7พี่ร้องแห่งบาป ตอนกบฏสวรรค์ลูซิเฟอร์
9.3
3) Father 2 :จดหมายจากซาตาน
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความคุณธรรมเอ๋ยเจ้าเป็นสีขาวพิสุทธิ์ใช่หรือไม่ บาปมหันต์เอ๋ยเจ้าเป็นสีดำบริสุทธิ์จริงหรือไม่
ศีลธรรมและบาปหนา...เจ้าทั้งสองห่างกันเพียงไหนกัน
เสียงอึกทึกของท่าเรือปลุกให้ลูซิเฟอร์ตื่นขึ้นจากภวังค์ รับรู้ถึงแรงกระแทกของรถม้าที่วิ่งไปบนถนนลูกรังเลียบชายฝั่งทะเล กลิ่นอายของทะเลโชยเข้ามาทางหน้าต่างของห้องพักผู้โดยสารพัดพาเอาเรือนผมสีฟากฟ้ายามราตรีพลิ้วไหวไปตามลม
ทอดสายตามมองออกไปไม่ไกลนักเป็นท่าเรือใหญ่ของแผ่นดินตะวันตก เสียงตะโกนโหวกเหวกดังมาตามสายลมแสดงถึงความมีชีวิตชีวาของท่าเรือแห่งนี้ ลูซิเฟอร์สูดกลิ่นทะเลเข้าปอดลึกๆ มันช่วยผ่อนคลายจิตใจของเขาได้อย่างน่าประหลาด ความเครียดทั้งมวลถูกปล่อยทิ้งไว้ชั่วคราวพลางเหม่อมองท้องทะเลที่ส่องประกายล้อแสงแดดระยิบระยับตรงหน้า
รถม้าค่อยๆชะลอความเร็วลงจนหยุดในที่สุด ลูซิเฟอร์ก้าวขาลงจากรถม้า ฝูงนกนางนวลที่เกาะอยู่ตามซากลัง เสากระโดงเรือโผบินออกเสียงกระพือปีกดังพึบพับก้องไปทั่วท่าเรือกาซิโดเนีย ขนนกสีขาวโปรยปรายร่วงหล่นเป็นสาย ฝูงชนต่างหยุดมือกระทำทุกสิ่งเงยหน้าขึ้นมองภาพอันตระการตาเบื้องหน้า ฝ่ามือขาวซีดแบออกรับขนนกสีขาวเส้นหนึ่ง สัมผัสที่รับรู้ได้นั่งช่างแผ่วเบาและบอบบาง มืออีกข้างละจากสายกระเป๋าสะพายมาโอบประคองขนนกอย่างถะนุถนอม ทันใดนั้นเองมือทั้งสองข้างกลับขยำขนนกเส้นนั้นแน่นจนแหลกเหลวไม่มีชิ้นดี!!
โทสะคุกครุ่นอยู่ภายในใจดุจเปลวเพลิงเผาผลาญสรรพสิ่งให้กลายเป็นเถ้าถ่านไปในชั่วพริบตา แสนจะอิจฉาริษยาเจ้านกน้อย มันสามารถโบยบินอยู่ในฟากฟ้ากว้างอย่างมีความสุขแล้วตัวเขาเล่า...กลับต้องสังเวยวิญญาณให้ความมืด ใช้ชีวิตอย่างหลบๆซ่อนๆ!
“ที่นี่แหละขอรับนายท่านท่าเรือกาซิโดเนีย”คนขับรถม้าร้องบอกเรียกสติที่ล่องลอบให้กลับมา ลูซล้วงมือเข้าไปในถุงเงินตรงเอวซ้ายส่งเหรียญทองให้คนขับรถม้า ดวงตาของชายวัยกลางคนเป็นประกายเมื่อเห็นเหรียญทองและมันยิ่งทอประกายเจิดจ้ายิ่งขึ้นไปอีกเมื่อลูซิเฟอร์โบกมือเป็นเชิงว่าไม่ต้องทอน
“ขอบคุณมากขอรับนายท่าน ขอบคุณ ขอบคุณ”ชายขับรถม้าค้อมหัวปลกๆ แย้มยิ้มจนแก้มปริ ลูซ เบรย์ลินหยิบนาฬิกาพกขึ้นมองดูเข็มนาฬิกาเคลื่อนไหวเวียนวนไปเรื่อยอย่างไม่หยุดยั้ง
กริ๊ก กริ๊ก
เปิดปิดนาฬิกาพกเพื่อช่วยดับความร้อนรุ่มริษยาในดวงใจ กวาดสายตามองไปรอบๆเพื่อหาเรือสักลำโดยสารไปยังดินแดนเป่ยหวางอันห่างไกลราวกับคนละฟากโลก
เขามองซ้ายมองขวาอยู่ครู่หนึ่งพลันเหลือบไปเห็นร้านเหล้าแห่งหนึ่งป้ายหน้าร้านห้อยเอียงกระเท่เร่หมึกสีเงินบนป้ายร้านเลือนรางเต็มทนแต่ยังพอจับใจความได้ว่า ‘คซาเดีย’ ดูจากเสียงเอะอะเอ็ดตะโรที่ดังแหวกอากาศมาเป็นเครื่องยืนยันถึงความนิยมของชาวท่าเรือกาซิโดเนียได้เป็นอย่างดี
ไวเท่าความคิดเท้าทั้งสองข้างพาเขามุ่งหน้าไปยังร้านเหล้าแห่งนั้นในทันที คนทุกคนต่างบอกกันเป็นเสียงเดียวร้านเหล้าคือแหล่งรวมแห่งข่าวสาร หากเขาต้องการหาเรือสักลำเดินทางไปยังแผ่นดินตะวันออกที่ร้านเหล้าแห่งนี้คงจะมีข่าวสารให้เขาบ้างไม่มากก็น้อย
บรรยากาศภายในร้านเหล้านั้นคละคลุ้งไปด้วยกลิ่นสุรายาเมาชวนคลื่นเหียนวิงเวียนศีรษะเป็นอย่างยิ่งไม่ว่าจะทอดสายตามองไปทางไหนก็พบแต่กะลาสีเรือ กัปตันหรือไม่ก็ชาวบ้านละแวกนี้เมามายหัวราน้ำกันตั้งแต่หัววันเลยทีเดียว ลูซ เบรย์ลินเดินผ่านโต๊ะไม้ที่เต็มไปด้วยเหยือกเบียร์มากมายไปโต๊ะแล้วโต๊ะเล่าตรงไปยังบาร์เหล้าของร้าน
“มีอะไรให้ช่วยอย่างนั้นหรือพ่อรูปหล่อ”บริกรสาวสวยแย้มยิ้มหวานกรีดนิ้วทาเล็บสีแดงสดลงบนปกเสื้ออย่างมีจริต ความรู้สึกรังเกียจ ไม่พอใจขุ่นคลั่กอยู่ในอกทว่าเพื่อให้ได้ข้อมูลมาเขาจำเป็นต้องเก็บงำความไม่พอใจนี้เอาไว้บรรจงปั้นแต่งรอยยิ้มงดงามตอบกลับไป
“ข้าต้องการเหล้าสลามาร์คสักแก้วน่ะ” บริกรสาวเลิกคิ้วสูง ส่ายศีรษะไปมาช้าๆจนเรือนผมสีน้ำตาลอ่อนดัดเป็นลอนสยายพลิ้วไปตามการเคลื่อนไหวของนาง เขย่งเท้าหยิบขวดเหล้าสีมรกตผูกด้วยริบบิ้นสีเหลืองหม่นลงมา
“เจ้าไม่ได้ต้องการเหล้าหรอก...ถึงจะอย่างนั้นก็เถอะรสนิยมของเจ้าไม่ดีไม่เบาเลยทีเดียว นานแล้วที่ข้าไม่ได้เปิดเหล้าขวดนี้”กล่าวจบมือหยาบกร้านของนางก็เปิดจุกมะฮ็อกกานีออกกลิ่นเหล้าหอมกำจายไปทั่ว นางค่อยๆบรรจงรินเหล้าสีใสพิสุทธิ์ใส่แก้วคริสตัลทรงสูงแล้วยกมันมาวางตรงหน้าอดีตเทพผู้โอหัง ลูซิเฟอร์ยกมันขึ้นมาจิบเล็กน้อย หลับตาลงนับรู้ถึงความหอมหวานละมุนแต่เมื่อกลืนลงคอไปกลับร้อนแรงเสียจนแสบคอ
“ข้าต้องการทราบว่ามีเรือลำไหนเดินทางไปยังแผ่นดินตะวันออกบ้างหรือไม่”
“นี่สิสิ่งที่เจ้าต้องการ...เจ้าจะเดินทางไปยังดินแดนใดล่ะ”
“แคว้นเป่ยหวาง” เล็บสีแดงเคาะเป็นจังหวะข้าๆราวกับกำลังครุ่นคิดจวบจนเหรียญทองสามเหรียญถูกวางลงตรงหน้าริมฝีปากเคลือบชาดจึงจะแย้มยิ้มออก
“เรือสินค้าของพ่อค้าวาณิชย์นามเมิ่งจงจะออกเดินทางไปยังแคว้นเป่ยหวางในอีก2ราตรี ถ้าอยากโดยสารเรือไปด้วยเจ้าจงเดินทางไปยังทิศใต้จะพบคฤหาสน์สีขาวอยู่หลังหนึ่งเคาะประตูเล็กข้างประตูใหญ่สองครั้งแล้วพูดว่า ‘คิไจ’ จากนั้นบอกความประสงค์แก่บุรุษที่มาเปิดประตูให้เจ้า”
“ขอบคุณสำหรับข่าวสารและความช่วยเหลือ”แก้วคริสตัลถูกยกแล้วดื่มเหล้าสีใสภายในรวดเดียวหมด ความร้อนรุ่มเผาผลาญไล่ตั้งแต่ลำคอถึงช่วงท้องแต่หัวใจตรงอกซ้ายของลูซิเฟอร์นั้นเต้นแรงระรัวจนรุ่มร้อนยิ่งกว่า
อีกไม่นาน...อีกไม่นานข้าจะได้พลังคืนมาแล้วรอข้าเถอะวาโตลา พระเจ้า !!
อดีตหัตถ์ขวาแห่งพระเจ้าเดินออกมาจากร้านเหล้า ลมเย็นจากมหาสมุทรพัดโชยราวกับช่วยปลอบประโลมจิตใจอันรุ่มร้อนให้สงบลง
“เจ้าจะไม่ยุ่งซักเรื่องจะเป็นไรไหมโพไซดอน”พึมพำแผ่วเบากับตัวเองก่อนออกก้าวเดินอีกครั้งมุ่งหน้าสู่ทิศใต้ มองหาคฤหาสน์สีขาวตามคำกล่าวของบาร์เทนเดอร์สาว ไม่นานเขาก็พบ มันเป็นคฤหาสน์หลังใหญ่สีขาวสะอาดตาบริเวณโดยรอบประดับประดาไปด้วยแมกไม้สีเขียวชอุ่มหลากหลายพรรณ ดอกไม้ชูช่อส่งกลิ่นหอมรับแสงตะวันในยามรุ่งอรุณงดงามดุจดั่งสรวงสวรรค์ก็ไม่ปาน ชายผู้สังเวยดวงวิญญาณให้ความมืดยิ้มด้วยความพึงพอใจออกมาคราหนึ่งก่อนเดินตรงไปยังคฤหาสน์หลังนั้น เคาะประตูสองครั้งตามคำบอก
“คิไจ”รอเพียงชั่วอึดใจประตูเหล็กสีขาวก็เปิดออก ชายฉกรรจ์คนหนึ่งเปิดประตูออกมาเขาหรี่ตามองลูซิเฟอร์ เพ่งพินิจชายเบื้องหน้า
“เจ้าเป็นใคร”น้ำเสียงนั้นช่างแข็งกระด้าง ลูซส่งยิ้มอย่างสุภาพไปให้
“นามของข้าคือลูซ เบรย์ลินสตรีในร้านเหล้าสคาเดียบอกให้ข้ามายังที่นี่” ท่าทีของชายผู้นั้นดูอ่อนลงเล็กน้อยแต่ก็ยังแสดงออกถึงความระแวดระวังจนเห็นได้ชัด เขาเปิดประตูออกกว้างพอที่จะให้ลูซิดฟอร์ลอดเข้าไปได้
“ถ้าอย่างนั้นก็เข้ามาก่อน” ลูซยิ้มรับคำเชิญพลางสอดตัวเข้าไปด้านใน เสียงปิดประตูตามหลังดังมาให้ได้ยินเบาๆ
“ตามข้ามา”
ชายแปลกหน้านำลูซิเฟอร์เดินลัดเลาะไปตามสวนจนมาถึงสถานที่ลับตาคน เมื่อเป็นเช่นนั้นบุรุษเจ้าของดาบแห่งความมืดจึงเพิ่มความระมัดระวังตัวถึงแม้เขาจะมั่นใจว่าชายแปลกหน้าไม่สามารถทำอันตรายเขาได้เลยแม้แต่น้อยแต่การมาอยู่ในสถานที่ลับตาคนเช่นนี้ก็ไม่ใช่สิ่งที่น่าไว้วางใจเลยแม้แต่น้อย
“เจ้าต้องการอะไร”
“เรือสิ้นค้าของพ่อค้าวาณิชย์นามเมิ่งจงจะออกเดินทางไปยังแคว้นเป่ยหวางในอีก2ราตรี ถ้าอยากโดยสารเรือไปด้วยเจ้าจงเดินทางไปยังทิศใต้จะพบคฤหาสน์สีขาวอยู่หลังหนึ่งเคาะประตูเล็กข้างประตูใหญ่สองครั้งแล้วพูดว่า ‘คิไจ’ จากนั้นบอกความประสงค์แก่บุรุษที่มาเปิดประตูให้ท่าน”
เสียงของบริกรสาวดังขึ้นอยู่ในหัวคล้ายย้ำเตือนอยู่ในที ลูซิเฟอร์สบสายตาแข็งกร้าวก่อนตอบออกไปตามความจริง
“ข้าต้องการเดินทางไปยังแคว้นเป่ยหวาง”
“อย่างนั้นรึ เจ้ามีเงินทุนอยู่ทำไหร่กันล่ะ”
“ไม่เกินพันเหรียญทอง” ชายแปลกหน้าพยักหน้าครั้งหนึ่ง ลูบคางเหลี่ยมของตนอย่างครุ่นคิด
“ถ้าอย่างนั้นก็ง่ายหน่อยพรุ่งนี้เช้าให้เจ้ามาที่นี่อีกครั้งในตอนแปดโมงเช้าแจ้งกับคนรับใช้สักคนที่เจ้าพบบอกว่าต้องการมาพบเว่ยผิง”
“ไม่ทราบว่าเว่ยผิงคือนามของท่าน...”
“ใช่ เจ้าไม่ต้องถามให้มากความพรุ่งนี้ทำตามที่ข้าบอกเป็นพอ”
“ตกลง”
ลูซิเฟอร์ก็ทำตามที่เว่ยผิงบอก เขาออกจากคฤหาสน์หลังนั้นตามทางที่เข้ามา มองหาโรงแรมสักแห่งเป็นที่พัก รอจนรุ่งเช้าเขาจึงมาที่คฤหาสน์สีขาวอีกครั้งหนึ่ง ในยามเช้าของวันนี้มันเป็นเวลาที่รถม้าสุริยะแห่งอพอลโล่เพิ่งเคลื่อนเข้าสู่ฟากฟ้าได้ไม่นานนัก สาวใช้นางหนึ่งกำลังกวาดใบไม้แห้งอยู่หน้าประตูใหญ่ ไม่รอช้าลูซเดินเข้าไปหาหญิงรับใช่ เอ่ยกับนางด้วยน้ำเสียงสุภาพเฉกเช่นเดียวกันกับที่พูดกับเว่ยผิง
“แม่นาง นามของข้าคือลูซ เบร์ลินข้าเดินทางมายังคฤหาสน์หลังนี้เพื่อพบกับเว่ยผิง” ไม้กวาดที่กำลังกวาดใบไม้แห้งอยู่พลันชะงัก นางหันมามองลูซิเฟอร์เล็กน้อยแล้วย่อกายลงทำความเคารพ
“เชิญท่านตามข้าน้อยมาเจ้าค่ะ ท่านเว่ยผิงและท่านเมิ่งจงกำลังรอท่านอยู่ที่ศาลาบุปผา”
ศาลาบุปผา ชื่อนี้ช่างแปลกหูนักสำหรับลูซิเฟอร์แต่เอาเถอะเมิ่งจงผู้นี้หาใช่แผ่นดินตะวันตกไม่หากเป็นลูกหลานแผ่นดินตะวันออกการเรียกขานนามสถานที่ของชาวตะวันออกและตะวันตกคงจะไม่เหมือนกันอยู่แล้ว อดีตเทพคิดในใจในระหว่างเดินตามสาวใช้เข้าไปในสวนดอกไม้ ดอกไม้หลากชนิดส่งกลิ่นหอมจรุงใจมองไปทางไหนก็เห็นแต่ดอกไม้หลายสีสันละลานตา มองเลยไปเห็นชายสองคนนั่งจิบชาสนทนากัน รอยยิ้มประดับอยู่บนใบหน้าของทั้งสองจางๆ
“นายท่าน ท่านลูซ เบรย์ลินมาแล้วเจ้าค่ะ”
เมิ่งจงเป็นชายหนุ่มอายุประมาณ27ปี รูปร่างหน้าตาหล่อเหลา ท่าทางสง่างาม ดวงตาสีเทาสงบนิ่งดูลึกล้ำเกินหยั่งอีกทั้งยังเฉียบคมสมกับเป็นพ่อค้าที่ประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุยังน้อย เรือนผมสีเขียวมรกตรวบเป็นหางม้าไว้ด้านหลังเหลือบางส่วนทิ้งไว้ข้างแก้มพลิ้วไหวน้อยๆเมื่อลมพัดผ่าน ส่วนเว่ยผิงเป็นชายร่างใหญ่ ท่าทางองอาจเหมือนชายชาตินักรบมากกว่าพ่อค้า ผิวเป็นสีทองแดงคล้ำแดด ดวงตาและผมของเขาเป็นสีน้ำตาลดุจเปลือกไม้
“ท่านคงจะเป็นลูซ เบรย์ลินสินะ เว่ยผิงกล่าวว่าท่านเป็นบุตรชายคนที่สองของท่านโลฟานพ่อค้าทางเหนือของทวีปตะวันตก อีกทั้งยังบอกอีกว่าท่านตั้งใจจะเดินทางไปยังเมืองเป่ยหวางเพื่อซื้อยาและภาชนะเครื่องเคลือบมาขายไม่ทราบว่าข้าพูดได้ถูกหรือไม่ท่านลูซ เบรย์ลิน”เมิ่งจงเอ่ยด้วยเสียงเนิบนาบ มือที่มักจะดีดลูกคิดอยู่บ่อยครั้งยกถ้วยชากระเบื้องเคลือบขึ้นจิบเล็กน้อย เขาอมชารสเลิศไว้ในปากครู่หนึ่งจึงค่อยกลืนลงคอ
ความสงสัยฉายชัดอยู่ในดวงตาสีม่วง เขาหันไปสบตากับเว่ยผิง พ่อค้าพยักศรีษะให้ครั้งหนึ่ง
“ใช่แล้วท่านเมิ่งจง”
“ถ้าเป็นเช่นนั้นข้าขอเรียนถามท่านสักเรื่องจะได้หรือไม่”
“เชิญท่านกล่าวมา”
“ไม่ทราบก้อนหินกับขนนกสิ่งไหนหนักกว่ากัน”
“ย่อมเป็นก้อนหิน”
เมิ่งจงเลิกคิ้วโก่งเรียวขึ้น เขาวางถ้วยชาลงบนโต๊ะ ประสานมืออยู่เหนือตัก
“ท่านไม่คิดบ้างรึว่ามันจะเป็นปัญหาเชาว์”
“ท่านเป็นพ่อค้า...ท่านเมิ่งจง พ่อค้าจะต้องการปัญหาเชาว์ไปทำไมในเมื่อมันทำเงินไม่ได้”
เมิ่งจงยิ้มออกมาเล็กน้อย พ่อค้าแห่งเป่ยหวางลุกขึ้นจากเก้าอี้ผายมือออกทั้งสองข้าง
“ยินดีต้อนรับท่านลูซ เบรย์ลินเรือสินค้าของข้าจะออกเดินทางในยามพระอาทิตย์ขึ้นของวันพรุ่งนี้
ระหว่างนี้ขอเชิญท่านพักผ่อนอยู่ในคฤหาสน์ซ่อนเมฆา”
ลูซิเฟอร์ทิ้งกายลงนอนบนเตียงขนาดใหญ่หนานุ่มภายในห้องพักของเขาภายในคฤหาสน์ซ่อนเมฆา เขาอ้างกับเมิ่งจงว่าอยากพักผ่อนแต่ความจริงแล้วลูซไม่ค่อยอยากสนทนากับพ่อค้าตะวันออกคนนี้นัก ดวงตาของอีกฝ่ายนั้นราวกับจ้องทะลุร่างของเขา ล่วงรู้ถึงความคิดภายในใจของเขาไปเสียทุกอย่างมันทำให้ลูซิเฟอร์หวนนึกถึงชายที่เขาเกลียดแสนเกลียด...พระเจ้า
ห่างจากตัวลูซิเฟอร์ไปไม่ไกลนักเหนือพรมสีเขียวสด ไอมืดค่อยๆลอยขึ้นมาจากพื้นช้าๆ รวมตัวกันหนาแน่นขึ้นเรื่อยๆจวบจนกลายเป็นร่างของสตรีนางหนึ่งในชุดกิโมโนสีแดงสดปักลายผีเสื้อสีดำ ด้านในเป็นเดรสเกาะอกสีดำรัดรูป ผูกด้วยโอบิสีเหลืองสดผืนใหญ่ เหนือเนินอกขาวผ่องเป็นจี้รูปประจันทร์เสี้ยวสีแดง ผมสีดำของนางยาวจรดพื้นด้านหน้าตัดเป็นหน้าม้าอย่างบรรจงเท่ากันทุกเส้น ดวงตาสีแดงดุจเลือด ใบหน้างดงามเย้ายวน นางประสานมืออยู่เหนืออก ย่อกายลงอย่างอ่อนช้อย ศรีษะของนางจรดลงบนนิ้วเรียวยาวทั้งสิบ
“คารวะท่านลูซิเฟอร์ ข้าน้อยเซลินีปิศาจจันทราเจ้าค่ะ”น้ำเสียงของนางไพเราะดุจเครื่องดนตรีชวนให้ลุ่มหลง
“ปิศาจจันทราแต่ใช้นามเดียวกับอดีตเทพีแห่งจันทราอย่างนั้นรึ”ลูซิเฟอร์ส่งเสียงหัวเราะในลำคอ เขายันกายขึ้นอยู่ในท่ากึ่งนั่งกึ่งนอน เอียงคอพิจารณามองเซลินี
“แล้วเจ้ามีธุระอะไรกับข้าล่ะปิศาจจันทราเซลินี”
“เรียนนายท่าน ข้าได้รับการมอบหมายจากฝ่าบาทให้มาปรนนิบัติรับใช้ท่าน”
“ฝ่าบาท? ฝ่าบาทของเจ้าเป็นใครกัน”
“ฝ่าบาททรงมีพระนามว่า ‘ซาตาน’ เจ้าค่ะ พระองค์ทรงเป็นนายเหนือแห่งปิศาจทั้งมวลก่อนที่ข้าน้อยจะมาฝ่าบาทมีจดหมายมาถึงนายท่านเจ้าค่ะ”นางกล่าวพร้อมหยิบซองจดหมายสีดำประทับครั่งสีแดงสดเป็นรูปหมีท่าทางดุร้าย เซลินีส่งจดหมายให้ลูซิเฟอร์ด้วยท่าทางนอบน้อม ลูซิเฟอร์รับจดหมายมาแกะออกอ่าน
หากเจ้าได้เปิดจดหมายนี้ออกอ่านเจ้าก็คงจะเป็นลูซิเฟอร์อดีตอัครสาวกของพระเจ้า ข้าคือซาตานจ้าวแห่งปิศาจทั้งมวล ตัวแทนแห่งโทสะ ข้ารู้เรื่องของเจ้าทั้งหมดแล้วทั้งเรื่องที่เจ้าถูกขับไล่ลงจากสวรรค์ ตอบรับดาบแห่งราตรีและเจ้ากำลังจะเดินทางไปยังเป่ยหวาง ลูซิเฟอร์เอ๋ยข้ามีเรื่องที่จะต้องบอกเจ้ามันเป็นความจริงที่ไม่อาจปฏิเสธ ข้ากับเจ้าเป็นพี่น้องกัน พี่น้องในความหมายของข้าไม่ใช่พี่น้องร่วมสายเลือดหากแต่เป็นพี่น้องร่วมทาง เรื่องราวของข้ากับเจ้าและพี่น้องอีกห้าคนถูกบันทึกไว้ในตำราแห่งความมืดที่ใต้สุดของผืนพิภพแม้พระเจ้าก็ไม่อาจเปิดออกอ่านได้ ใช่ว่าข้าจะชอบใจในตัวเจ้าหรอกนะลูซิเฟอร์แต่ทั้งเจ้าและข้าเป็นปิศาจที่เกิดจากบาปทั้ง7 ขอเจ้าจงรู้ไว้นับแต่บัดนี้เจ้าไม่ใช่คนของสวรรค์อีกแล้วแต่เจ้าเป็นหนึ่งในตัวแทนบาปมหันต์ทั้งเจ็ด บาปที่ไม่อาจอภัยให้ได้มากที่สุด เจ้าคืออัตตาลูซิเฟอร์ ความยโสโอหังของเจ้าที่ต่อต้านพระเจ้าในวันพิพากษาทำให้เจ้าถูกเลือก เจ้าไม่อาจปฏิเสธลูซิเฟอร์เพราะเจ้าคือหนึ่งในปิศาจตัวแทนแห่งบาปทั้ง7...
ไม่ว่าเจ้าจะทำอะไรจงจำไว้นับแต่บัดนี้เจ้าคือศัตรูของพระเจ้า
Stan The king of felon.
“หึ..ฮะๆ...ฮะๆ...ฮ่าๆ”ร่างของลูซิเฟอร์สั้นเทิ้มอย่างรุนแรง เขาหัวเราะจนตัวโยนฝ่ามือขาวซีดกำจนกระดาษสีดำแผ่นนั้นยับยู่ยี่ เสียงหัวเราะดังก้องไปทั่วคฤหาสน์ซ่อนเมฆาหลายคนพยายามจับทิศทางที่มาของเสียงแต่สุดท้ายแล้วก็ไม่มีใครสามารถรู้ได้ว่ามันมาจากที่ไหน
ปิศาจจันทรายืนมองเจ้านายของนางด้วยความสงบ นางรับรู้ได้โดยสัญชาติญาณผู้ที่องค์เหนือหัวให้ความสนใจย่อมไม่ใช่พวกเศษขยะไร้ค่าแน่นอน
“ซาตานอย่างนั้นรึ น่าสนใจนี่! เซลินีข้าอยากถามเจ้าเรื่องในวันนี้มีเทพเจ้าองค์ใดรู้หรือไม่”
“ไม่เจ้าค่ะนายท่าน บาครัส ปิศาจสายลมได้ปิดกั้นเรื่องนี้จากการรับรู้ของเทพเจ้าทั้งมวลแล้วเจ้าค่ะ”
“ดี! เจ้านำความไปบอกซาตานซะเซลินี นับจากนี้ไป ข้าลูซิเฟอร์จะเป็นตัวแทนแห่งอัตตา!”
เสียงประกาศก้องดังอยู่ภายในคฤหาสน์แห่งหนึ่งในเขตท่าเรือกาซิโดเนีย การประกาศตนที่ไร้การโห่ร้องเฉลิมฉลองของเผ่าปิศาจ หรือการซึมเศร้าของเทพเจ้าที่สูญเสียสหายไปแต่มันกลับเป็นการประกาศตนที่กลายเป็นอาวุธร้ายกาจในการฆ่าฟันเหล่าทวยเทพมากที่สุด!
“เจ้าค่ะ นายท่านทุกอย่างตามแต่ท่านจะบัญชา”
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8.8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.2 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ