Corona : Sunny Ville
9.2
4) The Sign
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ“ดีนะที่พวกเธอไม่เป็นอะไร” ฉันยิ้มให้คริสโตเฟอร์ขณะที่เขาเดินเข้ามาหาพวกเรา
“เจนหลับไปน่ะ” ฉันมองเจนในขณะที่เธอนอนหนุนตักฉันอยู่
คริสโตเฟอร์เดินไปที่รถของพวกเรา ซึ่งในขณะนี้มันมีแต่ควันเต็มไปหมด แล้วเดินไปหยิบกล่องเครื่องมือจากหลังรถของเขา
“หวังว่าฉันพอจะทำอะไรได้บ้าง ตอนนี้พวกหน่วยกู้ภัยก็ไม่อยู่กันหมด เธอแน่ใจนะว่าจะไม่ไปโรงพยาบาล” คริสโตเฟอร์พูดกับฉัน สายตาเหลือบมองไปที่เจนอย่างห่วงใย ในขณะเดียวกันเจนก็รู้สึกตัวลุกขึ้นจากตักฉันแล้วบิดขี้เกียจ
“อ้าว คริส มาช้าจัง” เจนหาวอีกทีหนึ่ง ท่าทางของเธอดูอิดโรยมาก คริสโตเฟอร์เลยถามเจนว่าเธออยากไปโรงพยาบาลรึเปล่า เจนเลยตะคอกใส่เขาว่าถ้าอยากไปโรงพยาบาลก็คงไปนานแล้ว หรือไม่คงเรียกรถพยาบาลมาตั้งแต่ต้นแล้ว เจนว่าเธอไม่อยากให้ฉันต้องเจอกับพวกนักข่าวอีก
ฉันมองคู่รักคู่นี้ทะเลาะกันแล้วก็อดคิดไม่ได้ว่า บางทีเจนก็ใจร้ายมากกับแฟนของเธอ เขารีบมาหาและเป็นห่วงเธอขนาดนี้แต่เธอยังกลับตะโกนใส่เขา ฉันมองไปยังคริสโตเฟอร์ เขาไม่มีท่าทีที่จะหงุดหงิดรำคาญใจกับความโมโหร้ายของเจนเลยสักนิด เขาเดินหยิบเครื่องมือ พร้อมหันมายิ้มให้ฉันแบบประมาณว่า เธอโมโหก็ยังน่ารักนะ และเดินไปซ่อมเครื่องยนต์ต่อ ในขณะเดียวกันฉันก็ลุกขึ้นไปสำรวจรอบรถด้วย เจนยังไม่หยุดปาก ในขณะนั้นเองที่ฉันเห็นรอยบุบรอยใหญ่ทางฝั่งที่ฉันนั่ง
“เฮ้ พวก มาดูนี่สิ” ฉันตะโกน คริสโตเฟอร์และเจนรีบวิ่งมาดู
“ฉันเปิดประตูออกมายังไม่มีรอยบุบนี้เลย” ฉันชี้ไปยังรอยบุบขนาดใหญ่ ใหญ่ขนาดลูกฟุตบอล3 ลูกรวมกันได้
“ถ้ามี ฉันต้องเห็นแล้วสิ เมื่อกี้ตอนที่ออกมาจากรถ ฉันสาบานได้ว่า มันไม่มีรอยนี้ เมื่ออีกอย่างฉันก็เฝ้ารถตลอด ไม่มีใครหรืออะไรมาโดนรถเราเลย” ฉันตกใจ และงงเป็นอย่างมาก ลองคิดดูสิ ถ้ามันมีรอยนี้ตั้งแต่แรก ทำไมฉันไม่เห็นล่ะ
“บ้าน่ะ ฉันเห็นแต่ต้นแล้ว ตกใจไปได้ อย่าคิดว่าเป็นเรื่องใหญ่ไปเลย ก็แค่เอาเข้าอู่ แต่อย่าให้แม่ฉันรู้เชียว” เจนพูดเสียงใส
ฉันมองหน้าเจน พร้อมกับคิดว่า ถ้ารอยบุบนี่มีมาตั้งแต่ต้น มันคงทำให้ฉันตายไปแล้ว ฉันไม่พูดอะไรต่อ แต่แล้วฉันความภาพความคิดก็แวบเข้ามาในสมองของฉัน ในตอนที่รถของเราเสียหลัก เจนตกใจมาก เธอตัวสั่นและหน้าแดงกล่ำ ฉันพยุงเธอออกมาจากรถแล้วมานั่งที่ใต้ต้นไม้ เธอไม่ได้เห็นรอยบุบเลยสักนิดเดียว
“ขอบใจนะเจน แต่เธอไม่ได้เห็นรอยด้วยซ้ำ” ฉันหันไปหาเธอน้ำตาคลอเบ้า เจนเดินเข้ามากอดฉัน แล้วเล่าความจริงบางอย่างให้ฉันฟัง
“เธอว่าเธอเห็นอเล็กซ์หรอ แล้วที่บอกว่ากวางล่ะ?” ฉันตกใจเมื่อฟังเรื่องที่เธอเล่า เจนน้ำตานองหน้า เธอว่าเธอไม่อยากให้ฉันต้องคิดมาก อีกอย่างเธอก็ไม่อยากเชื่อเรื่องผีสางด้วย
“จะเป็นไปได้ยังไง ในเมื่อเขายังอยู่ที่โรงพักอยู่เลย เมื่อกี้ฉันคุยกับ จ่าวิลล์ที่โรงพัก เขาบอกห้ามประกันตัว”
“ฉันจะไปรู้ได้ยังไงล่ะ อย่างถามอะไรที่มันงี่เง่าได้มั๊ย….” ขณะที่ทั้งสองคนทะเลาะกันอยู่ฉันก็มองไปรอบๆและภาพหนึ่งที่ทำให้ฉันต้องหยุด ฉันเห็นพ่อนั่งอยู่ในรถ สีหน้าของพ่อดูไม่ดี ฉันเดินเข้าไปหา ฉันอยากจะเข้าไปกอดพ่อ
“โคลอี้…” เสียงเรียกอันคุ้นเคยดังขึ้น
“เธอนั่นแหละที่ฆ่าทุกคน”
ฉันสะดุ้งสุดตัว ฉันหันกลับไป ทั้งสองคนยังทะเลาะกันอยู่ ฉันเลยหันกลับมาที่รถอีกครั้ง ในตอนนี้ในใจของฉันเหมือนโดนเผา หน้าของพ่อกลายเป็นใบหน้าที่น่าสะพรึงกลัว เป็นใบหน้า ที่มีแต่รอยถูกไฟลวก
"เธอนั่นแหละที่ฆ่าทุกคน" พ่อพูดกับฉัน สายตาที่มองมา มีแต่ความเคียดแค้น
“เจนหลับไปน่ะ” ฉันมองเจนในขณะที่เธอนอนหนุนตักฉันอยู่
คริสโตเฟอร์เดินไปที่รถของพวกเรา ซึ่งในขณะนี้มันมีแต่ควันเต็มไปหมด แล้วเดินไปหยิบกล่องเครื่องมือจากหลังรถของเขา
“หวังว่าฉันพอจะทำอะไรได้บ้าง ตอนนี้พวกหน่วยกู้ภัยก็ไม่อยู่กันหมด เธอแน่ใจนะว่าจะไม่ไปโรงพยาบาล” คริสโตเฟอร์พูดกับฉัน สายตาเหลือบมองไปที่เจนอย่างห่วงใย ในขณะเดียวกันเจนก็รู้สึกตัวลุกขึ้นจากตักฉันแล้วบิดขี้เกียจ
“อ้าว คริส มาช้าจัง” เจนหาวอีกทีหนึ่ง ท่าทางของเธอดูอิดโรยมาก คริสโตเฟอร์เลยถามเจนว่าเธออยากไปโรงพยาบาลรึเปล่า เจนเลยตะคอกใส่เขาว่าถ้าอยากไปโรงพยาบาลก็คงไปนานแล้ว หรือไม่คงเรียกรถพยาบาลมาตั้งแต่ต้นแล้ว เจนว่าเธอไม่อยากให้ฉันต้องเจอกับพวกนักข่าวอีก
ฉันมองคู่รักคู่นี้ทะเลาะกันแล้วก็อดคิดไม่ได้ว่า บางทีเจนก็ใจร้ายมากกับแฟนของเธอ เขารีบมาหาและเป็นห่วงเธอขนาดนี้แต่เธอยังกลับตะโกนใส่เขา ฉันมองไปยังคริสโตเฟอร์ เขาไม่มีท่าทีที่จะหงุดหงิดรำคาญใจกับความโมโหร้ายของเจนเลยสักนิด เขาเดินหยิบเครื่องมือ พร้อมหันมายิ้มให้ฉันแบบประมาณว่า เธอโมโหก็ยังน่ารักนะ และเดินไปซ่อมเครื่องยนต์ต่อ ในขณะเดียวกันฉันก็ลุกขึ้นไปสำรวจรอบรถด้วย เจนยังไม่หยุดปาก ในขณะนั้นเองที่ฉันเห็นรอยบุบรอยใหญ่ทางฝั่งที่ฉันนั่ง
“เฮ้ พวก มาดูนี่สิ” ฉันตะโกน คริสโตเฟอร์และเจนรีบวิ่งมาดู
“ฉันเปิดประตูออกมายังไม่มีรอยบุบนี้เลย” ฉันชี้ไปยังรอยบุบขนาดใหญ่ ใหญ่ขนาดลูกฟุตบอล3 ลูกรวมกันได้
“ถ้ามี ฉันต้องเห็นแล้วสิ เมื่อกี้ตอนที่ออกมาจากรถ ฉันสาบานได้ว่า มันไม่มีรอยนี้ เมื่ออีกอย่างฉันก็เฝ้ารถตลอด ไม่มีใครหรืออะไรมาโดนรถเราเลย” ฉันตกใจ และงงเป็นอย่างมาก ลองคิดดูสิ ถ้ามันมีรอยนี้ตั้งแต่แรก ทำไมฉันไม่เห็นล่ะ
“บ้าน่ะ ฉันเห็นแต่ต้นแล้ว ตกใจไปได้ อย่าคิดว่าเป็นเรื่องใหญ่ไปเลย ก็แค่เอาเข้าอู่ แต่อย่าให้แม่ฉันรู้เชียว” เจนพูดเสียงใส
ฉันมองหน้าเจน พร้อมกับคิดว่า ถ้ารอยบุบนี่มีมาตั้งแต่ต้น มันคงทำให้ฉันตายไปแล้ว ฉันไม่พูดอะไรต่อ แต่แล้วฉันความภาพความคิดก็แวบเข้ามาในสมองของฉัน ในตอนที่รถของเราเสียหลัก เจนตกใจมาก เธอตัวสั่นและหน้าแดงกล่ำ ฉันพยุงเธอออกมาจากรถแล้วมานั่งที่ใต้ต้นไม้ เธอไม่ได้เห็นรอยบุบเลยสักนิดเดียว
“ขอบใจนะเจน แต่เธอไม่ได้เห็นรอยด้วยซ้ำ” ฉันหันไปหาเธอน้ำตาคลอเบ้า เจนเดินเข้ามากอดฉัน แล้วเล่าความจริงบางอย่างให้ฉันฟัง
“เธอว่าเธอเห็นอเล็กซ์หรอ แล้วที่บอกว่ากวางล่ะ?” ฉันตกใจเมื่อฟังเรื่องที่เธอเล่า เจนน้ำตานองหน้า เธอว่าเธอไม่อยากให้ฉันต้องคิดมาก อีกอย่างเธอก็ไม่อยากเชื่อเรื่องผีสางด้วย
“จะเป็นไปได้ยังไง ในเมื่อเขายังอยู่ที่โรงพักอยู่เลย เมื่อกี้ฉันคุยกับ จ่าวิลล์ที่โรงพัก เขาบอกห้ามประกันตัว”
“ฉันจะไปรู้ได้ยังไงล่ะ อย่างถามอะไรที่มันงี่เง่าได้มั๊ย….” ขณะที่ทั้งสองคนทะเลาะกันอยู่ฉันก็มองไปรอบๆและภาพหนึ่งที่ทำให้ฉันต้องหยุด ฉันเห็นพ่อนั่งอยู่ในรถ สีหน้าของพ่อดูไม่ดี ฉันเดินเข้าไปหา ฉันอยากจะเข้าไปกอดพ่อ
“โคลอี้…” เสียงเรียกอันคุ้นเคยดังขึ้น
“เธอนั่นแหละที่ฆ่าทุกคน”
ฉันสะดุ้งสุดตัว ฉันหันกลับไป ทั้งสองคนยังทะเลาะกันอยู่ ฉันเลยหันกลับมาที่รถอีกครั้ง ในตอนนี้ในใจของฉันเหมือนโดนเผา หน้าของพ่อกลายเป็นใบหน้าที่น่าสะพรึงกลัว เป็นใบหน้า ที่มีแต่รอยถูกไฟลวก
"เธอนั่นแหละที่ฆ่าทุกคน" พ่อพูดกับฉัน สายตาที่มองมา มีแต่ความเคียดแค้น
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8.5 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ