บทเพลงรักสะกิดใจ นายสุดฮอต!!
8.8
เขียนโดย Namizz
วันที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2553 เวลา 20.37 น.
27 chapter
129 วิจารณ์
42.05K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2558 09.57 น. โดย เจ้าของนิยาย
17) ~ 17 ~
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความร่างบางของเฟิร์นได้ยืนอยู่ในระยะที่ลูกปลาไม่สามารถมองเห็นได้ มันก็ค่อนข้างใกล้จุดนัดพบ แต่ทำไมก็ไม่รู้ เฟิร์นถึงรู้สึกว่ามันห่างไกลเหลือเกิน...
และไม่นานต่อมา ร่างสูงอันคุ้นเคยก็ได้ปรากฏสู่สายตาของเฟิร์น แต่สิ่งที่ทำให้เฟิร์นแปลกใจไปมากกว่านั้น นั่นคือสีหน้าแปลกประหลาดใจของเพื่อนเธอต่างหาก
“อ้าว...พี่เบียร์...เองเหรอคะ ที่เรียกลูกปลามา...แล้ว...พี่มาคนเดียวเหรอคะ” ลูกปลาชะโงกหน้ามองหาใครสักคน
“อะ...อืม...พี่มาคนเดียว คะ...คือ...พี่มีเรื่องสำคัญอยากจะบอกลูกปลาครับ...”
“มีอะไรให้ลูกปลาช่วยหรือเปล่าคะ ถ้าไม่เหลือบ่ากว่าแรงลูกปลาก็
จะ...” พูดยังไม่ทันจบ เบียร์ก็ชิงพูดขัดขึ้นมาก่อน
“พี่รักลูกปลา” เบียร์เว้นวรรคหายใจแล้วพูดต่อว่า
“ลูกปลาทำให้พี่ยิ้มได้เสมอ และก็ทำให้พี่มีความสุขมาก เวลาที่เห็นลูกปลาเล่นไวโอลิน อะไรหลายๆอย่างที่ทำให้พี่กังวลใจหรือไม่สบายใจก็หายไปทันที พี่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นเพราะอะไรแต่พี่ก็ได้แต่หวังว่าลูกปลาจะมีความรู้สึกดีๆให้พี่เหมือนกัน” เบียร์ได้สารภาพความในใจออกไปทั้งหมดด้วยความรู้สึกทั้งโล่งและกังวล ตอนนี้เขาคงได้แต่ลุ้นว่าลูกปลาจะตอบรับหรือปฏิเสธ...
แต่ก็ยังมีอีกคนที่ยังแอบลุ้นไม่แพ้กัน เฟิร์นยกมือปิดปากตัวเอง เพื่อกลั้นเสียงสะอื้นของตน...
ฮือ...ฮึ่ก...ฮึ่ก
‘ทำไมฉันต้องเสียใจด้วยนะ ทั้งๆที่รู้ตั้งแต่แรกว่ามันต้องเป็นแบบนี้ แต่ฉันก็ยังคิดอะไรไม่ออกสิ่งเดียวที่ทำได้ในตอนนี้ก็คือ ทำใจสินะ ทำใจได้อย่างเดียวเท่านั้น!’ ก่อนที่ความคิดของเฟิร์นจะฟุ้งซ่านไปมากกว่านี้เสียงของลูกปลาก็ดังขึ้น หลังจากเงียบมานาน
“ขอโทษนะคะพี่เบียร์ ลูกปลาคงตอบรับความรู้สึกของพี่ไม่ได้...ในสายตาของลูกปลา พี่เบียร์คือพี่ชายของลูกปลาเสมอ ไม่มีอะไรมากกว่านั้น...และอีกอย่าง ลูกปลาก็มีคนที่ลูกปลารักและรักลูกปลา คนๆนั้นตอนแรกลูกปลาคิดว่าเขาเป็นพวกโรคจิตที่ชอบเอาถุงยางอนามัยมาเป่าเป็นรูปโป่งและแอบไปใส่ไว้ในตู้ล็อคเกอร์ แต่พอลูกปลามารู้ความหมายของมันทีหลังและลูกปลาก็แอบมองการกระทำของเขาตลอดเวลา มันทำให้ลูกปลารู้ว่าสิ่งที่เขาทำมาจากใจจริงและความทุ่มเทของเขาทั้งหมด...ลูกปลาไม่รู้ว่าลูกปลารักเขามาตั้งแต่เมื่อไหร่...แต่สิ่งที่ลูกปลาอยากให้เขารู้คือลูกปลารักเขา...รักมาก...ลูกปลารักพี่เต็งหนึ่ง...”
เหมือนโลกหยุดหมุนเมื่อลูกปลาเอ่ยชื่อบุคคลอีกคนที่ยืนอยู่ข้างหลังเบียร์มาโดยตลอด สิ่งที่ลูกปลาพูดมาทุกคำพูดมันเหมือนทำให้เวลาของคนทั้งสามหยุดกะทันหัน เฟิร์นได้แต่เอามือปิดปากตัวเองเพื่อไม่อยากให้ใครได้ยินเสียงร้องของตน แต่สิ่งที่ทำให้เฟิร์นต้องตกใจไปมากกว่านั้นก็คือ การได้เห็นลูกปลาเดินผ่านเบียร์ไปข้างหลังอย่างไม่ใยดีต่อความรู้สึกของเขา และยิ่งกว่านั้นลูกปลาก็เดินเข้าไปควงแขนของเต็งหนึ่งอย่างหน้าตาเฉย ซึ่งเจ้าตัวตอนนี้กำลังช็อคกับสิ่งที่พึ่งได้ยินและยังไม่ทันได้ตั้งตัวกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น...
“เต็งหนึ่ง...งั้นเหรอ...แกทรยศฉัน...ไอ้เพื่อนเลว!” เบียร์หันมาเผชิญหน้ากับคนทั้งคู่ทั้งน้ำตา ก่อนที่จะออกแรงวิ่งจากไปอย่างรวดเร็ว
“เดี๋ยว! เบียร์...มันไม่ใช่อย่างที่แกคิด...” เต็งหนึ่งทำท่าจะวิ่งตามไปแต่ทำได้แค่นั้น เมื่อคนข้างๆดึงแขนเขาไว้
“ช่างเขาเถอะค่ะพี่เต็งหนึ่ง...พอเขาใจเย็น เดี๋ยวก็กลับมาเอง เรามา...” ลูกปลาพูดเพื่อให้อีกฝ่ายเย็นลง แต่ผลที่ได้รับ กลับตรงกันข้าม
“พอเถอะลูกปลา! พี่ไม่มีอะไรจะพูดกับเธอ...ทุกสิ่งทุกอย่างที่พี่ทำและทุกๆอย่างที่เธอเห็น มันเป็นความเข้าใจผิด” เต็งหนึ่งพูด พลางพยายามแกะมือลูกปลาออก
“หมายความว่ายังไงคะ ลูกปลาไม่เข้าใจ” ลูกปลาคาดคั้นต้องการคำตอบ
“ทุกอย่างที่พี่ทำ...พี่แค่ช่วยเพื่อนเท่านั้น เพราะเบียร์มันไม่มีเวลาและก่อนหน้านั้นเบียร์มันก็เป็นคนทำมาโดยตลอด ซึ่งพี่ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ดังนั้นพี่ต้องขอโทษนะลูกปลา ที่พี่ไม่สามารถตอบรับความรู้สึกของลูกปลาได้” พูดได้แค่นั้นเต็งหนึ่งก็จะวิ่งตามเพื่อนออกไป แต่ก็ต้องชะงักเมื่อลูกปลาวิ่งเข้ามากอดทางด้านหลัง
“ไม่จริงใช่ไหมคะ มันไม่จริงใช่ไหม พี่เต็งหนึ่งแค่หลอกลูกปลาเล่นเท่านั้น ลูกปลาไม่เชื่อพี่หรอก ไม่มีทาง!” ลูกปลาใช้สองแขนกอดชายหนุ่มแน่น เพื่อยึดไม่ให้ไปไหน และตอนนี้ลูกปลาก็ไม่ยอมรับความจริงใดๆทั้งสิ้น
เฟิร์นมองทุกการกระทำของลูกปลาไม่ไหว จึงตัดสินใจ เดินออกมาจะที่ที่หลบซ่อน
“ทำไมจะไม่มีทางล่ะลูกปลา...ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นมันเป็นเรื่องจริง ที่พี่เต็งหนึ่งพูดทุกอย่างคือความจริงที่เธอต้องยอมรับ คนที่รักเธอคือพี่เบียร์ ไม่ใช่พี่เต็งหนึ่ง...และที่ฉันรู้ก็เพราะว่าพี่เบียร์เขามาขอให้ฉันช่วยจีบเธอตลอด ไม่ว่าจะเป็นไอเดียที่เป่าถุงยางอนานมัยไปไว้ในล็อคเกอร์ของเธอนั่นก็ใช่ ความคิดฉันเอง...แต่เธอน่ะสิ...ไม่เคยเข้าใจอะไรเลย เธอทำอย่างนั้นกับพี่เบียร์ได้ไง ลูกปลา...เธอทำร้ายความรู้สึกของพี่เบียร์ได้ยังไง...” เฟิร์นต้องยั้งปากก่อนจะพูดว่า ‘ความรู้สึกของฉันด้วย’ เอาไว้ น้ำตาที่ไหลลงมามันไม่ได้ช่วยให้เฟิร์นรู้สึกดีขึ้นเลยสักนิด เฟิร์นตัดสินใจพูดออกไปในที่สุด พอกันที! ทุกสิ่งทุกอย่างมันจบลงแล้ว ความรู้สึกที่อัดอั้นมานาน ที่เธอพยายามรักษามาตลอด ความรู้สึกผิดที่สะสมอยู่ในใจ บัดนี้กลายเป็นธาตุอากาศไปเรียบร้อยแล้ว TOT!
มือที่กอดแน่นตอนนี้ค่อยๆคลายออก กลายเป็นการปลดปล่อยไปในที่สุด ลูกปลาค่อยๆผละออกจากร่างสูงอย่างเลื่อยลอย...น้ำตาที่คิดว่าจะไม่เคยได้เห็นก็ได้เห็นในตอนนี้ น้ำตาที่ไหลออกมาโดยปราศจากเสียงสะอื้นของเจ้าตัว ไม่มีเสียงอะไรที่จะออกมาจากเรียวปากนั้น ไม่มีคำพูดใดๆ...ไม่มี...
เฟิร์นและเต็งหนึ่งมองลูกปลาอย่างกังวลใจเมื่อเห็นสีหน้าของลูกปลา ทั้งสองไม่มีใครพูดอะไรเพราะรู้ว่าพูดไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา มีแต่จะทำให้แย่ลงกว่าเดิม แต่พอเงียบได้สักพักลูกปลาก็ออกเดิน...เดิน...จากตอนแรกเดิน ก็วิ่ง...พอเฟิร์นจะวิ่งตาม ลูกปลาก็หันกลับมายกมือห้ามเพื่อน ...และเจ้าก็วิ่งแยกไปอีกทางทันที
เฟิร์นได้แต่มองการจากไปของเพื่อนอย่างเงียบงัน จนมารู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่เต็งหนึ่ง ยื่นมือมาจับไหล่เพื่อต้องการปลอบคนตรงหน้า
“พี่เชื่อว่า ลูกปลาต้องผ่านเรื่องเลวร้ายนี้ไปได้ แต่เบียร์...พี่ไม่แน่ใจ...เราต้องรีบตามหาเขา ก่อนที่มันจะสายเกินไป” เต็งหนึ่งพูดขึ้นด้วยความกังวลและตอนนี้เฟิร์นก็เป็นเช่นนั้นไม่แพ้กัน
“เฟิร์นว่าพี่เบียร์ยังคงไปไหนได้ไม่ไกล เราแยกกันตามหาเถอะค่ะ...เฟิร์นจะไปดูแถวหลังโรงเรียน พี่เต็งไปดูแถวหน้าโรงเรียนนะคะ ถ้าใครเจอก่อนก็โทรเข้านี่แล้วกัน” เฟิร์นยกโทรศัพท์ของตัวเองขึ้น เต็งหนึ่งจึงพยักหน้ารับ แล้วต่างคนก็ต่างแยกย้ายกันตามหาสิ่งที่สำคัญของแต่ละคนด้วยความหวัง...
เท้าทั้งสองข้างของหญิงสาวได้เดินไปทางฟุตบาทถนนด้านหลังโรงเรียนด้วยความรวดเร็วแต่มันก็ไม่เท่ากับใจที่ร้อนรนของเฟิร์นที่ตั้งหน้าตั้งตาตามหาเบียร์...ผู้ชายที่เธอรัก...ในขณะที่เธอกำลังตามหาอยู่นั้น สายตาก็เหลือบไปเห็นกลุ่มคนมุงดูอะไรบางอย่างและรถตำรวจก็แล่นผ่านร่างของเธอ...ตอนแรกเฟิร์นแทบจะไม่ได้สนใจ เธอจึงเดินผ่านกลุ่มนั้นไป แต่ทว่าชั่ววินาทีที่เธอเบนสายตาไปมองนั้นถึงแม้ระยะทางจะห่างกัน แต่เธอก็จำคนที่นอนอยู่ตรงนั้นได้เป็นอย่างดี เฟิร์นรู้สึกสังหรณ์ใจอย่างประหลาดขาทั้งสองข้างได้เปลี่ยนทิศทางมุ่งเข้าไปและเมื่อภาพที่อยู่ข้างในประจักษ์แก่สายตา หัวใจของเฟิร์นก็แทบหยุดเต้น!
“พี่เบียร์!!!!” เฟิร์นร้องเสียงดังก่อนวิ่งเข้าไปหาเบียร์ ทว่ามีเจ้าหน้าที่ตำรวจกันตัวเอาไว้ พลางซักถามว่าเธอเป็นญาติหรือไม่ เฟิร์นได้แต่ร้องไห้ เธอพยายามสะบัดตัวเพื่อที่จะวิ่งเข้าไปหาร่างของเบียร์แต่ก็เสียแรงเปล่า...
“เฟิร์น! เกิดอะไรขึ้น” เต็งหนึ่งซึ่งเข้ามาทีหลังถามขึ้น แต่เมื่อไม่ได้รับคำตอบจากเฟิร์น ชายหนุ่มจึงหันไปมองเหตุการณ์ตรงหน้า...และเขาแทบจะหยุดหายใจ เต็งหนึ่งมองภาพตรงหน้านิ่งสนิทราวกับหุ่น เขากัดริมฝีปากล่างแน่นเพื่อหวังจะข่มน้ำตาอุ่นๆที่เอ่อท้นขึ้นมาจากนัยน์ตาพร่ามัว...หัวใจของเขากำลังตะโกนกรีดร้อง ดวงตาของเขากำลังรวดร้าว...ร่างสูงเดินไปหาเบียร์ที่อยู่บนแปลคนเจ็บพร้อมกับจับมือที่ชุ่มไปด้วยเลือดของเพื่อนเอาไว้
“เบียร์...ตื่นเถอะ...เมื่อเช้าฉันเพิ่งไปปลุกแกเองนะ แกตื่นสิวะ...”
เมื่อมองเห็นบาดแผลที่ศีรษะและเลือดสีแดงเข้ม เต็งหนึ่งก็เจ็บปวดแทบแหลกสลาย หากเพียงตอนนั้นเขาไม่ตอบตกลงที่จะช่วย หากเพียงแต่เขาปฏิเสธ...เพื่อนของเขาก็คงไม่ต้องมาเจ็บแบบนี้
...เขาเองที่เป็นคนทำร้ายเพื่อนรัก เขาเองที่เป็นต้นเหตุของเรื่องนี้...
ทั้งสองคนนั่งพร้อมกันที่หน้าห้องฉุกเฉิน หนึ่งชายและหนึ่งหญิงเหมือนคนที่สูญเสียวิญญาณของตน เฟิร์นก้มหน้าลงแล้วก็นั่งคิดในสิ่งที่ได้ฟังมาจากตำรวจ
...ในขณะที่รถยนต์วิ่งด้วยความเร็วสูง เขา...ก็เดินข้ามถนนโดยไม่ได้ดูสัญญาณไฟทำให้รถยนต์ต้องหักหลบร่างของเขาที่เดินข้ามถนนอย่างเหม่อลอย...แต่ก็หลบไม่พ้น จนกระทั่งไปชนกับเขา...
และในที่สุดคุณหมอก็เดินออกมาจากห้องฉุกเฉินด้วยความเร่งรีบพร้อมทั้งเตียงที่เข็นร่างของเบียร์ออกมาด้วย
“เพื่อนผมเป็นยังไงบ้างครับหมอ” ทันทีที่เห็นหมอ เต็งหนึ่งก็วิ่งเข้าไปหาทันที
“เรายังให้คำตอบอะไรไม่ได้ครับ ศีรษะของเขาได้รับการกระทบกระเทือนอย่างแรงมีเลือดคลั่งในสมอง เพราะฉะนั้นเราจึงต้องรีบผ่าตัดอย่างเร็วที่สุด!” สิ้นเสียงของหมอ เต็งหนึ่งแทบช็อคกับคำตอบที่ได้ยิน ส่วนเฟิร์นที่ดูเหมือนว่าจะไม่มีสติรับรู้ใดๆ เธอได้แต่มองร่างของคนที่เธอรัก...สายตาของเธอไม่คลาดเคลื่อนไปจากเขาแม้สักวินาทีเดียว
ตลอดเวลาหลายชั่วโมงที่เบียร์อยู่ในห้องผ่าตัด เข็มนาฬิกาที่เคลื่อนไปช้าๆบีบรัดหัวใจของคนสองคนจนมันเจ็บชา จวบจนกระทั่งการผ่าตัดเสร็จสิ้น คุณหมอเจ้าของไข้ได้เดินออกมาพร้อมกับใบหน้าที่ดูกังวล
“เขาพ้นขีดอันตรายแล้วครับ แต่เราคงได้แต่ภาวนาให้เขาฟื้นขึ้นมาโดยเร็ว หมอไม่แน่ใจว่าสมองของเขาจะได้รับการกระทบกระเทือนที่ส่วนไหนบ้าง แต่หมอก็อยากให้พวกคุณทำใจไว้ด้วย บางทีถ้าเขาโชคดีก็จะฟื้นขึ้นมาเป็นปรกติ แต่ถ้าโชคร้ายเขาอาจจะกลายเป็น...เจ้าชายนิทรา”
ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา เต็งหนึ่งก็ไม่ยอมพูดอะไรอีกเลย ไม่มีใครรู้ว่าใจของเขาเจ็บปวดมากมายขนาดไหน และเฟิร์นก็คงไม่ต่างกัน เฟิร์นได้เล่าทุกอย่างให้ลูกปลาได้รับรู้และตั้งแต่ตอนนั้นลูกปลาก็เปลี่ยนเป็นคนละคน จากที่เคยร่าเริง กลับมาเป็นคนนิ่งเงียบ เย็นชา ไม่มีใครคาดเดาได้เลยว่าสายตาคู่นั้นกำลังคิดอะไร...
จากวันกลายเป็นสัปดาห์ และสัปดาห์จวบจนเป็นเดือนแล้ว...เบียร์ก็ไม่มีทีท่าจะฟื้นขึ้นมา คุณหมอย้ายเขาไปยังห้องผู้ป่วยธรรมดาและแจ้งข่าวร้ายที่สุดในวันนั้นว่า ชายกหนุ่มกลายเป็นเจ้าชายนิทราไม่รับรู้สิ่งใดๆอีก...
หลังจากคำพิพากษาที่ทำลายหัวใจให้ย่อยยับไม่มีชิ้นดี เฟิร์น เต็งหนึ่งและลูกปลา ได้เข้าไปเยี่ยมเบียร์ในห้องโรงพยาบาล เฟิร์นเดินไปหยุดอยู่ที่ปลายเตียง ดวงตาหม่นเศร้าว่างเปล่าจ้องมองร่างของชายหนุ่มคนที่เธอรัก...สุดหัวใจ...
“พี่เบียร์อย่าหนีไปไหน...กลับมาเถอะ...กลับมาหาพวกเราได้แล้วนะได้โปรด...กลับมา...” เสียงที่ไม่ดังไปกว่าการกระซิบ เฟิร์นซบใบหน้าลงบนอกของชายหนุ่มราวกับว่าหัวใจของเธอกำลังจะแตกสลาย ลูกปลามองภาพตรงหน้าอย่างนิ่งเงียบ แต่ถ้าสังเกตดีๆจะรู้ว่าดวงตานั้นกำลังร่ำไห้กับเรื่องทั้งหมด หญิงสาวหันไปมองชายหนุ่มอีกคนที่ตอนนี้ นั่งนิ่งราวกับสิ่งที่ไม่มีชีวิต...
‘...เธอผิดเหรอที่ไม่ได้ตอบรับ เธอผิดเหรอที่ทำตามหัวใจของตัวเอง เธอผิดเหรอที่เธอไม่ได้รัก...พี่เบียร์...’ หญิงสาวนั่งคิดคำถามต่างๆนานาถึงเรื่องทั้งหมด สิ่งที่เกิดขึ้น ใช่...เธอเป็นต้นเหตุของเรื่องมากกว่าครึ่ง แต่สิ่งที่เธอเลือกมันก็น่าจะถูกต้องแล้ว...แต่ในตอนนี้อะไรก็ตามที่เธอช่วยได้ เธอก็จะทำให้ถึงที่สุด...ลูกปลาได้แต่สัญญากับตัวเองคนเดียวอย่างเงียบงัน
เต็งหนึ่งคนเดิมที่ร่าเริงรักความสนุกสนานได้จากคนรอบตัวไปแล้วหลงเหลือแต่เพียงร่างกายและชีวิตเท่านั้น จึงส่งผลให้คนรอบตัวทุกคนเป็นห่วงมาก ตั้งแต่วันที่ได้รับข่าวร้าย เต็งหนึ่งก็ไม่ไปเยี่ยม ไม่พูดถึงเรื่องของเบียร์อีก ราวกับจะหนีอะไรบางอย่างและสิ่งหนึ่งที่เปลี่ยนไปนั่นก็คือ เต็งหนึ่งมักเก็บตัวอยู่แต่ในห้องตลอดทั้งวันไม่มีใครรู้ว่าเขากำลังคิดอะไร โดยเฉพาะผู้เป็นแม่เมื่อเห็นลูกชายคนเดียวเป็นแบบนี้ก็ทนไม่ไหว จึงตัดสินใจเดินเข้าไปหาลูกชายในห้อง
“แม่เข้าไปนะ...เต็งหนึ่ง” ผู้เป็นแม่เอ่ยขึ้น แต่กลับไม่ได้เสียงตอบรับจากลูกชาย
“เต็งหนึ่ง...ลูกเลิกทำแบบนี้สักทีเถอะลูก...ลูกก็รู้อยู่แก่ใจดีว่าสิ่งที่ลุกทำ มันไม่ได้ทำให้เบียร์ฟื้นขึ้นมา...” ผู้เป็นแม่เว้นวรรค พลางมองดูสีหน้าของลูก แล้วพูดต่อ
“ทำไมลูกไม่คิดถึงใจเบียร์บ้าง สิ่งที่ลูกควรทำตอนนี้คือการเก็บตัวอยู่ในห้องแบบนี้น่ะเหรอ ลูกแน่ใจแล้วเหรอว่าสิ่งที่ลูกทำ...ถ้าเบียร์เขารู้ เขาจะดีใจ...” ผู้เป็นแม่โอบกอดร่างของลูกชายที่หันมาโอบกอดผู้เป็นแม่อย่างขอที่พึ่ง
“ฟังแม่นะลูก...สิ่งที่ลูกต้องทำ คือการไปเยี่ยมเบียร์เขาบ่อยๆ แล้วก็อยู่ข้างๆเขา ให้กำลังใจเขา ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้รับรู้เลยก็ตาม...ลูกต้องกลับมาเป็นเต็งหนึ่งคนเดิมที่เบียร์รู้จักและลูกต้องสัญญา...ว่าลูกจะต้องทำให้ได้...” ผู้เป็นแม่ดันไหล่ลูกชายให้หันมาสบตา เพื่อสัญญาในสิ่งที่เธอต้องการ
“ครับแม่...ผมสัญญา” สิ้นสุดคำพูดเต็งหนึ่งก็โผเข้าสู่อ้อมกอดของมารดาและหลังจากนั้น เขาก็ทำตามสัญญาที่เขาเคยให้ไว้กับแม่ได้ในเวลาไม่นาน...
“สวัสดีค่ะพี่เบียร์ วันนี้เฟิร์นมีของมาฝากด้วยนะคะ” หญิงสาวในชุดสีฟ้าสดใสในมือถือช่อดอกลิล-ลี่สีขาวช่อใหญ่เอ่ยขึ้นอย่างร่าเริง แต่น้ำเสียงที่ร่าเริงนั้นกลับไม่เข้ากับดวงตาที่หม่นเศร้าของเธอเลย...มือบางแตะลงบนใบหน้าของร่างที่ไม่รับรู้สิ่งใดอย่างแผ่วเบา ก่อนจะกุมมือชายหนุ่มไว้และพูดคุยราวกับเขายังเป็นเหมือนเมื่อก่อน...เฟิร์นพูดคุยกับเบียร์ ตั้งแต่บ่ายสามโมงจนกระทั่งสองทุ่ม เธอมาหาเขาอย่างนี้ทุกวัน โดยที่ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยเลยสักครั้ง...
ความมืดค่อยๆครอบงำท้องฟ้าที่สดใส นาฬิกาข้อมือของเฟิร์นบอกเวลาสองทุ่มครึ่ง...
“พี่เบียร์ เฟิร์นต้องไปแล้ว เอาไว้พรุ่งนี้เฟิร์นจะมาหาใหม่นะและจะเอาดอกลิลลี่มาฝากด้วย” เฟิร์นลุกขึ้นยืนพร้อมกับจรดริมฝีปากบางของเธอลงบนหน้าผาก เธอมองร่างเบียร์อย่างเต็มตา ก่อนจะหันหลังเดินออกจากห้องไป
แต่ทว่าเมื่อเฟิร์นเปิดประตูออก ก็พบกับบุคคลอีกคนตรงหน้า...แววตาของเฟิร์นดูตกใจเล็กน้อย ก่อนที่จะกลับมาเป็นปรกติ หญิงสาวมองการมาของเพื่อนรักอย่างพิจารณาและไปสะดุดกับกล่องไวโอลินที่ลูกปลาถือมา เลยถามขึ้น
“เธอคิดจะทำอะไร...ลูกปลา” หญิงสาวคนถูกถามไม่ตอบ แต่กลับเดินเข้าไปในห้องของคนป่วยอย่างไม่สนใจคนตรงหน้า จากนั้นเธอก็นำสิ่งของที่เธอเอามาออกจากกล่องและเริ่มใช้คันชักบรรเลงเพลงที่แสนไพเราะ
เสียงของไวโอลินยังคงดังอยู่ต่อเนื่อง มีทั้งจังหวะสนุกสนานเหมือนฤดูใบไม้ผลิ และยามโศกเศร้าเหมือนๆฤดูหนาว มันยังคงบรรเลงออกมาด้วยความรู้สึกหลากหลายของผู้เล่นเป็นเวลานาน และในที่สุดเสียงของไวโอลินก็เงียบลง...เฟิร์นยังคงยืนตราตรึงกับบทเพลงที่แสนหวานนั้น จนไม่ทันได้สังเกตว่าลูกปลาได้เก็บไวโอลินลงกล่องเรียบร้อยแล้ว
“ฉันจะมาที่นี่ และทำอย่างนี้ ทุกอาทิตย์... เธอคงไม่ว่าอะไรหรอกนะ...เฟื่องเฟิร์น...” ลูกปลาเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นสีหน้าของเพื่อนผิดปรกติ
“อะ...เอ่อ...หา! เธอมาทำอย่างนี้ทุกอาทิตย์เลยเหรอ” เฟิร์นถามขึ้นอย่างไม่อยากจะเชื่อ เพราะลูกปลาเป็นคนที่มีงานเยอะมาก มากจนบางครั้งไม่มีเวลาอ่านหนังสือสอบเลยทีเดียว
“อืม...ใช่...แต่ถ้าเธอไม่อยากให้ฉันมา ฉันก็จะไม่มาที่นี่อีก” ลูกปลาเตรียมตัวจะเดินออกจากห้อง แต่ต้องชะงักเมื่อเฟิร์นพูดขึ้นว่า
“ขอบใจนะ...” เสียงสั่นๆของเฟิร์น ทำให้ลูกปลารู้ว่าตอนนี้เพื่อนของเธอกำลังร้องไห้...
“ถึงยังไงเรื่องทั้งหมดฉันก็ผิด...และเธอก็ยังเป็นเพื่อนของฉัน...เฟิร์น...ฉันสัญญา...ฉันจะไม่ทำให้ใครต้องมาเจ็บปวดเพราะฉันอีก!” พูดจบหญิงสาวก็เดินออกจากห้องทันที เหลือเพียงคำสัญญาที่ได้พูดไว้กับคนที่เหลือ
“เธอสัญญาแล้วนะ...ลูกปลา” เสียงเบาแทบกระซิบ เอ่ยกับตัวเองเบาๆเพื่อเป็นการย้ำเตือนในสิ่งที่พึ่งได้ยิน...
===============
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8.5 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.6 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8.2 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ