Corona : Sunny Ville
9.2
3)
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความฉันคิดว่าคนเราทุกคนเกิดมาเพื่อจะทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งในชีวิต และเมื่อพวกเราบรรลุเป้าหมายพวกเราก็จะกลับไปยังที่ๆเราจากมา ที่ๆมีแต่เสียงหัวเราะ ไม่มีน้ำตา และพวกเราก็จะยิ้มกลับมาให้คนที่เรารักอย่างอบอุ่น และสิ่งที่เราได้ทำก็จะเป็นความทรงจำจางๆให้พวกเขา ให้พวกเขาได้นึกถึงเราอยู่เสมอ
“โคลอี้…. เธอเป็นอะไรมั๊ย?” ฉันกลับคืนสู่โลกปกติอีกครั้ง สมองรู้สึกชาไปหมด
“ฉันว่าเธอต้องการหมอนะ” ฉันมองไปทางต้นเสียง คริสโตเฟอร์และเจนมองฉันอย่างเป็นห่วง ฉันเลยบอกพวกเขาว่าไม่เป็นไร แต่พวกเขาไม่เชื่อเลยพยุงฉันไปนั่งในรถ ฉันมองไปรอบๆและพบว่าจากสถานีตำรวจที่เคยเงียบเหงา ไม่เคยมีคดีสะเทือนขวัญมาก่อน บัดนี้คนที่นี่หนาแน่นไปหมด มีทั้งนักข่าวจากสถานีต่างๆ นักศึกษาจากมหาวิทยาลัยของพวกเรา อธิการบดี และอีกหลายคนที่ฉันไม่คุ้นหน้า
“เฮ้…นั่นไงแฟนของไอ้ฆาตรกร” เสียงของผู้ชายคนหนึ่งดังขึ้น ฉันพยายามมองหาว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร แต่แล้วก็พบว่าเธอคนนั้นเป็นฉันเอง นักข่าวและผู้คนวิ่งมาหาฉัน ในขณะเดียวกันเจนก็วิ่งมา
“คริส กุญแจ โยนมาที!!! โคลอี้…ปิดประตู!!!!” เจนตะโกนลั่น
“เขายังไม่ได้เป็นฆาตรกรโว้ย” คริสโตเฟอร์ตะโกนกลับไปพร้อมกับโยนกุญแจให้กับเจน กุญแจหล่นลงที่พื้น เจนเลยรีบวิ่งเข้าไปเก็บ ในตอนนั้นเองพวกนั้นข่าวก็ใกล้ที่จะมาถึงตัวฉันแล้ว คริสโตเฟอร์เลยเอาตัวเขาบังที่รถข้างที่ฉันนั่ง เพื่อไม่ให้นักข่าวถ่ายรูปฉันได้
เจนขึ้นรถแล้วรีบขับออกไปอย่างรวดเร็วโดยที่ไม่รอคริส เจนบอกว่า เธอจะไม่ปล่อยให้พวกนั้นมาสัมภาษณ์ฉันเด็ดขาด เพราะแค่นี้ฉันก็สภาพย่ำแย่เกินทนแล้ว แล้วเวลาที่พวกนักข่าวสัมภาษณ์ผลที่ได้มักจะออกมาในทางลบเสมอ
“ห้ามใช้มือถือ และเช็คอีเมล์ หรือแม้แต่ใช้อินเตอร์เน็ตตอนนี้เชียว เพราะมันจะทำให้สุขภาพจิตเธอยิ่งเสื่อม” เจนมองมาที่ฉันอย่างเป็นห่วง ฉันถอนหายใจและรับปากว่าจะทำตามเธอ เจนเลยกลับไปขับรถอย่างตั้งใจ ฉันมองกลับไปยังถนนของเมืองบีเวอร์ ที่นี่ช่างต่างกับที่ที่ฉันมาเหลือเกิน อากาศที่นี่อยู่ 10องศาเห็นจะได้ ยิ่งวันนี้ไม่มีพระอาทิตย์เลยแม้แต่น้อย แล้วภาพแห่งความทรงจำก็วกกลับเข้ามาหาฉันอีกครั้ง
“Somewhere over the rainbow …. Way up high….”
เสียงเพลงโปรดของแม่ดังก้องไปทั่วรถ แสงแดดตามบ่ายกระทบบนใบหน้าของฉันอีกครั้ง แล้วจู่ๆแสงนั้นก็มืดลงไป
“ทายสิ…ใครเอ่ย” เสียงสดใสดังก้องในหูของฉัน
“นางฟ้าของพี่ไง” ฉันตอบเสียงนั้น ทำให้เธอหัวเราะคิกคัก เธอค่อยๆแกะมือเล็กๆคู่นั้นออกจากตาของฉันแล้วกระโดดปีนเบาะไปเล่นเกมส์โปรดของเธอกับแม่ต่อ
แสงแดดของซันนี่ วิลล์กระทบตาของฉันอีกครั้ง ฉันมองไปรอบๆ และสังเกตุเห็นว่าที่แห่งนี้ไม่เคยเปลี่ยนไปเลย ต้นไม้ที่แผ่กิ่งก้านไม่สามารถที่จะทำให้แสงแดดของที่นี่ลดความแรงลงมาได้เลย ฉันเอนตัวพิงประตูรถและแหงนหน้าขึ้นสู้แดด มันก็นานมากแล้วที่ฉันคิดถึงกลิ่นของแดด
“โคลอี้ พ่อว่าหลบแดดหน่อยก็ดีนะ เดี๋ยวจะเป็นมะเร็งที่ผิวหนังซะก่อน ลูกก็รู้แดดที่นี่แรงแค่ไหน” เสียงของพ่อดังขึ้น ฉันมองไปทางพ่อแล้วทำตามอย่างโดยดี ถึงแม้ว่าฉันจะฝืนใจตัวเองอย่างมาก เพราะฉันคิดถึงวันที่มีแสงแดดเหลือเกิน
“มะเร็งคืออะไรคะ” เคที่ถามเสียงใส
“มะเร็งก็คือโรคชนิดหนึ่งจ้ะ ตอนนี้เรายังไม่มีวิธีรักษามันให้หายขาด” พ่อตอบพร้อมยิ้มให้น้องสาวตัวน้อยฉันอย่างเอ็นดู
“แต่แม่เชื่อว่าพี่สาวลูกจะหาทางรักษามันได้” เคที่เลยฉันมาหอมแก้มฉันหนึ่งที พร้อมกับบอกว่าฉันเก่งที่สุดในโลก ฉันหอมเธอกลับแล้วบอกว่าฉันเก่งที่สองในโลก เพราะน้องสาวของฉันเก่งที่สุดในโลก
ฉันอยากเป็นหมอมานานแล้ว แล้วฉันก็กำลังสานฝันของฉันและคนที่ฉันรักอยู่ตอนนี้ ถ้าพวกเขารู้พวกเขาคงภูมิใจมาก
“เอี๊ยดดดดด…..โครมมมม”มันเหมือนกับความฝัน ในขณะที่เพลงโปรดของแม่ยังเล่นอยู่ ทุกอย่างดูพล่าเบลอ รถของเรามีคนมาตัดหน้า แต่ในคราวนี้ฉันเห็นว่าเธอคนนั้นคือเฮเทอร์
“กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด” ฉันสะดุ้งตื่นขึ้นมา ถุงลมนิรภัยในรถของเรากางออกออกมาแล้ว ฉันมองไปยังที่นั่งคนขับ พ่อหายไปแล้ว
“มีกวางวิ่งตัดหน้ารถเรา” เจนพูดเสียงสั่น ฉันเห็นว่าเธออยู่ในอาการช็อค ฉันเลยพยุงเธอออกมาจากรถ แล้วฉันก็ละเมิดข้อห้ามของเจน โดยการโทรศัพท์ไปหาหน่วยกู้ภัย แต่ไม่น่าแปลกใจเลยที่ไม่มีใครรับสายเพราะฉันรู้ว่าตอนนี้ทุกคนมัวแต่ยุ่งเรื่องการตายของเฮเทอร์
“เธอไม่เป็นไรนะ” เจนถามฉัน ฉันบอกเธอไปว่าไม่เป็นไร พร้อมกับเดินไปหยิบน้ำมาให้เธอดื่ม ตัวเธอยังสั่นอยู่
“ฉันเป็นห่วงอเล็กซ์จัง เธอว่าเขาจะเป็นอะไรมั๊ย” ฉันรู้สึกเป็นห่วงเขาขึ้นมาจริงๆ โดยเฉพาะในตอนนี้น่ะ
“ฉันว่าคงไม่เป็นไรหรอก ยังไงเขาก็มีทนายนะ” เจนตอบ เสียงเธอยังสั่นอยู่
“ฉันก็หวังว่าเขาจะไม่เป็นไร”
“โคลอี้…. เธอเป็นอะไรมั๊ย?” ฉันกลับคืนสู่โลกปกติอีกครั้ง สมองรู้สึกชาไปหมด
“ฉันว่าเธอต้องการหมอนะ” ฉันมองไปทางต้นเสียง คริสโตเฟอร์และเจนมองฉันอย่างเป็นห่วง ฉันเลยบอกพวกเขาว่าไม่เป็นไร แต่พวกเขาไม่เชื่อเลยพยุงฉันไปนั่งในรถ ฉันมองไปรอบๆและพบว่าจากสถานีตำรวจที่เคยเงียบเหงา ไม่เคยมีคดีสะเทือนขวัญมาก่อน บัดนี้คนที่นี่หนาแน่นไปหมด มีทั้งนักข่าวจากสถานีต่างๆ นักศึกษาจากมหาวิทยาลัยของพวกเรา อธิการบดี และอีกหลายคนที่ฉันไม่คุ้นหน้า
“เฮ้…นั่นไงแฟนของไอ้ฆาตรกร” เสียงของผู้ชายคนหนึ่งดังขึ้น ฉันพยายามมองหาว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร แต่แล้วก็พบว่าเธอคนนั้นเป็นฉันเอง นักข่าวและผู้คนวิ่งมาหาฉัน ในขณะเดียวกันเจนก็วิ่งมา
“คริส กุญแจ โยนมาที!!! โคลอี้…ปิดประตู!!!!” เจนตะโกนลั่น
“เขายังไม่ได้เป็นฆาตรกรโว้ย” คริสโตเฟอร์ตะโกนกลับไปพร้อมกับโยนกุญแจให้กับเจน กุญแจหล่นลงที่พื้น เจนเลยรีบวิ่งเข้าไปเก็บ ในตอนนั้นเองพวกนั้นข่าวก็ใกล้ที่จะมาถึงตัวฉันแล้ว คริสโตเฟอร์เลยเอาตัวเขาบังที่รถข้างที่ฉันนั่ง เพื่อไม่ให้นักข่าวถ่ายรูปฉันได้
เจนขึ้นรถแล้วรีบขับออกไปอย่างรวดเร็วโดยที่ไม่รอคริส เจนบอกว่า เธอจะไม่ปล่อยให้พวกนั้นมาสัมภาษณ์ฉันเด็ดขาด เพราะแค่นี้ฉันก็สภาพย่ำแย่เกินทนแล้ว แล้วเวลาที่พวกนักข่าวสัมภาษณ์ผลที่ได้มักจะออกมาในทางลบเสมอ
“ห้ามใช้มือถือ และเช็คอีเมล์ หรือแม้แต่ใช้อินเตอร์เน็ตตอนนี้เชียว เพราะมันจะทำให้สุขภาพจิตเธอยิ่งเสื่อม” เจนมองมาที่ฉันอย่างเป็นห่วง ฉันถอนหายใจและรับปากว่าจะทำตามเธอ เจนเลยกลับไปขับรถอย่างตั้งใจ ฉันมองกลับไปยังถนนของเมืองบีเวอร์ ที่นี่ช่างต่างกับที่ที่ฉันมาเหลือเกิน อากาศที่นี่อยู่ 10องศาเห็นจะได้ ยิ่งวันนี้ไม่มีพระอาทิตย์เลยแม้แต่น้อย แล้วภาพแห่งความทรงจำก็วกกลับเข้ามาหาฉันอีกครั้ง
“Somewhere over the rainbow …. Way up high….”
เสียงเพลงโปรดของแม่ดังก้องไปทั่วรถ แสงแดดตามบ่ายกระทบบนใบหน้าของฉันอีกครั้ง แล้วจู่ๆแสงนั้นก็มืดลงไป
“ทายสิ…ใครเอ่ย” เสียงสดใสดังก้องในหูของฉัน
“นางฟ้าของพี่ไง” ฉันตอบเสียงนั้น ทำให้เธอหัวเราะคิกคัก เธอค่อยๆแกะมือเล็กๆคู่นั้นออกจากตาของฉันแล้วกระโดดปีนเบาะไปเล่นเกมส์โปรดของเธอกับแม่ต่อ
แสงแดดของซันนี่ วิลล์กระทบตาของฉันอีกครั้ง ฉันมองไปรอบๆ และสังเกตุเห็นว่าที่แห่งนี้ไม่เคยเปลี่ยนไปเลย ต้นไม้ที่แผ่กิ่งก้านไม่สามารถที่จะทำให้แสงแดดของที่นี่ลดความแรงลงมาได้เลย ฉันเอนตัวพิงประตูรถและแหงนหน้าขึ้นสู้แดด มันก็นานมากแล้วที่ฉันคิดถึงกลิ่นของแดด
“โคลอี้ พ่อว่าหลบแดดหน่อยก็ดีนะ เดี๋ยวจะเป็นมะเร็งที่ผิวหนังซะก่อน ลูกก็รู้แดดที่นี่แรงแค่ไหน” เสียงของพ่อดังขึ้น ฉันมองไปทางพ่อแล้วทำตามอย่างโดยดี ถึงแม้ว่าฉันจะฝืนใจตัวเองอย่างมาก เพราะฉันคิดถึงวันที่มีแสงแดดเหลือเกิน
“มะเร็งคืออะไรคะ” เคที่ถามเสียงใส
“มะเร็งก็คือโรคชนิดหนึ่งจ้ะ ตอนนี้เรายังไม่มีวิธีรักษามันให้หายขาด” พ่อตอบพร้อมยิ้มให้น้องสาวตัวน้อยฉันอย่างเอ็นดู
“แต่แม่เชื่อว่าพี่สาวลูกจะหาทางรักษามันได้” เคที่เลยฉันมาหอมแก้มฉันหนึ่งที พร้อมกับบอกว่าฉันเก่งที่สุดในโลก ฉันหอมเธอกลับแล้วบอกว่าฉันเก่งที่สองในโลก เพราะน้องสาวของฉันเก่งที่สุดในโลก
ฉันอยากเป็นหมอมานานแล้ว แล้วฉันก็กำลังสานฝันของฉันและคนที่ฉันรักอยู่ตอนนี้ ถ้าพวกเขารู้พวกเขาคงภูมิใจมาก
“เอี๊ยดดดดด…..โครมมมม”มันเหมือนกับความฝัน ในขณะที่เพลงโปรดของแม่ยังเล่นอยู่ ทุกอย่างดูพล่าเบลอ รถของเรามีคนมาตัดหน้า แต่ในคราวนี้ฉันเห็นว่าเธอคนนั้นคือเฮเทอร์
“กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด” ฉันสะดุ้งตื่นขึ้นมา ถุงลมนิรภัยในรถของเรากางออกออกมาแล้ว ฉันมองไปยังที่นั่งคนขับ พ่อหายไปแล้ว
“มีกวางวิ่งตัดหน้ารถเรา” เจนพูดเสียงสั่น ฉันเห็นว่าเธออยู่ในอาการช็อค ฉันเลยพยุงเธอออกมาจากรถ แล้วฉันก็ละเมิดข้อห้ามของเจน โดยการโทรศัพท์ไปหาหน่วยกู้ภัย แต่ไม่น่าแปลกใจเลยที่ไม่มีใครรับสายเพราะฉันรู้ว่าตอนนี้ทุกคนมัวแต่ยุ่งเรื่องการตายของเฮเทอร์
“เธอไม่เป็นไรนะ” เจนถามฉัน ฉันบอกเธอไปว่าไม่เป็นไร พร้อมกับเดินไปหยิบน้ำมาให้เธอดื่ม ตัวเธอยังสั่นอยู่
“ฉันเป็นห่วงอเล็กซ์จัง เธอว่าเขาจะเป็นอะไรมั๊ย” ฉันรู้สึกเป็นห่วงเขาขึ้นมาจริงๆ โดยเฉพาะในตอนนี้น่ะ
“ฉันว่าคงไม่เป็นไรหรอก ยังไงเขาก็มีทนายนะ” เจนตอบ เสียงเธอยังสั่นอยู่
“ฉันก็หวังว่าเขาจะไม่เป็นไร”
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8.5 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ