากอดเมียที่อ้วนร่างใหญ่ไว้ในวงแขน พลางหอมแก้มเธออย่างรักใคร่ และซาบซึ้ง ก่อนจะเอ่ยปากถามเบาๆ ที่ข้างหูว่า...
.... "แม่มึง...ตอนฉันจะเขียนชื่อลงในใบสัญญา.. มันว่าอะไรนะ?"
"อ้าวพ่อมึงก้อ..แกเขียนว่า"หมา"ไง..ลืมแล้วรึ?..."
"ไม่ลืมหรอก ..แต่หากมีคนมาถามหา"หมา" เราไม่รู้นะ...
แม่ก็เฉยๆไป...ส่วนพ่อ..........
................ก็จะ.บอกมันว่า "หมาเขียนไม่เป็น"....
จากที่เห็น เป็นเงินปึกหนาทีเดียวเชียว แต่ที่นับส่งมาแทบไม่พร่องเลย กับจำนวนที่เหลืออยู่ แล้วเขาก็ซุกปึกหนานั่นไว้ใต้แผงอกที่เป็นเสื้อสูทแบบสากลนิยม มองดูแล้วช่างเป็นที่น่าครั้นคร้ามนัก ยิ่งเปรียบกับ เสื้อเซิ้ตมือสองตัวละ20บาทที่ทิดสาซื้อมาจากตลาดนัดกลางบ้านเมื่อวันก่อนเพื่อสวมใส่เวลาพบเจอ"ท่าน" โดยเฉพาะ. ยิ่งดูห่างไกลกันราวฟ้ากับดิน.
เมื่อก่อนหน้านี้ไม่นานนัก หากจะเอ่ยถึงคำว่า.."นายทุน" และในนามผู้สนับสนุนต่างๆ ท้องที่นี้ก็มีเช่นกันเหมือนตำบลอื่นๆ ... จากคำบอกเล่าของอบต (อดบ่ตาย).... "..นายทุน...มาออกเงินให้ก่อน ใครอยากทำอะไร? อยากปลูกอะไร? ก้อมาบอกท่านได้ ท่านให้เงินมาลงทุนแบบไม่คิดดอกเบี้ยขั้นแรก แต่หากขายพืชผลได้แล้ว ท่านถึงจะกำหนดดอก "
..ซึ่งฟังแล้ว เป็นที่น่าพอใจแก่ทุกฝ่าย..??? .. .".ใครอยากมีกำไรจากการปลูกหว่านดำไถ โดยไม่ต้องรอนาน.. มาลงชื่อเพื่อกู้ยืมได้..."
...แค่คำนี้คำเดียว ทำให้ เหล่าฝูงผึ้งที่ปรารถนาน้ำหวาน....ต่างเร่งรีบมาลงชื่อเพื่อ ให้นายทุนเห็นใจและเพิ่มเงินสนับสนุนในหน้าที่การงานการไร่ของตน
...ก่อนหน้าที่ทิดสาจะมาร่วมวงไพบูรณ์นี้ เมียแกส่งคำสรรเสริญ..เชิงประชดแว่วๆว่า..."ไปเชื่อมัน..พอกู้มาได้ก็ต้องไปเป็นทาสมันอีก ไม่รู้มันจะคิดดอกเท่าไหร่ ไม่บอกก่อน เดี๋ยวพอมันคิดดอกแพงๆ ก็ต้องก้มหน้าใช้มัน".
แต่ทิดสาไม่สนใจ เพราะคิดเสมอว่าตัวเป็นใหญ่ในการงานของบ้าน และในการตัดสินใจ แถมเป็นผู้หาเงินมาจุนเจือครอบครัว ทำให้ความขัดแย้งทุกอย่างเป็นอันตกไป......
เมียอยู่ส่วนเมีย(โว้ย..!)...ทิดสาคิดเช่นนั้น................................
เดือน9แล้ว อันที่จริงต้องเรียกว่าเดือน11ด้วยซ้ำ..ฝนหนีหมด กล้าข้าวในนาแห้งตาย ปุ๋ยที่ซื้อมาแพงๆจากนายทุนในราคาที่"ทุกคน"ในหมู่บ้านคิดเอาเองว่าแสนถูก แต่ช่างไม่ก่อเกิดผลอันใดเลยกับต้นกล้าในนา .. คนในหมู่บ้านเริ่มจับกลุ่มคุยกัน ..ตามกองไฟกองฟืนเพื่อไล่หนาวที่มีมาตามลม เมื่อฝนห่างๆ และบางคราวก็มีลมหนาวตามมาด้วยเม็ดฝนเป็นบางครั้ง พอให้คนเฒ่าคนแก่ได้สุมไฟคุยกันตามประสาชาวไร่ชาวนา..... แล้วในค่ำวันหนึ่งขณะที่ผิงไฟบ้าง เหมือนรวมตัวกันกลายๆ ....ท่านพ่อผู้ใหญ่บ้านก็ได้พูดออกมา......ฟังดูน้ำเสียงแสนน่าอึดอัดใจ ."มันแย่แล้วพวกเรา...คงจะหาเงินไปส่งดอก"ท่าน"ไม่ไหว" ทุกคนต่างนั่งนิ่ง บางคนชันเข่าเอาคางตัวเองค้างเติ่งอยู่อย่างนั้น... บางคนเขี่ยไม้ฟืนให้ไฟลุกแต่สายตาทอดไปไกลไร้จุดหมาย... มีแต่ ไอ้เคน คนหัวดีหน่อยแต่ไม่เป็นกระบวนท่านัก. เอ่ยปากออกมาว่า..."เอ๊า!..ผู้ใหญ่เก๊าะหางานมาลงซี..นี่นะใกล้ออกพรรษาแล้ว พากันหางานมาจัด ขายตั๋ว และช่วยกันรวมเงินไปให้เพิ่นก่อน" ผู้ใหญ่คิดได้ เห็นดีเห็นงาม และเริ่มรวบรวมคนที่ "คิดเหมือนกัน" ประชุมวางแผนงาน การต่างๆ ทั้งตั้งงบจัดหาคณะหมอลำ ...มีแต่คนๆหนึ่งที่เดินเลี่ยงหนีกลับมาบ้านแบบเงียบๆ.......
เมื่อใกล้ถึงบ้านทิดสามองเห็น... แสงไฟจากตะเกียงน้ำมันก๊าด ส่องแสงวอมแวมท่ามกลางความมืดเพียงนิดหน่อย แต่ด้วยความชำนาญในพื้นที่ แกไม่กลัวแล้ว และที่สำคัญ แกอยากขอบใจเมียแกเหลือเกิน ที่ใช้คำพูดบางคำ ช่วยให้แก เกิดความคิด อยากตลบหลังพวกนายทุนหน้าเลือด...
....
... แล้วทิดสาก็จำได้ว่า..ตัวเองได้เขียนคำๆหนึ่งในสัญญาฉบับนั้น ในวันกู้ยืม คนอ่านที่เสี่ยหนุ่มจ้างมาจัดการเอกสารต่างๆ มองหน้าแกนิดหนึ่ง ก่อนจะเก็บเอกสาร ที่ทางเสี่ยก็ไม่รอบครอบนัก
การกู้ยืมในหมู่บ้านเล็กๆ โดยมีแต่ชาวไร่ชาวนาจนๆ ไม่มีความรู้เสี่ยจึงไม่สนใจที่จะดูอะไรมากมาย เพราะความมั่นใจและทนงในอำนาจเงิน. แถมคิดเอาเองว่า พวกนี้มันถือสัญญาที่ปากที่คำพูด ไม่ใช่ตัวหนังสือ!... แกยิ้มละไมทั่วใบหน้า สาวเท้าก้าวฉับๆไปทางบ้านที่เป็นอะไรไม่ต่างจากกระท่อมนัก แกต้องขอบใจเมียแกแล้ว...แกคิดเช่นนั้น ขณะขึ้นบันไดบ้าน
..ก่อนจะเอ่ยปากถามเมียรัก ทิดสากอดเมียที่อ้วนร่างใหญ่ไว้ในวงแขน พลางหอมแก้มเธออย่างรักใคร่ และซาบซึ้ง ก่อนจะเอ่ยปากถามเบาๆ ที่ข้างหูว่า...
.... "แม่มึง...ตอนฉันจะเขียนชื่อลงในใบสัญญา.. มันว่าอะไรนะ?"
"อ้าวพ่อมึงก้อ..แกเขียนว่า"หมา"ไง..ลืมแล้วรึ?..."
"ไม่ลืมหรอก ..แต่หากมีคนมาถามหา"หมา" เราไม่รู้นะ...
แม่ก็เฉยๆไป...ส่วนพ่อ..........
................ก็จะ.บอกมันว่า "หมาเขียนไม่เป็น"....
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ