Turning Point.
10.0
7) จบแน่นอนแล้ว
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ ทิศทางที่ทั้งสี่คนเดินไม่ได้ไกลจากจุดที่ตั้งแคมป์มากมายเลย เพียงแต่ตอนที่วิ่งกันนั้นเป็นช่วงเวลากลางคืนและเกิดภาพหลอนจากควันพิษเองเท่านั้น ไม่นานนักก็มาที่จุดเดิมได้ เต้นท์พวกเขาที่กางยังอยู่ที่เดิม อาหารที่ปรุงหุงหาก้อยังอยู่แต่กินไม่ได้แล้วเพราะพวกสัตว์ป่าเล็กๆมาทำการวิเคราะห์ให้แล้วเรียบร้อย
"ทำไงต่อดีล่ะพวกเรา"ฑีถามขึ้น พลางมองหน้าเพื่อนๆ แห้งเดินไปหยิบน้ำกรอกใส่ปากตัวเอง กำไลเดินเข้าไปในเต้นท์ หยิบมือถือออกมากดส่งเบอร์ที่เธอให้ความสำคัญ ในขณะที่ต้นกับฑีเดินตรวจดูทั่วๆบริเวณที่พัก
"คุณพ่อคะ พวกหนูเกิดเรื่องค่ะ คุณพ่อช่วยเชคชื่อเพื่อนหนูหน่อยนะคะ ชื่อนางสาวศจี นามสกุลไม่ทราบค่ะ แต่เรียนแพทย์รุ่นเดียวกับหนู เพิ่งย้ายมาเมื่อสองปีที่แล้วจากขอนแก่นค่ะ เลขระหัส....." กำไลส่งเสียงบอกเรื่อยๆ แล้วการสนทนาก็ดำเนินไประหว่างลูกสาวกับผู้เป็นพ่อ ไม่นานเธอก็วางสาย "นี่ พวกเธอรู้มั๊ยว่าพวกเราถูกเรียกค่าไถ่คนละตั้งสิบล้าน" ...กำไลบอกด้วยน้ำเสียงเรื่อยๆ"หา!!..สิบล้าน! โห..พ่อชั้นคงมีล่ะ!" เสียงแห้งจอมโวยวายเอ่ยเสียงดัง กำไลโยนไดอารี่ไปที่แห้งและแห้งก็รับได้ทันควัน "ของแกใช่ป่ะ?." กำไลถามต่อ แห้งรับมาเปิดอ่านคร่าวๆ พูดพลางส่ายหัว "เขียนดี แต่ไม่ใช่ ตัวหนังสือเกือบเหมือนด้วยสิ แต่ไม่ใช่" แห้งยืนยัน "ไหนดูสิ.." ต้นกับฑี เปิดดูบ้าง "เพิ่งเขียนไม่นานนะเราว่า" ต้นเป็นผู้เอ่ยขึ้น "อื้ม..จริงด้วย ปากกากับวันที่ที่เขียนเหมือนเพิ่งเขียนเร็วๆนี่เอง" ฑีเองก็คิดเช่นเดียวกันกับเพื่อน "แล้วมันจะเขียนทำเตี่ยอะไรว้า" แห้งสงสัยกับผู้เขียนไดอารี่นี้ และคิดหาเหตุจูงใจไม่ออกจริงๆ "อื้มนั่นสิ" กำไลเองก็คิดไม่ออกจริงๆ ศจีจะเขียนทำไม ในเมื่อไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรเลยกับความต้องการของศจี หากจะยุให้ทุกคนแตกคอกันก็ยังไม่เกี่ยวข้องกันอยู่ดี และเธอก็นึกอะไรบางอย่างออกมาได้ พลางอมยิ้มนิดๆ
แจ่มใสกับนัทเดินพ้นปากถ้ำออกมาได้ แต่เจอกับสมุนสองคนของพวกศจีกำลังนั่งย่างอะไรหอมๆอยู่บริเวณริมลำน้ำ และยังไม่ทันสังเกตุเห็นทั้งสอง นัทโยนหินก้อนขนาดเหมาะมือไปอีกทาง มันทั้งสองมองตามแล้วคว้าปืนวิ่งไปดู ทำให้ทั้งสองมีจังหวะหนีไปอีกทางได้ แต่เป็นด้วยความรีบและไม่รอบคอบเลยโยนไปในทิศทางที่ตัวตั้งใจจะเดินไปในครั้งแรก เพราะนัทตั้งใจจะพาแจ่มใสไปทางนั้น ทำให้ทั้งสองหลุดแผนการเดินตามแสงอาทิตย์ไป แจ่มใสมองหน้านัทอย่างระอา แต่ก็ยังไม่ยอมปล่อยมือจากนัท คงเดินกระชับอุ้งมือตามนัทต้อยๆนัทเองก็จนใจ แต่คิดว่าเดี๋ยวค่อยอ้อมๆไปคงได้ และนึกปลอบขวัญตัวเองว่า นี่เป็นทางที่ตัวมาถูกทางก็ได้ "ไม่รู้จักคิดเลยนะนัท" แจ่มใสอดค่อนขอดนัทไม่ได้ตามเคย นัทยิ้มๆแล้วไม่ตอบอะไรอีก เพราะรู้ว่าตัวผิดอีกแล้วจริงๆ อย่างน้อยนัทก็อุ่นใจที่มีเพื่อนสนิทอยู่ข้างกายในยามนี้ พลางใจยังอดคิดถึงพฤติกรรมของศจีไม่ได้ หากเป็นศจีสาวสวยที่รักนักหนาโดยตัวเขาแทบไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเธอเลย มาตกในสภาพแบบนี้จะเป็นอย่างไร? นึกๆไปเขาเองก็ชักหวาดกลัวเธอจนแทบไม่หลงเหลืออารมณ์หวาบไหวอย่างที่ผ่านมา มีผู้หญิงคนไหนกันนะที่จะฆ่าผู้ชายที่เกือบร่วมรักกับเธอได้อย่างศจี....
ทั้งสองเดินมาตามป่ากล้วยป่าที่ขึ้นหนาแน่นขนัด แต่ไม่มีอะไรบอกได้เลยว่าจะไปทางไหน แสงแดดเริ่มส่งผ่านไอร้อนอบอ้าว แจ่มใสเริ่มอ่อนแรง รู้ได้จากการเดินที่เชื่องช้าลงและเสียงหอบหายใจถี่ๆ "เหนื่อยเหรอ? พักก่อนนะ พักมั๊ยแจ่ม"เขาเอ่ยถามเพื่อนสาวที่ตอนนี้ สีหน้าของแจ่มใสไม่มีเค้าความแจ่มใสเลย "ไม่ เดินต่อเถอะ เราไม่อยากให้มันมืดน่ะ อย่างน้อยไปให้ไกลๆพวกนั้นก็ยังดี" แจ่มใสบอก และเขาเองก็เห็นด้วย ไม่มีอะไรติดตัวมาสักอย่าง แถมเขาเองก็รู้สึกหิวกระหายขึ้นมาเหลือเกิน ได้น้ำดื่มสักอึกคงดี และเห็นว่าเพื่อนสาวที่เดินตามมานั้นก็คงรู้สึกไม่แพ้กัน "มีต้นกล้วยขึ้นเยอะ คงมีน้ำอยู่ใกล้อยู่หรอกแจ่ม" เขาชวนคุย "อื้ม...อย่าพูดมาก เสียพลังงาน เดินดีกว่า" แจ่มใสตอบเขา หึ..ขนาดอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ยังมาสั่งได้เขาคิด พลางรู้สึกชอบใจในความเจ้ายศของเพื่อนที่มีเชื้อจ้าวอย่างแจ่มใส แล้วเสียงแจ่มใสก็ดังขึ้นอย่างดีใจ
"นัทๆ กำไลแน่ๆเลย กำไลหักกิ่งไม้บอกทางเรา" นัทก้มมองแนวกิ่งไม้ที่ต่ำกว่าระดับสายตาแล้วมองต่อไปตามแนวที่แจ่มใสชี้ตรงไปข้างหน้า แล้วทั้งสองก็กระชับมือเดินตามกิ่งไม้ที่ถูกหักนั้นไปเรื่อยๆ จนพบธารน้ำที่เขาจำได้ว่าเดินไปอีกหน่อยก็ถึงที่ตั้งแคมป์ เพราะทางตรงนี้เขาเพิ่งมาหาไม้ฟืนกับศจีเมื่อเย็นวานนี่เอง
เสียงเครื่องบินขนาดเล็กบินผ่านหัวพวกเขา
นัทจูงมือแจ่มใสก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นใจและมั่นคง ทั้งสองมองหน้าและยิ้มให้กันอย่างเป็นสุขใจเพราะรู้สึกถึงความปลอดภัยแล้วอย่างถาวร
ที่ลานกว้างของเขตกางเต้นท์ มีทั้งนายทหารและตำรวจกลุ่มหนึ่งยืนรวมตัวกันอยู่ ทั้ง6คนต่างโผเข้ากอดกันอย่างมีความสุข
"ท่านครับเราจับคนร้ายได้ทั้งหมดครับ และนางสาวศจี เกระตะพนา ได้ถูกฆาตกรรมเมื่อสองปีที่แล้ว แล้วนางสาวมีระ มาสวมรอยเข้าเป็นนักศึกษาแพทย์แทนครับ เพิ่งได้ผลตรวจดีเอ็นเอมาครับยืนยันตัวตนที่แท้จริงแน่นอนแล้วครับ นี่ครับหลักฐานที่ท่านต้องการ" นายตำรวจยศเป็นถึงรองผู้กำกับแจงรายงานต่อท่านนายพล. "อื้ม ครับขอบคุณที่ให้ความร่วมมือครับ ก็เอาเป็นว่าต่อไปคงเป็นหน้าที่ของพวกคุณ ส่วนผม จะพาเด็กๆกลับบ้าน"
ที่สนามหน้าบ้านของกำไล ทั้งผู้ปกครองของเพื่อนๆที่นั่งคุยกันอย่างสนิทสนม และเด็กรุ่นหนุ่มสาวที่กำลังจะเป็นผู้รับผิดชอบชีวิตผู้อื่น ทุกคนต่างช่วยกันย่างบาบีคิวอย่างสนุกสนาน พลางพูดหยอกล้อกันถึงเรื่องที่พวกตนเพิ่งประสพมา แล้วกำไลก็ฉุดข้อมือเพื่อนสาวแสนสนิทมาอีกทาง พลางกระซิบบางอย่างข้างๆหูเพื่อน แจ่มใส หน้าแดง ก่อนพยักหน้ารับง่ายๆแบบเด็กๆและทำท่าจู๊ปาก เป็นการบอกว่าห้ามแพร่งพราย พลางรับไดอารี่เล่มนั้นมาแล้วโยนเข้ากองไฟที่ก่อให้ความสว่างแทนที่กองที่ก่อขึ้นที่ไปเที่ยวแล้วพบเรื่องเกือบร้ายๆมา ฑีเดินเข้ามายื่นจานบาบีคิวให้กำไล กำไลรับมาด้วยรอยยิ้มเป็นสุข ผู้เป็นพ่อมอง พลางเอ่ยกับกำนันคนดีแห่งป่าเขาว่า "พี่กำนันท่าจะมีหมอเพิ่มอีกคนแล้วล่ะ".
***********
จบแล้วค่ะ ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่านค่ะ.
"ทำไงต่อดีล่ะพวกเรา"ฑีถามขึ้น พลางมองหน้าเพื่อนๆ แห้งเดินไปหยิบน้ำกรอกใส่ปากตัวเอง กำไลเดินเข้าไปในเต้นท์ หยิบมือถือออกมากดส่งเบอร์ที่เธอให้ความสำคัญ ในขณะที่ต้นกับฑีเดินตรวจดูทั่วๆบริเวณที่พัก
"คุณพ่อคะ พวกหนูเกิดเรื่องค่ะ คุณพ่อช่วยเชคชื่อเพื่อนหนูหน่อยนะคะ ชื่อนางสาวศจี นามสกุลไม่ทราบค่ะ แต่เรียนแพทย์รุ่นเดียวกับหนู เพิ่งย้ายมาเมื่อสองปีที่แล้วจากขอนแก่นค่ะ เลขระหัส....." กำไลส่งเสียงบอกเรื่อยๆ แล้วการสนทนาก็ดำเนินไประหว่างลูกสาวกับผู้เป็นพ่อ ไม่นานเธอก็วางสาย "นี่ พวกเธอรู้มั๊ยว่าพวกเราถูกเรียกค่าไถ่คนละตั้งสิบล้าน" ...กำไลบอกด้วยน้ำเสียงเรื่อยๆ"หา!!..สิบล้าน! โห..พ่อชั้นคงมีล่ะ!" เสียงแห้งจอมโวยวายเอ่ยเสียงดัง กำไลโยนไดอารี่ไปที่แห้งและแห้งก็รับได้ทันควัน "ของแกใช่ป่ะ?." กำไลถามต่อ แห้งรับมาเปิดอ่านคร่าวๆ พูดพลางส่ายหัว "เขียนดี แต่ไม่ใช่ ตัวหนังสือเกือบเหมือนด้วยสิ แต่ไม่ใช่" แห้งยืนยัน "ไหนดูสิ.." ต้นกับฑี เปิดดูบ้าง "เพิ่งเขียนไม่นานนะเราว่า" ต้นเป็นผู้เอ่ยขึ้น "อื้ม..จริงด้วย ปากกากับวันที่ที่เขียนเหมือนเพิ่งเขียนเร็วๆนี่เอง" ฑีเองก็คิดเช่นเดียวกันกับเพื่อน "แล้วมันจะเขียนทำเตี่ยอะไรว้า" แห้งสงสัยกับผู้เขียนไดอารี่นี้ และคิดหาเหตุจูงใจไม่ออกจริงๆ "อื้มนั่นสิ" กำไลเองก็คิดไม่ออกจริงๆ ศจีจะเขียนทำไม ในเมื่อไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรเลยกับความต้องการของศจี หากจะยุให้ทุกคนแตกคอกันก็ยังไม่เกี่ยวข้องกันอยู่ดี และเธอก็นึกอะไรบางอย่างออกมาได้ พลางอมยิ้มนิดๆ
แจ่มใสกับนัทเดินพ้นปากถ้ำออกมาได้ แต่เจอกับสมุนสองคนของพวกศจีกำลังนั่งย่างอะไรหอมๆอยู่บริเวณริมลำน้ำ และยังไม่ทันสังเกตุเห็นทั้งสอง นัทโยนหินก้อนขนาดเหมาะมือไปอีกทาง มันทั้งสองมองตามแล้วคว้าปืนวิ่งไปดู ทำให้ทั้งสองมีจังหวะหนีไปอีกทางได้ แต่เป็นด้วยความรีบและไม่รอบคอบเลยโยนไปในทิศทางที่ตัวตั้งใจจะเดินไปในครั้งแรก เพราะนัทตั้งใจจะพาแจ่มใสไปทางนั้น ทำให้ทั้งสองหลุดแผนการเดินตามแสงอาทิตย์ไป แจ่มใสมองหน้านัทอย่างระอา แต่ก็ยังไม่ยอมปล่อยมือจากนัท คงเดินกระชับอุ้งมือตามนัทต้อยๆนัทเองก็จนใจ แต่คิดว่าเดี๋ยวค่อยอ้อมๆไปคงได้ และนึกปลอบขวัญตัวเองว่า นี่เป็นทางที่ตัวมาถูกทางก็ได้ "ไม่รู้จักคิดเลยนะนัท" แจ่มใสอดค่อนขอดนัทไม่ได้ตามเคย นัทยิ้มๆแล้วไม่ตอบอะไรอีก เพราะรู้ว่าตัวผิดอีกแล้วจริงๆ อย่างน้อยนัทก็อุ่นใจที่มีเพื่อนสนิทอยู่ข้างกายในยามนี้ พลางใจยังอดคิดถึงพฤติกรรมของศจีไม่ได้ หากเป็นศจีสาวสวยที่รักนักหนาโดยตัวเขาแทบไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเธอเลย มาตกในสภาพแบบนี้จะเป็นอย่างไร? นึกๆไปเขาเองก็ชักหวาดกลัวเธอจนแทบไม่หลงเหลืออารมณ์หวาบไหวอย่างที่ผ่านมา มีผู้หญิงคนไหนกันนะที่จะฆ่าผู้ชายที่เกือบร่วมรักกับเธอได้อย่างศจี....
ทั้งสองเดินมาตามป่ากล้วยป่าที่ขึ้นหนาแน่นขนัด แต่ไม่มีอะไรบอกได้เลยว่าจะไปทางไหน แสงแดดเริ่มส่งผ่านไอร้อนอบอ้าว แจ่มใสเริ่มอ่อนแรง รู้ได้จากการเดินที่เชื่องช้าลงและเสียงหอบหายใจถี่ๆ "เหนื่อยเหรอ? พักก่อนนะ พักมั๊ยแจ่ม"เขาเอ่ยถามเพื่อนสาวที่ตอนนี้ สีหน้าของแจ่มใสไม่มีเค้าความแจ่มใสเลย "ไม่ เดินต่อเถอะ เราไม่อยากให้มันมืดน่ะ อย่างน้อยไปให้ไกลๆพวกนั้นก็ยังดี" แจ่มใสบอก และเขาเองก็เห็นด้วย ไม่มีอะไรติดตัวมาสักอย่าง แถมเขาเองก็รู้สึกหิวกระหายขึ้นมาเหลือเกิน ได้น้ำดื่มสักอึกคงดี และเห็นว่าเพื่อนสาวที่เดินตามมานั้นก็คงรู้สึกไม่แพ้กัน "มีต้นกล้วยขึ้นเยอะ คงมีน้ำอยู่ใกล้อยู่หรอกแจ่ม" เขาชวนคุย "อื้ม...อย่าพูดมาก เสียพลังงาน เดินดีกว่า" แจ่มใสตอบเขา หึ..ขนาดอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ยังมาสั่งได้เขาคิด พลางรู้สึกชอบใจในความเจ้ายศของเพื่อนที่มีเชื้อจ้าวอย่างแจ่มใส แล้วเสียงแจ่มใสก็ดังขึ้นอย่างดีใจ
"นัทๆ กำไลแน่ๆเลย กำไลหักกิ่งไม้บอกทางเรา" นัทก้มมองแนวกิ่งไม้ที่ต่ำกว่าระดับสายตาแล้วมองต่อไปตามแนวที่แจ่มใสชี้ตรงไปข้างหน้า แล้วทั้งสองก็กระชับมือเดินตามกิ่งไม้ที่ถูกหักนั้นไปเรื่อยๆ จนพบธารน้ำที่เขาจำได้ว่าเดินไปอีกหน่อยก็ถึงที่ตั้งแคมป์ เพราะทางตรงนี้เขาเพิ่งมาหาไม้ฟืนกับศจีเมื่อเย็นวานนี่เอง
เสียงเครื่องบินขนาดเล็กบินผ่านหัวพวกเขา
นัทจูงมือแจ่มใสก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นใจและมั่นคง ทั้งสองมองหน้าและยิ้มให้กันอย่างเป็นสุขใจเพราะรู้สึกถึงความปลอดภัยแล้วอย่างถาวร
ที่ลานกว้างของเขตกางเต้นท์ มีทั้งนายทหารและตำรวจกลุ่มหนึ่งยืนรวมตัวกันอยู่ ทั้ง6คนต่างโผเข้ากอดกันอย่างมีความสุข
"ท่านครับเราจับคนร้ายได้ทั้งหมดครับ และนางสาวศจี เกระตะพนา ได้ถูกฆาตกรรมเมื่อสองปีที่แล้ว แล้วนางสาวมีระ มาสวมรอยเข้าเป็นนักศึกษาแพทย์แทนครับ เพิ่งได้ผลตรวจดีเอ็นเอมาครับยืนยันตัวตนที่แท้จริงแน่นอนแล้วครับ นี่ครับหลักฐานที่ท่านต้องการ" นายตำรวจยศเป็นถึงรองผู้กำกับแจงรายงานต่อท่านนายพล. "อื้ม ครับขอบคุณที่ให้ความร่วมมือครับ ก็เอาเป็นว่าต่อไปคงเป็นหน้าที่ของพวกคุณ ส่วนผม จะพาเด็กๆกลับบ้าน"
ที่สนามหน้าบ้านของกำไล ทั้งผู้ปกครองของเพื่อนๆที่นั่งคุยกันอย่างสนิทสนม และเด็กรุ่นหนุ่มสาวที่กำลังจะเป็นผู้รับผิดชอบชีวิตผู้อื่น ทุกคนต่างช่วยกันย่างบาบีคิวอย่างสนุกสนาน พลางพูดหยอกล้อกันถึงเรื่องที่พวกตนเพิ่งประสพมา แล้วกำไลก็ฉุดข้อมือเพื่อนสาวแสนสนิทมาอีกทาง พลางกระซิบบางอย่างข้างๆหูเพื่อน แจ่มใส หน้าแดง ก่อนพยักหน้ารับง่ายๆแบบเด็กๆและทำท่าจู๊ปาก เป็นการบอกว่าห้ามแพร่งพราย พลางรับไดอารี่เล่มนั้นมาแล้วโยนเข้ากองไฟที่ก่อให้ความสว่างแทนที่กองที่ก่อขึ้นที่ไปเที่ยวแล้วพบเรื่องเกือบร้ายๆมา ฑีเดินเข้ามายื่นจานบาบีคิวให้กำไล กำไลรับมาด้วยรอยยิ้มเป็นสุข ผู้เป็นพ่อมอง พลางเอ่ยกับกำนันคนดีแห่งป่าเขาว่า "พี่กำนันท่าจะมีหมอเพิ่มอีกคนแล้วล่ะ".
***********
จบแล้วค่ะ ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่านค่ะ.
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ