ขวัญใจ
9.7
เขียนโดย Mawmeaw
วันที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2553 เวลา 00.24 น.
15 ตอน
37 วิจารณ์
40.97K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 12 เมษายน พ.ศ. 2562 13.30 น. โดย เจ้าของนิยาย
1) วีรกรรมเริ่มต้น
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ “ปีใหม่นี้ยากบ่ลูก เมือบ้านเฮา มาหาแม่กับบักเหมียวแหน่เด้อหล่า เดี๋ยวแม่สิเฮ็ดข้าวปุ้นไว้ถ่า (ปีใหม่นี้ยุ่งมั้ยลูก กลับมาบ้านเรา มาหาแม่กับไอ้เหมียวบ้างนะลูก เดี๋ยวแม่จะทำขนมจีนไว้รอ)”
“เดี๋ยวเบิ่งก่อนเด้อแม่ ตอนนี้เบิ่งซงสิเวียกหลายอีหลี (เดี๋ยวขอดูก่อนนะแม่ ตอนนี้ดูเหมือนว่าจะยุ่งมากจริงๆ)”
ขวัญใจไม่ได้กลับบ้านเกิดเมืองนอนที่อีสานนานเท่าไหร่แล้วนะ ไม่รู้เป็นรอบที่เท่าไหร่แล้วที่แม่ของเธอมักจะได้รับคำตอบในทำนองนี้จากเธออยู่เสมอ
ขวัญใจเข้ามาเรียนที่กรุงเทพฯเป็นเวลาสองปีแล้ว จากเด็กนอก(นอกเขตเทศบาล)แถบทางภาคอีสาน
ปัจจุบันเธอกลายมาเป็นนักศึกษาชั้นปีที่ 2 คณะอักษรศาสตร์ ของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ
ในวันหยุดที่เธอว่างจากการเรียนที่มหาวิทยาลัย เธอมักจะออกมาเดินเล่นและถือโอกาสโทรศัพท์หาผู้เป็นแม่เสมอ
ซึ่งเธอก็มักจะใช้ภาษาถิ่น(อีสาน)ตามความเคยชินในการพูดคุยกับแม่ โดยที่เธอไม่ได้รู้สึกอับอายกับภาษาถิ่นกำเนิดของเธอเลยแม้แต่น้อย
หลังจากเธอวางหูแล้ว หันไปมองรอบๆ คนที่ยืนอยู่ใกล้ๆกับที่เธอนั่งอยู่ พร้อมใจกันหันมามองที่เธอกันเป็นตาเดียว
ขวัญใจเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย พร้อมกับนึกในใจ
“คนพวกนี้มองอะไรกัน ไม่เคยเห็นคนน่ารักหรืองัยนะ”
จู่ๆเด็กชายตัวเล็กคนหนึ่งก็เดินเข้ามายังที่ที่ขวัญใจนั่งอยู่ ก่อนจะพูดขึ้นว่า
“พี่ครับๆ ม้านั่งที่พี่นั่งอยู่ เพิ่งทาสีใหม่เมื่อเช้านี้เอง สีมันยังไม่แห้งเลยครับ”
หญิงสาวรีบกระโดดเด้งตัวขึ้นจากม้านั่งแทบจะทันที
หลายๆคนที่กำลังยืนอยู่แถวๆนั้นแอบปิดปากกั้นหัวเราะกันแทบไม่อยู่ บางคนก็หันหน้าไปซุบซิบนินทากันอย่างมันปาก
“ถึงว่าสิ ทำไมวันนี้ทุกคนมีน้ำใจกันจัง ไม่มีใครกล้ามาแย่งที่นั่งกับเราเลยแฮะ”
จากนั้นไม่รอช้า หญิงสาวรีบวิ่งเร็วจี๋ไปเข้าห้องน้ำเพื่อล้างคราบสีเขียวจากม้านั่งออกจากกางเกงยีนส์ตัวโปรดของเธอในทันที
ขณะที่กำลังตั้งหน้าตั้งตาขัดคราบสีออกจากกางเกงอยู่นั้น ใครคนหนึ่งก็มาสะกิดด้านหลัง
“คุณครับๆ คุณเข้ามาผิดที่หรือเปล่าครับ ลองเดินออกไปอ่านป้ายดูอีกทีนะครับ”
ขวัญใจมีสีหน้างุนงงเล็กน้อย ขณะนั้นมีชายอีกคนเดินเข้ามาภายในห้องน้ำท่าทางรีบร้อน เมื่อเขาเห็นขวัญใจก็มีสีหน้าตกอกตกใจอย่างเห็นได้ชัด
ขวัญใจรู้สึกเอะใจ เธอเดินออกมาอ่านป้ายหน้าห้องน้ำ มันเขียนกำกับไว้เป็นภาษาอังกฤษตัวโตๆ "MEN"
เมื่อขวัญใจเห็นแล้วถึงกับทำตาโตและเผ่นแน่บออกมาแทบไม่ทัน
เธอออกมายืนหอบเหนื่อยอยู่ใต้ต้นไม้ต้นหนึ่งใกล้ๆกันนั้น พร้อมกับบ่นกระปอดกระแปดว่า
“แหม วันนี้เป็นวันอะไรกันแน่นะ ทำไมฉันถึงเจอแจ๊กพ็อต 2 ต่อ เจอโชค 2 ชั้น ติดๆกันอย่างนี้เนี่ย”
ขณะนั้นมีรถเร่ขายผลไม้วิ่งผ่านมาพอดี
“ผลไม้สดๆ ผลไม้ดอง ผลไม้แช่อิ่มก็มีนะครับ รับอะไรดีครับ (เอาอะไรมั้ยนังหนู)”
ประโยคสุดท้าย ลุงคนขายผลไม้หันหน้ามาถามขวัญใจ
“ขอมะม่วงเปรี้ยวๆลูกหนึ่งค่ะคุณลุง”
ลุงคนขายผลไม้จัดการอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนส่งถุงมะม่วงที่สับเป็นชิ้นๆพอดีคำให้ขวัญใจ
ก่อนที่จะเอ่ยขึ้น เหมือนเพิ่งจะนึกอะไรออกเมื่อมองหน้าขวัญใจชัดๆ
“เอ๋า ว่าแม่นผู้ได๋ ที่แท้ก็นังขวัญ ลูกสาวแม่ใหญ่ตาตั้วนี่ เป็นจั่งได๋ล่ะอีหล่า ตั้งแต่มาเรียนนี่ ได้เมือบ้านดู่บ่ล่ะลูก(อ้าว นึกว่าใครที่แท้ก็ขวัญใจ ลูกสาวแม่ตานี่เอง เป็นอย่างไรบ้างล่ะ ตั้งแต่มาเรียนที่นี่ ได้กลับบ้านบ่อยมั้ยลูก)”
“เอ๋า ลุงจ่อยตั้วนี่แหม ลุงมาขายผลไม้อยู่พี้ ขายดีบ่ลุง (อ้าวลุงจ่อยเองเหรอคะ ลุงมาขายผลไม้อยู่ที่นี่ ขายดีมั้ยคะลุง)”
“ก็พอได้อยู่ได้กินล่ะหล่าเอ๊ย คนมันขายหลาย ลุงเฮ็ดไปซำพางพอได้ยาไส้ลุงกับป้าเมี้ยนนี่ล่ะ(ก็พอขายได้บ้าง คนอื่นเขาก็ขายกันเยอะแยะ ลุงก็ทำพอหากินเลี้ยงปากเลี้ยงท้องลุงกับป้าเมี้ยนได้เท่านั้นเองแหละ)”
บทสนทนาต้องสะดุดลง เมื่อเด็กผู้ชายตัวเล็กคนเดิมเดินมาขอซื้อแตงโมกับลุงจ่อย ขวัญใจจึงถือโอกาสขอปลีกตัวออกมาทันที
หญิงสาวเดินออกมาตามทางเท้าเรื่อยๆ ในใจก็ครุ่นคิดไปต่างๆนานา
“ป่านนี้แม่จะเป็นอย่างไรบ้างหนอ แล้วยังจะไอ้เหมียวอีก ทุกคนคงกำลังคิดถึงเราน่าดูเลย ทำไงดีนะ”
เสียงบีบแตรรถดังลั่นไปทั่วท้องถนน เมื่อสัญญาณไฟจราจรเปลี่ยนเป็นไฟเขียว
ขณะที่ตอนนี้หญิงสาวได้เดินมาจนถึงกลางถนนแล้ว
ขวัญใจรีบก้มหัวเป็นเชิงขอโทษเจ้าของรถหลายคันที่ต้องเบรกรถจนตัวโก่งอย่างกะทันหัน
ซึ่งทุกคนพร้อมใจกันทำสีหน้าบึ้งตึง หงุดหงิด ไม่พอใจ กันถ้วนหน้า
ขวัญใจรีบวิ่งข้ามถนนไปฝั่งตรงข้ามอย่างรวดเร็ว เธอยังรู้สึกอกสั่นขวัญแขวนจากเหตุการณ์เมื่อครู่ไม่หายด้วยความกลัวว่าเธอเกือบจะถูกรถทับบี้แบนไปโดยไม่รู้ตัวซะแล้ว
หญิงสาวเดินมาตามทางเท้าเรื่อยๆ ก่อนจะไปหยุดยืนรออยู่ที่ป้ายรถเมล์สักครู่ เมื่อรถมาถึง หญิงสาวก็ก้าวขึ้นไปนั่งบนรถทันที
วันนี้เธอเหนื่อยเหลือเกินกับการออกมาเดินเที่ยวในวันหยุดอย่างนี้ นี่เป็นเพราะเธอไม่เชื่อคำโบราณที่ว่า
วันอังคารเป็นวันแข็ง ซึ่งมักจะมีเรื่องร้ายๆหรือความโชคร้ายเกิดขึ้นได้เสมอหรือเปล่านะ
ขณะที่ความคิดกำลังจะโบยบินไป เสียงของกระเป๋ารถเมล์ก็ดังแทรกขึ้น
“ค่าโดยสารครับ”
ขวัญใจเอามือล้วงลงไปที่กระเป๋ากางเกงยีนส์ตัวโปรดเพื่อค้นหาเศษเหรียญที่เตรียมเอาไว้แล้ว
แต่อนิจจา! มือของเธอทะลุกระเป๋ากางเกงลงไปข้างล่างได้อีก หญิงสาวหน้าซีดเผือด เหงื่อเริ่มไหลซึมที่หน้าผาก
(กระเป๋ากางเกงขาด!)“แย่แล้วสิเรา ทำไงล่ะคราวนี้”
เสียงกระเป๋ารถเมล์ย้ำเป็นครั้งที่สอง
“เก็บค่าโดยสารด้วยครับน้อง”
ขวัญใจอึกอัก เหงื่อกาฬเริ่มไหลซึมออกมาจนชื้นเต็มหน้าผากไปหมด
“เอ่อ! คือ พี่คะ…คือว่า…เอ่อ!…หนู...”
โปรดติดตามตอนต่อไป➡️
“เดี๋ยวเบิ่งก่อนเด้อแม่ ตอนนี้เบิ่งซงสิเวียกหลายอีหลี (เดี๋ยวขอดูก่อนนะแม่ ตอนนี้ดูเหมือนว่าจะยุ่งมากจริงๆ)”
ขวัญใจไม่ได้กลับบ้านเกิดเมืองนอนที่อีสานนานเท่าไหร่แล้วนะ ไม่รู้เป็นรอบที่เท่าไหร่แล้วที่แม่ของเธอมักจะได้รับคำตอบในทำนองนี้จากเธออยู่เสมอ
ขวัญใจเข้ามาเรียนที่กรุงเทพฯเป็นเวลาสองปีแล้ว จากเด็กนอก(นอกเขตเทศบาล)แถบทางภาคอีสาน
ปัจจุบันเธอกลายมาเป็นนักศึกษาชั้นปีที่ 2 คณะอักษรศาสตร์ ของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ
ในวันหยุดที่เธอว่างจากการเรียนที่มหาวิทยาลัย เธอมักจะออกมาเดินเล่นและถือโอกาสโทรศัพท์หาผู้เป็นแม่เสมอ
ซึ่งเธอก็มักจะใช้ภาษาถิ่น(อีสาน)ตามความเคยชินในการพูดคุยกับแม่ โดยที่เธอไม่ได้รู้สึกอับอายกับภาษาถิ่นกำเนิดของเธอเลยแม้แต่น้อย
หลังจากเธอวางหูแล้ว หันไปมองรอบๆ คนที่ยืนอยู่ใกล้ๆกับที่เธอนั่งอยู่ พร้อมใจกันหันมามองที่เธอกันเป็นตาเดียว
ขวัญใจเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย พร้อมกับนึกในใจ
“คนพวกนี้มองอะไรกัน ไม่เคยเห็นคนน่ารักหรืองัยนะ”
จู่ๆเด็กชายตัวเล็กคนหนึ่งก็เดินเข้ามายังที่ที่ขวัญใจนั่งอยู่ ก่อนจะพูดขึ้นว่า
“พี่ครับๆ ม้านั่งที่พี่นั่งอยู่ เพิ่งทาสีใหม่เมื่อเช้านี้เอง สีมันยังไม่แห้งเลยครับ”
หญิงสาวรีบกระโดดเด้งตัวขึ้นจากม้านั่งแทบจะทันที
หลายๆคนที่กำลังยืนอยู่แถวๆนั้นแอบปิดปากกั้นหัวเราะกันแทบไม่อยู่ บางคนก็หันหน้าไปซุบซิบนินทากันอย่างมันปาก
“ถึงว่าสิ ทำไมวันนี้ทุกคนมีน้ำใจกันจัง ไม่มีใครกล้ามาแย่งที่นั่งกับเราเลยแฮะ”
จากนั้นไม่รอช้า หญิงสาวรีบวิ่งเร็วจี๋ไปเข้าห้องน้ำเพื่อล้างคราบสีเขียวจากม้านั่งออกจากกางเกงยีนส์ตัวโปรดของเธอในทันที
ขณะที่กำลังตั้งหน้าตั้งตาขัดคราบสีออกจากกางเกงอยู่นั้น ใครคนหนึ่งก็มาสะกิดด้านหลัง
“คุณครับๆ คุณเข้ามาผิดที่หรือเปล่าครับ ลองเดินออกไปอ่านป้ายดูอีกทีนะครับ”
ขวัญใจมีสีหน้างุนงงเล็กน้อย ขณะนั้นมีชายอีกคนเดินเข้ามาภายในห้องน้ำท่าทางรีบร้อน เมื่อเขาเห็นขวัญใจก็มีสีหน้าตกอกตกใจอย่างเห็นได้ชัด
ขวัญใจรู้สึกเอะใจ เธอเดินออกมาอ่านป้ายหน้าห้องน้ำ มันเขียนกำกับไว้เป็นภาษาอังกฤษตัวโตๆ "MEN"
เมื่อขวัญใจเห็นแล้วถึงกับทำตาโตและเผ่นแน่บออกมาแทบไม่ทัน
เธอออกมายืนหอบเหนื่อยอยู่ใต้ต้นไม้ต้นหนึ่งใกล้ๆกันนั้น พร้อมกับบ่นกระปอดกระแปดว่า
“แหม วันนี้เป็นวันอะไรกันแน่นะ ทำไมฉันถึงเจอแจ๊กพ็อต 2 ต่อ เจอโชค 2 ชั้น ติดๆกันอย่างนี้เนี่ย”
ขณะนั้นมีรถเร่ขายผลไม้วิ่งผ่านมาพอดี
“ผลไม้สดๆ ผลไม้ดอง ผลไม้แช่อิ่มก็มีนะครับ รับอะไรดีครับ (เอาอะไรมั้ยนังหนู)”
ประโยคสุดท้าย ลุงคนขายผลไม้หันหน้ามาถามขวัญใจ
“ขอมะม่วงเปรี้ยวๆลูกหนึ่งค่ะคุณลุง”
ลุงคนขายผลไม้จัดการอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนส่งถุงมะม่วงที่สับเป็นชิ้นๆพอดีคำให้ขวัญใจ
ก่อนที่จะเอ่ยขึ้น เหมือนเพิ่งจะนึกอะไรออกเมื่อมองหน้าขวัญใจชัดๆ
“เอ๋า ว่าแม่นผู้ได๋ ที่แท้ก็นังขวัญ ลูกสาวแม่ใหญ่ตาตั้วนี่ เป็นจั่งได๋ล่ะอีหล่า ตั้งแต่มาเรียนนี่ ได้เมือบ้านดู่บ่ล่ะลูก(อ้าว นึกว่าใครที่แท้ก็ขวัญใจ ลูกสาวแม่ตานี่เอง เป็นอย่างไรบ้างล่ะ ตั้งแต่มาเรียนที่นี่ ได้กลับบ้านบ่อยมั้ยลูก)”
“เอ๋า ลุงจ่อยตั้วนี่แหม ลุงมาขายผลไม้อยู่พี้ ขายดีบ่ลุง (อ้าวลุงจ่อยเองเหรอคะ ลุงมาขายผลไม้อยู่ที่นี่ ขายดีมั้ยคะลุง)”
“ก็พอได้อยู่ได้กินล่ะหล่าเอ๊ย คนมันขายหลาย ลุงเฮ็ดไปซำพางพอได้ยาไส้ลุงกับป้าเมี้ยนนี่ล่ะ(ก็พอขายได้บ้าง คนอื่นเขาก็ขายกันเยอะแยะ ลุงก็ทำพอหากินเลี้ยงปากเลี้ยงท้องลุงกับป้าเมี้ยนได้เท่านั้นเองแหละ)”
บทสนทนาต้องสะดุดลง เมื่อเด็กผู้ชายตัวเล็กคนเดิมเดินมาขอซื้อแตงโมกับลุงจ่อย ขวัญใจจึงถือโอกาสขอปลีกตัวออกมาทันที
หญิงสาวเดินออกมาตามทางเท้าเรื่อยๆ ในใจก็ครุ่นคิดไปต่างๆนานา
“ป่านนี้แม่จะเป็นอย่างไรบ้างหนอ แล้วยังจะไอ้เหมียวอีก ทุกคนคงกำลังคิดถึงเราน่าดูเลย ทำไงดีนะ”
เสียงบีบแตรรถดังลั่นไปทั่วท้องถนน เมื่อสัญญาณไฟจราจรเปลี่ยนเป็นไฟเขียว
ขณะที่ตอนนี้หญิงสาวได้เดินมาจนถึงกลางถนนแล้ว
ขวัญใจรีบก้มหัวเป็นเชิงขอโทษเจ้าของรถหลายคันที่ต้องเบรกรถจนตัวโก่งอย่างกะทันหัน
ซึ่งทุกคนพร้อมใจกันทำสีหน้าบึ้งตึง หงุดหงิด ไม่พอใจ กันถ้วนหน้า
ขวัญใจรีบวิ่งข้ามถนนไปฝั่งตรงข้ามอย่างรวดเร็ว เธอยังรู้สึกอกสั่นขวัญแขวนจากเหตุการณ์เมื่อครู่ไม่หายด้วยความกลัวว่าเธอเกือบจะถูกรถทับบี้แบนไปโดยไม่รู้ตัวซะแล้ว
หญิงสาวเดินมาตามทางเท้าเรื่อยๆ ก่อนจะไปหยุดยืนรออยู่ที่ป้ายรถเมล์สักครู่ เมื่อรถมาถึง หญิงสาวก็ก้าวขึ้นไปนั่งบนรถทันที
วันนี้เธอเหนื่อยเหลือเกินกับการออกมาเดินเที่ยวในวันหยุดอย่างนี้ นี่เป็นเพราะเธอไม่เชื่อคำโบราณที่ว่า
วันอังคารเป็นวันแข็ง ซึ่งมักจะมีเรื่องร้ายๆหรือความโชคร้ายเกิดขึ้นได้เสมอหรือเปล่านะ
ขณะที่ความคิดกำลังจะโบยบินไป เสียงของกระเป๋ารถเมล์ก็ดังแทรกขึ้น
“ค่าโดยสารครับ”
ขวัญใจเอามือล้วงลงไปที่กระเป๋ากางเกงยีนส์ตัวโปรดเพื่อค้นหาเศษเหรียญที่เตรียมเอาไว้แล้ว
แต่อนิจจา! มือของเธอทะลุกระเป๋ากางเกงลงไปข้างล่างได้อีก หญิงสาวหน้าซีดเผือด เหงื่อเริ่มไหลซึมที่หน้าผาก
(กระเป๋ากางเกงขาด!)“แย่แล้วสิเรา ทำไงล่ะคราวนี้”
เสียงกระเป๋ารถเมล์ย้ำเป็นครั้งที่สอง
“เก็บค่าโดยสารด้วยครับน้อง”
ขวัญใจอึกอัก เหงื่อกาฬเริ่มไหลซึมออกมาจนชื้นเต็มหน้าผากไปหมด
“เอ่อ! คือ พี่คะ…คือว่า…เอ่อ!…หนู...”
โปรดติดตามตอนต่อไป➡️
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ