อ้ายถัง
1) หญิงสาว ปัญหา และความตาย
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความอ้ายถัง๑: หญิงสาว ปัญหา และความตาย
กุลดา กมลศีล เร่งสาวเท้าไปบนบาทวิถีโดยไม่สนใจต่อสิ่งใดทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นเสียงอึกทึกของรถรา เสียงสนทนาฟังไม่ได้ศัพท์ของผู้คน หรือฝูงชนที่เดินสวนมาราวกับน้ำหลาก หญิงสาวพาร่างอวบอ้วนของตนแทรกผ่านฝูงชนเหล่านั้นไปอย่างปราดเปรียวเหลือเชื่อ
ก้อนเนื้ออันอุดมไปด้วยไขมันของเธอกระเพื่อมแรงตามจังหวะการเดิน คิ้วเรียวขมวดเข้าหากัน นัยน์ตาสีนิลอาบไปด้วยน้ำตา ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากันแน่น ดวงหน้ากลมก็เป็นสีชมพูระเรื่อ เม็ดเหงื่อผุดพรายเต็มใบหน้า ลำคอ และแผ่นหลัง เธอหายใจหอบถี่คล้ายจะหมดแรง แต่กระนั้นก็ไม่ยอมลดฝีเท้าลงเลย
ความเงียบปลุกหญิงสาวให้ตื่นขึ้นจากภวังค์ มันเป็นความเงียบชนิดที่เธอไม่เคยสัมผัสได้มาก่อนในเมืองที่วุ่นวายแห่งนี้ ไม่ใช่ความเงียบสงัดแต่เป็นความเงียบที่เกิดขึ้นจากสรรพเสียงนานาชนิด ทั้งเสียงใบไม้ที่สั่นไหวตามแรงลม เสียงนกร้องเจื้อยแจ้วจากดงไม้ เสียงกระพือปีกของฝูงพิราบ และเสียงอื่นๆอีกมากมาย มันคือสรรพเสียงแห่งธรรมชาติที่ไร้ซึ่งการปรุงแต่งของมนุษย์ เป็นสรรพเสียงแห่งความเงียบที่มีอำนาจทำให้จิตใจสงบลงได้อย่างน่าประหลาด
กุลดา ค่อยๆย่างเข้าไปในร่มเงาของสวนนั้น กวาดสายตาไปรอบๆเหมือนจะตรวจสอบให้แน่ใจว่าไม่ใช่ความฝัน มันเป็นสวนที่ปูพื้นด้วยหญ้าสีเขียว ไม้ใหญ่ยืนต้นอยู่เป็นระเกะระกะ แต่โปร่งโล่งสบายตา ไม้พุ่มปลูกแซมอยู่เป็นจุดๆตัดแต่งไว้เรียบร้อย ทางเดินโรยด้วยกรวดเม็ดเขื่องสีหม่น ทอดยาวคดเคี้ยวไปในสวน สองข้างทางมีม้านั่งยาวเก่าๆวางเรียงรายอยู่เป็นระยะๆ เมื่อเดินตามทางไปได้สักพักก็พบกับสระน้ำที่ขุดเป็นบ่อลงไปคล้ายบ่อเลี้ยงปลา มีกังหันหมุนช้าๆอยู่ในน้ำส่งเสียงซ่าๆน่าฟัง มีเนินหญ้าลาดลงสู่บ่อทั้งสี่ทิศ และมีม้านั่งวางล้อมอยู่รอบๆเช่นเดียวกับทางเดิน
กุลดาเลือกม้านั่งริมสระน้ำตัวหนึ่งเป็นที่พักเพราะรู้สึกเหนื่อยและล้าเต็มที เกิดเสียงไม้ลั่นเบาๆเมื่อเธอนั่งลง กุลดาพยายามปลอบใจตัวเองว่าเป็นเพราะม้านั่งมันเก่าแล้วจะลั่นบ้างก็ไม่แปลกอะไร แต่มันก็เป็นเพียงคำปลอบใจเลื่อนลอยที่พูดกับตัวเองเท่านั้น กุลดารู้ดีว่าน้ำหนักของตัวเองมันมากจนเกินพอดีหรือจะเรียกว่าล้นเลยก็คงไม่ผิด และนี่เองคือสิ่งที่รบกวนชีวิตของเธอมากว่า 20 ปี
“อาหารปลา อาหารนกมั้ยคร้าบ...อาหารปลาอาหารนกคร้าบ...” เสียงร้องขายของยานๆแว่วมา ขณะที่หญิงสาวกำลังจมดิ่งลงสู่ห้วงความคิด
“อุ้ยอ้าย มาหาแม่สิลูก” เสียงหวานของแม่แว่วเข้ามาในห้วงคะนึง สัมผัสอุ่นของอ้อมกอดนั้นคล้ายกับจะข้ามกาลเวลามาสู่กายของเธอในตอนนี้ ความอบอุ่นที่เธอถวิลหาและได้พบแต่เพียงในความฝัน ภาพเก่าๆของแม่เด่นชัดขึ้นภายในใจของเธอ กุลดาเพลินไปกับภาพนั้นจนลืมสิ้นทุกสิ่งทุกอย่าง ลืมความทุกข์ที่เกาะกุมหัวใจ ลืมว่าเธอกำลังอยู่ที่ไหน ลืมว่าคนที่คิดถึงได้จากเธอไปไกลแสนไกลเสียแล้ว...
“อ้ายอ้วน! ไอ้อ้วน! อ้ายอ้วน!” พลันเสียงเด็กผู้ชายหลายคนก็แทรกเสียงหวานของแม่ขึ้นมา มันเป็นเสียงที่เธอเกลียดแสนเกลียด เป็นคำพูดที่กดร่างของเธอให้จมดิน เธอจำเหตุการณ์นั้นได้ไม่ลืมเลือน เด็กหญิงกุลดาในตอนนั้น ยืนร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่ท่ามกลางวงล้อมของพวกเด็กผู้ชาย
ร่างของเธอใหญ่แต่ใจของเธอเล็กนิดเดียว เป็นเพียงเด็กผู้หญิงธรรมดาๆคนหนึ่งเท่านั้น...
“อ้วนเป็นตุ่มสามโคกยังจะกล้ามาเดินกับน้องแนนอีกหรอ?” จวบจนเรียนมหาวิทยาลัย ความอ้วนของเธอก็เป็นอุปสรรคแม้แต่การคบเพื่อน คำพูดถากถางของชายที่บังเอิญพบกันในห้างสรรพสินค้า ทำให้น้ำตาของเธอแทบร่วงลงมาเดี๋ยวนั้น เธออ้วนในขณะที่แนนผอม มันคือเหตุผลที่เธอจะคบกับแนนไม่ได้ใช่ไหม? แล้วเพื่อนคนอื่นล่ะ? ก็คงคบกันไม่ได้...แล้วอย่างนี้เธอจะต่างอะไรกับหมูที่ต้องอยู่กับเล้า ไม่อาจล้ำเข้าไปในสระหงส์ได้เลยแม้แต่จะคิด
หญิงสาวน้ำตาคลอ...ทำไมถึงมีแต่คนดูถูกความอ้วนของเธอ ทำไมไม่มีใครชมเธอบ้างที่สอบได้เกือบเต็มทุกครั้ง คอยทบทวน คอยสอนเพื่อนอย่างไม่เคยคิดหวงวิชา เธอไม่เคยทิ้งเพื่อนเลยสักครั้ง การกระทำทุกอย่างของเธอแลดูไร้ความหมายไปทันทีที่ความอ้วนเข้ามาบดบังกระนั้นหรือ?
คำถามมากมายพร่างพรูออกมาพร้อมกับน้ำตาที่ไหลริน นางสาวกุลดาในตอนนี้กับเด็กหญิงกุลดาในตอนนั้นยังคงเป็นสาวน้อยที่อ่อนไหวไม่เปลี่ยนแปลง...หากจะเปลี่ยน ก็คงเปลี่ยนที่ความคิดและการตัดสินใจ...
“ถ้าอยู่ต่อไปก็ไม่มีอะไรดีขึ้น...บางที...การไม่ต้องมีชีวิตต่อไปอาจจะดีกว่าก็ได้...” เธอบอกกับตัวเองเงียบๆในใจ น้ำตายังคงไหลลงมาไม่ขาดสาย
ร่างที่กำลังสั่นน้อยๆเพราะแรงสะอื้น เรียกความสนใจจากคนผู้หนึ่งในสวนให้หันมามอง เขาหยุดการกระทำของตนลงและพินิจดูหญิงสาวร่างใหญ่อย่างตั้งใจอยู่นานพอสมควร ก่อนจะสืบเท้าเข้าไปหา
“รับอาหารนกสักถุงไหมครับ?” เขาเอ่ยถามเสียงเรียบๆ
กุลดาเงยหน้าขึ้น แล้วเธอก็พบกับชายผมดำร่างผอม ผิวคล้ำ แต่งตัวมอซอคนหนึ่งยืนส่งยิ้มมาให้ เขายืนห่างจากเธอไปไม่เท่าไหร่ในมือมีถุงบรรจุอาหารเม็ดสำหรับนกยื่นมา กุลดายิ้มแห้งๆแล้วตอบไปว่า
“ไม่ล่ะค่ะ คุณไปขายคนอื่นเถอะ”
“ผมไม่ได้ขายครับ...” เขาบอกยิ้มๆ ยื่นถุงนั้นเข้ามาใกล้อีก แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเหมือนพนักงานในร้านหรู “บริการพิเศษครับสำหรับคนมีทุกข์ครับผม”
กุลดามองหน้าเขาอย่างงงๆ แต่ก็อดขำไม่ได้ หากเขาคนนี้จะเป็นพวกนักต้มตุ๋นหรือผู้ร้าย เขาก็เป็นคนเลวที่พูดจาได้เป็นมิตรที่สุด
“เวลาไม่สบายใจอะไร ถ้าได้ผ่อนคลายไปกับธรรมชาติจะรู้สึกดีขึ้นครับ” เขาเริ่มอธิบายน้ำเสียงจริงจังเช่นเดียวกับสีหน้า “อาหารถุงนี้ผมให้ฟรีไม่มีการเก็บตังค์ใดใดทั้งสิ้น เพราะมันเป็นถุงเล็กที่ผมเตรียมเอาไว้เป็นของแถมอยู่แล้ว ไม่เชื่อก็ดูได้ ปกติผมขายถุงใหญ่ครับ” พร้อมกับพูดเขาก็โชว์ถุงอาหารนกในตะกร้าที่คล้องแขนอยู่ให้เธอดู
กุลดาไม่ได้ตอบสนองต่อการกระทำของเขา เธอนิ่งกำลังจมอยู่กับความคิด หวาดๆนิดหน่อยว่าเขาจะมาร้าย เธอกลัวที่จะถูกทำร้ายแต่ก็บอกกับตัวเองว่า “เธอคิดจะตายอยู่แล้วไม่ใช่หรอ อ้าย...จะกลัวอะไรกับเรื่องแค่นี้ล่ะ?”
“รับไปเถอะครับ ถือซะว่าเป็นน้ำใจจากคนจรจนๆคนนี้” เขาสำทับมาอีกเมื่อเห็นเธอนิ่ง กุลดารับถุงอาหารนั้นมาและคอยดูท่าทีว่าเขาจะทำอย่างไรต่อไป
เขาบอกให้เธอเปิดห่อแล้วโปรยออกไปที่พื้นเบื้องหน้า เธอทำตาม ส่วนตัวเขาเองเดินเลี่ยงมายืนอยู่ข้างๆเธอ วางตะกร้าใบเขื่องไว้กับพื้น
ราวกับร่ายมนต์ทันทีที่อาหารเม็ดเหล่านั้นถูกโปรยลงไป ฝูงนกพิราบก็พากันบินเข้ามาจิกกินอย่างพร้อมเพรียง ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้เธอไม่เห็นวี่แววของพวกมันเลยสักตัว กุลดาเบิกตากว้างอย่างประหลาดใจ เธอยิ้มออกมา และเฝ้ามองนกน้อยเหล่านั้นกินอาหาร พอเห็นว่าใกล้จะหมดเธอก็โปรยซ้ำอีก บางตัวถอยร่นไปเพราะตกใจแต่เดี๋ยวก็กลับมาร่วมวงอีก กุลดาให้อาหารนกอย่างเพลิดเพลินจนหมดจำนวนในถุงเล็กๆนั้น
ใบหน้าของหญิงสาวยังคงเปื้อนยิ้มเหม่อมองฝูงนกตรงหน้าที่ยังวนเวียนไม่ไปไหน พวกมันแสดงอาการราวกับจะค้นหาอาหารเม็ดที่หลุดลอดสายตาไปอย่างไรอย่างนั้น
“สบายใจขึ้นไหมครับ?” คนขายอาหารนกเอ่ยถาม น้ำเสียงของเขาอ่อนโยนชวนให้รู้สึกอบอุ่น กุลดายิ้มเศร้าๆ ตอบเขาด้วยน้ำเสียงเรียบๆแผ่วเบาว่า
“ก็แค่ชั่วคราวเท่านั้นแหละค่ะ...แต่คุณเป็นคนมีน้ำใจเหลือเกิน ขอบคุณนะคะ”
เธอกล่าวขอบคุณพร้อมกับสบตาเขา สายตาของเธอแสดงถึงความจริงใจแต่ก็อาบไปด้วยแววแห่งความหม่นหมอง จนชายแปลกหน้าอดสงสัยไม่ได้ว่าอะไรทำให้หญิงสาวที่แลดูร่าเริงคนนี้ต้องจมอยู่กับความทุกข์
“สนใจอาหารนกสักถุงไหมครับ?” เขาถาม ยังยิ้มๆอยู่เหมือนเดิม กุลดามองหน้าเขาแล้วร้องออกมาว่า
“อ๋อ! อย่างนี้นี่เอง ที่แท้ก็หวังขายของ...” ในตอนท้ายเธอบ่นอุบอิบ ล้วงธนบัตรสีเขียวออกมาใบหนึ่งส่งให้ เธออ่านราคาได้จากป้ายกระดาษที่ติดเอาไว้ที่ตะกร้าโดยไม่ต้องให้เขาเป็นคนบอก เขาส่งถุงอาหารให้เธอรับเงิน แล้วทรุดตัวลงนั่งที่พื้นเบื้องหน้าเยื้องไปทางซ้ายมือของเธอเล็กน้อย
“นี่กะจะรอขายให้หมดตะกร้าเลยหรอ?” เธอถามจ้องหน้าเขาอย่างไม่อยากเชื่อ พาลคิดไปว่าเขากำลังรอโอกาสที่จะเชือดคอเธอด้วยมีดที่ซ่อนไว้
ชายคนขายหัวเราะเปิดเผยโบกมือปฏิเสธแล้วตอบว่า “แค่คิดว่าควรจะมีคัดโตเมอร์เซอวิส ด้วยการอยู่เป็นเพื่อนเท่านั้นเองครับ สำหรับลูกค้ารายแรกของวันนี้”
“ฉันอยู่คนเดียวได้” เธอบอกห้วนๆ
ชายหนุ่มคิดว่าเธอระแวงเขาแต่ก็ไม่ถือสาเพราะเป็นเรื่องสมควรแล้ว กับคนแปลกหน้าที่เพิ่งพบกันในเมืองที่เต็มไปด้วยอาชญากรรมเช่นนี้
“ผมก็แค่คิดว่าคุณอยากได้ใครสักคนมารับฟังปัญหา ซึ่งผมเต็มใจที่จะฟัง...แต่ถ้าไม่ต้องการก็ไม่เป็นไรครับ ผมไม่กวนละ” พูดพลางเขาก็ลุกขึ้นคว้าได้ตะกร้าก็ทำท่าว่าจะเดินผละไป
“เดี๋ยวก่อน!” หญิงสาวร้องเรียกก่อนที่เขาจะก้าวออกไปด้วยซ้ำ “คุณ...จะฟังเรื่องของฉันจริงๆหรอ? ” เธอถามเขา สายตาที่จ้องมานั้นมีแววของความทุกข์ฉายออกมาอย่างเด่นชัดไม่เหลือร่องรอยของความสุขเมื่อครู่นี้อยู่เลย ชายแปลกหน้านั่งลงที่เก่า
“พร้อมที่จะฟังแล้วครับพ้ม!” เขาพูดพร้อมกับฉีกยิ้มอย่างอารมณ์ดี จนกุลดาอดยิ้มออกมาไม่ได้
เธอเริ่มเล่าเรื่องราวของตัวเองให้ชายแปลกหน้าฟัง ขณะที่สายตาจับจ้องไปยังฝูงนกพิราบฝูงนั้น เธอเล่าได้อย่างไม่ติดขัดรู้สึกเหมือนกำลังพูดกับตัวเองมากกว่า ราวกับว่าไม่มีเขานั่งอยู่ตรงนั้น น้ำตาหยุดไหลแล้วและไม่มีทีท่าว่าจะไหลอีกมีเพียงความหม่นหมองในดวงตาเท่านั้นที่ยังไม่จางหายไป เธอเล่า เล่า และเล่าโดยไม่สนใจต่อผู้ที่นั่งอยู่ใกล้ๆเลยแม้แต่น้อย
ชายแปลกหน้านั่งฟังเรื่องที่เธอเล่าอย่างตั้งใจ และไม่ปริปากหรือส่งเสียงใดๆเลย นัยน์ตาสีน้ำตาลของเขาจับจ้องใบหน้าของหญิงสาวไม่วาง ความเศร้าที่ฉายเด่นชัดอยู่บนใบหน้าทำให้เขาอดสงสารไม่ได้ เธอเป็นนักศึกษาที่มีอนาคตอย่างน้อยก็มีโอกาสได้ทำงานสบายๆไม่เสี่ยง รูปร่างที่อวบอ้วนบ่งบอกว่ามีกิน ผิวพรรณดีแสดงว่าไม่ได้ลำบาก
ตัวเขาสิต้องอดมื้อกินมื้อ หางานทำไม่ได้เพราะไม่มีวุฒิการศึกษา ต้องกรากกรำงานหนักอยู่เป็นนิตย์ แต่ฝ่ายที่เป็นทุกข์หนักกลับเป็นเธอไปเสียได้ จากสีหน้าและน้ำเสียงของเธอมันทำให้เขาหวั่นว่าเธอกำลังคิดผิด...ผิดอย่างมหันต์เสียด้วย
“...บางครั้ง...ฉันก็คิดไปว่าถ้าฉันตายไปก็คงจะดี...” ประโยคสุดท้ายของเธอสะกิดใจของเขาให้สะดุ้ง เขาคิดไว้ไม่ผิดเลยว่าหญิงสาวคนนี้กำลังอับจนหนทาง และมันก็ฟ้องออกมาอย่างชัดเจนแล้ว
เขาจ้องมองใบหน้าเศร้าหมองนั้นอย่างพยายามจะค้นหาอะไรบางอย่าง เธอมองตอบเขาด้วยดวงตาที่หรี่ซึม และยิ้มให้ มันเป็นยิ้มที่ออกมาจากหัวใจที่มืดมน
“ฉันรู้สึกขอบคุณคุณจริงๆที่อยู่ข้างๆฉัน...ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม ขอบคุณจริงๆค่ะ”
คำพูดของเธอที่ส่งผ่านมายังเขาเปรียบเสมือนแสงเทียนที่ส่องออกมาจากห้องมืด เขารู้ว่าในห้องหัวใจของเธอยังมีแสงแห่งความปรารถนาอยู่ แสงแห่งปรารถนาของการมีชีวิตอยู่ต่อไป เธอจะไม่ต้องการเพื่อนหากเธอต้องการจะตายจริงๆ
“...รู้ไหมครับว่าสวนแห่งนี้มีชื่อว่าอะไร?” ในที่สุดชายหนุ่มก็พูดขึ้นหลังจากเงียบมานาน
“ไม่รู้หรอกค่ะ...สวนนี่อยู่ที่ไหนของเมืองฉันยังไม่รู้เลย”
“สวนนี้มีชื่อว่า ‘สวนจบชีวาตม์’ ครับ...เป็นสวนยอดนิยมของคนที่อยากตาย” เขาบอก แล้วเริ่มอธิบายต่อไปโดยไม่สนใจกับท่าทางประหลาดใจของหญิงสาว “...สระน้ำตรงนี้ชื่อว่า “สระคะนึง” เป็นสระที่คนชอบมานั่งใช้ความคิด สนามหญ้าทางนั้นเรียกว่า ‘ทุ่งมรณะกาล’ ส่วนสนามหญ้าทางด้านนี้คือ ปฐมวาย...แล้วด้านในสุดโน้นคือ ‘สุสานไร้ศพ’ ครับ”
“คุณล้อฉันเล่นใช่ไหม!” เธอร้องออกมา
“ผมพูดจริงครับ” เขายืนยันหนักแน่นพร้อมทั้งชี้มือไปทาง ‘ทุ่งมรณะกาล’ พูดว่า “นั่นไงครับคนแก่คนนั้นชวนลูกหลานมาพักผ่อนเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่เขาจะฆ่าตัวตายในคืนนี้ ผมคุยกับลุงแกมาแล้ว แกบอกว่าแกไม่อยากเป็นภาระให้ลูกหลาน...เห็นแกยิ้มๆอย่างนั้นข้างในน่ะยิ่งกว่าคุณเสียอีก”
“ตายแล้ว! ทำไมคุณไม่ห้ามเขา?” หญิงสาวต่อว่าเขาลืมความโศกเศร้าของตนไปหมดสิ้น เธอลุกพรวดขึ้นจากเก้าอี้ แล้วออกวิ่ง
ชายหนุ่มคว้าลำแขนอวบอ้วนของเธอไว้ได้ทันก่อนที่เธอจะพ้นจากเขาไป บอกว่า “ไม่มีประโยชน์หรอกครับคุณ ผมถามแกแล้วตอนที่มาซื้อยาจากผม แกไม่ลังเลเลยสักนิดเดียว อย่าไปยุ่งกับแกเลยครับแกเลือกทางของแกแล้ว...”
คำอธิบายของเขาทำให้เธอชะงักหันกลับมามองผู้ที่จับแขนเธอไว้แน่นจนรู้สึกเจ็บ ถามเสียงขาดๆหายๆว่า “คุณว่าอะไรนะ?”
“ผมบอกว่าลุงแกเลือกทางเดินของแกแล้วครับ” เขาตอบเสียงเรียบยังคงจะแขนของเธอไว้ แต่ผ่อนกำลังลง “คุณอย่าไปยุ่งกับแกเลย ให้แกมีความสุขครั้งสุดท้ายของแกให้เต็มที่เถอะครับ”
“ไม่ใช่! เมื่อกี้คุณบอกว่าคุณลุงมาซื้อยากับคุณ?” เธอตั้งคำถาม จ้องหน้าชายตรงหน้าอย่างไม่อยากจะเชื่อ แม้ว่าเธอจะระแวงอยู่ก่อนแล้วว่าเขาอาจจะไม่ใช่คนดี แต่ก็ไม่นึกว่าเขาจะขายยา...และน่าจะเป็นยาอันตรายเสียด้วย
“อ้อ ครับ...คุณลุงแกรู้มาจากเพื่อนแก เลยมาซื้อยาที่ผม” เขาตอบด้วยน้ำเสียงเป็นปกติเหมือนพูดถึงสินค้าธรรมดา “ปกติแล้วผมไม่โฆษณาโจ่งแจ้งหรอกครับ ลูกค้าของผมส่วนมากก็ไม่มีโอกาสได้บอกต่อ ผมก็ใช้วิธีเดินเลียบๆเคียงๆถามเอา ถ้าเห็นว่าไม่เอาก็บอกไปเสียว่าเป็นยาหลอก...ก็เท่านั้นเองครับ”
“นึกแล้วว่าคุณต้องไม่ใช่คนดีแน่!” กุลดาร้องออกมา สะบันแขนออกจากการจับกุมของเขา ความรู้สึกดีที่มีต่อเขาอันตรธานหายไปหมดสิ้น มีแต่ความเกลียดชังเข้ามาแทนที่
เขาไม่สะทกสะท้านในการกระทำของเธอเลยแม้แต่น้อย สีหน้าของเขายังคงเรียบเฉยเช่นเดียวกับประโยคเรียบๆที่ลอดผ่านริมฝีปากออกมา “ว่าแต่คุณจะเอาไหมล่ะครับ? เม็ดเดียวก่อนนอน หลับไปเลยไม่เจ็บไม่ทรมานอะไรทั้งนั้น”
คำพูดของเขาทำให้เธอชะงักไป เพิ่งฉุกคิดได้ว่าตนมีความคิดที่จะฆ่าตัวตาย อารมณ์และความรู้สึกเดิมหวนกลับเข้ามาอีกครั้ง สีหน้าของเธอแปรเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด จนเขาแอบรู้สึกผิดที่ทำให้เธอต้องหวนกลับมาสู่ความหมองใจ
“............”
เธอเงียบ...เงียบไปนานเหมือนอยู่ในภวังค์ และในที่สุดเธอเลือกทางเดินของตนเอง ซึ่งเขาก็ไม่ขัดขวางหรือถามอะไรอีก สิ่งที่เขาทำเพียงสิ่งเดียวก็คือเคารพในการตัดสินใจของเธอ...
.......................................
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ ผิดพลาดประการใดก็ขออภัยด้วยค่ะ
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่วางโครงเรื่องนานมากจนคิดไปว่าอาจจะไม่ได้เขียน แต่ในที่สุดก็ได้เขียนจนได้
เขียนเรื่องสั้นมานานอยากลองเขียนเรื่องยาวดูบ้าง
ยังไงก็ฝากติชมด้วยนะคะ แล้วจะปรับปรุงต่อไปค่ะ
............................................
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ